Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 6

ตอนที่ 6
วิถีโลกเทียมสำเร็จขั้นผู้ปกครองหรือ

เสาศิลาสีดำขนาดมหึมาต้นหนึ่งปักอยู่กลางดวงดาราอันมืดมิด โซ่สายแล้วสายเล่าอยู่บนเสาศิลาสีดำแล้วแผ่ขยายออกไปยังอากาศทั่วทิศ ลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่บนโซ่ บนเสาศิลานั้นก็มีลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่เช่นกัน อานุภาพอันยิ่งใหญ่แผ่คลุมออกไปไกลถึงแสนล้านลี้โดยรอบ

อานุภาพระลอกนี้เพียงพอให้เหล่าผู้ปกครองสั่นสะท้านไปหมด ส่วนยอดของเสาศิลาสีดำมีอาณาเขตกว่าหมื่นลี้ ณ ยอดเสาศิลามีเงาร่างสองสายนั่งอยู่ คนหนึ่งคือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตในอาภรณ์สีแดงเข้ม ส่วนอีกผู้หนึ่งคือเจ้าแม่กานเหอผู้หรูหรางดงาม

“สวบ” เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่นเอง

“เฮ้อ ค่ายกลเสาศิลานี่…” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าพละกำลังชั้นแล้วชั้นเล่าจำนวนนับไม่ถ้วนขัดขวางตนเอาไว้ เดิมทีเขาวางแผนว่าจะร่อนลงตรงยอดของเสาศิลานั้นเพื่อพบท่านอาจารย์ ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าห่างออกมาตั้งไกลก็จะถูกสกัดกั้นเอาไว้เสียแล้ว

“ฮ่าฮ่า แม้แต่คนเป็นอาจารย์อย่างข้าก็ยังฝืนบุกฝ่าเข้ามามิได้ เจ้ายังคิดจะบุกฝ่าเข้าไปอีกรึ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตซึ่งยืนอยู่บนยอดเสาศิลาสีดำยืนขึ้นมา พลางมองดูศิษย์ซึ่งหมดท่าอยู่ตรงนั้นห่างๆ เขายิ้มออกมา “เข้ามาเถิด อย่าได้ต่อต้านเลย”

เขาพูดพลางควบคุมค่ายกล

พละกำลังระลอกหนึ่งเข้าพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้แล้วเคลื่อนย้ายเขาออกไปทันใด

ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นที่ยอดเสาศิลาสีดำ จากนั้นก็ยิ้มพลางโค้งคำนับ “คารวะท่านอาจารย์”

“ระหว่างข้ากับเจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจเกินไปนักหรอก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็มองดูพลางยิ้มตาหยี เส้นทางการบำเพ็ญนั้นเดียวดายมาก บนเส้นทางอันเดียวดายสายนี้ ศิษย์สองคนของตนล้วนสามารถเดินตามรอยเท้าของเขาได้ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็รู้สึกว่าพึงพอใจนัก

“ตงป๋อเสวี่ยอิง” เจ้าแม่กานเหอเดินมา น้ำเสียงของนางเยือกเย็นอยู่บ้าง “เมื่อพบเจ้าครั้งแรกในตอนนั้น เจ้ายังเป็นเด็กน้อยที่เข้าร่วมงานหมื่นบุปผาอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวก็เข้าสู่ขั้นผู้ปกครองเสียแล้ว”

“โชคดีน่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างถ่อมตน

“การบำเพ็ญไม่มีคำว่าโชคดีหรอก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย “ใช่แล้ว วิถีสายใดของเจ้าบรรลุจนสำเร็จเป็นผู้ปกครองหรือ วิถีโลกเทียมหรือวิถีเข่นฆ่ากันเล่า”

เจ้าแม่กานเหอที่อยู่ด้านข้างก็ตั้งใจฟังอย่างละเอียด

“วิถีโลกเทียมขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

หากพูดกันอย่างจริงจังแล้วล่ะก็ ตนมีถึงสองระบบที่ก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครอง หนึ่งคือ ‘วิถีโลกเทียม’ ของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบนิรันดร์กาล สองก็คือระบบผู้ท่องอากาศ หากพูดถึงประโยชน์ด้านพลังเพียงอย่างเดียว ‘ระบบผู้ท่องอากาศ’ นั้นมีส่วนช่วยมากที่สุด เนื่องจากฝึกให้เข้าที่ได้ลำบากยากเข็ญอย่างยิ่ง จึงเป็นระบบที่จำนวนผู้บำเพ็ญน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย…อย่างน้อยในช่วงแรก ก็มีข้อดีมากมายเลยทีเดียว!

“วิถีโลกเทียมหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสะดุ้ง “แล้ววิถีเข่นฆ่าเล่า”

“รู้สึกว่าใกล้จะบรรลุแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่ายังขาดการสั่งสมอยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ผู้เคารพระดับยอดจำนวนมากที่บรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว รู้สึกว่าขาดอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับติดอยู่ไม่รู้ว่านานเพียงใด” เจ้าแม่กานเหอที่อยู่ด้านข้างส่ายหน้า

ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว “เจ้าแม่กานเหอ ท่านเอ่ยวาจานี้หมายความว่าอย่างไรกัน”

วันคืนในการบำเพ็ญของตนสั้นเพียงใด

ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์สำเร็จเป็นผู้ปกครองยากเย็นเพียงใดกัน ที่วิถีโลกเทียมสามารถบรรลุได้ ก็มีสาเหตุเพราะ ‘การบำเพ็ญในห้วงนิทรา’ อยู่แล้ว วิถีเข่นฆ่ามิได้บรรลุก็เป็นเรื่องธรรมดานัก ที่แท้แล้วเจ้าแม่กานเหอเอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมาหมายความว่าอะไรกันแน่

“ฮ่าฮ่า ตงป๋อเสวี่ยอิง อย่าโกรธไปเลย ข้าเพียงแค่เสียใจเท่านั้น เสียใจที่วิถีเข่นฆ่าของเจ้ามิได้บรรลุ” เจ้าแม่กานเหอเอ่ย

“ไม่มีอะไรน่าเสียใจหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอึดอัดใจ

“ข้าก็หวังว่าวิถีเข่นฆ่าของเจ้าจะบรรลุ เพราะอาจจะมีส่วนช่วยในศึกระหว่างพวกเราและลัทธิจอมมารดาเป็นอย่างมากก็เป็นได้” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย

ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างขึ้นมาบ้างแล้ว

วิถีโลกเทียม…

เชี่ยวชาญทางด้านการรักษาชีวิต การแอบซุ่มและเคล็ดภาพลวงมากกว่า การห้ำหั่นซึ่งหน้านั้นอ่อนแอมาก แต่ตนก็ยังคงเป็นผู้ปกครองของอีกระบบการบำเพ็ญที่แข็งแกร่งนี่นา

“ฟิ้ว” “ฟิ้ว” “ฟิ้ว”…

ทันใดนั้นเงาร่างสายแล้วสายเล่าก็ปรากฏขึ้นรอบด้าน ซึ่งก็คือร่างแปรของผู้ปกครองกลุ่มหนึ่ง เช่นผู้ครองชิงซึ่งแผ่กลิ่นอายกดดันอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา และประมุขหยวนชูในอาภรณ์อันเรียบง่าย นอกจาก ‘ผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือด’ หนีหลัว ศิษย์ทรยศที่สิ้นใจไปแล้ว ก็นับว่าผู้ปกครองคนอื่นๆ มาที่นี่โดยพร้อมเพรียงกัน แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นร่างแปร

“ตงป๋อ ยินดีด้วยที่ก้าวสู่ขั้นผู้ปกครองจนได้”

“ตงป๋อเสวี่ยอิง ยินดีด้วยที่สำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้ว”

“สามารถสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ในภายหน้าก็มีหวังมากที่จะสำเร็จเป็นเทพอากาศ ยินดีด้วย”

ทุกคนล้วนพากันมาแสดงความยินดี

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มรับ

ในที่นั้นมีผู้ปกครองอยู่สิบท่านรวมทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย นี่เป็นสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดของฝ่ายจักรวาลผู้บำเพ็ญ

“ใช่แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิง วิถีใดของเจ้าสำเร็จเป็นผู้ปกครองหรือ” ประมุขหยวนชูถาม

ตงป๋อเสวี่ยอิงอึดอัดใจขึ้นมา ประมุขหยวนชูเป็นถึงผู้ที่มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานที่สุดก็ยังถามเรื่องนี้ด้วยหรือ

“วิถีโลกเทียมขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบไปส่งๆ

“อ้อ” ประมุขหยวนชูพยักหน้าน้อยๆ โดยมิได้พูดอะไร

“วิถีโลกเทียมหรือ” ผู้ปกครองคนอื่นบ้างก็สงบนิ่ง บ้างก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมา

“ทำไมหรือขอรับ ที่แท้แล้วทำไมกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าวว่า “พวกเขาใส่ใจว่าวิถีสายใดของเจ้าที่บรรลุ ก็เพราะสงครามกับลัทธิจอมมารดาน่ะ”

“บัดนี้สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สนใจมากเช่นกัน แม้เขาจะเคยถามจิ้งชิวผู้เป็นภรรยา แต่อันที่จริงบัดนี้สิ่งมีชีวิตจำนวนมากทั้งบรรดาผู้เคารพ สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ทั่วไป เทพโลกาทั้งหลายและผู้เยี่ยมยุทธ์ซึ่งควรค่าแก่การบ่มเพาะล้วนถูกอพยพมายังโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบ อย่างพวกอวี๋จิ้งชิวและผู้เคารพหั่วเฉิงซึ่งมิได้ร่วมสงครามด้วยก็ก็เพียงแค่รู้ข้อมูลพื้นฐานที่สุดเท่านั้น ผู้ที่มีสถานะต่ำกว่าก็ยิ่งรู้น้อยลงไปอีก

เพราะถึงอย่างไรเหล่าผู้ปกครองก็ไม่มีทางเปิดเผยสถานการณ์โดยละเอียดออกไปต่อสาธารณชนทุกเรื่องได้

ข้อแรก เป็นเพราะยังคงมีศิษย์ทรยศแอบแฝงอยู่ แล้วนำความลับไปเปิดเผยให้ลัทธิจอมมารดารู้ ข้อสอง ก็ไม่จำเป็นต้องนำข้อมูลมากมายไปบอกให้เหล่าผู้เคารพและบรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ล่วงรู้

ดังนั้นตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงรู้เรื่องสงครามครั้งนี้น้อยยิ่งนัก

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะขึ้นมา “ตอนแรกลัทธิจอมมารดาต่อสู้กับพวกเราอย่างร้ายกาจนัก ความเคลื่อนไหวของการต่อสู้ใหญ่หลวงเกินไป คลื่นที่แผ่ออกไปได้ทำลายบริเวณหลายแห่ง ทำเอาสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนล้มตายไป ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนมิอาจหลีกเลี่ยงได้ รอจนถึงคราวคับขันอย่างแท้จริง ลัทธิจอมมารดาก็ใช้ผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัวหมายจะลอบคิดบัญชีกับพวกเรา! พวกเราจึงได้ซ้อนแผน ทำให้พวกเขาเสียหายอย่างใหญ่หลวง และอ่อนแอในสงครามมากยิ่งขึ้น”

“จวบจนบัดนี้!”

“เจ้าดูทางนั้นสิ”

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตชี้ออกไปยังอากาศทางซ้ายตรงหน้า “ทางทิศนี้นี่แหละ เจ้าลองมองดูให้ดีๆ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนหน้ามองไป สายตาก็มองทะลุอุปสรรคของมิติ แล้วทะลุไปตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักก็มองเห็นว่ากลางฟากฟ้ามีป้อมปราการทรงกลมอันแปลกประหลาดอยู่แห่งหนึ่ง ป้อมปราการสีเทาขาวนั้นเก่าแก่มาก เหนือผิวของมันมีลวดลายอันงดงาม ระดับความวิจิตรพิสดารนั้นยังเหนือกว่าเสาศิลาสีดำใต้ฝ่าเท้าอยู่ลิบลิ่ว

“สามารถตัดขาดการตรวจสอบของข้าได้ด้วยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง สายตาของตนมิอาจล่วงล้ำเข้าไปในป้อมปราการแห่งนั้นได้เลยหรือไร

“เห็นแล้วใช่หรือไม่ นั่นคือที่มั่นของลัทธิจอมมารดา” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองอยู่ห่างๆ “บัดนี้พวกเขารักษาการอยู่ในที่มั่น เสียดายก็แต่ว่า ที่มั่นนี้แข็งแกร่งเกินไป! พวกเราเคยลองมาหลายวิธีแล้ว แม้แต่พละกำลังต้องห้ามที่ทำให้พวกเราหวาดหวั่น…พวกเราก็เคยใช้โดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น แต่กลับทำให้ป้อมปราการแห่งนั้นเสียหายมิได้เลย”

“สมบัติล้ำค่าที่พวกเขามีนั้นมากกว่าพวกเรามากโข” ประมุขหยวนชูกล่าว “เคราะห์ดีที่พลังโดยรวมของระบบการบำเพ็ญของเราแข็งแกร่งกว่าพวกเขา และยังมีคมมีดโลหิตเป็นผู้นำในทุกเรื่อง ทำให้แต่ละก้าวของพวกเราดำเนินไปอย่างรัดกุมและบีบพวกเขาให้ไปถึงทางตัน”

ผู้ครองชิงเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าจักรวาลของพวกเขาดำเนินมาถึงยุคท้ายสุดแล้ว กำลังจะถล่มทลายในท้ายที่สุด แม้การถล่มทลายของทั้งจักรวาลจะช้ามาก แต่โบราณสถานต่างๆ ด้านในก็เริ่มเกิดความเสียหายแล้ว สมบัติล้ำค่าจำนวนมากภายในโบราณสถานก็จะถูกค้นพบ ดังนั้นสมบัติล้ำค่าของพวกเขาจึงย่อมเหนือกว่าพวกเราลิบลับ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที

เหมือนกับโบราณสถานต่างๆ อย่างโบราณสถานเกาะใจกลางทะเลสาบและจักรฟ้าหกวิถี ที่มิอาจได้สมบัติล้ำค่าทั้งหลายมาไว้ในมือ

แต่ทันทีที่จักรวาลเริ่มถล่มทลาย โบราณสถานเหล่านี้ก็ย่อมถล่มทลายไปด้วยเป็นธรรมดา สมบัติล้ำค่าจำนวนมากก็จะปรากฏขึ้นมา

อีกทั้งจักรวาลลัทธิจอมมารดาก็ยังผ่านยุคจักรวาลต่างๆ มาเป็นจำนวนมาก ประวัติศาสตร์ก็ยาวนานกว่าจักรวาลผู้บำเพ็ญลิบลับ บัดนี้จะถล่มทลายลงไป สมบัติล้ำค่าจะมากมายเพียงใดกันเล่า

การบำเพ็ญสามสิบล้านปี

 

นี่เป็นระบบการบำเพ็ญที่มีข้อบกพร่องซึ่งมีนามว่า ‘ระบบการบำเพ็ญจักรวาลเทวทูต’ เพื่อความอยู่รอด เพื่อความแข็งแกร่ง เพื่อความปรารถนาต่างๆ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรวาลของพวกเขาได้ปรับปรุงแก้ไขระบบนี้ให้สมบูรณ์ขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งระบบนี้ ในตอนที่อ่อนแอสามารถติดต่อกับฟ้าดินได้ และหยิบยืมพลังฟ้าดินมาใช้ในการต่อสู้! และสามารถใช้พลังฟ้าดินทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ได้

ตอนที่แข็งแกร่ง ก็สามารถติดต่อกับต้นกำเนิดจักรวาลได้! และทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นสามารถควบคุมต้นกำเนิดจักรวาลส่วนหนึ่งได้

พวกเขาเพียงแค่ยกมือยกเท้าขึ้นมา สามารถปรับเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดจักรวาลได้ พลังรบน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง

ถึงขั้นที่ว่าท้ายที่สุด มีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นผู้หนึ่งในจักรวาลแห่งนี้ได้หลอมรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับต้นกำเนิดจักรวาล! ปณิธานของตนก็คือปณิธานของจักรวาล ภายในจักรวาล เขาเป็นผู้ที่ไร้ศัตรู! แต่ระบบการบำเพ็ญพรรค์นี้…เมื่อมาถึงระดับนี้ก็นับว่าถึงบทสรุปสุดท้ายแล้ว! เพราะหลังจากหลอมรวมกับจักรวาลเรียบร้อย จักรวาลก็ประหนึ่งกรงขังที่จองจำเขาเอาไว้ จนเขามิอาจไปจากจักรวาลแห่งนี้ได้อีกเลยตลอดกาล

ส่วนจักรวาลเทวทูตคนอื่นๆ เนื่องจากมีท่านหนึ่งที่หลอมรวมเข้ากับต้นกำเนิดจักรวาลไปแล้ว เทวทูตท่านอื่นๆ จึงมิอาจหลอมรวมเข้าไปได้อีก นอกเสียจากเปลี่ยนไปบำเพ็ญระบบอื่น มิเช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มิอาจยกระดับขึ้นได้อีกแม้แต่น้อย

จักรวาลของพวกเขานี้…

แข็งแกร่งนัก!

แต่ข้อบกพร่องก็เห็นได้ชัดเจนมาก ภายในจักรวาลของตน พวกเขาแข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่หากออกจากจักรวาลของตนไปก็ใช้ไม่ได้แล้ว ในจักรวาลอื่น พวกเขามิอาจปรับเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดจักรวาลได้! พลังรบจึงลดลงอย่างฮวบฮาบ

ระบบนี้ยังมีปัญหาอยู่อีกอย่างหนึ่ง

ดังเช่นบรรพชนเทียนอวี๋ หรือ ‘ท่านบรรพชน’ แห่งจักรวาลระบบการบำเพ็ญสายเลือด พวกเขาสร้างจักรวาลแห่งหนึ่งขึ้นมา ก็ล้วนตั้งใจปกป้องต้นกำเนิดจักรวาลเอาไว้เป็นอย่างดี! ดังนั้นจักรวาลที่ถูกสร้างขึ้นมา แหล่งกำเนิดก็มิอาจถูกควบคุมได้! และยิ่งไม่มีโอกาสหลอมรวมเข้าไปได้ด้วย

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญอยู่บนทุ่งหญ้า

“ตู้มมม…”

ระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงสูงยิ่งนัก ร่างกายของแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง หลังรับรู้ระบบนี้ได้เพียงร้อยปีก็ติดต่อกับต้นกำเนิดจักรวาลได้สำเร็จ

โครมมมม…

พละกำลังเข่นฆ่าของต้นกำเนิดจักรวาลแผ่คลุมลงมา แล้วปกคลุมรอบกายตงป๋อเสวี่ยอิง

“ช่าง…ช่าง…ช่างดีเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยินดีจนแทบคลั่งจากก้นบึ้งของหัวใจ “เดิมทีข้ามิได้ใส่ใจระบบนี้เลย เพราะรู้สึกว่าระบบนี้มีข้อบกพร่องชัดเจนเกินไป แต่เมื่อดูจากตอนนี้ ข้าคงประเมินพวกเขาต่ำเกินไป ระบบใดก็ตามที่สามารถกลายเป็นระบบการบำเพ็ญของจักรวาลหนึ่งได้ ก็ล้วนยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งนั้น”

“นี่…”

“การรับรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ จะไปสู้การทำให้พลังต้นกำเนิดจักรวาลแผ่คลุมลงมาให้สัมผัสได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นเต้นยินดีจนร่างกายสั่นระริก

ตามระดับขั้นของกฎเกณฑ์

กฎเกณฑ์ฟ้าดินที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในโลกมนุษย์ธรรมดานั้นเป็นพื้นฐานที่สุด ที่สูงกว่านั้นก็เช่นกฎเกณฑ์ของทั้งโลกวัตถุ กฎเกณฑ์ของหุบเหวลึกดำมืด การหมุนเวียนค่ายกลเกาะใจกลางทะเลสาบ กฎเกณฑ์ของดวงอาทิตย์และดวงจันทรา…ระดับขั้นเหล่านี้ล้วนสูงส่งเป็นอย่างมาก

ที่สูงที่สุดก็คือกฎเกณฑ์การหมุนเวียนของจักรวาลหนึ่งๆ

การทำให้พลังของต้นกำเนิดจักรวาลปกคลุมลงมาข้างกายได้ เป็นการตรวจสอบกฎเกณฑ์การหมุนเวียนจักรวาลอย่างตรงไปตรงมาที่สุด! มีส่วนช่วยต่อกฎเกณฑ์การบำเพ็ญเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าเป็นหลัก ดังนั้นจึงต้องลองทำให้พละกำลัง ‘เข่นฆ่า’ ที่แฝงอยู่ในต้นกำเนิดจักรวาลปกคลุมลงมาเสียก่อน

“ลำพังแค่สัมผัสรับรู้ยังไม่พอ ต้องบำเพ็ญเคล็ดวิชาของพวกเขาด้วย”

“ยุทธ์ระลอกคลื่นดำมืด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาจำพวกการเข่นฆ่าซึ่งสืบทอดมาจากจักรวาลนั้น และสัมผัสความเข้าใจที่สิ่งมีชีวิตในจักรวาลแห่งนั้นมีต่อการเข่นฆ่าจากการตกผลึกทางจิตใจและเลือดเนื้อเหล่านี้ แต่ละเคล็ดวิชาล้วนแต่เป็นการปรับเปลี่ยนและควบคุมพละกำลังเข่นฆ่าของต้นกำเนิดจักรวาล เมื่อฝึกฝนพวกมันอย่างลึกซึ้งขึ้นมาจริงๆ ความเข้าใจของตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีต่อการเข่นฆ่าก็ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ

ในบ้านเกิด ผู้ที่บุกเบิกวิถีเข่นฆ่ามีทั้งหมดสักกี่คนกันเชียว

ส่วนใน ‘ระบบจักรวาลเทวทูต’ กลับมีผู้ที่เลือกบำเพ็ญ ‘พละกำลังเข่นฆ่าต้นกำเนิดจักรวาล’ มากมาย พวกเขาใฝ่หาพละกำลัง จึงย่อมยินดีที่จะเลือกการเข่นฆ่า ดังนั้นจึงมีเคล็ดวิชาจำพวกเข่นฆ่าอยู่ไม่น้อยเลย

“เข่นฆ่า…”

“ที่ผ่านมาข้าคิดอย่างตื้นเขินเกินไปแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงตกอยู่ในความยินดีจนแทบคลั่งอย่างเต็มที่ เขารู้สึกว่าความเข้าใจที่มีต่อการเข่นฆ่ายกระดับมากขึ้นทุกวัน

ระหว่างนั้นเขายังแบกหน้าไปเยี่ยมคารวะท่านชายสาม แล้วขอให้ท่านชายสามช่วยเก็บรวบรวมเคล็ดวิชาและศาสตร์ลับวิถีเข่นฆ่าภายใน ‘ระบบจักรวาลเทวทูต’ให้อีกด้วย ซึ่งท่านชายสามก็ตกปากรับคำทันที แล้วติดต่อคนภายในตระกูล ก่อนจะขอเคล็ดวิชาและศาสตร์ลับของระบบการบำเพ็ญจักรวาลเทวทูต

“ท่านชายสาม ระบบนี้ไร้ซึ่งอนาคต อย่างมากก็ใช้สัมผัสความแข็งแกร่งของต้นกำเนิดจักรวาลบ้างก็เท่านั้น” คนระดับสูงภายในตระกูลออกจะไม่พอใจอยู่บ้าง ทั้งยังตำหนิว่า “ท่านน่ะ เคี่ยวกรำร่างกายให้มากเสียหน่อยเถอะ ต่อสู้ให้มากหน่อย ขอเพียงสายเลือดตื่นรู้ พลังของท่านก็จะยกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวง”

“เข้าใจแล้วๆ ข้าเพียงแค่ใช้อ้างอิงเท่านั้น รบกวนท่านอาฝูเร่งเก็บรวบรวมแล้วนำมาให้ข้าเสียเถอะ” ท่านชายสามกำชับ

“ก็ได้”

เพียงครึ่งเดือนให้หลัง

เคล็ดการบำเพ็ญทั่วไปเพิ่มขึ้นมาเพียงสองชนิด แต่ศาสตร์ลับกลับถูกนำเล่มจริงมาถึงแปดฉบับ แล้วท่านชายสามก็มอบทั้งหมดให้ตงป๋อเสวี่ยอิง

เรื่องนี้ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงต้องลอบรำพึง ไม่ว่าอย่างไรท่านชายสามผู้นี้ก็ปฏิบัติต่อเหล่าองครักษ์อย่างตั้งอกตั้งใจมากจริงๆ

******

เขาบำเพ็ญเคล็ดวิชาของพละกำลังต้นกำเนิดจำพวกเข่นฆ่าทีละชนิดๆ และยังบำเพ็ญศาสตร์ลับด้วย เขาไม่สนใจอย่างอื่น สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือความเข้าใจที่ตนมีต่อวิถีเข่นฆ่า ในเวลาเพียงล้านปี วิถีเข่นฆ่าของเขาก็บรรลุถึงระดับยอดสุดแล้ว

แน่นอนว่านอกจากรับรู้ระบบอื่นแล้ว

อย่างวิชาลับผู้ท่องที่สำคัญยิ่งกว่า เขาก็มิได้ย่อหย่อนแต่อย่างใด และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องหลบเข้าไปบำเพ็ญในโลกคูหาสวรรค์ การบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องแต่ละครั้ง สิ่งที่ปรับเปลี่ยนก็คือพลังของอากาศอันสับสนอลหม่าน เมื่อถูกพบเข้า ก็จะยุ่งยากแล้ว! หากพูดถึงระดับอันแข็งแกร่ง วิชาลับผู้ท่องนั้นอยู่เหนือกว่าระบบอื่นทั้งปวง เพราะถึงอย่างไรเมื่อเพิ่งจะฝึกจนเข้าที่ ในจักรวาลก็ยากมากที่จะหาผู้ถ่ายทอดได้สักคน

……

เวลาล่วงเลยไป

เนื่องจากความเร็วในการเคลื่อนของเวลาเป็นสามพันกว่าเท่าของจักรวาลบ้านเกิด บ้านเกิดเพิ่งผ่านไปไม่ถึงหมื่นปี ภายในจักรวาลคีรีมารแห่งนี้ก็ผ่านไปสามสิบล้านปีแล้ว

“ดีมาก”

“ดียิ่งนัก”

ลึกลงไปใต้ดินซึ่งเป็นที่พำนักของตงป๋อเสวี่ยอิงบนดวงดาราแห่งนี้ ดวงตาทั้งคู่ของท่านชายสาม ‘เจียวอวิ๋นหลิว’ กำลังมองตรงไปที่พืชสีดำตรงหน้าด้วยสายตาร้อนรุ่ม ผลไม้สามผลบนต้นพืชสีดำได้กลายเป็นสีดำขลับไปแล้ว มันดูเหมือนจะธรรมดาสามัญ ไม่มีความพิเศษอันใดแม้แต่น้อย แต่ทันใดนั้นใบของพืชสีดำก็ค่อยๆ เริ่มเหี่ยวเฉาไป

“ยินดีกับท่านชายขอรับ ยินดีกับท่านชายขอรับ บัดนี้ผลวิเศษมารดำสุกงอมแล้ว ท่านชายจะต้องบรรลุถึงขั้นผู้ปกครองได้อย่างรวดเร็วแน่” ด้านข้างมีองครักษ์ทั้งหมดสี่นาย แต่ละนายล้วนตื่นเต้นเป็นอันมาก

“ฮ่าฮ่าฮ่า…พอข้าก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครอง ก็จะแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงแล้ว” เจียวอวิ๋นหลิวยากที่จะปกปิดรอยยิ้มเอาไว้ จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไป ค่ายกลซึ่งมีพืชสีดำปกคลุมเอาไว้ในตอนแรกก็สลายหายไป เขายื่นมือออกไปแล้ววางเอาไว้ใต้ผลไม้ทั้งสามลูกนั้น แล้วใบไม้ก็เหี่ยวเฉาไปต่อหน้าต่อตา ในที่สุด…แปะ แปะ แปะ ผลไม้สีดำสามลูกร่วงลงมาอยู่ในมือของท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวเอง

ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวเผยสีหน้ายินดีออกมา เขาหยิบขวดสีทองขวดหนึ่งออกมาก่อน แล้ววางผลไม้สีดำสามลูกเข้าไป

“ได้มาไว้ในมือแล้ว”

ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวจับขวดสีทองเอาไว้ นัยน์ตามีแววคมกริบกะพริบวาบผ่าน

เขาดูแลมันและจำศีลมานานปี และได้ทุ่มเทเพื่อผลวิเศษมารดำนี้มากมายเกินไปแล้ว จนบัดนี้มันสุกงอมและมาอยู่ในมือเขาแล้ว

“ตาข้ากลับตัวบ้างแล้ว!” เจียวอวิ๋นหลิวพึมพำ จากนั้นก็หมุนกายเดินออกไปข้างนอก “ไป”

เขารอไม่ไหวแล้ว

ตอนนี้เขาจะเริ่มฝึกฝนแล้ว

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset