Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 3

ตอนที่ 3
ภายในกระท่อมฟาง

คลื่นโลหิตแผ่กระจายท่วมท้นโลกน้ำแข็ง มีผลึกน้ำแข็งบางส่วนที่ยามถูกไหลท่วมยังไม่แตกกระจาย แต่ก็ทานทนได้เพียงชั่วขณะ ท้ายที่สุดก็ยังสูญสลาย เพราะใน ‘บริเวณค่ายสังหาร’ ความเสียหายที่ได้รับจะทวีขึ้นไม่หยุด ทั้งยังผ่านการ ‘บำเพ็ญในห้วงนิทรา’ มาอีกด้วย ในห้วงนิทรานั้นมีการบำเพ็ญและการต่อสู้อยู่ตลอด ทำให้ ‘บริเวณค่ายสังหาร’ ได้ผ่านประสบการณ์ต่อสู้มามากมายนับไม่ถ้วน จึงทวีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง ทะเลโลหิตที่ล้อมรอบแผ่กระจายกวาดไปรอบทิศทาง ผลึกน้ำแข็งก็มิอาจคุกคามต่อไปได้อีก

“ในที่สุด…ในที่สุดก็ต้านทานการจู่โจมของคลื่นระลอกแรกได้เช่นนี้เองหรือ” ชายชราผมขาวตกตะลึงอยู่บ้าง “เขตแดนที่เขาสำแดงอ้างอิงจากกฎเกณฑ์ของสถานที่แรกเริ่ม ความเร้นลับที่ใช้ทั้งหมดก็ยังจัดอยู่ในขั้นบุกเบิกเช่นเดิม ทว่ากลับทรงพลังได้ถึงระดับนี้เชียวหรือ”

เช่นเดียวกับผู้ครองชิง การรวมกันของหลายวิถีในยามเป็นผู้เคารพก็สามารถต่อกรกับผู้ปกครองได้

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตระหนักรู้วิถีสามสาย ส่วนการผนวกรวมกันของวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นนั้นอาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ

“พรึ่บๆๆ”

อุณหภูมิยังคงลดต่ำลง

ท่ามกลางคลื่นโลหิตที่แผ่กระจาย ถึงกับมีของเหลวสีดำกลั่นตัวออกมา ของเหลวสีดำหยดแล้วหยดเล่าปรากฏขึ้นภายใน ‘บริเวณค่ายสังหาร’ ถึงแม้ว่าจะมิได้แตกสลายไปทันทีภายในระยะเวลาอันสั้น หากแต่ดำรงอยู่อย่างเหนียวแน่น! อีกทั้งจำนวนของของเหลวสีดำยังเพิ่มมากขึ้นตามอุณหภูมิที่ลดต่ำลงด้วย

“การทดสอบการเอาตัวรอดระลอกที่สองเริ่มต้นขึ้นแล้ว” ชายชราผมขาวส่ายศีรษะมอง “คราวนี้อาจจะอันตรายยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว”

“หืม”

ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว

ตอนนี้ของเหลวสีดำที่ควบแน่นออกมาหยดแล้วหยดเล่า ในที่สุดก็สามารถเบียดเข้ามาในบริเวณค่ายสังหารได้ชั่วอึดใจหนึ่ง แต่เพราะว่าของเหลวสีดำเกิดเพิ่มขึ้นมาไม่หยุด ดังนั้นพอเวลาผ่านไปของเหลวสีดำในบริเวณค่ายสังหารอันกว้างใหญ่ก็เพิ่มพูนขึ้นไม่หยุด แม้ว่าพวกมันจะมิได้โจมตี แต่ชัดเจนว่ากำลังสะสมพลัง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกถึงได้ภัยคุกคามลางๆ

“ใช้ได้นี่ มาเถิด มาดูกันว่าจะร้ายกาจสักเพียงใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง อย่างมากตนก็หลบเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียม อาศัยฟ้าดินโลกเทียมและวิธีการทางด้านอากาศในการหลบซ่อน ถึงแม้ว่าจะมีเศษเสี้ยวพลังสามารถโจมตีตนได้ แต่ด้วยร่างกายของตนก็สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดายยิ่ง

แต่ว่า…

ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความมั่นใจในตนเองเป็นอย่างมาก ตนมิได้ถูกบีบบังคบจนทำได้เพียงหลบซ่อนตัวเพื่อเอาชีวิตรอด

“ปัง!!!”

ของเหลวสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพลันขยับเขยื้อน เคลื่อนผ่านระลอกคลื่นสีแดงโลหิตกลางบริเวณค่ายสังหารแล้วพุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิงพร้อมกัน

“ปรัชญาคลื่นลมตอนที่สอง!” ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันสะเทือนบนผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิง ระลอกคลื่นอันไร้ที่สิ้นสุดหลอมรวมกับทั้งบริเวณค่ายสังหารในทันที แล้วพุ่งออกไปรอบทิศทาง ยามที่สัมผัสกับของเหลวสีดำ ปัง ปัง ปัง!!! ของเหลวสีดำทุกหยดต่างก็ระเบิดออกหมด หยดของเหลวสีดำแทบทั้งหมดก็สูญสลายไปในทันใด

นี่ก็คือตอนที่สองของปรัชญาคลื่นลม ศาสตร์ลับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างขึ้นเอง ผนวกรวมกันกับเคล็ดสังหารของบริเวณค่ายสังหาร

บริเวณค่ายสังหารก็เป็นการผนวกรวมกันของวิถีเข่นฆ่ากับวิถีระลอกคลื่น!

ศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมก็เช่นเดียวกัน

ณ ช่วงเวลาที่บำเพ็ญในห้วงนิทรา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นำทั้งสองสิ่งผนวกรวมกันขึ้นมา ทำให้พลังคุกคามของบริเวณค่ายสังหารเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล นี่ก็คือปรัชญาคลื่นลมเพียงหนึ่งเดียวที่สร้างขึ้นโดยบริเวณค่ายสังหารล้วนๆ

“นี่ นี่มัน…” ชายชราผมขาวมองด้วยดวงตาอันเบิกโพลง ของเหลวสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นระเบิดออกแทบหมดสิ้นในชั่วขณะเดียว นี่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง “ท่านเจ้าของสรรสร้างจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมาจนถึงบัดนี้ นี่คือยุคจักรวาลที่แปดแล้ว ในยุคนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกได้เลย ถึงแม้ว่าทั้งเจ็ดยุคก่อนหน้าก็มีคนผ่าน แต่ก็มิได้อุกอาจเช่นนี้เสียหน่อย”

ใช่แล้ว ตัวการทดสอบเองก็อุกอาจยิ่งนัก การจู่โจมอย่างมืดฟ้ามัวดินนับครั้งไม่ถ้วน ว่ากันตามเหตุผลแล้วก็ควรหลบซ่อนตัวเพื่อรักษาชีวิต

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับบดขยี้การจู่โจมทั้งหมดจนแตกกระจุยอย่างซึ่งๆ หน้า

“ระลอกที่สาม แล้วก็เป็นระลอกสุดท้ายแล้ว” ชายชราผมขาวมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างคาดหวัง

พื้นน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ไพศาลของโลกน้ำแข็งกลับกลายเป็นละลายตามอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นกับตาว่าดินแดนอันหนาวเหน็บหลอมละลายกลายเป็นของเหลวสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน ของเหลวสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วแล้วเปลี่ยนแปรเป็นสัตว์ร้ายขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่ง สัตว์ร้ายตัวสีดำคล้ายกับมังกรเกล็ดสีดำ เพียงแต่กรงเล็บหน้าทั้งคู่ของมันใหญ่โตน่ากลัวเป็นพิเศษ

“เด็กดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองสัตว์ร้ายสีดำที่แปลงมาจากพื้นน้ำแข็งทั้งหมด สัตว์ร้ายสีดำจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วส่งเสียงคำรามก้องโลกเสียงหนึ่ง

พร้อมกันนั้นมันก็บินเข้ามาในทันใด

“เฮอะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งเสียงเฮอะอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง

ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาพลันสั่นสะท้าน บริเวณค่ายสังหารก็โจมตีออกไปรอบทิศทางอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลได้จู่โจมบนร่างของสัตว์ร้ายสีดำที่บินเข้ามาตัวนั้น พื้นผิวร่างกายของสัตว์ร้ายสีดำล้วนถูกสั่นสะเทือนจนทลาย มีของเหลวสีดำสายแล้วสายเล่าไหลออกมา แต่ก็ยังสามารถรักษาร่างกายมหึมาหาใดเปรียบของมันเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

“ปรัชญาคลื่นลมบทที่สาม ทำลาย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงสับมือขวาลงอย่างเดือดดาลในทันใด แขนข้างขวาเงื้อขึ้นสูง ปิดฟ้าบังตะวัน จากนั้นก็สับฝ่ามือขวาลงอย่างเดือดดาลราวกับขวานใหญ่ปื้นหนึ่ง แล้วสัตว์ร้ายมหึมาสีดำก็เงื้อกรงเล็บหน้าตะปบไปทางฝ่ามือของตงป๋อเสวี่ยอิง

ปึง!

ฝ่ามือหนึ่งตะปบลงมา

ร่างกายของสัตว์ร้ายสีดำพลันสั่นสะท้าน จากนั้นก็แตกสลายกลายเป็นของเหลวสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด แล้วสูงขึ้นไปตามอุณหภูมิของฟ้าดิน ของเหลวสีดำกระจัดกระจายกลายเป็นกระแสอันหนาวเหน็บไร้ที่สิ้นสุด

ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บบริเวณค่ายสังหารแล้ว แต่ยังคงยืนขมวดคิ้วอยู่ที่เดิม

“ปรัชญาคลื่นลมบทที่สี่…คงจะหมดจดยิ่งกว่านี้อีก” ในห้วงความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดมากมายกระทบกระแทกกันโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่ฟื้นตื่นขึ้นมาแล้วเขาก็ไม่กล้าบำเพ็ญเลย ด้วยกลัวว่าหากไม่ระวัง ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็จะบรรลุไปถึงขั้นผู้ปกครอง! หากเป็นเช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการทดสอบของขั้นบุกเบิกอีกต่อไปแล้ว

และตอนนี้เนื่องจากเขาสำแดงปรัชญาคลื่นลมเพื่อการต่อสู้ ได้สำแดงความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของปรัชญาคลื่นลมออกมาอย่างเต็มที่ จนเริ่มกระทบเข้ากับสิ่งที่เขาได้รับรู้มาเป็นจำนวนมากก่อนตนจะเข้าสู่การบำเพ็ญในห้วงนิทรา จึงย่อมเกิดความคิดบางอย่างเกี่ยวกับปรัชญาคลื่นลมบทที่สี่ของตนขึ้นมาเป็นธรรมดา

“ตงป๋อเสวี่ยอิง ยินดีด้วย เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว” ชายชราผมขาวตกตะลึงเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเข้ามาแสดงความยินดี

“ถ้าหากตอนนี้ข้าบรรลุถึงขั้นผู้ปกครองแล้ว ก็สามารถได้รับของขวัญจากท่านบรรพชนเช่นเดียวกันกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าก็ผ่านการทดสอบแล้ว ตอนนี้การบรรลุไปถึงขั้นผู้ปกครองอีก ก็ย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” ชายชราผมขาวเอ่ยอย่างประหลาดใจ “อะไรกัน จะบรรลุแล้วหรือ ก็ถูก การใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของเจ้ามาถึงระดับขั้นนี้ การบรรลุก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”

ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะกำลังสนทนากับชายชราผมขาว ทว่าภายในห้วงความคิดนั้น ความคิดมากมายยังกระทบกระแทกกันอย่างห้ามไม่อยู่ การตระหนักรู้อันมหาศาลในอดีต และการตระหนักรู้ในการบำเพ็ญในห้วงนิทรากระทบและหลอมรวมกันไม่หยุดหย่อน พูดได้ว่าความคิดในใจเก้าสิบเก้าอย่างล้วนอยู่ข้างบนนี้

“พวกเราออกไปกันไหม” ชายชราผมขาวถามกระตุ้น

“ไปสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ และในขณะนี้เขาดื่มด่ำอยู่ท่ามกลางการกระทบกันของการตระหนักรู้อันมหาศาลไปพร้อมกันกับอีกสองร่าง

……

ชายชราผมขาวพาตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากโลกน้ำแข็งแห่งนี้ไปด้วยกัน เขายังส่งเสียงจุ๊ๆ อยู่ข้างๆ “ท่านบรรพชนยังทิ้งการทดสอบนี้เอาไว้ เป็นการทดสอบความสามารถในการเอาตัวรอดรักษาชีวิตของเจ้า ในท้ายที่สุดเจ้าก็สามารถรับมือกับการทดสอบทั้งหมดอย่างซึ่งๆ หน้าได้ ช่างร้ายกาจเสียจริง ร้ายกาจยิ่งกว่าเจ้าเด็กที่เชี่ยวชาญกาลมิติผู้นั้นมากมายเหลือเกิน”

“เชี่ยวชาญกาลมิติหรือ ประมุขเกาะกาลมิติน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดพูดขึ้นมามิได้

“อืม อย่าพูดถึงเขาเลย” ชายชราผมขาวชี้ไปยังกระท่อมฟางสามหลังที่อยู่ไกลออกไปด้วยสายตาเป็นประกาย “โอกาสดีของเจ้ามาถึงแล้ว รีบไปเสีย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า เขาคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบรรพชนเทียนอวี๋จะทิ้งอะไรเอาไว้ให้ศิษย์รุ่นหลังอย่างพวกเขาบ้าง

ยามที่อยู่ห่างจากกระท่อมฟางเพียงร้อยสองร้อยเมตร โลกบริเวณรอบๆ ก็เริ่มจะบิดเบี้ยวตามระยะทางที่ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ  เพราะมีประสบการณ์จากครั้งก่อน ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบสงบเช่นเดิม ผ่านโลกที่บิดเบี้ยวชั้นแล้วชั้นเล่า เดินผ่านการปกป้องของโลกชั้นแล้วชั้นเล่านี้ ก็มาถึงด้านหน้าของกระท่อมฟางหลังซ้ายสุด

“เข้าไปเถิด” ชายชราผมขาวพูดยิ้มๆ

“อืม”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

กระท่อมฟางสามหลังนั้น หลังทางด้านซ้ายก็คือหลังที่ผู้ผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ ส่วนหลังกลางนั้นผู้ผ่านการทดสอบขั้นผู้ปกครองจึงจะสามารถเข้าได้ สำหรับหลังทางขวาก็คือคลังสมบัติ

เอี๊ยด… ตงป๋อเสวี่ยอิงผลักประตูไม้ของกระท่อมฟางเบาๆ ประตูไม้ดูเหมือนจะธรรมดาทั่วไป แต่ภายในกระท่อมฟางกลับเต็มไปด้วยความมืดหม่นราวกับน้ำวน ยากจะมองเห็นได้ชัด

ย่างเท้าก้าวเข้าไปในวังน้ำวนอันมืดหม่นนี้

“พรึ่บ”

ฉากตรงหน้าแปรเปลี่ยน

นี่คือบ้านอันแสนธรรมดา ภายในมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง มีเบาะรองนั่งอยู่หนึ่งอัน บนโต๊ะมีเสื้อคลุมสีม่วงอยู่ชุดหนึ่ง เช่นเดียวกับป้ายห้อยสีม่วงอันหนึ่ง

แต่บนเบาะรองนั่งกลับมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันใด

นั่นคือชายชราที่มีลักษณะหลังค่อมคดผู้หนึ่ง เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม “เจ้าเด็กรุ่นหลัง ว่ากันแล้วจักรวาลของพวกเจ้าก็เป็นข้านี่แหละที่สร้างขึ้นมา สิ่งมีชีวิตในจักรวาลก็นับได้ว่าข้าเป็นผู้สร้างขึ้น เจ้าสามารถผ่านการทดสอบขั้นบุกเบิกมาถึงที่นี่ได้ ก็เป็นศิษย์อาภรณ์ม่วงแห่ง ‘วังทวีสูญ’ของข้าแล้ว อ้อ วังทวีสูญคือสำนักหนึ่งที่ข้าก่อตั้งขึ้นในตอนแรกที่ข้ารับคำเชิญของ ‘ท่านบรรพชนคีรีมาร’ และ ‘ท่านประมุขเหยากวง’ มายังโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราแห่งนี้”

ตระกูลเทพอากาศเชื้อเชิญ

 

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสอบถามผ่านเขตลวง กลางฟากฟ้านอกดวงดาราแห่งนี้ก็มีเรือรบลำหนึ่งมาถึง

ภายในเรือรบ บุรุษผู้มีเกล็ดสีเขียวปกคลุมทั่วร่างซึ่งสวมเกราะสีเงินคนหนึ่งกำลังมองภาพที่ปรากฏขึ้นภายในเรือรบด้วยสายตาเย็นชา ในภาพนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสอบถามอยู่

“สิ่งมีชีวิตจากจักรวาลภายนอกหรือ ช่างบังอาจนัก กล้าลงมือกับชนรุ่นหลังของข้า ‘ซานตาน’ ด้วย” ดวงตาสีทองของบุรุษผู้นี้เต็มไปด้วยแววเย็นเยียบ ทว่าเขาก็ยังคงตรวจสอบพลังของอีกฝ่ายด้วยความเคยชินต่อไป

วิ้ง!

เรือรบมีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกวาดผ่านดวงดาราดวงนั้นไป

“อะไรกัน” เดิมทีบุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินยังเยือกเย็น แต่ยามนี้กลับหน้าถอดสี “กลิ่นอายวิญญาณเป็นระดับผู้เคารพอย่างนั้นหรือ”

เรือรบลำนี้เขาได้รับเป็นของประทานจากการติดตามท่านชาย มันเชี่ยวชาญด้านการทะลุกาลมิติและการตรวจสอบกลิ่นอายวิญญาณเป็นอย่างมาก แม้จะไม่เยี่ยมยอดเท่าวิญญาณอาวุธน้ำเต้าสีดำที่สามารถตรวจดูได้แม้แต่ระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณก็ตามที แต่อย่างน้อยก็สามารถรู้ระดับพลังของอีกฝ่ายได้อย่างคร่าวๆ!

“คิดไม่ถึงว่าข้าแค่ออกมาตามอำเภอใจครั้งหนึ่ง จะได้พบกับผู้แกร่งกล้าจากต่างจักรวาลเข้า ทั้งยังเป็นระดับผู้เคารพอีกด้วย” บุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินพยักหน้าเล็กน้อย

“วิ้ง”

ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีกำลังทำความเข้าใจกับข้อมูล  และติดต่อกับวิญญาณอาวุธโดยผ่านร่างจริงในบ้านเกิดไปพร้อมกันก็พลันสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างที่พาดผ่านตนไป ระลอกคลื่นนี้อ่อนนัก แต่ไม่ว่าจะเป็นฟ้าดินโลกเทียมหรือการควบคุมอากาศ ก็พบระลอกคลื่นอันเร้นลับนี้ด้วยกันทั้งสิ้น

“เอ๊ะ” สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเปลี่ยนแปรไป เขาอดหันไปมองมิได้ สายตาของเขามองทะลุผ่านกำแพงของตำหนักที่อยู่ ก็เห็นเรือรบที่อยู่กลางฟากฟ้าลำนั้น สายตาของเขาถึงขั้นมองทะลุอากาศและเห็นบุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินภายในเรือรบคนนั้นด้วย

ทั้งสองสบสายตากันอยู่ห่างๆ

“น้องชายต่างเผ่าคนนี้ช่างความรู้สึกไวนัก สามารถพบข้าได้ด้วย” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น บุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินปรากฏกายขึ้นในโถงตำหนักแห่งนี้แล้ว “ดูจากท่าทางของเจ้า คงจะมิใช่สิ่งมีชีวิตจากแปดจักรวาลใหญ่ที่พวกข้าพิชิตได้หรอกกระมัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอีกฝ่าย

เมื่อครู่เขาได้ล่วงรู้ข้อมูลไปไม่น้อย และได้รู้ว่าในฐานะที่จักรวาลแห่งนี้เป็นระบบการบำเพ็ญสายเลือด จึงชมชอบสงครามนัก! จักรวาลนี้ยังสร้าง ‘ทางเชื่อมจักรวาล’ ขึ้นมาเป็นประจำ และได้อาศัยทางเชื่อมจักรวาลพิชิตจักรวาลอื่นไปแล้วถึงแปดแห่ง การจะพิชิตจักรวาลหนึ่งได้นั้น ต้องมีทางเชื่อมจักรวาลระดับสูงสุดจึงจะสามารถทำให้บรรดาผู้ปกครองบุกเข้าไปได้ อย่างทางเชื่อมจักรวาลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้เข้ามานั้น  มีเพียงสิ่งมีชีวิตที่ยังมิได้หลุดพ้นจึงจะเข้าออกได้ เห็นได้ชัดว่ามิอาจส่งทัพใหญ่เข้าไปพิชิตได้

แน่นอนว่าแม้พวกเขาจะพิชิตจักรวาลทั้งแปดแล้ว แต่กลับดีกว่าลัทธิจอมมารดามากทีเดียว

พวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตในจักรวาลเดิมอย่างโอบอ้อมอารี เพียงแค่ให้ชนเผ่าของตนไปยังจักรวาลอื่นแล้วทำการวิวัฒน์เท่านั้น พวกเขาถึงขั้นปฏิบัติต่อชนต่างเผ่าอย่างเท่าเทียมกับที่ปฏิบัติต่อผู้แกร่งกล้าของเผ่าตน

“ข้ามีนามว่าตงป๋อเสวี่ยอิง มายังจักรวาลนี้เป็นครั้งแรก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“ข้ามีนามว่าซานตาน” บุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินปรายตามองชนรุ่นหลังสองคนด้านข้างที่กำลังตกอยู่ในเขตลวง “นับได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของเจ้าหนุ่มสองคนนี้ พวกเขาล้วนเป็นชนรุ่นหลังตามสายเลือดของข้า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมา

ตนสำแดงเขตลวงออกมาใส่ชนรุ่นหลังของอีกฝ่ายเข้าพอดี

“ฮ่าฮ่าฮ่า…เจ้าอาจจะไม่รู้กระจ่างนัก ว่าพวกเราสามารถสัมผัสรับรู้ถึงชนรุ่นหลังตามสายเลือดของตนได้ตลอดเวลา และย่อมจับตามองคนที่มีพลังแข็งแกร่งเป็นธรรมดา” บุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินเอ่ย “และข้าก็รับรู้ได้ว่าสิ่งมีชีวิตรุ่นหลังของข้ามีสภาพไม่ค่อยชอบมาพากลนัก จึงเร่งมาหา”

“น่าละอายนัก ข้ามาครั้งแรก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งสิ้น จึงได้กระทำการเช่นนี้ลงไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ขณะเดียวกันเขาก็เก็บเขตลวงลงไป

ชนรุ่นหลังตามสายเลือดสองคนที่หลับใหลอยู่ก็ฟื้นขึ้นมาทันที พวกเขามองคนทั้งสองที่เพิ่งปรากฏขึ้นใหม่ในโถงตำหนักด้วยความตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นบุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงิน พวกเขาก็รีบลุกพรวดขึ้นมา แล้วตะโกนด้วยความตื่นเต้นและบ้าคลั่งว่า “ท่านประมุขตระกูล!”

สายเลือดภายในกายทำให้พวกเขาเข้าใจว่า คนตรงหน้าผู้นี้ก็คือบรรพบุรุษต้นตระกูลของตน

ผู้ก่อตั้งตระกูล ผู้แกร่งกล้าเป็นที่สุด ท่านประมุขตระกูล…ซานตาน!

“อืม” บุรุษเกล็ดสีเขียวเกราะสีเงินพยักหน้าเนือยๆ “ที่ข้ามาก็เพื่อมาหาสหายของข้าคนหนึ่ง พวกเจ้าทำธุระของพวกเจ้าต่อไปเถิด”

“น้องตง พวกเราออกไปคุยกันหน่อยดีไหม” ซานตานเกรงอกเกรงใจเป็นอันมาก

“ได้สิ ทว่าพี่ซานตาน ท่านเรียกข้าว่าตงป๋อเหมือนเดิมเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ น้องตงหรือ คำเรียกขานเช่นนี้ตนเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

สวบๆ

ไม่นานนักพวกเขาทั้งสองก็มาถึงกลางท้องฟ้านอกโลก

“ฮ่าฮ่าฮ่า ตงป๋อ เจ้าเพิ่งมายังจักรวาลของพวกเรา ยังเข้าใจอะไรไม่มาก แต่ก็คงจะรู้จักตระกูลระดับจักรพรรดิทั้งสามกระมัง นั่นก็คือตระกูลเทพอากาศทั้งสาม” ซานตานเอ่ย

“ข้าเพิ่งจะเคยได้ยิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“ตอนนี้ข้าอุทิศตนให้แก่ ‘ตระกูลเจียวอวิ๋น’ หนึ่งในตระกูลระดับจักรพรรดิทั้งสามอยู่” ซานตานกล่าว “จักรพรรดิเจียวอวิ๋นมีบุตรสามคน ซึ่งก็คือท่านชายทั้งสาม สายเลือดของพวกเขาไม่ธรรมดา และมีความสามารถอันสูงส่งยิ่งซ่อนอยู่ บวกกับสถานะอันสูงศักดิ์ จึงสามารถโยกย้ายทรัพยากรจำนวนมากได้ ผู้แกร่งกล้ามากมายล้วนอยากติดตามท่านชาย บัดนี้ข้าติดตามท่านชายสาม ‘เจียวอวิ๋นหลิว’ อยู่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็พยักหน้า เขาก็พอจะเดาได้

ในระบบการบำเพ็ญสายเลือด แน่นอนว่าบุตรของเทพอากาศย่อมมีสถานะอันสูงศักดิ์อย่างยิ่ง บวกกับความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตร ก็ย่อมเลี้ยงดูบุตรของตนด้วยความใส่ใจ แค่เทพอากาศเจียดทรัพยากรและสมบัติล้ำค่าที่ครอบครองออกมาเล็กน้อยให้บุตรของตน ก็เกินกว่าที่จะสามารถจินตนาการได้แล้ว“เจ้าคงจะรู้แล้วว่า จักรวาลของเราชมชอบการต่อสู้ ผู้ที่อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง! ผู้แกร่งกล้ารอด ผู้อ่อนแอก็ตายไป” ซานตานกล่าว “การแย่งชิงนั้นโหดร้ายนัก แม้แต่ในหมู่ท่านชาย ก็ยังมีการต่อสู้ห้ำหั่นกัน ขอเพียงชีวิตของร่างจริงมิได้ถูกคุกคาม บรรดาจักรพรรดิเทพอากาศก็จะไม่สอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังดู

เขาก็รู้ว่า อย่าได้มองว่า ‘ซานตาน’ ผู้นี้เกรงอกเกรงใจตนเป็นอย่างมากเลย

แต่แม้จักรวาลแห่งนี้จะโอบอ้อมอารีเป็นอย่างมาก ทว่าการแก่งแย่งชิงดีกลับเหี้ยมโหดนัก ผู้ที่อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง พวกเขาต่างดูถูกดูแคลนผู้ที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก และเคารพผู้ที่แกร่งกล้า! พวกเขาถึงขั้นนำผู้ที่อ่อนแอเหล่านั้นมาทำการซื้อขาย และการชมดูพวกเขาห้ำหั่นกันก็เป็นเรื่องสนุก!

แม้แต่บรรดาท่านชายผู้สูงส่งเหนือใครก็ยังมีอุปสรรคมากมายหลายชั้น เพราะถึงอย่างไรต่อให้สายเลือดสูงศักดิ์กว่านี้ ก็ต้องเคี่ยวกรำเพื่อให้ตื่นรู้อยู่ดี!

“ตอนนี้ท่านชายสามกำลังรับสมัครองครักษ์อยู่” ซานตานกล่าว “ตงป๋อ เจ้ามีพลังระดับผู้เคารพ สามารถเข้าไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านชายได้นะ”

“มีข้อดีอย่างไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม “แล้วต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง”

เขามาถึงจักรวาลแห่งนี้ ด้วยหมายที่จะทำให้พลังเพิ่มพูนขึ้น

“ข้อดีน่ะหรือ สิ่งที่ตามปกติแล้วเจ้ามิอาจได้ ท่านชายก็สามารถได้มาโดยง่ายแล้วประทานให้เจ้า” ซานตานกล่าว “ท่านชายให้ความสำคัญกับองครักษ์ของตนเป็นอันมาก ส่วนเจ้าต้องแลกมาด้วยอะไรบ้างน่ะหรือ ก็ไม่มีอะไรหรอก ท่านชายจะจัดที่พักให้กับเจ้า เจ้าสนใจแค่การบำเพ็ญก็พอ…โดยทั่วไปมีแต่เมื่อพบปัญหายุ่งยากหรืออันตรายเท่านั้น เหล่าองครักษ์จึงจะต้องลงมือปกป้องท่านชาย”

“บัดนี้ท่านชายก็เป็นระดับขั้นผู้เคารพ ระดับขั้นอย่างเขา พบอันตรายได้น้อยนัก” ซานตานกล่าว “ครั้งก่อนที่พบปัญหายุ่งยากก็ตั้งพันกว่าล้านปีก่อนโน่นแล้ว”

“จะได้เคล็ดวิชาระบบการบำเพ็ญของจักรวาลอื่นหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่มันเรื่องง่ายที่สุดแล้ว” ซานตานพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “มีมากมายถมไป!”

“ดี ข้าจะลองดูก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“ไป!”

ซานตานเบิกบานใจเป็นอันมาก

เขาเข้าใจดีมากว่า ในบรรดาท่านชายทั้งสามแห่งตระกูลเจียวอวิ๋น ท่านชายรองสำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้ว! เนื่องจากท่านชายใหญ่กำเนิดก่อนใครเพื่อน จึงได้รับผลประโยชน์มามากมายอย่างยิ่ง แม้บัดนี้เป็นเพียงระดับผู้เคารพ แต่จำนวนผู้แกร่งกล้าที่ติดตามอยู่ข้างกาย แข็งแกร่งกว่าท่านชายสามมากนัก

ภายในตระกูลเจียวอวิ๋น ท่านชายสามเสียเปรียบมาก! ดังนั้นจึงต้องการกำลังคนอย่างเร่งด่วน ระดับผู้เคารพก็เป็นพลังรบที่สำคัญอย่างยิ่งแล้ว

“ฟิ้ววว…”

ซานตานพาตงป๋อเสวี่ยอิงโดยสารเรือรบออกเดินทางไปอย่างรวดเร็ว

……

“รวดเร็วนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้างเพราะเรือรบลำนี้ “แม้จะสู้เคล็ดการหลบหลีกในอากาศของข้ามิได้ แต่ก็เร็วกว่าการทะลุกาลมิติของผู้เคารพระดับเทพแท้โดยทั่วไปตั้งสิบเท่าได้กระมัง”

“ดูสิ”

ซานตานชี้ไปด้านหน้าอย่างกระตือรือร้น เมื่อมองผ่านเรือรบ ก็เห็นดวงดาราสีกากีดวงหนึ่งอยู่ไกลออกไป “ท่านชายสามพำนักเพื่อฝึกฝนอยู่ที่นี่ องครักษ์จำนวนมากก็อาศัยอยู่บนดวงดาราแห่งนี้เพื่อทำหน้าที่คุ้มครอง ข้านำเรื่องของเจ้าขึ้นทูลต่อท่านชายแล้ว พวกเรารีบไปพบท่านชายกันเถิด”

เขาพูดพลางเก็บเรือรบลงไป เขาพาตงป๋อเสวี่ยอิงบินมุ่งไปทางดวงดาราสีกากีดวงนั้น

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset