World’s Best Martial Artist 15 เพิ่มค่าจิตใจ

ตอนที่ 15 เพิ่มค่าจิตใจ

ตอนที่ 15 เพิ่มค่าจิตใจ

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟางผิงที่ได้ยินชื่อหวังจินหยาง

หยางเจี้ยนพูดถึงเขาทุกวันตั้งแต่ฟางผิงได้สติมา

จากนั้นเฉินฝานก็เริ่มพูดถึงเขา จากนั้นก็เป็นอู๋จื้อเห่า ตอนนี้แม้แต่อาจารย์ประจำชั้นก็พูดถึงเขาเช่นกัน

ประเด็นคือเพียงแค่ไม่กี่วัน ชื่อเสียงของหวังจินหยางเพิ่มขึ้นสูงเสียดฟ้าและทำให้ชื่อเขาเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จัก แม้แต่ฟางผิงที่ไม่ค่อยรู้จักเขาก็รู้จักเขาอย่างช่วยไม่ได้

หวังจินหยางเป็นนักเรียนจากห้องธรรมดา ด้วยผลการเรียนธรรมดาๆ เขาเข้าสู่มหาลัยวิชายุทธได้สำเร็จ ในเมืองหยางเฉิงเล็กๆนี้ เขาถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง

ชื่อเสียงของหวังจินหยางถึงกับบดบังเหล่านักเรียนที่เข้ามหาลัยวิชายุทธเมื่อปีที่แล้ว

…..

หลังออกจากออฟฟิศ คำพูดของอาจารย์ประจำชั้นก็ยังดังก้องอยู่ในหัวฟางผิง

มันเป็นความจริงที่ครั้งนี้อาจารย์เฒ่าให้ความช่วยเหลือเขาเป็นพิเศษ

จากที่หลิวอันกั๋วพูด ทุกคนเตรียมสอบวิชายุทธมานานแล้ว ทุกคนรู้สิ่งที่ควรรู้

อย่างไรก็ตามฟางผิงนั้นต่างกัน เขาลงทะเบียนกระทันหันเกินไป

ถ้าหลิวอันกั๋วไม่เคยฝากความหวังกับฟางผิงมาก่อน เขาก็คงเปลี่ยนใจหลังรู้ผลการทดสอบของฟางผิง หลิวอันกั๋วเชื่อว่าฟางผิงอาจเป็นหวังจินหยางคนถัดไป สามารถสร้างปาฏิหาริย์ในโลกผู้ฝึกยุทธได้

แถมบังเอิญฟางผิงกับหวังจินหยางมีความคล้ายกันหลายอย่าง

ทั้งสองถือเป็นนักเรียนธรรมดาจากครอบครัวธรรมดา แม้ว่าการตัดสินใจสมัครสอบวิชายุทธของหวังจินหยางจะไม่กระทันหันเหมือนฟางผิง แต่ก่อนเกาเข่า ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าหวังจินหยางจะสอบผ่านอย่างเฉิดฉาย

หลิวอันกั๋วคงคิดว่า ถ้าฟางผิงมาเข้าร่วมด้วย ฟางผิงคงมีหัวข้อที่คล้ายกันจะคุยกับหวังจินหยาง เขาอาจได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง

ดังนั้นชื่อของฟางผิงจึงถูกรวมอยู่ในรายชื่อของผู้ที่ไปร่วมการต้อนรับในครั้งนี้

ที่ทางเดินนอกออฟฟิศโรงเรียน อู๋จื้อเห่ายิ้มแย้มแจ่มใส เขาพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “ฉันไม่คิดเลยว่าอาจารย์เฒ่าจะสุดยอดขนาดนี้ ห้องเราเป็นห้องเดียวที่ได้รับเลือกไปต้อนรับแขก!”

มันเป็นแบบนั้นจริง ทุกคนที่เข้าร่วมการต้อนรับมาจากมัธยมปลายปีสามห้องสี่ แน่นอนโรงเรียนได้จัดหารถยนต์และคนขับมาเพื่อการนี้

แต่มันไม่ใช่ว่าโรงเรียนหรืออาจารย์พยายามวางท่าทำตัวหน้าใหญ่ ความจริงก็คือสถานะของหวังจินหยางจะเหนือกว่าสถานะของอาจารย์หลังจบการศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธ ดังนั้นอาจารย์หลายท่านจึงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับเขา

ถึงกระนั้นหวังจินหยางก็ได้แจ้งความประสงค์กับโรงเรียนก่อนแล้วว่าเขาไม่อยากรบกวนทางโรงเรียน ดังนั้นเขาจะเดินทางมาโรงเรียนด้วยตัวเอง

สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธความกระตือรือร้นและน้ำใจอันมากล้นของโรงเรียนได้ ดังนั้นเขาจึงโอนอ่อนให้โดยบอกให้รุ่นน้องสองสามคนมาทักทายเขาแทนที่จะรบกวนเหล่าอาจารย์

แม้ว่ามันอาจเป็นการพูดตามมารยาท แต่สุดท้ายทางโรงเรียนก็ตัดสินใจส่งเฉพาะนักเรียนไปเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์น่ากระอักกระอ่วน

หลิวอันกั๋วตัดสินใจอย่างกล้าหาญเช่นกัน อู๋จื้อเห่ามีโอกาสผ่านการสอบวิชายุทธสูงที่สุด ดังนั้นหลิวอันกั๋วจึงสามารถส่งอู๋จื้อเห่าไปได้อย่างเปิดเผย

เมื่อเขารู้เรื่องฟางผิง หลิวอันกั๋วก็ให้โอกาสฟางผิงเช่นกัน

จากนั้น เมื่อเห็นว่าเขาส่งอู๋จื้อเห่าและฟางผิงไปแล้ว หลิวอันกั๋วก็นึกได้ว่าหยางเจี้ยนและหลิวรั่วฉีจากห้องเขาก็ทำได้ไม่เลวเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจส่งทุกคนไปด้วยกัน

ด้วยการตัดสินใจของเขา เฒ่าหลิวจึงไปยืนขวางอยู่หน้าห้องทำงานผู้อำนวยการการศึกษาตั้งแต่เช้าตรู่ไม่ยอมไปไหน!

เนื่องจากอาจารย์ใหญ่ไม่ได้อยู่โรงเรียน ผู้อำนวยการการศึกษาจึงรับผิดชอบหลายอย่าง เมื่อตระหนักว่าอาจารย์ของตนขวางอยู่หน้าประตูห้องทำงาน ผู้อำนวยการการศึกษาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฝืนยิ้มตอบตกลงไป

ยังไงมันก็เป็นแค่การไปต้อนรับคนๆนึง การรับแขกเป็นเรื่องง่ายๆ นักเรียนจากห้องอัจฉริยะอาจคิดว่ามันน่าเบื่อด้วยซ้ำ!

สุดท้าย การต้อนรับแขกก็กลายเป็นธุระของมัธยมปลายปีสามห้องสี่อย่างเต็มที่

อู๋จื้อเห่าบอกฟางผิงและเพื่อนๆ “พรุ่งนี้เช้า เราไม่ต้องเข้าเรียน เราไปเจอกันหน้าประตูโรงเรียนตอนเก้าโมง เราจะนั่งรถโรงเรียนไปสถานี”

“ส่วนข้าวเที่ยง เราจะไปกินกับรุ่นพี่หวัง”

“ตอนบ่าย เราจะมาโรงเรียนกับรุ่นพี่หวัง งานของเราก็เสร็จแค่นี้แหละ”

หยางเจี้ยนและหลิวรั่วฉีต่างก็พยักหน้า ในทางกลับกันฟางผิงถามด้วยความสงสัย “รุ่นพี่หวังเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นไหน?”

นี่เป็นคำถามที่อู๋จื้อเห่าไม่ทราบคำตอบ หลังหยุดไปสักครู่ เขาก็ตอบอย่างจนใจ “ฉันไม่รู้ เมื่้อเทียบกับมหาลัยสังคมศาสตร์ มหาลัยวิชายุทธมีความลึกลับกว่ามาก พวกเขาไม่ได้ปล่อยข้อมูลออกสาธารณะมากนัก”

“รุ่นพี่หวังอยู่ขั้นไหนแล้วไม่มีใครรู้”

“สิ่งที่เรารู้ก็คือรุ่นพี่หวังเป็นแค่เด็กใหม่มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง แม้ว่ามันจะเป็นมหาลัยชั้นนำในหนานเจียง แต่ที่จริงมันเป็นมหาลัยค่อนข้างธรรมดาในมหาลัยวิชายุทธของประเทศ”

“ถ้าให้ฉันเดา ฉันเดาว่าเขาคงอยู่ราวขั้นหนึ่งถึงขั้นสอง”

พอเขาพูดจบ หลิวรั่วฉีที่เป็นคนเงียบๆก็พูดแทรกอย่างฉับพลัน “ขั้นหนึ่งถึงขั้นสอง? พวกนายคิดจริงเหรอว่านักศึกษามหาลัยวิชายุทธจะเป็นผู้ฝึกยุทธ?”

เธอพูดเสร็จก็เดินจากไป

พอเธอเดินไป ฟางผิงก็เก็บคำพูดของเธอมาคิด “เธอหมายความว่าไม่ใช่ทุกคนที่เรียนมหาลัยวิชายุทธจะเป็นผู้ฝึกยุทธงั้นเหรอ?”

อู๋จื้อเห่าหัวเราะอย่างขมขื่น “เหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ ฉันก็ไม่ทราบรายละเอียด แต่ฉันได้ยินว่าหลังจบการศึกษา นักศึกษาบางคนจากมหาลัยวิชายุทธก็ไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ”

“แต่สำหรับเรา เรื่องพวกนี้ยังไกลตัว เราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง”

ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย ตอนนี้เขารู้แล้วว่าต่อให้เราเข้ามหาลัยวิชายุทธ แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกยุทธเสมอไป ไม่แปลกใจเลยว่าสถานะของผู้ฝึกยุทธถึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนคำถามว่าหวังจินหยางเป็นผู้ฝึกยุทธหรือไม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดสินเช่นกัน

แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธอย่างแท้จริงที่ฟางผิงได้พบ

เขาฟังตำนานของผู้ฝึกยุทธมาตลอด แต่เขาไม่เคยสัมผัสกับผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงเลย

พอคิดแบบนั้น ฟางผิงก็ค่อนข้างมีความหวัง

…..

หลังทานมื้อเที่ยงแล้วเอาสมุดของอู๋จื้อเห่าไปถ่ายเอกสาร เงิน 50 หยวนในมือฝางผิงก็ลอยละล่องอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ฟางผิงไม่มีเงิน เขาจึงต้องให้อู๋จื้อเห่าเลี้ยงข้าวด้วยความรู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง

แน่นอนอู๋จื้อเห่าไม่ได้คิดมาก แต่ฟางผิงจะจำบุญคุณนี้ไปตลอดกาล

ในไม่กี่วันนับตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่ เขาติดหนี้คนไปมากมาย ทั้งอู๋จื้อเห่า อาจารย์ประจำชั้น…

บางครั้ง การชดใช้หนี้ก็ยากกว่าชดใช้เงินเสียอีก

หลังเก็บความคิดเหล่านี้ไป ฟางผิงก็อ่านหนังสือต่อแล้วทบทวนกับตัวเองตอนบ่าย

…..

ตอนกลางคืน

เมื่อฟางผิงกลับมาถึงบ้าน เขาก็เห็นน้องสาวกับแม่กลับมาบ้านแล้ว ส่วนพ่อเขา ฟางหมิงหรง ยังไม่กลับมา

ตามธรรมเนียมของครอบครัว ฟางผิงจะบีบแก้มฟางหยวนทุกครั้งเมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาคงรู้สึกไม่ถูกต้องนักถ้าเขาไม่ได้บีบแก้มน้องสาว

เป็นผลให้สองพี่น้องเริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง หลี่อวี้อิงที่ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารอยู่ข้างๆรู้สึกไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พอทั้งสองอยู่ด้วยกัน ที่บ้านไม่เคยสงบเลย

ขณะที่สองพี่น้องทะเลาะกันเองจนเหนื่อย ฟางหมิงหรงก็กลับมาถึงบ้านพอดี

เมื่อฟางหมิงหรงเข้าบ้าน เขาก็เอ่ยถาม “คุณถอนเงินมายัง?”

หลี่อวี้อิงพยักหน้า ฟางหมิงหรงหันไปมองฟางผิงแล้วพูด “เดี๋ยวแม่จะเอาเงินสองหมื่นให้ลูก อย่าลืมขอบคุณเพื่อนให้ถูกต้องล่ะ พ่อแม่เขาด้วยเหมือนกัน”

“รอบนี้พ่อจะไม่ไปเอง พอเกาเข่าจบ เราต้องเลี้ยงข้าวพวกเขา”

วันนี้ฟางหมิงหรงปรึกษากับหัวหน้าแล้วเช่นกัน

ยาเสริมกำลังมีราคาสูงถึงสามหมื่นหยวนจริง แถมร้านขายยายังไม่ให้ต่อรอง

เมื่อฟางหมิงหรงถามว่าเขาซื้อเม็ดยาราคาสองหมื่นหยวนได้ไหม ฟางหมิงหรงก็แทบเปียกโชกไปด้วยน้ำลายของผู้อำนวยการ

มันเป็นไปได้ที่จะซื้อด้วยเงินสองหมื่นหยวน นี่ไม่ใช่ความลับ อย่างไรก็ตามฟางหมิงหรงจะคิดได้ไงว่าเขาจิตใจบอบบางแบบนี้?

แม้แต่ผู้อำนวยการก็ไม่สามารถซื้อหาวิธีซื้อยาที่ราคาถูกกว่าให้ลูกชายไปสอบเกาเข่าเมื่อปีที่แล้ว แล้วฟางหมิงหรงจะทำได้ไง?

ดังนั้นฟางหมิงหรงจึงยอมแพ้ความคิดที่จะหาซื้อเอง

ตอนนี้สถานการณ์ที่บ้านไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าฟางผิงจะเป็นผู้ฝึกยุทธได้ แต่ในอนาคตก็จำเป็นต้องใช้เงินอีก ถ้าเกิดเขาไม่ผ่านขึ้นมา งั้นพวกเขาก็ต้องประหยัดเงินให้มากขึ้น

เงินหมื่นหยวนก็ไม่ใช่เงินจำนวนเล็กๆเช่นกัน พวกเขาควรประหยัดเงินให้ได้มากที่สุด ถ้าประหยัดได้ก็ต้องประหยัด

เมื่อพ่อเขาตอบตกลง ฟางผิงก็โล่งอก

ด้วยเงินจำนวนนี้ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น

สองสามวันมานี้ฟางหยวนยุ่งมากเหมือนกัน ดังนั้นต่อให้เขามีความคิดทำเงิน แต่เขาก็ไม่มีเวลา

การขอเงินพ่อแม่เพื่อเป็นการการันตีการสอบเข้ามหาลัยวิชายุทธก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน

เมื่อครอบครัวทานข้าวเสร็จ หลี่อวี้อิงก็กลับเข้าห้องไปเอาเงินมาให้ฟางผิง

ทันทีที่เงินสองหมื่นหยวนมาถึงมือฟางผิง ดวงตาของฟางผิงก็กระพริบวาบแล้วตัวเลขก็ปรากฏขึ้น

ทรัพย์สิน : 20000

ปราณและเลือด : 1.1

จิตใจ : 1

ฟางผิงถอนหายใจ สมมติฐานของเขาถูกต้อง มีแต่เงินที่พ่อแม่ให้เขาเท่านั้นที่จะถูกนับเป็นทรัพย์สินเขา

ในทางกลับกันฟางผิงก็อดหัวเราะให้ตัวเองไม่ได้ ดูเหมือนตอนนี้เขาจะมีความสามารถมากกว่าเครื่องตรวจธนบัตรเสียอีก

ไม่ว่าจะเป็นเงินไม่พอหรือเป็นเงินปลอม เขาก็รู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องนับ

ขอแค่มันได้ผลกับเงินที่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของด้วยนะ ต่อให้เขาสอบวิชายุทธตกและเป็นผู้ฝึกยุทธไม่ได้ เขาก็เป็นแชมป์ระดับประเทศได้ถ้าเขาไปเป็นพนักงานที่ธนาคาร

เขาโยนความคิดในหัวทิ้งไป จากนั้นก็กล่าว’ขอบคุณ’แล้วขังตัวเองอยู่ในห้องเล็กๆ

…..

ในห้อง

เมื่อมองแถบตัวเลข ฟางผิงก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย เขาควรเพิ่มปราณและเลือดหรือเพิ่มจิตใจดี?

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าปราณและเลือดคืออะไร

แต่ถ้าเขาเพิ่มค่าจิตใจล่ะ? มันทำอะไรได้?

หรือมันจะเป็นเหมือนที่เขาคาดเดาไว้? จิตใจจะเพิ่มความจำและความสามารถในการทำความเข้าใจ?

แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจ แต่ฟางผิงก็ตัดสินใจค่อนข้างเร็ว เขาแค่ลองก็จบแล้ว

ยังไงซะตอนนี้เขาก็มีค่าทรัพย์สิน 20000 แต้ม ถ้าผลของการเพิ่มค่าจิตใจมันไม่ชัดเจน เขาก็แค่ใช้ 10000 แต้มที่เหลือเพิ่มค่าปราณและเลือด

เขาไม่ได้ต้องการค่าปราณและเลือดสูงมากนัก นักเรียนที่เก่งที่สุดของโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งก็มีค่าปราณและเลือดประมาณ 120 แคลเช่นกัน ถ้าฟางผิงมี 130 แคลหรือสูงกว่า มันก็อาจไม่ใช่เรื่องดีก็ได้

หลังเขาตัดสินใจ ฟางผิงก็ใช้เทคนิคจกาครั้งที่แล้ว “เพิ่มค่าจิตใจให้ฉันหรือจะให้ฉันจัดการแก!”

“…”

ตัวเลขไม่ได้เปลี่ยนไป จู่ๆฟางผิงก็รู้สึกอับอาย

มันถูกจริงเหรอ? แต่ครั้งก่อนมันได้ผลไม่ใช่ไง?

หลังทดสอบไปหลายครั้ง ฟางผิงก็เข้าใจว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับคาถาที่ไม่น่าเชื่อถือของเขา ตราบใดที่เขาตั้งสมาธิในใจ ตัวเลขก็เปลี่ยนแล้ว

หลังตั้งสมาธิอยู่พักใหญ่ ตัวเลขตรงหน้าสายตาก็เปลี่ยนไป

ทรัพย์สิน : 10000

ปราณและเลือด : 1.1

จิตใจ : 1.1

…..

ทันทีที่ค่าจิตใจเพิ่มขึ้น ฟางผิงก็พลันรู้สึกถึงความสดชื่นในสมอง

เขารู้สึกเหมือนมีมือเล็กๆแบบบางของหญิงสาวกำลังลูบไล้หัวเขาอยู่ มันวิเศษมาก

“อ่า…”

หลังจากนั้นพักนึง ฟางผิงก็ได้สติกลับมาและคายเอาอากาศที่ไม่บริสุทธิ์จากร่างกายออกจากปาก เขารู้สึกสดชื่นมาก ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เนื่องจากเขาไม่ได้เร่งรีบเพิ่มค่าปราณและเลือด ฟางผิงจึงรีบหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่าน

…..

สิบนาทีต่อมา ฟางผิงปิดหนังสือเรียนแล้วนึกถึงเนื้อหาที่เขาอ่าน คิ้วเขาผูกกันเป็นปม

เขาไม่ได้มีความทรงจำภาพถ่ายอย่างที่คิด อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้ไม่ส่งผลอะไร ดูเหมือนความจำเขาจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ผลของมันไม่ชัดเจนนัก

ฟางผิงไม่รู้ว่าเขากำลังพยายามปลอบใจตัวเองหรือว่ามันเป็นความจริงกันแน่

อย่างไรก็ตามเขาคาดการณ์ว่า เพราะค่าจิตใจเขาเพิ่มไม่มากพอที่จะทำให้รู้สึกถึงผลของมันชัดเจน

มันคงคล้ายกับค่าปราณและเลือด แม้ว่าเขาจะมี 110 แคล เขาก็ไม่ได้กลายเป็นยอดมนุษย์ ถ้าเขาท้าหยางเจี้ยนประลองหนึ่งต่อหนึ่ง เขามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาคงถูกจัดการจนหามเข้าโรงพยาบาล

ค่าปราณและเลือดและจิตใจเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนร่างกาย เขาจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยและฝึกฝนด้วยตนเอง

หลังครุ่นคิดทฤษฏีเหล่านี้ ฟางผิงก็เลิกกังวล

ตราบใดที่มันได้ผลก็พอแล้ว ตอนนี้เขาควรคิดวิธีเพิ่มทั้งสองค่านี้ การเพิ่ม 0.1 แต้มไม่ให้ผลชัดเจนนัก แล้วถ้าเกิดมันเพิ่มขึ้นสองเท่าล่ะ?

เมื่อพิจารณาว่าเขาจำเป็นต้องไปรับคนอีก ฟางผิงจึงไม่อยู่ดึกนัก เขาจึงออกไปชำระร่างกาย จากนั้นไม่นานนักเขาก็เข้าสู่โลกแห่งความฝัน

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Score 10
Status: Completed

เรื่องย่อ

 

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

 

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

 

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

 

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

 

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

 

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

Options

not work with dark mode
Reset