วาสนาบันดาลรัก 255 กระบี่แหวกวิถี

ตอนที่ 255 กระบี่แหวกวิถี

“ท่านว่ามา” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ประคองเอวตนไว้ แล้วเอ่ยถามอย่างลับๆ ล่อๆ ว่า “ศัตรูของท่านลุงรองเจ้าคือผู้ใด?” 

 

 

“ห๊ะ?” เจินเมี่ยวคิดว่าตนฟังผิด 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่กัดริมฝีปาก “เจ้าให้หลัวซื่อจื่อลอบสืบดูว่าศัตรูของลุงรองเจ้ามีผู้ใดบ้าง!” 

 

 

“ชูสยา ความหมายของท่านคือ…” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่หลุบม่านตาลง นางเอ่ยอย่างละอายใจอยู่บ้างว่า “รอให้หลัวซื่อจื่อสืบจนรู้ว่าคนพวกนั้นมีใครบ้าง เจ้าก็เขียนรายชื่อมาให้ข้า ข้าจะเลือกคนที่เหมาะสมสักคน ก็เป็นเขานั้นแล!” 

 

 

เจินเมี่ยวกลับซูดปากคราหนึ่ง “ชูสยา ท่านพูดให้ชัดเจน อันใดที่เรียกว่า ‘ก็เป็นเขานั้นแล’ ห๊ะ? ” 

 

 

นางรู้ว่าไม่ควรจะไปคาดหวังวิธีการดีๆ อันใดกับกิ่งทองใบหยกที่เติบโตมาท่ามกลางผู้คนที่คอยเอาใจ แต่…ชูสยาร้อนใจกว่าตนเสียอีก 

 

 

“เจ้าตกใจอันใด?” ชูสยาจวิ้นจู่กลอกตาไปมา นางเอ่ยอย่างคล่องปากคล้ายได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว “อย่างไรข้าก็ต้องอภิเษกออกไป เรื่องนี้เสด็จลุงย่อมต้องเก็บไว้ให้เงียบ อย่างมากพวกเขาก็ได้แต่คาดเดา แต่ข้าก็รู้ดี แม้นภายนอกจะเก็บงำไว้ แต่เมื่อเสด็จรู้สืบจนทราบว่าคนผู้นั้นเป็นใคร คนผู้นั้นจักต้องสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่แน่ว่าอาจสูญเสียตำแหน่งขุนนางด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะเลือกผู้ที่เป็นศัตรูของเขา และเป็นสิ่งเดียวที่ข้าจะทำเพื่อเขาได้แล้ว” 

 

 

เจินเมี่ยวตาถลน ปากอ้าค้าง 

 

 

“คุณหนูสี่ เจ้าจะช่วยข้าหรือไม่?” ชูสยาจวิ้นจู่ยื่นมือออกมาดึงแขนเสื้อนาง 

 

 

เจินเมี่ยวกุมขมับตนแล้วจึงเอ่ยว่า “ชูสยา เรื่องนี้ข้าทำไม่ได้” 

 

 

“อันใดกัน?” ชูสยาจวิ้นจู่เม้มริมฝีปากแน่น นางพิจารณาเจินเมี่ยวอย่างถี่ถ้วน แล้วถอนหายใจออกมา “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดว่าทำเช่นนี้ช่างไร้คุณธรรมยิ่ง แต่เรื่องนี้หากมิหาแพะรับบาป เขาก็จะตกอยู่ในอันตราย และเขาก็เป็นท่านลุงรองของเจ้า ดั่งคำที่กล่าวว่าเสียสละชีพตนก็มิยอมให้สหายต้องตาย เคยได้ยินหรือไม่! อีกอย่าง ข้าก็มิได้ถึงขั้นคร่าชีวิตใคร อย่างมากก็แค่ไร้ตำแหน่ง หึ คนที่เป็นศัตรูกับเขานั้นย่อมมิใช่คนดีอันใด หากราชสำนักมีคนเช่นนี้น้อยลงอีกสักหน่อย ก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน” 

 

 

“กล่าวเช่นนี้ท่านก็นับว่าเป็นผู้ทำคุณประโยชน์อย่างหาที่สุดมิได้แล้วหรือ?” เจินเมี่ยวกลอกตาคราหนึ่ง 

 

 

“โอ๊ย คุณหนูสี่ผู้แสนดี เจ้าช่วยข้าสักคราเถิด…” ชูสยาจวิ้นจู่ดึงแขนเสื้อเจินเมี่ยวไว้พลางขอร้อง คิดไม่ถึงว่าจะกระเทือนไปถึงแผล นางจึงร้องโหยหวนออกมาอย่างน่าสงสาร 

 

 

สาวใช้หลายคนรีบวิ่งเข้ามา 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ขมวดคิ้วด่าทอ “ออกไป!” 

 

 

สาวใช้หลายคนจึงถอยออกไปด้วยใบหน้าเศร้าตรม 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่เงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ดิ่งต่ำว่า “คุณหนูสี่ เจ้ามิใช่ไม่รู้ ยามนี้ข้าเห็นเหล่าสาวใช้ก็รู้สึกอึดอัดจนแทบจะอาเจียนออกมา” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่มีบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่มาตั้งแต่เยาว์ไว้ สาวใช้ข้างกายต่างต้องคัดสรรอย่างดี โดยเฉพาะสาวใช้ที่เติบโตมาพร้อมกับนา สำหรับนางแล้วก็เหมือนแขน ไม่มีอันใดที่จะให้พวกนางทำแทนมิได้ ดังนั้นการหักหลังของชิวเตี๋ยจึงทำให้นางรู้สึกไม่อยากจะเชื่อมาถึงตอนนี้ 

 

 

เจินเมี่ยวตบหลังมือชูสยาเป็นการปลอบใจ 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ระบายโทสะอยู่ครู่หนึ่งจึงมีสติคืนมา นางใช้สายตาอันเจิดจ้านั้นจ้องมองเจินเมี่ยว 

 

 

“ท่านได้มองข้าเช่นนี้ วิธีนี้มิอาจทำได้” 

 

 

“เหตุใดจึงทำมิได้?” ชูสยาจวิ้นจู่ร้อนใจขึ้นมา 

 

 

เจินเมี่ยวยื่นมือดีดที่หน้าผากชูสยาจวิ้นจู่ แล้วเอ่ยตำหนิ “ท่านควรคิดสักนิด ท่านลุงรองข้าอายุเท่าใดกันแล้ว ศัตรูของเขาย่อมต้องอายุมากกว่า ไม่มีน้อยกว่าแน่ ท่านลองคิดดูบุรุษอายุสี่สิบกว่ามีหน้าตาเช่นไร ผมบางน้อย หนวดเครารุง…” 

 

 

“โอ๊ย เจ้าอย่าพูดดีกว่า!” ชูสยาจวิ้นจู่มีสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมาครู่หนึ่ง 

 

 

เจินเมี่ยวชำเลืองมองนางคราหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างมีเหตุมีผลว่า “ดังนั้นวิธีนี้ของท่านจึงมิได้ผล เดิมผู้อื่นอาจคิดไม่ถึง แต่การกระทำเช่นนี้ของท่านก็ไม่ต่างอันใดกับการผลักท่านลุงรองของข้าออกมา?” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง แล้วหมอบลงบนหมอนด้วยท่าทีสิ้นหวัง “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?” พูดพลางโขกศีรษะตนเองด้วยโมโหไปสองครา 

 

 

เจินเมี่ยวรีบขวางไว้ นางพูดด้วยท่าทีลังเลเล็กน้อย “ข้ากลับมีอีกวิธีหนึ่ง…” 

 

 

“รีบพูดมาเร็วเข้า!” 

 

 

“ข้าคิดว่ากลอนบทนั้น มิจำเป็นต้องชมชอบได้แต่เพียงบุรุษในยุคสมัยนี้” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่พลันงงงันมิเข้าใจ “คุณหนูสี่ เจ้ายิ่งพูดข้ายิ่งงง” 

 

 

“ท่านเกิดข้ายังมิเกิด ข้าเกิดท่านกลับชรา…” เจินเมี่ยวก้มหน้าท่องบทกลอนนั้นออกมา น้ำเสียงแผ่วเบา “ชูสยา ท่านกลับชรา อาจอธิบายได้อีกอย่างว่า บุรุษผู้นี้มิได้อยู่บนโลกนี้แล้ว!” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่มีสีหน้าเหม่อลอย “เช่นนี้ก็ได้หรือ?” 

 

 

เจินเมี่ยวยกมุมขึ้น “เหตุใดจึงมิได้เล่า? บุรุษงดงามในประวัติศาสตร์นั้นมีมากมาย หากเจ้าจะชมชอบความสามารถและรูปโฉมงามสง่าของเขา อ่านบนกวี อ่านเรื่องราวในชีวิตเขาจนเกิดแค้นใจที่มิอาจเกิดร่วมยุคสมัยจึงอดเขียนบทกลอนเช่นนั้นขึ้นมามิได้ เช่นนี้ก็นับว่าเป็นการชมชอบลุ่มหลงอย่างหนึ่งมิใช่หรือ?” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ฟังแล้วถึงกับอึ้งงันไป นางครุ่นคิดอย่างละเอียด จึงตบเตียงร้องขึ้นว่า “คุณหนูสี่ แม้นความคิดนี้จะดูแปลกพิกลไปบ้าง แต่มันกลับฟังดูสมเหตุสมผลยิ่ง!” 

 

 

นางมิใช่สตรีที่เอาแต่พร่ำเพ้อถึงความรัก จะเป็นจะตายเพราะความรัก เพราะเช่นนี้เองนางจึงมิอาจเขียนบทกลอนนั้นออกมาได้แน่ นอกจากจะเป็นการเขียนตามอารมณ์ชั่วขณะซึ่งไม่มีอันใดน่าแปลกใจสักนิด 

 

 

เมื่อวานหวังเฟยเค้นถามนางอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่นางก็มิได้แสดงท่าทีเว้าวอนอันใดสักนิด อย่างไรก็มิยอมเอ่ยออกมาสักคำ 

 

 

ใช้เหตุผลนี้ของเจินเมี่ยวนั้นดีกว่าวิธีของนางมากมายจริงๆ 

 

 

มีคนมากมายที่เท่าใดที่เมื่ออ่านบทกวีและประวัติศาสตร์แล้วก็จะจมจ่อมอยู่กับเสน่ห์ของบุคคลที่ถูกประวัติศาสตร์อันยาวนานกลืนกินไป ทำให้แค้นเคืองนักที่มิได้เกิดร่วมยุคสมัย จึงได้แต่ยกสุราขึ้นร่ำพร้อมเอ่ยพร่ำเพ้อ! 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่นั้นรู้ดี ไม่ว่าจะเป็นเสด็จลุง หรือท่านพ่อท่านแม่ พวกเขาล้วนยินดีที่จะฟังเหตุผลเช่นนี้ยิ่ง แต่มิใช่ข่าวลือว่าองค์หญิงนั้นมีใจปฏิพัทธ์ความรักกับบุรุษใดสักคน 

 

 

“คุณหนูสี่ เจ้าคิดออกได้อย่างไร!” 

 

 

เจินเมี่ยวเอ่ยตอบอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “พอได้ฟังเรื่องนี้ ข้าก็นึกขึ้นมาได้เอง” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา นางเอ่ยอย่างเหม่อลอยว่า “หรือเจ้าจะฉลาดกว่าข้ายิ่ง? ก่อนหน้านี้ข้าดูไม่ออกเลยจริงๆ!” 

 

 

เจินเมี่ยวโมโหจนต้องเบ้มุมปากตน “องค์หญิง ขอบพระทัยพระองค์ที่ตรัสตรงไปตรงมาเช่นนี้!” 

 

 

ความจริงนางเองก็รู้ดีแก่ใจ เรื่องนี้มิได้เกี่ยวอันใดกับฉลาดหรือไม่ ผู้ใดให้นางมาจากที่อื่นเล่า วัฒนธรรมที่พวกนางทั้งสองได้รับนั้นช่างต่างกันยิ่ง 

 

 

ต่อให้จะมีคนฉลาดอีกสักกี่คนก็ไม่แน่จะว่าจะคิดคำตอบที่ทั้งแปลกและประหลาดแต่เมื่อเอ่ยปากขึ้นก็ทำให้ผู้คนเข้าใจและเชื่อได้ในทันที 

 

 

“คุณหนูสี่ เจ้าอย่าเคืองเลย ข้าพูดผิดไปเอง อย่างเจ้าเขาเรียกว่าคมในฝัก…” 

 

 

เจินเมี่ยว “…” 

 

 

“ขอบคุณยิ่ง!” 

 

 

เมื่อมีวิธีแก้ปัญหาแล้ว บรรยากาศจึงผ่อนคลายลง 

 

 

เจินเมี่ยวจึงเอ่ยต่อว่า “แต่บุคคลในประวัติศาสตร์คนใดที่คู่ควรให้ท่านชมชอบ ท่านต้องคิดเอง จะให้ดีต้องเป็นคนที่ท่านมักอ่านบทกวีหรือประวัติของเขา เช่นนี้จึงยิ่งง่ายต่อการทำให้คนเชื่อถือ” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่เอ่ยออกมาอย่างแทบไม่ลังเลเลยว่า “เฮ่อหยวนรั่ว!” 

 

 

เฮ่อหยวนรั่วเป็นนักกวีที่มีชื่อในราชวงศ์ก่อน ความสามารถมากหลายทั้งยังรูปงาม เป็นทั่นฮวา[1] ที่อายุน้อยที่สุดในรอบร้อยปีเลยทีเดียว 

 

 

ต่างเล่าลือกันว่าทุกครั้งที่เขาไปเดินบนถนน สตรีอายุตั้งแต่แปดสิบไปจนถึงสามปีต่างก็อดเข้าไปรุมล้อมมองดูทั้งมอบบุปผา ผลไม้ให้ไม่ขาด เขาเป็นบุคคลที่อยู่ในฝันของดรุณีน้อยทั้งหลาย 

 

 

แต่น่าเสียดายที่ทั่นฮวาหนุ่มรูปงามผู้นี้กลับมีชีวิตอยู่ไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำก็ต้องจากโลกนี้ไปโดยที่ยังมิทันแต่งงานเลย 

 

 

“เฮ่อหยวนรั่ว คล้ายว่ามาจากตระกูลเฮ่อแห่งเยี่ยนเจียง? เจินเมี่ยวพลันนึกถึงเฮ่อหลางคู่หมั้นของหลัวจือฮุ่ยขึ้นมาทันใด” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่พยักหน้า “ใช่ ในบันทึกต่างกล่าวว่าเฮ่อหยวนรั่วเข้ามาในเมืองหลวงครั้งแรกก็ทำให้บุรุษสตรีทั้งหลายต่างต้องตกตะลึง เดิมเขามีความสามารถเป็นได้ถึงจ้วงหยวนแต่เพราะรูปงามเกินไปจึงถูกฮ่องเต้ในยุคนั้นระบุให้เป็นเพียงทั่นฮวา” 

 

 

กล่าวถึงตรงนี้ก็เม้มปากยิ้มออกมา “บอกตามตรง ข้าเองก็มักอ่านบทกวีของเขาอยู่บ่อยๆ” 

 

 

“ดูไม่ออกจริงๆ” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่กะพริบตาปริบๆ “มารดาข้าน่ะ ชมชอบบทกวีของเฮ่อหยวนรั่วมากที่สุดเลย หึๆ ข้าจึงได้รับการถ่ายทอดมา” 

 

 

เวลานี้เองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น สาวใช้ด้านนอกร้องขึ้นว่า “องค์หญิง ได้เวลาทายาแล้วเพคะ” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ขมวดคิ้ว 

 

 

เจินเมี่ยวกระซิบอยู่ข้างหูนางว่า “ชูสยา ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ท่านก็กลับมาทำตัวปกติเถิด ยิ่งทำตัวได้ธรรมชาติต่อหน้าผู้คนได้เท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น” 

 

 

“อืม” ชูสยาจวิ้นจู่พยักหน้า แล้วเอ่ยเสียงสูง “เข้ามาได้” 

 

 

เสียงประตูเปิดดังแอ๊ด สาวใช้สองคน ผู้หนึ่งยกอ่างน้ำ ผู้หนึ่งยกถาดยาและผ้าพันแผลเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่ หวังเฟยให้บ่าวเรียนท่านว่า หัวหน้าผู้บัญชาการหลัวมาแล้ว ยามนี้กำลังรออยู่ในห้องรับรองเจ้าค่ะ” 

 

 

เจินเมี่ยวลุกขึ้น “ชูสยา ข้าต้องไปก่อนแล้ว คราหน้าจะมาเยี่ยมท่านอีก” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่โบกมือพลางเอ่ยกำชับว่า “รีบมาเล่า” 

 

 

เจินเมี่ยวไปที่ห้องรับรอง 

 

 

หวังเฟยจึงเอ่ยว่า “เจียหมิง รีบไปเปลี่ยนอาภรณ์เครื่องประดับของเซี่ยนจู่เถิด เจ้าต้องตามหัวหน้าผู้บัญชาการหลัวเข้าวังไปทูลขอบพระทัยฝ่าบาท” 

 

 

เจินเมี่ยวแค่ได้สบตากลับหลัวเทียนเฉิงครู่หนึ่งเท่านั้นก็ถูกสาวใช้พาไปเปลี่ยนอาภรณ์ จัดแต่งทรงผมเสียก่อน กระทั่งเมื่อยามเดินออกมานางก็ได้แต่เดินอย่างระมัดระวัง 

 

 

หนักจริงๆ! 

 

 

หวังเฟยคล้ายมารดาผู้มีเมตตาจริงๆ นางบอกกล่าวถึงสิ่งที่นางควรต้องระวังอย่างใจเย็น เมื่อเห็นนางผลิยิ้มตั้งใจฟังคล้ายว่าเรื่องของชูสยาจวิ้นจู่นั้นมิได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อความรู้สึกของนางเลย จึงได้เผลอเอ่ยหยั่งเชิงออกไป “เจียหมิง ชูสยามิได้เล่นกลั่นแกล้งอันใดเจ้าใช่หรือไม่? หากนางทำเจ้าต้องบอกแม่นะ แม้จะสั่งสอนนางเอง” 

 

 

เจินเมี่ยวเอ่ยยิ้มอย่างผ่อนคลายว่า “เราเป็นมิตรที่ดีต่อกันเสมอมา นางไหนเลยจะกลั่นแกล้งข้า เพียงแค่เรื่องเมื่อวานนั้นทำให้นางกลัดกลุ้มอยู่บ้างเท่านั้น” 

 

 

หวังเฟยมิไยดีแล้วว่าหลัวเทียนเฉิงจะยืนอยู่ที่นี่ด้วย นางถามต่อว่า “เจียหมิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องราวเป็นเช่นใด?” 

 

 

เห็นท่าทีเช่นนี้ของเจียหมิงแล้ว หรือว่าเรื่องจะมิได้เลวร้ายอย่างที่ทุกคนคิด? 

 

 

ครั้นคิดถึงอุปนิสัยดื้อรั้นของชูสยาที่มีมาแต่เยาว์วัย ทั้งยังรักหน้า บางคราก็มิอาจยอมเสียหน้า แม้นตายก็มิยอมเอ่ยสิ่งใดออกมาแล้วนั้น ในใจของนางก็เริ่มจะมีความหวังขึ้นมาอีกหลายส่วน 

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มอย่างขัดเขิน “ท่านแม่ ชูสยานางอ่านบทกวีของเฮ่อหยวนรั่วเสียจนเกิดคลั่งไคล้ เมื่อวานนางรู้สึกเสียหน้ายิ่งจึงโกรธเคืองตนเองยิ่ง” 

 

 

“เฮ่อหยวนรั่ว?” หวังเฟยเอ่ยพึมพำ นางมิต้องคิดอันใดให้มากก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างขึ้นมาทันที 

 

 

บางทีอาจเพราะผู้ที่เป็นบิดามารดานั้นมักจะคิดถึงบุตรตนไปในทางที่ดีเสมอก็เป็นได้ และเมื่อมีบันไดให้ไต่ก็ย่อมต้องไต่ลงอย่างว่าง่าย “เจ้าเด็กนั้น ที่แท้แล้วเป็นพวกชอบเพ้อฝันหรือนี่!” 

 

 

อาจเพราะจิตใจนั้นมิได้คิดเรื่องชู้สาวอันใด บุตรสาวโง่เขลาของนางจึงมิได้คิดว่ามันอาจทำลายตนไม่ให้ไม่เหลือกระทั่งเถ้าถ่านกระมัง 

 

 

นางคิดแล้วเชียว บุตรีของนางไม่มีทางโง่เขลาปานนั้น 

 

 

เจินเมี่ยวมองพระชายาหย่งอ๋องอย่างเหม่อลอย 

 

 

เรื่องมันง่ายดายเพียงนี้เลยหรือ จึงรู้สึกตงิดใจอยู่บ้าง 

 

 

แววตาที่หวังเฟยมองเจินเมี่ยวนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจกว่าเดิมมาก “เจียหมิง เจ้าคงไม่รู้ว่า ตอนที่แม่ยังมิออกเรือน ยามพบปะพูดคุยร่ายบทกลอนกับสหายก็ชอบร่ายบทกวีของเฮ่อหยวนรั่วมากที่สุด มีคราหนึ่งถึงกลับทะเลาะกับสหายเพราะเขาเลยทีเดียว…” 

 

 

การเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าชนรุ่นหลังนั้นเป็นเรื่องมิใคร่เหมาะสมนัก หวังเฟยจึงรีบหยุดปากทันทีแต่กลับมิอาจปิดบังรอยยิ้มที่แฝงอยู่ในหน้าได้ นางดูผ่อนคลายขึ้นมาก 

 

 

เจินเมี่ยวกับหลัวเทียนเฉิงจึงได้ลาหย๋งอ๋องและชายาไป 

 

 

เมื่อคนทั้งสองเ­ข้าไปนั่งในรถม้าเพื่อเดินทางเข้าวัง ผ่านไปไม่นานหลัวเทียนเฉิงก็เอ่ยถามขึ้น “เฮ่อหยวนรั่ว? เจ้าก็ชอบบทกวีของเขาหรือ?” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ทั่นฮวา เป็นชื่อเรียกบัณฑิตที่สอบได้อันดับสามของการสอบเค่อจวี่ (การสอบคัดเลือกขุนนาง) อันดับหนึ่งคือจ้วงหยวน อันดับสองคือปั๋งเหยี่ยน 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset