วาสนาบันดาลรัก 253 บทกลอน

ตอนที่ 253 บทกลอน

 

 

 

เพราะมีพระบรมวงศานุวงศ์ งานเลี้ยงฉลองจึงต้องจัดภายในห้องโถง ทั้งมิได้มีฉากบังลมหรือสิ่งอื่นใดมากั้น เพียงแยกโต๊ะบุรุษสตรีเท่านั้น 

 

 

ด้านซ้ายของเจินเมี่ยวคือฉงสี่เซี่ยนจู่ ด้านขวาคือชูสยาจวิ้นจู่ เมื่อกวาดตามองไปโดยรอบก็พบว่าไท่จื่อเฟยและองค์หญิงสี่ที่พบในงานเลี้ยงฉลองคราก่อนมิได้มาร่วมด้วย 

 

 

ครานี้มีพระชายาและองค์หญิงหลายพระองค์ที่มีท่าทีเป็นมิตรกับนาง ทุกคนต่างเข้ามายกสุราคารวะ 

 

 

วันนี้เจินเมี่ยวเป็นคนสำคัญที่สุด การยกสุราคารวะจึงมิอาจปฏิเสธ นางได้แต่ขมขื่นอยู่ในใจ หากเอ่ยถึงความเก่งกาจในการดื่มสุรานั้น แม้นนางจะมิใช่พวก ‘หนึ่งจอก’ ก็ล้ม แต่มิได้เก่งกาจอันใด 

 

 

โชคดีที่โต๊ะของนางนั้นเป็นสุราผลไม้ นางจึงฝืนยกสุราคารวะจนครบรอบโต๊ะ ใบหน้าเจินเมี่ยวเริ่มมีสีแดงระเรื่อขึ้นมา แววตาก็เริ่มเหม่อลอยเล็กน้อย 

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่จึงส่งสายตาให้กับชูสยาจวิ้นจู่ 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่เข้าใจทันที เมื่อเริ่มมีคนเข้ามายกสุราคารวะนางก็รีบรับหน้าแทนทันที 

 

 

องค์หญิงฟังโหรวนั่งก้มหน้ากินอาหารแต่สายตากลับไม่หยุดชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิงที่นั่งอยู่อีกโต๊ะนั้นเลย 

 

 

นางเห็นเขายิ้มงามสง่าให้กับคนที่นั่งอยู่รอบๆ ตัวพลางลอบสังเกตท่าทีของเจินเมี่ยวอยู่เป็นระยะ ครั้นมีคนเข้าไปยกสุราเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นชูสยาจวิ้นจู่ช่วยรับมือให้ก็คลายคิ้วมุ่นนั้นลง ใจของนางก็เกิดเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างประหลาด 

 

 

ตั้งแต่ที่เขาแต่งงานไป นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเขาใกล้เพียงนี้ แต่เขากลับไม่มองตนด้วยซ้ำ ทั้งมิได้ใส่ใจว่านางสบายดีหรือไม่ นางเกลียดเหลือเกิน 

 

 

แม่นางน้อยยังมิรู้เดียงสาจึงมิรู้ว่าความรู้สึกเจ็บแปลบนั้นคือสิ่งใด ท่าเมื่อได้เห็นเจินเมี่ยวผู้มีรอยยิ้มดุจบุปผาก็รู้สึกบาดตาจริง นางลุกขึ้นเดินถือจอกสุราหยกขาวเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม “พี่เจียหมิง ที่ผ่านมาฟังโหรวมิรู้ความ ทำให้พี่สาวโกรธเคือง ยามนี้จึงอยากจะขออภัยต่อท่าน ฟังโหรวจะยกสุราสามจอกเพื่อแสดงความเคารพ หากพี่เจียหมิงมิถือสาข้าก็ขอให้ท่านดื่มสุราสามจอกด้วยได้หรือไม่?” 

 

 

เจินเมี่ยวเริ่มเมาเสียแล้วจึงได้แต่กดข่มอาการมึนศีรษะของตนไว้จึงมิได้ทันคิดเลยว่าที่องค์หญิงฟังโหรวเรียก ‘พี่เจียหมิง’ นั้นคือตน นางจึงได้แน่นั่งนิ่งไม่ไหวติง 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ลอบตีนางคราหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างมิใคร่อารมณ์ดีนักว่า “นางเรียกเจ้าน่ะ!” 

 

 

บุญคุณความแค้นระหว่างองค์หญิงฟังโหรวกับเจินเมี่ยวนั้น ทุกคนในที่นี่ต่างทราบกันดี นางพูดเพียงนี้แล้ว ผู้อื่นจึงมิได้ลุกขึ้นมาห้ามปรามนาง 

 

 

เจินเมี่ยวเห็นมองจอกสุราหยกขาวใบใหญ่ในมือองค์หญิงฟังโหรวแล้วก็ต้องเบิกตาถลนขึ้น 

 

 

หากต้องดื่มถึงสามจอก นางคงต้องทำเรื่องน่าขายหน้าออกมาแน่ 

 

 

โรคชอบต่อต้านน่ากลัวเหลือเกิน และองค์หญิงที่เป็นโรคชอบต่อต้านนั้นน่ากลัวกว่า! 

 

 

นางฝืนผลิยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “องค์หญิงอายุยังน้อย ดื่มสุรามากไปคงไม่ดีนัก เราดื่มแค่เพียงหนึ่งจอกก็พอแล้วกระมัง” 

 

 

“พี่เจียหมิง หรือท่านยังเคืองฟังโหรวอยู่?” องค์หญิงฟังโหรวพลันเอ่ยเสียงสูงขึ้นมา 

 

 

เสียงหัวเราะพูดคุยพลันแผ่วลงทันที สายตาทุกคู่ต่างหันมามองพวกนาง 

 

 

หลัวเทียนเฉิงหุบยิ้มทันที เขากวาดตามองฟังโหรวด้วยสายตาเย็นชา มือกำจอกสุราแน่นโดยมิส่งเสียงใด 

 

 

เมื่อเห็นว่าสามารถดึงดูดสายตาทุกคู่ได้แล้ว องค์หญิงฟังโหรวจึงเผยยิ้มแง่งอน “หากพี่เจียหมิงมิโกรธเคืองฟังโหรวแล้ว ก็ดื่มกับข้าสามจอกเถิด” 

 

 

เจินเมี่ยวหรี่ตาลง ภายในมีคลื่นกำลังซัดสาด “หม่อมฉันมิเคยโกรธเคืององค์หญิงเลย องค์หญิงเอ่ยเช่นนี้ หม่อมฉันคงมิกล้าดื่มแม้เพียงสักจอกแล้ว”  

 

 

องค์หญิงฟังโหรวอึ้งงันไป แล้วเผยรอยยิ้มที่หวานล้ำกว่าเดิม “ที่แท้ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิด วันนี้ข้ากับพี่เจียหมิงได้คลายความเข้าใจผิดนี้แล้วก็ยิ่งต้องดื่มเพื่อเฉลิมฉลองสักหน่อย” พูดพลางยื่นมือขาวผ่องที่ถือจอกสุราหยกขาวนั้นยกขึ้น 

 

 

นางอายุยังไม่ถึงสิบสองปีจึงคล้ายต้นไม้ต้นเล็กๆ ที่ยืนอยู่ที่นี่ ยังมิทันผลิใบเขียวขจีด้วยซ้ำ แต่วาจาที่เอ่ยกลับทำให้คนมิอาจปฏิเสธได้ 

 

 

เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปาก ภายใต้ความมึนเมานั้น แววตานางก็พลันกระจ่างใสขึ้นมา 

 

 

หากนางยังคงผลักไสต่อไป สถานการณ์คงย่ำแย่เป็นแน่ 

 

 

ผู้ใดให้องค์หญิงฟังโหรวเป็นเพียงแม่นางน้อยอายุสิบกว่าปีกันเล่า เมื่อนางยอมลดตัวลงมาเช่นนี้แล้ว หากผู้อื่นยังคงถือสาหาความ แม้นจะมีเหตุผลก็อาจกลายเป็นคนไร้เหตุผลได้ 

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่มิได้แสดงสีหน้าใด เพียงขยับเข้าไปกระซิบข้างหูชูสยาจวิ้นจู่ “เหตุใดญาติผู้น้องผู้นี้ถึงได้ฉลาดขึ้นมาแล้วเล่า?” 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่กัดฟัน เอ่ยช้าๆ ว่า “หากรู้เช่นนี้ ข้าจะบอกกับเสด็จลุงว่ามิให้ปล่อยเจ้าตัวอันตรายน้อยนี้ออกมา” 

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่แค่นยิ้ม “นางมิได้ทำความผิด ทั้งยังมิได้ทำตัวเหลวไหล เสด็จลุงรักทะนุถนอมนางปานั้น เหตุใดจะยอมกักขังนางไว้อีกเล่า? โชคดีที่ที่นี่คือจวนเจ้า ประเดี๋ยวเจ้าแค่ดูแลคุณหนูสี่ให้ดีหน่อยก็พอแล้ว” 

 

 

“พี่เจียหมิง?” มุมปากองค์หญิงฟังโหรวเคลือบด้วยรอยยิ้ม คล้ายภูมิใจยิ่ง แต่เมื่อหันกลับไปมองอีกคราก็ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยแล้ว 

 

 

เจินเมี่ยวยกมือขึ้นกวักเรียกสาวใช้ที่ถือขวดสุราคอยปรนนิบัติ เมื่อจอกสุราหยกขาวนั้นถูกเทจนเต็ม นางก็หันหน้าไปหาองค์หญิงฟังโหรวแล้วยกจอกสุราขึ้น “ข้าขอดื่มเพื่อคารวะ” 

 

 

นางมิพูดอันใดอีกแล้วเงยหน้าขึ้นดื่มสุราผลไม้จอกใหญ่นั้นจนหมด หน้าพลันเห่อร้อนขึ้นมาทันที 

 

 

องค์หญิงฟังโหรวดื่มสุราจอกนั้นจนหมดเช่นกัน แต่ใบหน้ากลับยังคงปกติดีเช่นก่อนหน้า นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “อีกจอก!” 

 

 

สุราถูกรินเต็มจอกอีกครา 

 

 

“แค่กๆ ” เสียงไอดังขึ้น องค์ชายหกเดินเข้ามายื่นมือไปปรามไว้ “ฟังโหรว เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อย ดื่มสุรามากมายเพียงนี้ไปไย ระวังกลับไปเสด็จย่ากับเสด็จพ่อจะเอ็ดเอา” 

 

 

“ข้ามิเป็นอันใดเสียหน่อย” แม้นองค์หญิงฟังโหรวพูดเช่นนี้ออกมา แต่ขอบตากับมีน้ำเอ่อคลอขึ้น คล้ายเริ่มมึนเมาแล้วกระนั้น “พี่หก ท่านมาขวางพวกเราทำไม? หรือท่านกลัวว่าพี่เจียหมิงจะเมา? คิกๆ ท่านหัวหน้าบัญชาการหลัวยังมิพูดอะไรด้วยซ้ำ ท่านร้อนใจอันใดกัน?” 

 

 

เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไป สีหน้าของทุกคนก็แตกต่างกันออกไป 

 

 

องค์หญิงฟังโหรวอายุยังน้อย ทั้งยังดื่มสุราอีก เห็นชัดว่านี้เป็นวาจาเมามายของเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น แต่วาจามึนเมาที่เอ่ยออกไปนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสามต่างก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนขึ้นมา 

 

 

องค์ชายหลายพระองค์ต่างหันไปมองหลัวเทียนเฉิง แต่กลับเห็นมุมปากเขายังคงห้อยแขวนด้วยรอยยิ้ม คล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกระนั้น 

 

 

ความสนุกนี้ช่างน่าสนใจยิ่ง ผู้คนทั้งหลายต่างรีบหันไปมององค์ชายหก 

 

 

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ล้วนเป็นปีศาจในร่างคน ขอเพียงองค์ชายหกเผยท่าทีประหม่าหรือแปลกแปร่งขึ้นมา ข่าวลือต่างๆ ก็จักต้องแพร่ออกไปทันทีแน่ 

 

 

ใบหน้าองค์ชายหกยังคงแขวนด้วยรอยยิ้มเกียจคร้าน เขายื่นมือออกมาลูบศีรษะองค์หญิงฟังโหรว “เด็กน้อยเจ้าพูดเรื่องเหลวไหลอันใด เจียหมิงกับเจ้าล้วนเป็นน้องสาวของข้า พี่แค่กลัวพวกเจ้าจะดื่มจนเมามาย หากเมาแล้วทำเรื่องน่าอายจนถูกหวังเฟยดุเอาก็อย่าร้องไห้น้ำมูลไหลเล่า” พูดพลางชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่งแล้วยิ้มออกมา “หัวหน้าผู้บัญชาการหลัวย่อมต้องไม่เอ่ยอันใดอยู่แล้ว มีพี่ชายน้องชายของภรรยาอยู่เต็มไปหมด เขาไหนเลยจะมีสิทธิ์เอ่ยแทรก!” 

 

 

วาจานี้ทำเอาทุกคนหัวเราะออกมา บรรยากาศอันประหม่าเมื่อครู่พลันมลายหายไปทันที 

 

 

ภายใต้เสียงพูดคุยหัวเราะนี้ เจินเมี่ยวกลับรู้สึกว่ามีวงกลมระยิบระยับวิ่งวนไปมาตรงหน้า ทำให้นางรู้สึกเวียนหัวยิ่ง 

 

 

“คุณหนูสี่…” ฉงสี่เซี่ยนจู่ยื่นมือออกไปประคองเจินเมี่ยวไว้ 

 

 

“ข้าคงเมาแล้วกระมัง” เจินเมี่ยวเอ่ยได้เพียงประโยคเดียวก็คอพับไปทันที 

 

 

ผู้คนทั้งหลายได้แต่เงียบงัน 

 

 

ฝีมือการดื่มสุราเช่นนี้ทำให้คนตกตะลึงยิ่งนัก 

 

 

หลัวเทียนเฉิงอดเดินเข้ามาหามิได้ 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่เลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “หัวหน้าผู้บัญชาการท่านดื่มเป็นเพื่อนพี่ชายทั้งหลายเถิด เราจะดูแลคุณหนูสี่ให้เอง” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง แล้วถอนหายใจเสียงต่ำ แต่ก็ยอมถอยออกไป 

 

 

ตามธรรมเนียมของต้าโจว หากยอมรับเป็นบุตรบุญธรรมก็ต้องพักค้างแรมที่เรือนบิดามารดาบุตรธรรมหนึ่งคืน 

 

 

หากเขาคิดจะพบหน้ากับเจินเมี่ยวก็คงต้องรอพรุ่งนี้เช้าตอนมารับนางนั้นแล 

 

 

“ข้าจะประคองคุณหนูสี่ไปพักที่ห้องด้านหลังก่อนแล้วกัน” ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ย 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่พยักหน้า “เจ้าไปเถิด ข้าจะอยู่รับหน้าเอง” 

 

 

เจินเมี่ยวดื่มมากแล้ว ทุกคนจึงมิอาจทำให้นางลำบากใจอีก จึงได้แต่ยอมให้ฉงสี่เซี่ยนจู่ประคองนางไปพักที่ห้องด้านหลัง 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่นั้นคอแข็งยิ่ง นางเดินยกสุราคารวะไปทั่วท้อง ทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้นมาอีกครา 

 

 

พลันได้ยินพระชายาขององค์ชายสามเอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดวันนี้องค์หญิงสี่จึงไม่มาเล่า?” 

 

 

พระชายาขององค์ชายสามจึงเอ่ยแทรกขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “ได้ยินว่าราชบุตรเขยแต่งอนุจึงเกิดการวิวาทกัน” 

 

 

ในราชวงศ์นี้นั้นมีองค์หญิงทั้งหมดห้าพระองค์ องค์หญิงใหญ่อภิเษกไปแดนไกล องค์หญิงสามสิ้นพระชนม์แล้ว นอกจากฟังโหรวซึ่งเป็นองค์หญิงห้าที่ยังทรงพระเยาว์ ก็มีเพียงองค์รองกับองค์หญิงสี่ที่อภิเษกแล้วยังพำนักอยู่ในเมืองหลวง 

 

 

ตามกฎแล้วราชบุตรเขยมิอาจแต่งอนุได้ แต่องค์หญิงสี่อภิเษกมาหลายปีก็ยังไม่มีบุตรชาย ถึงแม้จะมีฐานะเป็นองค์หญิงก็มิอาจไม่ยอมจำนนด้วยเหตุผล 

 

 

พระชายาองค์ชายสามฟังแล้วก็เข้าใจทันทีจึงได้แต่ส่ายหน้ามิพูดจาอันใดอีก 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่กลับรู้สึกเบื่อหน่าย นางอยากจะไปสนทนากับฉงสี่และเจินเมี่ยวเสียมากกว่า อย่างไรก็ดีกว่าอยู่รับรองคนพวกนี้หลายเท่า 

 

 

ขณะที่กำลังหงุดหงิดใจอยู่นั้นก็เห็นองค์หญิงฟังโหรวเดินถือจอกสุราหยกขาวเดินเข้าไปหา หลัวเทียนเฉิง 

 

 

“หัวหน้าผู้บัญชาการหลัว สุราจอกนี้ ฟังโหรวขอดื่มคารวะท่านแล้ว” 

 

 

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” หลัวเทียนเฉิงมิได้พูดอันใดให้มากความ เขายกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจอก 

 

 

ในแววตาขององค์หญิงฟังโหรวมีประกายชนิดหนึ่งเกิดขึ้น นางกำลังจะเอ่ยสิ่งใดบางอย่างแต่กลับถูกชูสยาจวิ้นจู่ดึงตัวออกไป 

 

 

“หัวหน้าผู้บัญชาการหลัว อีกไม่นานข้าก็ต้องจากไปอยู่แดนไกลแล้ว ต่อไปบิดาและมารดาข้าก็คงต้องขอให้ท่านและคุณหนูสี่ช่วยดูแลแทนแล้ว” 

 

 

“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลัวเทียนเฉิงยกสุราขึ้นดื่มอีกจอก แต่ใจกลับยังคงคิดถึงแต่เจินเมี่ยว 

 

 

ไม่รู้ว่าวันนี้ที่นางต้องค้างแรมอยู่ที่จวนหย่งอ๋องนั้นจะราบรื่นดีหรือไม่ 

 

 

เจินเมี่ยวที่หลัวเทียนเฉิงกำลังเป็นห่วงอยู่นั้นได้หลับไปนานแล้ว แม้แต่อาหารค่ำก็มิได้กิน นางหลับไปกระทั่งเช้าวันต่อมา 

 

 

ตอนที่นางตื่นขึ้นก็เห็นชิงเกอนั่งสัปหงกหลับอยู่ปลายเท้าตน 

 

 

“ชิงเกอ อาหลวนเล่า?” เจินเมี่ยวนวดคลึงหัวคิ้วตน 

 

 

ชิงเกอตื่นขึ้นมาจึงรีบเอ่ยตอบว่า “ยังมิเห็นพี่อาหลวนเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

อาหลวนที่กำลังถูกเอ่ยถึงกลับเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ท่าทีร้อนรน “ต้าไหน่ไหน่ ท่านตื่นแล้วหรือ บ่าวจะปรนนิบัติท่านล้างหน้าบ้วนปากเองเจ้าค่ะ” 

 

 

เจินเมี่ยวสร่างเมาแล้ว สติปัญญาทุกอย่างล้วนแจ่มชัดขึ้นมาก นางจ้องมองอาหลวนแล้วเอ่ยถามว่า “อาหลวน เจ้าลนลานอันใด?” 

 

 

อาหลวนมีสีหน้าวิตกขึ้นมา นางลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่ ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับชูสยาจวิ้นจู่แล้ว ตอนนี้หวังเฟยกำลังดุด่าอยู่เจ้าค่ะ!” 

 

 

“เกิดอันใดขึ้น?” เจินเมี่ยวตาสว่างขึ้นมาทันที 

 

 

หากมิใช่เรื่องใหญ่จริง ตามเหตุผลแล้วหวังเฟยคงมิดุด่าชูสยาจวิ้นจูทั้งที่นางยังคงอยู่ที่นี่เป็นแน่ 

 

 

“ดูเหมือนว่าหลังจากงานเลี้ยงฉลองเมื่อคืนผ่านไป ชูสยาจวิ้นจู่ก็ได้ละเล่นร่ายบทกลอนกัน แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดกลับมีบทกลอนครวญหารักปะปนเข้ามา ซึ่งเป็นลายมือของชูสยาจวิ้นจู่เอง…เจ้าค่ะ” 

 

 

“บทกลอนครวญหารัก?” เจินเมี่ยวตกใจยิ่ง “บทกลอนนั้นเขียนว่าอย่างไร?” 

 

 

อาหลวนลังเลครู่หนึ่ง 

 

 

เจินเมี่ยวร้อนใจยิ่ง “อาหลวน รีบพูดมาเดี๋ยวนี้” 

 

 

อาหลวนกัดฟันเอ่ย “ท่านเกิดข้ายังมิเกิด ข้าเกิดท่านกลับชรา ท่านแค้นที่ข้าเกิดช้า ข้าแค้นที่ท่านเกิดเร็ว…” 

 

 

ประโยคหลังกลับค่อยๆ แผ่วเบาจนไม่ได้ยิน ใบหูอาหลวนแดงก่ำขึ้นมา “แค้นที่มิอาจเกิดในเวลาเดียวกัน ทุกเมื่อเชื่อวันผูกพันรักใคร่…” 

 

 

เจินเมี่ยวกลับอึ้งงันไป 

 

 

แค้นที่มิอาจเกิดในเวลาเดียวกัน ทุกเมื่อเชื่อวันผูกพันรักใคร่… 

 

 

คนผู้หนึ่งแค้นที่มิอาจเกิดในเวลาเดียวกัน ทุกเมื่อเชื่อวันผูกพันรักใคร่งั้นหรือ! 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ต้องถูกคนกลั่นแกล้งเป็นแน่ 

 

 

ตีให้ตายนางก็ไม่เชื่อว่า ชูสยาจวิ้นจู่จะเขียนบทกลอนเช่นนี้ออกมาได้ 

 

 

เจินเมี่ยวลุกยืนขึ้นทันที 

 

 

“ต้าไหน่ไหน่?” 

 

 

เจินเมี่ยวสวมอาภรณ์พลางเอ่ยว่า “เร็วเข้า ข้าจะไปหาชูสยา” 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset