วาสนาบันดาลรัก 252 องครักษ์ลับ

ตอนที่ 252 องครักษ์ลับ

เด็กน้อยผู้นั้นอายุเพียงสี่ห้าปี เขายืนอยู่กลางถนนมองรถม้าที่พริบตาก็จะทะยานมาถึงตรงหน้าอย่างลืมกระทั่งความกลัว ได้แต่ยืนงงงันอยู่ที่เดิม 

 

 

ชั่วขณะนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งกระโจนเข้ามากอดเด็กน้อยผู้นั้นไว้แล้ว ทั้งสองกลิ้งหลุนๆ ไปอยู่ข้างทาง 

 

 

ตามติดด้วยเสียงร้องยาวของม้า รถม้าพลันหยุดลงทันใด 

 

 

ร่างเจินเมี่ยวโยกเยกไปมา นางตกใจจนต้องยกมือปิดปากตน 

 

 

นางมิถูกชะตากับรถม้าหรือไร เหตุใดทุกคราจักต้องมีเรื่องให้ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่างเล่า 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเองก็ร่างโยกคลอนจนตื่น เขาเปิดเปลือกตาขึ้นพลางเอ่ยถามด้วยความเกียจคร้านว่า “เกิดอันใดขึ้นหรือ?” 

 

 

เจินเมี่ยวชี้ออกไปด้านนอก “เกือบจนเด็กเข้าแล้ว” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงมองออกไปด้านนอก 

 

 

เวลานี้บนถนนนั้นเบียดเสียดไปด้วยผู้คนที่มามุงดู และต่างถกเถียงกันสนุกปาก ทำให้ทางถูกปิดจนแทบไปต่อไม่ได้แล้ว 

 

 

หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วขึ้น 

 

 

หากชักช้าจนเลยเวลา ไม่แน่ว่าคนในจวนหย่งอ๋องอาจไม่พอใจได้ โดยเฉพาะถ้าไปสายก็อาจเกิดเหตุการณ์พลิกผันได้ 

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้แววตาก็ฉายประกายวาบขึ้น แต่กลับเผยยิ้มสนุกออกมา 

 

 

ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องบังเอิญหรือมีคนเจตนาทำมันขึ้น 

 

 

ขณะที่กำลังคิดอยู่ก็มีสตรีผู้หนึ่งผมเผ้ากระเซอะกระเซิงวิ่งออกมา นางดึงเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของบุรุษที่ช่วยชีวิตออกมาแล้วร้องไห้เสียงดัง 

 

 

นางร้องไห้พลางเขย่าเด็กน้อยผู้นั้น “เอ้อเป่าเจ้าเป็นอันใดไป เจ้าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” 

 

 

เด็กน้อยผู้นั้นอายุเพียงสี่ห้าปี เมื่อพบเหตุการณ์อันน่าตกใจเช่นนี้จึงมิทันได้มีสติใดๆ ครั้นถูกมารดาเขย่าแรงเช่นนั้น เขาจึงตาเหลือกถลนออกมา 

 

 

สตรีผู้นั้นอุ้มเด็กน้อยเดินเข้าไปตรงหน้ารถม้า นางร่ำไห้โหยหวนดุจสุกรถูกฆ่า “เอ้อเป่าของข้าถูกรถชนจนกลายเป็นเด็กเสียสติไปแล้ว ท่านผู้มีบรรดาศักดิ์คงมิคิดปล่อยปละมิสนใจกระมัง…” 

 

 

นางร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังและน่าสงสาร ไม่นานผู้คนก็เข้ามาล้อมวงดูด้วยความสนใจ 

 

 

ผู้คนที่มิได้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรกเริ่มก็มองดูสตรีผู้นั้นอุ้มลูกน้อยร้องไห้อย่างน่าเวทนา แค่เห็นรถม้าก็ทราบแล้วว่านี้มิใช่ตระกูลร่ำรวยธรรมดาจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างทอดถอนใจ 

 

 

ปั้นซย่านั้นนั่งอยู่กับคนควบรถม้ามาตลอด เมื่อเห็นเช่นนั้นก็กระโดดลงจากรถด้วยใบหน้าที่แต้มรอยยิ้ม “ท่านอย่าเพิ่งร้องไห้ไปเลย เมื่อครู่ข้าเห็นอย่างชัดเจนว่ารถม้าเรามิได้ชนเด็กน้อยผู้นี้แม้แต่ปลายก้อย…” 

 

 

วาจานี้ยังมิทันกล่าวจบ สตรีผู้นั้นก็ถ่มน้ำลายออกมาทันที “มิได้ชน? มิได้ชนแล้วเอ้อเป่าของข้าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร อ้อ ข้ารู้แล้ว นายท่านของเจ้าคงมิเห็นชาวบ้านตาดำๆ เป็นคนเช่นเขากระมัง…” 

 

 

ปั้นซย่าเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

เขาได้เป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายผู้สืบทอดได้นั้นย่อมต้องมีไหวพริบพอสมควร ความหงุดหงิดในใจกลับมิได้เผยออกทางใบหน้า เขายังคงยิ้มและเอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า “ฮูหยินท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าเพราะนายท่านของข้าเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์จึงมิเห็นว่าชีวิตผู้อื่นสำคัญงั้นหรือ? หากเป็นอย่างท่านว่า เช่นนั้นผู้มีบรรดาศักดิ์ในเมืองหลวงแห่งนี้คงมีมากนับคณาทีเดียวเชียว!” 

 

 

สตรีผู้นั้นโมโหขึ้นมาทันที 

 

 

ปั้นซย่าจึงรีบเอ่ยต่อว่า “ทุกคนต่างเห็นกันทั่วหน้าว่าเด็กน้อยนี้วิ่งเข้ามากลางถนนเอง ทั้งยังมิได้ชนถูกกระทั่งชายเสื้อก็มีคนเข้ามาช่วยไว้แล้ว บางทีเด็กน้อยก็แค่อาจจะตกใจเท่านั้น นี่เงินห้าตำลึงถือเป็นค่าปลอบใจ ท่านรีบพาบุตรไปหาหมอเถิด มิต้องโวยวายอยู่ที่นี่แล้วจะได้เสียเวลาทุกคน” 

 

 

สตรีผู้นั้นอึ้งไป คล้ายมิได้คิดถึงว่าอีกฝ่ายจะใจดีเพียงนี้ ให้ทั้งเงินทั้งพูดจามีเหตุผล ชั่วขณะนั้นจึงลืมกระทั่งโวยวายระบายโทสะ 

 

 

คนที่มารุมล้อมได้ฟังเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบก็เอ่ยตามว่า “ใช่แล้ว ในเมื่อเด็กน้อยมิได้ถูกชน ทั้งเขาก็ให้เงินปลอบใจแล้วก็รีบพาบุตรไปหาหมอเถิด” 

 

 

“โถ่ๆ ข้าว่านะ เด็กน้อยผู้นั้นคงตกใจจนวิญญาณหดหายหมดแล้วกระมัง ไปหาหมอก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว คงต้องหาคนช่วยจัดการแล้ว” 

 

 

ปั้นซย่าโบกมือให้คนที่รุมล้อม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “รบกวนทุกท่านถอยไปสักหน่อยเถิด นายท่านข้ายังมีเรื่องสำคัญที่มิอาจไปสายได้ ข้าน้อยต้องขอบคุณทุกท่านแทนนายข้าแล้ว” 

 

 

คนผู้หนึ่งในฝูงชนที่มีความรู้มากมองเห็นสัญลักษณ์บนรถม้าก็ถึงกลับซูดปาก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นรถม้าของจวนเจิ้นกั๋วกงมิใช่หรือ!” 

 

 

“โอ้ นายท่านจวนเจิ้นกั๋วกงมีน้ำใจถึงเพียงนี้ ช่างยากนักจะพบเห็น” 

 

 

ผู้คนที่รุมล้อมต่างแหวกตัวหลบเป็นทางอย่างไม่รู้ตัว 

 

 

 สตรีผู้นั้นเห็นแล้วนัยน์ตากลอกไปมา นางพุ่งเข้าไปคุกเข่าให้กับบุรุษที่ช่วยบุตรตนไว้ “ข้าน้อยขอโขกศีรษะให้กับท่านผู้มีพระคุณ หากไม่มีท่านช่วยไว้ เอ้อเป่าคงต้องถูกม้าเหยียบตายไปแล้ว ชีวิตน้อยๆ อันต่ำต้อย ได้เงินไม่กี่ตำลึงมาเป็นการปลอบขวัญก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว ท่านผู้มีคุณ ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดตอบแทน สิ่งนี้มองให้ท่านไว้ข้ามอบให้ท่านไว้ซื้อสุราดื่ม หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ” 

 

 

สตรีผู้นั้นนำเงินที่ปั้นซย่าให้นางยื่นให้ไป ปั้นซย่านั้นโกรธจนแทบหงายหลัง 

 

 

ฮูหยินผู้นี้ช่างน่ารังเกียจนัก  

 

 

วาจานี้ที่เอ่ยมามิใช่กำลังจะบอกว่านายท่านของเขาดูแคลนผู้อื่น เอาแต่นั่งอยู่ในรถม้ามิเผยโฉมออกมา ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณสักคำแก่คนที่ช่วยเด็กน้อยไว้ทั้งช่วยให้เขามิต้องเป็นคนผิด! 

 

 

ดังคาด…ผู้คนทั้งหลายต่างหันไปมองรถม้าที่ดูเรียบง่ายแต่ไม่สูญเสียความสูงศักดิ์ 

 

 

เวลานี้เอง ม่านหน้าต่างรถม้าพลันถูกแหวกออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาดุจจันทรากลางสายลมเย็น ทุกคนต่างเงียบเสียงลงไปทันใด 

 

 

มุมปากของบุรุษผู้นั้นเคลือบไว้ด้วยรอยยิ้มจางๆ สายตามองตกไปที่ชายหนุ่มผู้ช่วยชีวิตเด็กน้อย น้ำเสียงอันชัดถ้อยที่ลอยมานั้นเอ่ยว่า “หลัวอู่ ในเมื่อทำงานเสร็จแล้ว ก็กลับมาเสียที หรือเจ้ากำลังรอให้ผู้อื่นเชิญไปดื่มสุราอยู่จริงๆ? ” 

 

 

บุรุษผู้นั้นรีบก้าวเท้าเร็วไปยังหน้ารถม้าแล้วยกมือขึ้นประกบกันเป็นการแสดงความเคารพ “นายท่าน ผู้น้อยทำงานบกพร่อง ขอท่านลงโทษด้วย” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงยกมุมปากขึ้นยิ้ม เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไปเถิด” 

 

 

ม่านหน้าต่างจึงถูกปิดลง รอบข้างต่างเงียบงันไร้เสียงนกกระจิบนกกระจอก รถม้าจึงขับเคลื่อนออกไป แม้นวิ่งไปไกลแล้วแต่ยังคงได้ยินเสียงกุบกับๆ ลอยมา ยามนี้เองทุกคนจึงเริ่มพูดคุยกันขึ้น 

 

 

ที่แท้คนที่ช่วยเด็กน้อยไว้ก็คือบ่าวของคุณชายผู้นั้น! 

 

 

เด็กคนนั้นวิ่งเข้ามาขวางทางแต่ถูกคนของเขาช่วยไว้ทั้งยังให้เงินปลอบใจ การดูแลอย่างครบถ้วนเช่นนี้กลับทำให้ยิ่งรู้สึกว่าสตรีผู้นั้นช่างไร้มารยาทยิ่ง 

 

 

ผู้คนที่มารุมล้อมดูความคึกคักนี้ เดิมคิดจะร่วมประณามด้วยเสียหน่อย แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่เงียบสงบปากไว้ 

 

 

ใบหน้าสตรีผู้นั้นประเดี๋ยวขาวประเดี๋ยวเขียว นางอุ้มบุตรตนปะปนเข้าไปในฝูงชน แต่ในมือกลับกำเงินนั้นแน่นขึ้นทุกขณะ 

 

 

ไม่มีผู้ใดรู้สึกตัวเลยว่ามีบุรุษหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่งเดินกลมกลืนไปในฝูงชนดั่งหยดน้ำที่หยดลงไปในสายธาร พริบตาก็มองหาไม่เจอเสียแล้ว 

 

 

เจินเมี่ยวเห็นว่าไม่มีอันใดแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมา นางจึงหยิบกาเงินที่วางอยู่บนเตาเล็กแล้วรินใส่ถ้วยชาสองใบ ใบหนึ่งส่งให้หลัวเทียนเฉิง อีกใบกุมไว้ในมือตน 

 

 

รอกระทั่งชาเย็นลงจึงรีบจิบไปสองอึก ทั้งยังหยิบขนมขึ้นมากินอีก 

 

 

แต่หลัวเทียนเฉิงต่างหากที่กลับอดรนทนไม่ได้ เขาเลิกคิ้วเอ่ยถามว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าไม่มีสิ่งใดจะถามหรือ?” 

 

 

“เอ๊ะ?” เจินเมี่ยววางขนมที่กัดกินไปครึ่งหนึ่งแล้วลง เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบขรึมว่า “ไม่มีอันใดจะถาม” 

 

 

เขาคิดจริงหรือว่าการส่งของขวัญให้นางเพียงไม่มีคราจะทำให้นางหายโกรธได้? 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็อดประชดขึ้นมาคำหนึ่งมิได้ว่า “ความยุ่งยากนี้ก็เป็นท่านเองที่ก่อมันขึ้นมา” 

 

 

นางดูออกแล้ว ชาติก่อนท่านผู้นี้อาจจะมิได้ทุกข์ตรมหรือมีความแค้นใหญ่หลวงอันใดปานนั้น 

 

 

แต่นางเองต่างหากที่โชคดีได้แต่งงานกับเป้ามีชีวิต 

 

 

หลายวันมานี้หลัวเทียนเฉิงมิได้นอนหลับเต็มตาเท่าใดนัก เขารู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาอย่างรุนแรงจึงยื่นมือไปนวดขมับคราหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยยิ้มขมขื่นว่า “เจี๋ยวเจี่ยวเจ้ายังไม่หายโกรธข้าหรือ?” 

 

 

มิรอให้เจินเมี่ยวตอบคำ เขาก็ยื่นหน้าเขามาใกล้ ทั้งมิได้มีท่าทีแข็งกระด้างสูงส่ง แต่กลับยิ้มอย่างคนหน้าหนา “เจี๋ยวเจี่ยว ต่อไปข้าจะมิทำตัวเป็นคนบ้าเช่นนั้นอีก เจ้ายกโทษให้ข้าเถิด ได้หรือไม่?” 

 

 

เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขา “ผู้ที่ตบตีภรรยาต่างก็พูดเช่นนี้ บอกว่ารับรองคราหน้าจะมิตบตีอีก ทว่าเมื่อถึงเวลาก็ยังคงตบตีเช่นเดิมมิใช่หรือ?” 

 

 

มิใช่ว่านางแสนงอน ทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องในครานั้นคราใด แม้นจะรู้ว่าที่เขาทำนั้นมีสาเหตุ ทว่าก็ยังมิอาจทำใจยอมรับได้อยู่ดี 

 

 

หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป พลันรั้งเจินเมี่ยวไว้แล้วขยับเข้าไปกระซิบข้างหูนางด้วยเสียงแผ่วต่ำว่า “กลับไปข้าจะให้เจ้าทำโทษทุกอย่างเลย?” 

 

 

“ทำโทษอย่างไร?” 

 

 

“ก็ทำโทษอย่างที่ข้าทำ ถึงตอนนั้นเจ้าจะตบตีเช่นไรก็ได้ แต่ขออย่างเดียว เมื่อตบตีแล้วเจ้าก็อย่าได้แค้นเคืองอีกเลย แล้วเราก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นมาดีหรือไม่?” 

 

 

ทำโทษอย่างที่ข้าทำ? 

 

 

เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง ใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาทันใด นางกัดริมฝีปากเอ่ยว่า “เหลวไหล!” 

 

 

“ใช่ ใช่ ข้าเหลวไหลยิ่ง ภรรยาก็อย่าได้ถือสาหาความข้าเลยได้หรือไม่?” หลัวเทียนเฉิงพลันขบติ่งหูของนาง ลมหายใจผ่าวร้อนรินรดอยู่ข้างหู 

 

 

เจินเมี่ยวพลันอึ้งงันไป คนผู้นั้นได้คืบจะเอาศอกจริงๆ 

 

 

เจินเมี่ยวรีบผักเขาออก แล้วจัดมวยผมตน นางเอ่ยเสียงเรียบว่า “อยู่นิ่งๆ!” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเห็นนางเอ่ยอย่างจริงจังก็หัวเราะเสียงขื่นออกมา แล้วนั่งนิ่งอย่างว่าง่าย 

 

 

ดูท่าตนคงไม่เหมาะกับมุกหน้าด้านง้องอนเป็นแน่ แต่เหตุใดคุณชายเซียวจึงบอกว่าหากใช้วิธีนี้ ไม่ว่าสตรีคนใดก็ล้วนศิโรราบทั้งสิ้นเล่า? 

 

 

เจินเมี่ยวเองก็มิใช่ว่าไม่แปลกใจเลย กระทั่งใกล้จะถึงจวนหย่งอ๋องจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “หลัวอู่ผู้นั้น เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านหรือ? เหตุใดตอนออกจากจวนมิเห็นเขาตามมาเล่า?” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หลัวอู่เป็นองครักษ์ลับของข้า” 

 

 

“องครักษ์ลับ?” เจินเมี่ยวพลันสนใจขึ้นมา “เป็นเช่นเดียวกันกับหลัวเป้าใช่หรือไม่?” 

 

 

“หลัวเป้า?” หลัวเทียนเฉิงมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างรู้สึกแปลกแปร่ง “เจ้ารู้จักหลัวเป้าด้วยหรือ?” 

 

 

เจินเมี่ยวรู้ว่าตนเผลอพูดออกไปก็รีบกระแอมไอเสียก่อนค่อยเอ่ย “ก็ท่านให้เขาไปส่งของให้ข้าทุกวันมิใช่หรือ เชวี่ยเอ๋อร์เล่าให้ข้าฟัง” 

 

 

คนบางคนกลับหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด 

 

 

เจ้าหนุ่มนั้นแค่ให้เขาไปส่งของให้เจี๋ยวเจี่ยวเท่านั้น เหตุใดจึงได้กระโดดไปกระโดดมาให้คนรู้จักไปทั่ว! 

 

 

ภรรยายังคงโกรธเขาอยู่ แต่เขากลับมาแย่งความสำคัญไปจากตน เช่นนี้มิอาจทนได้จริงๆ! 

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงตัดสินใจในทันทีว่าจะให้หลัวเป้ากลับไปฝึกฝนฝีมือที่ลานฝึกยุทธ เรื่องส่งของขวัญนั้นควรไปเองจะดีกว่า! 

 

 

เมื่อเห็นว่าเจินเมี่ยวกำลังรอคำอธิบายจากตนก็เอ่ยขึ้นว่า “หลัวอู่เป็นองครักษ์ลับ หลัวเป้าเป็นองครักษ์ประจำตัวข้า พวกเขามิเหมือนกัน เจ้าแค่จำไว้ว่าหากเห็นผู้ใดในจวนนั้นย่อมเป็นองครักษ์ประจำตัวข้า แต่องครักษ์ลับนั้นมิอาจปรากฏให้ผู้คนเห็นได้” 

 

 

“เช่นนั้นหลัวอู่…” 

 

 

“ต่อไปหลัวอู่ก็คงเป็นองครักษ์ประจำตัวข้าแทน ประจวบเหมาะกับก่อนหน้านี้ขาดอยู่หนึ่งตำแหน่งพอดี” 

 

 

เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าคนแล้วก็ย่อมมิอาจให้เป็นองครักษ์ลับได้อีกต่อไป 

 

 

ครั้นเห็นว่าเขามีสีหน้าเหนื่อยล้า เจินเมี่ยวจึงมิถามต่ออีก “ท่านพักเสียก่อนเถิด จะได้มิไปเผลอหลับในจวนหย่งอ๋อง” 

 

 

“อืม” 

 

 

รถม้าควบไปอีกเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาก็ถึงจวนหย่งอ๋อง 

 

 

เจินเมี่ยวกับหลัวเทียนเฉิงเดินตามสาวใช้ที่มาคอยนำทางเข้าไปในห้องโถงใหญ่ นางกวาดตามองเพียงครู่ก็ก้มหน้าลง 

 

 

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านอกจากองค์รัชทายาทแล้ว องค์ชายและองค์หญิงหลายพระองค์ก็ต่างมาร่วมงานนี้ด้วย 

 

 

หลัวเทียนเฉิงกุมมือนางไว้เงียบๆ เพื่อให้นางไม่ตื่นเต้น 

 

 

หย่งอ๋องนั้นมีความสำคัญต่อจักรพรรดิยิ่ง แต่ยามนี้รัชทายาททรงทำให้จักรพรรดิมิพอพระทัย สถานการณ์เช่นนี้จึงมินับว่าแปลกอันใด 

 

 

กลิ่นธูปหอมเสียงป่าวร้องและโค้งคำนับเกิดขึ้นไปตามลำดับ เมื่อพิธีการต่างๆ เสร็จสิ้นลงก็ได้เวลาเริ่มงานเลี้ยงฉลอง 

 

 

ทุกคนยังมิทันได้นั่งลงด้วยซ้ำ ราชโองการของเจ้าเฟิงตี้ก็มาถึง เจินเมี่ยวถูกแต่งตั้งให้เป็นเจียหมิงเซี่ยนจู่ งานเลี้ยงฉลองจึงได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset