วาสนาบันดาลรัก 254 ขอร้อง

ตอนที่ 254 ขอร้อง

รอกระทั่งแต่งกายเรียบร้อยแล้ว เจินเมี่ยวก็เกิดลังเลขึ้นมา 

 

 

“อาหลวน เรื่องเมื่อวานสถานการณ์นั้นดูเลวร้ายมากเพียงใดหรือ?” 

 

 

อาหลวนพยักหน้า เอ่ยเสียงต่ำว่า “บ่าวกับชิงเกอคอยอยู่ปรนนิบัติท่านตลอดเวลา เดิมก็มิทราบสิ่งใด แต่เมื่อถึงยามอาหารค่ำไม่มีผู้ใดมาเชิญท่านไปกินข้าวเลย ครั้นเลยเวลาอาหารค่ำไปแล้ว หวังเฟยจึงส่งสาวใช้นำอาหารมาให้ บ่าวรู้สึกว่ามันแปลกๆ กลัวว่าจะมีอันใดเดือดร้อนมาถึงท่านจึงไปหาองค์หญิงชูสยา แต่กลับมิได้พบกับองค์หญิงชูสยา คนในเรือนขององค์หญิงก็ดูแปลกๆ บ่าวมิกล้าสอบถามอันใดจึงได้แต่กลับมาเจ้าค่ะ แต่ตอนที่ท่านยังหลับอยู่นั้นมีสาวใช้ผู้หนึ่งมาหาบ่าว บอกว่าเป็นสาวใช้ขององค์หญิงชูสยา องค์หญิงให้นางมาหาท่าน หากท่านตื่นแล้วให้ไปหาองค์หญิงเจ้าค่ะ” 

 

 

อาหลวนพูดพลางมองเจินเมี่ยวด้วยความกังวล แต่ก็ยังเอ่ยต่ออีกว่า “แล้วสาวใช้ผู้นั้นได้เล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ฟัง เพื่อท่านจะได้ทราบว่าควรทำเช่นไร บทกลอนนั้นถูกอ่านในการละเล่นร่ายบทกลอนแล้วเมื่อวาน นายท่านทั้งหลายที่ร่วมละเลยต่างก็ได้ยินกันหมด ครั้นหวังเฟยทราบเรื่องก็มิได้กระทำอันใดทันที แต่ในนั้นเดือดดาลยิ่ง หลังจากงานร่ายบทกลอนจบลง องค์หญิงชูสยาก็ไปที่เรือนหวังเฟยและมิได้กลับออกมาเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

หลังสร่างเมาก็มิใคร่จะสบายตัวนัก ยามนี้เจินเมี่ยวจึงยิ่งรู้สึกปวดศีรษะ 

 

 

นางยื่นมือออกมานวดขมับตน นางเดินอยู่ภายในห้องเพียงสองก้าวก็รู้สึกว่ากลิ่นหอมภายในห้องนั้นหอมเกินไป จึงเอ่ยว่า “เปิดหน้าต่างระบายกลิ่นออกหน่อยเถิด” 

 

 

อาหลวนรีบเดินไปเปิดหน้าต่าง 

 

 

นางทราบว่านายตนมิชอบกลิ่นกำยานหอมมาแต่ไหนแต่ไร แต่เพราะเมื่อวานเมาสุรา นางกลัวว่าหากเปิดหน้าต่างแล้วอาจเป็นไข้จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย 

 

 

เจินเมี่ยวยืนสูดลมหายใจอยู่ข้างหน้าต่างครู่หนึ่ง หัวใจที่เต้นระส่ำนั้นจึงค่อยๆ สงบลง 

 

 

ต้นไม้เก่าแก่นอกหน้าต่างนั้นดูไม่ออกว่าเป็นต้นอะไร บนกิ่งไม้ไร้ใบนั้นปกคลุมไปด้วยหิมะชั้นหนึ่ง แสงอาทิตย์ที่เพิ่งพ้นขอบฟ้าสาดทอลงมากระทบนั้นช่างเจิดจ้าสว่างตายิ่ง ต้นไม้เก่าแก่ที่ไม่มีใบไม้ปกปิดไว้กลับคล้ายต้นไม้หยกตนหนึ่งก็มิปาน 

 

 

บนหลังคาเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปนั้นมิอาจแยกแยะสีของมันได้เลย มีเพียงผืนหิมะขาวสะอาดปกคลุมไว้ ดูเจิดจ้ายิ่ง 

 

 

“หิมะตกอีกแล้วหรือ?” 

 

 

“เจ้าค่ะ ตกทั้งคืนเลยเจ้าค่ะ” อาหลวนเอ่ย 

 

 

เมื่อคืนนางกังวลว่าจะเกิดเรื่องอันใดหรือไม่จึงนอนไม่หลับตลอดคืน 

 

 

“ไปเถิด” เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ 

 

 

“ต้าไหน่ไหน่?” ชิงเกอขยี้ตาแล้วลุกขึ้นมา 

 

 

เจินเมี่ยวหันกลับไปมอง แล้วเอ่ยขึ้น “ชิงเกอ ข้าจะไปหาหวงเฟยกับอาหลวน เจ้าอยู่ที่นี่เถิด” 

 

 

ชิงเกอเป็นคนซื่อๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มิได้ถามอีก เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น 

 

 

อาหลวนรีบรับเอาเสื้อกันลมมาคลุมให้เจินเมี่ยว นายบ่าวจึงค่อยออกจากเรือนโดยมีสาวใช้ของที่นี่เป็นผู้นำทางไป 

 

 

เมื่อออกไปข้างนอกเจินเมี่ยวก็พลันรู้สึกหนาวขึ้นมาจับใจ นางกระชับคอเสื้อตนทั้งยังกอดเตาอุ่นมือแน่นจงก้าวเดินไปยังเรือนของหวังเฟยอย่างทุลักทุเล 

 

 

ตลอดทางที่พบสาวใช้ ทุกคนต่างย่อกายคารวะนางปากก็เรียกว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่ 

 

 

หากเป็นเมื่อวานยามสาวใช้เหล่านี้แสดงท่าทีนอบน้อมทั้งเรียกนางว่าด้วยนามใหม่ที่ได้รับ นางอาจจะรู้สึกอึดอัดไม่เป็นตนเอง แต่ยามนี้นางมีเรื่องร้อนใจ แต่สีหน้าที่เผยออกมากลับดูเคร่งขรึมอย่างที่สุด ความเคร่งขรึมเช่นนี้สำหรับสาวใช้ทั้งหลายนั้นเรียกได้ว่าเป็นท่าทีอันพึงมีของผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งทั้งหลาย 

 

 

เดิมบ่าวไพร่ในจวนอ๋อง ยามออกไปข้างนอกนั้นยังมีหน้ามีตากว่าขุนนางเล็กๆ เสียอีก สาวใช้ที่เจินเมี่ยวพบอยู่ตลอดทางแม้นจะนอบน้อมทั้งยังคารวะนาง แต่ในใจกลับยังคงเฝ้าสังเกตและจับผิดเซี่ยนจู่คนใหม่ผู้นี้ ทว่ายามนี้ใจอันมิยอมรับนับถือกลับค่อยๆ ลดน้อยถอยลง 

 

 

ผู้ที่ปากมากหน่อยก็จะเอ่ยว่า “อย่างไรก็เป็นเซี่ยนจู่ที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง รูปโฉม ท่าที กลับงดงามดุจกิ่งทองใบหยก” 

 

 

ส่วนสาวใช้ที่รับรู้เรื่องเมื่อวานนี้กลับลอบถอนหายใจอยู่เงียบๆ ในใจก็กล่าวว่าแม้นกิ่งทองใบหยกอันแท้จริงก็ทำเรื่องผิดพลาดได้เช่นกัน 

 

 

เจินเมี่ยวหยุดอยู่หน้าประตูเรือนหวังเฟย นางเงยหน้าขึ้นมองคราหนึ่ง 

 

 

กำแพงเป็นอิฐสีทึบ หน้าต่างลายฉลุนั้นสามารถมองเห็นเงารางๆ ของคนในเรือนได้เลือนๆ 

 

 

ต้นสนและต้นเหมยปูลาดด้วยพื้นสีเงิน มีเพียงภูผาจำลองเท่านั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่เพียงหนึ่งเดียว เสียงน้ำไหลเอื่อยๆ บริเวณโดยรอบมีดอกไม้หลากหลายสีขึ้นเต็มไปหมด เมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็เห็นเป็นสีแดงสีม่วงปกคลุมไปทั่ว แต่กลับแยกไม่ออกว่ามีดอกไม้ชนิดใดบ้าง 

 

 

เจินเมี่ยวกดข่มความสงสัยตนไว้ นางเพียงเอ่ยอย่างทอดถอนใจอยู่ในอกว่า ไม่เสียทีที่เป็นจวนอ๋อง เพียงเห็นทัศนียภาพในเรือนอ๋องแล้วก็มิได้ด้อยไปกว่าอุทยานหลวงที่นางเคยไปสักเท่าใดเลย 

 

 

“ต้าไหน่ไหน่ เข้าไปเถิดเจ้าค่ะ” อาหลวนเอ่ยเตือนขึ้น 

 

 

เจินเมี่ยวจึงเลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วก้าวเท้าข้ามประตูไป นางเดินตามสาวใช้หน้าตางดงามผู้หนึ่งไป แต่ในใจกลับหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

เมื่อเห็นสาวใช้ทั้งหลายที่เดินเข้าออกมิกล้าแม้จะหายใจดัง ก็ทราบว่าเรื่องราวมิใคร่จะดีนัก 

 

 

เจินเมี่ยวจึงกลั้นหายใจอึดหนึ่ง 

 

 

นางสงสัยกระทั่งว่าที่สาวใช้ผู้นั้นไปบอกอาหลวนว่าให้นางมาที่นี่ ที่แท้แล้วเป็นความปรารถนาของชูสยาจวิ้นจู่หรือหวังเฟยกันแน่? 

 

 

ท่านเกิดข้ายังมิเกิด ข้าเกิดท่านกลับชรา! 

 

 

หากมีคนคิดให้ลึกเสียหน่อย กล้าคาดเดาสักนิด จะนึกไปถึงท่านลุงรองของนางหรือไม่? 

 

 

กลอนบทนี้ความหมายช่างชัดเจนนัก ชูสยาจวิ้นจู่รั้งตัวอยู่ที่เป่ยเหออยู่นาน ผู้ที่นางพบปะมากที่สุดก็คือท่านลุงรองผู้มีรูปโฉมดุจเซียนของนางนั้นเอง! 

 

 

องค์หญิงในพระบรมวงศานุวงศ์มีความรักให้แก่ขุนนางในราชสำนักที่อายุมากกว่านางถึงยี่สิบกว่าปี แค่มีข่าวลือแพร่ออกไปแม้เพียงนิด อย่าว่าแต่การอภิเษกไปดินแดนของชูสยาจะต้องล้มเลิกเลย เกรงว่าตำแหน่งขุนนางของลุงรองของนางก็คงไม่เหลือแล้ว 

 

 

นี่เป็นเรื่องอัปยศที่สุดเลยทีเดียว! 

 

 

เจินเมี่ยวเพียงแค้นที่ตอนนั้นตนเองมิเตือนชูสยาจวิ้นจู่ไว้สักหน่อย 

 

 

แต่นางจำได้ว่าชูสยาเป็นคนที่เข้าใจทุกอย่างถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงได้ทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้ได้เล่า? 

 

 

“เจียหมิง…” เสียงหนึ่งเรียกเจินเมี่ยวให้ตื่นจากภวังค์ 

 

 

เจินเมี่ยวตาลายเห็นหย่งอ๋องหุ่นเริ่มอ้วนกลมเป็นลูกหนังลูกหนึ่งไป เมื่อรู้ตัวก็รีบที่ย่อกายคารวะทันที “เจียหมิงคารวะบิดาบุญธรรม” 

 

 

หย่งอ๋องมีสีหน้ากลัดกลุ้มทุกข์ทนอย่างที่สุด “เจียหมิง เจ้าเรียกข้าว่าท่านพ่อเช่นเดียวกับชูสยาเถิด” 

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง 

 

 

แม้นในยุคสมัยของต้าโจว หากยอมรับผู้ใดเป็นบุตรบุญธรรมก็ย่อมต้องปฏิบัติเช่นบุตรแท้ๆ ไม่ต่างกัน แต่อย่างไรนางก็มิได้เกิดและเติบโตที่นี่จะให้คุ้นชินในทันทีก็ยังคงทำไม่ได้ 

 

 

“มิเช่นนั้นก็เรียกพ่อบุญธรรมเถิด เรียกบิดาบุญธรรมดูห่างเหินยิ่ง ข้าฟังแล้วรู้สึกไม่ดียิ่ง” หย่งอ๋องลูบหน้าอกตนคราหนึ่ง 

 

 

พ่อบุญธรรม? 

 

 

เจินเมี่ยวขนลุกขึ้นมา 

 

 

เรียกท่านพ่อยังดีเสียกว่า เช่นนี้เท่ากับมิได้ให้ทางเลือกใดกับนางเลยจริงๆ ! 

 

 

“ท่านพ่อ” 

 

 

“อืม” หย่งอ๋องรับคำคราหนึ่ง แล้วขยี้ตาตน “เจียหมิง เจ้ารีบไปขอร้องท่านแม่เจ้าให้ปล่อยชูสยาทีเถิด พ่อพูดแล้วมิได้ผล คงต้องให้เจ้าช่วยแล้ว” 

 

 

“ชูสยา…” 

 

 

หย่งอ๋องแทบน้ำตาร่วงลงมา “มารดาเจ้าใจดำนัก นางมิให้ชูสยากินข้าวทั้งยังตีนางอีก!” 

 

 

เมื่อมองหย่งอ๋องผู้น่าสงสาร อารมณ์อันหนักอึ้งของเจินเมี่ยวก็พลันผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย 

 

 

หย่งอ๋องผู้นี้ช่างเป็นคนประหลาดนัก ชมชอบเลี้ยงนกชนสุนัข ดื่มกินเที่ยวเล่นสนุกทุกชนิดไม่มีขาดทั้งยังชอบดูละครชมสามงาม ทว่ากลับกลัวภรรยายิ่ง 

 

 

กระทั่งตอนนี้ก็มีชูสยาและอ๋องน้อยเพียงสองคนเท่านั้น อย่าว่าแต่ลูกอนุอันใดเลย แม้แต่ชายารองก็ไม่มีแม้เพียงคน 

 

 

แน่นอนว่าย่อมต้องมีสาวใช้ทงฝังสักคนสองคน แต่ก็มิจำเป็นต้องเอ่ยถึงดอก สาวใช้ทงฝังนับไม่ได้แม้เพียงอนุ นายท่านทั้งหลายใช้เบื่อแล้วก็ส่งต่อให้ผู้อื่นหรือไม่ก็มอบเป็นรางวัลให้ข้ารับใช้ตนไปอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง 

 

 

“เจ้าก็บอกว่าอยากจะพบชูสยา มารดาเจ้าย่อมไม่มีทางหักหน้าเจ้าแน่ พ่อจะรอพวกเจ้าอยู่ตรงนี้” 

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า แต่ใจกลับรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

มิต้องเก่งกาจมากความสามารถ ท่าทีสูงส่งสง่างาม มีบิดาที่รักและเห็นเจ้าเป็นดั่งดวงใจเช่นนี้ ช่างเป็นโชคอันที่สุดจริงๆ 

 

 

หรือเพราะหย่งอ๋องรักทะนุถนอมชูสยาเช่นนี้ ชูสยาจึงชมชอบบุรุษที่มีอายุไปโดยปริยาย นางถึงได้มีใจให้กับลุงรองของตน? 

 

 

ครั้นคิดถึงท่านลุงรองที่มีรูปโฉมดุจเทพเซียน แล้วหันมองหย่งอ๋องสูงกว้างไม่ต่างกันตรงหน้าแล้ว เจินเมี่ยวก็ส่ายหน้าทันที 

 

 

ช่างเถิด นางมิจำเป็นต้องหาเหตุผลอื่นแล้ว อย่างไรเหตุผลที่ว่าคนเรามักนชมชอบความสวยงามนั้นดูจะน่าเชื่อถือกว่าสักหน่อย! 

 

 

เจินเมี่ยวเดินเข้าไปในห้อง ภายใต้ดวงตาอันผ่าวร้อนของหย่งอ๋อง 

 

 

“เจียหมิง เจ้ามาแล้วหรือ นั่งเถิด” หวังเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ความเหนื่อยล้าบนใบหน้านั้นยากจะปิดบังเอาไว้ได้ 

 

 

เจินเมี่ยวรีบเปลี่ยนวาจาที่ติดอยู่ปลายลิ้นตน นางย่อกายคารวะ “เจียหมิงคารวะท่านแม่” 

 

 

หวังเฟยอึ้งงันไป ตามด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “นั่งเถิด ระหว่างทางที่เดินมาคงหนาวยิ่ง เมื่อวานหลับสบายดีหรือไม่?” 

 

 

ผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งเช่นหวังเฟยไม่ว่าจะมีเรื่องดีเรื่องร้ายก็มักไม่แสดงออกมาแม้เพียงเล็กน้อย เจินเมี่ยวดูความรู้สึกที่แท้จริงของนางเลย กระทั่งไม่รู้ว่าเกิดเรื่องบทกลอนเช่นนั้นขึ้น นางจะโกรธเคืองมาถึงตนด้วยหรือไม่ 

 

 

อย่างไรเสียหากไม่มีงานเลี้ยงรับนางเป็นบุตรบุญธรรมก็คงไม่มีการละเล่นร่ายบทกลอนนั้นแน่ ทั้งตำแหน่งเซี่ยนจู่นี่ของนางรวมทั้งเรื่องที่พระชายาหย่งอ๋องรับนางเป็นบุตรบุญธรรมนั้น ความจริงเป็นพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ การพูดคุยกับพระชายานั้นก็ทำไปตามธรรมชาติของตนเถิด 

 

 

นางเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกไปตามตรงว่า “ท่านแม่ ท่านพ่อบอกว่าชูสยาทำให้ท่านโมโหหรือเจ้าคะ?” 

 

 

หวังเฟยมีสีหน้าขรึมลงเล็กน้อย 

 

 

มุมปากหวังเฟยขยับขึ้นเล็กน้อย แต่มิได้เอ่ยสิ่งใด สุดท้ายก็ส่ายหน้า “ช่างเถิด” 

 

 

แล้วกำชับสาวใช้ข้างกายว่า “พาเจียหมิงเซี่ยนจู่เข้าไปเถิด” 

 

 

เจินเมี่ยวถึงนำไปยังห้องหน่วนเก๋อ นางเห็นชูสยาจวิ้นจู่นอนคว่ำอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียงก็หันหน้ามามอง 

 

 

คนทั้งสองสบตากัน ชูสยาจวิ้นจู่ตบที่ขอบเตียงตน “คุณหนูสี่ ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที พวกเจ้าออกไปให้หมด!” 

 

 

สาวใช้ในห้องต่างออกไปหมดแล้ว เจินเมี่ยวก็รีบเดินเข้าไปนั่งลงด้านข้าง พิจารณานางอย่างละเอียด แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “ชูสยา บั้นท้ายท่าน…” 

 

 

“อย่าพูดถึงเลย ถูกท่านแม่ตีน่ะสิ” 

 

 

ริมฝีปากเจินเมี่ยวขยับคราหนึ่ง แต่ก็ไม่ทราบจะเอ่ยสิ่งใดดี 

 

 

คิดไม่ถึงว่าพระชายาจะโมโหร้ายปานนี้ ชูสยาโตเพียงนี้แล้วแต่กลับยังตีก้นนาง 

 

 

“บทกลอนนั้น…” 

 

 

เมื่อได้ยินคำนี้ ใบหน้าชูสยาจวิ้นจู่ก็ขาวซีดไปทันที ดวงตาปรากฏความโกรธกรุ่น แล้วเปลี่ยนเป็นการตำหนิตน นางเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าเขียนไว้ก่อนหน้านี้” 

 

 

เจินเมี่ยวอ้าปากขึ้น รู้สึกลำคอร้อนผ่าว เสียงแผ่วเบาจนแทบมิได้ยิน “ท่านลุงรองของข้า…” 

 

 

ใบหน้าชูสยาจวิ้นจู่แดงเรื่อขึ้นมา นางเอ่ยเสียงต่ำว่า “เขาย่อมไม่รู้แม้เพียงสักนิด” 

 

 

“เฮ้อ” เจินเมี่ยวรู้สึกโล่งใจแต่เมื่อคิดอีกที แม้ว่าลุงรองจะไม่รู้เรื่องใด แต่หากข่าวลือเช่นนี้แพร่ออกไปก็มากพอจะทำให้เขาตายได้ ใจของนางก็กลัดกลุ้มขึ้นมาอีก 

 

 

“บทกลอนนั้นข้าเขียนเสร็จก็ให้สาวใช้นำไปเผาทันที ผู้ใดจะทราบว่า…” 

 

 

“สาวใช้ผู้นั้นเล่า?” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่เอ่ยเสียงสั่น “ตายแล้ว เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น สิ่งที่ท่านแม่ทำสิ่งแรกคือจับสาวใช้ของข้าทุกคนมารวมกัน แต่ชิวเตี๋ยกลับแขวนคอตายอยู่ที่เรือนปีกข้าง รอจนมีคนไปเห็นร่างนางก็แข็งแล้ว” 

 

 

กล่าวถึงตรงนี้ชูสยาจวิ้นจู่กลับมิอาจอดกลั้นได้อีกต่อไป “คุณหนูสี่ เจ้าบอกข้าทีว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ชิวเตี๋ยเป็นสาวใช้ข้างกายข้ามาตั้งแต่เล็ก นางทำร้ายข้าเช่นนี้ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ!” 

 

 

เจินเมี่ยวตบบ่าชูสยาจวิ้นจู่คราหนึ่ง “ชูสยา เรื่องเหล่านี้จักต้องมีคนสืบหาต้นตอแน่ สำคัญคือตอนนี้บทกลอนนั้นของท่านจะมีคนนำไปเล่าลือเลอะเทอะหรือไม่…”  

 

 

“ดังนั้นข้าจึงมีเรื่องอยากขอร้องเจ้า” 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset