Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 4

ตอนที่ 4
ศิษย์อาภรณ์ม่วง

“ท่านบรรพชนคีรีมาร กับท่านประมุขเหยากวงหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกถึงบรรพคีรีมารขึ้นมาในทันใด ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวเคยบอกตนมาก่อนแล้วว่าท่านบรรพชนของพวกเขากับบุคคลอื่นอีกท่านหนึ่งร่วมกันเปิดทางออกสู่ ‘โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา’ และตอนนี้ท่านบรรพชนเทียนอวี๋ก็พูดว่าเขารับคำเชิญของท่านบรรพชนคีรีมาร ท่านประมุขเหยากวง ไปเปิดสำนักที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา

“ดูท่าทาง ผู้ที่เปิดทางออกสู่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา จะเป็นท่านบรรพชนคีรีมารกับท่านประมุขเหยากวงเสียแล้ว ฟังขึ้นมาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างบรรพชนเทียนอวี๋ของจักรวาลเรากับท่านบรรพชนคีรีมารคงจะดีทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ

ถ้าหากความสัมพันธ์ย่ำแย่ก็คงไม่พูดถึงทั้งสองท่านนั้นในร่างเสมือนที่ทิ้งเอาไว้ให้ศิษย์รุ่นหลังแล้ว

บรรพชนเทียนอวี๋แม้จะหลังค่อมเล็กน้อย แต่สายตากลับอ่อนโยน และมีติ่งหูขนาดใหญ่มาก เขายิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อไปว่า “วังทวีสูญของข้าที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ก็เป็นขุมอำนาจระดับสุดยอดแห่งหนึ่ง ชื่อเสียงเลื่องลือ ในอนาคตถ้าหากเจ้าไปจากจักรวาล มุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราแล้วเผชิญกับภยันตรายระหว่างทาง ก็สามารถแสดงตัวตนของเจ้าได้ในยามอับจน ถึงอย่างไรคนที่รู้เรื่องรู้ราวสักหน่อยต่างก็รู้กันว่าวังทวีสูญของข้ารักพวกพ้องเป็นที่สุด หากกล้าย่ำยีวังทวีสูญของข้า นั่นก็คือการรนหาที่ตายแล้ว!”

“แน่นอนว่าวังทวีสูญของข้าก็มีศัตรู ดังนั้นในยามจำเป็นที่อับจนหนทางแล้วจึงค่อยเปิดเผยตัวตน อาจสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอย่างคล้อยตาม

เขาฟังออกว่าบรรพชนเทียนอวี๋ผู้นี้ดูเหมือนเป็นชายชราที่ดีคนหนึ่ง สามารถทิ้งวาจาในร่างเสมือนเอาไว้ให้ศิษย์รุ่นหลังได้ว่า ‘หากกล้าย่ำยีวังทวีสูญของข้า นั่นก็คือการรนหาที่ตาย’ เห็นได้ชัดว่าก็มิใช่ประเภทที่จะถูกรังแกได้ง่ายๆ

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงชอบใจยิ่งนักที่มีบรรพชนเช่นนี้!

อีกฝ่ายเป็นผู้ก่อตั้งจักรวาลผู้บำเพ็ญ ก็คือบรรพชนดั้งเดิมของสรรพชีวิตทั้งหลายในจักรวาลแห่งนี้

“เป็นศิษย์อาภรณ์ม่วงแห่งวังทวีสูญ เสื้อคลุมและป้ายคำสั่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนมีกันทุกคน ในขณะเดียวกันเจ้าสามารถเลือกศาสตร์ลับพื้นฐานระดับอลหม่านได้สามศาสตร์!” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นศาสตร์ลับพื้นฐาน ข้าคาดหวังยิ่งกว่าว่าชนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าเหล่านี้จะสามารถใช้ประโยชน์จากศาสตร์ลับเหล่านี้…จนในท้ายที่สุดก็สามารถรังสรรค์ศาสตร์ลับของพวกเจ้าเองได้!สิ่งที่ตนรังสรรค์ขึ้นมาเองจึงจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด”

“สำหรับอาวุธกับวัตถุภายนอกน่ะหรือ ก็ต้องอาศัยตัวเจ้าเองแล้ว สุดท้ายเจ้าก็ต้องเดินบนเส้นทางบำเพ็ญด้วยตัวเอง” บรรพชนเทียนอวี๋แย้มยิ้มเล็กน้อย หลังจากนั้นภาพร่างก็เลือนหายไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีว่านี่เป็นเพียงแค่ร่างเสมือนเท่านั้น

เหมือนกับผู้ท่องอากาศ ‘กู่ฉี’ ในตอนนั้น เพื่อการสืบทอด ก็ได้สร้างร่างแปรร่างหนึ่งเอาไว้

แต่ทว่าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นไม่เหมือนกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นการอาศัยคนในการตระหนักรู้ ไปบุกเบิกเส้นทาง แล้วเดินตามเส้นทางไปตลอด…

“เสื้อคลุมหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบเสื้อคลุมสีม่วงขึ้นมาก่อน คลื่นวิญญาณซึมซาบผ่านคราหนึ่งแล้วก็หลอมแปรอย่างง่ายดาย หลังจากหลอมแปรแล้วเขาก็พบว่าเสื้อคลุมสีม่วงรับรู้เจ้านายเองโดยธรรมชาติ นอกจากเขาผู้นี้ที่เป็นเจ้าของแล้ว ผู้อื่นก็มิอาจใช้ได้อีก เห็นได้ชัดว่าสถานะศิษย์อาภรณ์ม่วงแห่งวังทวีสูญนี้… มิใช่จะปลอมแปลงได้โดยง่าย

“เป็นเสื้อคลุมที่ทนทานดีเหลือเกิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง ด้วยหลังจากหลอมแปรแล้วอาภรณ์บนร่างของเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงในทันใด กลายเป็นอาภรณ์สีม่วงตลอดร่าง

“เสื้อคลุมนี่…ข้าใช้กำลังทั้งหมดก็ยังทำร้ายมันมิได้เลยแม้แต่น้อย” ปลายนิ้วมือของตงป๋อเสวี่ยอิงมีเกราะพลปรากฏขึ้น เขาทดลองทำลายบริเวณมุมเสื้อคลุมแต่ก็มิอาจทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย

ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบป้ายคำสั่งสีม่วงด้านข้างขึ้นมาทันทีแล้วรับสัมผัสเล็กน้อย

ปัง…

ข้อมูลจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่ห้วงสมอง

ความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวกับวังทวีสูญจำนวนมากมาย แม้กระทั่งข้อมูลที่ว่าเสื้อคลุมเป็นสิ่งที่บรรพชนเทียนอวี๋ปรับแต่งขึ้นมาด้วยตัวเอง มีความทนทานมิอาจทำลายได้ ก็ล้วนมีบันทึกเอาไว้ ในนั้นยังมีบันทึกของศาสตร์ลับระดับอลหม่านอีกด้วย

ที่วังทวีสูญ ศาสตร์ลับระดับอลหม่านนั้นจัดเป็นลำดับที่สอง! เช่นเดียวกับร่างแท้หมื่นมารของจอมมาร ยังห่างชั้นกับศาสตร์ลับระดับอลหม่านมากมายนัก ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการเลือกศาสตร์ลับพื้นฐานระดับอลหม่านสามศาสตร์นั้นเลิศล้ำค้ำฟ้าเพียงใด ถึงแม้ว่าจะยังมีศาสตร์ลับอันดับหนึ่งที่สูงส่งยิ่งกว่า… แต่ความเป็นจริงแล้วด้วยระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ สำหรับเขาแล้วอันดับหนึ่งและอันดับสองก็มิได้แตกต่างกันแต่อย่างใด เพราะเขาอ่อนแอเกินไป

“ศาสตร์ลับพื้นฐานระดับอลหม่านของวังทวีสูญมีด้วยกันทั้งสิ้นหนึ่งร้อยเก้าศาสตร์” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึงอยู่บ้าง ในป้ายคำสั่งมีคำอธิบายเบื้องต้นที่สุดเกี่ยวกับหนึ่งร้อยเก้าศาสตร์ลับนี้

ศาสตร์ลับพื้นฐานที่ไหนกัน

พื้นฐาน ก็คือแตกฉานเชี่ยวชาญในศาสตร์ลับวิถีหนึ่ง! ศาสตร์ลับศาสตร์หนึ่งจะเชี่ยวชาญเพียงวิถีเดียว

นั่นคือการผนวกรวมกันของวิถีสองสาย มีความซับซ้อนยิ่งกว่า เช่นเดียวกับปรัชญาคลื่นลมที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างขึ้นมาเอง  และกฎของวังทวีสูญ…ไม่ว่าจะเป็นศิษย์อาภรณ์ม่วง หรือจะเป็นศิษย์หัวแก้วหัวแหวนที่สุดอย่างศิษย์อาภรณ์ทอง ศิษย์อาภรณ์ทองคือผู้ที่ผ่านการทดสอบทั้งหมดของขั้นผู้ปกครอง ที่มีจำนวนน้อยยิ่งกว่าเทพอากาศเสียอีก!

ไม่ว่าจะเป็นศิษย์อาภรณ์ม่วงหรือศิษย์อาภรณ์ทอง ก็จะได้รับการถ่ายทอดเพียงศาสตร์ลับพื้นฐานเท่านั้น

เชี่ยวชาญศาสตร์ลับพื้นฐานเพียงวิถีเดียว บริสุทธิ์กว่า! ทั้งยังเหมาะสมที่จะนำมาใช้อ้างอิงมากกว่าด้วย

ถ้าหากรับการถ่ายทอดศาสตร์ลับที่ผสมกันหลายสายมากเกินไป…จะกลับกลายเป็นการรบกวนทิศทางการบำเพ็ญของศิษย์รุ่นหลัง หรือแม้กระทั่งทำลายอนาคต! เส้นทางการบำเพ็ญไม่ควรถูกรบกวน โดยเฉพาะระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ยิ่งต้องการให้ศิษย์รุ่นหลังเดินไปด้วยตัวเอง ถ่ายทอดศาสตร์ลับพื้นฐานที่ดีที่สุดของพวกเขา พวกเขาจะเดินไปถึงจุดนั้นได้ก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของพวกเขาเองแล้ว

“สามอย่างเท่านั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าน้อยเกินไป จึงอดที่จะบ่นพึมพำมิได้

วิถีที่ตนตระหนักรู้ก็มีสามอย่างแล้ว

“เอาเถอะ กฎที่บรรพชนเทียนอวี๋บัญญัติเอาไว้ย่อมมิอาจฝ่าฝืนได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ เขารู้ว่าความคิดของท่านบรรพชนก็คือไม่อยากให้ศิษย์รุ่นหลังกระจายพลังไปยังศาสตร์ลับมากเกินไป ดังนั้นจึงจำกัดให้เลือกได้เพียงสามศาสตร์

แต่สำหรับตนแล้วยังน้อยเกินไปหน่อยจริงๆ วิถีสามสาย ทุกวิถีก็มีศาสตร์ลับสามศาสตร์แล้ว ยังมีการบำเพ็ญที่สำคัญที่สุดอย่างศาสตร์ลับของร่างจริงจิตเทพที่จำเป็นต้องเลือกด้วย นี่ก็ปาเข้าไปสี่อย่างแล้ว

“ต้องละทิ้งไปหนึ่งอย่าง”

“อืม”

ความเร็วในการใช้ความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงรวดเร็วอย่างยิ่ง เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

“วิธีการของค่ายสังหารธรรมดาที่สุด ตอนข้าอยู่ที่บรรพคีรีมารก็เห็นมาไม่น้อย ก็ละทิ้งค่ายสังหารก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ที่เหลือก็คือศาสตร์ลับระดับอลหม่านสามศาสตร์ ตาข่ายสวรรค์ไร้เงา สามพันร่างแปร แล้วก็คัมภีร์รัศมีเทพ”

ตาข่ายสวรรค์ไร้เงา คือศาสตร์ลับในเขตแดนของ ‘วิถีระลอกคลื่น’ !

สามพันร่างแปร คือศาสตร์ลับของ ‘วิถีโลกเทียม’!

คัมภีร์รัศมีเทพ คือความเชี่ยวชาญของวิญญาณ

……

ด้านนอกกระท่อมฟาง ชายชราผมขาวรอคอยอยู่ที่นั่น

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่สวมอาภรณ์สีม่วงเดินออกมาจากกระท่อมฟาง เมื่อชายชราผมขาวมองเห็นก็เผยรอยยิ้ม “ยินดีด้วย ยินดีด้วย ที่ได้เป็นศิษย์อาภรณ์ม่วงของวังทวีสูญแล้ว”

“ยังต้องขอให้ผู้อาวุโสช่วยนำต้นฉบับศาสตร์ลับทั้งสาม ตาข่ายสวรรค์ไร้เงา สามพันร่างแปร และคัมภีร์รัศมีเทพมาให้ข้าด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“ได้สิ แต่ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าจะนำต้นฉบับศาสตร์ลับนี้ไปด้วยมิได้หรอกนะ เพราะต้นฉบับศาสตร์ลับระดับอลหม่านเหล่านี้… สถานที่แรกเริ่ม และทุกๆสำนักมีต้นฉบับเพียงฉบับเดียวเท่านั้น” ชายชราผมขาวพูด

“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ไม่นานนัก

ชายชราผมขาวนำตำราสามเล่มออกมาจากกระท่อมฟางคลังสมบัติที่อยู่ข้างๆ โดยตาข่ายสวรรค์ไร้เงามีตัวเล่มตำราโปร่งแสง ส่วนสามพันร่างแปรเป็นตำราที่มีตัวเล่มสีดำ และตัวตำราของคัมภีร์รัศมีเทพมีสีทอง ตำราทั้งสามต่างก็แผ่กลิ่นอายอันไร้รูปร่างออกมา ถึงอย่างไรสิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นศาสตร์ลับระดับอลหม่าน

……

พอรับเอาต้นฉบับศาสตร์ลับทั้งสามเล่มมาแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลับเข้าไปในกระท่อมฟาง แล้วนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะรองนั่งนั้น

กระท่อมฟางหลังนี้ก็คือสถานที่บำเพ็ญที่บรรพชนเทียนอวี๋ทิ้งเอาไว้ให้ศิษย์อาภรณ์ม่วงโดยเฉพาะ ห้วงเวลาของที่นี่เพิ่มความเร็วขึ้นถึงหมื่นเท่า แม้กระทั่งเบาะรองนั่งนั้นก็เป็นของล้ำค่า ผลของการนั่งบำเพ็ญบนนั้นดียิ่งกว่าชั้นนอกของบรรพคีรีมารเสียอีก

“ข้าจะบำเพ็ญอยู่ที่นี่แหละ”

“อืม ไม่ต้องเร่งศึกษาศาสตร์ลับหรอก จะบำเพ็ญศาสตร์ลับให้ถ่องแท้ก็ต้องใช้เวลา มาหลอมรวมการตระหนักรู้ในการบำเพ็ญในห้วงนิทราของข้าเข้าด้วยกันก่อนดีกว่า” จิตของตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนไหวการไหลของห้วงเวลาในกระท่อมฟางเปลี่ยนแปลงไปหมื่นเท่า ไม่จำเป็นต้องรับกฎเกณฑ์ฟ้าดินของโลกภายนอกเลย

ปัง..

ในห้วงความคิด เขาหลอมรวมวิถีเข่นฆ่า วิถีระลอกคลื่น วิถีโลกเทียม อีกทั้งปรัชญาคลื่นลมเข้าด้วยกัน ส่วนบริเวณค่ายสังหารที่มิได้รับรู้ด้วยกันก็เริ่มแตกสลายไป

สิ่งที่ท่านชายสามมอบให้

 

ณ สถานที่ใต้ดินอันลึกลับ ท่านชายสาม ‘เจียวอวิ๋นหลิว’ กำลังมองพืชสีดำต้นหนึ่งตรงหน้า บนพืชสีดำนี้มีผลงอกขึ้นมาทั้งหมดสามผล ผลทั้งหมดเป็นสีเขียวเข้ม

“รีบสุกเสียทีเถิด ข้ารอมานานเกินไปแล้ว”

รูปโฉมของเจียวอวิ๋นหลิวค่อนข้างคมคาย เขามีเกล็ดสีแดงชาดปกคลุมทั่วร่าง ตรงหว่างคิ้วยังมีแผ่นเกล็ดสีแดงเข้มอยู่แผ่นหนึ่ง ใบหน้าขาวผ่อง กลิ่นอายทั้งร่างนุ่มนวลและเก็บงำเอาไว้ภายใน

ยามนี้สายตาของเขาจดจ้องพืชสีดำ ลึกลงไปในดวงตามีแววปรารถนาแฝงอยู่

“ท่านชาย ผลนี้ยังห่างไกลจากคำว่าสุกอีกมาก ที่นี่มีพวกเราสามคนรับผิดชอบดูแลอยู่ ท่านชายโปรดวางใจเถิดขอรับ” บุรุษผิวดำที่มีตาเป็นขีดพูดยิ้มๆ เขาก็เป็นชนต่างเผ่าที่มาจากจักรวาลอื่นเช่นกัน ทว่ากลับเป็นดั่งดวงใจของท่านชายสาม ด้านข้างยังมียอดฝีมืออีกสองคน

“ท่านชาย ซานตานบอกว่าผู้เคารพต่างเผ่าคนหนึ่งนามตงป๋อเสวี่ยอิงจวนจะมาถึงแล้วขอรับ” องครักษ์คนหนึ่งด้านหลังของเจียวอวิ๋นหลิวกล่าว

“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ”

เจียวอวิ๋นหลิวพยักหน้าแล้วนำองครักษ์จากไป แม้จะอยู่ใต้ดิน แต่รอบด้านก็มีค่ายกลอันเก่าแก่อยู่มากมาย มีการเตรียมการเอาไว้พร้อมสรรพนัก สายตาของเจียวอวิ๋นหลิวมองผ่านค่ายกลเหล่านี้แล้วก็ลอบพยักหน้า แม้เขาจะรู้ว่าอีกนานกว่าผลไม้จะสุก แต่เขาก็อดมาดูมันเป็นประจำมิได้ เพราะเขากลัว…กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ต้องเห็นกับตาว่าผลยังคงเติบโตอยู่ เขาจึงจะวางใจ

แม้เขาจะอาศัยอยู่ที่ผิวดิน และเขาก็เป็นผู้ควบคุมค่ายกลเองด้วย แต่ก็ยังคงมาตรวจดูครั้งแล้วครั้งเล่า

“รอผลไม้สุก พลังของข้าก็จะสามารถก้าวหน้าได้เป็นอย่างมาก ถึงขั้นอาจจะสายเลือดตื่นรู้จนก้าวเข้าสู่ระดับผู้ปกครองได้ และสามารถตั้งตัวเป็นอ๋องได้” นัยน์ตาของเจียวอวิ๋นหลิวฉายประกายคมกริบสายหนึ่ง จากนั้นก็เก็บซ่อนลงไป

……

เจียวอวิ๋นหลิวพาองครักษ์มาถึงผืนดินอย่างรวดเร็วนัก และภายใต้การนำทางของร่างแยกอีกร่างของซานตาน พวกเขาก็เข้ามาต้อนรับด้วยตนเอง

“ท่านผู้นี้คือน้องตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ” เจียวอวิ๋นหลิวพูดยิ้มๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะมาถึงจักรวาลแห่งนี้ ก็พบว่าท่านชายสามนำองครักษ์กลุ่มหนึ่งมาต้อนรับด้วยตนเอง ร่างจริงของซานตานที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยเตือน “ท่านนี้คือท่านชายสาม”

“คารวะท่านชายสาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงคารวะเล็กน้อย

“ข้าประกาศหาองครักษ์มาตลอด น้องตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถมาได้ ข้าก็ดีใจมาก ทว่าข้าก็อยากจะเห็นพลังขององครักษ์ตงป๋อด้วย เป็นอย่างไรบ้าง” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวกล่าว เพราะถึงอย่างไรต่อให้เป็นผู้เคารพ พลังก็มีทั้งแข็งแรงและอ่อนแอ อย่างน้อยเขาก็ต้องพอเข้าใจองครักษ์ข้างกายเขาบ้างคร่าวๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ได้ตลอดเวลาเลยขอรับ”

“องครักษ์ฉง เจ้ามาลองประมือกับองครักษ์ตงป๋อดูหน่อยเถอะ” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวเอ่ย

“ขอรับ”

บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ผิวดำคล้ำคนหนึ่งเดินออกมาจากท่ามกลางกลุ่มองครักษ์ ทั้งร่างของเขาหล่อหลอมขึ้นมาจากโลหะ มิได้เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเลือดเนื้อ

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่าคนตรงหน้าผู้นี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าเช่นเดียวกัน เพราะถึงอย่างไรจักรวาลนี้ก็เป็นระบบการบำเพ็ญสายเลือด จึงย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดมีเนื้อทั้งสิ้น! จากที่ตนได้ฟังซานตานพูดก่อนหน้านี้ ในหมู่องครักษ์ของท่านชายสาม องครักษ์ของจักรวาลตนมีสิบห้าคน  มีชนต่างเผ่าอยู่ห้าคน หากตนเข้าร่วมด้วย ก็จะเป็นคนที่หก!

“พวกเราไปประมือกันกลางอากาศเถิด” เสียงขององครักษ์ฉงทุ้มต่ำ เมื่อก้าวออกไปคราหนึ่งก็ไปถึงกลางอากาศแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตามไปกลางอากาศ

ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันอยู่ห่างๆ

“เริ่มเถิด” ท่านชายสามที่อยู่ด้านล่างและองครักษ์กลุ่มหนึ่งพากันเงยหน้ามอง ด้วยสายตาของพวกเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

“แฮ่…”

องครักษ์ฉงพลันร้องคำรามขึ้นมา

รังสีสีขาวสายหนึ่งถูกพ่นออกมาจากปาก และมาถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงแทบจะในพริบตาเดียว เหล่าองครักษ์ที่ชมการต่อสู้อยู่เบื้องล่างพากันมองดูอยู่เงียบๆ พวกเขาต่างก็เข้าใจดีมากว่า นี่คือหนึ่งในท่าไม้ตายของระบบการบำเพ็ญของจักรวาลขององครักษ์ฉง คลื่นแสงนั้นบ่มเพาะอยู่ภายในกาย อานุภาพแข็งแกร่งยิ่งนัก พวกเขาส่วนใหญ่ก็มิกล้าขัดขวาง พวกเขารู้สึกว่าลำพังแค่กระบวนท่านี้ คาดว่าคนที่ชื่อ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ผู้นั้นก็คงจะต้องเสียแรงไปไม่น้อย ถึงขั้นพ่ายแพ้ก็เป็นไปได้

ฟิ้ว

คลื่นแสงทะลุผ่านร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วสลายหายไปกลางท้องฟ้าห่างออกไป

ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!

“เอ๊ะ” กลุ่มองครักษ์ที่อยู่ไกลออกไปพากันตกตะลึง ท่านชายสามที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างนัยน์ตาเป็นประกาย องครักษ์คนอื่นๆ ก็ตื่นตะลึงเหลือแสน เขาต้านรับซึ่งหน้าแต่กลับมิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ราวกับร่างกายเป็นความว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น

“ตาข้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม เขาสำแดงวิธีการของฟ้าดินโลกเทียมออกมา ดูเหมือนเขาจะยังยืนอยู่ตรงนี้ แต่อันที่จริงกลับเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมแล้ว แม้การโจมตีของฝ่ายตรงข้ามจะส่งผลกระทบเข้ามาภายในฟ้าดินโลกเทียมบ้างเล็กน้อย แต่อานุภาพน้อยนิดเท่านี้ ร่างกายของตนก็สามารถต้านเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องขยับเขยื้อนเลยแม้แต่ก้าวเดียว

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่ง ในมือกลับมีลูกดอกปรากฏขึ้น

ลูกดอกก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ได้มาจากการรบชนะผู้รักษากฎลัทธิจอมมารดา ลูกดอกชุดนี้มีถึงสิบสองดอก พวกมันทำขึ้นมาจากกระดูกอันแปลกประหลาด แม้จะมิใช่อาวุธเทพแท้ แต่หากพูดถึงความแข็งแกร่งและความคมแล้ว ก็ไม่แพ้อาวุธเทพแท้เลย อันที่จริงอาวุธของลัทธิจอมมารดา ส่วนใหญ่ก็เป็นอาวุธยุคแรกเริ่มเช่นกระบอง มีด กระบี่ เป็นต้น แต่โดยทั่วไปล้วนสามารถตาต่อตาฟันต่อฟันกับอาวุธเทพแท้ได้

“ฟิ้ว”

ลูกดอกถูกขว้างออกไปแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

และไปถึงตรงหน้าศัตรูโดยผ่านฟ้าดินโลกเทียม

“เอ๊ะ ลูกดอกเล่า อยู่ที่ใดกัน” องครักษ์ฉงเบิกตาสีทองกว้างพลางมองไปรอบด้านด้วยความระมัดระวัง แต่จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ ลูกดอกกลับมาถึงตรงหน้าอกเขาแล้ว

“ตู้ม!”

ป้องกันไม่ทัน

กระบวนท่าซึ่งแฝงไว้ด้วยพละกำลังบางส่วนของร่างกายอันแข็งแกร่งของตงป๋อเสวี่ยอิงในทุกวันนี้ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยวิถีเข่นฆ่า…และมาถึงตรงหน้าศัตรูโดยผ่านฟ้าดินโลกเทียม ศัตรูจึงทำไม่ได้แม้แต่จะขัดขวางเสียด้วยซ้ำ

เสียงกัมปนาทดังขึ้น

แผ่นอกขององครักษ์ฉงถูกแทงทะลุจนเกิดเป็นหลุมใหญ่

องครักษ์ฉงก้มลงมองด้วยความตะลึงงัน แล้วเหลียวกลับมามอง ลูกดอกซึ่งโจมตีเขาในตอนแรกหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว

“ข้าแพ้แล้ว” องครักษ์ฉงพูดเสียงต่ำ เขาเข้าใจดีมากว่าหากเอาใหม่อีกครั้ง เขาก็ยังคงต้านทานลูกดอกนั่นไม่ได้อยู่ดี “พี่ตงป๋อช่างร้ายกาจโดยแท้ ข้าละอายใจที่สู้ไม่ได้!”

“ร่างกายขององครักษ์ฉงก็ไม่ธรรมดา กระบวนท่าเช่นนี้ของข้าเพียงแค่แทงเป็นรูเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เดิมทีเขาวางแผนจะโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างหนักหน่วง ทำให้อีกฝ่ายพอมีโอกาสรอดชีวิตก็เท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่าเพียงแค่แทงทะลุแผ่นอกของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างพอถูไถเท่านั้น อานุภาพของมีดบินก็แทบจะสิ้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าร่างกายของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งทนทานมาก

……

ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวกระตือรือร้นมาก “พลังขององครักษ์ตงป๋อไม่ธรรมดา ทว่าข้าเห็นว่าองครักษ์ตงป๋อไม่มีอาวุธดีๆ เลย แม้แต่อาวุธเทพแท้ก็ยังไม่มีสักชิ้น องครักษ์ตงป๋อเชี่ยวชาญการใช้ลูกดอกหรือ”

“หามิได้ขอรับ เป็นหอกยาวต่างหาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“หอกยาว…” เจียวอวิ๋นหลิวพยักหน้า “ที่ข้าพอดีมีหอกยาวอยู่เล่มหนึ่ง ซึ่งข้าขโมยมาจากคลังสมบัติของท่านพ่อ”

เขาพูดพลางโบกมือคราหนึ่ง

เบื้องหน้ามีอาภรณ์สีดำชุดหนึ่งและหอกยาวสีขาวเงินเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ด้านข้างยังมีเรือรบสีเทาอยู่ลำหนึ่งด้วย เรือรบมีลักษณะคล้ายลำที่ซานตานขับก่อนหน้านี้เป็นอันมาก

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง

“รับไว้เถอะ องครักษ์ทุกคนมีกันหมดนั่นแหละ” เจียวอวิ๋นหลิวกล่าว

ตงป๋อเสวี่ยอิงรับเอาไว้ทันที ขณะที่รับมาเขาก็รู้สึกได้ถึงประกายอันน่าหวาดหวั่นซึ่งแฝงเอาไว้ในหอกยาวสีขาวเงินเล่มนี้ หากพูดถึงแค่ประกายก็พอจะคล้ายที่อยู่บนหอกงูโลหิตอยู่บ้าง เพียงแต่วิธีการหลอมหอกยาวเล่มนี้แตกต่างจากอาวุธเทพแท้อื่นๆ เช่นหอกงูโลหิต วิถีที่แฝงไว้ภายในมิใช่วิถีนิรันดร์กาล และมิใช่วิถีขั้นบุกเบิก หากแต่เป็นค่ายกลโบาณอันซับซ้อนหลายชั้น

“เป็นอาวุธเทพแท้ที่หลอมขึ้นมาด้วยระบบอีกอย่างหนึ่งหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ เช่นอาวุธจำนวนมากที่ ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ ทิ้งเอาไว้ในสถานที่แรกเริ่ม บรรพชนเทียนอวี๋เป็นบรรพบุรุษของจักรวาลผู้บำเพ็ญของพวกเขา ซึ่งเป็นระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เช่นเดียวกัน อาวุธก็ย่อมเป็นระบบจำพวกเดียวกันเป็นธรรมดา

โดยทั่วไประบบการบำเพ็ญที่แตกต่างกัน แม้แต่วิธีการหลอมอาวุธก็จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่อานุภาพก็ไม่แน่ว่าจะอ่อนแอเสมอไป

เช่นน้ำเต้าสีดำของตนก็อาศัยค่ายกลอันว่างเปล่าที่น่าหวาดหวั่นนั้น ก็สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตระดับ ‘ดวงอาทิตย์’ ได้อย่างง่ายดาย อาวุธเทพแท้นั้นห่างชั้นอย่างลิบลับ

“ฟังจากที่ซานตานพูด เจ้าอยากได้เคล็ดวิชาของระบบการบำเพ็ญอื่นหรือ” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวพูดยิ้มๆ

“อยากรู้นัก ดูสิว่าจะมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญของข้าหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เป็นเรื่องธรรมดานัก แต่ละระบบการบำเพ็ญล้วนมีลักษณะพิเศษของตนเองทั้งนั้น” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีผลึกรูปร่างเป็นก้อนๆ ปรากฏขึ้น “ข้างในนี้มีเคล็ดวิชาจำนวนมากของระบบการบำเพ็ญของสิบแปดจักรวาลบรรจุอยู่ บางระบบค่อนข้างคล้ายคลึงกัน บ้างก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”

พูดพลางส่งผลึกในมือให้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงไป

ระบบการบำเพ็ญของสิบแปดจักรวาลหรือ

ใช่แล้ว

แม้จักรวาลห่งนี้จะพิชิตจักรวาลไปแปดแห่งแล้ว แต่ก็ยังมีทางเชื่อมจักรวาลขนาดเล็กและทางเชื่อมจักรวาลขนาดกลางที่เชื่อมจักรวาลอื่นเอาไว้ด้วย และก็มีโอกาสได้เคล็ดวิชาระบบการบำเพ็ญมา

“หากเจ้าต้องการสิ่งใด ก็มาหาข้าได้เต็มที่” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวพูดยิ้มๆ “สิ่งที่ข้าสามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้ ก็คือทรัพยากรภายนอกเหล่านี้นี่แหละ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบผลึกขึ้นมา แล้วสัมผัสกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ภายในซึ่งเป็นตัวแทนของอารยธรรมแห่งจักรวาลต่างๆ แล้วเขาก็ลอบรำพึง…

สิ่งที่ข้าต้องการให้พวกท่านช่วย ก็คือทรัพยากรภายนอกเหล่านี้นั่นแหละ!

“ขอบคุณท่านชายสาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์ดียิ่งนัก หากให้ตนเก็บรวบรวมเอง เกรงว่าเก็บรวบรวมนานกว่านี้ก็คงจะได้ไม่มากเท่าเคล็ดวิชาของระบบการบำเพ็ญที่ท่านชายแห่งตระกูลเทพอากาศมอบให้หรอกกระมัง

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset