วาสนาบันดาลรัก 256 กลั่นแกล้ง

ตอนที่ 256 กลั่นแกล้ง

เจินเมี่ยวยิ้ม “แต่ก่อนก็อ่านอยู่บ่อยๆ ภายหลังพบว่าตนมิได้มีพรสวรรค์เรื่องร่ายบทกวีอันใดจึงเลิกอ่านไป มีอันใดหรือ ท่านก็ชอบบทกวีของเฮ่อหยวนรั่วเช่นกัน?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงก้มหน้ายิ้ม “เคยชอบ ภายหลังคิดว่าการร่ายบทกลอนนั้นไม่มีประโยชน์ใดจึงเลิกไป” 

 

 

“เราสองคนก็คงพอๆ กัน” เจินเมี่ยวเอ่ยไปตามปาก แล้วหยิบสะดึงถักทอจากลิ้นชักในรถม้าออกมาแล้วลงมือถักเชือกมงคลต่อ 

 

 

หลัวเทียนเฉิงนั่งมองนางถักอยู่เงียบๆ ไปพักใหญ่ก็อดถามขึ้นมามิได้ว่า “ถักให้ผู้ใด?” 

 

 

“เอ๊ะ?” เจินเมี่ยวหยุดมือตน นางรู้สึกงงงวยอยู่บ้าง “แค่ถักเล่นๆ มิได้ตั้งใจจะถักให้ใครเป็นพิเศษ เหตุใดวันนี้ท่านจึงมีคำถามเยอะนักเล่า?” 

 

 

กล่าวจบก็ก้มหน้าลงถักต่อ 

 

 

งานเย็บปักถักร้อยเช่นนี้ คล้ายว่าหากเป็นแล้วก็มิต้องตั้งใจอันใดมากก็สามารถทำมันออกมาได้ดี และเจินเมี่ยวก็เป็นเช่นนั้น นางใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถมองเห็นรูปร่างของมันออกได้หลายส่วนแล้ว มันคือผีเสื้อนั้นเอง 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเม้มปากแน่น แล้วจ้องมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง พลันก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ 

 

 

ลมหายใจอันผ่าวร้อนพลันโอบกอดนางไว้ เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้น “ซื่อจื่อ?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา 

 

 

ตั้งแต่วันนั้นก็มิได้ยินนางเรียกเขาว่าจิ่นหมิงอีกเลย 

 

 

“ท่านเป็นอันใดกันแน่?” เจินเมี่ยวยื่นมือไปผลักเขาออก 

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับจับมือนางไว้แทนแล้วเขยิบเข้าไปกระซิบข้างหู “บทกลอนนั้นขององค์หญิงชูสยาเขียนขึ้นเพราะเฮ่อหยวนรั่วจริงๆ หรือ?” 

 

 

เจินเมี่ยวใจเต้นระรัวขึ้นมา นางหลบตา หัวเราะแห้งๆ ออกมา “แน่นอน บุคคลเช่นเฮ่อหยวนรั่วผู้ใดบ้างมิชมชอบ? แหะๆ” 

 

 

รอยยิ้มที่มุมปากหลัวเทียนเฉิงพลันแข็งค้างไป เขายื่นมือมาจับปากคางของเจินเมี่ยวไว้บังคับให้นางหันหน้ามาเผชิญกับตน น้ำเสียงแฝงด้วยความเบื่อหน่ายอยู่หลายส่วน “เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าไม่ชอบอยู่แท้ๆ?” 

 

 

เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ “ข้ามิได้บอกว่าไม่ชอบเสียหน่อย แต่บอกว่าตนไม่มีพรสวรรค์ จึงมิฝืนตนเองอีกต่อไปก็เท่านั้น” 

 

 

“กล่าวเช่นนี้ หากเฮ่อหยวนรั่วมายืนอยู่ต่อหน้าเจ้าจริงๆ เจ้าก็คงจะชมชอบเขาใช่หรือไม่?” 

 

 

เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้น ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ซื่อจื่อ ท่านทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้ คงไม่ดีสักเท่าใดว่าหรือไม่?” 

 

 

เสียง ‘แคร่ก’ ดังขึ้น สติสัมปชัญญะของคนบางคนพลันขาดผึง เขาเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าช่วยแยกแยะสักหน่อยได้หรือไม่ นี้มิใช่พฤติกรรมที่เรียกว่าทำตัวไร้เหตุผล แต่เรียกว่าหึง!” 

 

 

กล่าวจบร่างทั้งร่างก็แข็งทื่อไป 

 

 

แย่แล้ว เขาไม่เผลอพูดสิ่งประหลาดอันใดออกไปเช่นนี้เล่า 

 

 

เขาจะหึงได้อย่างไร เขาเพียงแค่…เพียงแค่… 

 

 

ใช่ เขายอมรับ เขากำลังหึง! 

 

 

ในเมื่อร้องไห้เขาก็ยังร้องต่อหน้านางมาแล้ว ท่าทีที่ควรเก็บงำก็เผยออกมาหมดแล้ว หลังบรรยากาศอันแปลกแปร่งนั้นผ่านไปครู่หนึ่ง หลัวเทียนเฉิงก็กลับมาทำตัวเช่นปกติ แล้วจ้องมอง เจินเมี่ยวต่อไป 

 

 

แต่เจินเมี่ยวต่างหากที่เมื่อถูกจ้องมองเช่นนี้ นางก็เริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูก ถึงกับเอ่ยตะกุกตะกักขึ้นว่า “ท่าน ท่านจะมาหึงนักกวีในยุคโบราณไปเพื่อสิ่งใดกัน?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับยกมือขึ้นรั้งนางเข้ามาก่อนไว้แน่น เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “เช่นนั้นข้าหึงเจ้าแทนได้หรือไม่?” 

 

 

ไม่รอให้เจินเมี่ยวตอบคำ จุมพิตอันอ่อนโยนนั้นก็ประทับลงบนริมฝีปากของนางครั้งแล้วครั้งเล่า 

 

 

เจินเมี่ยวตัวแข็งไปทันที นางผลักเขาออกตามสัญชาตญาณ 

 

 

เมื่อเห็นแววตาอันล้ำลึกของหลัวเทียนเฉิงที่พาดผ่านไป นางก็รีบยื่นมือไปลูบศีรษะ แล้วกัดริมฝีปากเอ่ยว่า “อยู่บนรถม้านะ” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง 

 

 

เขายกหินทับเท้าตนแท้ๆ หาก…หากเจี๋ยวเจี่ยวมิอาจยอมรับสัมผัสใกล้ชิดของตนได้อีกต่อไป เขาจะทำอย่างไรดีเล่า? 

 

 

ครั้นคิดถึงเรื่องคืนนั้นที่เขากับนา หลัวเทียนเฉิงก็โมโหขึ้นมา 

 

 

เจินเมี่ยวหยิบเชือกมงคลนั้นขึ้นมา แล้วถักต่อไป กระทั่งนางเก็บเชือกถักเส้นสุดท้ายเรียบร้อยก็มีมือหนึ่งยื่นออกมาแย่งมันไป 

 

 

หลัวเทียนเฉิงก้มหน้ามัดเชือกมงคลนั้นไว้ที่เอวตน แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ช่างเหมาะสมเข้ากันยิ่ง” 

 

 

เจินเมี่ยวเพียงเม้มริมฝีปากไม่ส่งเสีย แล้วแหวกม่านหน้าต่างออกดูภายนอก 

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับจ้องมองใบหน้าด้านข้างอันสวยงามนั้นของนางอย่างเหม่อลอย ความเจ็บปวดปะปนกับความจนใจที่มีอยู่จางๆ นั้นปะทุขึ้นมาในอก 

 

 

เขาเข้าใจความรู้สึกของตนเองแล้ว เมื่อมองอีกฝ่ายเขาก็ยิ่งเข้าใจ 

 

 

เขารับรู้ได้ว่า นางเพียงแค่อยากจะอยู่กับเขาด้วยดีตลอดไป แต่…นางก็แค่อยากใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับเขาเท่านั้น ทว่ามิได้หวั่นไหวในใจจริงๆ เช่นเขาที่เป็นอยู่ตอนนี้ 

 

 

บางทีการเป็นสามีภรรยาในชาตินี้ หากยังสามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเรียบง่ายก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว แต่เขากลับรู้สึกมิยินยอมยิ่ง 

 

 

เขามองนางเช่นนี้แล้วรู้สึกดั่งเป็นภาพลวงตา นางมิใช่ของเขาอย่างแท้จริง 

 

 

หากนางมิเข้าใจในความรักเช่นนี้ต่อไปก็แล้วไปเถิด แต่เขากลัวว่าอาจมีสักวันที่นางหวั่นไหวใจ และบุรุษที่สอนให้นางรู้จักความไหวหวั่นนั้นจะมิใช่เขา 

 

 

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะจุดเริ่มต้นมันแย่ หรือเพราะความเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายที่กระทำต่อกันในภายหลังกันแน่ที่ทำให้โอกาสทุกอย่างหลุดลอยไป 

 

 

หลัวเทียนเฉิงจมจ่อมอยู่ในความกลัดกลุ้มนั้น 

 

 

ภายในรถม้าได้ยินเพียงเสียงหายใจของกันและกัน เจินเมี่ยวปิดผ้าม่านแล้วหันหลังกลับมาก็พบเข้ากับความเจ็บปวดที่ซ่อนในดวงตานั้นเข้าพอดีจึงอดอึ้งงันไปมิได้ นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วยื่นมือมาดึงแขนเสื้อเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ช่วงนี้ท่านคงเหนื่อยเกินไปใช่หรือไม่?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงมีสติคืนมา มุมปากห้อยแขวนด้วยรอยยิ้มจางๆ “อืม เหนื่อยเกินไปจริงๆ รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าทุกวันเลยดีหรือไม่?” 

 

 

บรรยากาศกลับมาเป็นปกติแล้ว เจินเมี่ยวเองก็ผ่อนคลายลง นางยกมือขึ้นประสานกัน “ดียิ่ง ถึงตอนนั้นข้าจะเอาหม้อสามชั้นนั้นออกมาทอดเนื้อกวางให้ท่านกิน” 

 

 

ทุกอย่างเงียบสงัดอยู่ครู่หนึ่ง หลัวเทียนเฉิงก็อดถามออกมามิได้ว่า “ทอดเนื้อกวางกินนั้นดียิ่ง แต่มิเอาหม้อสามชั้นนั้น” 

 

 

พูดจบก็แทบโมโหจนแทบจะตบปากตน เขาจะพูดตามน้ำให้นางดีใจสักหน่อยจะตายหรือไร! เหตุใดเขาจึงอดรนทนไม่ได้เล่า! 

 

 

แต่หม้ออันใดนั้นที่ญาติผู้พี่มอบให้ เขาทนไม่ได้จริงๆ! 

 

 

เมื่อเห็นความผิดหวังพาดผ่านไปในดวงตาเจินเมี่ยว หลัวเทียนเฉิงก็เอ่ยอย่างคนหน้าหนาว่า “คราก่อนข้าให้หลัวเป้าเอาหม้อไปให้เจ้ามิใช่หรือ?” 

 

 

เจินเมี่ยวครุ่นคิดแล้วพลันเอ่ยว่า “ท่านหมายถึงหม้อที่แบนจนแม้แต่ใส่ไข่ไก่ก็แทบจะไม่ได้นั้นน่ะหรือ?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงบิดเบ้มุมปากตน “ไข่ไก่?” 

 

 

“ใช่” เจินเมี่ยววาดขนาดของมันในอากาศ “ใหญ่เท่านี้ ใช้ทอดไข่ได้พอดิบพอดีเลย” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงพลันหน้าตึงขึ้นมา เขาได้แต่ลอบฟาดแส้ใส่หลัวเป้าอยู่ในใจ 

 

 

วันนั้นเขายุ่งมากจึงให้เจ้าคนชั่วช้านั้นไปซื้อหม้อแทนเขา ที่แท้ก็กลั่นแกล้งเขาเช่นนี้เองหรือ? 

 

 

กลับไปจักไล่ไปขัดห้องปลดทุกข์เสียให้เข็ด! 

 

 

ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง หลัวเทียนเฉิงลงไปก่อนแล้วค่อยยื่นมือมารับเจินเมี่ยว 

 

 

เจินเมี่ยวมาในฐานะที่ไม่เหมือนเดิม ครานี้จึงต้องตามหลัวเทียนเฉิงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เสียก่อน 

 

 

แม้นเจาเฟิงตี้จะดูซูบผอมลงไปเล็กน้อย อารมณ์ก็มิใคร่จะสู้ดีนัก แต่กลับมีท่าทีอ่อนโยนต่อทั้งสองคนยิ่ง 

 

 

หลังจากนั้นก็กำชับให้เจินเมี่ยวไปหาไท่โฮ่วแล้วอยู่พูดคุยกับหลัวเทียนเฉิงตามลำพัง 

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวเดินพ้นไป เจาเฟิงตี้ก็หุบยิ้มทันที เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานในจวนหย่งอ๋อง สืบทราบหรือยังว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลัง?” 

 

 

“ยังพ่ะย่ะค่ะ แต่มีเบาะแสแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เจาเฟิงตี้แค่นยิ้มเย็น “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ย่อมต้องเกี่ยวพันกับลี่อ๋องสักแปดเก้าส่วน เขาอยากเห็นแผ่นดินของข้าวุ่นวาย แล้วฉวยโอกาสนี้บุกเข้ามา” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงก้มหน้าไม่พูดจา 

 

 

เรื่องครานี้แม้นจะเบาะแสบางส่วนชี้ว่าเป็นฝีมือของรัชทายาทที่ถูกปลดไปในรัชสมัยก่อน แต่ยามนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานใดแน่ชัด จึงมิจำเป็นต้องเอ่ยให้มากความ 

 

 

“ขุนนางหลัว เจ้าส่งหน่วยองครักษ์จิ่นหลินกลุ่มหนึ่งไปเฝ้าติดตามเรื่องนี้โดยเฉพาะ หากมีผู้ใดกล้าเอ่ยเรื่องนี้แม้เพียงน้อยนิดก็อย่าได้ละเว้น ” น้ำเสียงของเจาเฟิงตี้เย็นเยียบอย่างน้อยนักจะได้เห็น 

 

 

รัชทายาทมิได้ความ ร่างกายเขาเองก็มิใคร่แข็งแรงนัก เวลานี้ต้าโจวมิอาจทานรับแม้แต่พายุฝนเพียงน้อยนิด 

 

 

ผู้ใดกล้าทำให้การอภิเษกครั้งนี้ต้องล่ม ต่อให้เขาถูกขุนนางด่าว่าเป็นจักรพรรดิป่าเถื่อน แต่เขาก็มิสนใจแล้ว 

 

 

“หม่อมฉันคิดว่า ในเมืองหลวงคงไม่มีผู้ใดสนใจเรื่องนี้ดอกพ่ะย่ะค่ะ มันก็เป็นเพียงแค่บทกลอนที่องค์หญิงแต่งไปตามความรู้สึกในชั่วขณะนั้นเท่านั้นเอง” 

 

 

เมื่อได้ฟังวาจาที่มีนัยของหลัวเทียนเฉิง เจาเฟิงตี้ก็เลิกคิ้วขึ้นทันที “หืม? แต่งไปตามความรู้สึกในชั่วขณะนั้นหรือ?” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันได้ยินภรรยาเล่าว่า องค์หญิงทรงชื่นชอบเฮ่อหยวนรั่ว นักกวีในยุคสมัยก่อนยิ่งจึงได้แต่งกลอนบทนั้นขึ้นมา แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดมันจึงปรากฏขึ้นในการละเล่นร่ายบทกลอนเมื่อคืนนี้ได้” 

 

 

เจาเฟิงตี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มออกมา “เจียหมิงพูดเช่นนี้จริงหรือ?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ ภรรยาหม่อมฉันกับองค์หญิงชูสยาเป็นสหายที่ดีต่อกันมาตลอด คิดว่าองค์หญิงคงเป็นผู้บอกกล่าวต่อนางแน่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ฮ่าๆๆ…” เจาเฟิงตี้หัวเราะร่าออกมา 

 

 

เจาเฟิงตี้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรมานานหลายปีถึงเพียงนี้มีหรือจะโง่เขลา เขาพลันเข้าใจความนัยที่หลัวเทียนเฉิงจะสื่อออกมาได้ทันที 

 

 

ด้านหนึ่งก็ทอดถอนใจที่เขาล้วนยกความดีความชอบให้ภรรยาตนทั้งหมดโดยมิคำนึงถึงตนเองเลย อีกด้านก็ลอบชื่นชมเจินเมี่ยวอยู่ไม่น้อย 

 

 

เขาดูไม่ผิดจริงๆ แม่นางน้อยผู้นั้นเป็นคมในฝักแท้ๆ ไม่เสียทีที่เป็นหลานสาวของเจินไท่เฟย 

 

 

ครั้นเจาเฟิงตี้นึกถึงเจินไท่เฟยก็เกิดสงสัยขึ้นมาอีก 

 

 

เจินไท่เฟยกับเสด็จแม่คบค้ากันด้วยดีเสมอมา แต่เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเสด็จแม่มิใคร่ชมชอบเจียหมิงสักเท่าใดนัก? 

 

 

เขาคิดว่ามันคงมิใช่แค่เจียหมิงได้เผลอไปล่วงเกินฟังโหรวเมื่อคราเริ่มแรกเท่านั้นแน่ 

 

 

คำถามนี้ได้แต่วนเวียนอยู่ในหัวครู่หนึ่ง เจาเฟิงตี้ก็สลัดมันทิ้งไปแล้ว อย่างไรเสียจักรพรรดิก็มีเรื่องให้ต้องกังวลอีกมาก ทั้งในยามที่สภาพร่างกายและจิตใจไม่คงที่เช่นนี้ เขาก็ไม่มีแก่ใจไปคิดครวญเรื่องในวังหลังเหล่านั้นเสียหรอก 

 

 

“ขุนนางหลัว เจ้าต้องดีกับเจียหมิงให้มากๆ นะ หากภายหน้าเจ้ารังแกหน้า ข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป ตามด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ฮ่องเต้และขุนนางทั้งสองจึงเริ่มสนทนาเรื่องอื่นต่อไป 

 

 

ตอนที่เจินเมี่ยวไปที่ตำหนักไท่โฮ่วก็เห็นเด็กน้อยหลายคนยืนล้อมรอบกาย อายุน้อยที่สุดคงสี่ห้าปี มากที่สุดไม่เกินเจ็ดแปดปี นางจึงอดมองอยู่ครู่หนึ่งมิได้ 

 

 

ไท่โฮ่วผลิยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าอายุมากแล้ว แต่ชอบความคึกคัก พวกเขาเป็นบุตรสาวของเหล่าองค์ชาย” 

 

 

พูดพลางหันไปเอ่ยกับเด็กน้อยผู้หนึ่งว่า “ยังมิคารวะท่านอาเจียหมิงอีกหรือ?” 

 

 

เด็กน้อยหลายคนย่อกายคารวะต่อเจินเมี่ยว เจินเมี่ยวเห็นแล้วตอบรับพวกเขามันที 

 

 

พลันมีเด็กน้อยผู้หนึ่งเอ่ยเย้าว่า “ท่านอาเจียหมิงมีของขวัญให้เมื่อยามแรกพบหน้าหรือไม่?” 

 

 

เด็กน้อยดูท่าทางจะอายุแค่ห้าหกปี นางเอียงคอมองเจินเมี่ยวอย่างไรเดียงสา 

 

 

เจินเมี่ยวหวาดหวั่นใจขึ้นมา รู้สึกว่าการได้พบกับจวิ้นจู่น้อยๆ เหล่านี้นั้นออกจะแปลกพิกลอยู่บ้าง 

 

 

ในเมื่อวันนี้ไท่โฮ่วเรียกให้จวิ้นจู่น้อยทั้งหลายเข้าวังมาเล่นด้วยแต่กลับไม่มีผู้ใดบอกนางสักคำ เมื่อมิได้เตรียมของขวัญให้เมื่อยามแรกพบหน้า เช่นนี้ก็มิเท่ากับต้องการให้นางเสียหน้าหรือ? 

 

 

เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สายตาอันแหลมคมมองไปที่จานผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะไม้หลี่แล้วยิ้มออกมา “ย่อมต้องมีแน่นอน แต่ของขวัญยามแรกพบหน้านั้นต้องทำตอนนี้จึงจะสวยงาม” 

 

 

พูดพลางหันไปย่อกายให้ไท่โฮ่วเล็กน้อย “ไท่โฮ่ว เจียหมิงอยากจะยืมมีดแกะสลักสักเล่มได้หรือไม่เพคะ” 

 

 

ไท่โฮ่วยังมิทันได้พูดสิ่งใด แม่นมที่อยู่ข้างกายก็เอ่ยขึ้นว่า “ไท่โฮ่ว ขอทรงอย่ากริ้วที่หม่อมฉันไร้มารยาท ของมีคมเช่นนั้นมิอาจให้ท่านเอามาใช้ต่อหน้า…” 

 

 

“หุบปาก!” ไท่โฮ่วถลึงตามองแม่นมผู้นั้นอย่างดุดัน 

 

 

แม่นมผู้นั้นมิกล้าพูดต่อแต่กลับใช้สายตาเตือนเจินเมี่ยว 

 

 

เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เจินเมี่ยวก็มิอาจขอร้องอีก นางคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเจียหมิงเองที่มิคิดให้รอบคอบ” 

 

 

“เจียหมิงคิดจะแกะสลักผลไม้กระมัง แต่หากไม่มีมีดแกะสลัก…” 

 

 

“มิเป็นไรเพคะ ไท่โฮ่วโปรดวางใจ มิใช้มีดแกะสลักก็ได้เพคะ” เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset