วาสนาบันดาลรัก 236 คาดคั้น

ตอนที่ 236 คาดคั้น

นางหลี่มองฮูหยินที่เดินเข้ามา รู้สึกโกรธเคือง ทั้งรู้สึกภาคภูมิ แล้วจึงเอ่ยแนะนำกับเจินเมี่ยวว่า “นี่คือฮูหยินของขุนนางสกุลเมิ่ง” 

 

 

“คารวะฮูหยินสกุลเมิ่ง” เจินเมี่ยวก้มหน้าลงเล็กน้อย อดมองไปที่นางเจียงคราหนึ่งมิได้ 

 

 

ฮูหยินสกุลเมิ่งผู้นี้นางเห็นในงานเลี้ยงเช่นนี้หลายคราเพราะมีศักดิ์เป็นมารดาของพระชายาองค์ชายสาม แต่มิเคยได้ทักทายกันสักครา 

 

 

เมื่อใดกันที่ป้าสะใภ้รองไปเริ่มคบค้ากับฮูหยินสกุลเมิ่ง? 

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็มิยอมเอ่ยให้มากความ 

 

 

บังเอิญเหลือเกินที่นางกำนัลเข้ามาในเวลานี้พอดี เมื่อเห็นเจินเมี่ยวก็ทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “เรียนฮูหยินคุณชายผู้สืบทอด พระชายาหลายพระองค์ให้มาเชิญท่านไปพูดคุยเจ้าค่ะ” 

 

 

เจินเมี่ยวกล่าวขออภัยแล้วเดินตามนางกำนัลไป 

 

 

ฮูหยินสกุลเมิ่งเบ้มุมปากอย่างแนบเนียน 

 

 

นางเป็นมารดาของพระชายา มิจำเป็นต้องพูดคุยกับคนของจวนเจิ้นกั๋วกง แค่คิดว่าหากงานมงคลกับจวนเจี้ยนอานปั๋วสำเร็จ เช่นนั้นบุตรชายตนก็เกี่ยวข้องเป็นญาติกับคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋งกงแล้ว 

 

 

ต่างเป็นคนหนุ่มด้วยกันทั้งสิ้น แต่บุตรชายนางเป็นเพียงขุนนางน้อยที่ไม่มีวันเข้าตาได้เลย ทว่าคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋วกงกลับเป็นถึงขุนนางขั้นสามแล้ว 

 

 

หน่วยองครักษ์จิ่นหลินนั้นเป็นองครักษ์ที่ร้ายกาจกว่ากองพลพยัคฆ์มังกรเสียอีก องค์จักรพรรดิทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่ง 

 

 

หากคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋วกงช่วยเหลือบุตรชายตนสักเล็กน้อย เช่นนั้นย่อมเกิดประโยชน์อย่างหาที่สุดมิได้แล้ว 

 

 

“น้องหลี่ ก่อนหน้านี้ที่เรานัดกันไปไหว้พระที่วัดต้าฝูนั้น ข้าบังเอิญไม่สบายจึงไม่ได้ เจ้าว่าเราจะนัดกันใหม่วันไหนดีหรือ” ฮูหยินสกุลเมิ่งส่งยิ้มอ่อนโยน 

 

 

นางเจี่ยงขมวดคิ้วเล็กน้อย 

 

 

ไหว้พระอันใด? 

 

 

นางหลี่ไปสนิทชิดเชื้อกับฮูหยินสกุลเมิ่งตั้งแต่เมื่อใดหรือ? 

 

 

นางเจี่ยงเป็นคนฉลาดหลักแหลม ครุ่นคิดเพียงครู่ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว 

 

 

ตระกูลหวังถูกตาเจ้าหก แต่เจ้าห้ากลับยังไม่มีคู่หมาย งานหมั้นครานี้จึงมิอาจเกิดขึ้นได้ เพราะเรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นกังวลไม่น้อย ครั้นเอ่ยถึงตระกูลใดนางหลี่ก็ปฏิเสธไปเสียหมด หากมิบอกว่าตระกูลนั้นมีฐานะต่ำต้อยก็บอกว่าบุตรชายมิเก่งกาจพอ 

 

 

สุดท้ายฮูหยินผู้เฒ่าโมโหขึ้นมาจึงมิไยดีอีก ทำได้เพียงรอให้น้องรองกลับมาก่อนค่อยวางแผนอย่างละเอียด คิดไม่ถึงว่านางหลี่กลับไปถูกตาจวนขุนนางสกุลเมิ่งเข้า! 

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางเจี่ยงก็ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอีกครา 

 

 

ไม่ได้เด็ดขาด! 

 

 

เรื่องใหญ่ในราชสำนัก นางเป็นสตรีย่อมไม่เข้าใจ แต่นางก็รู้ดีว่า ตระกูลหนึ่งตระกูลใดหากเกี่ยวพันกับองค์ชายถึงสองพระองค์นั้นกลับมิใช่เรื่องที่ดีนัก 

 

 

อย่าได้พูดถึงสิ่งอื่นเลย หากภายหน้าองค์ชายสามกับองค์ชายหกขัดแย้งกันขึ้นมา ท่านพี่ควรจะยืนอยู่ฝ่ายใดเล่า? 

 

 

นางเจี่ยงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสะใภ้รอง หลายวันก่อนฮูหยินผู้เฒ่ายังบอกว่าใกล้จะถึงวันตรุษแล้ว จึงให้ข้าเชิญเจ้ากับน้องสะใภ้สามไปไหว้พระเติมน้ำมันในตะเกียงที่วัดต้าฝูด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็มีความคิดนี้เช่นกัน เหตุใดจึงไม่พูดสักคำเล่า มิเช่นนั้นคงได้ไปอีกรอบเป็นแน่ ” 

 

 

นางหลี่มองนางเจี่ยงแล้วมองฮูหยินสกุลเมิ่ง นางใช้เล็บหยิกฝ่ามือตนที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ แล้วเอ่ยอย่างข่มกลั้นออกมาว่า “อากาศนับวันยิ่งหนาวเย็น หิมะกลายเป็นน้ำแข็งแล้วมิสะดวกเดินทางยิ่ง หากจะไปไหว้พระมิสู้รอถึงวันตรุษเสียก่อนค่อยว่ากัน แค่บริจาคเงินและเติมน้ำมันในตะเกียงให้พ่อบ้านไปทำก็ได้ แต่หากพี่สะใภ้อยากจะไปด้วยตนเองก็ชวนน้องสะใภ้สามไปเถิด ข้าอยากจะอยู่ที่เรือน” 

 

 

นางเจี่ยงตะลึงลานไป 

 

 

หรือนางเดาผิดแล้ว นางหลี่มิได้คิดเช่นนั้นหรอกหรือ? 

 

 

ฮูหยินสกุลเมิ่งหน้าเปลี่ยนสีไปทันที น้ำเสียงก็เย็นชา “ก่อนหน้านี้ที่น้องหลี่ชวนข้าไปไหว้พระ ข้าได้เตรียมข้าวของไว้หมดแล้วแต่เพราะไม่สบายจึงไปมิได้ ปีนี้อากาศหนาวกว่าปีก่อนๆ มากจริงๆ ไม่แปลกที่น้องหลี่จะกลัวอากาศหนาว ดูท่าเราสองคนคงไม่มีวาสนาเดินทางร่วมกัน ข้ายังต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยางอีก ขอตัวก่อนแล้ว” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยางผู้นี้เป็นฮูหยินของเสนาบดีกรมพิธีการ และเป็นท่านยายขององค์ชายสามด้วย 

 

 

นางเหล่มองด้านหลังของฮูหยินสกุลเมิ่งที่เคลื่อนไกลออกไป ในใจเจ็บปวดเจียนตายแล้ว 

 

 

หากปิงเอ๋อร์ได้แต่งกับตระกูลเมิ่ง องค์ชายสามก็จะกลายเป็นพี่เขยของนาง ทั้งจะได้เกี่ยวดองกับตระกูลเสนาบดีกรมพิธีการอีกด้วย ญาติพี่น้องที่ไปมาหาสู่นั้นล้วนมีเกียรติทั้งสิ้น 

 

 

เหตุใดท่านพี่จึงไม่พอใจอีกเล่า! 

 

 

นางหลี่นั่งลงแต่กลับหมดความอยากอาหาร 

 

 

นางเจี่ยงกลับส่งยิ้มน้อยๆ จิบชาไปคำหนึ่ง 

 

 

“ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดมาแล้ว รีบนั่งเถิด” สตรีสาวผู้หนึ่งพิจารณาเจินเมี่ยวอย่างละเอียดแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มิน่าเล่าไท่จื่อเฟยถึงได้ชมว่าท่านผิวงามยิ่งอยู่บ่อยครั้ง ได้มองใกล้ๆ แล้วรู้สึกว่าผิวอิ่มเอิบงดงามจริงๆ” 

 

 

สตรีสาวผู้นี้คือพระชายาขององค์ชายสี่ เพิ่งจัดพิธีอภิเษกไปไม่กี่เดือนนี่เอง 

 

 

เจินเมี่ยวย่อกายลง “คารวะไท่จื่อเฟย และพระชายาทุกท่าน” 

 

 

“อย่าได้มากพิธีเลย ต่อไปเราก็นับเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” ไท่จื่อเฟยเอ่ยอย่างสนิทสนม แต่สีหน้ากลับเฉยชายิ่ง 

 

 

เจินเมี่ยวยังมิใช่บุตรบุญธรรมของหย่งอ๋องจริงๆ พูดเช่นนี้จะมีคนรู้สึกไม่สบายใจหรือไม่นางก็มิอาจทราบได้ 

 

 

สตรีมากมายเพียงนี้ เจินเมี่ยวคิดว่าคงรับมือไม่ไหว จึงทำเพียงส่งยิ้มเช่นเดิมเท่านั้น 

 

 

“พี่สะใภ้ ข้ากำลังคิดว่าจะพาฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดมารู้จักพับพี่สะใภ้ทั้งหลายอยู่แท้ๆ คิดไม่ถึงว่าท่านจะชิงลงมือก่อนแล้ว” 

 

 

องค์หญิงฟังโหรวเดินเข้ามา ทั้งยังจูงมือองค์หญิงอีกสองพระองค์มาด้วย 

 

 

“ฟังโหรว เจ้าเด็กดื้อ นับวันยิ่งพูดจาเหลวไหล” ไท่จื่อเฟยส่งสายตาดุนางคราหนึ่ง แต่กลับมิได้โกรธเคืองอันใด เพียงแค่กลบซ่อนความไม่พอใจไว้ในขณะที่ยกชาขึ้นดื่มเท่านั้น 

 

 

คำกล่าวที่ว่าบุตรจะมีเกียรติหรือไม่ขึ้นกับมารดานั้นช่างมีเหตุผลนั้น ตั้งแต่ที่มารดาขององค์หญิงฟังโหรวถูกลดตำแหน่งลง องค์หญิงเองก็ค่อยๆ เจริญวัยขึ้น หากจะได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิโดยไร้เหตุผลเช่นกาลก่อนคงเป็นไปไม่ได้ 

 

 

หากผ่านไปอีกสักสองสามปี องค์หญิงฟังโหรวก็ต้องมีคู่หมาย แต่ด้วยอุปนิสัยของนาง ไม่แน่ว่าอาจจะย่ำแย่กว่าองค์หญิงหลายพระองค์ก็เป็นได้ 

 

 

แต่ต่อหน้านางก็ไม่อยากเอาความกับเด็กน้อยผู้หนึ่งได้ 

 

 

“พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สี่ พวกท่านดูเอาเถิด ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่ ผิวของฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋วกงนั้นงดงามมากเพียงใด หากเทียบกันแล้วไม่ทราบว่าผิวของไท่เฟยสมัยวัยสาวกับฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดนั้นผู้ใดผุดผ่องกว่ากันแน่ 

 

 

องค์หญิงฟังโหรวเอ่ยจี้จุดเช่นนี้ บรรดาพระชายาและเหล่าองค์หญิงต่างก็ตาลุกเป็นไฟ 

 

 

ความงามนั้นเป็นสิ่งที่สตรียากจะต่อต้าน 

 

 

องค์หญิงฟังโหรวหันหน้าไปเอ่ยยิ้มขำว่า “ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอด ต่อไปข้าก็ต้องเรียกท่านว่าพี่สาวแล้ว พวกเราต่างเป็นพี่น้องกัน ท่านให้พวกเราได้งดงามเช่นท่านได้หรือไม่ ช่วยบอกเคล็ดลับดูแลผิวนั้นให้กับเราบ้างเถิด” 

 

 

นางอายุเพียงสิบปีเท่านั้น เมื่อเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ทั้งท่าทีน่ารัก กับฐานะอันสูงส่งหาใดเปรียบนั้นทำให้คนยากจะโต้ตอบ 

 

 

แน่นอนว่ามันออกจะเสียมารยาทอยู่บ้าง หากเป็นที่อื่น บรรดาพี่สะใภ้ พี่สาวทั้งหลายคงสั่งสอนนางสักคราเพื่อเกียรติของราชวงศ์ แต่เคล็ดลับดูแลผิวนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนอยากรู้อยู่แล้ว ทั้งกำลังกลัดกลุ้มว่าจะเอ่ยเช่นไรอยู่พอดี เมื่อองค์หญิงฟังโหรวทำเช่นนี้ก็กลับกลายเป็นสมใจคนทั้งหลาย ย่อมไม่มีอันใดกล่าวว่านาง 

 

 

เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนกำลังรอคำตอบจากนาง เจินเมี่ยวก็ยิ่งรู้สึกโมโห 

 

 

ไม่จบไม่สิ้นเสียที ทุกคราที่พบกับเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ก็ไม่เคยหนีพ้นวิธีดูแลผิวของไท่เฟย 

 

 

เจินเมี่ยวมีท่าทีลำบากใจ 

 

 

“ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดมิอยากบอกหรือ?” องค์หญิงฟังโหรวเอ่ยถามยิ้มๆ 

 

 

“มิใช่ไม่อยากบอก แต่หากบอกไปแล้วกลัวว่าองค์หญิงจะไม่เชื่อเพคะ” 

 

 

“เป็นไปได้อย่างไร ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดย่อมไม่โป้ปดแน่นอน” องค์หญิงฟังโหรวหันไปยิ้มให้อีกทาง “พี่สะใภ้สี่ พี่สะใภ้รอง ท่านว่าใช่หรือไม่?” 

 

 

คนทั้งหลายต่างพยักหน้า “ฮูหยินย่อมไม่พูดเหลวไหลเป็นแน่ หากมิใช่เป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง หวังเฟยจะรับท่านเป็นบุตรบุญธรรมได้อย่างไร” 

 

 

เจินเมี่ยวลอบมองไปด้านข้างครู่หนึ่ง ชูสยาจวิ้นจู่กำลังสนทนาอยู่กับจ้าวหวงโฮ่วพอดี 

 

 

“ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดกำลังมองหาพี่ชูสยาหรือ?” องค์หญิงฟังโหรวเอ่ยถามด้วยใบหน้าใสซื่อ 

 

 

รอยยิ้มของคนทั้งหลายพลันเจื่อนไปหลายส่วน 

 

 

นางคงอยากจะให้ชูสยามาช่วยกระมัง? 

 

 

เจินเมี่ยวยกมุมปากขึ้นบิดเบ้คราหนึ่ง 

 

 

องค์หญิงน้อยผู้นี้คงถึงวัยต่อต้านแล้วกระมัง เหตุใดถึงทำให้คนรู้สึกไม่ชอบได้ถึงเพียงนี้! 

 

 

นางกลั้นหายใจแล้วเอ่ยว่า “กล่าวไปแล้ว สิ่งที่ใช้ในวิธีนี้นั้นมิใช่สิ่งแปลกใหม่เลย แต่สำคัญคือต้องทำอย่างต่อเนื่อง” 

 

 

“ฮูหยินพูดมาเถิด หากสามารถทำให้มีผิวพรรณเช่นฮูหยินได้ ย่อมต้องทำอย่างต่อเนื่องแน่” ไท่จือเฟยเอ่ย 

 

 

คนทั้งหลายต่างพยักหน้า 

 

 

เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี “ก่อนนอนทุกคืนจะต้องกินขาหมู และเท้าทั้งสองข้าง และหนังปลาอีกถ้วย” 

 

 

คนทั้งหลายต่างอึ้งงันไปตามกัน 

 

 

“จะเป็นไปได้อย่างไร!” องค์หญิงฟังโหรวเอ่ยแย้ง 

 

 

เจินเมี่ยวหุบยิ้มทันที “เช่นนั้นองค์หญิงลองกล่าวมาสักหน่อยว่าควรทำเช่นใด?” 

 

 

องค์หญิงฟังโหรวกลอกตาไปมา “หากข้าทราบแล้วจะถามท่านไปไย?” 

 

 

เจินเมี่ยวถอนหายใจ “แต่ทรงถามแล้วกลับมิทรงเชื่อ” 

 

 

“เห็นชัดว่าท่านกำลังทำให้พวกเราสับสน!” 

 

 

“เป็นไปได้อย่างไร จะได้ผลหรือไม่ลองทำดูก่อนก็ทราบเองเพคะ” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างมั่นใจ 

 

 

“ฮูหยินพูดจริงหรือ?” ไท่จื่อเฟยมีสีหน้าสงสัย 

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้า “จริงแท้แน่นอน แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ทุกคืนมิอาจขาดจึงจะเห็นผล” 

 

 

ฮ่าๆ นางมิได้บอกเสียหน่อยว่าเป็นเคล็ดลับของไท่จื่อ นี่เป็นเคล็ดลับที่นางคิดขึ้นมาเอง 

 

 

ขาหมูหนังปลา ของพวกนี้ดีต่อผิวจริงๆ แต่สตรีที่บอบบางเช่นนี้จะกินได้หรือไม่เล่า หากกินไปแล้วอ้วนไปถึงร้อยแปดสิบจินก็มิเกี่ยวอันใดกับนางแล้ว 

 

 

ทำอย่างไรได้ เราก็มิใช่ผู้มีความรับผิดชอบนั้นใดเสียหน่อย! 

 

 

“พี่สะใภ้ อย่าไปฟังนางกล่าวเหลวไหล ผู้ใดเห็นไท่เฟยเอาขาหมูจากห้องเครื่องหลวงไปเสวยบ้างเล่า!” องค์หญิงฟังโหรวถลึงตาจ้องเจินเมี่ยวไม่ยกใหญ่ 

 

 

มิรอให้ไท่จื่อเฟยพูดจา เจินเมี่ยวกลับชิงพูดก่อนว่า “องค์หญิงฟังโหรวทรงคอยจ้องว่าไท่เฟยทรงเสวยสิ่งใดบ้างทุกวันเลยหรือเพคะ? หากไม่เชื่อก็ไปถามไท่เฟยได้ หรือองค์หญิงฟังโหรวคิดว่าหม่อมฉันเป็นคนเชื่อถือมิได้ ไม่มีคุณสมบัติเป็นบุตรบุญธรรมของหวังเฟยจึงได้กล่าวว่าหม่อมฉันทุกทางเช่นนี้?” 

 

 

“ท่านกำลังเบี่ยงเบนประเด็น ของที่ท่านพูดมามันไม่มีทางทำให้ผิวดีได้ มันเลี่ยนเพียงนั้นผู้ใดจะกินลง!” 

 

 

เจินเมี่ยวแค่นเสียงเย็น “องค์หญิงทรงลองทำดูเสียก่อนว่าได้ผลหรือไม่ หากไม่ได้ผลค่อยมากล่าววาจานี้กับหม่อมฉันเถิด” 

 

 

อย่างไรเสียความสัมพันธ์ระหว่างนางกับองค์หญิงฟังโหรวนั้นได้ขาดสะบั้นไปนานแล้ว หากต้องทนไปเสียทุกอย่าง อีกฝ่ายคงได้กำเริบกว่านี้แน่ 

 

 

ไท่จื่อเฟยและคนอื่นๆ ต่างอึ้งกันไปหมด 

 

 

นี่หรือที่เรียกว่าอ่อนโยนบอบบาง? นี่คือท่าทีของคนที่ภายหน้าจะมาเป็นบุตรบุญธรรมของหย่งอ๋องและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพวกนางหรือ? 

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มตาหยีแล้วเอ่ยเสริมว่า “นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว หม่อมฉันยังเพิ่มอดหนังไก่เข้าไปอีกจานด้วยเพคะ” 

 

 

เดิมพวกนางก็กินน้อยอยู่แล้วเมื่อได้ยินรายชื่ออาหารที่มันเลี่ยนต่อกันเป็นพรวนเช่นนี้ก็อดคลื่นไส้มิได้ แม้แต่ขนมเนื้อนุ่มก็ยังกินไม่ลงแล้ว 

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มอย่างพอใจ 

 

 

เป็นเช่นนี้ดีที่สุด หนึ่งนางมิได้พึ่งพาพวกนางในการออกเรือน สองนางมิได้ขอข้าวพวกนางกิน แล้วนางจะมาละเล่นเล่ห์กลแย่งชิงอำนาจในวังอันใดกับพวกนางกัน 

 

 

ได้ยินมาว่าวังหลังนั้นเปรียบดั่งราชสำนักย่อมๆ บรรดาบุรุษแบ่งเป็นฝักฝ่าย ต่อให้บรรดาสตรีจะแย่งชิงกันเพียงใดก็ไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง กลับกัน แม่นบรรดาสตรีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเพียงใดก็ตาม หากเหล่าบุรุษมิเห็นด้วย การวิวาทนั้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ 

 

 

กับพระชายาเหล่านี้ ซื่อจื่อกลับมิได้พูดอันใดกันนางเป็นพิเศษ 

 

 

เจินเมี่ยวคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถพิเศษใด แต่กลับเป็นว่าง่ายยิ่ง 

 

 

ผ่านไปไม่นาน ไท่โฮ่วก็เสด็จมา การเลี้ยงฉลองนี้จึงถือว่าได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว 

 

 

ทว่างานเลี้ยงเพิ่งดำเนินไปได้เพียงครึ่งก็มีขันทีหลายคนเดินเข้ามาด้วยท่าทีแตกตื่น  

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset