Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน 16

ตอนที่ 16
ตอนที่ 16 โลกใบใหม่

 ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงกังวลว่าเพลิงทองในน้ำเต้าสีดำจะสร้างความเสียหายให้กับจักรวาล เพิ่งจะอุดจุกกลับลงไป วิญญาณอาวุธก็ถ่ายเสียงเตือนทันที แต่จะเตือนก็สายเกินไปเสียแล้ว! การลอบโจมตีของกู่กานหลัวในครั้งนี้ ที่ต้องการก็คือลงมือตอนที่ฝ่ายตรงข้ามมิทันตั้งตัวและความเร็วอย่างยิ่งยวด!

“ไม่ดีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิทันได้ควบคุมน้ำเต้าสีดำ เขาหลบเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมในชั่วขณะจิต ร่างกายหายวับไปกลางอากาศ ตอนนี้วิถีโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จนเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองแล้ว ในด้านการห้ำหั่นและโจมตี วิถีโลกเทียมนั้นอ่อนแอเสียยิ่งกว่าอ่อนแอ แต่มันสร้างฟ้าดินขึ้นมาเองได้ การรักษาชีวิตจึงร้ายกาจอย่างยิ่ง เกรงว่าผู้ปกครองซึ่งด้อยเรื่องกลเม็ดบางคนอาจจะหาร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงไม่พบ

วิ้ง…

กู่กานหลัวสำแดงการโจมตีผ่านเรือบินอลวน ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกวาดผ่านตำแหน่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ก่อนหน้านี้ทันที  ทันใดนั้นกาลมิติก็บิดเบี้ยว ก่อนจะปรากฏเป็นเงารางของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ในฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งขึ้นมา ระลอกคลื่นนี้ก็แทรกตัวเข้าไปในฟ้าดินโลกเทียมที่สมบูรณ์แล้ว แต่อานุภาพก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ สิบส่วนเหลือเพียงหนึ่งหรือสองส่วนเท่านั้น

“ฟึ่บ…” การโจมตีระลอกนี้ลอบโจมตีเข้าไปในร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ร่างกายของเขาดุจดั่งอากาศ ลดทอนกำลังลงไปได้กว่าครึ่งอย่างง่ายดาย อานุภาพที่หลงเหลืออยู่เพียงแค่ทำให้โลหิตภายในกายของเขาเดือดพล่านขึ้นมา และหน้าก็แดงขึ้นมาบ้างเท่านั้น แต่กลับมิได้กระอักโลหิตเสียด้วยซ้ำ

“อะไรกัน ทำร้ายเขาไม่ได้หรือนี่” กู่กานหลัวที่อยู่ภายในเรือบินอลวนรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง เพื่อที่จะลงมือตอนที่ฝ่ายตรงข้ามมิทันตั้งตัวและต้องการความเร็วยิ่งยวด แม้การโจมตีครั้งนี้จะอ่อนแอ แต่ก็บรรลุขีดจำกัดเทพอากาศแล้ว ไม่แพ้การโจมตีที่ร่างแยกสองร่างของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและอาจารย์อาห้าวิหคดำร่วมมือกันสำแดงออกมาเลย

อานุภาพเช่นนี้มิอาจทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงกระอักโลหิตออกมาอย่างนั้นหรือ ความสามารถในการรักษาชีวิตช่างสูงเกินจริงโดยแท้

……

เขากลับไม่รู้ว่า

ร่างกายของผู้ท่องอากาศเองก็ดุจดั่งอากาศอันว่างเปล่าที่ไม่รับแรงกระทำอยู่แล้ว บวกกับที่ร่างกายแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่อให้เพิ่งจะบรรลุวิชาลับผู้ท่องชั้นที่สิบเอ็ด ความแข็งแกร่งของร่างกายก็เหนือกว่าเจ้าลัทธิส่วนใหญ่ของลัทธิจอมมารดาอยู่แล้ว ลำพังแค่อาศัยร่างกายเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอจะเทียบได้กับผู้ปกครองระดับยอดแล้ว ดังนั้นคิดจะทำร้ายผู้ท่องอากาศสักคนหนึ่งก็ยากมากอยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน ‘วิถีโลกเทียม’ ของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เป็นวิถีสายที่รักษาชีวิตได้อย่างสุดขั้วในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์อยู่แล้ว มันสร้างฟ้าดินโลกเทียมขึ้นมาเอง คิดจะสังหาร ‘ผู้ท่องอากาศ’ ที่ซ่อนตัวอยู่ในฟ้าดินโลกเทียมสักคนหนึ่ง ก็ยากเสียยิ่งกว่ายากโดยแท้

“กู่กานหลัว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ประสบกับการโจมตีกลับมองไปยังฝ่ายตรงข้าม แล้วดึงจุกเต้าสีดำออกทันที ตู้มมม…รัศมีเพลิงทองโหมซัดออกไปบนโลกจริงอีกครา มันโจมตีตรงไปทางเรือบินอลวนลำนั้น

ตู้มๆๆ…

เพลิงทองปกคลุมเรือบินอลวนเอาไว้จนมิด แต่เรือบินอลวนกลับอยู่ตรงนั้นอย่างสงบโดยไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย ยามนี้กู่กานหลัวกำลังครุ่นคิดว่าจะรับมือตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างไรดี ส่วนเพลิงทองนี้น่ะหรือ เขาไม่หวั่นเกรงเลยสักนิด!

ล้อเล่นแล้ว

เมื่อเขาอยู่ในระดับยอดและอาศัยวัตถุภายนอกเช่นเรือบินอลวนก็สามารถต่อกรกับเทพอากาศได้ ต่อให้พบกับอันตรายในอากาศอันสับสนอลหม่าน อาศัยเรือบินอลวนก็สามารถต้านทานได้ ต่อให้ยุคจักรวาลแตกทำลายไปก็มิอาจทำให้เรือบินอลวนเสียหายได้แม้แต่น้อย! อย่าว่าแต่เรือบินอลวนเลย ต่อให้เป็นเรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดาลำนั้น ในฐานะเรือรบที่แข็งแกร่งที่สุดของลัทธิจอมมารดา เพลิงทองของน้ำเต้าสีดำก็มิอาจทำให้เรือรบลำนั้นเสียหายได้เช่นกัน

แน่นอนว่ากู่กานหลัวก็ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ภายในเรือบินเท่านั้น ผู้รักษากฎลัทธิจอมมารดาก็ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในเรือรบโดยมิกล้าโผล่ออกมาเลย!

“สมควรตาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงปลดปล่อยเพลิงทองออกมา เมื่อเห็นว่าเรือบินอลวนมิได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย เขาก็อดขบกรามแน่นมิได้ ก่อนจะหยุดการกระตุ้นน้ำเต้าสีดำและอุดจุกกลับลงไป

“เพลิงทองนี้ของเจ้าปะทุรุนแรงเกินไปแล้ว การทำลายล้างก็แกร่งกล้าเกินไปจนสามารถทำให้จักรวาลของพวกเจ้าได้รับความเสียหายได้ ข้ายังคิดว่าเจ้าจะสำแดงไปตลอดจนกระทั่งยุคจักรวาลนี้แตกทำลายไปในท้ายที่สุดเสียอีก” เสียงของกู่กานหลัวที่สะท้อนก้องอยู่ในอากาศแฝงแววเย็นชาเอาไว้

“นายท่าน อย่ากังวลไปเลย เวลาที่ท่านสำแดงน้ำเต้าสีดำนั้นสั้นนัก อีกทั้งเพลิงทองก็แผ่รังสีออกไปในขอบเขตที่เล็กมาก สร้างความเสียหายแก่จักรวาลน้อยนัก” วิญญาณอาวุธรีบถ่ายเสียงพูด

“อืม”

ตงป๋อเสวี่ยอิงคว้าน้ำเต้าสีดำเอาไว้ แล้วปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า เขามองเรือบินอลวนที่อยู่ไกลออกไปลำนั้นด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง

ส่วนเหล่าผู้ปกครองทั้งจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชูและบรรพชนหุบเหวลึกต่างก็โกรธเคืองอยู่บ้าง จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตค่อนขอดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “กู่กานหลัว ตอนนั้นเจ้าเลือกประมุขวังเป่ยเสวียน แล้วสัญญาว่าจะช่วยเหลือพวกเรา! แต่ตอนนี้ เจ้ามิใช่แค่ช่วยเหลือลัทธิจอมมารดาเท่านั้น แต่เจดีย์สังเวยแห่งแรกของลัทธิจอมมารดาถูกพวกเราช่วงชิงไปแล้ว เจ้ายังลอบโจมตีเสวี่ยอิงอีกรึ”

“ฮ่าฮ่า…ข้าเลือกประมุขวังเป่ยเสวียนผู้นั้น และตั้งสัตย์สาบานกับนาง แต่ข้ามิได้ตระบัดสัตย์ต่อนางมิใช่หรือไร นางอยู่ภายในเรือบินอลวนของข้ามาโดยตลอด ข้าก็ไม่เคยทำร้ายนางเลย” เสียงหนึ่งลอยออกมาจากเรือบินอลวน “ส่วนคำสัญญาว่าจะช่วยพวกเจ้าน่ะหรือ ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้ายังเชื่อในคำสัญญาอีกรึ ช่างน่าขันเสียจริง!”

พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตต่างก็โกรธแค้นเป็นอันมาก ผู้ที่มีพลังและฐานะระดับอย่างกู่กานหลัวกลับไม่แยแสคำสัญญาของตนเอง ไม่รักษาหน้าเลยแม้แต่น้อย!

……

ภายในเรือบินอลวน ‘กู่กานหลัว’ รูปสลักขนาดมหึมาพูดเสียดสีพลางสำรวจตงป๋อเสวี่ยอิงโดยละเอียด และครุ่นคิดว่าควรจะรับมือเช่นไรดี

เขาไม่เคยล้มเลิกมาก่อน!

น้ำเต้าสีดำนั่นเป็นถึงสมบัติพิทักษ์วิถี เขาต้องเอามันมาให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

“อืม”

“ทำตามแผนนี้แล้วกัน สู้ให้เต็มที่” กู่กานหลัววางแผนในใจอย่างรวดเร็ว

……

แม้เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงจะปรากฏขึ้น แต่เขาก็ยังคงอยู่ในฟ้าดินโลกเทียมด้วยความระมัดระวัง

ตึง!

เสียงสะท้อนอันแปลกประหลาดเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นภายในวิญญาณ ทว่าภายในวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงได้หลอมรวมวิชาลับผู้ท่องอันสมบูรณ์เข้าไปด้วยจึงสามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย แต่นี่ก็ทำให้สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไป เขารีบดึงจุกน้ำเต้าสีดำออก รัศมีเพลิงทองลอยออกมาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับลอยออกมาไม่มากนัก ทั้งยังแค่ล้อมรอบผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงและก่อให้เกิดเป็นลูกกลมสีทองลูกหนึ่งขึ้นมาเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงศูนย์กลางของลูกกลมสีทองนี้นั่นเอง

ความเสียหายที่มีต่อจักรวาลขึ้นอยู่กับปริมาณของเพลิงทองและขอบเขตในการแผ่รัศมี! ยิ่งมีปริมาณมากและกินวงกว้างเท่าใด …ความเสียหายก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น อย่างการก่อตัวเป็นลูกกลมสีทองล้อมรอบกายนั้น มีขอบเขตเพียงสองสามเมตร ความเสียหายจึงน้อยเสียจนน่าสงสาร

“ฟิ้ว” “ฟิ้ว” “ฟิ้ว”…

ความระแวดระวังของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไม่มีผิดเลย

นอกจากการโจมตีวิญญาณในตอนเริ่มแรกแล้ว จากนั้นก็มีลมอันแปลกประหลาดตามมาติดๆ ลมนั้นปรากฏขึ้นกลางอากาศ หลังทะลุผ่านฟ้าดินโลกเทียมแล้วอานุภาพก็เสียหายเป็นอย่างมาก มันฝืนลอบโจมตีเพลิงทองอีกครั้ง แต่ยังมิอาจผ่านไปได้ก็สลายหายไปจนสิ้นแล้ว

“กู่กานหลัวผู้นี้…” ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขหยวนชู บรรพชนหุบเหวลึก ผู้ครองชิงและเจ้าแม่กานเหอต่างพากันแตกตื่น เมื่อมองเห็นอากาศรอบเรือบินอลวนที่อยู่ไกลออกไปเริ่มมีรูปสัญลักษณ์ค่ายกลขนาดมหึมารูปแล้วรูปเล่าปรากฏขึ้น การโจมตีอันแปลกประหลาดยกแล้วยกเล่ามาถึงตัว ที่มุ่งตรงสู่วิญญาณก็มีถึงสามชนิด เช่นเสียงและคำสาป ยังมีส่วนที่มุ่งตรงไปที่กายหยาบด้วย ทั้งยังมีส่วนที่พุ่งเป้าไปที่โลกหมายจะกวาดล้างบริเวณนั้นเสีย

รูปสัญลักษณ์ค่ายกลเริ่มเลือนรางไป

กู่กานหลัวขบกรามกรอด รูปสลักขนาดมหึมานั้นเป็นเพียงรูปลักษณ์ที่เขาเผยโฉมต่อภายนอกเท่านั้น ร่างจริงของเขากำลังเร้นกายนั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือบินอลวน พลางควบคุมเรือบินอลวนอย่างบ้าคลั่งเข้าโจมตีโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น! เดิมทีอาการบาดเจ็บของเขาก็ค่อนข้างสาหัสอยู่แล้ว จู่ๆ ปะทุการโจมตีที่แข็งแกร่งเช่นนี้ออกมาอย่างกะทันหัน ก็สร้างความเสียหายให้กับเขามากทีเดียว

“ขอเพียงได้น้ำเต้าสีดำนั่นมา ทุกสิ่งก็ล้วนคุ้มค่า หลังได้มาแล้วข้าก็จะไปจากจักรวาลแห่งนี้ทันที ให้ซางตานช่วยข้าขับเรือบิน ส่วนข้าก็จะเข้าสู่ห้วงนิทราต่อไป” กู่กานหลัววางแผนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทราต่อไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงโจมตีอย่างคลุ้มคลั่ง

แต่กระนั้น…

สมบัติพิทักษ์วิถี สิ่งใดที่เรียกว่าพิทักษ์วิถีน่ะหรือ การโจมตีนั้นเป็นรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือปกป้อง!

ภายใต้การควบคุมค่ายกลอันว่างเปล่า เพลิงทองที่ปะทุออกมาอย่างบ้าคลั่งกลับกลายเป็นเชื่อฟังแต่โดยดี มันก่อตัวขึ้นเป็นลูกกลมอันสมบูรณ์แบบที่ปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ พวกมันรวมตัวกันชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างวิจิตรพิสดารนัก ทั้งหมดล้วนเป็นการควบคุมค่ายกลอันว่างเปล่า อานุภาพการโจมตีอย่างสุดชีวิตของกู่กานหลัวนั้นน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง บางส่วนแม้แต่ฟ้าดินโลกเทียมยังได้แค่ทำให้อ่อนกำลังลงบ้างเล็กน้อยเท่านั้น แต่โดยทั่วไปลูกกลมเพลิงทองกลับสามารถต้านทานเอาไว้ได้หมด ส่วนที่สามารถแทรกซึมเข้ามาได้ เช่นการโจมตีวิญญาณน่ะหรือ สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไร้ประโยชน์สิ้นดี! อานุภาพที่หลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยซึ่งผ่านลูกกลมเพลิงทองมาได้ล้วนมิอาจทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงบาดเจ็บได้เลย

“ข้าสังหารเขามิได้หรือ ไม่ ไม่ ไม่…” กู่กานหลัวจวนจะคลั่งแล้ว

บรรดาบุตรทิพย์ขององค์บรรพชนกู่แก่งแย่งชิงดีกัน ผู้ที่อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง

เขาไหลมาตามน้ำจนเกือบถึงช่วงปลายสุดแล้ว จึงได้เลือกเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านผจญอันตรายสักตั้งโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น แม้จะประสบอันตรายมาหลายครั้ง แต่ ‘น้ำเต้าสีดำ’นี้ก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่ดีที่สุดซึ่งเขามีหวังจะได้มาแล้ว แม้เขากังวลว่าจะไม่สามารถสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงได้ แต่ก็ยังคงพยายามอย่างสุดกำลัง แต่ผลของความพยายามทำให้เขาคลุ้มคลั่งยิ่งขึ้นไปอีก เขาไม่อยากจะยอมรับเลย!

……

“เอ๊ะ”

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองดูเรือบินอลวนอยู่ห่างๆ เขามองดูรูปสัญลักษณ์ค่ายกลขนาดมหึมารูปแล้วรูปเล่าซึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศรอบเรือบินอลวนลำนั้น เดิมทีเขาก็ประสบผลสำเร็จสูงยิ่งทางด้านค่ายกล สามารถคิดค้น ‘ค่ายกลสองขั้วฟ้า’ ขึ้นเองได้ นอกจากนั้นยังอาศัยพลังของผู้ปกครองก็สามารถตั้งเสาหยวนเฉินถึงสิบสองต้นขึ้นมาได้ บัดนี้เมื่อเห็นค่ายกลอันพิสดารแห่งแล้วแห่งเล่าถูกกระตุ้นขึ้นตรงหน้า นี่มิใช่สิ่งที่บันทึกเอาไว้ในบัญชีหมื่นสรรพสิ่ง หากแต่เป็นค่ายกลที่แท้จริงกำลังปะทุออกมา มันกำลังหมุนเวียนไป ทำให้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอดลุ่มหลงไปกับมันมิได้ เดิมทีระดับขั้นของเขาก็ใกล้เคียงกับค่ายกลเหล่านี้อยู่แล้ว จึงสามารถมองเห็นความจริงเท็จภายในนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

สีหน้าของเขาค่อยๆ ปรากฏแววตกใจ ห้วงสมองอื้ออึงไปหมด ในที่สุดโลกใบใหม่อันเลือนรางที่คล้ายจะมีจริงแต่ก็เหมือนจะลวงมาตลอดนั้นก็เผยออกตรงหน้าเขาแล้ว

 ………………………

 เข้าสู่ภูเขา

ณ จักรวาลผู้บำเพ็ญ ภายในสวนหย่อมของเรือนไม้แห่งตำหนักเทพคมมีดโลหิต

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงเดินเข้ามาจากด้านนอกสวน จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่รีบรุดมาเพราะสัมผัสรู้อยู่ก่อนแล้วมองดูลูกศิษย์ของตน “เสวี่ยอิง ร่างแยกนี้ของเจ้ากลับมาจากจักรวาลคีรีมาร หรือว่าได้สิ่งนั้นมาแล้วเล่า”

“ขอรับ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงพยักหน้า “เพราะท่านชายสามช่วยเหลือ ข้าจึงโชคดีได้พบกับหนึ่งในเทพอากาศแห่งจักรวาลคีรีมารท่านหนึ่ง  ข้าได้ขอโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรนั่นกับเขาแล้ว…ทว่าไม่มีหวังเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับมอบบัญชีหมื่นสรรพสิ่งให้กับข้าหมดทั้งเล่ม” พูดแล้วเขาก็พลิกมือหยิบเอาจานกลมสีทองออกมามอบให้ท่านอาจารย์

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองจานกลมสีทองตรงหน้านี้ด้วยแววตาเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น เขายื่นมือมารับมันแล้วก็รับสัมผัสคราหนึ่ง จากนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมา ข้อมูลมหาศาลภายในจานกลมหลั่งไหลเข้ามา แต่ทว่าเวลาผ่านไปหลายอึดใจเขาจึงได้สติกลับคืนมา

“ดี ดี ดี” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตผู้หยิ่งทรนงเช่นนั้น ในยามนี้กลับมีสีหน้ายินดี สายตาที่มองไปยังจานกลมสีทองในมือก็ร้อนระอุยิ่ง

เขาปรารถนามาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว

สมบัติล้ำค่าสองชิ้นที่เขาปรารถนาเป็นที่สุด หนึ่งคือโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตร ส่วนอีกชิ้นก็คือบัญชีหมื่นสรรพสิ่ง เพราะรู้ว่าจักรวาลคีรีมารมีพลังอำนาจที่กล้าแกร่งกว่ามาก คล้ายว่ามีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา เอาชนะได้ทั้งแปดจักรวาล ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับจักรวาลอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งด้วย ดังนั้นเขาจึงไหว้วานให้ลูกศิษย์ของตนช่วยเหลือ สำหรับความล้ำค่าของโลหิตธาตุแมลงเพลิงพันเนตรนั้น เขาเองก็มิได้รู้กระจ่างนัก ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงบันทึกอย่างง่ายๆของผู้สืบทอดที่ค้นพบเท่านั้น ส่วนบัญชีหมื่นสรรพสิ่งนั้นเขารู้จักดีกว่าเป็นอย่างมาก

เขาเป็นอันดับหนึ่งในด้านการหลอมอาวุธและค่ายกลแห่งจักรวาลผู้บำเพ็ญนั้นก็เป็นเพราะเขาเคยได้รับบัญชีหมื่นสรรพสิ่งตอนที่หนึ่งและสอง ก็ประสบความสำเร็จอย่างไม่ธรรมดาแล้ว

ใช่แล้ว

สมบัติล้ำค่าสองชิ้นนั้นล้วนเพื่อยกระดับพลังของตัวเขาเอง

เพราะหลังจากที่เขาเหยียบย่างเข้าสู่ธรณีประตูของชั้นเทพอากาศแล้วพลังก็ยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล สู้กับศัตรูหนึ่งต่อห้าได้ ในตอนนั้นเจ้าลัทธิจอมมารดาทั้งห้าท่านล้วนได้รับบาดเจ็บ แต่เห็นได้ว่าตอนนี้แข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นหากเขายิ่งกล้าแกร่ง ก็ย่อมสามารถช่วยเหลือได้มากยิ่งขึ้น…ถ้าหากสามารถบรรลุกลายเป็นเทพอากาศได้! เช่นนั้นก็สามารถประกาศชัยชนะในสงครามครั้งนี้ได้แล้ว

“เสวี่ยอิง ข้าต้องการบัญชีหมื่นสรรพสิ่งนี่มานมนานเหลือเกินแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะช่วยข้าหามันจนพบได้” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยรอยยิ้ม

“ช่างโชคดีที่ตอนนั้นประมุขเกาะกาลมิติค้นพบทางเชื่อมจักรวาล มิฉะนั้นข้าก็ไม่มีทางไปยังจักรวาลคีรีมารได้หรอกขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ล้วนเป็นเพราะโชคช่วยทั้งนั้น”

“ไม่มีพลังของเจ้า ก็ทำเช่นนี้ไม่ไหวหรอก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า “เจ้าอยู่ที่นั่นก็ต้องระวังตัวด้วย ตอนนี้เจ้าไปที่บรรพคีรีมารแล้วหรือ”

“ไปแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“ระวังตัวไว้ก่อนล่ะ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตักเตือนอีกครั้ง เขาย่อมไม่อยากให้ศิษย์ผู้นี้เอาชีวิตไปทิ้งที่จักรวาลคีรีมาร!

“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

……

ภายในบรรพคีรีมาร ศูนย์กลางแห่งจักรวาลคีรีมาร

คูหาทั้งสามสิบสองแห่งที่บริเวณชั้นนอกกระจายอยู่ทั่วทั้งสามสิบสองมุมของบรรพคีรีมาร ที่ปากทางเข้าของคูหาแห่งหนึ่งในบรรดาคูหาเหล่านั้น หญิงผมขาวผู้หนึ่งกำลังนั่งกินสุราอาหารตามลำพังด้วยสีหน้าเยียบเย็น นัยน์ตาทั้งสองสาดประกายหนาวเหน็บ “ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ ผู้เคารพที่โผล่มาจากไหนไม่รู้คนหนึ่ง ไม่เคยได้ยินประวัติความเป็นมามาก่อนเลย คล้ายว่าจะมาจากจักรวาลต่างถิ่น ถึงกับเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้เชียวหรือ”

“ผู้เคารพเอาชนะผู้ปกครองอย่างนั้นหรือ” หญิงผมขาวเอ่ยเสียงต่ำ ทั้งน้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยความเยียบเย็น “แล้วตอนนี้ยังเข้ามาที่บรรพคีรีมาร เกรงว่าอีกไม่นานก็ต้องมาท้าทายข้าสินะ”

นาง…

ก็คือหนึ่งในสามของผู้เคารพเห่งบรรพคีรีมาร จัดเป็น ‘ผู้เคารพเทพหิมะ’ ลำดับที่สาม

นางเย็นชาและกล้าแกร่ง เพื่อพลังแล้วก็ไม่เลือกวิธีการลงมือ นางทุ่มเทไปมากมายเหลือเกินกว่าจะสามารถเป็นลำดับที่สามที่เข้าสู่บรรพคีรีมารได้ ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังจะมาก็เหมือนกับเมฆครึ้มที่ปกคลุมนาง นางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันไร้รูปร่าง… ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่เหมือนกับบรรดาผู้ท้าทายในอดีตเหล่านั้น เขาเคยกำราบจักรพรรดิเทพมารแดงมาแล้ว!

“ไม่ ข้าทุ่มเทไปตั้งมากมายถึงเพียงนั้นกว่าจะเข้าสู่บรรพคีรีมารได้ ที่นี่คือที่ของข้า ย่อมไม่มีทางยอมให้ผู้อื่นมาแย่งชิงไปโดยง่ายอยู่แล้ว” หญิงผมขาวทั้งร้อนรนทั้งโมโห แต่ก็มิอาจทำอะไรได้

เพราะกฎของบรรพคีรีมารเคร่งครัดยิ่ง ผู้ใดก็มิกล้าวู่วาม

“ไป… ไปดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่เข้ามาในบรรพคีรีมารผู้นั้นให้ข้าที หากมีความเคลื่อนไหวก็รีบมารายงานข้าทันที” หญิงผมขาวมองไปทางข้ารับใช้ชราที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งข้ารับใช้ผู้นี้เป็นสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิด เพราะภายในบรรพคีรีมารนี้ นอกจากเทพอากาศ ผู้ปกครองสามสิบเก้าท่าน และผู้เคารพสามท่านแล้ว ก็ไม่มีวิญญาณที่มีชีวิตจริงๆอยู่อีกแล้ว ล้วนเป็นหุ่นเชิดด้วยกันทั้งสิ้น

“ขอรับ นายท่าน” ข้ารับใช้ชรารับบัญชาด้วยความเคารพแล้วมุ่งหน้าไปยังทางเข้าบรรพคีรีมารในทันที

หญิงผมขาวหยิบจอกเหล้ามาแล้วบีบจอกเหล้าในมือจนแหลกเป็นผุยผงอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ผู้ใดก็อย่าได้คิดจะช่วงชิง ผู้ใดก็อย่าได้คิด!”

******

ตงป๋อเสวี่ยอิงไปจากหินอุกกาบาตด้วยการนำทางของ ‘ผู้ปกครองเอ้อเฉิน’ แล้วเหินทะยานไปยังทางเข้าของบรรพคีรีมาร

พวกเขาร่อนลงตรงบริเวณทางเข้า

บริเวณทางเข้ามีเวทีขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง ส่วนลึกของเวทีก็คือทางเข้าแห่งหนึ่ง ด้านข้างของทางเข้ายังมีอักษรสัญลักษณ์เขียนว่า… ‘คีรีมาร’! ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึงในใจ ด้วยรู้สึกได้ถึงความกดดันของอักษรสัญลักษณ์ขนาดมโหฬารนั้น เขาลอบบ่นพึมพำ “อักษรสัญลักษณ์นี้ หรือว่าจะเป็นสิ่งที่ว่ากันว่าท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้กันหนอ”

ลำพังแค่ตัวอักษรสัญลักษณ์ก็ทำให้ตนเกิดความรู้สึกกดดันเช่นนี้แล้ว จะต้องมีพลังระดับใดกัน

“พรึ่บ…”

“เจ้าเด็กนี่มาอีกแล้วหรือ”

สองเสียงดังขึ้นต่อเนื่องจนคล้ายกับจะดังขึ้นในเวลาเดียวกัน

เห็นเพียงว่าสองข้างของทางเข้า มีคูหาสองแห่งแยกจากกัน ภายในคูหาหนึ่งในสองแห่งมีหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาตัวหนึ่งเดินออกมา หุ่นเชิดสัตว์ประหลาดดูคล้ายกับลิงอุรังอุตังอยู่เล็กน้อย แขนยาวเหยียดสองข้าง แต่บนหัวของมันมีเขาโค้งขนาดยักษ์สองข้าง ตลอดร่างก็หลอมขึ้นจากโลหะพิสดาร ส่วนคูหาอีกแห่งมีหญิงชราถือไม้เท้าที่ดูแสนธรรมดาเดินออกมา

“คารวะท่านผู้ดูแลเขา” ผู้ปกครองเอ้อเฉินทักทายเล็กน้อย

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กล่าวทักทายในทันใด

“เขาก็คือผู้เคารพตงป๋อเสวี่ยอิงที่เจ้าบอกว่าจะเตรียมตัวเข้าไปท้าทายน่ะหรือ” หญิงชราที่ถือไม้เท้ามองตงป๋อเสวี่ยอิง

“ใช่ขอรับ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูด

“ไปกันเถิด” หญิงชราและสัตว์ประหลาดเดินตรงไปข้างหน้าพร้อมกัน ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกับผู้ปกครองเอ้อเฉินก็ติดตามอยู่ด้านหลัง

ห่างจากด้านข้างของทางเข้าออกไปไม่ไกลนัก มีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง

หลังจากที่หญิงชราและหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดตัวนั้นเดินจากไปแล้ว หญิงชราก็ยกไม้เท้าลงไปกวนน้ำในทะเลสาบรอบหนึ่ง ซ่า… สายน้ำสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาแล้วลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะกลายเป็นทหารสีเงินยวงคนหนึ่ง เขาร่อนลงบนผิวดิน นัยน์ตาฉายแววงงงัน

“นี่คือหุ่นเชิดกำเนิดใหม่ ออกจะโง่งมสักหน่อย” หญิงชราที่ถือไม้เท้าเอ่ยตามอำเภอใจ “ถึงแม้จะเป็นหุ่นเชิดระดับผู้ปกครอง แต่เนื่องด้วยถือกำเนิดขึ้นใหม่ ก็จะยังต่อสู้ไม่เก่งนัก แต่ก็เหมาะสมที่จะทำการทดสอบกับบรรดาผู้เคารพอย่างเช่นพวกเจ้านี้”

“หุ่นเชิดระดับผู้ปกครองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองทะเลสาบปราดหนึ่ง

ทะเลสาบเงียบสงบ ไม่มีระลอกคลื่นใดแม้แต่น้อย

เพียงแค่สายน้ำสายหนึ่งก็กลายเป็นหุ่นเชิดระดับผู้ปกครองตนหนึ่งได้ ที่แท้แล้วนี่มันคือทะเลสาบอันใดกัน

“ระวังหน่อยนะ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูดอยู่ข้างๆ “ถึงแม้ว่าจะเพิ่งสร้างขึ้นมาหมาดๆ แต่เขาถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำในทะเลสาบมาร ทั่วทั้งบรรพคีรีมาร…เท่าที่ข้ารู้ สิ่งที่มีพลังลึกล้ำยากคาดเดาเป็นที่สุดก็คือทะเลสาบแห่งนี้แหละ…กระทั่งเหล่าจ้าวก็ล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของมัน เด็กที่แปลงมาจากสายน้ำที่มันสุ่มเลือกออกมานั้นยิ่งไร้เดียงสามากเท่าใด พลังก็ยิ่งกล้าแกร่งมากเท่านั้นแหละ”

“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“ตุ๊กตาตัวน้อย” หญิงชราที่ถือไม้เท้าตบไหล่ของทหารสีเงินยวงแล้วชี้ไปที่ตงป๋อเสวี่ยอิง “อีกประเดี๋ยว คอยฟังคำสั่งข้า พอข้าให้เจ้าลงมือเจ้าก็มุ่งเข้าไปสังหารเขาอย่างสุดกำลังเลยนะ”

และในขณะนี้เอง…

ณ สถานที่อีกแห่งบนบรรพคีรีมาร เช่นเดียวกับข้ารับใช้ของหญิงผมขาว ยังมีเหล่าผู้ปกครองที่รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่จำนวนหนึ่ง ต่างก็คอยมองสอดส่องประตูทางเข้า ชมดูการต่อสู้คราวนี้ ทว่าพวกเขาล้วนได้ยินมาแล้วว่ามีผู้เคารพที่เกิดขึ้นมาใหม่ผู้มีนามว่า ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ สามารถเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้ ก็ย่อมมีความหวังที่จะเข้าสู่บรรพคีรีมารได้สำเร็จ

“เขาก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงหรอกหรือ”

“ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อมาก่อนเลย ไม่รู้ว่ามาจากจักรวาลแห่งใดกัน” ผู้ปกครองเหล่านี้มีบางส่วนที่ยังนั่งล้อมวงร่ำสุราอาหารกันสองสามคน ดื่มสุราสนทนาไปพลาง ดูชมการต่อสู้นี้ไปพลาง

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Score 10
Status: Completed

ภาคที่ 1-15 ตอนที่ 1-482 อ่านนิยาย

ภาค 16-33 ตอนที่ 24 อ่านนิยาย


ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา

นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้

เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย

ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

Options

not work with dark mode
Reset