Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 5

ตอนที่ 5
 ในที่สุดก็สำเร็จเป็นผู้ปกครอง

ก่อนจะบำเพ็ญในห้วงนิทรา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำให้วิถีทั้งสามสายเช่นวิถีโลกเทียมบรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุด แม้การบำเพ็ญในห้วงนิทราจะแตกต่างกันบ้างตามทิศทางที่เดินไป การรับรู้ของการบำเพ็ญก็แตกต่างกันออกไปบ้าง แต่ก็บรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุดเช่นเดียวกัน เมื่อบำเพ็ญในห้วงนิทรา…ก็ล่วงรู้ขั้นผู้ปกครองขึ้นมาบ้างแล้ว

เมื่อการรับรู้สองอย่างปะทะกัน ก็เป็นความรู้สึกอันพิสดารมากทีเดียว

……

เวลาล่วงเลยไป ภายในกระท่อมฟางผ่านไปถึงหนึ่งร้อยหกสิบปีแล้ว การบำเพ็ญของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงยุติลง เวลาของโลกภายนอกก็ผ่านไปนานเกือบหกวันแล้ว ซึ่งนี่นานกว่าเวลาวันสองวันตามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้บอกกับท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทว่าการต่อสู้ดำเนินมาจนถึงบัดนี้ เวลาเพียงไม่กี่วันนี้ก็ไม่นับเป็นอะไรได้ เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในช่วงเวลาคับขันของการคิดค้นปรัชญาคลื่นลมบทที่สี่ก็ไม่อยากหยุดลง การรับรู้จำนวนมากหลอมรวมเข้าไปอย่างไม่ขาดสาย ทำให้เขาดำดิ่งลงไปอย่างสิ้นเชิง เวลาจึงเนิ่นช้าออกไป

บนเกาะธุลีแดงในโลกภูผาศิลาแดง

“เอี๊ยด”

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างผลักประตูเปิดแล้วเดินออกมา ใบไม้บนต้นไม้รอบด้านเป็นสีแดงเรื่อ ใบไม้ร่วงจำนวนนับไม่ถ้วนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น

“ผู้ปกครองช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา

เมื่อเงยหน้ามองออกไปไกล

สายตาก็พลันมองทะลุทั้งโลกวัตถุ และมองเห็นโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบอันไกลโพ้น ทั้งยังมองเห็นว่า ที่ส่วนลึกของเกาะใจกลางทะเลสาบมีผู้ปกครองทั้งเก้านั่งขัดสมาธิอยู่ ได้แก่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอาภรณ์สีดำ ผางอี ผู้ครองชิง บรรพชนบรรพชนหุบเหวลึก ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ เจ้าแม่กานเหอ ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขตำหนักหมื่นเทพและประมุขหยวนชู ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากของฝ่ายจักรวาลผู้บำเพ็ญล้วนอพยพมายังเกาะใจกลางทะเลสาบชั่วคราว ผู้ปกครองอย่างพวกเขาเหล่านี้ล้วนทิ้งร่างแยกร่างหนึ่งเอาไว้ที่เกาะใจกลางทะเลสาบ

เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นผู้ปกครองทั้งเก้า ผู้ปกครองเก้าท่านก็รับสัมผัสได้ทันที แต่ละคนต่างก็มองมาด้วยความตกใจ

“ใครน่ะ”

“พวกลัทธิจอมมารดาโง่เง่านั่นไม่มีทางพบที่ซ่อนของพวกเราได้หรอกกระมัง”

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ประมุขเกาะกาลมิติ ผู้ครองชิงและผางอีต่างก็มองไปตามการสัมผัสรับรู้

ไม่นานนัก

ก็ประสานสายตาเข้ากับตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ในโลกวัตถุอันไกลโพ้น

“ศิษย์น้องตงป๋อหรือ” ผู้ครองชิงตกตะลึง

“ตงป๋อเสวี่ยอิงรึ” ประมุขเกาะกาลมิติไม่อยากจะเชื่อ “เขา เขาสำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้วหรือ”

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็เผยสีหน้ายินดีออกมา จากนั้นก็พูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “ทุกท่าน เสวี่ยอิงเข้าไปในจักรวาลคีรีมาร ความเร็วในการเคลื่อนของเวลาที่นั่นเร็วกว่าพวกเราสามพันกว่าเท่า ดังนั้นเสวี่ยอิงจึงบำเพ็ญที่นั่นมาเป็นเวลานานหลายร้อยล้านปีแล้ว! พลังของเขาในตอนแรกบรรลุถึงขีดจำกัดขั้นสุดแล้ว บัดนี้ก็ก้าวพ้นก้าวนั้นและสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้ก็เป็นเรื่องปกตินัก”

“ปกติหรือ” ผู้ครองชิงทอดถอนใจ “ข้าติดอยู่ในขั้นผู้เคารพมานานถึงเพียงนี้”

“ข้าบุกเบิกเส้นทางขึ้นมาใหม่และคิดค้นวิถีการบำเพ็ญขึ้นมาเองจึงได้บรรลุ” ผางอีก็ทอดถอนใจ “พรสวรรค์นี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงช่างเก่งกาจ จนสำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้ว”

จากขีดจำกัดผู้เคารพถึงขั้นผู้ปกครอง ดูเหมือนจะเป็นเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่กลับยากเป็นอย่างมาก

เช่นจักรพรรดิผลาญเอกา บัดนี้ก็ยังติดอยู่ที่นั่น!

“ฮ่าฮ่าฮ่า เสวี่ยอิงสามารถสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้ ความช่วยเหลือของเขาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยปากออกมาว่า “เสวี่ยอิง รีบมาเร็วเข้า”

“ขอรับ ท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ

“ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าบรรลุถึงขีดจำกัดขั้นบุกเบิกข้าก็ยังไม่แปลกใจนัก ทว่าสามารถสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้รวดเร็วถึงเพียงนี้…ข้าก็นับถือเจ้านัก นี่มันรวดเร็วเกินไปแล้วจริงๆ” ประมุขหยวนชูก็ถ่ายเสียงอุทาน

สีหน้าของประมุขเกาะกาลมิติแปลกพิกล

เดิมทีเขาก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงขัดหูขัดตาอยู่แล้ว บัดนี้เจ้าเด็กนี่กลับมานั่งเสมอข้าในครู่เดียว ล้อเล่นอันใดกัน

“เฮอะๆ คาดว่าผู้ปกครองใหม่ยังคงอ่อนต่อโลกนัก” บัดนี้ประมุขเกาะกาลมิติยังคงปลอบใจตนเอง

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าการที่ตนสำเร็จเป็นผู้ปกครองนำความตื่นตระหนกมาให้แก่พวกเขา ทว่าการสำเร็จเป็นผู้ปกครองนั้นยากมากอย่างแท้จริง อย่างน้อยระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็บรรลุได้ยากกว่า

“ข้าหลอมรวมการรับรู้เข้าไปก็เพียงแค่ทำให้วิถีโลกเทียมก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึงในใจ “บัดนี้ก็คิดค้นปรัชญาคลื่นลมบทที่สี่ขึ้นมาแล้ว เข้าใจวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นได้ลึกล้ำยิ่งขึ้น แต่จะบรรลุได้ก็ต้องใช้เวลาสั่งสมไปเรื่อยๆ เมื่อทุกอย่างพร้อมก็จะสำเร็จเอง”

“หากไร้ซึ่งการบำเพ็ญในห้วงนิทรา เกรงว่าข้าก็คงจะติดอยู่ที่ขีดจำกัดนานยิ่งกว่านี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจในข้อนี้ดี

“เสวี่ยอิง”

เสียงหนึ่งแพร่เข้ามาจากที่ไกลๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนหน้ามองไป อวี๋จิ้งชิวซึ่งอยู่ห่างออกไปกะพริบวาบคราหนึ่งก็มาถึงตรงหน้า

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ” เงาร่างสองสายเคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏขึ้นเสียงดังสวบ สวบ เป็นตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยานั่นเอง

“เสวี่ยอิง เหตุใดข้าจึงสามารถสัมผัสกลิ่นอายของท่านได้เล่า” อวี๋จิ้งชิวเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้ เท่าที่นางรู้ กลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงตรงหน้าผู้นี้ลึกล้ำเกินหยั่งมากกว่านี้

“ข้าเข้าไปในจักรวาลคีรีมารและพบโอกาสบางอย่างเข้า จึงบรรลุในรวดเดียว บัดนี้ประสบผลสำเร็จกลายเป็นผู้ปกครองแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาพากันตะลึงงัน

สำเร็จเป็นผู้ปกครองหรือ

พวกเขาล้วนภาคภูมิใจในตัวตงป๋อเสวี่ยอิง และยอมรับว่าเขายอดเยี่ยมไร้เทียมทาน แต่สำเร็จเป็นผู้ปกครอง ยืนอยู่ในจุดยอดสุดของทั้งจักรวาลเช่นนั้นหรือ อยู่ในระดับสูงทัดเทียมกับจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ประมุขเกาะกาลมิติ บรรพชนหุบเหวลึกและประมุขตำหนักหมื่นเทพน่ะหรือ เรื่องนี้ยังคงทำให้พวกอวี๋จิ้งชิวรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง

“การเคลื่อนของเวลาในจักรวาลคีรีมารเร็วกว่าของพวกเราที่นี่มาก ข้ามิได้บำเพ็ญมาสิบล้านปี หากแต่เป็นหกร้อยกว่าล้านปีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “รอจนสงครามยุติ ข้าก็จะส่งพวกเจ้าไปยังจักรวาลคีรีมาร ระบบการบำเพ็ญและทรัพยากรของพวกเขาล้วนมีมากกว่าของพวกเรามากมายนัก ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวก็เป็นสหายที่ดีของข้า ข้าเคยพูดกับเขาเรื่องนี้มานมนานแล้ว”

“ผู้ปกครองเชียวนะ” ตงป๋ออวี้มองไปทางตงป๋อชิงเหยาที่อยู่ด้านข้าง “ได้ยินแล้วหรือไม่ บิดาข้าเป็นผู้ปกครองแล้ว!”

“บิดาข้าก็เป็นผู้ปกครองเหมือนกัน!” ตงป๋อชิงเหยาจงใจเบ้ปาก

สองพี่น้องรู้สึกตื่นเต้นจนยากจะปกปิดเอาไว้ได้

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ยิ้มออกมา “ข้าจะหลุดพ้นเสียหน่อยก่อน”

“หลุดพ้นเสียหน่อยหรือ” อวี๋จิ้งชิวและลูกๆ ต่างก็สะดุ้ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปกลางฟากฟ้าด้านข้าง แล้วควบคุมอากาศผ่านกาลมิติ

วิ้งงงง…

อากาศที่อยู่ตรงหน้าพลันถูกลอกออกจากกัน ประหนึ่งผลส้มที่ถูกปอกเปลือก เผยให้เห็นเนื้อส้มที่อยู่ด้านใน เผยให้เห็นมิติในระดับที่ลึกขึ้น ที่นั่นมีสายน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลหาใดเปรียบซึ่งโลดแล่นอยู่ มันไร้ซึ่งต้นกำเนิด และไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด มันโลดแล่นไปทุกบริเวณทั่วทั้งจักรวาลแห่งนี้

กลางสายน้ำมีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ตั้งแต่มดปลวกไปจนถึงเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นล้วนจมจ่อมอยู่ในนั้น

“มหานทีแห่งกาลเวลาหรือ” ตงป๋ออวี้ ตงป๋อชิงเหยาและอวี๋จิ้งชิวต่างก็มองดู เมื่อพวกเขามองเห็นมหานทีสายนี้ จิตใจก็เกิดความรู้สึกซับซ้อนนัก เพราะเมื่อพวกเขาบำเพ็ญ ก็ล้วนตั้งตารอคอยว่าจะมีสักวันหนึ่งที่สามารถหลุดพ้นจากมหานทีแห่งนี้ไปได้

“นั่นมัน…”

พวกตงป๋ออวี้ทั้งสามคนทอดสายตามองออกไปไกลด้วยความตื่นตระหนก

ไกลออกไปในมหานทีแห่งกาลเวลามียักษ์ขนาดมหึมาหาใดเปรียบอยู่ตนหนึ่ง! ความสูงของยักษ์นั้นยากจะประมาณได้ เขาสูงใหญ่เกินไปจนตาเปล่ามิอาจมองเห็นได้ชัดเจน ขาทั้งสองของเขายังยืนอยู่ในมหานทีแห่งกาลเวลา ทว่าน้ำในมหานทีแห่งกาลเวลากลับสูงไม่ถึงหัวเข่าของเขาเสียด้วยซ้ำไป! ความกว้างของขาทั้งสองก็ครองความกว้างทั้งหมดของมหานทีแห่งกาลเวลาไปจนเต็มแล้ว

ยักษ์ตนนี้เพียงแค่ก้าวขาก็ไปถึงฝั่งข้างมหานทีแห่งกาลเวลาแล้ว

ออกจากสายน้ำแล้วขึ้นสู่ฝั่ง!

นี่มิใช่สายน้ำธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็นมหานทีแห่งกาลเวลา เมื่อเดินออกจากสายน้ำขึ้นสู่ฝั่ง ก็เท่ากับว่าเป็นคนอีกฝั่ง เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวก้าวออกไปก้าวหนึ่งก็ไปถึงฝั่งกลางอากาศนั้นแล้ว ทันใดนั้นยักษ์ซึ่งเดิมทีสูงตระหง่านหาใดเปรียบก็พลันหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ในยามนี้พวกตงป๋ออวี้และอวี๋จิ้งชิวจึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ยักษ์ซึ่งขาทั้งสองข้างแทบจะทำให้มหานทีแห่งกาลเวลาระเบิดอยู่รอมร่อนั้นก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง! เพราะถึงอย่างไรบัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เพียงวิถีโลกเทียมสำเร็จเป็นผู้ปกครองเท่านั้น ‘ผู้ท่องอากาศ’ ก็ยังสำเร็จเป็นผู้ปกครองอีกด้วย ร่างจริงและจิตเทพของเขาล้วนแข็งแกร่งยิ่งนัก แข็งแกร่งกว่าผู้ปกครองทั่วไปมากทีเดียว ดังนั้นรูปร่างของเขาที่อยู่ในมหานทีแห่งกาลเวลาจึงได้ใหญ่โตเกินจริงไปมากถึงเพียงนั้น

หลังจากยักษ์ร่างสูงตระหง่านนั้นหดเล็กลงแล้ว ก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาว

“หลุดพ้น ครบสมบูรณ์” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าวิญญาณของตนครบสมบูรณ์ขึ้นมากทีเดียว “ทว่าร่างจริงและร่างแยกรวมเป็นหนึ่งจึงครบสมบูรณ์ในท้ายที่สุด”

จะสำเร็จเป็นเทพอากาศนั้น

ร่างจริงและร่างแยกจะต้องรวมเป็นหนึ่ง ชีวิตครบสมบูรณ์อย่างแท้จริงจึงจะสามารถก้าวออกมาจากก้าวนั้นได้ และก้าวออกจากขั้นเทพแท้ซึ่งเป็นระดับขั้นใหญ่เข้าสู่ระดับขั้นเทพอากาศนั้น ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงเป็นผู้ปกครอง ทั้งยังไม่ต้องการเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านชั่วคราว จึงไม่จำเป็นต้องรวมร่างจริงและร่างแยกให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

“ท่านพ่อ ข้าได้ยินมาว่าการหลุดพ้นต้องอาศัยพละกำลังของกฎเกณฑ์ฟ้าดินทำให้ตนหลุดออกจากมหานทีแห่งกาลเวลาได้ แต่ท่านแค่ก้าวเพียงก้าวเดียวก็ขึ้นมาริมฝั่งแม่น้ำได้แล้วอย่างนั้นหรือ และร่างกายนั่นก็ใหญ่โตเกินไปแล้ว” ตงป๋ออวี้อ้าปากค้างอยู่ข้างๆ

“ฮ่าฮ่า…ไม่พุดกับเจ้าให้มากความแล้วดีกว่า ข้าออกไปก่อนล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าให้ภรรยาเล็กน้อย

“ระวังตัวด้วยล่ะ” อวี๋จิ้งชิวกำชับ

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มแล้วก็หายวับไปกลางอากาศ เขาออกจากโลกวัตถุไปรวมตัวกับพวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตแล้ว

ระบบการบำเพ็ญของสิบแปดจักรวาล

 

“ไปๆๆ งานเลี้ยงตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวกล่าว บรรดาองครักษ์รอบข้างก็ไปยังงานเลี้ยงด้วยกัน จากการสำแดงลูกไม้เล็กน้อยเมื่อครู่ ท่าทีขององครักษ์เหล่านี้ที่มีต่อตงป๋อเสวี่ยอิงก็ดีขึ้นมากทีเดียว

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน และดื่มด่ำไปกับอาหารรสเลิศของอีกจักรวาลหนึ่ง จักรวาลแห่งนี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเลือดเนื้อเช่นกัน อาหารการกินจึงนับว่าพอถูกปากอยู่บ้าง ส่วนองครักษ์ฉงที่สวมเกราะโลหะทั่วร่างซึ่งต่อกรกับตงป๋อเสวี่ยอิงไปนั้น กลับแค่กรอกสุราชั้นเลิศเข้าปากไปเพียงไม่กี่อึกเท่านั้น โดยไม่แตะต้องอาหารเลยแม้แต่คำเดียว

หลังงานเลี้ยง

“ใต้เท้าตงป๋อ นี่คือคูหาของท่านขอรับ” มีบ่าวมาส่งตงป๋อเสวี่ยอิงโดยเฉพาะ ที่ปากคูหาก็มีบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งกำลังรอต้อนรับตงป๋อเสวี่ยอิง

“คารวะนายท่าน” บ่าวรับใช้กลุ่มใหญ่นอบน้อมหาใดเปรียบ

พวกเขาต่างก็รู้ว่า นับแต่วันนี้เป็นต้นไปชะตาชีวิตของพวกเขาก็ต้องตกเป็นของสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าผู้แข็งแกร่งตรงหน้าคนนี้แล้ว! ต่อให้ต้องตายไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ก็ต้องตายเปล่า

ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดตามองคราหนึ่ง ในบรรดาบ่าวรับใช้เหล่านี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นระดับเทพโลกาสวรรค์สองชั้น และส่วนใหญ่ก็เป็นขั้นเทพ

“ข้าจะบำเพ็ญ หากไม่มีเรื่องอันใดก็อย่ามารบกวนข้าล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ

“ขอรับ”

บ่าวรับใช้ทั้งกลุ่มพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยังดีที่เป็นผู้ชมชอบการบำเพ็ญ คาดว่าบำเพ็ญครั้งหนึ่งก็คงจะเป็นเวลานานแสนนาน

******

ประตูขนาดมหึมาของโถงตำหนักภายในคูหาที่มีไว้สำหรับฝึกฝนโดยเฉพาะปิดลงเสียงดังโครม ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง วงแหวนสีดำอันหนึ่งร่อนลงบนโต๊ะยาว ตัวเขาเองกลับหายวับไปกลางอากาศแล้วเข้าไปในโลกคูหาสวรรค์ภายในวงแหวนนั้น

นี่คือทุ่งหญ้าผืนหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหญ้า พลางตรวจดูอาวุธ อาภรณ์ เรือรบและอื่นๆ ที่ท่านชายสามมอบให้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพยักหน้า “หอกยาวเล่มนี้ล้ำค่าไม่แพ้หอกงูโลหิตของข้าเลย เรือรบก็ล้ำค่าเช่นกัน อาภรณ์สีดำดูเหมือนจะธรรมดา แต่กลับแข็งแกร่งทนทานเป็นอย่างยิ่ง และสามารถเก็บงำกลิ่นอายได้เช่นกัน…ภายในจักรวาลผู้บำเพ็ญของเรา สมบัติล้ำค่าสามชิ้นนี้ก็ทำให้ผู้เคารพส่วนใหญ่ตาเป็นมันได้แล้ว”

เมื่อมองจากจุดนี้ สมบัติล้ำค่าของจักรวาลนี้มีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

“ระบบการบำเพ็ญ”

เมือพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีก้อนผลึกใสปรากฏขึ้น นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงฉายแววร้อนแรง นี่จึงจะเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาเป็นที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นระบบการบำเพ็ญใด ก็ล้วนแต่เป็นการตกผลึกทางปัญญาของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของจักรวาลนั้นๆ  เป็นวิธีที่จะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งได้!

“ระบบการบำเพ็ญของจักรวาลทั้งสิบแปด เริ่มต้นเถิด” ระบบการบำเพ็ญของทะเลควันยังประกอบด้วยเคล็ดวิชาจำนวนมาก ทั้งยังมีคำอธิบายต่างๆ อยู่อีกด้วย! ซึ่งคงจะเป็นคำอธิบายที่เหล่าผู้แกร่งกล้าในจักรวาลที่ท่านชายสามอยู่บันทึกเอาไว้

แม้ระบบการบำเพ็ญสายเลือดจะอาศัยการตื่นรู้ของสายเลือดเป็นหลัก แต่พวกเขาก็มิได้โง่งม พวกเขาก็ซึมซับข้อดีของระบบการบำเพ็ญของจักรวาลอื่นเพื่อทำให้พลังของตนแข็งแกร่งขึ้นด้วยเช่นกัน

เวลาล่วงเลยไป…

ด้วยความแข็งแกร่งของวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ก็ใช้เวลาไปถึงสามวัน จึงอ่านระบบการบำเพ็ญทั้งสิบแปดจนจบรอบหนึ่ง

“ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง”

เนื่องจากเขาอ่านระบบการบำเพ็ญทั้งสิบแปดจนครบหมดแล้ว จึงย่อมมีการเปรียบเทียบเป็นธรรมดา และเกิดข้อสรุปขึ้นมา

“จักรวาลแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทหนึ่งคือจักรวาลที่ถือกำเนิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็คือจักรวาลซึ่งสิ่งมีชีวิตเก่าแก่เป็นผู้สร้างขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ดังนั้นระบบการบำเพ็ญจึงแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก!”

“ประเภทแรก คือคำชี้แนะที่บรรดาสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ทิ้งเอาไว้ ระบบการบำเพ็ญเช่นนี้เป็นวิถีใหญ่ สามารถบำเพ็ญได้ถึงระดับขั้นที่สูงเสียยิ่งกว่าสูง”

“ประเภทที่สอง ในจักรวาลที่ถือกำเนิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่มีการชี้แนะ สิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาก็ได้แต่คลำทางเองเท่านั้น เพื่อความอยู่รอด เพื่อความแข็งแกร่ง เพื่อความเติบโต พวกเขาก็ได้คลำหาวิธีบำเพ็ญต่างๆ ขึ้นมา เมื่อเวลาผ่านไป วิธีการบำเพ็ญที่เยี่ยมยอด และเหมาะแก่การเผยแพร่ที่สุดก็กลายเป็นกระแสหลักในการบำเพ็ญของทั้งจักรวาลไป เมื่อผ่านการเพิ่มเสริมเติมแต่งของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนตลอดคืนวันอันยาวนาน ก็สมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แม้จะสมบูรณ์แบบกว่านี้ ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องโลกทัศน์และพลังของตน บางคนทำอย่างไรก็ยังถูกจำกัดอยู่อย่างนั้น”

ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรู้สึกว่าโชคดี

ระบบการบำเพ็ญของบ้านเกิดตนเป็นสิ่งที่บรรพชนเทียนอวี๋ชี้แนะ ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เป็นวิถีใหญ่  ไปจนถึงขั้นสุด!

“ในระบบทั้งสิบแปดนี้ มีระบบการบำเพ็ญลัทธิจอมมารดาด้วยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเข้าใจว่าลัทธิจอมมารดาฝึกฝนอย่างไรจากในนั้น

ลัทธิจอมมารดา…

ถือเอาฟ้าดินเป็นดั่งรกของมารดา และใช้ฟ้าดินหล่อเลี้ยงตนเองตั้งแต่ตนยังเป็นทารก

เมื่อพลังแข็งแกร่งพอ ก็จะใช้จักรวาลเป็นรกหล่อเลี้ยงตนเอง ระบบเช่นนี้ต้องตั้งแท่นบูชาจอมมารดาและปรับปรุงจักรวาล สิ่งที่พวกเขาเชื่อถือมิใช่จักรวาล หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นซึ่งสูงส่งหาใดเปรียบ…จอมมารดานั่นเอง! จอมมารดาราวกับมารดาที่ปกป้องคุ้มครองพวกเขา หล่อเลี้ยงพวกเขา ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และมีความสามารถอันน่าเหลือเชื่อต่างๆ ปรากฏขึ้นอีกด้วย ระบบนี้ ช่วงแรกค่อนข้างทึ่มทื่อ แต่ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งพิสดารยากเกินคาดเดามากขึ้น

ต่อให้ในภายหน้าเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่าน พวกเขาก็มีวิธีอาศัย ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ มาหล่อเลี้ยงตนเองได้

ความสามารถและเคล็ดวิชาต่างๆ ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านแล้วหน้าถอดสี

“เป็นระบบที่ร้ายกาจนัก” ร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ในบ้านเกิดส่งต่อข้อมูลจำนวนมากให้ท่านอาจารย์ ‘จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต’ ทันที

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตกใจมาก “เสวี่ยอิง ที่เจ้าไปคือจักรวาลลัทธิจอมมารดาหรือนี่”

“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ เป็นจักรวาลที่แข็งแกร่งมากแห่งหนึ่งต่างหาก! จักรวาลนี้มีระบบการบำเพ็ญอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในจำนวนนั้นมีระบบการบำเพ็ญลัทธิจอมมารดาอยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“ระบบการบำเพ็ญหลายระบบหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ระวังหน่อยล่ะ โลภมากไปก็มิใช่เรื่องดี”

“ข้าเข้าใจ”

ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับการถ่ายทอดวิชาลับผู้ท่องมาก็รู้ว่า ระบบการบำเพ็ญออกจะไปคนละทิศคนละทางกันอยู่บ้าง ไม่เหมาะกับการบำเพ็ญควบคู่กันเอาเสียเลย! มีแต่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันเท่านั้น จึงจะบำเพ็ญควบคู่กันแล้วได้ผลดี

จากสิ่งที่ ‘ผู้ท่องอากาศกู่ฉี’ ท่านอาจารย์ของตนพูด ระบบผู้ท่องอากาศและระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นสามารถบำเพ็ญควบคู่กันได้เป็นอย่างมาก ระบบหนึ่งเป็นการฝึกร่างกาย ส่วนอีกระบบหนึ่งเป็นการฝึกความเร้นลับของกฎเกณฑ์

……

หลังจากเข้าใจระบบการบำเพ็ญในเบื้องต้นแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มลองบำเพ็ญ ระบบการบำเพ็ญทั้งสิบแปดชนิด เขาสามารถลองฝึกได้เพียงแปดชนิดเท่านั้น ระบบอื่นๆ ล้วนแต่มีปัญหานานาชนิด เช่นระบบการบำเพ็ญสายเลือด! ตงป๋อเสวี่ยอิงมิใช่สิ่งมีชีวิตในจักรวาลแห่งนี้ เมื่อไม่มีสายเลือดของพวกเขาเลย จึงไม่มีทางบำเพ็ญได้ อย่างสิ่งมีชีวิตในจักรวาลที่องครักษ์อาศัยอยู่ ก็ล้วนแต่มีร่างกายเป็นโลหะ และบำเพ็ญร่างกายเป็นหลัก แตกต่างกับระบบบำเพ็ญร่างกายของสิ่งมีชีวิตจำพวกเลือดเนื้ออย่างสิ้นเชิง จึงย่อมมิอาจฝึกฝนได้

ลัทธิจอมมารดา ยิ่งอ่อนแอเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเงื่อนไขต่อสิ่งแวดล้อมจำกัดมากขึ้นเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจฝึกฝนได้

“มีแต่ต้องบำเพ็ญอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจถึงความน่าสนใจของแต่ละระบบได้อย่างลึกซึ้ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มลองฝึกระบบทั้งแปด

******

ระบบการบำเพ็ญทั้งแปดชนิด แต่ละชนิดเขาล้วนลองเข้าถึงอย่างลึกซึ้ง แต่ละชนิดล้วนต้องเตรียมใช้เวลาพันปี ด้วยการรับรู้อย่างเขา เวลาพันปีก็เพียงพอสำหรับการเข้าใจระบบการบำเพ็ญและรับรู้ให้ลึกซึ้งพอแล้ว และเข้าใจถึงความวิจิตรของมัน

ระบบการบำเพ็ญทั้งแปดชนิดนี้

ตามที่ระบุเอาไว้ในแก้วผลึก มีสองชนิดที่สามารถบำเพ็ญได้อย่างเต็มที่ ส่วนหกชนิดที่เหลือล้วนมีข้อบกพร่อง

ซึ่งที่บำเพ็ญได้อย่างเต็มที่นั้น…ชนิดหนึ่งเรียกว่า ‘ทิพย์’ พวกเขาค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่ง และค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในหมื่นสรรพสิ่ง ณ ระดับขั้นที่ลึกซึ้งที่สุดให้พบ บรรดา ‘ทิพย์’ ใช้ความลับเหล่านี้ทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้! จักรวาลที่ทิพย์อาศัยอยู่นั้น มีทางเชื่อมขนาดเล็กเพียงแห่งเดียวที่เชื่อมกับจักรวาลของพวกท่านชายสาม แต่บรรดาทิพย์กลับกระตือรือร้นอยากที่จะนำระบบการบำเพ็ญของตนมาแลกเปลี่ยน พวกเขามีความอยากรู้อยากเห็นต่อสรรพสิ่งทั้งปวง รวมทั้งสรรพสิ่งในจักรวาลอื่นด้วย

ส่วนอีกชนิดหนึ่งมีนามว่า ‘ระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด’ พวกเขาใช้การบำเพ็ญก็สามารถแก้ไขร่างกายของตนเองในระดับที่ลึกที่สุดได้ โลหิตหยดหนึ่งที่ดูเหมือนจะธรรมดามาก พวกเขากลับสามารถค้นคว้าได้ราวกับดวงดาราดวงหนึ่ง แม้แต่อณูหนึ่ง พวกเขาก็สามารถค้นคว้าเหมือนเป็นผืนดินแล้วทำโครงสร้างขึ้นใหม่ และสามารถทำให้ระดับขั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกได้ตามการบำเพ็ญของพวกเขา และค้นคว้าตนเองได้ ‘ละเอียดยิบ’ ยิ่งขึ้น จากนั้นก็แก้ไขตนเองได้ละเอียดยิบยิ่งขึ้น เป้าหมายการบำเพ็ญของพวกเขา ก็คือทำให้ร่างกายแข็งแกร่งราวกับจักรวาลหนึ่ง พวกเขาใฝ่หาขั้นสุดไปตลอดกาล!

พวกเขาไม่ต้องการอาวุธ เพราะร่างกายของพวกเขาก็คืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด จะกินอาวุธลงไปแล้วย่อยสลายให้หมด ก็ทำได้ง่ายดายมาก

พวกเขาไม่ต้องการเกราะ เพราะผิวหนังของพวกเขาแข็งแกร่งทนทานหาใดเปรียบ

ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขั้นสงสัยว่า ระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด และเทพโลกาผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ตนพบในสถานที่แรกเริ่มท่านนั้นเป็นระบบการบำเพ็ญนั้นเป็นระบบเดียวกันหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรตอนนั้นฝ่ายตรงข้ามก็กินอาวุธเทพแท้มีดบินของตนลงไป เพียงชั่วครู่เดียวก็ทำให้มีดบินผุพังไปหมดแล้ว ความสามารถในการย่อยสลายน่าหวาดหวั่นเป็นอันมาก

“ไม่เสียทีที่เป็นสองระบบการบำเพ็ญซึ่งบรรลุถึงขั้นสุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงยอมรับว่าระบบทั้งสองนี้ร้ายกาจมาก

แต่ว่า

ทั้งสองระบบนี้ต้องใช้เวลาและความตั้งใจเป็นอันมาก

อันที่จริงการค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่งนั้นยิบย่อยกว่าการรับรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์เสียอีก

การค้นคว้าร่างกายของระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด มิได้ง่ายไปกว่าจักรวาลอื่นใดเลย

อีกหกชนิดที่เหลือล้วนเป็นระบบที่ขาดตกบกพร่อง…

“เอ๋”

 ในสหัสวรรษที่ห้าของการบำเพ็ญ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกอยู่ท่ามกลางความยินดีจนแทบคลั่ง

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset