Ihoujin, Dungeon ni Moguru 3.2: The Foreigner, Can’t Explore the Dungeon II

ตอนที่ 3.2: The Foreigner, Can’t Explore the Dungeon II

<วันที่ 3 >

ดวงอาทิตย์ของต่างโลกนั้นจะขึ้นเร็วกว่ามาก ฉันได้ยินเสียงระฆังเมืองถูกตีจากไกลๆเพื่อเป็นสัญญาณเช้าวันใหม่

หลังจากตื่นขึ้นมาในเวลา 6 โมงเช้า ฉันก็รีบอาบน้ำและเคลียร์ตัวเอง ฉันให้มาคินารับผิดชอบเรื่องซักผ้าในตอนที่ฉันกำลังจะตากผ้านั้นเอง แขกที่เดินทางมาถึงก็นำวัตถุดิบก็มาให้ทำอาหารเช้า

[วันนี้มีหอยและกุ้ง]

[ขอบคุณมากครับ]

[เจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไรหรือเปล่า?]

[ไม่เป็นไรครับ เชิญนั่งพักผ่อนก่อนเลย]

[โอเต เข้าใจแล้ว]

คุณเกโตนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดและเล่นห่วงเหล็กมายากลที่ฉันเคยให้

ฉันดึงหัวกุ้งและแกะเปลือกออกจากนั้นก็ดึงขี้ออก ถึงแม้จะตัวเล็กก็เถอะแต่ถ้าได้มาตั้ง 20 ตัวก็ดูหรูหราอยู่น่ะ ส่วนหอยที่ดูคล้ายกับหอยแมลงภู่ก็เอามาล้างในน้ำเกลือ แล้วหยิบกระเทียมเอลฟ์มาถอนแกนกลางออกดูเหมือนกระเทียมของฝั่งนี้จะไม่มีกลิ่นแรงจากนั้นก็ฝานบางๆ จากนั้นก็มาจัดการกับเครื่องปรุงที่มีลักษณะเหมือนพริกคาเยน(เหมือนพริกชี้ฟ้าบ้านเราแต่เมล็ดจะใหญ่และอวบกว่า) เรียกมันว่าพริกต่างโลกดีกว่า ไม่สิน่ารำคาญจะตายเรียกว่า“พริก”เฉยๆก็พอ ฉันนำเมล็ดข้างในออกแล้วเอาผักต่างๆที่ได้มาจากทุ่งหญ้ามาคลุกด้วยเกลือเพื่อหมักจากนั้นก็นำไปพัก

ฉันเทน้ำมันมะกอกลงในหม้อหินที่ซื้อระหว่างทางกลับบ้านเมื่อวาน

อย่างแรกก็ใส่กระเทียมและพริกและค่อยๆใส่เกลือลงไปตามความชอบ

ฉันขยับหม้อหินออกห่างจากไฟเพราะกลัวกระเทียมจะไหม้ไปก่อนและรอให้ได้กลิ่นหอม เมื่อรู้สึกว่าได้ที่แล้วก็เติมวัตถุดิบที่เหลือลงไปจากนั้นก็รอให้สุก

ฉันค่อยๆหั่นขนมปังแข็งที่ซื้อมาเมื่อวาน จากนั้นนำไปย่างให้กรอบแล้วนำไปจัดเรียงลงบนจานแล้ววางกลางโต๊ะกินข้าว เมื่อของที่ในหม้อหินตุ๋นได้ที่แล้วก็ดับกองไฟ

อาคิโย่จากต่างโลกเสร็จสิ้น

วัตถุดิบทุกอย่างใช้ของที่หาได้จากต่างโลกแต่เมื่อมองดูจากภายนอกแล้วเหมือนอาหารที่ขายอยู่ตามร้านค้าในตอนที่ฉันยังอยู่ในโลกเดิมเลยก็ตาม

แล้วฉันก็เอาวางลงบนทุ่งหญ้าอยู่พักใหญ่เลยเพื่อให้มันเย็นลง

ฉันคิดว่ามันน่าจะเข้ากันกับชาเขียว ฉันเลยชงชาเขียวเย็นอย่างระวังที่สุดเท่าที่จะทำได้

5 นาทีต่อมา

[คุณเกโต มาทานกันเถอะครับ]

[โอ้]

ฉันยื่นช้อนให้เขา

[คุณวางวัตถุดิบไว้บนขนมปังแล้วกินพวกมันพร้อมกันได้เลย]

[อย่างงี้หรอ?]

ไม่รู้ว่าเป็นของโปรดของเขาหรือเปล่า คุณเกโตถึงได้เลือกใส่แค่หอยบนขนมปังจากนั้นก็โยนเข้าปาก

[โอ้ ขอชมอีกครั้งเถอะ มันอร่อยจริงๆ]

มีเสียงเคี้ยวดังลั่นเลย ดูเหมือนคุณเกโตจะกินแม้กระทั่งเปลือกหอย ถ้าเขากินอย่างมีความสุขขนาดนั้นละก็ผมก็ไม่สามารถว่าอะไรได้หรอกนะ

[ทานละนะครับ]

ฉันพนมมือขึ้นจากนั้นก็เอากุ้งที่แกะไว้จำนวนมากวางลงบนขนมปังปิ้งก่อนที่จะกัดลงไป

นี่สิน่ะรสชาติของความสุข

ความหิวและรสชาติของกระเทียมอีกทั้งความกรอบของกุ้งกำลังเต้นอยู่ในปาก ขนมปังเองก็เข้ากันกับน้ำมันมะกอกที่ดูดซึมรสชาติความอร่อยของวัตถุดิบโดยเฉพาะผิวขนมปังที่นำไปย่างกรอบๆ แต่มันยังไม่จบเพียงแค่นี้รสชาติขมอ่อนๆจากผักป่าที่เพื่มเข้าไปทำให้รสชาติแฝงที่ได้นั้นเหมาะกับจานนี้มาก ตอนแรกก็นึกว่าจะใส่เกลือมากเกินไปแต่รสชาติก็พอรับไหวจากนั้นพวกเราก็กินหอยที่ได้มาทั้งหมด

ขนมปัง

ตอนนี้ขนมปังไม่พอ ใครก็ได้เอาขนมปังเพิ่มให้หน่อย!

ท้ายที่สุดแล้วพวกเราเผลอกินแม้กระทั่งขนมปังที่ฉันซื้อไว้เผื่อวันอื่นๆ

อาหารที่ทำก็หมดหม้อไปแล้ว ตอนนี้พวกเราทำได้แค่ใช้ขนมปังปาดน้ำมันที่เหลืออยู่ในหม้อหินแล้วกินทั้งอย่างงั้น ฉันไม่นึกมาก่อนเลยว่าขนมปังไร้รสชาติจะเข้ากันได้ดีขนาดนี้

[อุ๊กกก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้กินอาหารของบนพื้นดินมากขนาดนี้ ขอข้านอนพักหน่อยละกัน]

ภาพมนุษย์ปลานอนนั้นช่างเหมือนกับวาฬเกยตื้นไม่ผิด เผลอนึกภาพอะไรที่เสียมารยาทไปซะได้ ถึงฝีมือการทำอาหารฉันจะสู้น้องสาวไม่ได้ก็ตามแต่มันก็ยังเป็นมื้อเช้าที่อร่อย น่าจะเพราะวัตถุดิบที่ได้สดใหม่ละนะ

[ถึงอย่างงั้นก็เถอะ มันทำเอาผมรู้สึกแย่ยังไงก็ไม่รู้สิ]

ฉันพูดขอโทษออไปอย่างติดๆขัดๆในระหว่างที่ล้างจานอยู่

[เอ๊ะ มีอะไรแย่? อาหารงั้นหรอ?]

คุณเกโตตอบกลับมาในขณะที่นอนอยู่กับพื้น

[ไม่หรอกครับ คือผมได้อาหารที่อร่อยขนาดนี้มาฟรีๆน่ะ]

[ขี้เกรงใจจริงๆเลยน่ะเผ่าพันธ์แบบพวกเจ้าเนี่ย สำหรับพวกข้าที่ใช้ไฟทำอาหารไม่ได้แล้ว พวกเราอาจจะได้ทานอะไรแบบนี้แค่ครั้งหรือสองครั้งในชั่วชีวิตเท่านั้นแหละแค่นี้ก็คุ้มค่าสุดๆแล้วล่ะ อีกอย่างเจ้าพวกนี้ขายได้ไม่ถึง 1 เหรียญทองด้วยซ้ำ ถ้าหากเจ้าไม่รับไว้ละก็ ข้าก็คงจะเอาไปโยนทิ้งอยู่ดีละนะ]

[คุณหมายความว่ายังไงครับที่ขายได้ไม่ถึงเหรียญทอง?]

นั่งเป็นประโยคที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรเท่าไร

[ก็หมายความว่ามูลค่าของมันไม่มากพอที่จะไปแลกเหรียญทองซักเหรียญได้]

[แล้วทำไมคุณถึงไม่แลกเป็นเหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงละครับ?]

[โอ้ววว ข้าลืมน่ะ]

เอ๋ เกี่ยวกับมูลค่าของเหรียญ? นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดในตอนแรก แต่ดูเหมือนฉันจะไม่ใช่เรื่องนั้น

[เจ้ามีเหรียญเงินอยู่หรือเปล่า?]

ฉันหยิบออกมาจากกระเป๋าหนึ่งเหรียญ

[สำหรับเผ่าอมนุษย์อย่างพวกเรานั้น เงินคือพิษร้ายแรงถึงชีวิต มันเผาเลือดเผาเนื้อของพวกเรา]

[อะไรกัน?!]

ฉันรีบปล่อยเหรียญออกจากมือไป

[เจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกไปก็ได้ นั้นสิน่ะระหว่างที่เรารอให้อาหารย่อยข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง]

นักบวชเผ่ามนุษย์ปลาเริ่มเล่าขานประวัติศาสตร์อันโชกเลือดของเหรียญเงิน

งั้นจะเริ่มเล่าตั้งแต่แรกเลยละกัน

 

ในสมัยโบราณ

ทันทีที่ยุคของเทพเจ้าลงมาบนโลกนี้ได้สิ้นสุดลง ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติเองก็ได้เริ่มต้นขึ้น

มีกษัตริย์องค์หนึ่งได้ปกครองเล่ามนุษย์สัตว์

เขามีนามว่า รา กูซูริ ดูอิน โอรุโอสุโออูรู(Ra Guzuri Duin Oruosuouru) ราชาแห่งสัตว์ร้าย

ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน มนุษย์และมนุษย์สัตว์มักจะขัดแย้งกันเองเสมอๆ แตกต่างกันแค่ฝ่ายไหนจะได้เปรียบเท่านั้นเอง

ในช่วงเวลานั้นเป็นตาของเผ่ามนุษย์ที่ถูกไล่ล่าจนเกือบจะสูญพันธ์

พวกมนุษย์สูญเสียพลังและอำนาจไปจนหมดทั่วทวีป ดินแดนแห่งสุดท้ายที่พวกเขาเหลืออยู่คือเหมืองเงินลับของเผ่าคนแคระที่ซ่อนอยู่ในทางตอนเหนือของทวีปด้านซ้าย

ที่นั่นกษัตริย์องค์สุดท้ายได้อ้อนวอนต่อเหลาทวยเทพ

[ได้โปรดมอบพลังที่จะทำลายผู้มีสายเลือดที่ชั่วร้ายและน่าชิงชังให้กับพวกเราด้วยเถิด]

หลังจากที่ได้อธิฐานไปนับพันวันและการสังเวยชีวิตของเอลฟ์นับร้อย ในที่สุดเหล่าทวยเทพก็ตอบรับ

{ราชาแห่งมนุษย์เอ๋ย จงดื่มเลือดอันน่าสะอิดสะเอียนนั้นและกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานเสียเอง แล้วพวกเราจะให้เจ้ายืมพลัง}

ด้วยความคับแค้นใจมากจนไม่อาจวัดไว้ กษัตริย์ทรงเชื่อฟัง

เพื่อเป็นการตอบสนอง เหล่าทวยก็แสดงปาฏิหาริย์

วิญญาณร้ายตอนนี้ได้สิงอยู่ในเงิน

พระราชาทรงวิงวอน

[โอ้ เงิน เกลียดชัง เผา สังหาร และล้างเผ่าพันธ์ต่างอื่นๆที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างเรา! นำความพินาศและกำจัดผู้ที่มีร่างกายอันน่ารังเกียจเหมือนกับข้าให้สิ้นซาก!]

เงินที่ได้รับพรนั้นกลายมาเป็นความหวังขององค์ราชา

เหล่าคนแคระได้สร้างอาวุธจำนวนมากจากเงิน

ราชาผู้น่าเกลียดอยู่หน้าแนวหอกดาบและธนูอันใหม่ ได้กล่าวคำพูดคำสุดท้ายของเขา

[ตอนนี้ละลูกๆของข้า มา“เริ่ม”กันเถอะ]

ในวันนั้นได้ให้กำเนิดราชานักล่าสัตว์ร้ายมากมาย

ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงล่ามนุษย์สัตว์ลงจนเกือบจะสูญพันธ์ แต่การต่อสู้ก็หยุดลงเนื่องจากความอ่อนเพลียและความเมตตา และเริ่มอยู่ร่วมกันอย่างสงบตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

เพื่อเป็นสัญลักษ์ของสันติภาพ อาวุธของเหล่านักล่าถูกนำไปหลอมเป็นเงินตราและถูกนำไปแพร่กระจายออกไปทั่วโลก หากวันใดวันหนึ่งสัตว์ร้ายได้หันคมเขี้ยวเข้าสู่มนุษย์อีกครั้งละก็เงินตราพวกนั้นก็จะกลายเป็นดาบ หอก และธนูและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์สัตว์ให้สูญสิ้นไปจริงๆครั้งนี้

ไม่มีใครรู้จักชื่อของเทพเจ้าที่ตอบสนองคำขอของมนุษย์

[………………………………]

ฉันเองก็มีข้อคิดเห็นหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มันไม่เหมาะสมที่จะให้คนนอกจะมาออกความคิดเห็นได้ง่ายอย่างงั้น

ฉันหยิบเหรียญเงินขึ้นมาดูแล้วเห็นว่ามีรูปของสัตว์ป่าสลักเอาไว้บนเหรียญ ฉันได้แต่สงสัยว่ามันเป็นรูปของราชามนุษย์หรือราชาแห่งสัตว์ร้ายกันแน่?

[ถึงแม้มนุษย์ปลาจะไม่ได้ฆ่ามนุษย์โดยตรงก็เถอะแต่พวกเราก็ช่วยมนุษย์สัตว์ข้ามทะเล พวกเราก็เลยถูกคำสาปเข้าไปด้วย]

[ผมขอโทษด้วยครับ]

[ถึงเจ้าจะขอโทษไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกเพราะว่าเจ้าไม่ใช่คนของที่นี่]

[นั่นก็ถูกครับ]

[สำหรับเหรียญทองแดงเองก็ใช้ไม่ได้ มันเป็นสนิมง่ายแล้วจะสร้างมลภาวะทางน้ำซะเปล่า]

ในอดีตเคยมีตำนานในญี่ปุ่นว่าทองแดงนั้นมีสารพิษอยู่

[อันที่จริงถ้าคุณเกโตไม่ว่าอะไรละก็ผมมีบางอย่างอยากจะถามครับ]

[เจ้าอยากถามอะไร?]

ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าตัวเองจะช่วยอะไรได้ก็ตาม โชคชะตาอุตส่าห์นำเรามาเจอกันทั้งทีฉันเองก็อยากจะรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

[ทำไมคุณถึงอยากได้เงินละครับ]

คุณเกโตได้พูดบางอย่างเอาไว้เมื่อวานว่า ชาวประมงสามารถมีชีวิตอยู่ลำพังก็ได้เนื่องจากพร(ความอุดมสมบูรณ์)ของทะเล แทบจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของบนบกเลย

ตราบใดที่พวกเขายังรักษาสัญญาและอาศัยอยู่ในห้วงทะเลลึก พวกมนุษย์เองก็ไม่สามารถทำอะไรได้

[ข้ามีหลานสาวอยู่ 5 คนน่ะ หลานคนสุดท้องได้ช่วยเหลือผู้ชายคนหนึ่งจากเรือสินค้าที่ถูกพายุพังทะลายเอาไว้ หลังจากที่ช่วยชายคนนั้นขึ้นฝั่งแล้วเธอแทบจะเป็นบ้าก็เอาแต่พูดถึงชายคนนั้นอยู่อย่างเดียว แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็หายไปหลังจากขโมยหนึ่งในสมบัติล้ำค่าจากพวกเรา สมบัตินั้นมีชื่อว่า กู บาริ ด้วยการแลกเปลี่ยนสิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ใช้ มันสามารถสร้างปาฏิหารให้ผู้ใช้เปลี่ยนร่างเป็นอะไรก็ได้ตามใจอยาก เห็นได้ชัดเจนว่าหลานสาวของข้าได้หนีตามผู้ชายไปแล้ว]

เหมือนกับเรื่องของนางเงือกน้อยเลย

[พวกข้าต่างถูกคนอื่นๆในชนเผ่าประนาม แต่ข้าคิดว่าไม่เป็นไรหรอกตราบใดที่นางมีความสุขข้าก็พอใจแล้ว แต่แล้ววันหนึ่งข้าถูกคนบางคนจากบริษัทฟินิกส์ตะวันตกเอลโอเมียบอกว่าอยากซื้อขายสินค้ากับข้า สินค้าที่พวกเขาอยากขายคือนางเงือกตนหนึ่งในราคา 4,000 เหรียญทอง]

ดูเหมือนนางเงือกน้อยจะไม่ได้สลายกลายเป็นฟองสบู่แต่กลายเป็นสินค้าของบริษัทแทน

ในโลกที่ขนมปังหนึ่งแถวราคา 1 เหรียญทองแดง ฉันนึกไม่ออกเลยว่าจะต้องทำยังไงถึงจะหาเงินจำนวน 4,000 เหรียญทองได้

[ลืมมันไปซะ ที่ข้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาข้าไม่อยากได้ความเห็นอกเห็นใจจากเจ้าหรอกน่ะ ข้าแค่ตอบคำถามของเจ้าตามตรง]

[อ่า ครับ]

และในจังหวะนั้นเอง

[อะไรเนี่ย กลิ่นหอมน่าอร่อยจัง]

สิ่งมีชีวิตสีเทาได้คลานออกมาจากเต๊น เจ้าตัวขี้เกียจค่อยๆยืดเส้นยืดสายจากนั้นก็อ้าปากกว้างหาวครั้งหนึ่ง

[อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านมิสุรานิกา]

ฉันไม่อยากจะยอมรับเลยซักนิด แต่ฉันไม่มีทางเลือกถ้าไม่เรียกโดยใช้คำนำหน้าแบบให้เกียรติ มันก็จะโวยวายส่งเสียงดังไม่หยุด

[โชยะ ไปเตรียมอาหารเช้ามาให้ข้าเสีย]

[ครับ ครับ]

ฉันหยิบเศษปลาต่างโลกที่ตากแห้งไว้เมื่อคืนและล้างน้ำเพื่อลดความเค็ม จากนั้นสะบัดเอาน้ำออกและฉีกเป็นชิ้นเล็กๆไว้ในจาน

[แล้วเจ้านี้มันอะไรกัน]

[ก็ปลาไง]

[นี่มันไม่ใช่ กลิ่นไม่เห็นเหมือนกันเลย ไม่ใช่ว่าเจ้าได้กินอะไรที่มันดีกว่านี้หรอ! ข้าพูดถูกใช่ไหม?! เจ้าคิดว่าปลาแห้งกากๆนี่เหมาะสมกับคนระดับอย่างข้าหรอ?! ช่างดูหมิ่นอะไรกันขนาดนี้! เอาดาบมาให้ข้า!]

มันเตะและนอนกลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนเด็กเวลางอแงเลย

[ไม่เป็นไร ถ้างั้นก็ไม่ต้องกิน]

ฉันจะให้มันกินเนื้อกระต่ายมีปีกที่บินผ่านไปเมื่อกี้แทน แม้จะดูฝืนธรรมชาติไปหน่อยแต่ฉันก็อยากให้มันชินกับการกินอาหารที่ได้จากมนุษย์

[ช้าก่อน]

แมวตัวนั้นเอาอุ้งเท้าหน้ามาวางไว้บนมือฉันที่กำลังจะหยิบจาน

[ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่กินเสียหน่อย]

[อย่างงั้นหรอ]

ถึงแม้จะบ่นเต็มไปหมดก็ตามแต่มันก็เริ่มแทะปลา คุณเกโตกำลังมองไปที่แมวด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย

[แมวนี่มันอะไรกัน โชยะ]

[แมวไงครับ หรือว่าในโลกนี้เรียกว่าอย่างอื่นครับ?]

[ไม่ล่ะ ก็เรียกแมวนั่นแหละแต่ความจริงที่มันพูดอยู่เนี่ยสิ…….อื่ม ไม่แน่บางที…. วันนี้ข้ากินและพูดเยอะเกินไปละ ข้าขอตัวกลับก่อนน่ะ]

ในขณะที่กลับ คุณเกโตก็บ่นอุ๊บอิบ

[มิสุรานิกา? อื่มม…. เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนซักแห่งแต่อิ่มจนคิดอะไรไม่ออกเลยวุ้ย]

เขากระโดดลงไปในแม่นน้ำและค่อยๆหายไป

[ถึงของจะชั้นต่ำไปหน่อย แต่ก็พอที่จะทำให้ข้าคนนี้พอใจได้]

[โอ้ งั้นหรอ]

ท่านมิสุรานิกาทำท่าทางพอใจถึงแม้จะบ่นนู่นนี่ไม่หยุดกำลังใช้ลิ้นเลียทำความสะอาดปากตัวเอง

[ข้าไปนอนละ อย่าลืมปลุกข้าหลังข้าวกลางวันเสร็จด้วย ครั้งหน้าเตรียมเนื้ออย่างอื่นที่ไม่ใข่ปลาให้ข้าด้วย]

แล้วมันก็หายกลับเข้าไปในเต๊นเหมือนเดิม

มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่จะเอาแต่กินกับนอนจริงดิ?

แมวเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างงี้แหละ แต่ฉันทำใจยอมรับมันไม่ได้ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าหากมันทำได้แค่ร้องเหมี๊ยวๆไปวันๆ ในเวลาที่ยากลำบากการแสดงความรักกับสิ่งมีชีวิตที่มีความฉลาดต่ำกว่ามันก็ช่วยให้รู้สึกสบายใจอยู่หรอก แต่เจ้านี่ดันพูดได้ใม่พอ ยังหน้าด้านหน้าทนอีก ไม่มีความน่ารักของแมวเหลือเลยซักนิด

{คุณโซวยะ แมวน่ารักมาก! มาคินารักกกกกแมวที่สุด!}

[เห…..งั้นหรอ]

มาคินาแสดงสีหน้ามีความสุขระหว่างที่พูดถึงแมว ประการแรกฉันสั่งไม่ให้หุ่นกระป๋องนี่พูดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ไม่ใช่ว่าเจ้าเศษเหล็กนี่ไร้ความสามารถอย่างแท้จริงหรอกหรอ? หรือว่ามันรู้สึกสงสารแมว? มันน่าจะเป็นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจมากกว่า

 

“การค้นหาพระเจ้าในวันนี้ฉบับที่หนึ่ง” ตีพิมพ์ครั้งแรก

อธิบายอย่างสั้นๆก็ประสบความล้มเหลวอย่างงดงาม

[เป็นไปตามคาด]

เอเว๊ตต้าได้พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าสดชื่น ขอร้องละอย่างน้อยก็ช่วยกลับด้านรอยยิ้ม 🙂 ใหนฉันหน่อยเถอะ 🙁

[แต่ฉันมีความติดดีๆอยู่]

[จริงหรอ?]

[แต่เอาไว้หลังกินข้าวเสร็จละกัน]

ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปกินข้าวที่ร้านที่ฉันถูกปฏิเสธเมื่อวานตามที่ฉันเสนอตัวว่าจะเลี้ยง แน่นอนว่าฉันเป็นคนจ่ายอีกครั้ง

[โอ้ว เจ้าคนไร้ความฝันที่อยากเป็นนักผจญภัยกับอดีตนักผจญภัยนี่นามีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า?]

[มาสเตอร์ ขอหมูดันเจี้ยนย่างเกลือ ผักป่าผัดขนาดใหญ่พิเศษ ซุปเต่ากินหิน และขนมปังนุ่มๆราดด้วยน้ำผึ้งอย่างดี ขออย่างละ 3 ที่เลยค่าาา แต่ฉันยังดื่มไม่ได้ยังไม่เลิกงานขอเป็นนมแทนละกันนะคะ]

[โอเค!]

เธอสั่งเยอะมากเลย ฉันละสงสัยจังว่าฉันจะขอเขาห่ออาหารที่เหลือกลับได้ไหมถ้าเกิดพวกเรากินไม่หมด

[เออ….คุณเอเว็ตต้าครับ เช้านี้ผมกินมาค่อนข้างเยอะเลย]

[งั้นโซยะอยากกินอะไรล่ะ?]

ทั้งหมดนั่นของคุณเธอคนเดียวหรอกเหรอ?! แถมจ่ายด้วยเงินของคนอื่น!

ฉันสั่งของทานเล่นเบาๆตามเชฟแนะนำ เบคอนหนา 2 ชิ้นและถั่วฝักยาวดองมาในชาม รสชาติไม่เลวเลยแต่ปรุงง่ายไปหน่อย เกลือ เกรวี่จากหมู และรสเปรียวจากถั่วเท่านั้น

ข้างๆฉันมีคุณเอเว็ตต้ากำลังทานอาหารแบบงานฉลองของราชวงศ์ฮั่นโดยเริ่มจากปรายด้านหนึ่งไปอีกด้านดูเหมือนเธอกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการทานเลย เธอกินอย่างเอร็ดอร่อย ผู้หญิงในโลกนี้กินดุแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่านะ?

พวกเราทั้งสองพยายามทานอาหารของตัวเองไปเงียบๆช่วงหนึ่ง

แต่ฉันรู้สึกเซ็งและเบื่อกับรสชาติของถั่วแล้ว แต่ฉันไม่อยากกินทิ้งกินขว้าง เลยพยายามยัดลงไปอีกครั้งแต่ก็เบื่อเหมือนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้สึกเสร้าขึ้นมาเลย ตอนนี่นเองที่ฉันเป็นฝ่ายพูดคนแรก

[จะว่าไปผมเก็บแมวตัวเมื่อวานไปเลี้ยงด้วยละครับ]

[นี่คุณเสียสติไปแล้วหรอ?]

คุณเอเว็ตต้าพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจในขณะที่ถือจานผัดผักป่า

[แมว! นี่หมายถึงพวกแมวที่มีตาที่แคบ ลิ้นสากๆ และหางตั้งได้ใช่ไหม? แมวที่สามารถสูบวิญญาณได้อ่ะนะ?]

เธอหยุดกินด้วยละ

[นี่คุณเกลียดแมวงั้นหรอครับ?]

[หาาา?! เห็นแบบนี้ฉันก็เป็นนักผจญที่มีฝีมือน่ะของอย่างแมวนะไม่เห็นน่ากลัวเลย! ค..แค่แมวเองไม่เห็นกลัวเลยซักนิด!]

ฉันคิดว่าเธอดูวอกแวกอย่างมาก ความตึงเครียดทำให้เธอโซ้ยอาหารไวกว่าเดิมเสียอีก

อ้า ฉันลืมให้อาหารท่านมิสุรานิกา

ในขณะที่กำลังจะขอให้มาคินาเปิดปลากระป๋องหรืออะไรซักอย่างไปก่อนก็ได้รับสัญญาณเตือนฉุกเฉินโผล่ขึ้นมาอยู่บนจอข้างในแว่นตามันมาจากอิโซล่า ไม่ใช่มาคินา

[เกิดอะไรขึ้น?]

 {แคมป์ถูกโจม กรุณากลับมาด่วน!}

 

ระยะห่างจากในเมืองไปแคมป์ประมาณ 5 กิโลเมตร

หลังจากการสื่อสารครั้งนั้นระบบก็ล่มไม่สามารถติดต่อได้ทั้งมาคินาและอิโซล่า สถานการณ์ไม่แน่นอนตอนแรกก็คิดวาจะใช้ประโยชน์จากการที่คุณเอเว็ตต้าอยู่กับฉัน แต่พอนึกถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นถ้าฉันดึงเธอเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วละก็(เทคโนโลยีรั่วไหล) ฉันรีบจ่ายเงินและวิ่งออกจากบาร์คนเดียว

ข้างนอกมืดและมีเมฆมากเหมือนกับความรู้สึกในใจฉัน

เมื่อพิจารณาว่าอาจจะเกิดการต่อสู้หลังจากที่ฉันเดินทางไปถึง ฉันก็พยายามวิ่งให้เร็วที่สุดแต่ก็เผื่อแรงไว้ส่วนหนึ่ง

เมื่อฉันเริ่มมองเห็นแคมป์ในระยะสายตา ฉันหมอบลงกับพื้นและมองผ่านกล้องส่องทางไกล แคมป์ของฉันถูกทำลาย เต้นของฉันปลิวหายไป ห้องครัวแบบง่ายๆของฉันถูกทุบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และสัมภาระถูกรื้อกระจายเต็มไปหมด

เต้นที่ถูกใช้เก็บตู้คอนเทนเนอร์ถูกฉีกเป็นชิ้นๆและภายในถูกเปิดออก เนื่องจากฉันไม่รู้ว่าจะถูกซุ่มโจมตีไหม ฉันเลยคลานเข้ามาใกล้ๆ

ในขณะที่ถือปืน AK ไว้ ฉันก็พยายามมองอย่างไม่ละสายตา ฉันพยายามทำให้ร่างส่วนข้างบนนิ่งที่สุด แล้วค่อยๆสำรวจตามจุดบอดของแคมป์แต่ละที่ และไม่ลืมที่จะมองกับดัก มันคงใม่มีพวกกับระเบิดก็ตามแต่ถ้าฉันถูกยาพิษจากโลกนี้เล่นงานละก็ ฉันไม่รอดแน่ยิ่งไม่มีมาคินาสนับสนุนในตอนนี้ด้วย

ฉันได้แต่กัดระงับความรู้สึกอยากหายใจให้เร็วขึ้นเนื่องจากฉันรู้สึกตื่นตระหนก ฉันเจอมาคินาถูกทับติดอยู่ฉันได้แต่ภาวนาและขยับมือหมุนมันหาหน้ามันอย่างช้าๆ

[……………………………]

ไม่มีร่องรอยความเสียหานที่เห็นอย่างชัดเจนมีเพียงรอยเท้าและรอยดิน ฉันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

[AIJ006 Makina • Oddeye เปิดเครื่องได้]

{…………………….การยืนยันการระบุตนผ่านเสียงของผู้ใช้ที่ลงทะเบียนแล้ว ปลดโหมดล็อกตัวเองและเริ่มต้นกู้คืนระบบ กำลังเริ่มต้น กำลังเริ่มต้น ยืนยันเป็นอุปกรณ์ที่ไม่รู้จัก เครื่องมือล่าสุดไม่ได้รับการรองรับจากระบบ หากคุณใช้เครื่องมือ–}

[บังคับใช้งานอิโซล่า]

ฉันเร่งกระบวนการทำงาน

{รับทราบ เปิดใช้งาน อัตราการประสิทธิภาพการทำงานเหลือ 30 เปอร์เซ็นต์}

หลังจากที่หน้าจอแสดงผลหยุดนิ่งและเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง อุปกรณ์รูปแบบแว่นตาก็กลับมาใช้การได้เพื่อเป็นการไม่สร้างภาระให้กับอิโซล่า ฉันสั่งคำสั่งสั้นๆแต่ชัดเจนออกไป

[คำสั่งทำการแสกนชีพจรและทำการระบุตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตที่มีสีแดง]

{แสกนชีพจรทำงาน กำลังแสกน……….ไม่พบสิ่งมีชีวิต}

ระยะตรวจจับชีพจรคือ 100 เมตร อย่างน้อยก็ยืนยังได้ว่าไม่มีคนดักซุ่มโจมตี

อย่างน้อยในตอนนี้ ฉันก็สงบใจลงได้เปราะหนึ่ง

[คำสั่ง ฉายภาพถ่ายทางอากาศในรัศมี 2 กิโลเมตรและนำขึ้นจอแสดงผล ทำการซูมภาพถ้าหากใครเข้าใกล้]

{รับทราบ ปล่อยโดรนตรวจจับอัตโนมัติ เริ่มนำภาพขึ้นหน้าจอ}

ฉันลดปืนลงและเข้าไปตั้งมาคินาให้ตรง ถึงฉันจะเป็นมือสมัครเล่นก็ตามอย่าง น้อยก็พอจะบอกได้ว่าไม่มีความผิดปกติในระบบสมองประมวลผลหรือความสามารถ แต่เนื่องจากหุ่นรุ่นนี้มันพังมาตั้งแต่แรกฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะมีสิ่งเร้าอะไรมากระตุ้นให้เกิดอาการผิดปกติหรือเปล่า

[คำถาม นานแค่ไหนกว่าจะกู้ข้อมูลกลับมาได้ทั้งหมด?]

{ไม่รู้ ประสิทธิภาพเหลือ 18 เปอร์เซ็นต์และกำลังลดลง}

ไม่ได้การ

[คำถาม หากรีสตาร์ท จะใช้ระยะเวลานานแค่ไหนในการกู้ข้อมูล]

{ไม่รู้}

[คำถาม เกิดอะไรขึ้น?]

{แคมป์ถูกโจมตีโดยผู้ชาย 3 คน เครื่องติดตามถูกติดไว้กับหนึ่งในสมาชิก}

[แสดงภาพเป้าหมาย]

{รับทราบ}

ภาพจุดสีแดงปรากฏบนแผนที่ในเมืองที่แสดงบนแว่นตา ถึงไม่เกี่ยวกัน แต่ฉันเหลือบไปเห็นบางอย่างบริเวณหางตาเมื่อฉันหันไปมองฉันก็รู้สึกสั่นไปทั้งตัว

[โดนขโมยอะไรไปบ้าง?]

{ตู้คอนเทนเนอร์อาวุธปืนและตู้คอนเทนเนอร์อุปกรณ์การแพทย์}

ก็พอจะเดาๆได้อยู่หรอก แต่พอเห็นจริงๆแล้วพูดไม่ออกเลย ทั้งหมดทั้งมวลทำไมต้องเป็นพวกนี้ด้วย  ตู้คอนเทนเนอร์ทั้ง 2 อย่างเป็นเหมือนเส้นชีวิตของฉัน

ตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกขโมยไปนั้นถูกล็อกไว้อยู่ หรือว่าพวกมันรู้ว่ามันถูกล็อกเราะมีของมีค่าอยู่ข้างใน?

[แสดงที่อยู่ปัจจุบันของตู้คอนเทนเนอร์ เธอวางเครื่องติดตามไว้อยู่ใช่ไหม?]

{เป็นไปไม่ได้ประสิทธิภาพเหลือ 5 เปอร์เซ็นต์ ฝนกำลังจะตกจะส่งสัญญาณเรียกโดรนกลับเข้ามาทั้งหมด โซวยะได้โปรดซ่อนตัวด้วยค่ะ กรุณาอย่าทำอะไรบ้าบิ่นไม่มีการสนับสนุนจากฉั……}

พลังงานหมดไปแล้ว

หน้าจอแสดงผลเปลี่ยนไปและมิเตอร์สตาร์ทเหมือนจะค้างที่ 1 เปอร์เซ็นต์ ฝนเริ่มที่จะตกลงมาฉันคิดอะไรไม่ออกเลย สมองของมนุษย์นั้นจะหยุดทำงานเมื่อมีเรื่องให้คิดเยอะเกินไป

[…………]

ถ้าดูจากนาฬิการ่างกาย มันน่าจะใช้เวลาราว 5 นาทีสมองฉันถึงกลับมาทำงานอีกครั้ง

แถวนี้มันอันตราย ฉันควรจะไปดีไหม? ฉันควรจะไปอยู่ในเมืองก่อน? ไม่แบบนั้นยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่ หรือว่าฉันควรจะไปขอความช่วยเหลือจากคุณเอเว็ตต้าที่กิลด์นักผจญภัย? ถ้าเธอไม่อยู่ละ? ไม่สิเราสามารถเชื่อใจเธอได้หรือเปล่า? หรือว่าในเมืองจริงๆแล้วอันตรายกันแน่ ฉันไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจทำอะไรดี

ฉันขอยอมแพ้

นี่คงเป็นจุดจบชองมนุษย์ที่เพิ่งพาอุปกรณ์สมัยใหม่มากเกินไปสินะ แม้ว่าฉันจะพยายามคิดแผนป้องกันตัวเองยังไงก็ไม่ออกเลย

เพื่อที่จะลดความคิดที่สับสนของตัวเอง ฉันจึงเริ่มจะเก็บข้าวของที่กระจักกระจาย การทำอะไรง่ายๆแบบนี้น่าจะช่วยให้ฉันคิดอะไรออกบ้าง หรือนี่เป็นอีกวิธีการหนีความจริงก็ไม่รู้

และ

[เพราะอย่างงี้ถึงได้แสกนชีพจรไม่พบสิ่งมีชีวิตสิน่ะ]

ฉันเจอกับซากแมว

มีร่องรอยถูกหอกหรือดาบแทงอยู่บริเวณท้องและมันอ้วกออกมาเป็นเลือด

ทั้งๆจะหนีไปก็ได้แท้ๆ มันคงต่อสู้อย่างกล้าหาญจนตายนั่นเป็นสิ่งที่ฉันเลือกที่จะเชื่อ ไม่ว่าใครก็ตามที่เสียชีวิตควรที่จะได้รับการการประดับเล็กน้อย

ฉันขุดหลุมห่างออกจากแคมป์ออกไปจากนั้นก็ฝังมัน

หาเศษไม้ที่มีขนาดพอเหมาะแล้วฉันก็เขียน {หลุมฝังศพของมิสุรานิกา} โดยใช้ปากกาเมจิเพื่อทำเป็นป้ายหลุมศพ

แล้วฉันก็พนมมือ

ละอองฝนอันอบอุ่นทำให้หลังของฉันเปียก

นานมากๆแล้วที้ฉันไม่เคยรู้เลยว่าฉันควรทำอะไรในช่วงเวลาเหล่านี้

น่าจะประมาณนี้ละมั้ง ฉันแต่มองเช็คของตกแต่งหลุมศพ

หลังจากนี้ก็ทำเพื่อยกความความเศร้าโศกออกไป

ฉันถอดแว่นตาที่ดูไม่เข้ากับฉันออกจากนั้นก็นับจำนวนกระสุนที่เหลือ มันมีมากพอสำหรับคน 3 คน แต่ฉันเดาว่ามันคงมีพวกมากกว่านี้แน่ ฉันพยายามยัดเยียดแผนผังของเมืองนี้เข้าไปในสมองอันน้อยนิดของฉันเมื่อตอนเดินทางหาพระเจ้าที่จะทำสัญญา ฉันพอจะจำจุดสีแดงที่โชวในแผนที่ได้รางๆแล้วละ

[ขอโทษน่ะอิโซล่า มาคินาฉันจะขอไปทำอะไรที่บ้าบิ่นหน่อยนะ]

 

ยิ่งแสงส่องสว่างสไหวและมีชีวิตชีวามากเท่าไรก็ย่อมมีความมืดอันเงียบหงันและสกปรกโสมมมากเท่านั้น

เจ้าพวกสามคนนั้นถึงได้มาซ่อนในที่แบบนี้

อีกฝั่งของเมื่อที่เป็นที่อยู่ของพวกขี้แพ้ พวกที่ความฝันเกี่ยวกับการผจญภัยในดันเจี้ยนแหลกสลายได้มารวมตัวกัน มันเป็นสถานที่ของเหล่าคนโง่เขลาที่ไม่มีแรงบรรดาลใจที่จะทำแบบนั้นตั้งแต่แรกมารวมตัวกัน แต่ไม่ได้แย่เหมือนสลัม แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ว่าเมื่อเดินเข้าไปแล้วจะเจออะไร

ฉันพูดในส่วนที่พวกเขาซ่อนตัวผิด

เจ้าพวกดูเหมือนจะไม่มีสมองอยู่เลย

อาคารกึ่งชั้นไต้ดินมีบันไดอันหนึ่งใช้ลงไปยังชั้นไต้ดินและในส่วนข้างบนดูเหมือนจะเป็นโกดังเก็บของ ฟังจากเสียงและแสงไฟที่ลอดออกมาทางหน้าต่างระบายอากาศของชั้นไต้ดิน เจ้าพวกนี้น่าจะดื่มเหล้าหลังจากที่คิดว่าตัวเองกำลังรวยเละ เสียงร้องเพลงห่วยๆและเสียงหัวเราะดังลั่นได้ยินเป็นระยะๆ เมื่อฉันฟังจากเสียงแล้วน่าจะมีกันแค่สามคน

ความรู้สึกโกรธแค้นที่ฉันพยายามจะกดไว้โดยไม่รู้ตัวกำลังจะระเบิดออกมา

ฉันพยายามใจเย็นแล้วไปเคาะประตูของบ้านที่อยู่ข้างๆทั้งสองข้าง ที่อยู่ด้านขวามือเป็นบ้านของมนุษย์สัตว์ที่มีเด็กเล็กๆกำลังทำทาทางสับสน และเขาเริ่มผ่อนคลายลงเมื่อฉันยื่นเหรียญทองให้

[ขอโทษน่ะครับ เดี๋ยวจะมีเสียงดังนิดหน่อย]

[อยากทำอะไรก็ทำ]

เขาตอบมาแบบนี้

ที่อยู่ทางด้านซ้ายเป็นบ้านของหญิงชรา เมื่อฉันบอกเธอว่าเดี๋ยวจะมีเสียงดังเธอก็ตอบว่า เธอไม่คิดมากเพราะหูเธอกำลังจะตึง ฉันยื่นเหรียญทองสำหรับความไม่สะดวกให้เธออยู่ดี

ตอนนี้ ฉันรู้สึกสงบใจลงอย่างไม่มีข้อสงสัยเลยว่าหัวเย็นลง

เหรียญทองหนึ่งเหรียญถูกโยนผ่านเข้าทางหน้าต่างระบายอากาศ

ทันทีที่ฉันได้ยินเสียงตกกระทบกับพื้นฉันรีบวิ่งลงไปกระแทกประตูจนพังด้วยแรงเหวี่ยง

มีคนอยู่ด้านขวาหนึ่งคนและอีกสองคนด้านซ้าย ฉันลั่นกระสุน AK ออกไปที่พวกสองคนทางซ้ายในขณะที่เดินเข้าห้อง ฝาผนังและพื้นมีแต่เลือดกระเซ็นเต็มไปหมด หูของฉันอื้อไปเหมดเพราะได้ยินเสียงปืนในห้องแคบๆ

ฉันดึง M1911 Governmentออกมาแล้วยิงไปที่เข่าของชายที่อยู่ด้านขวา เขาล้มลงไปในขณะที่กำลังจะชักดาบออกมา ฉันยิงไปที่ศอกและมือของเขาอีกครั้ง มันร้องออกมาเหมือนหมาเลย

ฉันยืนขึ้นในขณะที่ถือปืนเตรียมไว้พร้อม ถือตะเกียงที่อยู่ในห้อง ฉันเพิ่งสังเกตุว่าห้องนั้นแคบและมืดมาก ขวดหล้าค่อยๆตกลงมาจากโต๊ะโทรมๆนั่น มีแค่เก้าอี้ โซ่เหล็ก และเชือกห้อยลงมาจากเพดาน ไม่มีศัตรูคนอื่น

[ฉันมีอะไรอยากจะถามแกหน่อย]

[อุ๊ป ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า]

ชายคนนั้นเรื่มหัวเราอย่างเต็มที่ นี่ฉันเผลอยิงที่แปลกๆเข้าไปเหรอ? ลองฝังลูกตะกั่วเข้าไปในหัวมันอีกซักนัดสองนัดดีไหม?

[แก!]

เมื่อฉันเข้าไปใกล้ชายคนนั้น แสงไฟจากตะเกียงก็ส่องให้เห็นใบหน้าของมัน

ฉันจำใบหน้านี้ได้ ถ้าจำไม่ผิดฉันใช้ด้ามปืน AK หักกรามของมันไปเมื่อสองวันก่อนนี่นา ถ้าจำไม่ผิดละก็มันไม่ควรที่จะหัวเราะแบบนี้ได้ เวทย์มนต์งั้นหรอ? บาดแผลขนาดนั้นเป็นอะไรที่รักษาได้เร็วขนาดนี้เชียว?

[อาวุธจากต่างแดนนี่มันน่าทึ่งจริงๆเลยน้า แต่แกรู้ไหม? ว่าแกนะดูถูกนักผจญภัยเกินไปโว้ย!]

[หืมม?]

ฉันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาข้างหลัง รู้ตัวอีกทีฉันก็ถูกตีปลิวไปกระแทกกับกำแพง ฉันเผลอถอนหายใจออกมา

แกต้องล้อกันเล่นแน่

ชายที่น่าจะถูกยิงบาดเจ็บสาหัสถือเก้าอี้หักๆในมือ นี่ฉันถูกตีด้วยเก้าอี้งั้นหรอ? ไม่สิ ทำไมมันยังสามารถขยับได้อีกถูกยิงไปด้วยปืนไรเฟิลเชียวนะ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ในขณะที่ฉันยังงงๆอยู่

[ดูซะ ของพรรคนี้น่ะ]

รูที่อยู่บนมือชองชายคนนั้นกำลังรักษาตัวเองเหมือนกับว่ามันถูกย้อนเวลาอะไรยังไงยังงั้น เจ้านั่นชักดาบยาวมาก่อนที่จะมองไปที่ดาบของมัน เมือเห็นแบบนั้น ฉันก็เข้าใจโดยที่ไม่ต้องอธิบายใดๆ

[ถ้างั้นก็ ตายไปซะ]

อย่ามาล้อกันเล่นน่ะโว้ย!!!

*********************************************************************************************************************************************************คุยกันท้ายเรื่อง

ในที่สุดก็มาถึงตอนที่ 1 ของมังงะ เพิ่งจะรู้ว่าแปลนิยายจะสูบพลังชีวิตขนาดนี้ รู้สึกผิดที่เลยที่แอบคิดว่าทำไมเรื่อง…. แปลช้าจัง พอมาเจอกับตัวถึงได้รู้สึก

 

หลายๆคนคงสงสัยมีแค่คนเหรอที่ถือเงินได้?! ในเรื่องนี้เผ่ามนุษย์นั้นใช้ชื่อว่า“ฮีมู”มนุษย์ที่คนแต่งกล่าวไว้น่าจะพูดแบบกว้างๆเหมารวม เผ่าฮีมู เผ่าเอลฟ์ เผ่าคนแคระ และเผ่าอื่นๆรวมไปด้วย และสาปแช่งเฉพาะมนุษย์สัตว์ เช่นเผ่าหูแมว เผ่ามนุษย์ปลา(อยากใช้ว่ามนุษย์เงือกเหลือเกินแต่กลัวคนแต่งจับประเด็นนี้ไปเล่นทีหลัง) ไรงี้

มาถึงช่วงแกะคำใบ้กัน *คำเตือนอย่าเชื่อให้มากเสพกาวเกินขนาดอาจำให้เพ้อได้

หอคอยโอโดริจิที่เล่าว่าหล่นจากสวรรค์นั้นไม่แน่ในอนาคตคนแต่งอาจจะเขียนเกี่ยวกันเกาะลอยฟ้าก็ได้ใครจะรู้

อีกอย่างเกี่ยวกับเรื่องเล่าเมื่อย้อนกลับไปในอดีต เผ่าเอลฟ์และคนแคระไม่น่าจะอยู่เป็นมิตรกับฮีมูเท่าไร เผลอๆอาจจะมีปลอกคอใช้งานเป็นทาสก็ได้เพราะมีแค่เอลฟ์ที่โดนจับไปบูชายันไม่มีเผ่าฮีมูอยู่ด้วย ถ้าเป็นมิตรกันจริงๆละก็ไม่มื่งที่เอลฟ์ในป่าฮิวเรียส์จะฆ่าฮีมูที่หลงเข้าไปได้หรอก คุณเกโดเองก็ไม่ได้พูดถึงเมืองของคนแคระคิดว่าสถานะคงไม่ต่างกันเท่าไร

ไม่รู้มีใครทันสังเกตุไหมหุ่นถึงเรีย โซวยะ แต่ทำไมคนในโลกนี้ถึงเรียกโชยะ

แล้วทำไมเวลาพระเจ้าพูดนั้นใช้ {} เหมือนกับ………. หุหุหุมีคำถามโผล่ขึ้นเยอะแยะเลย

ใครที่ชอบก็ฝากติดตามผลงานด้วยน้า

Options

not work with dark mode
Reset