World’s Best Martial Artist 14 หนึ่งก้าวสู่สวรรค์หนึ่งก้าวสู่นรก

ตอนที่ 14 หนึ่งก้าวสู่สวรรค์หนึ่งก้าวสู่นรก

ตอนที่ 14 หนึ่งก้าวสู่สวรรค์หนึ่งก้าวสู่นรก

หลังพูดจนเหนื่อย ในที่สุดฟางผิงก็ทำให้สาวน้อยพอใจจนได้

ด้วยเหตุนี้ ฟางผิงจึงติดหนี้เพิ่มอีกนับไม่ถ้วน เขาจำไม่ได้แล้วว่าเขาสัญญาจะซื้ออะไรให้สาวน้อยบ้าง

…..

วันถัดมา วันที่ 8 เมษายน

ตอนนี้ฟางผิงดังแล้ว อย่างน้อยก็ในมัธยมปลายปีสามห้องสี่

อู๋จื้อเห่ามาถึงโรงเรียนก่อนหน้าเขา

เมื่ออู๋จื้อเห่ามาถึง จางฮ่าวกับหยางเจี้ยนที่อยากรู้ใจจะขาดก็ถามถึงรายละเอียดทันที

ตาแก่อู๋อาจไม่เต็มใจยอมรับว่าตัวเองตกใจกับผลการตรวจสอบเมื่อวานของฟางผิง พอทั้งสองถาม เขาจึงรีบตอบด้วยน้ำเสียงลึกลับ “113 แคล!”

เขาไม่ได้พูดถึงการตรวจสอบครั้งที่สอง 108 แคล เพราะมันไม่แม่นยำเท่าครั้งแรกเนื่องจากเรี่ยวแรงร่อยหรอ

ทั้งห้องช็อคไปกับคำพูดเขา

ฟางผิงหนึ่งในคู่หูคนสามัญไม่สามัญอีกแล้วงั้นเหรอ?

เมื่อวานพวกเขายังเหมือนกันอยู่เลย พวกเขาทั้งสองพยายามอย่างหนักเพื่อสอบสังคมศาสตร์ และคะแนนของฟางผิงก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ

แต่ตอนนี้ล่ะ?

113 แคล!

เหล่าคนที่สอบสังคมศาสตร์ไม่รู้เงื่อนไขสอบวิชาอื่น

แต่ก็มีบางสิ่งที่พวกเขารู้เช่นกัน

มาตรฐานต่ำสุดของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงคือ 112 แคล

นี่หมายความว่าค่าปราณและเลือดของฟางผิงเกินกว่าเกณฑ์ที่มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงกำหนดไว้แล้วงั้นเหรอ?

เพราะแบบนี้ เขาจะไม่ดังได้อย่างไร?

หยางเจี้ยนอนาคตเคราเฟิ้มบ่นพึมพำด้วยสีหน้าสลด “ไม่มีเหตุผลเลย มันไม่มีเหตุผลชัดๆ! ค่าปราณและเลือดของเขาสูงกว่าฉันได้ยังไงทั้งๆที่เขาตัวเล็กนิดเดียว?”

แม้แต่ผู้ฝึกยุทธก็ต้องอิงจากเหตุผล แต่ผลการทดสอบของฟางผิงมันเกินกว่านั้น

เขาสามารถเอาชนะคนที่มีขนาดร่างกายพอๆกันแปดคนได้อย่างง่ายดาย!

ขณะที่หยางเจี้ยนยังยุ่งอยู่กับการคร่ำครวญ จางฮ่าวที่อยู่ข้างๆก็กระตุกราวกับเป็นลมชัก “เป็นไปไม่ได้!”

“113 แคล!”

“ของฉันมีแค่ 108 แคล…”

จางหนานพูดเสียงเบา “ของฉันก็ 108 แคล ฉันจำได้ว่านายแค่ 107 แคล…”

จางฮ่าวทั้งโมโหทั้งอับอาย “นั่นเป็นข้อมูลจากเดือนที่แล้ว ตอนนี้ฉัน 108 แคลแล้ว!”

จางหนานกล่าวเสียงเบาอย่างไม่สะทกสะท้าน “เอาล่ะ นาย 108 แคล ฟางผิงแค่ 113 แคลเอง…”

“เธอ!”

จางฮ่าวแทบร่ำไห้ เขาหันไปมองอู๋จื้อเห่าแล้วถาม “ตาแก่อู๋ บอกมานายโกหกเรารึเปล่า?”

อู๋จื้อเห่าพูดขณะอ่านหนังสือ “ฉันจะโกหกนายเพื่อ? ค่าปราณและเลือดเขาไม่สูงเท่าฉัน แล้วมันเกี่ยวข้องกับฉันยังไง?”

“นายพูดแบบนี้ได้ไง?” จางฮ่าวพูดอย่างขมขื่น “คิดดูสิว่าชีวิตเราน่าเศร้าขนาดไหน!”

“เราต้องเข้าคาบเรียนเสริมควบคู่ไปกับคาบปกติเพื่อฝึกฝนร่างกายไปพร้อมกัน”

“เราจะกินอาหารทอดก็ไม่ได้ จะกินเนื้อเสียบไม้ก็ไม่ได้ น้ำอัดลมก็ไม่ได้ เราไม่กล้ากินไอติมช่วงหน้าร้อนด้วยซ้ำ”

“เจ้าฟางผิงมันไม่ใช่คน!”

“ตาแก่อู๋ นายไม่อิจฉาสักนิดเลยเหรอ?”

หลังได้ยินคำพูดของจางฮ่าว ความสงบของอู๋จื้อเห่าก็หายไป

นักเรียนธรรมดามักจะอิจฉาคนอย่างอู๋จื้อเห่า แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเขาก็อิจฉาคนธรรมดาเช่นกัน

นักเรียนวิชายุทธต้องจ่ายเงินมหาศาลเพียงเพื่อเตรียมสอบวิชายุทธ บางครั้งพวกเขาก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ

อย่างที่จางฮ่าวกล่าว พวกเขาต้องกินอาหารเสริมในขณะที่คนอื่นๆกินอาหารอร่อยๆ

พวกเขาคิดว่าอาหารเสริมมันอร่อยเหรอ?

พวกเขาต้องกินทุกวันจนถึงขั้นอยากเขวี้ยงทิ้งหรือเริ่มน้ำลายไหลเมื่อเห็นเนื้อเสียบไม้ย่างบนริมถนน

เพื่อรักษารูปร่างตนเอง เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ เพื่อเข้ามหาลัยวิชายุทธ…พวกเขาต้องกัดฟันเดินจากไปด้วยน้ำลายเต็มปากข่มกลั้นความอยากของตนเอง

พวกเขายอมรับชะตากรรมของตนเอง เพราะอนาคตคนอื่นก็ต้องทุกข์ทรมาณเหมือนพวกเขา

แต่เจ้าฟางผิงไม่จำเป็นต้องรักษาหุ่นเลย

พอเอาตัวเองไปเทียบกับฟางผิงแล้วมันน่าโมโหจริงๆ

อู๋จื้อเห่าอารมณ์ขึ้นเช่นกัน เขาฝืนยิ้ม “เราทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยอมรับว่าพรสวรรค์ของคนเรามันต่างกัน”

จางฮ่าวกัดฟันยิ้ม “เจ้าหมอนี่ไม่ได้ออกกำลังกายใช่ไหม?”

“เราทำอะไรไม่ได้เรื่องค่าปราณและเลือดนอกจากต้องยอมรับว่าเขาแข็งแกร่ง”

“ไว้เราไปชวนเขามาฝึกที่ยิมด้วยกันคืนนี้แล้วท้าประลองกับเขา ถ้าฉันไม่ได้จัดการเขาจนเละเป็นโจ๊ก ฉันคงไม่หายหงุดหงิด!”

เมื่อจางฮ่าวพูดจบ อู๋จื้อเห่าก็กระพริบตาปริบๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก”

“ไม่ ไม่งั้นฉันคงจุกอกตาย!”

อู๋จื้อเห่าเกลี้ยกล่อม “ไม่ใช่ว่าค่าปราณและเลือดของฟางผิงสูงกว่านาย คะแนนสังคมศาสตร์ดีกว่านาย แถมหน้าตายังดีกว่านายงั้นเหรอ?”

“นายไม่จำเป็นต้องโมโหหรอก เพื่อนร่วมห้องสอบผ่าน เราก็ได้รับการยอมรับเหมือนกัน”

“ตาแก่อู๋ นายอยู่ฝั่งไหนกันแน่?” จางฮ่าวถามอย่างฉุนเฉียว

อู๋จื้อเห่าอ่านหนังสือต่อแล้วตอบกลับโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ฉันกำลังอ่าหนังสืออยู่ ฉันไม่ได้อยู่ฝั่งใครทั้งนั้น”

จางฮ่าวอยากพูดต่อ แต่แล้วก็มีคนมาตบบ่าเขา น้ำเสียงร่าเริงของฟางผิงดังขึ้นมาจากด้านหลัง “จางฮ่าว ถ้าให้ฉันพูด ฉันแนะนำให้เล่นงานฟางผิงเลย ถ้านายโกรธจนกระทบสุขภาพ มันคงไม่คุ้ม”

จางฮ่าวมุมปากกระตุก เขาหันหลังกลับแล้วพูดอย่างโอนอ่อน “ฉันพูดเล่น ฉันจะทำแบบนั้นได้ไง?”

“เราเป็นเพื่อนสนิทกัน ฉันจะทำอะไรแบบนั้นได้ไงล่ะ?”

เขาพูดด้วยสีหน้าขมขื่นที่ไม่เข้ากับคำพูดตัวเอง ลืมเรื่องจัดการเขาไปเลย ถ้าฟางผิงสอบผ่าน เขาต่างหากจะถูกผู้ฝึกยุทธจัดการ

ฟางผิงคร้านจะเถียงด้วย เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของอู๋จื้อเห่า ค่าปราณและเลือดของฉันจะมี 113 แคลได้ยังไง? ของฉัน…”

“…อย่างมากก็ 115 แคล”

จางฮ่าวกลอกตามองบน เจ้าหมอนี่ตั้งใจทำให้เขาโกรธ

เขาถอนหายใจและไม่ได้เชื่อคำพูดของฟางผิง ตอนนี้เขารู้สึกสงสัยมากกว่า “ฟางผิง นายมีวิธีลับเพิ่มปราณและเลือดใช่ไหม?”

“บ้าเหรอ? ถ้าฉันมีความลับแบบนั้น ฉันคงเป็นผู้ฝึกยุทธไปนานแล้ว!” ฟางผิงย่อมไม่กล้ายอมรับ ดังนั้นเขาจึงโบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ถ้ามีความลับแบบนั้นจริง ผู้ฝึกยุทธคงเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนนแล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปสอบหรอก!”

“ก็จริงนะ” จางฮ่าวถอนหายใจอีกครั้งแล้วพูดอย่างขมขื่น “ตอนนี้ตาแก่อู๋ นาย หยางเจี้ยนกับหลิวรั่วฉีมีหวังสอบผ่านมากสุดในห้องเรา”

“ส่วนเรามีโอกาส 99% ที่จะเป็นแค่ตัวประกอบ”

“มีผู้แข็งแกร่งสามคนอยู่แล้ว มาตอนนี้มีนายเข้ามาเพิ่มอีก สวรรค์อยากฆ่าฉันเหรอ…”

อู๋จื้อเห่าที่แสร้งอ่านหนังสือเงยหน้าขึ้นกล่าว “โอกาสของเราต่ำมากเหมือนกัน ปีนี้ค่าปราณและเลือดเฉลี่ยสูงขึ้น ฉันไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่”

“ยกตัวอย่างห้องของเรา ถ้าเรานับฟางผิงด้วย เราจึงมีสี่คนที่ค่าปราณและเลือดสูงกว่า 110 แคล”

“เท่าที่ฉันรู้ คนห้องอื่นที่มีค่าปราณและเลือดสูงกว่า 110 แคลก็มากกว่า 60 คนแล้ว”

“แถมยังมีห้องอัจฉริยะอีก แม้ว่าจะมีนักเรียนห้องอัจฉริยะไม่กี่คน แต่ที่ผ่านเกณฑ์ก็มีประมาณ 40 คนแล้ว”

“ถ้ารวมพวกเขาด้วย แค่โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองหยางเฉิง นายก็เห็นแล้วว่ามีนักเรียนมากกว่า 100 คนแล้วที่มีปราณและเลือดเกิน 110 แคล”

“นี่แหละโรงเรียนเรา โรงเรียนอื่นในเมืองหยางเฉิงเทียบกับเราไม่ได้ แต่ปีนี้พวกเขาก็ทำได้ไม่เลวเหมือนกัน คนที่ผ่านเกณฑ์มีเท่ากับโรงเรียนเรา”

“แค่เมืองหยางเฉิงเมืองเดียว ก็มีนักเรียนที่มีค่าปราณและเลือดสูงกว่า 110 แคลมากกว่า 200 คนแล้ว!”

อู๋จื้อเห่าพูดต่ออย่างจนปัญญา “ปีที่แล้วมีนักศึกษาวิชายุทธ 9 คนที่มาจากเมืองหยางเฉิง ถ้าอัตราส่วนเหมือนปีที่แล้ว อย่างน้อยจะเป็น 20 ต่อ 1”

ผู้เข้าสอบวิชายุทธคนอื่นที่นั่งอยู่ข้างเขาส่ายหน้าแล้วพูดเสริม “จื้อเห่า นาย 115 แคลแล้ว ห้องธรรมดาแทบไม่มีใครที่มีค่าปราณและเลือดสูงกว่านายแล้ว”

“โรงเรียนอื่นก็เหมือนกัน ถ้าคนอื่นบอกว่าเครียด ฉันคงเชื่อ แต่นายจะเครียดได้ยังไงกัน?”

อู๋จื้อเห่าอยู่ห้องธรรมดา แต่ค่าปราณและเลือด 115 แคลถือว่าสูงที่สุดในห้องธรรมดาแล้ว

ตามอัตราส่วนของปีที่แล้ว มีนักเรียนห้องธรรมดาสองคนที่ติด อู๋จื้อเห่าก็ยังนำหน้าเพื่อน

ขณะที่พวกเขาคุยกัน สุดท้ายพวกเขาก็ลืมเรื่องฟางผิงไปเสียสนิท

ฟางผิงดีใจ เขาได้รู้ข้อมูลภายในมากมายจากการฟังพวกเขาคุยกัน

มีนักเรียนในเมืองหยางเฉิงมากกว่า 200 คนที่มีค่าปราณและเลือดเกิน 110 แคล

แน่นอน ค่าปราณและเลือดไม่ใช่ปัจจัยเดียว มักจะมีอีกหลายคนที่สอบตกขั้นตอนอื่น

หลังประเมิณร่างกาย มหาลัยวิชายุทธทุกแห่งจะกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำตามผลสอบ มันไม่ใช่เกณฑ์สอบผ่าน แต่เป็นเกณฑ์ของขั้นตอนที่สาม

นอกจากนี้มันยังเป็นการช่วยให้ผู้ที่สอบตกประหยัดเวลาให้ไปเตรียมตัวสอบสังคมศาสตร์แทนโดยที่ไม่ต้องเสียเวลามากเกินไป

กล่าวอีกนัยนึงก็คือ ถ้าปราณและเลือดไม่ถึงเกณฑ์ พวกเขาล้วนสอบตกในขั้นตอนที่สอง

ปีนี้เกณฑ์ขั้นต่ำในการไปขั้นตอนที่สามอาจสูง 110 แคล เกณฑ์นี้เพียงอย่างเดียวก็ปิดประตูใส่ผู้สมัครสอบไปครึ่งห้องแล้ว

เมื่อตระหนักเรื่องนี้ แม้แต่จางฮ่าวที่ชอบเอะอะโวยวายก็ต้องเงียบไป

ไม่สามารถไปถึงขั้นตอนที่สามได้หลังจากเตรียมตัวมาหลายปี…ความผิดหวังนี้จะประดังเคใส่นักเรียนอย่างหนัก

มีผู้สมัครสอบวิชายุทธหลายคนที่สอบตกแล้วสลดใจจนทำพลาดที่สอบสังคมศาสตร์เช่นกัน สุดท้ายพวกเขาก็ทำได้แต่ไปเรียนที่มหาลัยธรรมดา มันเป็นก้าวย่างระหว่างสวรรค์และนรกอย่างแท้จริง

เมื่อพวกเขาไม่ได้พูด ฟางผิงก็ไม่ได้พูดสอดเช่นกัน เขาคิดในใจ’ดูเหมือน 110 แคลจะไม่ใช่จำนวนที่ปลอดภัยจริงๆ’

เมืองหยางเฉิงก็มีนักเรียนจำนวนมากแล้วที่ผ่านเกณฑ์ ไม่มีใครรู้ว่าข้อมูลของอู๋จื้อเห่าถูกต้องไหม ถ้ามีมากกว่านั้น เขาอาจผ่านไปถึงขั้นตอนที่สามไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นคงแย่แน่

ดูเหมือนเขาต้องรีบเพิ่มปราณและเลือดของตัวเองแล้ว

…..

เมื่อคาบเรียนเริ่มขึ้น เสียงเอะอะโวยวายในห้องเรียนก็เงียบลง

ฟางผิงทำตัวเหมือนเคย บางครั้งเขาก็อ่านวัฒนธรรมศึกษา บางครั้งเขาก็อ่านทั่วไปศึกษา ไม่มีใครมาขัดจังหวะเขาเลยยกเว้นหยางเจี้ยนที่นั่งอยู่หน้าเขากับจางฮ่าวที่นั่งโต๊ะติดกัน

ส่วนเฉินฝานที่นั่งโต๊ะติดกัน อาจเป็นเพราะจิตวิญญาณถูกกระตุ้น เขาฝึกทำข้อสอบขยันกว่าเดิมเสียอีก ทั้งเช้าเขาลุกไปห้องน้ำครั้งเดียวเท่านั้น

หลังเรียนภาคเช้าจบ เดิมทีฟางผิงจะไปทานมื้อเที่ยง แต่แล้วอู๋จื้อเห่าก็มาเรียกเขาให้ไปออฟฟิศอาจารย์เฒ่า

มีสี่คนเท่านั้นที่อยู่นอกห้องเรียน อู๋จื้อเห่า หยางเจี้ยน หลิวรั่วฉีและตัวเขาเอง

อู๋จื้อเห่าอธิบายพลางเดินไปพลาง “รุ่นพี่หวังจะมาโรงเรียนเราพรุ่งนี้ และโรงเรียนจะจัดคนไปรับเขา อาจารย์บอกว่าอาจารย์จะพยายามเต็มที่เพื่อแย่งโอกาส”

“แม้ว่าการไปรับคนอื่นจะไม่เป็นประโยชน์ แต่พอคนน้อยลง นายจะมีโอกาสคุยกับเขา เขาอาจให้คำแนะนำนายก็ได้”

“นายก็รู้ ขั้นตอนที่สามจัดการโดยมหาลัยวิชายุทธหลายแห่งและกระทรวงศึกษา บางทีรุ่นพี่หวังอาจรู้รายละเอียดบ้างก็ได้”

“บางครั้งเนื้อหาการสอบแต่ละปีก็จะต่างกันเล็กน้อย”

ขณะที่อู๋จื้อเห่าอธิบาย ฟางผิงก็กล่าวอย่างสงสัย “งั้นเราไม่น่าได้เป็นคนไปรับเขาไม่ใช่เหรอ?”

โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองหยางเฉิงมีห้องเรียนหลายห้อง แถมยังมีห้องอัจฉริยะอีกสองห้อง ห้องพวกเขาไม่มีอะไรพิเศษเลย

หลังได้ยินคำพูดของฟางผิง อู๋จื้อเห่าก็หัวเราะ “นายลืมไปแล้วเหรอว่าอาจารย์ประจำชั้นของเราเป็นใคร? คณบดีบริหารการศึกษาเป็นศิษย์เขา เรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ไม่มีปัญหาหรอก”

หลังได้ยินคำพูดเขา ฟางผิงก็นึกอะไรขึ้นมาได้

อาจารย์ประจำชั้นเขาถือเป็นผู้อาวุโสที่สุดของโรงเรียน คณบดีบริหารการศึกษาเป็นศิษย์เขา แต่เป็นศิษย์ตอนมัธยมต้นแทนที่จะเป็นมัธยมปลาย

หลิวอันกั๋วเคยสอนมัธยมต้นและพึ่งย้ายมาสอนมัธยมปลายทีหลัง

มันอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ก้าวหน้าเร็วเหมือนสหายร่วมอาชีพคนอื่น แม้ว่าเขาจะทำงานมานานแล้วก็ตาม

ทั้งๆที่ศิษย์เขากลายเป็นคณบดีบริหารการศึกษาไปแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นอาจารย์ประจำชั้นมัธยมปลายปีสามธรรมดาๆอยู่เลย

ตอนนี้ฟางผิงเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์ถึงเรียกพวกเขาไปออฟฟิศ

เขาชำเลืองมองคนอื่นๆที่เดินอยู่ข้างเขาแล้วครุ่นคิด เขาไม่รู้ว่าเขาถูกชวนให้มาด้วยเพราะอาจารย์เฒ่าได้ยินเรื่องตรวจค่าปราณและเลือดเมื่อวานไหม

หรืออาจารย์เฒ่าใส่ใจเขาเพราะฐานะครอบครัวก็ไม่รู้

บางทีอาจเป็นทั้งสองข้อ ฟางผิงทอดถอนหายใจ อย่างน้อยเขาก็คิดว่าอาจารย์ประจำชั้นเป็นคนดี

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Score 10
Status: Completed

เรื่องย่อ

 

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

 

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

 

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

 

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

 

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

 

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

Options

not work with dark mode
Reset