ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในฟ้าดินโลกเทียม ด้วยรัศมีเพลิงทองที่ปล่อยออกมาจากน้ำเต้าสีดำรายล้อมรอบกาย ต่อให้กู่กานหลัวผู้นั้นโจมตีอย่างไรก็มิอาจทำร้ายเขาได้เลย
“นายท่านจงวางใจให้เต็มที่เถิด กู่กานหลัวผู้นั้นบาดเจ็บสาหัสนัก หลับใหลไปอีกสองสามยุคจักรวาลจึงจะพอทุเลาลงได้บ้างเท่านั้น ก่อนหน้านี้เขาช่วยเหลือลัทธิจอมมารดาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ตอนนี้เขาลงมือโจมตีท่านอย่างต่อเนื่องโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้นเช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าถูกใจสมบัติพิทักษ์วิถีน้ำเต้าสีดำของท่านเข้าเสียแล้ว เพราะถึงอย่างไรตอนที่นายท่านยังอยู่ในขั้นผู้เคารพก็เคยสำแดงออกมาครั้งหนึ่ง สองครั้งที่สำแดงออกมานั้น ลูกไม้การโจมตีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อานุภาพเหนือกว่าตนตั้งหนึ่งระดับขั้นใหญ่ ถึงอย่างไรกู่กานหลัวผู้นี้ก็เป็นบุตรทิพย์ของ ‘องค์บรรพชนกู่’ หูตากว้างไกลอย่างยิ่ง คงจะเดาได้ว่าน้ำเต้าสีดำเป็นสมบัติพิทักษ์วิถี จึงได้บ้าคลั่งเช่นนี้” วิญญาณอาวุธถ่ายเสียงพูด “ทว่าลงมืออย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ ก็เป็นภาระใหญ่หลวงยิ่งสำหรับร่างกายเขาเช่นกัน อาการบาดเจ็บของเขาก็จะสาหัสยิ่งขึ้น เขาทนได้อีกไม่นานสักเท่าใดหรอก”
“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด
วิชาลับผู้ท่องบรรลุถึงชั้นที่สิบเอ็ด ข้อมูลจำนวนมากถูกส่งถ่ายเข้าสู่ห้วงสมอง สิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่นที่บำเพ็ญจนถึงขั้นสุดทั้งหลายของขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ แห่งโลกทิพย์ทั้งห้า…ในจำนวนนั้นก็มี ‘องค์บรรพชนกู่’ รวมอยู่ด้วย
องค์บรรพชนกู่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ! เขาบรรลุถึงระดับขั้นขีดจำกัดของการบำเพ็ญแล้ว
“ไม่ ไม่ ไม่ น้ำเต้าสีดำนี้เป็นของข้า ต้องได้มาให้ได้ ต้องได้มาให้ได้” กู่กานหลัวสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดปานร่างจะแหลกสลายในวิญญาณของตน สีหน้าก็ซีดขาว นัยน์ตาสีแดงโลหิตทั้งคู่ของเขาจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็ง “เจ้าหนุ่มที่ไม่เคยออกจากจักรวาลคนหนึ่งอาศัยอะไรจึงได้สมบัติพิทักษ์วิถีมาได้ แต่ข้ากลับไม่มีอย่างนั้นหรือ”
ระหว่างที่เขากำลังคลุ้มคลั่งนั่นเอง เขาก็มองไปอีกทางหนึ่งเหมือนรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมา นั่นก็คือทิศที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอยู่นั่นเอง
กู่กานหลัวเพ่งความสนใจไปที่ตัวตงป๋อเสวี่ยอิง อีกทั้งมิเคยสนใจผู้ปกครองคนอื่นมาก่อนเลย แต่ตัว ‘เรือบินอลวน’ เองก็แผ่รัศมีไปทั่วอากาศโดยรอบ จึงสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวพิเศษจากทางฝั่งจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต
“นั่นมัน…” กู่กานหลัวหน้าถอดสีเสียแล้ว
……
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอีกคนหนึ่งมาถึงกลางอากาศ นั่นคือร่างซึ่งเดิมทีอยู่ในเกาะใจกลางทะเลสาบ ฉากนี้ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชู บรรพชนหุบเหวลึกและคนอื่นๆ พากันตกใจไปหมด เพราะตั้งแต่สงครามดำเนินมาจนถึงบัดนี้ ผู้ปกครองแต่ละคนก็ไม่เคยให้ร่างทั้งหมดเข้ามาอยู่ในสนามรบพร้อมกันมาก่อน! กฎนี้ยังเป็นสิ่งที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตั้งขึ้นมาเองด้วย
แต่ตอนนี้ร่างทั้งสามของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตล้วนปรากฏขึ้นที่นี่แล้ว
“วิ้ง” ร่างทั้งสามของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยิ้มให้กัน ขณะเดียวกันร่างกายก็รวมเข้าด้วยกันเป็นจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอาภรณ์สีแดงเพียงร่างเดียว
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมีเพียงร่างเดียวในทั้งจักรวาลแห่งนี้
ตู้มมม…
ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นแผ่ออกมาจากกร่างของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต อากาศอันกว้างใหญ่ไพศาลรอบด้านกลายเป็นความมืดมิดไปหมด เมฆสีดำพลิกหมุนอยู่ในนั้น รอยอักขระของค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนเวียนอยู่ ค่ายกลอันใหญ่โตแห่งแล้วแห่งเล่าแผ่คลุมไปทั่วท้องฟ้ารอบด้าน อานุภาพอันยิ่งใหญ่ชวนให้คนหวาดหวั่นทำให้คนทุกผู้ในที่นั้นตะลึงงันไปหมด
ทุกบริเวณที่สายตามองไปถึง อากาศทั่วบริเวณล้วนกลายเป็นความมืดมิด เกรงว่าความกว้างใหญ่ของบริเวณนี้คงจะเกินกว่าหมื่นล้านล้านลี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมอากาศได้อย่างร้ายกาจ จึงล่วงรู้ว่าบัดนี้ บริเวณอันดำมืดไร้ที่สิ้นสุดซึ่งท่านอาจารย์ของตนปลดปล่อยออกมานั้นกินพื้นที่มากจนน่าหวาดหวั่น ครอบคลุมถึงหนึ่งแดนดาราเลยทีเดียว
“เทพอากาศ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจจนสิ้นแล้ว
“เทพอากาศ” ประมุขหยวนชู บรรพชนหุบเหวลึก ผางอี ผู้ครองชิง ผู้ปกครองนรกโลกันตร์และคนอื่นๆ เข้าใจขึ้นมา เมื่อมองเห็นอานุภาพซึ่งเหนือกว่าผู้ปกครองลิบลับระลอกนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเข้าใจทั้งสิ้น
“ในที่สุดคมมีดโลหิตก็ก้าวข้ามขั้นนี้จนได้ ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะมาถึง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาบรรลุเอาในเวลานี้” ประมุขหยวนชูเผยรอยยิ้มออกมา
“เทพอากาศเชียวนะ ยุคจักรวาลของพวกเรานี้ก็มีเทพอากาศถือกำเนิดกับเขาแล้ว” บรรพชนหุบเหวลึกรำพึง
ประมุขเกาะกาลมิติกลับมองดูอย่างเงียบเชียบ เดิมทีเขาก็เป็นคนที่หยิ่งผยองยิ่งนัก เมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ไม่ยอมศิโรราบ แต่ยามนี้เขาก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างกันแล้ว จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตได้ก้าวไปถึงอีกระดับขั้นหนึ่งแล้ว ทวยเทพ เทพโลกา เทพแท้และเทพอากาศ ตั้งแต่เทพแท้ไปจนถึงเทพอากาศ นี่เป็นการก้าวข้ามระดับขั้นอันยิ่งใหญ่ ความยากในการข้ามผ่านนั้นสูงยิ่งนัก
“ยุคจักรวาลของพวกเรานี้ยังมีเวลาอีกมากมายนัก” ผางอีเห็นเข้าก็เผยรอยยิ้มออกมา “คมมีดโลหิตสำเร็จเป็นเทพอากาศแล้ว ตอนที่ยุคจักรวาลนี้สิ้นสุด เกรงว่าคมมีดโลหิตคงจะสามารถบรรลุถึงระดับสูงเหมือนกับจอมมารได้กระมัง!” ระดับสูงเท่ากับประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบนั้นมิกล้าเพ้อฝัน แต่ระดับเดียวกับจอมมารยังพอมีหวัง
แม้บรรดาผู้บำเพ็ญและผู้ปกครองในที่นั้นจะตื่นตระหนกเป็นอันมาก และมีบางคนที่มีอารมณ์อื่นๆ แต่พวกเขาก็ล้วนยินดีนัก!
เพราะยุคนี้มีเทพอากาศถือกำเนิดขึ้นมา เช่นนั้นต่อให้ยุคนี้แตกสลายไป เทพอากาศก็สามารถพาพวกเขาท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านและมีชีวิตรอดต่อไปได้ ถึงขั้นไปยังฟ้าดินอันกว้างขวางกว่าได้
……
“อะไรกัน เทพอากาศรึ เขา เขาบรรลุเป็นเทพอากาศอย่างกะทันหันหรือนี่” กู่กานหลัวตกใจมากจนหน้าถอดสี ตอนที่เขาอยู่ในระดับยอดนั้น อาศัยเรือบินอลวนก็สามารถใช้กำลังต่อสู้กับเทพอากาศได้ แต่ตอนนี้เพื่อรับมือตงป๋อเสวี่ยอิง อาการบาดเจ็บก็สาหัสยิ่งนัก มิอาจห้ำหั่นได้อย่างยาวนานอีกต่อไป
“กู่กานหลัว!”
เสียงของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกลับดังก้องไปทั่วอากาศอันไร้ที่สิ้นสุด นัยน์ตาของเขาแฝงแววเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เขามองไปทางเรือบินอลวนอันไกลลิบ
ตู้มมมมม…
ด้านบนและด้านล่างของเรือบินอลวนต่างก็มีค่ายกลมหึมาปรากฏขึ้น ค่ายกลแห่งหนึ่งเป็นเปลวเพลิงดำมืด ส่วนอีกแห่งหนึ่งกลับเป็นความหนาวเย็นสีขาว ค่ายกลใหญ่ทั้งสองกำลังหมุนเวียนอยู่ พละกำลังที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงส่งผลต่อเรือบินอลวน หมายจะพันธนาการและผนึกเรือบินอลวน เอาไว้ให้มั่น จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองก็รู้ว่ายากที่จะทำลายได้โดยตรง จึงคิดจะจองจำฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ก่อน
“เขาเพิ่งสำเร็จเป็นเทพอากาศก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่” กู่กานหลัวสัมผัสได้ถึงอานุภาพที่เรือบินอลวนกำลังประสบ เขาอดหน้าถอดสีไม่ได้
เขายังไม่รู้ว่า
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตบำเพ็ญสองระบบควบคู่กัน ระบบแรกคือความเร้นลับของกฎเกณฑ์ อีกระบบก็คือระบบ ‘ทิพย์’ ซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านค่ายกลและการหลอมอาวุธ
ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นมุ่งไปที่แก่นแท้ และการเข้าถึงกฎเกณฑ์
ส่วนระบบทิพย์กลับตรงกันข้าม เนื่องจากเป็นการค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เชื่อว่าระบบ ‘ทิพย์’ นั้นไม่แพ้ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เลยแม้แต่น้อย มันซับซ้อนและแข็งแกร่ง อย่างยิ่งเช่นเดียวกัน! ครั้งนี้ที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตบรรลุก็คือระบบทิพย์ หากพูดถึงพลังรบแล้ว อาจจะแข็งแกร่งกว่าระบบที่เรียบง่ายบางระบบเช่นระบบลัทธิจอมมารดาอยู่ไม่น้อย หากในภายหน้าความเร้นลับของกฎเกณฑ์บรรลุอีก เมื่อทั้งสองระบบผสานกัน ก็จะน่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้นไปอีก
“รีบไปเร็วเข้า ข้ามิอาจห้ำหั่นได้นานนัก” กู่กานหลัวไม่กล้ารั้งรอเลยแม้แต่น้อย
“ฟิ้ว!”
เรือบินอลวนพลันกลายเป็นกึ่งโปร่งใส แล้วบินออกไปไกลเสียงดังสวบ อีกทั้งอากาศที่บริเวณหนึ่งไกลออกไปก็เริ่มฉีกขาดออกเป็นเยื่อบางๆ หลายชั้น ราวกับคลี่ม่านออกอย่างไรอย่างนั้น เผยให้เห็นอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างขวางและหนาวเหน็บยิ่งกว่าของโลกภายนอก! อากาศอันสับสนอลหม่านนั้นดูเหมือนจะว่างเปล่า แต่กลับมีพละกำลังทำลายล้างอันแข็งแกร่งยิ่ง
“เขาจะไปแล้วหรือ” พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตต่างก็เข้าใจ
“เรือบินอลวนลำนี้ร้ายกาจนัก ตอนที่ข้าเพิ่งจะบรรลุก็ต้านทานไม่ได้จริงๆ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็เข้าใจในข้อนี้ดี
ส่วนภายในเรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดา เจ้าลัทธิกลุ่มนั้นต่างพากันมองฉากนี้ด้วยความสิ้นหวัง ก่อนหน้านี้ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงน้ำเต้าสีดำออกมาแล้วชิงเจดีย์สังเวยแห่งแรกไปนั้น พวกเขาก็มึนงงไปหมดแล้ว เมื่อจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสำเร็จเป็นเทพอากาศก็ยิ่งทำให้พวกเขาสิ้นหวังเข้าไปใหญ่ ลำพังแค่เจดีย์สังเวยถูกชิงไปก็ยังสามารถหลอมขึ้นมาใหม่ได้ แต่การถือกำเนิดของเทพอากาศผู้หนึ่ง…เป็นการลิขิตว่าพวกเขาจบสิ้นแล้ว
แต่พวกเขาก็ยังโอบอุ้มความหวังสายหนึ่งเอาไว้ หวังว่ากู่กานหลัวจะช่วยพวกเขาให้หนีไปได้ แต่ยามนี้กู่กานหลัวกลับไม่สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
……
“นายท่าน พาชาวเผ่าของข้าจากไปเถิด สมบัติล้ำค่าของพวกเขาจะมอบให้ท่านหมดเลย ให้หมดเลย” เจ้าลัทธิซางตานมองกู่กานหลัว รูปสลักขนาดมหึมาตรงหน้าพลางวิงวอน
“อาการบาดเจ็บของข้าสาหัสมาก จะรั้งรอต่อไปมิได้แล้ว”
กู่กานหลัวพูดด้วยเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
ยามนี้อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสอย่างยิ่งโดยแท้ วิญญาณเจ็บปวดแสนสาหัสราวจะฉีกขาด เขาทนไม่ไหวจนจะต้องเข้าสู่ห้วงนิทรา เพียงแต่กัดฟันทนเท่านั้น ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจให้เสียไปกับลัทธิจอมมารดาเลย สมบัติล้ำค่าพวกนั้นของลัทธิจอมมารดาน่ะหรือ เท่าที่เขารู้ยังเก็บเอาไว้ในป้อมปราการแห่งนั้นอยู่เลย! เขามิอาจเสียเวลาได้ อีกทั้งเขาก็กลัว กลัวว่าจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจะมีวิธีจัดการกับวิญญาณของเขา เรือบินอลวนมิอาจต้านทานการโจมตีวิญญาณได้ ที่ผ่านมา วิญญาณของเขายังมีการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้วิญญาณของเขากลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด…อาการบาดเจ็บรุนแรงเกินไป จวนจะต้องเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว หากได้รับบาดเจ็บอีก เกรงว่าคงจะต้องจบเห่แล้ว
เพื่อชีวิตของตน ไหนเลยเขาจะสนใจลัทธิจอมมารดา!
“ข้าไม่ได้อะไรเลย อาการบาดเจ็บก็สาหัสยิ่งขึ้น จักรวาลผู้บำเพ็ญ…พวกเจ้าอย่าคิดว่าจะผ่านวันคืนไปด้วยดีเลย” ตอนที่เรือบินอลวนบินออกไปตามทางเชื่อม ก็พลันมีเสียงฟิ้วๆๆๆๆ ดังขึ้น…ลำแสงถึงเก้าสายทะยานออกจากเรือบินอลวน มุ่งหน้าไปตามทิศทางที่แตกต่างกัน ลำแสงแต่ละสายล้วนแฝงไว้ด้วยอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ
“พวกเจ้าลิ้มรสของเล่นทั้งเก้าชิ้นนี้ของข้าให้สาสมเสียเถอะ หากประมาทเพียงเล็กน้อย ยุคของพวกเจ้านี้ก็จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว” นัยน์ตาของกู่กานหลัวเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เขาเสียหายอย่างใหญ่หลวง ก็ต้องไม่ให้ผู้บำเพ็ญใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขเช่นกัน
……
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองเรือบินอลวนลำนั้นจากไปโดยมิได้ขัดขวางเลยแม้แต่น้อย แต่ทันใดนั้นลำแสงเก้าสายก็ทะยานออกมาจากเรือบินอลวนแล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน
“นี่มันอะไรน่ะ” ด้วยการสัมผัสรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีต่ออากาศ จึงสามารถสัมผัสลำแสงแต่ละสายได้อย่างง่ายดาย ลำแสงทั้งเก้าสายนี้…อันที่จริงคือลูกกลมสีดำเก้าลูก ภายในมีอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นขั้นสุดบรรจุเอาไว้ พวกมันมิได้บริสุทธิ์เหมือนเพลิงทองสุริยัน แต่ปะทุรุนแรงและสับสนอลหม่านยิ่งกว่า ยามนี้อานุภาพเหล่านี้ไม่เสถียร คล้ายจะสามารถระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา
“อานุภาพนี้ปะทุรุนแรงกว่าเพลิงทองเสียอีก หากปะทุออกมาจนหมด ความเสียหายที่มีต่อจักรวาลก็ช่างมิอาจจินตนาการได้จริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี
การรับรู้ของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตไวต่อสัมผัสยิ่งกว่า
ระดับขั้นอย่างเขา ไวสัมผัสต่อต้นกำเนิดของทั้งจักรวาลนัก เขาสามารถวิเคราะห์ได้ว่า หากปล่อยให้ลูกกลมทั้งเก้าปะทุออกไป ก็เพียงพอจะทำให้ยุคจักรวาลนี้แตกทำลายได้แล้ว เรื่องนี้ทำให้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตรู้สึกหนาวเหน็บและเดือดแค้นขึ้นมา เพราะความโหดเหี้ยมของกู่กานหลัว
“เสวี่ยอิง เจ้าใช้น้ำเต้าสีดำปลดปล่อยเพลิงทองออกมาโอบล้อมพวกเขาเสีย พยายามทำให้อานุภาพของพวกมันอ่อนกำลังลงให้มากที่สุด มิเช่นนั้นแล้วยุคจักรวาลของพวกเราก็คงจะหมดกัน” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ไม่มั่นใจนัก ยามนี้ทำได้เพียงสู้สุดชีวิตเท่านั้น เขาเริ่มทำให้ค่ายกลอ่อนกำลังลงอย่างเต็มที่
ส่วนผางอี ผู้ครองชิง บรรพชนหุบเหวลึก ประมุขหยวนชูและเจ้าแม่กานเหอต่างก็มองดูลำแสงทั้งเก้าสายนั้น…การรับสัมผัสของพวกเขาหม่นมัวไป
พวกเขามีเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้น
ก็คือความหวั่นเกรง!
ความหวั่นเกรงที่มาจากส่วนลึกของหัวใจ ความหวั่นเกรงอันสิ้นหวัง
“มิเช่นนั้นแล้วยุคนี้จะสิ้นสุดลงแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินสิ่งที่ท่านอาจารย์ถ่ายเสียงมาก็ใจสั่นไปหมด จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาเป็นเพียงเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นเท่านั้น ลูกๆ ก็ยิ่งอ่อนแอเข้าไปใหญ่
“ไม่!” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่แยแสความอาฆาตเคียดแค้นของกู่กานหลัว เขารีบดึงจุกน้ำเต้าสีดำออกมาด้วยความบ้าคลั่ง
………………………………..
ทันใดนั้น ผู้ปกครองที่ชมการต่อสู้อย่างสบายใจอยู่บนบรรพคีรีมารต่างก็มองลงมายังฉากที่เกิดขึ้นเบื้องล่างด้วยความตื่นตกใจ…
มือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงคว้ามือทั้งสองข้างของทหารสีขาวเงินเอาไว้ ทหารสีขาวเงินดิ้นรนอย่างสุดชีวิต วิ้งๆๆ…ระลอกคลื่นของพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นกระเพื่อมไหวอยู่รอบด้าน แต่ฝ่ามือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับคว้าทหารสีขาวเงินเอาไว้แน่นชนิดที่มิอาจสั่นคลอนได้
“เฮือก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันออกแรง คว้าแขนทั้งสองของอีกฝ่ายแล้วกระตุกอย่างแรงทันควัน
ตู้ม…
ทั้งร่างของทหารสีขาวเงินพลันแตกออกเป็นผุยผงก่อนจะกลายเป็นสายน้ำ ลอยกลับไปยังทะเลสาบอันเงียบสงัดแห่งนั้น ทะเลสาบนั้นยังคงไม่มีระลอกคลื่นแม้แต่น้อย
“ชนะแล้วหรือนี่”
“อาศัยพละกำลังล้วนๆ ก็สามารถเอาชนะทหารหุ่นเชิดวารีได้แล้วหรือ เพียงแค่กระบวนท่าเดียวน่ะหรือ” ผู้ปกครองบางคนถึงขั้นลืมกลืนสุราที่ดื่มค้างเอาไว้ในปาก เพราะฉากนี้ช่างชวนให้คนตกใจเกินไปแล้วจริงๆ เพราะพวกเขารู้จักพลังของทหารหุ่นเชิดวารีเป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลายาวนานก่อนหน้านี้ ก็มีผู้เคารพเพียงสิบเอ็ดคนที่เอาชนะทหารหุ่นเชิดวารีได้ คิดจะอาศัยแค่พละกำลังล้วนๆ เพื่อโจมตีทหารให้แตกสลายไป จะต้องใช้พละกำลังระดับใดกันเล่า
“หากพูดถึงพละกำลัง เกรงว่าเจ้าหนุ่มคนนี้คงจะมีมากกว่าข้าเสียอีกกระมัง” ชายชราผอมซูบผู้มีผิวสีดำและหางยาวเหยียดส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ
“เกรงว่าผู้ปกครองอย่างพวกเราที่ไม่เชี่ยวชาญทางด้านการบำเพ็ญร่างกายคงจะสู้เจ้าหนุ่มนี่ไม่ได้แน่”
“ลำพังแค่พละกำลังของเขาก็บรรลุถึงขั้นผู้ปกครองแล้ว หากมีลูกไม้ที่ร้ายกาจอื่นๆ อีก ก็ต้องยิ่งเก่งกาจเข้าไปใหญ่ ข้าว่าเขาอาจจะสามารถคุกคามผู้เคารพอันดับหนึ่งคนนั้นได้เลยทีเดียว”
“เขามีหวังคุกคามผู้เคารพอันดับหนึ่ง…เลี่ยยาง ได้เป็นแน่แท้”
บรรดาผู้ปกครองต่างพากันประเมิน
พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ปกครองซึ่งสามารถเข้าไปในบรรพคีรีมารได้ สามารถจัดอยู่ในสามสิบเก้าอันดับแรกได้ แต่ละคนล้วนมีกลเม็ดไม่ธรรมดา ต่อให้ร่างกายอ่อนแอกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บ้าง พวกเขาก็ยังคงดูแคลนตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ดี! ดังเช่นจักรวาลผู้บำเพ็ญ…ประมุขหยวนชู ผู้ปกครองนรกโลกันตร์และผางอีล้วนแต่ใช้ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ หากพูดถึงร่างกายแล้ว พวกเขาล้วนมิอาจสู้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ แต่พลังกลับสูงกว่ามากนัก!
……
“เจ้าชนะแล้ว” ยายเฒ่าผู้ดูแลเขามองตงป๋อเสวี่ยอิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง “พลังของเจ้าไม่เบาเลยจริงๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ หากพูดถึงพละกำลังเพียงอย่างเดียว เขาก็สามารถเทียบได้กับเจ้าลัทธิคนใหม่ของลัทธิจอมมารดา หากพละกำลังยังไม่สามารถกดดันทหารหุ่นเชิดวารีซึ่งใช้สำหรับทำการทดสอบตนหนึ่งได้ เช่นนั้นการทดสอบนี้ก็คงจะยากเกินไปแล้ว
“ข้าขอถามเจ้า ว่าเจ้าอยากจะท้าทายผู้เคารพท่านใด” ผู้ดูแลเขาถาม “บัดนี้เจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะท้าทายผู้เคารพอันดับสองและผู้เคารพอันดับสามได้แล้ว”
“ผู้เคารพอันดับสามก็แล้วกันขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ไม่ว่าจะเป็นผู้เคารพอันดับสองหรือผู้เคารพอันดับสาม เมื่อตนชนะแล้วก็เข้าไปได้แค่ชั้นนอกของบรรพคีรีมารเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สู้ท้าทายผู้เคารพอันดับสามซึ่งมีโอกาสมากกว่าจะดีกว่า เพราะถึงอย่างไรผู้เคารพสองอันดับแรกก็มีสถิติว่าเคยเอาชนะผู้ปกครองได้มาก่อน ส่วนผู้เคารพอันดับสามกลับไม่เคยเอาชนะผู้ปกครองได้มาก่อน
“ดี อีกไม่นานผู้เคารพอันดับสามก็จะมาถึงแล้ว” ยายเฒ่าผู้ดูแลเขาพยักหน้า นางมองไปทางหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดร่างกำยำข้างกาย หุ่นเชิดสัตว์ประหลาดพยักหน้าแล้วพลันย่ำลงบนพื้นคราหนึ่ง โครม! มันทะยานขึ้นสู่ฟ้าในทันใด แล้วบินมุ่งหน้าตรงไปทางเหลี่ยมมุมหนึ่งของบรรพคีรีมารทันที
******
บนบรรพคีรีมาร สตรีผมขาวกำลังนั่งดื่มสุราด้วยจิตใจที่ไม่สงบอยู่บ้าง นางถึงขั้นไม่ไปร่วมชมการต่อสู้ด้วยตนเอง
“ข้าต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปตั้งเท่าใดถึงเข้าไปยังบรรพคีรีมารได้สำเร็จ จู่ๆ ตอนนี้ก็มีผู้เคารพคนหนึ่งที่สามารถเอาชนะผู้ปกครองได้โผล่หัวมาอย่างนั้นหรือ” สตรีผมขาว ‘ผู้เคารพเทพหิมะ’ รู้สึกจิตใจไม่สงบเอาเสียเลย
ตู้ม!
เงาร่างของหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดพลันร่อนลงมา มันมองสตรีผมขาวพลางพูดด้วยเสียงอันกังวานว่า “เทพหิมะ มีผู้เคารพท้าทายท่าน ลงไปรับการต่อสู้เถิด”
ร่างกายของสตรีผมขาวสั่นสะท้านน้อยๆ สายตายิ่งเยียบเย็นขึ้น “ในที่สุด…ก็มาถึงจนได้! คิดจะเอาชนะข้า ไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก”
สวบ ข้ารับใช้ชราคนหนึ่งทะยานเข้ามาแล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้านาย ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นได้รับชัยชนะแล้วขอรับ”
สตรีผมขาวมองไปทางบ่าวรับใช้แวบหนึ่งโดยไม่เอ่ยคำใด เพราะนางเข้าใจดีว่า หากพ่ายแพ้การต่อสู้แล้ว บ่าวรับใช้หุ่นเชิดผู้นี้ก็จะมิใช่บ่าวรับใช้ของตนอีกต่อไป หากแต่จะกลายเป็นบ่าวรับใช้ของตงป๋อเสวี่ยอิงไป เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาของสตรีผมขาวก็ยิ่งเยียบเย็นมากขึ้นไปอีก ศึกครั้งนี้ นางต้องชนะให้จงได้!
“ไปเถิด” หุ่นเชิดสัตว์ประหลาดตะโกน
“ไป” สตรีผมขาวยืดกายขึ้น แล้วแปรเป็นลำแสงทะยานออกไปพร้อมหุ่นเชิดสัตว์ประหลาด มุ่งหน้าถลาลงไปยังทางเข้าเบื้องล่างของบรรพคีรีมาร
……
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองเงาร่างสองสายที่กำลังถลาลงมาจากอากาศ นอกจากหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดแล้ว ก็เป็นสตรีผมขาวซึ่งมีกลิ่นอายเย็นเยียบแผ่กำจายออกมา
ยายเฒ่าผู้ดูแลเขากลับยิ้มน้อยๆ ไม้เท้ากระทุ้งพื้นอย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตู้มมมมม…ทันใดนั้นเหนือผืนดินก็มีเวทีการต่อสู้โบราณแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น บนเวทีการต่อสู้มีรอยอักขระแน่นขนัดจารึกอยู่ ทันใดนั้นภายในรอยอักขระก็มีรัศมีหมุนเวียนขึ้นมา กลางอากาศรอบด้านก็มีค่ายกลสีดำขนาดมหึมาแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ภายในค่ายกลสีดำทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ และหมุนเวียนไปไม่หยุดนิ่ง โอบล้อมทั้งเวทีการต่อสู้เอาไว้
“กฎนั้นง่ายมาก” ยายเฒ่าผู้ดูแลเขาเอ่ย “พวกเจ้าสองคนต่อสู้กัน หลังเวลาผ่านไประยะหนึ่ง หากมิอาจตัดสินได้ว่าใครแพ้ใตรชนะ ค่ายกลของเวทีการต่อสู้ก็จะปล่อยอันตรายด่านแล้วด่านเล่าออกมา คนที่ตายก่อนก็จะพ่ายแพ้! ผู้ที่อยู่รอดก็จะคว้าชัย พวกเจ้าสองคนเข้าใจหรือไม่”
ดวงตาที่ดูคล้ายจะขุ่นมัวของยายเฒ่ากวาดผ่านตงป๋อเสวี่ยอิงและสตรีผมขาวผู้นั้น
“เข้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า สตรีผมขาวก็รับคำเสียงหนึ่ง
“ดีมาก เช่นนั้นก็ขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้แล้วเริ่มต้นเถิด” ยายเฒ่าผู้ดูแลเขากล่าว
สตรีผมขาวบินผลุนผลันตรงไปยังเวทีการต่อสู้ก่อน แม้รอบเวทีการต่อสู้จะมีค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าอยู่แต่กลับมิได้สกัดขัดขวางแต่อย่างใด สตรีผมขาวร่อนลงบนเวทีการต่อสู้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทะยานตามไป เขามองคู่ต่อสู้ตรงหน้าอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวและผู้ปกครองเอ้อเฉินได้แจ้งข่าวให้ผู้เคารพทั้งสามซึ่งอยู่ในบรรพคีรีมารของพวกเขาทราบก่อนแล้ว
คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มีนามว่าผู้เคารพเทพหิมะ ซึ่งยากจะต่อกรด้วยนัก เขาสามารถเทียบกับผู้ปกครองได้ หากนับกันอย่างจริงจังแล้ว ก็คงจะเทียบกับ ‘ผู้ครองชิง’ แห่งจักรวาลผู้บำเพ็ญซึ่งยังไม่เคยบรรลุได้กระมัง นางอาจจะอ่อนแอกว่าอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรการต่อสู้ของจักรวาลผู้บำเพ็ญก็ยิ่งพิสดารยากเกินคาดเดา พลังรบโดยเฉลี่ยก็อ่อนแอกว่าอยู่บ้าง
“ได้ยินมาว่าเจ้าสามารถเอาชนะผู้ปกครองได้หรือ” เสียงของสตรีผมขาวผู้เคารพเทพหิมะสะท้อนก้องอยู่ในเวทีการต่อสู้ “เช่นนั้นเจ้าจะสามารถเอาชนะข้าได้หรือไม่”
เสียงยังคงสะท้อนก้อง
ผิวกายของสตรีผมขาวก็เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นผลึกน้ำแข็งแผ่นแล้วแผ่นเล่า ผลึกน้ำแข็งแต่ละแผ่นล้วนแต่เป็นรูปสิบสองเหลี่ยม ภายใต้การส่องสะท้อนของบรรพคีรีมารและดวงดาราที่อยู่ด้านข้างก็ส่องประกายหลากสีสันออกมา ผลึกน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนก่อให้เกิดรูปสลักขนาดใหญ่ขึ้นมา ตัวสตรีผมขาวเองก็กลายเป็นรูปสลักรูปหนึ่งอย่างสิ้นเชิง เดิมทีนางสูงเพียงเกือบสองเมตร แต่บัดนี้ หลังจากผลึกน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนเสริมร่างกายขึ้นมาแล้ว ก็สูงเกือบสามเมตรเลยทีเดียว
นางยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับไหวเลยแม้แต่น้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงไปบ้างแล้ว “หมายความว่าอะไรกัน นางกลายเป็นรูปสลัก ไม่มีความเคลื่อนไหวใดแล้วหรือ”
“ตู้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกยาวสีเงินเอาไว้ในมือ แล้วลองกวัดแกว่งหอกยาวออกไป
หอกยาววาดข้ามท้องฟ้า ด้ามหอกแฝงไว้ด้วยความโค้งเล็กน้อย พละกำลังระดับผู้ปกครองแทรกซึมเข้าไปในด้ามหอก พละกำลังส่งถ่ายจากด้ามหอกไปยังหัวหอก ปังงง…มันฟาดลงไปบนรูปสลักนั้นอย่างฉับพลัน รูปสลักผลึกน้ำแข็งนี้ถูกฟาดเสียจนกระเด็นลอยไป ก่อนจะกระแทกเข้ากับค่ายกลสีดำที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศรอบเวทีการต่อสู้ ยามนี้ค่ายกลสีดำกลับต้านทานรูปสลักน้ำแข็งเอาไว้ รูปสลักน้ำแข็งก็เด้งกลับมาแล้วร่วงหล่นลงบนเวทีการต่อสู้ ก่อนจะพลิกหมุนไปเป็นระยะทางมากพอควรจึงหยุดลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูฉากนี้ด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง
ปล่อยให้ตนโจมตีตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้เคารพเทพหิมะคนนี้ช่างหน้าไม่อายเกินไปแล้ว” เหล่าผู้ปกครองที่ชมการต่อสู้อยู่บนบรรพคีรีมารต่างก็อดหัวเราะออกมามิได้
“นางรู้ดีว่าในด้านการโจมตีคงจะสู้ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มิได้ จึงกังวลว่าเมื่อต่อสู้กันแล้วพลาดพลั้งไม่ระวังขึ้นมา ก็จะต้องสังเวยชีวิต ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้นจึงทุ่มเทสุดกำลังเพื่อป้องกันตนและรักษาชีวิตเอาไว้”
“ทางเลือกของนางก็มีเหตุผลอยู่ การป้องกันของนางแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารนางมิได้ อีกไม่นาน บนเวทีการต่อสู้ก็จะมีอันตรายมากมายมาเยือน…ท่ามกลางอันตราย นางก็สามารถป้องกันได้เป็นอย่างมาก! ขอแค่ตงป๋อเสวี่ยอิงตายไปก่อน นางก็จะชนะแล้ว” ผู้ปกครองเหล่านี้หัวเราะพลางวิพากษ์วิจารณ์
นี่คือกลยุทธ์ซึ่งมีโอกาสชนะค่อนข้างมากโดยแท้ แต่ก็เสียหน้ามากเช่นกัน มีอย่างที่ไหนที่ไม่ต่อสู้ ปล่อยให้ถูกทุบตีอยู่ได้เล่า หรือต่อให้ปัสสาวะรดลงบนร่างก็จะไม่ต่อต้านเลยอย่างนั้นหรือ ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำเรื่องพรรค์นั้นไม่ลงอยู่แล้ว
“น้องตงป๋อ”
เงาร่างสายหนึ่งเร่งเข้ามาจากที่อันไกลโพ้น เป็นท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวนั่นเอง เขารีบตะโกนขึ้นว่า “นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ต่อกรกันเล่า” เมื่อเขาทราบข่าวก็เร่งตรงมา ก็ยังมาทันการต่อสู้ครั้งนี้
“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ก็แค่คิดไม่ถึงว่าผู้เคารพอันดับสามแห่งบรรพคีรีมารจะทำได้ขนาดนี้…” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูรูปสลักผลึกน้ำแข็งที่ล้มลงบนเวทีการต่อสู้ตรงหน้า และไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตนก็ยังคงต้องทุ่มเทสุดกำลังเพื่อคว้าชัยชนะมาให้ได้! จักรวาลบ้านเกิดห่างจากสงครามครั้งสุดท้ายไม่มากสักเท่าใดแล้ว พลังของตนยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ย่อมยิ่งดีเท่านั้น ต้องคว้าโอกาสภายในบรรพคีรีมารเอาไว้ให้มั่น