วาสนาบันดาลรัก 243 ธรรมเนียมกฎเกณฑ์

ตอนที่ 243 ธรรมเนียมกฎเกณฑ์

เจินเมี่ยวนั้นมีแรงมากกว่าคุณหนูทั่วไปนัก ทั้งมิคุ้นชินกับการปรนนิบัติผู้อื่น เมื่อทุบลงคราหนึ่ง          ฮูหยินผู้เฒ่าผู้น่าสงสารก็เกือบจะกระอักโลหิตออกมา นางได้แต่ไอแค่กๆ โดยแรง

 

 

“ท่านย่า ข้าทำไม่ดีใช่หรือไม่?” เจินเมี่ยวเห็นชัดว่าสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ามิได้มีท่าทีสบายนัก จึงเอ่ยถามอย่างลังเล

 

 

หลานสะใภ้มีความกตัญญูช่วยทุบนวดขาให้ ทั้งมิใช่สาวใช้ที่เชี่ยวชาญในการปรนนิบัติ ด้วยอุปนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะเอ่ยต่อว่าในความกตัญญูของหลานสะใภ้ จึงมิได้ตำหนิอันใดทำเพียงกัดฟันเอ่ยไปคำว่า “ดี…”

 

 

เจินเมี่ยวค่อยๆ ก้มหน้าลง แล้วผ่อนแรงลงให้อ่อนโยนขึ้น ครั้นเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินผู้เฒ่าก็เห็นว่ามีท่าทีผ่อนคลายขึ้นจริงๆ

 

 

ครานี้เจินเมี่ยวจึงรู้ว่าตนทุบนวดแรงไปจริงๆ ในใจรู้สึกผิดไม่น้อยจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ท่านย่า หลานสะใภ้ผิดเองที่มือเท้าเก้งก้างเช่นนี้”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าชอบที่นางเป็นคนเปิดเผย ไม่ถือตัว มิเหมือนเด็กสาวทั่วไปที่การกล่าวขออภัยประดุจดั่งต้องการชีวิตตน กลัวว่าหากยอมรับผิดก็จะให้ตนดูด้อยกว่าผู้อื่น

 

 

แต่กลับไม่ทราบว่าการทำผิดแล้วปกปิดไว้ต่างหากจึงสูญเสียความสง่างามไป

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงตบมือเจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วยิ้ม “มิเป็นไร ตอนนี้ก็ดีมากแล้ว”

 

 

เจินเมี่ยวจึงยิ้มอย่างสบายใจขึ้น

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องรอยยิ้มของนาง แล้วลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “หลานสะใภ้ สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ ย่ารู้ว่าย่ามิควรพูด แต่เจ้ายังเยาว์นัก ทั้งยังไม่มีแม่สามีคอยดูแล ต้าหลังก็กำพร้ามาตั้งแต่เยาว์ เรื่องภายในเรือนมากมายไม่มีผู้บอกกล่าว ดังนั้นย่าจึงต้องพูดมากสักหน่อย”

 

 

มือที่เคลื่อนไหวเจินเมี่ยวพลันเคลื่อนไหวช้าลง นางค่อยๆ หุบยิ้มลงแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่าย่าบอกกล่าวหลานสะใภ้นั้นเป็นวาสนาอันดีของหลานสะใภ้ยิ่ง อย่างไรก็ดีกว่าหลานสะใภ้ไปทำตัวขายหน้าให้คนนอกตำหนิ หากหลานสะใภ้มีส่วนใดที่บกพร่อง ขอให้ท่านย่าพูดได้เลยเจ้าค่ะ แม้นจะตีสักครา หลานสะใภ้ก็ยินดี”

 

 

นางทราบว่าตนเองนั้นมีข้อบกพร่อง หากมีผู้อาวุโสผู้รู้ธรรมเนียมยินดีสั่งสอน นางก็ไม่รู้สึกต่อต้านแต่อย่างใด

 

 

คนผู้หนึ่งเอ่ยวาจาด้วยใจจริงหรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมดูออก ยามนั้นจึงรู้สึกสบายใจอย่างหาใดเปรียบ นางพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นย่าก็ขอเอ่ยคำที่ทำให้คนเบื่อหน่ายสักหน่อยเถิด หลานสะใภ้ เจ้ากับต้าหลังอายุยังน้อย ทั้งยังมีความรู้สึกดีๆ แก่กันอีก เรื่องนั้นมิต้องกล่าวถึง เพียงแต่ธรรมเนียมปฏิบัติที่ควรให้ความสำคัญก็ยังต้องทำอยู่เช่นเดิม”

 

 

เมื่อได้ยินนางเถียนเอ่ยว่าต้าหลังกลับมาจวน ทั้งยังขลุกอยู่กับภรรยาอยู่ค่อนวัน แม้นนางจะส่งคนไปหาก็มิได้พบ เมื่อขบคิดครู่หนึ่งก็ทราบทันทีว่าเรื่องราวเป็นเช่นใด

 

 

ความจริงการเกิดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ขึ้นคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวที่มีความรักให้แก่กันนั้นมิใช่เรื่องแปลกอันใด หากไม่มีอันใดก็แล้วไปแต่หากถูกผู้คนทราบและนำไปเล่าลือ นั้นกลับกลายเป็นอีกเรื่อง

 

 

เจินเมี่ยวหน้าแดงกระทั่งมือหยุดนิ่งไปเสียนานแล้ว ในใจก็ได้แต่ก่นด่าคนอีกผู้หนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

เจ้าคนชั่วช้านั้นทำร้ายจนคนเกือบตาย แต่ตนเองกลับเดินสะบัดก้นเดินหนีไป ทิ้งให้นางต้องขายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แม้นจะมีหนังหน้าสองชั้นก็ยังมิอาจทนรับกับความอับอายนี้ได้

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากลับหัวเราะออกมา

 

 

นางกังวลมาตลอดว่าหลานชายคนโตจะมีอันใดผิดปรกติ ดูท่าคงกังวลมากเกินไปแล้ว

 

 

ส่วนเรื่องเหลวไหลที่เด็กสองคนนี้ทำ จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์เท่านั้น

 

 

ทว่าเรื่องธรรมชาตินี้ หากยกเอาธรรมเนียมทิ้งไปไม่ไยดี สุดท้ายก็จะทำร้ายผู้อื่นและตัวเอง

 

 

“หลานสะใภ้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเราถึงต้องเรียนรู้ขนบธรรมเนียม? โดยเฉพาะสตรี”

 

 

เจินเมี่ยวเบิกตากว้าง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าจึงเปลี่ยนหัวข้อไปไกลเพียงนั้น

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าพูดต่อไป คล้ายไม่ต้องการฟังคำตอบจากนาง “ก่อนหน้านี้ ย่าเองก็ไม่ชอบสวมชุดแดงชอบเพียงชุดทหาร และเกลียดธรรมเนียมกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างยิ่ง ตอนที่ยังเป็นคุณหนูอยู่นั้นยังพอทำเนา ภายหลังติดตามท่านปู่เจ้าไปออกรบฆ่าฟันศัตรูก็มิได้มากพิธีอันใด แต่หลังจากทุกอย่างสงบลงก็ต้องเรียนรู้ไม่น้อย ต่อมาจึงค่อยๆ เข้าใจว่า การเรียนรู้กฎธรรมเนียมมิใช่เพื่อให้มันมาบีบบังคับสตรี แต่เพื่อให้สตรีรู้ว่าจะใช้มันอย่างไรให้ตัวเองอยู่ได้ง่ายขึ้น ต่อให้มิอาจเก่งถึงขั้นใช้ธรรมเนียมกักขังศัตรูเอาไว้ แต่อ่างน้อยก็ไม่มีทางทำตัวผิดธรรมเนียมกระทั่งถูกผู้อื่นใช้มันเป็นอาวุธมาทำร้ายเจ้า”

 

 

วาจานี้ของฮูหยินผู้เฒ่านั้นเอ่ยออกมาจากใจ เจินเมี่ยวย่อมรับน้ำใจอย่างแน่นอน นางจึงรีบเอ่ยขอบพระคุณทันที “วาจาของท่านย่า หลานสะใภ้จะจดจำไว้เจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยิ้มออกมาอีก แล้วขยิบตาเอ่ยว่า “แน่นอนว่า ธรรมเนียมกฎเกณฑ์ไม่มีชีวิตแต่คนมีชีวิต หากบางคราเรามิอาจทำตามได้ แต่อย่างน้อยก็อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ เจ้าว่าใช่หรือไม่?”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ามิใช่หญิงชราคร่ำครึที่เคร่งครัดกับกฎระเบียบปานนั้น อย่างไรก็มิอยากให้ความสดใสของหลานสะใภ้ต้องถูกธรรมเนียมกฎเกณฑ์กัดกร่อนไป จึงเอ่ยเตือนขึ้นอีกประโยค

 

 

แรกเริ่มเจินเมี่ยวถึงกับนิ่งอึ้งไป ตามติดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความนับถือยามมองฮูหยินผู้เฒ่า

 

 

กลับไปนางต้องจัดการอุดรูหนูทุกรูในเรือนชิงเฟิงให้หมด!

 

 

“เอาล่ะ เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด”

 

 

“เช่นนั้นหลานสะใภ้ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” เจินเมี่ยววางไม้ทุบนวดลง แล้วเดินออกไป

 

 

ส่วนหลัวจือหยาที่ประคองนางเถียนกลับไปถึงเรือนซินหยวนก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “ท่านแม่ ท่านจะพูดเรื่องนั้นต่อหน้าท่านย่าทำไมเล่า?”

 

 

“เรื่องใด?”

 

 

“ก็เรื่องไปรับคนที่เป่ยเหออย่างไรเล่า ท่านเอ่ยขึ้นเช่นนี้ อาสะใภ้สี่จะคิดเช่นไร? เกรงว่าทุกคราที่เห็นอนุผู้นั้นคงต้องนึกถึงเรื่องที่ท่านเอ่ยให้ไปรับคนมาเป็นแน่”

 

 

“แล้วอย่างไรเล่า?”

 

 

หลัวจือหยากลับร้อนใจขึ้นมา “ท่านแม่ ท่านคิดดู อนุผู้นั้นมีที่มาเช่นนั้น ทั้งยังมีบุตรน้อยอีกคน อย่างไรท่านย่าก็ไม่มีทางปล่อยพวกเขาสองแม่ลูกให้อยู่ข้างนอกแน่ ต่อให้ท่านไม่พูด ช้าเร็วก็ต้องไปรับพวกเขาอยู่ดี ท่านทำเช่นนี้มิใช่เป็นการล่วงเกินผู้อื่นโดยเปล่าประโยชน์หรือ?”

 

 

นางเถียนหัวเราะออกมา “เด็กโง่ ท่านย่าปล่อยให้ทางนั้นรอมานานถึงเพียงนี้แล้ว จึงกำลังรอให้มีคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอยู่”

 

 

หลัวจือหยาอึ้งงันไป “ท่านหมายความว่า…”

 

 

นางเถียนหยิบขนมขึ้นมากิน เมื่อกินเสร็จก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้ แม่ของเจ้าเหมาะที่จะเอ่ยที่สุด ย่าเจ้าก็ตอบรับอย่างง่ายดายมิใช่หรือ?”

 

 

หลัวจือหยาได้ฟังก็งุนงงไปทันที “ท่านแม่ ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก ในเมื่อท่านมิได้รีบไปรับอนุผู้นั้นในทันทีก็มิใช่เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญกับนางหรอกหรือ?”

 

 

นางเถียนหัวเราะกระซิกคราหนึ่ง “อนุผู้นั้นช่วยชีวิตอาสี่เจ้าไว้ ทั้งยังเป็นภรรยาเอกมาหลายปี ภายหน้านอกจากนางจะทำผิดร้ายแรงแล้ว คนในจวนนี้จะไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องนางแน่ ที่ย่าเจ้ารั้งเวลาไว้เพราะกลัวว่าน้องสะใภ้สี่จะรับไม่ได้เท่านั้น เด็กโง่ ย่าเจ้าแค่ใช่เล่ห์กลกับอนุผู้หนึ่งนั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่มีทางที่จะไม่ให้ความสำคัญ ทั้งนางยังมีบุตรอีกคนเสียด้วย”

 

 

วาณิชย่อมเห็นประโยชน์สำคัญ หากไม่มีเด็กผู้นั้นมีหรือจะเห็นความสำคัญเพียงนี้ ต่อให้มิชอบเพียงก็ไม่มีทางไล่อนุผู้นี้ไปแน่ เพราะอย่างไรก็คงไม่อยากให้สายเลือดของจวนกั๋วกงต้องเร่ร่อนอยู่ข้างนอกเป็นแน่

 

 

หลัวจือหยาจึงเข้าใจขึ้นมาทันที

 

 

นางเถียนเหน็บปอยผมทัดหูให้บุตรสาว “หยวนเหนียงเจ้าจงจำไว้ เมื่อไปถึงดินแดนหมานเหว่ย ไม่ว่าองค์ชายรองจะดีต่อเจ้าหรือไม่ สิ่งที่สำคัญคือต้องมีบุตรชาย มีบุตรชายเจ้าจึงมีรากอันแข็งแกร่ง รู้หรือไม่?”

 

 

ในจวนกั๋วกงที่มีเรือนขนาดใหญ่หลายแห่งนี้ เรือนอวี้หยวนนับเป็นเรือนที่เล็กที่สุด แต่ทัศนียภาพกลับมิเลวเลย ด้านในปลูกต้นเหมยไว้หลายต้น ปุยหิมะที่เกาะตามกิ่งไม้ยังมิทันละลาย คล้ายดั่งผ้าสีเงินที่ห่อหุ้มมันไว้กระนั้น

 

 

นางชีจูงมือคุณชายหกเดินไปอย่างเนิบนาบในลานกลางเรือนเล็กๆ แห่งนี้

 

 

“ท่านแม่…” คุณชายหกร้องเรียกขึ้นทันใด

 

 

นางชีนั่งลงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหน้าให้คุณชายหกเสร็จจึงเอ่ยถามว่า “ลูกมีอันใดหรือ?”

 

 

“ท่านแม่ อาสะใภ้รองจะไปรับคนที่เป่ยเหอ ไปรับผู้ใดหรือ?”

 

 

นางชียิ้ม “เด็กน้อยผู้หนึ่งกับมารดาเขา เจ้าถามทำไมหรือ?”

 

 

แม้นคุณชายหกจะอายุห้าปีแล้ว แต่กลับดูสุขุมกว่าคุณชายห้าที่อายุมากกว่าหนึ่งปีนั้นเสียอีก ใบหน้าเล็กน้อยเอ่ยถามขึงขังว่า “ผู้ที่มาคือคนในครอบครัวเรา”

 

 

นางชีตกใจยิ่ง “เจ้าหก ผู้ใดบอกเจ้าหรือ?”

 

 

หากนางทราบว่าเป็นบ่าวไพร่คนใดที่ปากมาก นางจะจับมาโบยแล้วไล่ออกไปทันที แม้นอาจจะถูกผู้คนครหาว่ากำเริบเสิบสานขึ้นมาเพราะสามีกลับมาแล้วก็ตาม

 

 

คุณชายหกส่ายหน้า “ไม่มีผู้ใดบอกข้า ตอนที่อยู่เรือนท่านย่า ท่านบอกว่าให้คนดูแลจังเกอให้ดี ทั้งยังเอ่ยขอบคุณต่ออาสะใภ้รองอีก”

 

 

นางชีตกตะลึงอึ้งไป นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า บุตรชายที่นิ่งเงียบไร้ปากเสียง ผู้มีอายุเพียงห้าปี จะสามารถคาดเดาเรื่องราวได้จากคำพูดไม่กี่ประโยคของนาง

 

 

“เจ้าหก!” มืออันสั่นเทาของนางชีนั้นดึงคุณชายหกเข้ามาในอ้อมกอดตน “ลูกแม่!”

 

 

นางผิดเองที่วันๆ เอาแต่จมปลักอยู่ในความทุกข์ที่สามีจากไป กระทั่งละเลยเจ้าหกไปเช่นนี้

 

 

ที่แท้บุตรชายของนางฉลาดถึงเพียงนี้!

 

 

ทันใดนั้นก้อนหินที่กดทับในใจนางมาตลอดก็ถูกยกออกไป

 

 

นางชีถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหก จังเกอเป็นน้องชายของเจ้า อีกไม่นานก็จะมาอยู่ที่นี่พร้อมกับมารดาของเขา ถึงตอนนั้น เจ้าผู้เป็นพี่ชายต้องดูแลเขาดีๆ แล้วแม่จะพูดกับท่านพ่อเจ้าให้เชิญอาจารย์มาสอนพวกเจ้าที่จวน”

 

 

ธรรมเนียมของจวนกั๋วกงคือ เด็กชายต้องเริ่มร่ำเรียนในจวนตอนหกปี แปดปีต้องไปร่ำเรียนอย่างจริงจัง ทว่าเจ้าหกฉลาดเพียงนี้ จึงมิควรรั้งรอให้เสียเวลาแล้ว

 

 

ส่วนเด็กผู้นั้น…

 

 

นางชียิ้มออกมาอย่างสบายใจ

 

 

นางมิใช่คนใจแคบ ทั้งยังกังวลด้วยซ้ำเพราะอย่างไรเด็กผู้นั้นกับท่านพี่ก็ต้องมีความผูกพันกันมากกว่า อย่างไรเสียความรักที่อยู่ด้วยกันมาทุกเมื่อเชื่อวันก็มิใช่สิ่งที่ความรู้สึกผิดจะตามทันได้

 

 

แต่เจ้าหกฉลาดปราดเปรื่องเพียงนี้ นางผู้เป็นบุตรีจากตระกูลใหญ่มีชื่อ เข้าใจดีว่าบุรุษหรือตระกูลหนึ่งๆ นั้นให้ความสำคัญกับความปราดเปรื่องของบุตรชายคนโตซึ่งกำเนิดจากภรรยาเอกมากเพียงใด

 

 

นางไม่มีทางกดข่มรังแกเด็กผู้นั้น ปล่อยให้พวกเขาเรียนด้วยกัน เติบโตไปด้วยกัน จึงนับว่าไม่ผิดต่อความรักของท่านพี่และบุญคุณที่สตรีผู้นั้นช่วยชีวิตท่านพี่ไว้แล้ว

 

 

ใบหน้าของนางชีค่อยๆ เรืองรองขึ้น

 

 

ขอเพียงบุตรของนางดีมากพอ ความเก่งกาจของผู้อื่นก็มีแต่ช่วยส่งเสริมบารมีเขาให้โดดเด่นขึ้นเท่านั้น

 

 

ช่วงกลางวันของเหมันต์ฤดูมักสั้น ช่วงเวลาเพียงพริบตาฟ้าก็มืดลงเสียแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวอาบน้ำ และเช็ดผมจนแห้งก็มุดเข้าไปใต้ผ้าห่มที่มีโถน้ำร้อนเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย

 

 

อาหลวนเป่าดับเทียน แล้วตรวจสอบว่าปิดหน้าต่างทุกบานแน่นแล้วหรือไม่ เสร็จก็ไปนอนเฝ้าที่ห้องด้านข้าง

 

 

ตอนที่นางยังมิออกเรือน สาวใช้ล้วนนอนเฝ้าอยู่ภายในห้อง บางครานอนอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวหน้าห้องนอน หรือไม่ก็เข้ามาปูผ้านอนหน้าเตียงเลยด้วยซ้ำ ยามนี้ออกเรือนแล้ว มีบุรุษอยู่ด้วย ย่อมมิสะดวกเช่นกาลก่อน

 

 

เจินเมี่ยวไม่ทราบว่านอนหลับไปนานเท่าใดก็รู้สึกว่าร่างกายตนหนักอึ้งยิ่ง จึงผลักไสบางอย่างออกไปอย่างงัวเงีย แต่ดวงตากลับลืมไม่ขึ้นสักนิด

 

 

นางรู้สึกจักจี้ที่ลำคอ คล้ายมีบางอย่างไต่ไปไต่มา

 

 

เจินเมี่ยวเริ่มเข้าสู่ความฝันอันเหลวไหลอีกครา

 

 

ในฝันนั้นซื่อจื่อแย่งเนื้อแพะไปจากนาง ทำให้นางโกรธมากจึงกินเนื้อแพะนั้นจนหมด สุดท้ายซื่อจื่อกลับกระโจนเข้ามาแล้วใช้ลิ้นสอดเข้าไปในโพรงปากนาง

 

 

“อย่า อย่าแย่ง…”

 

 

เจินเมี่ยวรีบกลืนเนื้อแพะนั้นลงท้องไป นางรู้สึกเพียงว่ารสชาติช่างอร่อยยิ่ง ทว่าซื่อจื่อกลับโมโหขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขาเอาไม้มาจากที่ใดฟาดลงไปบนบั้นท้ายนาง

 

 

ความรู้สึกเจ็บปวดสายหนึ่งแล่นเข้ามา เจินเมี่ยวจึงลืมตาขึ้นในทันที

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset