The Second Coming of Gluttony 267

ตอนที่ 267

บทที่ 267 – พิธีเปิดอันงดงาม (4)

ซอลจีฮูคิดว่าตัวเองมองผิดไปอยู่ครู่หนึ่ง

‘คนๆนี้’

เขารู้จักเธอ จริงๆแล้วเขาก็เคยเจอเธอและกระทั่งเคยคุยกันแล้วด้วย แต่ว่าเป็นบนโลกไม่ใช่ที่พาราไดซ์

“นี่เป็นครั้งที่สองแล้วใช่ไหม?”

หญิงสาวคนนี้คือคนที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นที่ร้านกาแฟในตอนที่เขานัดเจอกับพี่ชาย เธอคือผู้บริหารของซินยอง ยุนซอฮุย

‘อ่า’

ในที่สุดแล้วคิมฮันนาห์ที่ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นก็ได้สติกลับมา

“โอ้ ฉันกำลังทำอะไรอยู่กัน? ต้องขออัยด้วย ฉันแค่ตกใจเกินไปหน่อย”

เธอได้รีบตั้งสติและแทรกขึ้นมา

“ไม่เจอกันนานเลยนะผู้จัดการคิม… อ่า ต้องขออภัย คุณคิมฮันนาห์”

ยุนซอฮุยได้ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

“ฉันกำลังจะถามอยู่เลยว่าคุณสบายดีไหม แต่ดูจากสีหน้าคุณเหมือนฉันจะไม่ต้องห่วงแล้วสินะ ฉันเป็นห่วงคุณจริงๆนะ”

โอ้ งั้นหรอ?

“ต้องขออภัยที่ทำให้ผู้อำนวยการยุนต้องเป็นห่วง… ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะคะ”

ยัยนี่ ฉันไม่หลงคารมของเธอหรอกนะ

“แต่ฉันตกใจมากเลยจริงๆ ฉันไม่เคยคิดว่าเลยซินยองจะมาในพิธีเปิดตัวของเรา”

เธอมาทำบ้าอะไรที่นี่?

“พูดตามตรงแล้ว ฉันก็คิดอยู่ว่าจะมาได้ไหม แต่ซอราก็เอาแต่ขออยู่ตลอด เพราะงั้นฉันถึงได้ตัดสินใจน่ะ”

บทสนทนาที่ควรจะเต็มไปด้วยคำสบถได้กลายเป็นภาษาอันงดงาม

คิมฮันนาห์ได้กัดริมฝีปากเบาๆ เธอคิดว่ายุนซอฮุยจะพูดถึงเรื่องที่ซอลจีฮูอยู่ในสังกัดซินยองบนโลก แต่เพราะเธอไม่คิดว่ายุนซอฮุยจะพูดถึงยุนซอราทำให้เธอไม่มั่นใจว่าจะพูดอะไรต่อดี

“อ่า แต่ว่าฉันไม่เห็นผู้จัดการยุนเลยนี่นา”

“เธอกำลังจะมากับฉัน แต่ก็มีเรื่องเกิดขึ้นก่อน คุณน่าจะได้เห็นว่าเธอเสียใจขนาดไหนกัน แม้แต่ฉันก็เริ่มรู้สึกแย่เลยล่ะ”

ยุนซอฮุยได้ใช้ข้ออ้างอันน่าเชื่อถือก่อนจะขออนุญาตตรงๆ

“ฉันเข้าไปได้ไหม?”

“ได้สิค่ะ”

ในตอนนี้เองซอลจีฮูก็แทรกเข้ามา

“ขอบคุณที่มานะครับ เชิญได้เลย”

“ขอบคุณมาก!”

ยุนซอฮุยได้ทักทายอย่างอ่อนหวานด้วยรอยยิ้มอันงดงาม จากนั้นเธอก็รีบเข้าไปข้างใน

ซอลจีฮูได้หลุดอุทานออกมา เธอได้ปล่อยให้ยุนซอฮุยยืนนานเกินไปแล้ว

ซินยองคือองค์กรอันดับหนึ่งในพาราไดซ์ที่ถูกยอมรับโดยสาธารณะชน หากว่าพวกเขาไม่ได้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไล่เธอออกไปทั้งๆที่เธอเดินทางมาไกลถึงที่นี่

แน่นอนว่าเธอก็สามารถจะถามเหตุผลจากยุนซอฮุยได้เช่นกัน แต่ว่ายุนซอฮุยก็มีคำอธิบายที่ดี ความสัมพันธ์ในอดีตก็ยังเป็นความสัมพันธ์อยูู่ดี

หากว่าไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ทำให้วัลฮาลากับซินยองขัดแย้งกันจริงๆ การจะรักษาความสัมพันธ์อันดีไว้จาก ‘ภายนอก’ มันก็ไม่ได้มีข้อเสียอะไร

ในปัจจุบันทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ใช่ทั้งมิตรหรือศัตรู นั่นก็เพราะว่าตัวแทนของวัลฮาลาคือซอลจีฮู ไม่ใช่คิมฮันนาห์

คิมฮันนาห์ก็ยอมรับ ในคราวนี้ซอลจีฮูตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว

คิมฮันนาห์ได้ฝากให้มาแชล จิโอเนียต้อนรับแขกที่ชั้นหนึ่งต่อ และตามซอลจีฮูกับยุนซอฮุยขึ้นไปที่ชั้นบน เมื่อทุกๆคนในงานได้เห็นแขกคนใหม่ก็ทำให้ทั้งโรงอาหารเงียบลงไปในทันที

มันไม่ใช่แค่โรงอาหารเท่านั้น ทั่วทั้งชั้นสิบได้เงียบกริบ สายตาของทุกๆคนได้จับจ้องมาที่ยุนซอฮุย แต่ว่าเธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่นิด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอมีความสุขกับการถูกบอก

“ฉันขอกล่าวทักทายได้ไหมคะ?”

หลังจากขออนุญาตกับซอลจีฮูแล้ว ยุนซอฮุยก็เดินตรงไปข้างหน้าระหว่างโต๊ะโรงอาหารอย่างสง่างาม ไม่นานนักเธอก็ได้ไปหยุดอยู่ตรงหน้าที่มีชายชรานั่งอยู่ ก่อนจะก้มหัวคำนับด้วยความเคารพ

เมื่อเธอโน้มตัวลง เส้นผมผิวไสวของเธอก็ไหลลงมาจากรอบคอทำให้เธอดูเหมือนหญิงงามที่ออกมาจากภาพวาด

“สวัสดีค่ะ เป็นเกียรติมากที่ได้พบคุณ”

จางมัลดงได้กระพริบตานิ่งๆออกมาอยู่หลายครั้ง ยุนซอฮุยได้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาแนะนำตัวเอง

“ดิฉันคือยุนซอฮุยจากซินยองค่ะ”

เมื่อเธอเผยตัวตนออกมา คาซุกิที่นั่งออยู่บนโต๊ะเงียบๆก็ขมวดคิ้วออกมาราวกับสงสัยในสิ่งที่ได้ยิน

ปาร์คดงชุนที่กำลังทำความรู้จักกับฮ่าวอวิ่นอยู่ก็ยังหันมามองด้วยความตกตะลึง

นี่เป็นเรื่องธรรมดา ยุนซอฮุยเป็นผู้ถูกเลือกเป็นตัวแทนของซินยองคนถัดไป การที่คนในตำแหน่งแบบนี้ได้มาพิธีเปิดตัวของวัลฮาลาต้องไม่ใช่เรื่องเล่นๆอย่างแน่นอน

“อ่า งั้นนี่ก็คือตัวแทนในอนาคตของซินยองสินะ”

จางมัลดงได้ตอบกลับมาอย่างสงบ

“ถึงมันจะนานมาแล้ว แต่ฉันก็จำได้ว่าเคยได้ยินชื่อคุณจากยุนซอจินอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีนะ”

“เป็นเกียรติที่คุณยังจำฉันได้ค่ะ ฉันเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับอาจารย์จางจากประธานของเรามาเยอะเลยค่ะ”

“ยุนซอจินพูดถึงฉันด้วยหรอ?”

“คุณพ่อไม่ได้เข้ามาที่นี่หลายปีแล้ว แต่ว่าช่วงนี้ท่านก็มักจะรำลึกถึงอดีตอยู่บ่อย”

น้ำเสียงของเธอแตกต่างไปจากตอนที่อยู่ชั้นที่หนึ่งอย่างสิ้นเชิง มันเป็นเสียงของหัวหน้า แต่ว่าก็ไม่ได้มีความยิ่งยโส และสุภาพแต่ก็ไม่อ่อนข้อ

ซอลจีฮูรู้สึกชื่นชมในความสามารถของการควบคุมอารมณ์ในคำพูดของเธอมากจริงๆ

“นี่มันยิ่งยากจะเชื่อนะ ตาเฒ่านั่นเกลียดการรำลึกถึงอดีต”

“คนเราเมื่อแก่ตัวไปก็เปลี่ยนแปลงกันได้ค่ะ แม้ว่าท่านจะยังสุภาพดีมากก็ตาม”

จางมัลดงได้พยักหน้าออกมา

“อืมม ยังไงก็ขอบคุณที่มานะ ในเมื่อคุณมาแล้วก็เชิญตามสบายนะ”

“ขอบคุณค่ะ ฉันรู้สึกยินดีมากที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณ”

“ฝากทักทายประธานยุนแทนฉันด้วยนะ”

“ได้เลยค่ะ คุณพ่อจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ”

ยุนซอฮุยได้ตอบกลับอย่างสุภาพก่อนจะก้าวถอยออกมา และหันหน้าไป

จากนั้นซอลจีฮูก็ได้พาเธอไปที่ที่นั่ง ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะพูดอะไร ยุนซอฮุยก็เป็นคนแรกที่ทำลายความอึดอัดออกมา

“ฉันมั่นใจว่าคุณคงเบื่อที่จะฟังแล้ว แต่ว่าฉันขอพูดอีกครั้งแล้วกัน ขอแสดงความยินดีด้วยที่ได้ก่อตั้งองค์กรอย่างเป็นทางการ”

“ขอบคุณครับ”

“ในตอนแรกที่ได้ยินข่าวฉันตกใจมาก คุณสามารถจะเปลี่ยนทีมให้กลายมาเป็นองค์กรในเวลาอันสั้นได้ยังไงกัน? ฉันรู้นะว่ามันหยาบคาย แต่ฉันอยากรู้มากจริงๆ”

“ก็นะ พวกเราได้เจอความลำบากมากมายตั้งแต่เริ่มเลย ผมคิดว่าความทุ่มเทของสมาชิกในทีมทุกๆคนทำให้มันเป็นไปได้ โดยเฉพาะคิมฮันนาห์เป็นส่วนสำคัญที่ขาดไปไมได้เลย”

ซอลจีฮูได้ตอบอย่างถ่อมตัว

“ฉันเข้าใจแล้ว ผู้จัดการคิมเป็นคนมีความสามารถ… อ่า ต้องขออภัย คุณคิมฮันนาห์น่ะ ฉันชินกับการเรียกเธอแบบนี้มานานหลายปี คุณก็น่าจะรู้ว่าการแก้นิสัยติดตัวมันยาก”

เธอได้ยกมือขึ้นปิดปากระหว่างพูด และจากนั้นก็ทำสีหน้าลำบากใจออกมา หากเป็นคนอื่นทำคงดูไม่เป็นธรรมชาติและหลอกลวง แต่ว่ากับยุนซอฮุยแล้วกลับดูสง่างามแปลกๆ

“ฉันได้ยินมาว่าองค์กรของคุณชื่อวัลฮาลา”

“ครับ”

“วัลฮาลาสินะ เป็นชื่อที่เพราะมาก มันมีความหมายยังไงงั้นหรอ?”

ยุนซอฮุยได้ถามออกมาพร้อมเหลือบมามองซอลจีฮูที่อยู่ด้านข้าง นี่เป็นคำถามตามปกติที่ดูไม่แปลกเลย แต่จู่ๆ…

[ก้มหัวเล็กน้อย แล้วก็อย่าเกร็งดวงตาด้วย พยายามอย่าแสดงสีหน้าออกมาให้มากที่สุด]

[ใบหน้า สีหน้า การมอง ท่าทาง รูปลักษณ์ และแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ… มันมีคนที่สามารถจะใช้ข้อมูลเล็กน้อยเหล่านี้ไปคาดเดาพฤติกรรมของคนเราได้อยู่]

คำแนะนำของแอ็กเนสได้หวนเข้ามาในหัวของเขา เขาได้เงียบอยู่พักหนึ่งก่อนพูดออกมา

“มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรหรอกครับ จริงๆแล้วผมก็ถูกบังคับให้ต้องใช้ชื่อนี้”

“คุณถูกบังคับ?”

“ผมอยากจะใช้อีกชื่อหนึ่ง แต่ว่าคนอื่นเอาแต่ปฏิเสธอย่างหนักเลย”

ซอลจีฮูได้เม้มปากพร้อมทั้งแสดงสีหน้าโศกเศร้า

“ผมทำอะไรไม่ได้ แค่คิดก็ทำให้ผมเศร้าแล้ว”

“คุณคงจะเศร้ามากเลยสินะ แล้วชื่อที่คุณอยากจะใช้คืออะไรหรอ?”

ซอยูฮุยได้ปลอบเขาอย่างสุภาพก่อนจะถามออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย

ซอลจีฮูได้หยักไหล่พูดออกมา

“เวนิ เวดิ เวซิ”

“…อะไรนะคะ?”

หน้าผากของยุนซอฮุยได้ย่นออกมาเป็นครั้งแรก

“ข้ามา ข้าเห็น ข้าพิชิต นี่เป็นคำพูดของจูเรียส ซีซ่า”

“ฉันรู้ค่ะ แต่ว่า… คุณอยากจะใช้ชื่อนี้เป็นชื่อขององค์กรหรอคะ?”

“ใช่แล้ว ผมคิดว่ามันเป็นชื่อที่มีความหมายดีมากแท้ๆ แต่ทุกๆคนเอาแต่หัวเราะก่อนที่จะได้ฟังความหมายซะอีก”

“อ่า”

“มันก็ไม่ได้แย่เลยใช่ไหมครับ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกๆคนถึงคิดว่ามันตลก”

ซอลจีฮูได้พูดออกมาเพื่อหาคนสนับสนุน

“…”

ในตอนแรกยุนซอฮุยคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่ว่ามันไม่ใช่ เธอก็อยากจะหัวเราะออกมาอย่างมีมารยาท แต่ยังไงก็ตาม…

“คุณคิดยังไงกับ?”

สีหน้าของซอลจีฮูเคร่งขรึมเอามากๆ ยุนซอฮุยได้แต่กระพริบตาออกมา

‘เอ๋?’ เธอดูจะลำบากใจกับอะไรสักอย่างอยู่นะ

“ค่ะ อืมม…”

เธออยากจะปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเขาพูดเรื่องแบบนี้อย่างจริงจัง แต่ว่าตัดสินจากสีหน้าแล้วมันไม่ใช่เลย

ไม่ว่าเธอจะพยายามหาวิธีพูดให้ดียังไง เธอก็คิดได้แค่ว่า ‘ชื่อนั้นมันแปลกไปหน่อย…’ แต่เธอก็รู้สึกอย่างรุนแรงว่าหากพูดออกไปซอลจีฮูก็จะต้องรักษาระยะห่างไปจากเธอแน่

“ฉะ ฉันคิดว่ามันเป็นชื่อที่มีเอกลักษณ์มากๆเลย…”

เธอได้หัวเราะแหะๆออกมา และฝืนตอบกลับไป

“ใช่ไหมล่ะ? มันเยี่ยมไปเลยใช่ไหม?”

แต่ว่าซอลจีฮูก็ได้ถามออกมาอีกครั้ง เขาดูจะยืนกรานอยากได้ยินคำตอบชั้นๆ ยุนซอฮุยได้หลบสายตาออกไปโดยไม่รู้ตัว

‘ฉะ ฉันควรจะตอบกลับไปยังไงดีล่ะ?’

นี่มันเป็นครั้งที่สองในชีวิตเธอที่ได้ยินคำถามที่คลุมเครือแบบนี้ ครั้งแรกมันก็คือในตอนที่เธอได้เจอกับผู้บริหารของสถาบันวิจัยเฮซอล

“กึก”

ทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะเบาๆได้ดังออกมา

มีใครมาช่วยฉันงั้นหรอ? เมื่อหันไปมองด้วยสีหน้าสดใส ใบหน้าของเธอก็ต้องกระตุกอยู่เบาๆ

ซอยูฮุยกำลังเดินเข้ามาพร้อมจานกลมในมือแต่ละข้าง สีหน้าของยุนซอฮุยได้มืดลง

“…เฮ้” ยุนซอฮุยได้กล่าวทักทายเธอออกมาก่อน “ไม่เจอกันนานนะ”

“อืม สวัสดี” ซอยูฮุยได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ท่านั้น ซอยูฮุยได้วางจานลง จากนั้นก็หายเข้าไปในห้องครัวโดยไม่พูดอะไรอีก

ในเวลาสั้นๆซอลจีฮูสัมผัสได้ถึงสายลมอันเย็นชาระหว่างทั้งสองคน

‘พวกเธอรู้จักกัน?’

ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วพวกเธอก็คงไม่กล่าวทักทายกันอย่างเป็นกันเองแน่ แน่นอนว่าซอยูฮุยอาจจะอยากปล่อยให้ตัวแทนทั้งสองคนคุยกัน แต่การกระทำของเธอมันก็แปลกจริงๆ

ในตลอดเวลาระหว่างวางจานลงไป ซอยูฮุยไม่ได้มองมาที่ยุนซอฮุยเลยสักนิด ตอนที่ตอบคำทักทายก็เช่นเดียวกัน พวกเธอให้ความรู้สึกเหมือนสนิทกันมาก่อน แต่ก็ต้องหยุดเจอหน้ากันหลังจากทะเลาะกันครั้งใหญ่

ยังไงก็ตามยุนซอฮุยดูจะไม่ได้คิดอะไรมาก เธอได้หยิบผลไม้ที่ถูกหั่นไว้บนจาน พร้อมพูดคุยต่ออย่างไม่ใส่ใจ

ซอลจีฮูได้ตอบกลับไปอย่างใจลอยพร้อมทั้งพยายามชักจูงบทสนทนา นตอนนี้เขาให้ยุนซอฮุยเข้ามาแล้ว เขาต้องพยายามเต็มที่ให้รู้เหตุผลที่เธอมาให้ได้

แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะเป็นฝ่ายฟังอยู่ข้างเดียวตลอดได้ เขาได้ถามถึงสิ่งที่เขาสนใจ หรือก็คือพยายามถามอะไรสักอย่างออกไป

“โอ้ จริงสิ! จู่ๆฉันก็นึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ในอีวา!”

แต่ทุกๆครั้งยุนซอฮุยก็จะเปลี่ยนเรื่องไปในทันที

“อ่า ครับ”

“สิ่งที่คุณได้ทำลงไปมันน่าทึ่งมา”

ยุนซอฮุยได้ประสานมือเข้าด้วยกัน และพูดออกมา

“เหตุการณ์นั่นมันทำให้ฉันสนใจสุดๆไปเลย ฉันอาจจะมาช้าสักหน่อย แต่การมาพิธีเปิดตัวมือเปล่านี่มันทำให้รู้สึกไม่ดีเลย เพราะงั้นแล้ว…”

เธอได้มองไปที่พนักงานคนหนึ่งของเธอที่เดินขึ้นมาด้วยกัน และเขาก็ได้ส่งซองหนาออกมา

“นี่เป็นของขวัญ ฉันหวังว่าคุณจะชอบมันนะ”

ยุนซอฮุยได้ส่งซองเอกสารให้กับเราอย่างรวดเร็ว ซอลจีฮูที่รับซองเอกสารมาตามน้ำได้มองดูมัน

เมื่อเขามองลงไป ยุนซอฮุยก็ยิ้มออกมา และทำท่าให้เขาลองอ่านดู ซอลจีฮูได้เปิดซองเอกสารออกมาและต้องหรี่ตาลง หน้าแรกที่เขาได้อ่านคือ

-ประเด็นสำหรับเกี่ยวกับราชินีชาล็อค อาเรียกับจองซูแห่งอีวาเกลีน

‘ประเด็นสำคัญงั้นหรอ’

เอกสารค่อนข้างหน้าที่มีอยู่หลายสิบหน้าได้ถูกเขียนเอาไว้ว่าเป็นแค่สรุปประเด็นสำคัญ มันไม่ใช่จำนวนที่เขาจะอ่านได้ในตอนนี้เลย

งถึงจะเป็นการรวมประเด็นสำคัญในช่วงนี้ก็ไม่น่าจะทำให้เอกสารหนาขนาดนี้สิ…’

ซอลจีฮูอยากจะรู้ถึงข้อมูลที่อยู่ข้างใน แต่ว่าตอนนี้เขาก็ต้องเก็บซองเอกสารเอาไว้ก่อน

“ขอบคุณสำหรับของขวัญนะครับ”

“ไม่มีปัญหาค่ะ”

ยุนซอฮุยได้ตอบกลับอย่างชัดเจน ซอลจีฮูได้จ้องเธออยู่นาน

“โอ้ จริงสิ”

เมื่อมองยุนซอฮุยที่ดูจะโล่งใจอะไรบางอย่างอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ถามออกมา

“แล้วเรื่องชื่อองค์กรที่ผมพูดถึงก่อนหน้านี้…”

ยุนซอฮุยได้เงียบลงไป มีระลอกคลื่นเล็กๆปรากฏขึ้นที่ดวงตานิ่งสงยเหมือนสายน้ำของเธอ ไม่นานนัก…

“…ต้องขออภัย”

เธอได้หัลบตาลงราวกับเวียนหัว และกดหน้าผากเอาไว้

“ฉันขอห้องพักเงียบๆสักหน่อยได้ไหมคะ? ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลย”

***

ยุนซอฮุยได้แยกตัวไปจริงๆโดยบอกไว้ว่าเธอมีอาการเมารถได้ง่าย และการนั่งรถม้าเป็นเวลานานทำให้เธอหมดแรก

ซอลจีฮูได้เสนอห้องให้เธอพักสักวัน และยุนซอฮุยก็ได้ยอมรับโดยแกล้งทำเป็นไม่เต็มใจ

แม้ว่ายุนซอฮุยจะไปที่ห้องแล้ว แต่ซอลจีฮูก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา จนกระทั่งถึงในที่สุดพิธีเปิดตัวใกล้จบลงทำให้เขสต้องเดินไปส่งทุกๆคนที่มางาน

หลังจากนั้นแล้วซอลจีฮูก็ได้ไปบริเวณห้องพักในทันที เขาได้เคาะประตูและเปิดเข้าไปเห็นคิมฮันนาห์กำลังยืนก้มมองโต๊ะอยู่ภายในห้อง

แน่นอนว่าบนโต๊ะเป็นของขวัญจากซินยอง

“จบงานแล้วล่ะ”

ซอลจีฮูได้พูดเป็นกันเองก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

“ทำไมคนๆนั้นถึงมาที่นี่ล่ะ?”

เขาได้ทิ้งตัวนั่งลงที่มุมเตียง และถามออกมา แม้ว่าเขาจะพูดว่า ‘คนๆนั้น’ แต่ทั้งเขากับคิมฮันนาห์ต่างก็รู้ว่านี่หมายถึงยุนซอฮุย

“เธอออกมาสูดอากาศทำตัวทรงอิทธิพลงั้นหรอ?”

“เธอไม่ได้เด็กน้อยแบบนั้น”

คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับมาโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากรายงาน

“แล้วหากว่าเธอตั้งใจแบบนั้น เธอก็คงพากองกำลังหลักของซินยองมาแล้ว”

“ถ้างั้นทำไม?”

คิมฮันนาห์ไม่ได้ตอบคำถามอยู่นาน หลังจากเงียบอยู่สักพักเสียงขยำกระดาษก็ดังออกมา

“…ฉันไม่รู้”

มือที่จับกระดาษอยู่ของคิมฮันนาห์ได้กำแน่นพร้อมๆกับมีเสียงกัดฟันดังออกมา

“ยุนซอฮุยมาที่วัลฮาลาในวันนี้เพื่ออะไร? แล้วทำไมกัน?”

เธอไม่อาจจะทำความเข้าใจได้เลย

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ”

เมื่อเห็นคิมฮันนาห์กำลังอารมณ์ไม่ดี ซอลจีฮูก็ได้พูดออกมาอย่างสงบ

“บางทีเธออาจจะมาโดยไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงอะไรก็ได้”

คิมฮันนาห์ได้เยาะเย้ยออกมา

“นายดูไม่ไร้กังวลเลยนะ”

“ฉันก็แค่จะบอกเธอว่าอย่าคิดว่าทุกๆอย่างมันบิดเบี้ยวเลย ไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้บอกว่าเราไม่ควรทำแบบนั้นนะ แต่การแค่ยอมรับในผลลัพธ์ที่อยู่ตรงหน้ามันดีกว่าน่ะ”

คิมฮันนาห์ได้ละสายตามาจากรายงายด้วยการที่เห็นด้วยกับซอลจีฮูระดับหนึ่ง

“ยังไงก็ตามทำไมนายถึงทำแบบนั้นล่ะ?”

“หืมม?”

“อย่ามาทำเป็นเสแสร้ง ทำไมนายถึงถามเรื่องชื่อขององค์กรกับเธอขนาดนั้น?”

“อ่อ ฉันก็แค่สงสัยเท่านั้นเอง”

ซอลจีฮูได้ลูบคางตอบกลับมา

“ฉันจะถามเธอตรงๆว่าเธอมาที่นี่ทำไมก็ไม่ได้ เพราะงั้นฉันก็เลยถามออกไปโดยไมคิดมากความ และก็ได้ปฏิกิริยาที่คาดไม่ถึงออกมา”

“แค่เพราะปฏิกิริยาของเธองั้นหรอ?”

“อ่า ฉันก็รำคาญอยู่หน่อยเหมือนกัน”

“รำคาญ?”

“ฉันยอมให้เธอเข้ามาได้ แต่ว่าในตอนที่เราคุยกัน เธอก็จะเอาแต่ถามฉันราวกับว่าเธอมาที่นี่เพื่อแค่สนองต่อความสงสัยของเธอเท่านั้นเอง”

คิมฮันนาห์ได้พยักหน้าออกมา ในมุมมองของยุนซอฮุยแล้วการที่จู่ๆวัลฮาลาก็โผล่ออกมาเป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆ ไม่ว่ายังไงการจะสร้างองค์กรขึ้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่ว่าพวกเขาเลือกสร้างองค์กรในอีวา แทนที่จะเป็นฮารามาร์คห

“เธอให้ความรู้สึกเจ้ากี้เจ้าการอยู่หน่อยโดยที่พยายามจะให้ฉันตอบทุกๆคำถามของเธอเหมือนเป็นงานของฉัน ฉันได้เจอโอกาสดีในการถามกลับไป เพราะงั้นฉันก็เลยทำมัน… แล้วสีหน้าเธอเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

คิมฮันนาห์ได้มองมาที่ซอลจีฮูอย่างตกใจ

“นายนี่… ยอดเยี่ยมไปเลย นายรู้ดีกว่าที่ฉันคิดซะอีกนะ”

“ยังไงล่ะ?”

“ก็ที่บอกว่าเธอเจ้ากี้เจ้าการไง”

เพียงคำๆเดียวนี้ได้ครอบคลุมถึงตัวยุนซอฮุยอย่างชัดเจนในทุกๆด้าน คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมาราวกับในที่สุดเธอก็ใจเย็นลงแล้ว

“ชิ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันเห็นอะไรแบบนี้”

“แบบไหนล่ะ?”

“การได้เห็นนายหญิงหมายเลขหนึ่งคนนั้นถูกจัดการระหว่างพูดคุยไงล่ะ ตามปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรไม่ออกระหว่างการสนทนา”

ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา เขาได้ลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปที่โต๊ะ เขาคิดว่าการคุยกันเรื่องปัญหาที่พวกเขาหาคำตอบยังไม่ได้มันไม่มีความหมายอะไรเลย

“แล้วรายงานเป็นยังไงล่ะ?”

“เป็นข้อมูลที่น่าทึ่ง”

“ขอรายละเอียดหน่อย”

“เป็นบันทึกประจำวันของชาล็อต อาเรีย และรายละเอียดว่าจองซูมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไรโดยละเอียด รวมไปถึงเรื่องราวภูมิหลังของเธออีกด้วย มันเป็นข้อมูลที่มีคุณค่ามากจริงๆ”

อย่างที่คิดเลย นี่เป็นของขวัญที่เกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก

ข้อมูลคือสิ่งสำคัญ มีคำกล่าวที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งอยู่

“ใช้งานได้ไหม?”

“ไม่ใช่แค่ใช้งานได้หรอกนะ”

สถานการณ์ในตอนนี้กำลังนิ่งอยู่ แม้ว่าวัลฮาลาจะอยู่ที่จุดยอดแห่งชัยชนะแล้ว แต่จองซูก็ยังจับปราการสุดท้ายที่มีชื่อว่าราชินีอีวาเอาไว้อยู่

และในสถานการณ์แบบนี้ซินยองก็ได้มอบของขวัญให้กับวัลฮาลา เป็นถุงสารพัดประโยชน์ที่สามารถจะกลายมาเป็นอาวุธทำลายทรงพลังตามการใช้งาน

“มีหลายวิธีเลยล่ะ”

“?”

“วิธีในการทำลายความสัมพันธ์ของพวกเธอ”

คิมฮันนาห์ได้กอดอกด้วยสีหน้าลำบากใจ

“มีหลายวิธีมากจนฉันคิดไม่ออกเลยว่าจะเลือกวิธีไหนก่อน”

The Second Coming of Gluttony

The Second Coming of Gluttony

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 200 เข้าอ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


เขาเป็นผีพนัน ขี้แพ้ มนุษย์ที่น่าขยะแขยง แต่ว่าความฝันก็ได้ปลุกตัวเขาที่ไร้สติอยู่จนตื่นขึ้น

เขาจะใช้ความสามารถพิเศษที่เขามี และใช้ความฝันเพื่อบุกเบิกเส้นทางของตนในโลกที่มีเป็นที่รู้จักกันในชื่อลอส พาราไดท์

“บุตรแห่งเทพกู่ลาได้หวนคืนมาแล้ว”

ฉันได้ติดอยู่ในโลกแห่งการพนัน ฉันได้หันหลังให้กับครอบครัวและกระทั่งทรยศต่อคนรัก

ฉันได้ใช้ชีวิตไปอย่างไร้ค่า ฉันมันเป็นเศษสวะ ความเป็นจริงได้บอกกับฉันเช่นนี้

ไม่ว่าฉันจะมีเงินแค่ไหนฉันก็สูญเสียมันไปจนหมด

เพื่อที่จะเปลื่ยนชีวิตที่น่าสมเพชนี้ ฉันได้เลือกที่จะไปสู่จินตนาการแทน แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังเป็นเช่นเดิม

ฉันสงสัยว่าฉันจะรอดไปถึงปลายทางของถนนที่ยาวไหลนี้ได้ไหม

แต่แล้วฉันก็ต้องถูกบังคับให้ต้องคุกเข่าต่อหน้าองค์กรที่ทรงพลัง

สิ่งที่ฉันได้บากบั่นสร้างขึ้นมาด้วยมือตัวเองได้พังทลายลงอย่างไร้ค่า

อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ฉันอยากที่จะบอกให้ตัวฉันเองรู้ถึงความจริงเรื่องนี้

มานี่สิ บุตรข้า…

ในคราวนี้ฉันจะไม่ลีลาอีกต่อไปแล้ว

Options

not work with dark mode
Reset