วาสนาบันดาลรัก 235 บุตรบุญธรรม

ตอนที่ 235 บุตรบุญธรรม

หวังเฟยผลิยิ้มเบาบาง ตามด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย 

 

 

บุตรสาวผู้นี้ของนางแต่งออกไปยังดินแดนหมานเว่ย ชีวิตนี้ยากจะได้พบเจออีก 

 

 

“หวังเฟย เห็นพวกเจ้าสนุกสนานกลมเกลียวประหนึ่งเป็นคนครอบครัวเดียวกันก็มิปาน” 

 

 

หวังเฟยได้ยินก็หันไปมองตามเสียงจึงเห็นจ้าวหวงโฮ่วที่สวมอาภรณ์สีแดงทั้งร่างเดินเข้ามา 

 

 

ด้านหลังของนางยังมีพระสนมและพระชายาขอองค์ชายทั้งหลายตามมารวมถึงองค์หญิงน้อยๆ ด้วย 

 

 

หวังเฟยลุกขึ้นถวายพระพร 

 

 

คนภายในตำหนักต่างก็ลุกขึ้นถวายพระพรกันถ้วนหน้า 

 

 

หวงโฮ่วแม้นไร้มิได้รับความโปรดปรานทั้งไร้ทายาท แต่ยังสามารถอยู่ในตำแหน่งหวงโฮ่วอย่างมั่นคงได้ ผู้ที่อยู่ในนี้ต่างมิใช่คนโง่แล้วจะมิแสดงความเคารพได้อย่างไร 

 

 

จ้าวหวงโฮ่วยกมือขึ้นแสดงเป็นนัยว่ามิต้องมากพิธี นางเพียงเอ่ยสองสามประโยคก็ชวนให้หวังเฟยมานั่งด้วย 

 

 

หย่งอ๋องเป็นน้องชายแท้ๆ ของเจาเฟิงตี้ ฐานะจึงแตกต่างจากอ๋องทั่วไป หวงโฮ่วให้ความสนิทสนมกับพระชายาของหย่งอ๋องย่อมเป็นเรื่องปกติ 

 

 

บรรยากาศภายในตำหนักกลับมาครึกครื้นอีกครา คนทั้งหลายต่างจับกลุ่มสนทนากัน แต่จิตใจยังคงแบ่งมาคอยสังเกตจ้าวหวงโฮ่วและหวังเฟยอยู่ 

 

 

“เมื่อครู่พูดจาเย้าหยอกอันใดกันหรือ หวังเฟยถึงได้เบิกบานเพียงนั้น?” นัยน์ตางดงามของจ้าวหวงโฮ่วมองไปยังเจินเมี่ยวแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม 

 

 

เจินเมี่ยวลอบพิจารณาจ้าวหวงโฮ่วคราหนึ่ง 

 

 

จ้าวหวงโฮ่วในความทรงจำของนางนั้นเป็นผู้มีอุปนิสัยตรงไปตรงมา อดีตเคยถูกเจี่ยงกุ้ยเฟยกดข่มไว้จนมิอาจเงยหน้าขึ้นได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเวลาเพียงปีกว่า กลับเปลี่ยนไปไม่น้อย โดยเฉพาะวันนี้ อาภรณ์หรูหราสีแดงนี้ยิ่งขับให้ผิวพรรณผุดผ่องราวหิมะก็มิปาน ไม่ดูแก่ชราลงเลยสักนิด 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้สายตาก็ร่วงตกไปยังร่างของอู๋กุ้ยเฟยที่กำลังเป็นที่โปรดปรานอยู่ในขณะนี้ 

 

 

อู๋กุ้ยเฟยอยู่ในวัยสาวสะพรั่งแต่เมื่อดูลักษณะท่าทางแล้วกลับไม่มีราศีเท่าจ้าวหวงโฮ่วด้วยซ้ำ ไม่ทราบว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ 

 

 

เจินเมี่ยวย่อมไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว นางจึงลอบเบนสายตาไปทางอื่น 

 

 

เวลานี้เองที่หวังเฟยได้เล่าเรื่องที่พูดหยอกล้อกันจบพอดี เพราะสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างให้ความสนใจเรื่องที่นางพูดจึงได้ยินเรื่องราวทั้งหมดเช่นกัน พลันเสียงหัวเราะอันสดใสก็ดังขึ้นพร้อมกันในทันใด 

 

 

พวกนางมิได้ชมชอบอุปนิสัยอันตรงไปตรงมาทั้งซุกซนอยู่บ้างของชูสยาจวิ้นจู่จริงๆ แต่เพราะอีกฝ่ายมีฐานะเป็นองค์หญิง ทั้งยังต้องอภิเษกเพื่อความสมานฉันท์ นับเป็นบุคคลที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับต้าโจว ในพระทัยจักรพรรดิจักต้องรักเอ็นดูนางมากแน่ จึงไม่มีผู้ใดกล้าต่อว่าต่อขานก็เท่านั้น 

 

 

จ้าวหวงโฮ่วเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างเบิกบานแล้วเอ่ยอย่างนึกสนุกว่า “น่าเสียดายที่เป็นสตรีจึงมิอาจแต่งกับชูสยาได้” 

 

 

สายตาหวังเฟยกวาดมองไปยังเจินเมี่ยวและชูสยาจวิ้นจู่ แล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันกลับคิดว่า พวกนางสองคนมีวาสนาเช่นนี้ต่อกันนั้นไม่ง่ายเลย หากสามารถเป็นพี่น้องกันได้ หม่อมฉันก็จะมีบุตรสาวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน กลับเป็นเรื่องที่ดียิ่งเพคะ” 

 

 

เมื่อวาจานี้กล่าวออกไป ผู้คนที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสทั้งหลายกลับพลันชะงักงันไป แม้นเข็มตกร่วงลงพื้นก็ยังได้ยิน ผู้คนทั้งหลายต่างคิดกันไปต่างๆ นานา 

 

 

อันใดกัน พระชายาของหย่งอ๋องคิดจะรับฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นบุตรบุญธรรมหรือ? 

 

 

นี่เป็นวาจาที่เอ่ยตอบออกมาจริงๆ หรือ? 

 

 

มีเพียงคนจำนวนน้อยที่มิใคร่ฉลาดนักเท่านั้นที่เข้าใจเช่นนี้ แต่คนส่วนมากต่างก็ส่ายหน้ากันอยู่ในใจ 

 

 

เชื้อพระวงศ์คิดจะรับบุตรบุญธรรม…เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ไม่มีทางที่จะเอ่ยออกไปตามใจอยากแน่ 

 

 

ควรต้องทราบว่าหากพระชายาหย่งอ๋องรับฮูหยินผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นบุตรบุญธรรม เช่นนั้นแม้นนางจะมิได้ถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ แต่ก็อาจได้รับแต่งตั้งให้เป็นเซี่ยนจู่ ตั้งแต่นี้ต่อไปหากเข้าวังก็มิจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนอันใดมากมายแล้ว 

 

 

สตรีสูงศักดิ์ทั่วไปแม้นจะมีขั้นบรรดาศักดิ์สูงส่งเท่าใด หากมิใช่ไท่โฮ่ว หวงโฮ่วรับสั่งให้เข้าเฝ้าก็มิอาจเข้าวังได้ 

 

 

ภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบและแปลกประหลาดนี้ จ้าวหวงโฮ่วกลับเอ่ยขึ้นว่า “หวังเฟย วาจานี้ของท่านไม่ถูกนัก ยามนี้ชูสยาเป็นองค์หญิง หากพวกนางผูกสัมพันธ์เป็นพี่น้องกันจริง เช่นนั้นย่อมเป็นข้าที่จะมีบุตรสาวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน” 

 

 

วาจานี้กลับยิ่งทำให้คนทั้งหลายแตกตื่นขึ้นไปอีก 

 

 

เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นอย่างน่ารักน่าเอ็นดู แล้วกะพริบตาปริบๆ 

 

 

เกิดอันใดกันขึ้นกันแน่? 

 

 

เหตุใดนางจึงรู้สึกคล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้องกระนั้น 

 

 

หวังเฟยพลันระบายยิ้มออกมา “หวงโฮ่วช่างรู้จักเย้าเล่นนัก หลังจากชูสยาแต่งออกไปแดนไกล หม่อมฉันก็คงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว พระองค์ยังจะมาแย่งบุตรสาวของหม่อมฉันไปอีกหรือเพคะ?” 

 

 

“ท่านเห็นเป็นจริงเช่นนั้นหรือ?” จ้าวหวงโฮ่วเอ่ยขึ้น 

 

 

คนทั้งหลายต่างแทบล้มคว่ำ 

 

 

หวงโฮ่ว..เรื่องเช่นนี้นำมาล้อเล่นได้หรือ? 

 

 

จ้าวหวงโฮ่วกลับซ่อนกลบความหมายอันล้ำลึกในดวงตาตนไว้ 

 

 

แม้นนางจะมีอุปนิสัยตรงไปตรงมา แต่อย่างไรก็เป็นหวงโฮ่วมานานแล้ว ไหนเลยจะไม่ทราบพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ 

 

 

ฝ่าบาททรงคิดจะปูนบำเหน็จแก่นางเจินนานแล้ว แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใด ไท่โฮ่วกลับคล้ายมิใคร่พอพระทัยนัก 

 

 

ฝ่าบาททรงกตัญญูจึงมิคิดขัดพระทัยไท่โฮ่ว แต่คิดจะตอบแทนนางในด้านอื่นแทน พระองค์ทรงเอ่ยกับนางอยู่หลายคราว่าชูและนางเจินมีความผูกพันลึกซึ้งไม่เหมือนสหายทั่วไปแต่กลับคล้ายพี่น้องกันมากกว่า 

 

 

ตำแหน่งหวงโฮ่วของนางมิใช่ได้มาเพราะโชคช่วย ไหนเลยจะมิเข้าใจพระประสงค์ของฝ่าบาทเล่า 

 

 

พระชายาหย่งอ๋องมีบุตรสาวเพียงคนเดียวแต่กลับต้องแต่งไปอยู่ดินแดนหมานเว่ย นางย่อมว้าเหว่ยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นฝ่าบาทหรือไท่โฮ่วล้วนรู้สึกผิดอยู่ในใจไม่น้อย 

 

 

นางเจินมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตชูสยา หากหวังเฟยรับนางเป็นบุตรบุญธรรม ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจกลั่นแกล้งนางได้ ต่อให้เป็นไท่โฮ่วก็ยากที่จะคัดค้าน 

 

 

นางเจตนาเอ่ยเย้าว่าคนทั้งสามคล้ายเป็นครอบครัวเดียวกัน หวังเฟยกลับตอบรับอย่างรู้เจตนา เอ่ยตามคำนางว่าจะรับบุตรบุญธรรม 

 

 

“ชูสยา เจ้ายินดีหรือไม่?” หวังเฟยมองชูสยาด้วยความรักใคร่ 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่รู้สึกได้ถึงสายตาทุกคู่ที่มองมายังนาง จึงเสไปมองอีกทางแล้วเอ่ยว่า “ดีก็ดีอยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่คุณหนูสี่อายุมากกว่าข้า ช่างน่าโมโหนัก” 

 

 

หวังเฟยจึงหันไปหาเจินเมี่ยว “คุณหนูสี่ เจ้ายินดีมีแม่เพิ่มขึ้นมาอีกคนหรือไม่?” 

 

 

เจินเมี่ยวยังคงตกอยู่ในความตกใจ นางใช้สติปัญญาที่มีอันน้อยนิดครุ่นคิดอย่างเร็วรี่ ในที่สุดก็เข้าใจความหมายทุกอย่าง 

 

 

นางยังมิเคยลงเล่นแผนการแย่งชิงภายในจวนด้วยซ้ำ แต่กลับต้องยกระดับไปต่อสู้ภายในวังแทนแล้วหรือ? 

 

 

หากนางยอมรับหวังเฟยเป็นมารดาบุญธรรม นางก็จะกลายเป็นบุตรสาวของหย่งอ๋อง 

 

 

หย่งอ๋องเป็นน้องชายแท้ๆ ของจักรพรรดิ เป็นบุตรชายแท้ๆ ของไท่โฮ่ว 

 

 

ฐานันดรของหย่งอ๋องนั้นสูงส่งยิ่ง ทั้งยังเป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวยยิ่ง! 

 

 

ผู้มั่งคั่งทั้งยังมีฐานันดรศักดิ์สูงส่งอีกและไม่มีจิตใจทะเยอทะยานคิดแย่งชิงอำนาจ ผู้ได้มิอยากพบเจอบ้าง 

 

 

หากได้เป็นบุตรสาวของผู้มั่งคั่งทั้งมีฐานันดรศักดิ์สูงส่งอีกก็ดูเหมือนจะดีไม่น้อย 

 

 

เช่นว่าเมื่อบุตรสาวถูกบ้านสามีรังแก หรือสามีรักใคร่อนุ หากเป็นบิดาที่เคร่งครัดในธรรมเนียม ก็อาจจะสั่งสอนบุตรสาวเป็นการใหญ่ แต่หากบิดาเป็นผู้มั่งคั่งทั้งมีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง หึๆ เกรงว่าคงได้ยกเกี้ยวไปรับถึงหน้าประตู ทั้งผู้อื่นยังมิอาจทำอันใดเขาได้อีก! 

 

 

บิดามารดาบุญธรรมเช่นนี้ นางยินดียิ่ง 

 

 

เจินเมี่ยวเข้าใจในจุดนี้แล้วก็พยักหน้าทันที 

 

 

คนบางคนที่อยู่ในตำหนักหลวงกลับหนังตากระตุกขึ้นมา จึงได้แต่ลูบคลำคางตน 

 

 

เขามีความรู้สึกว่ามีสัญญาณไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น มันคืออันใดกันแน่? 

 

 

ความครึกครื้นภายในตำหนักในเริ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากเจินเมี่ยวพยักหน้ารับ เสียงแสดงความยินดีดังขึ้นเป็นระลอกคลื่น 

 

 

หวังเฟยจูงมือบุตรสาวที่งดงามประหนึ่งบุปผา แล้วมองเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ที่มาช้าไปเพียงหนึ่งก้าว พลันเกิดความรู้สึกชอบขึ้นมาจริงๆ  

 

 

นางยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยไปเป็นแขกที่วังองค์หญิง เจาอวิ๋นจั่งกงจู่รับรองนางอย่างดีด้วยบะหมี่ที่มีสีถึงห้าสี เรียกว่าบะหมี่สีรุ้ง 

 

 

มิต้องเอ่ยถึงรสชาติเพียงเห็นแค่สีก็ทำให้คนรู้สึกเบิกบานใจแล้ว 

 

 

เมื่อสอบถามดูจึงรู้ว่าเป็นฝีมือของฉงสี่เซี่ยนจู่ที่ทำให้มารดาด้วยใจกตัญญู ได้ยินมาว่าคุณหนูสี่สกุลเจินเป็นผู้สอนให้ 

 

 

ตอนนั้นนางยังจำได้ดีถึงความภาคภูมิใจที่มิอาจปิดบังเอาไว้ได้ของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ แต่ยามนี้อาจารย์ผู้สอนฉงสี่ทำบะหมี่ได้กลายมาเป็นบุตรสาวของนางแล้ว ต่อไปอยากจะกินสีอันใดเมื่อไหร่ก็ได้ ดูเอาเถิดว่าผู้ใดควรจะภาคภูมิใจกว่า 

 

 

“เสด็จพี่ เหตุใดจึงมิเห็นฉงสี่เล่า?” จ้าวหวงโฮ่วเอ่ยถาม 

 

 

“ฉงสี่มิใคร่สบายนัก จึงมิให้นางออกมาด้วย” เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ผลิยิ้มจางๆ แต่บนใบหน้ากลับมีเค้าของความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง 

 

 

นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบุตรสาวผู้นี้จะคิดหนีงานแต่งงานจริงๆ! 

 

 

บุตรสาวผู้นี้ของนางมีอุปนิสัยฉลาดเฉียบแหลมแต่สงบนิ่งเฉยชา ที่ผ่านนางรู้สึกภูมิใจมาตลอด แต่ยามนี้ถึงได้รู้ว่าน่าปวดหัวเพียงใด 

 

 

หากโง่เขลาสักนิดนางก็แค่กักบริเวณไว้ แต่ฉงสี่เป็นเช่นนี้ แม้แต่นางผู้เป็นมารดายังไม่ทราบว่านางคิดจะทำอันใดที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมาโดยที่หน้าไม่แม้จะเปลี่ยนสีด้วยซ้ำ 

 

 

เมื่อมิให้เกิดเหตุการณ์อันยากจะแก้ไข มารดาและบุตรต่างพูดคุยกันอย่างเปิดเผย สุดท้ายจึงรับปากกับนางว่าจะมิจัดแจงงานมงคลให้นางในตอนนี้ชั่วคราว 

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว งานวันนี้จึงมิพาฉงสี่มาด้วย คนทั้งหลายจะได้มิคิดไปไกลถึงเรื่องหมั้นหมาย เกี่ยวดองอันใดนั้นอีก 

 

 

เมื่อผู้อาวุโสทั้งหลายมารวมตัวพูดคุยกัน ชูสยาจวิ้นจู่จึงจูงมือเจินเมี่ยวไปนั่งอีกมุมหนึ่ง คนทั้งสองกินขนมด้วยกัน 

 

 

“เซี่ยนจู่ป่วยหรือ?” เจินเมี่ยวกินขนมไปคำหนึ่งก็ชะงักไป 

 

 

แหะๆๆ ฉงสี่เซี่ยนจู่คงมิหลบหนีไปแล้วกระมัง? 

 

 

“มิได้ป่วย” ชูสยาจวิ้นจู่ยัดขนมเข้าปากอย่างไม่อินังขังขอบ 

 

 

“ห๊ะ?”  

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่เอ่ยท่าทีมีลับลมว่า “ความคิดนั้นของนาง เจ้ารู้แล้วกระมัง?” 

 

 

“ท่านก็ทราบหรือ?” 

 

 

“นางยังคิดว่าภายหน้าจะมาขอพึ่งข้าด้วยซ้ำ ” ชูสยาจวิ้นจู่กินขนมไปอีกคำหนึ่งอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ 

 

 

เจินเมี่ยวกุมขมับ “เช่นนั้นเรื่องของท่าน นางก็ทราบหรือ?” 

 

 

“ไม่” ชูสยาจวิ้นจู่ส่ายหน้า 

 

 

เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจโล่งอก 

 

 

ทุกคราที่คิดว่าท่านลุงรองของนางคือพระเองก็รู้สึกแปลกๆ ทุกที 

 

 

“ยังมิทันได้บอก” 

 

 

เจินเมี่ยว “…” 

 

 

“พี่ชูสยา ท่านยังอยู่ที่นี่อีก” เสียงอันสดใสดังขึ้น 

 

 

คนทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองก็พบองค์หญิงฟังโหรวที่มิได้พบกันเสียนานยืนกอดอกอยู่พลางก้มลงมองพวกนาง 

 

 

ตั้งแต่ที่องค์หญิงฟังโหรวก่อเรื่องไปเมื่อปีที่แล้วก็มิได้เปลี่ยนแปลงอันใดเลย แต่ถูกกักบริเวณให้เรียนรู้กฎระเบียบอยู่ภายในวังและมิให้ออกจากวังอีก 

 

 

เจินเมี่ยวย่อมไม่มีโอกาสได้พบเลย ยามนี้จึงรู้สึกว่าองค์หญิงพระองค์นี้สูงขึ้นอีกสักหน่อยแล้ว ท่าทีปั้นปึ่งที่มีก็ลดลงไปมาก แต่ความเกลียดชังที่มีขณะมองนางกลับยังคงมากมายเช่นเดิม 

 

 

“ไปเถิด เสด็จพี่ทั้งหลายเรียกท่านไปเพื่อปรึกษาเรื่องงานเลี้ยงฉลองในคืนนี้สักหน่อย” 

 

 

งานเฉลิมฉลองพระชนมพรรษานี้ จักรพรรดิทรงเชิญขุนนางมาร่วมยินดี ไม่ว่าจะเป็นสนมหรือองค์หญิงก็ไม่มีโอกาสได้เห็น แต่ก็มีงานภายในต่างหากอีกที่พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหมดต้องเข้าร่วม 

 

 

หากเจินเมี่ยวเป็นบุตรบุญธรรมของหย่งอ๋องอย่างเป็นทางการเมื่อใดก็มีสิทธิ์ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้เช่นกัน แต่ตอนนี้ยังคงเป็นกล่าวกันเพียงปากเปล่า ย่อมไม่มีทางได้ปรากฏตัวในงานแน่ 

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ทราบเรื่องนี้ดี จึงอดมองมาที่เจินเมี่ยวมิได้ 

 

 

เจินเมี่ยวกลับผลักนางคราหนึ่ง “องค์หญิงทรงไปเถิดเพคะ” แล้วกะพริบตาปริบๆ ให้นางช้าๆ 

 

 

หากนางกลายเป็นบุตรของหย่งอ๋องอย่างเป็นทางการเมื่อใด ต่อไปหากอยากพบชูสยาก็สะดวกยิ่ง 

 

 

แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ชูสยาผู้มีฐานะเป็นองค์หญิง ย่อมมิอาจแยกตัวมาคลุกคลีกับนางเพียงลำพังโดยไม่สนใจคำเชิญของบรรดาองค์หญิงเหล่านั้นมิได้ 

 

 

องค์หญิงฟังโหรวยิ้มอย่างภูมิใจ แล้วจูงมือชูสยาจากไป 

 

 

เจินเมี่ยวจึงมีโอกาสไปหานางเจี่ยง ป้าสะใภ้ใหญ่ของนาง 

 

 

นางเจี่ยงที่นิ่งขรึมเสมอมากลับปรี่เข้าไปกุมมือเจินเมี่ยวไว้อย่างมิอาจข่มกลั้นอาการตื่นเต้น 

 

 

สตรีที่สามารถเข้าวังในครานี้นอกจากฮูหยินของผู้มีบรรดาศักดิ์ กง โหว ปั๋วแล้วก็มีภรรยาของขุนนางขั้นสี่ขึ้นไป ดังนั้นการที่นางหลี่จะนั่งอยู่ด้านข้างของนางเจี่ยงก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด 

 

 

นางหลี่เห็นเจินเมี่ยว ใบหน้าก็เปลี่ยนไปหลากสียิ่ แต่สุดท้ายก็ยังคงส่งยิ้มให้นาง 

 

 

เวลานี้จึงมีฮูหยินผู้หนึ่งเดินเข้ามาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น้องหลี่ ข้ากำลังหาเจ้าอยู่พอดี เอ๊ะ ครั้นได้มามองใกล้ๆ จึงเห็นว่าฮูหยินของนายท่านผู้สืบทอดงดงามยิ่งแล้ว” 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset