เหยาฝูโซ่วยืนอยู่ตรงกลาง สีหน้าระมัดระวัง น้ำเสียงกดต่ำทว่าเฉียบขาดอย่างมาก “ขอพระสนมเอกเสด็จยังพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องที่พระสนมเอกถูกจับไปยังตำหนักเหยียนโซ่วแม้จะมิดชิดรัดกุมมาก แต่คืนนั้นเรื่องราวก็ถูกแพร่ไปถึงหอจื่อกวง
ตำหนักเหยียนโซ่วอยู่ในมุมริมสุดของวังหลัง เป็นตำหนักเย็นที่ขึ้นชื่อในการกักขังชายาสนมที่หมดความโปรดปรานหรือไม่ก็มีโทษ
ยามที่ฉีไหวเอินมาแจ้งข่าว บอกว่าพระสนมเอกเฮ่อเหลียนกับเฮ่อเหลียนอวิ่นแอบพบกันในวัง ถูกเหยาฝูโซ่วสะกดรอยตามมาเงียบๆ หลังจากนั้นพระสนมเอกก็ถูกเชิญไปยังพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน ไม่ถึงครึ่งชั่วยามดี พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนก็มีราชโองการออกมาให้นำตัวพระสนมเอกไปกักขังไว้ที่ตำหนักเหยียนโซ่ว
ไม่มีพระราชโองการรับสั่งจากฮ่องเต้ให้ทั้งสองพบกันส่วนตัว พระสนมเอกฝ่าฝืนกฎธรรมเนียมของวังหลวง แต่ก็ไม่ถึงขั้นถูกส่งเข้าตำหนักเย็น
“หรือเรื่องที่นางกำนัลตำหนักชุ่ยหมิงร่วมมือกันกับเฮ่อเหลียนอวิ่นทำร้ายไท่จื่อจะถูกฝ่าบาททราบเข้า” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยถาม
“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ หากเป็นเพราะเรื่องนี้จริง ชิงฉานคงโดนจับนานแล้ว เฮ่อเหลียนอวิ่นก็จะถูกลากเข้ามาด้วยมิใช่หรือ แต่ยามนี้มีเพียงพระสนมเอกคนเดียวที่ได้รับโทษ” ฉีไหวเอิ่นบอก
แม้ว่าจะมิใช่เรื่องที่ไท่จื่อโดนวางยา แต่ลึกๆ แล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่าร้ายแรงกว่าเรื่องนั้นเสียอีก นางถือโคมไฟเดินไปยังด้านนอกพลางเอ่ยขึ้นว่า “ได้ทูลท่านอ๋องหรือยัง”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องทรงทราบว่าเกิดเรื่องกับพระสนมเอก น่าจะมาถึงวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉีไหวเอินพยักหน้า
ทั้งสองพูดคุยกันไปก็มาถึงนอกพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนแล้ว เห็นเหยาย่วนพั่นสาวเท้าเดินออกมาจากด้านในพร้อมกับหมอหลวงไปยังสำนักแพทย์หลวง
แม้จะสวนกัน แต่ไม่มีเวลาได้พูดคุย อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมองสีหน้าเหยาย่วนพั่นออก ฝ่าบาทพระอาการกำเริบอีกแล้ว เกรงว่าน่าจะหนักมากด้วย
เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูนายหนึ่งที่เข้าเวรอยู่เห็นเป็นหมอหญิงถวายการรับใช้ส่วนพระองค์จากหอจื่อกวง จึงขวางไว้ “เหยากงกงกำชับไว้ว่า วันนี้ไม่ต้องการหมอหญิงเข้าไปรับใช้ โปรดกลับไปด้วย”
ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านใน เมี่ยวเอ๋อร์กับเจิ้งหวาชิวลงบันไดกันมา เจิ้งหวาชิวเดินมาพูดสองสามคำ ยามเฝ้าประตูทั้งสองไม่เอ่ยอันใดอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเข้าประตูใหญ่มา เดินเข้าไปยังระเบียงของตำหนักปีกด้านข้างพร้อมกับเมี่ยวเอ๋อร์ด้านในเงียบสงบไปทั่วทั้งบริเวณ
สภาพแวดล้อมที่เข็มตกยังได้ยิน อวิ๋นหว่านแทบจะสามารถได้ยินเสียงหายใจหนักลึกของเมี่ยวเอ๋อร์ นางไม่มีเวลามาสนใจอย่างอื่น เอ่ยว่า “เกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดฝ่าบาทจึงลงโทษพระสนมเอกเข้าตำหนักเย็นเล่า”
ภายใต้แสงจันทรา เมี่ยวเอ๋อร์สีหน้าวิตกกังวล คิ้วงามขมวดมุ่น เหมือนว่าจนถึงยามนี้ยังไม่หลุดจากภวังค์ แม้แต่อวิ๋นหว่านชิ่นเองยามเผชิญกับอันตรายในวังหลายต่อหลายครั้งยังไม่เคยตึงเครียดเช่นนี้เลยสักครั้ง มือนางสั่นเทา “ครานี้มิใช่เรื่องเล็กๆ เลย”
อวิ๋นหว่านชิ่นใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เห็นเมี่ยวเอ๋อร์มองตนด้วยคววามกังวลเหลือแสน “ตอนพระสนมเอกพบกันกับเฮ่อเหลียนอวิ่น เอ่ยถึงเรื่องฐานันดรของฉินอ๋องขึ้นมา ถูกพวกเหยากงกงที่เป็นคนสนิทของฝ่าบาทได้ยินอย่างชัดเจน…”
ฐานันดรของฉินอ๋องอันใดกัน อวิ๋นหว่านชิ่นมึนงงเล็กน้อย แต่เห็นสีหน้านางมืดครึ้ม “เฮ่อเหลียนอวิ่นบอกว่าฉินอ๋องเป็นชาวเป่ยเหรินบริสุทธิ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า”
ความหมายของประโยคนี้คือ…องค์ชายสามไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาทอย่างนั้นรึ
อวิ๋นหว่านชิ่นเคร่งเครียดขึ้น นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารอย่างยิ่ง หากเรื่องลอบปลงพระชนม์ไท่จื่อแค่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของจวนฉินอ๋อง เช่นนั้นเรื่องนี้กลับส่งผลกระทบต่อชีวิตเขาโดยตรงเลย
มิน่าเล่าแม้พระสนมเอกจะถูกลงโทษเข้าตำหนักเย็น แต่วังหลวงก็มิได้ประกาศโทษออกมา ที่แท้ก็เป็นเรื่องฉาวโฉ่น่าหน้าขายหน้าเช่นนี้นี่เอง ฝ่าบาทเลี้ยงดูลูกชายให้คนอื่นมาหลายปีเพียงนี้ เรื่องนี้จะเอาไปพูดข้างนอกได้อย่างไร
“แค่คำพูดตามอำเภอใจของเฮ่อเหลียนอวิ่นคำเดียว ฝ่าบาทก็เชื่อรึ พระสนมเอกมิได้แก้ต่างเลยหรือ”
เมี่ยวเอ๋อร์มองนางนิ่ง “ฉินอ๋องตอนนั้นเดิมทีก็คลอดก่อนกำหนด แต่ตอนนั้นพระสนมเอกได้รับความรักความโปรดปรานยิ่ง ถูกคนลอบเล่นงานหลายต่อหลายคราภายในวัง การคลอดก่อนกำหนดครานั้น ทุกคนก็คิดแค่ว่านางถูกคนวางยาจึงได้คลอดออกมาก่อนกำหนด ยามนี้ฝ่าบาทนึกย้อนไป ไหนเลยจะคาดเดาไม่ออก เมื่อครู่ตำหนิพระสนมว่ามีมารหัวขนในท้องตั้งแต่ที่เหมิงหนู พาครรภ์มาต้าเซวียน พระสนมเอกย่อมไม่ยอมรับ…ไม่ว่าอย่างไร ยามนี้ฝ่าบาทก็กำลังมีโทสะ คืนนี้ทรงเดือดดาลเพียงนี้ ทั้งยังกระอักเลือดออกมา เจ้าอย่าเพิ่งไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเลย ยังดีที่ต่อให้ทรงโมโหเพียงใดก็ปิดเรื่องนี้ไว้ให้เงียบกริบ ไม่อนุญาตให้ใครแพร่งพราย ยังทรงเหลือทางหนีทีไล่ให้”
จะแพร่งพรายได้อย่างไรเล่า หนิงซีฮ่องเต้เคยสวมหมวกเขียว[1]ให้ขุนนาง ไหนเลยจะคิดว่าพระองค์เองก็มีวันที่จะโดนคนอื่นสวมหมวกเขียวให้เช่นกัน
อวิ๋นหว่านชิ่นสงบจิตสงบใจ ความคิดสงสัยที่ไม่ทันได้มีเวลาคิดเมื่อครู่ปรากฏขึ้น พระสนมเอกทั้งแอบพบเฮ่อเหลียนอวิ่นเป็นการส่วนตัว ทั้งสองคนน่าจะระมัดระวังกันอย่างยิ่ง เหตุใดจึงถูกเหยาฝูโซ่วจับได้ เหตุการณ์ในวันนี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนปล่อยข่าวล่วงหน้ากับเหยาฝูโซ่วว่าทั้งสองจะนัดพบกัน ให้เขาจับตาดูไว้
“เหตุใดเหยาฝูโซ่วจึงสนใจพวกเขาขึ้นมาได้เล่า”
เมี่ยวเอ๋อร์ก็ไม่ค่อยแน่ใจเช่นกัน นางเอ่ยว่า “เช้าวันนี้ เหนียนกงกงมาพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน ดึงเหยาฝูโซ่วไปคุยเป็นการส่วนตัว”
ไท่จื่อ…เป็นพระองค์ อวิ๋นหว่านชิ่นสูดหายใจลึก
เรื่องที่นางไปตงกงวันนั้น เกรงว่าไท่จื่อคงจะทราบเข้าแล้ว เช่นนั้น เฮ่อเหลียนอวิ่นหลอกใช้ชิงฉานวางแผนทำร้ายพระองค์ พระองค์ก็คงจะทราบแล้วเช่นกัน
พระองค์ไม่เปิดโปงเฮ่อเหลียนอวิ่น กระทั่งทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะไร้หลักฐาน แม้แต่จอกสุราที่มีพิษก็โดนนางเอาไปแล้ว
จึงรีบให้ฮ่องเต้จับตะพาบในไห จับเฮ่อเหลียนอวิ่นกับพระสนมเอกให้ได้คาหนังคาเขา เช่นนี้แล้ว นอกจากเฮ่อเหลียนอวิ่นเอง พระสนมเอกและฉินอ๋องก็จะโดนลากเข้าไปด้วย
คิดไม่ถึงว่า ตอนที่ทั้งสองพบกันกลับเอ่ยความลับอันใหญ่หลวงยิ่งกว่าออกมา จึงยิ่งมากพอที่จะช่วยพระองค์ทำลายความลับในสายตาของพระองค์
ยามนี้พระองค์กำลังแอบหัวเราะเยาะอยู่หรือ
คนที่หลบมุมเยาะเย้ยถากถางผู้นั้น ความจริงแล้วก็เก็บซ่อนจิตใจที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้เอาไว้เช่นกัน
หลายวันมานี้ องค์ชายสามมีอำนาจในราชสำนักมากขึ้น ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ค่อยๆ สั่นคลอดอำนาจพระองค์อย่างช้าๆ ไท่จื่อจะทำเป็นมองไม่เห็นได้อย่างไร
เสียงฟ้าคำรามมาจากฟากฟ้า ฝนตั้งเค้ามาทั้งคืนแล้ว ในที่สุดก็กระหน่ำเทลงมา
ฝนตกครานี้ยากที่จะหยุดลงได้
ณ ตำหนักเหยียนโซ่ว แสงไฟจากเปลวเทียนหลายเล่มสาดส่องภายในตำหนักอันคับแคบอย่างโศกศัลย์
สตรีที่ปลดเครื่องประดับและอาภรณ์หรูหราออกจนหมดกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หยาบตัวหนึ่งอย่างเหม่อลอย ดวงหน้างามผ่านไปเพียงแค่คืนเดียว ดูชราลงมามาก จวบจนถึงยามนี้ราวกับยังไม่หลุดจากภวังค์มา
หลานถิงถูกจับขังด้วยกันกับผู้เป็นนาย นางยืนอยู่มุมหนึ่งตัวสั่นเทิ้ม
เสียงประตูเปิดออกดังขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นแขนเสื้อลื่นลง กำทองใบหลายแท่งไว้แน่น ยัดใส่มือมอมอผู้ดูแลนางหนึ่งที่เฝ้าอยู่ตำหนักเย็น “ลำบากมอมอแล้ว”
“พระสนมม่อสั่งไว้ บ่าวไม่กล้าขัดเพคะ พระชายามีอันใดก็รีบพูดคุยเถิด เกิดมีใครมาเห็นเข้าแล้วทูลฟ้องฝ่าบาท บ่าวก็จะได้รับโทษไปด้วย” มอมอเก็บทองเหล่านั้นให้เรียบร้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นปิดประตู วางอุปกรณ์ใช้สอยของห้องเครื่องในมือลงบนโต๊ะ นางแอบอ้างว่ามาด้วยเรื่องการจัดการวัตถุดิบยาให้แก่ฝ่าบาท ระหว่างทางก็เปลี่ยนทิศทางการเดิน แอบมายังตำหนักเย็น
สตรีภายในห้องได้รับการรบกวนเข้าก็ได้สติขึ้นมา พอเห็นผู้มาเยือนจึงเอ่ยว่า “ข้าจะไม่ทำให้ซื่อจื่อต้องได้รับผลกระทบไปด้วย เจ้าไปบอกเขา เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาท หากฝ่าบาทไม่เชื่อ ข้าจะพยายามพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้จงได้”
อวิ๋นหว่านชิ่นมุมปากหยักยกหัวเราะขึ้นเบาๆ ทำเอาคนมองอย่างพระสนมเอกแข็งค้าง เห็นเพียงสตรีสวมชุดกันฝนทั้งร่างจ้องมองมายังตน “ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาหรือ เสด็จแม่วางยาพิษเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองในตอนนั้น ทั้งยังส่งท่านอ๋องออกไปด้วยสารพัดวิธี ตอนนั้น เหตุใดจึงไร้ซึ่งความเมตตาและไม่เห็นแก่ตัวอย่างยามนี้บ้างเล่า ตอนนั้น ท่านกลัวว่าฐานันดรของท่านอ๋องจะถูกเปิดโปงในสักวัน แล้วจะทำให้ชีวิตและเกียรติยศของท่านเสื่อมเสียกระมัง”
———————-
[1] สวมหมวกเขียว ผู้ชายที่มีภรรยามีชู้