วาสนาบันดาลรัก 257 หวาดหวั่นใจ

ตอนที่ 257 หวาดหวั่นใจ

“ไม่มีมีดแกะสลักก็ทำได้หรือ?” ไท่โฮ่วรู้สึกสนใจขึ้นมา 

 

 

เจินเมี่ยวจึงหยิบผิงกั่วขึ้นมาจากจานแก้วนั้น แล้วดึงปิ่นทองบนศีรษะออกมาแกะสลัก 

 

 

ปิ่นทองนั้นมิคมเท่ากับมีดจึงมิอาจแกะสลักให้ประณีตได้ นางแค่ใช้วิธีการเล็กน้อย ควักตรงนี้นิด จิ้มตรงนี้หน่อย ไม่นานก็ปรากฏเป็นรูปหน้าสุกรแสนน่ารักขึ้น 

 

 

ต่อมาก็แกะลูกไก่ที่เพิ่งออกมาจากไข่ เม่นน้อยที่แบกผลไม้ไว้บนหลัง และกระต่ายน้อยทึ่มทื่อ…ไล่เรียงกันมาตามลำดับ 

 

 

แม้นจะมิได้ประณีตนักแต่การแกะสลักผลไม้เป็นรูปสัตว์ตัวเล็กๆ น่ารักเอาใจเด็กหญิงทั้งหลายนั้นก็มากเพียงพอแล้ว 

 

 

ดั่งคาดเด็กน้อยแต่ละคนต่างล้อมวงเข้ามามองดูด้วยสีหน้าประหลาดใจ 

 

 

เจินเมี่ยวหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมือแล้วส่งผลไม้ที่แกะสลักแล้วนั้นให้แก่เด็กๆ ทุกคน แล้วยังดึงเอาถุงผ้าใบเล็กที่เหน็บเอวเทเอาแผ่นทองสลักออกมา 

 

 

ว่าไปแล้วเด็กหญิงตัวน้อยๆ ทั้งหลายนี้ต่างก็มีฐานะสูงส่ง เงินทองมุกหยกต่างไม่เห็นว่าสำคัญ แต่แผ่นทองสลักนี้ ล้วนถูกออกแบบมาให้เป็นสัตว์ตัวเล็กๆ น่ารักทั้งสิ้น เมื่อมาเทียบกับผลไม้สลักในมือแล้วก็ยิ่งรู้สึกสนุกและแปลกใหม่มากขึ้นกว่าเดิม 

 

 

ครั้นเห็นหลานสาวทั้งหลายต่างให้ความสนอกสนใจกับผลไม้สลักและแผ่นทองสลัก ไท่โฮ่วก็เอ่ยอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจียหมิงช่างใส่ใจนัก” 

 

 

นางแกะสลักผลไม้ออกมาได้นั้นก็เหลือเชื่อแล้ว แต่แผ่นทองสลักที่นำมายังมีหน้าตาเช่นเดียวกับผลไม้สลักที่แบ่งให้เด็กๆ อีกด้วย เช่นนี้แล้วแม้นของขวัญแรกพบหน้าจะดูไร้ราคาอยู่บ้างแต่ความแปลกใหม่น่าสนใจกลับมีอยู่เต็มเปี่ยม 

 

 

เด็กน้อยมิใช่ชมชอบความตื่นเต้นแปลกใหม่หรอกหรือ หากบอกว่านางมิได้ตั้งใจเตรียมมา ตนก็เป็นคนแรกที่จะไม่เชื่อ 

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มอ่อนโยนคราหนึ่ง “ขอเพียงจวิ้นจู่น้อยทั้งหลายมิรังเกียจก็พอแล้วเพคะ” 

 

 

แผ่นทองแกะสลักที่ผู้มีฐานะมั่งคั่งทั้งหลายพบเห็นอยู่บ่อยครั้งก็คงมีเพียงถั่วลิสง น้ำเต้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสิริมงคล วันๆ เจินเมี่ยวก็มิได้มีอันใดทำนัก ทั้งมิชมชอบเล่นหมากรุกดีดพิณฆ่าเวลา ยามว่างก็ใฝ่หาแต่เรื่องกินเที่ยวเล่นนั้น 

 

 

แรกเริ่มนั้นเพราะนางเห็นว่าคุณชายน้อยทั้งหลายชื่นชอบจิ้งจอกน้อยสีทองนั้นยิ่ง จึงได้ออกแบบอีกสิบกว่าชนิดตีเป็นแผ่นทองสลักนี้ขึ้นมา 

 

 

นอกจากแผ่นทองสลักนี้แล้วยังมีแผ่นเงินสลักเป็นถุงเงินอีกด้วย นางเพียงแค่พกติดมือมาด้วยยามออกนอกเรือน แต่มิได้คิดจะนำไปเป็นของขวัญเมื่อแรกพบโดยเฉพาะ แต่ก็คิดว่าหากต้องนำมันออกมามอบให้ผู้ใด แผ่นเงินแผ่นทองสลักพวกนี้ก็ดูสวยงามน่ารักดี ไม่มีอันใดต้องเสียหน้าสักนิด 

 

 

ส่วนผลไม้สลักที่นางทำขึ้นนั้นก็แน่นอนว่าต้องสลักไปตามแผ่นทองสลักที่นางมีอยู่เพื่อเพิ่มความสนุกและน่าสนใจให้เพิ่มขึ้นอย่างไรเล่า 

 

 

เจินเมี่ยวลอบคิดในใจว่า รอให้กลับถึงจวนนางจะสั่งตีแผ่นทองสลักลวดลายใหม่ๆ อีกหลายแบบ 

 

 

เวลานี้เองเด็กน้อยที่ถือผลไม้สลักรูปกระต่ายก็หันไปมองนางอยู่แล้วคราแล้วเอ่ยเสียงใสว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้านั้นเอง!” 

 

 

เอ๊ะ? 

 

 

เจินเมี่ยวจ้องมองอย่างละเอียดอีกคราก็รู้สึกว่าเด็กน้อยคุ้นหน้ายิ่ง แต่สำหรับนางแล้วเด็กน้อยก็มีหน้าตาคล้ายๆ กันไปเสียหมด แล้วนี่เป็นบุตรของผู้ใดเล่า ในเมื่อต่างเป็นญาติพี่น้องกัน ย่อมต้องมีส่วนคล้ายกันอยู่บ้างทั้งสิ้น ในเวลาเพียงสั้นๆ นางจึงมิทันคิดออก 

 

 

ไท่โฮ่วจึงหันไปมองเด็กน้อยผู้นั้นแล้วกวักมือเรียก “หรุ่ยเอ๋อร์ มาหาย่าทวดเร็ว” 

 

 

เจินเมี่ยวเป็นคนมีไหวพริบเมื่อได้ยินว่า ‘หรุ่ยเอ๋อร์’ นางก็คิดออกขึ้นมาทันที นี้มิใช่ลูกหมีขององค์ 

 

 

ชายหกหรอกหรือ! 

 

 

ไม่คิดว่าจะได้พบเจออีกจริงๆ คราก่อนที่เจอเจ้าลูกหมีนี้นางก็ถูกแกล้งไปคราหนึ่ง ครั้งนี้คงมิถูกกลั่นแกล้งอีกกระมัง 

 

 

“เสด็จย่าทวด…” หรุ่ยเอ๋อร์เดินเข้าไปหา เมื่ออยู่ต่อหน้าไท่โฮ่วกลับเชื่อฟังว่าง่ายอย่างประหลาด 

 

 

ใบหน้าไท่โฮ่วห้อยแขวนไปด้วยรอยยิ้มแห่งเมตตา แต่แววตากลับมิได้ยิ้มตาม “หรุ่ยเอ๋อร์ บอกย่าทวดสิ ว่าเจ้ารู้จักกับท่านอาเจียหมิงตั้งแต่เมื่อใด?” 

 

 

องค์ชายหกมิใช่คนผู้ที่โดดเด่นอันใดในหมู่องค์ชาย หรุ่ยเอ๋อร์ก็เป็นเพียงบุตรที่เกิดจากอนุ ปกติแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าไท่โฮ่วนางก็มิได้มีเกียรติศักดิ์อันใด แม้นปกตินางจะซุกซนแต่ก็รู้ดีว่าสตรีที่สูงส่งที่สุดในใต้หล้าย่อมมิไยดีนาง วันนี้ไท่โฮ่วกลับพูดคุยกับนางอย่างเอาใจ นางจึงตอบกลับไปอย่างสัตย์ซื่อ “ในงานเทศกาลโคมไฟปีนี้เอง ท่านอาหมิงเจียยังให้โคมกระต่ายที่กินได้แก่หรุ่ยเอ๋อร์ด้วย” 

 

 

เจินเมี่ยวรับรู้ได้ว่าหลังจากวาจานี้เอ่ยออกไป บรรยากาศรอบตัวไท่โฮ่วก็พลันเย็นเยียบขึ้นมา 

 

 

ไท่โฮ่วเอ่ยถามเนิบนาบต่อไปว่า “หรุ่ยเอ๋อร์ไปชมโคมไฟกับท่านพ่อใช่หรือไม่?” 

 

 

“เพคะ” หรุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย 

 

 

ไท่โฮ่วเหลือบตาขึ้นมองเจินเมี่ยว 

 

 

สายตาที่มองมายังนางนั้นคล้ายจะมองทะลุเข้าไปถึงข้างในก็มิปาน มีทั้งความระแวง โกรธ และรังเกียจ 

 

 

เจินเมี่ยวเองก็บอกไม่ถูกว่าเหตุใดนางจึงมองเห็นความในใจที่พาดผ่านเข้ามาในดวงตาเพียงวูบเดียวของไท่โฮ่วได้ 

 

 

แต่เมื่อนางอยากมองดูให้ละเอียดอีกหน่อย ไท่โฮ่วก็กลับมามีท่าทีสงบราบเรียบดั่งเดิมแล้ว เพียงแต่นัยน์ตานั้นกลับเพิ่มความล้ำลึกขึ้น นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า “เจียหมิงช่างใส่ใจนัก” 

 

 

ใส่ใจ? 

 

 

เจินเมี่ยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหตุใดจึงรู้สึกว่าวาจานี้มีนัยบางอย่างแฝงอยู่เล่า! 

 

 

ไท่โฮ่วส่งสายตาให้แม่นมนำของมามอบเป็นรางวัลแก่เจินเมี่ยว นางยกชาขึ้นจิบ “เอาล่ะ เจียหมิง งานในจวนเจ้าคงมีอีกมาก มิจำเป็นต้องอยู่ที่นี่นานนัก เมื่อเข้าเฝ้าหวงโฮ่วแล้วก็รีบกลับไปเถิด” 

 

 

“เจียหมิงทูลลาเพคะ” เจินเมี่ยวย่อกายถวายพระพร 

 

 

กระทั่งนางกำนัลพานางออกไป นางจึงคิดขึ้นได้ว่าไท่โฮ่วอาจกำลังบอกเป็นนัยให้นางมิต้องเข้าวังบ่อยๆ? 

 

 

แม้นนางจะมิได้ฉลาดนักแต่ผู้ใดชมชอบนางหรือไม่นางก็ยังคงสัมผัสได้ 

 

 

แม้นในใจยังสงสัยยิ่งแต่ก็คิดไม่ออกว่าตนไปทำอันใดให้ไท่โฮ่วไม่พอพระทัยกันแน่ เจินเมี่ยวส่ายหน้า 

 

 

ช่างเถิด อย่างไรเสียเรื่องการเข้าวังนางก็กำหนดอันใดมิได้ ส่วนไท่โฮ่วจะโปรดปรานนางหรือไม่ก็มิจำเป็นต้องร้อนใจ ขอเพียงต่อหน้ามิกลั่นแกล้งนางเป็นพอ 

 

 

เสียงหัวเราะแผ่วเบาลอยมา เจินเมี่ยวจึงเงยหน้าขึ้น 

 

 

องค์ชายหกยืนอยู่ไม่ไกลนัก นัยน์ตาหงส์เล็กเรียวแฝงไปด้วยรอยยิ้มอันไม่ยี่หระต่อสิ่งใด 

 

 

“เจียหมิง เพิ่งออกมาจากตำหนักไท่โฮ่วหรือ?” 

 

 

“องค์ชายหก” เจินเมี่ยวย่อกายถวายพระพร แล้วเอ่ยตอบ “เพคะ กำลังจะไปเข้าเฝ้าหวงโฮ่ว องค์ชายหกจะไปตำหนักไท่โฮ่วหรือเพคะ?” 

 

 

“อืม ไปรับหรุ่ยเอ๋อร์กลับน่ะ” องค์ชายหกเลิกคิ้ว “เจียหมิง เหตุใดจึงมิเรียกพี่หกเล่า?” 

 

 

เจินเมี่ยวคิดว่าตนหูฝาด 

 

 

องค์ชายหกเดินเบี่ยงไปอีกทางแล้วเอ่ยว่า “ต้องเรียกพี่หกจึงจะถูก มิเช่นนั้นคราหน้าข้าจะบอกกับหัวหน้าผู้บัญชาการหลัวว่าเจ้าทำตัวเสียมารยาท” 

 

 

เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากตน เมื่อคิดถึงเจินจิ้งคำว่า ‘พี่หก’ ก็พูดไม่ออกขึ้นมาทันที 

 

 

องค์ชายหกคล้ายดูออกว่าเจินเมี่ยวมิยินยอมก็ถึงกลับชะงักฝีเท้า แล้วหยุดยืนรออยู่ตกนั้นด้วยรอยยิ้ม “เจียหมิง เจ้าจะมิบอกลาเสด็จพี่หน่อยหรือ?” 

 

 

เหลือเกินจริงๆ แต่ละคนล้วนเอาแต่ใจตนทั้งสิ้น! 

 

 

เจินเมี่ยวก้มหน้าลงแล้วฝืนเอ่ยออกไปว่า “ทูลลาเสด็จพี่เพคะ” 

 

 

เมื่อเห็นว่าบุคคลผู้สวมใส่ปักลายหมั่งเสอเดินจากไปและเสียงฝีเท้าก็ไกลออกไปทุกที 

 

 

เจินเมี่ยวก็ถอนหายใจออกมา แล้วตานางกำนัลไปที่วังหนิงคุน 

 

 

องค์ชายหกเดินเข้าไปในประตูตำหนักบรรทมของไท่โฮ่วก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นของเด็กน้อยดังมา “ท่านพ่อ…” 

 

 

หรุ่ยเอ๋อร์ลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหา แต่เมื่อหันกลับไปมองไท่โฮ่วคราหนึ่งก็ต้องหยุดยืนนิ่ง 

 

 

ไท่โฮ่วจึงเอ่ยว่า “เจ้าหก หรุ่ยเอ๋อร์ติดเจ้าเช่นนี้เอง มิน่าทุกคราจึงมีแต่เจ้าที่มารับนางกลับ” 

 

 

องค์ชายหกเดินเข้ามาถวายพระพรไท่โฮ่ว แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก็เพราะหลานยังไม่มีภรรยาต่างหาก ไม่เหมือนพี่สะใภ้ทั้งหลายที่จะมาเมื่อใดก็ย่อมได้” 

 

 

เพื่อความยุติธรรม ไท่โฮ่วจึงมักให้เหลนทุกคนเข้ามาเล่นด้วยอยู่บ่อยครั้ง ทุกครามักจะเป็นพระยาชาขององค์ชายที่มารับบุตรีตนกลับไป 

 

 

องค์ชายหกยังไม่แต่งพระชายา อนุก็มิได้มีสิทธิ์เข้ามาในวัง เขาจึงต้องมารับด้วยตนเอง 

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ไท่โฮ่วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา นางจึงหุบยิ้มเอ่ยถามว่า “คุณหนูเฟยชุ่ยจวนมู่เอินโหว คงต้องรอกอีกปีกว่ากระมังถึงจะเลิกไว้ทุกข์?” 

 

 

ครั้นเอ่ยถึงคู่หมั้น องค์ชายหกก็ยังมีท่าทีไม่ยี่หระต่อสิ่งใดเช่นเดิม “น่าจะเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ไท่โฮ่วแค่นเสียงหึคราหนึ่ง “ไม่รู้ว่าบิดาเจ้าหวงโฮ่วคิดสิ่งใดอยู่…” 

 

 

พูดเพียงเท่านี้ก็พันหยุดวาจาตนไว้ 

 

 

อย่างไรเสียจ้าวเฟิงตี้ก็เป็นผู้พระราชทานงานอภิเษกนี้ นางเป็นมารดาย่อมมิอาจหักหน้าบุตรต่อหน้าหลานได้  

 

 

เมื่อไท่โฮ่วรู้ตัวว่าเผลอเสียกริยาก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

องค์ชายหกดูออกทุกอย่างจึงชำเลืองมองคราหนึ่งก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ผลไม้สลักรูปกระต่ายที่หรุ่ยเอ๋อร์ถืออยู่นั้นช่างน่าสนใจยิ่ง เสด็จย่า หลานขอเดาว่า เจียหมิงคงเป็นคนทำให้นางกระมัง?” 

 

 

คิดไม่ถึงว่าเมื่อเอ่ยวาจานี้ออกมา ไท่โฮ่วกลับมิยิ้มแม้เพียงสักเล็กน้อยทั้งยังกวาดตามองเขาอย่างพินิจแล้วถามว่า “เจ้าพบกันกับเจียหมิงหรือ?” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ ตอนที่หลานมาที่นี่ก็พบเจียหมิงที่กำลังไปวังหนิงคุนเข้าพอดี” องค์ชายหกรู้สึกถึงความผิดปกติ ในใจก็ครุ่นคิดไม่เลิกราแต่ใบหน้ากลับไม่เผยสิ่งใดแม้เพียงน้อยนิด 

 

 

แม้นเขาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดไท่โฮ่วจึงแปลกไปเพราะเรื่องนี้ แต่เขาก็รู้ว่าหากตนเผยความผิดปกติใดออกไป ไท่โฮ่วก็จะยิ่งคิดมาก 

 

 

ทว่าเมื่อมาครุ่นคิดอย่างละเอียดเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตนพูดสิ่งใดผิดไปกันแน่ 

 

 

ไท่โฮ่วยื่นมือออกมาคิดจะหยิบลูกเหมยในจานขึ้นมากินแต่ก็เปลี่ยนไปยกชาขึ้นจิบแทน นางจิบไปคำหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวเจียหมิงคงไปหาเจินไท่เฟย เจ้าหก วันนี้เจ้าก็อย่าไปที่นั่นเลย ให้พวกนางสองย่าหลานได้พูดคุยกันสักหน่อยเถิด” 

 

 

องค์ชายหกพลันใจเต้นแรงขึ้นมา เขาเข้าใจในนัยนั้นของไท่โฮ่วทันที 

 

 

ไท่โฮ่ว…มิอยาให้ตนพบกับเจียหมิง? 

 

 

คิดถึงตรงนี้ใจเขาก็ขมวดเกร็งขึ้นมา 

 

 

ไท่โฮ่วมิอยากให้องค์ชายทุกพระองค์พบปะกับเจียหมิง หรือแค่ไม่อยากให้ตนพบกับเจียหมิงกันเล่า? 

 

 

หากเป็นอย่างแรกเขาก็พอเข้าใจ อย่างไรเจียหมิงก็มิใช่กิ่งทองใบหยกที่แท้จริง การหลีกเลี่ยงพบปะ แม้นจะดูระแวดระวังเกินเหตุไปหน่อย แต่ก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน 

 

 

ทว่าหากเป็นอย่างหลัง หรือไท่โฮ่วจะคิดว่าตนมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจียหมิง หรือไท่เฟย… 

 

 

องค์ชายหกเหงื่อแตกไหลซึมท่วมกาย เขาได้แต่ส่ายหน้าอยู่ในใจ 

 

 

เป็นไปไม่ได้ คราแรกที่เขาเข้าใจในความรู้สึกอันแท้จริงของตนก็ยังรู้สึกไร้หนทางจะไปเผชิญหน้ากับมัน กระทั่งเจ็บปวดใจอยู่ระยะหนึ่ง แล้วไท่โฮ่วจะคิดไปในทิศทางนั้นได้อย่างไรกัน! 

 

 

อีกอย่าง ไท่โฮ่วกับไท่เฟยก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา… 

 

 

องค์ชายหกส่ายหน้าอีกครา แต่ไหนแต่ไรหวังหลังก็ฆ่าคนไม่เห็นโลหิตอยู่แล้ว ภายนอกที่เห็นจะนับเป็นอันใดได้เล่า 

 

 

“แค่กๆ” ไท่โฮ่วกระแอมไอแผ่วเบาคราหนึ่ง 

 

 

องค์ชายหกพลันมีสติคืนมา เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “เสด็จย่าวางพระทัยเถิด หลานย่อมไม่ไปที่นั่นให้คนเขาหงุดหงิดใจแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ไท่โฮ่วเห็นท่าทีฉลาดปราดเปรื่องขององค์ชายหกแล้ว สีหน้าก็ผ่อนคลายลงมาก 

 

 

กระทั่งองค์ชายหกรับหรุ่ยเอ๋อร์จากไป ไท่โฮ่วจึงส่งสายตาให้นางกำนัลพาจวิ้นจู่น้อยไปเล่นที่ห้องหน่วนเก๋อแทน 

 

 

ภายในห้องเหลือเพียงไท่โฮ่วและแม่นมชราผู้นั้น ไท่โฮ่วถอนหายใจยาวออกมาอย่างล้ำลึก 

 

 

แม่นมผู้นั้นพิจารณาท่าทีของไท่โฮ่วอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยปลอบว่า “ไท่โฮ่วพระองค์ทรงวาพระทัยเถิด จากที่หม่อมฉันเห็น เจียหมิงเซี่ยนจู่มิเหมือนนางเลยเพค่ะ” 

 

 

ไท่โฮ่วนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย ภายในห้องมีแสงขมุกขมัว ทำให้ใบหน้านางยิ่งดูอึมครึม เสียงที่เอ่ยก็แผ่วต่ำยิ่ง “ฟู่เซียง ใจของข้าหวาดหวั่นยิ่ง เด็กสาวผู้นั้นแต่งงานออกไป ยิ่งเจริญวัยรูปร่างหน้าตาก็ยิ่งคล้ายนางมากขึ้นทุกที แค่นางก้าวเข้ามาในวัง ข้าก็อดหวาดหวั่นมิได้เสียที” 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset