Ihoujin, Dungeon ni Moguru 4.1: The Foreigner, Can’t Explore the Dungeon III

ตอนที่ 4.1: The Foreigner, Can’t Explore the Dungeon III

<วันที่ 4 >

 

ที่นี่เป็นเมืองแห่งนักผจญภัย

และแน่นนอนเรื่องทะเลาะกันระหว่างนักผจญภัยถือว่าเป็นเรื่องปกติ มันคงจะเป็นเรื่องธรรมดาถ้าคุณได้ลองคิดดู

นักผจญภัยต่างก็ใช้ชีวิตแบบนั้น

การทะเลาะกันระหว่างสมาชิกในปาร์ตี้เพราะส่วนแบ่งมักจะลงเอยด้วย การขโมย การปล้น การสังหาร การหลอกลวง และการต่อล้อต่อเถีย นอกจากการทะเลาะกันในบาร์แล้วมันเป็นหน้าที่ของสมาคมนักผจญภัยที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยระหว่างสมาชิกและแก้ปัญหาอะไรแบบนั้น

คุณเอเว็ตต้าที่ดูแลฉันเคยเล่าให้ฉันฟังแบบนั้น

ตอนนั้นฉันได้ถามไปคำถามหนึ่งว่า

แล้วการทะเลาะกันระหว่างนักผจญภัยกับคนที่ไม่ใช่นักผจญภัยล่ะใครจะมาไกล่เกลี่ย?

มันก็จะกลายเป็นปัญหายุ่งยากแบบนี้ไง

สมาคมนักผจญภัยที่นี่ดำเนินการภายไต้ระบบราชาธิปไตยของอาณาจักรเลมูเรีย กษัตริย์องค์ปัจจุบันมีชื่อเสียงในฐานะที่เคยเป็นอดีตนักผจญภัย องค์ราชาได้ทำให้สมาคมนักผจญภัยทำงานเป็นอิสระจากศูนย์กลางสหภาพสมาคมนักผจญภัยที่คอยควบคุมสมาคมนักผจญภัยอีกที

การเป็นสมาคมอิสระนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเนื่องจากการส่งกำลังพลไปสนับสนุนสมาคมพื้นที่เขตอื่นๆนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงและสหภาพเองก็ให้ค่าตอบแทนต่ำ นอกจากนี้ที่นี่เป็นโลกที่การเดินทางไปมาระหว่างสถานที่ต่างๆนั้นใช้เวลานาน อีกทั้งยังมีอันตรายจากการข้ามทะเล หากกำลังพลที่ส่งไปสนับสนุนสมาคมไปไม่ถึงมันจะสร้างภาระเพิ่มเติมให้กับกำลังพลที่ถูกส่งไปถึงก่อนหน้านี้ ถ้าหากธุรกิจหยุดชะงักหรือสมาคมล้มละลายเหล่านักผจญภัยและนักผจญภัยที่มักมากก็กลายเป็นม็อบจลาจล มันไม่มีข้อเสียสำหรับสหภาพถ้าหากสมาคมนักผจญภัยสามารถคำเนินการด้วยตัวคนเดียว

อย่างไรก็ตามเมื่อต้องดำเนินการสมาคมนักผจญภัยอย่างอิสระนั้นมันจะมีปัญหาเกิดขึ้นเสมอๆ

หนึ่งในนั้นคือการทะเลาะกันระหว่างนักผจญภัยกับผู้คนที่ไม่ใช่นักผจญภัย

ทุกๆคนในเมืองต่างก็รู้ว่าพระราชาเคยเป็นนักผจญภัยที่เก่งกาจ

หากไม่นับความผิดร้ายแรงแล้ว ถ้าองค์ราชาเข้าข้างนักผจญภัยแล้วละก็เหล่าคนที่ไม่ใช่นักผจญภัยก็จะกล่าวหาว่า

[ตามคาดยังไงราชาแห่งนักผจญภัยก็ต้องเข้าข้างนักผจญภัยสินะ]

ถ้าหากองค์ราชาเข้าข้างคนที่ไม่ใช่นักผจญภัยแล้วละก็

[องค์ราชาได้หลงลืมหัวใจของนักผจญภัยไปแล้ว!]

เรื่องมันก็จะลงเอยตามนี้

ถึงแม้ท่านจะเป็นกษัตริย์แต่ก่อนก็เคยเป็นนักผจญภัย แต่นั่นในสายตาของชาวบ้านนั้น แทนที่จะมองว่าเป็นราชา ทุกคนต่างมองว่าท่านเป็นนักผจญภัยผู้โด่งดังที่ชื่อ เลมูเรีย โอรู อัลมาเกสต์ ราซวา

ถ้าหากประชาชนส่วนใหญ่เป็นทาสติดที่ดินละก็มันน่าจะดีกว่าถ้าจะให้ชื่อเสียงของท่านเป็นสิ่งสำคัญรองลงมา

แต่นักผจญภัยนั้นเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการต่อสู้ยอดเยี่ยมท่านจึงต้องนำเรื่องนี้มาคิดด้วย เพราะว่าในหมู่นักผจญภัยก็มีสัตว์ประหลาดที่สามารถทำลายประเทศได้เพียงลำพังตัวคนเดียวด้วย

คิดว่าปัญหาจะถูกแก้ถ้าหากท่านให้สิทธิพิเศษกับเหล่านักผจญภัยเหรอ? คำตอบคือไม่!

เพียงเพราะเมืองนี้ถูกเรียกว่าเมืองแห่งนักผจญภัยไม่ได้หมายความว่าที่นี่มีแต่นักผจญภัยเท่านั้น พ่อค้าที่ซื้อขายและแจกจ่ายวัตถุดิบเองก็จำเป็น ช่างฝีมือที่แปลรูปวัตถุดิบและสร้างอาวุธเองก็ถือว่าจำเป็น พ่อครัวผู้ทำอาหารให้ผู้คนกินอิ่มท้องเองก็จำเป็น ช่างที่สร้างบ้านให้ผู้คนอยู่อาศัยเองก็จำเป็น ทาสติดที่ดินที่คอยปลูกธัญพืชเองก็จำเป็น คนที่คอยสร้างความบันเทิงและมอบการพักผ่อนให้กับคนอื่นก็จำเป็น มันคงไม่จบไม่สิ้นถ้าหากจะต้องลิสต์รายการของพวกคนที่จำเป็นทั้งหลาย

หลังจากทนทุกข์ทรมารกับปัญหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราชาได้หันมาใช้วิธีแก้ปัญหาอื่นแทนถึงแม้ว่ามันจะขัดกับจุดประสงค์ของการเป็นอิสระแต่แรกก็ตาม

ราชอาณาจักรเลมูเรียได้เข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรราชาธิปไตยของทวีปกลางและขอความช่วยเหลือให้เขาส่งกำลังสารวัตรทหารมาประจำการ

บทบาทของสารวัตรทหารนี้ต้องขอบคุณกี่ครั้งก็ยังไม่พอ

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต้องรับความเกลียดชังจากพวกนักผจญภัยที่เก่งเหมือนสัตว์ประหลาด บอกได้เลยว่างานของพวกเขานั้นไม่ง่ายเลย ถึงแม้คุณจะพยายามขู่พวกเขาหรือว่าวางแผนร้ายทำอะไรก็ไม่เป็นผล เนื่องจากเบื้องบนของพวกเขาก็ไม่สามารถส่งคนในกองทัพจำนวนมากเข้ามายังประเทศอื่นได้ ถึงแม้จะเป็นประเทศของพันธมิตรก็ตาม ดังนั้นจึงมีแต่เหล่าหัวกะทิเท่านั้นที่ได้รับเลือกส่งไปประจำการ

ฉันได้มองหาสารวัตรทหารที่ว่านี้มาตั้งแต่เมื่อวานละเพราะว่าฉันไปมีเรื่องกับนักผจญภัยบางคนมาก่อน แต่ตอนนี้ฉันกำลังจะตายจากอาการบาดเจ็บและอาการเหนื่อยล้า

ไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันจะมาตายตั้งแต่ยังไม่ได้ออกสำรวจดันเจี้ยน หากเป็นในเกมละก็ฉันเกมโอเวอร์ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มโหมดฝึกซ้อมด้วยซ้ำ

ฉันได้ใช้ชีวิตล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตให้สมกับชื่อตัวเองด้วยซ้ำ น้องสาวฉันเองก็เป็นพวกที่ไร้โชคทั้งๆที่มีชื่อดีแท้ๆ เกิดบ้าอะไรขึ้นกับพวกเราสองคนเนี่ย(ชื่อของสองคนนี้ตั้งตามเรือนำโชค) ถ้าหากว่ามันมีของนำโชคอยู่ในโลกจริงๆละก็ฉันเองก็จะเอากลับบ้านเหมือนกัน!

เพราะงั้นฉันต้องมีชีวิตรอดและไปสำรวจดันเจี้ยน

ฉันพยายามเดินไปข้างหน้าด้วยการลากขา มีเด็กคนหนึ่งใช้มีชี้มาที่ฉันแล้วโดนผู้ปกครองดุว่า[อย่ามอง] นี่สภาพฉันดูแย่ขนาดนั้นเลยหรอ?

หลังจากเลี้ยวโค้งไปตรงหัวมุม ฉันก็ได้เจอเข้ากับเอลฟ์คู่หนึ่งที่เผลอกรีดร้องเสียงดังขึ้นมา

หนึ่งในนั้นเหมือนกับเอลฟ์ทั้วไปสาวสวยผมยาวใช้ธนู อีกคนหนึ่งใช้ไม้เท้าและตัวเล็กผิดปกติสำหรับเอลฟ์แต่เพราะหน้าอกอันยั่วยวนที่มองผ่านผ้าคลุมหลวมๆไม่อาจทำให้ฉันละสายตาได้เลยทั้งสองคนแต่งตัวเหมือนกับนักผจญภัย

[ผมขอโทษที่ทำให้คุณตกใจ ถ้าเป็นไปได้ สารวัตรทหาร อุ๊ก โอ้กก!]

ฉันอวกเป็นเลือดเพราะอะไรก็ใม่รู้ ฉันพยายามถือเลือดไว้ในมือทันทีเพื่อไม่ให้เสื้อเสื้อผ้าของผู้หญิงทั้งสองสกปรก

[ค คุณบาดเจ็บสาหัสเลย!]

เอลฟ์ที่ถือคฑาทำสีหน้ากังวลและเริ่มที่จะเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

[โอเน่จัง! จะเข้าไปยุ่งไม่ได้นะ!]

เอลฟ์ที่มีธนูพยายามห้ามเธอไว้ เธอพูดถูกต้องแล้วละนั่นเป็นสิ่งที่ควรทำถ้าเป็นฉันเองก็คงทำเหมือนเธอ

[อย่างน้อยก็ขอให้ฉันใช้เวทย์มนต์รักษาง่ายๆ]

[ผู้ชายคนนี้อันตราย ทำเป็นไม่สนใจและอย่าไปยุ่งดีกว่าทำไมเราต้องไปช่วยฮีมูด้วย?]

ฉันเองก็ไม่อยากได้ความเห็นอกเห็นใจจากผู้หญิงสองคนหรอก แต่ฉันก็หันไปหาพวกเขาด้วยความหวังอันริบหรี่

[ขอโทษ ฉันจะ ให้รางวัลคุณ ป้อมสารวัตรทหาร สถานที่ ให้…….เส้นทาง?]

[เดินตรงไปจากที่นี่แล้วเลี้ยวขวาตรงบาร์ที่มีเขาใหญ่เป็นสัญลักษณ์อยู่บนป้าย มันจะอยู่ใกล้ๆกับที่นั่น ให้ฉันไปขอความช่วยเหลือให้ไหม?]

[ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณน่ะ ช่วยได้มากเลย]

ฉันกำลังจะยื่นเหรียญทองให้ 2 ~ 3 เหรียญแต่มือฉันเปื้อนไปด้วยเลือดไปหมดฉันจึงวางมันไว้กับพื้นแทน

[เอาล่ะงั้น!]

ฉันจับโซ่ไว้ในมืออีกครั้งแล้วเดินต่อตามจังหวะหอยทาก ฉันยังไม่ได้ยินเสียงของพวกเธอหยุดร้องเลย

ฉันรู้สึกเหมือนกำลังฟังเพลง

เหมือนตัวเองกำลังอยู่ในฉากเครดิตจบของตอนหนังจบ ปัญหามันอยู่ที่ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรซักอย่างและยังไม่แม้แต่จะเริ่มทำด้วยซ้ำ

เมื่อเจอบาร์แล้วเลี้ยวขวา โชคดีที่ป้อมอยู่ใกล้กว่าที่คาดไว้ ถ้าหากฉันต้องเดินต่อไปอีก 50 เมตรละก็ฉันต้องตายแน่ๆ ฉันเดินไปเคาะประตูและได้คำตอบกลับอย่างไร้กังวลกลับมา ขาของฉันถึงขีดจำกัดของมันแล้วบางทีอาจจะเพราะความรู้สึกโล่งใจเมื่อถึงเป้าหมายฉันล้มลงทันทีที่มีคนเปิดประตูออกมา

[อุหว่าาา!]

คนที่ส่งเสียงออกมานั้นเป็นชายวัยกลางคน สวมชุดเครืองแบบ ดาบ และหมวกทรงเหมือนเพชรอันโดดเด่น

[คุณคือสารวัตรทหารใช่ไหมครับ?]

[ช..ใช่แล้ว เกิดอะไรขึ้น?]

[นี่ครับ]

ฉันยื่นโซ่ให้เขา

[อะไรอ่ะ?]

ทันทีที่สารวัตรทหารที่กำลังมึนงงอยู่เดินตามโซ่ออกไปข้างนอก

ฉันได้ยินเขาทำเสียงร้องน่าสมเพชออกมา

ข้างนอกมีนักผจญภัย 3 คนที่แขนหักและขาถูกมัดไว้กับโซ่ที่ถูกร้อยผ่านรูกระสุนที่เจาะทะลุขาจนกลายเป็นก้อนกลมๆ ยังคงได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญถึงความทุกข์ทรมารดังนั้นจึงคิดว่าพวกนั้นยังไม่น่าจะตาย สำหรับตอนนี้อ่ะนะ

เพราะฉันลากของพรรคนี้อยู่คนที่อยู่รอบๆถึงได้หนีไปหมดฉันถึงไม่ทันได้ถามทางใครซักคน

[แกบอกว่าอย่าได้มาดูถูกนักผจญภัยเกินไปใช่ไหม?]

ฉันหัวเราะเยาะด้วยสายตาที่ดูหมิ่นจากก้นบึ้งของใจ

[อย่ามาดูถูกฉันนะเว้ย นักผจญภัย]

ด้วยตความสะใจ

ด้วยความรู้สึกสะใจและความรู้สึกสดชื่นเมื่อประสบความสำเร็จ ตอนนั้นเองที่ฉันได้ตายลง

 

รอดเฉย!!

[………………………………………..!]

[…………………………………………]

[………………!……………………………..?!]

[……………………………………….]

[……………………………………….!]

[……………………………………….!]

ได้ยินเสียงของผู้ชายและผู้หญิงมาแต่ไกลเลย

นี่มันแย่ที่สุด ฉันจำตอนที่พ่อแม่ฉันตายได้ ความทรงจำของคนที่ตายไปกลายเป็นเถ้าถ่านไม่ควรจะหลอกหลอนกันสินี่มันเป็นคำสาปหรือไง?

[เขาทำอะไรผิดกันคะ? ทำไมถึงได้ทำกับเขาแบบนี้! มันแปลกเกินนะคะ!]

[เลิกแก้ตัวให้เขาได้แล้ว หัดดูจุดยืนของเธอและฉันบ้างสิใครคือคนที่เราควรจะช่วยและปกป้องละ?]

[ถ้าอย่างงั้นละก็ การตัดเอาผลแอปเปิ้ลเน่าๆทิ้งมันไม่ใช่หน้าที่ของพวกเราหรอกเหรอ?]

[ลองเธอทำแบบนั้นดูสิไม่ใช่แค่ทางสมาคมนักผจญภัยแต่รวมถึงองค์ราชาได้ถูกลากลงมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยแน่ๆ ใจเย็นๆก่อนยัยโง่]

[เอาน่า เอาน่าทั้งสองคน ไว้เราค่อยคุยกันต่อหลังจากเขาตื่นก็ได้]

[ถ้าอย่างงั้นละก็คุณสามารถคุยได้แล้วละครับ]

ฉันได้เอ่ยขึ้นและพยายามลุกขึ้นมาจากเตียง

คุณเอเว็ตต้าและเด็กชายที่มีปีกอยู่ข้างหลังและคุณสารวัตรทหารเองก็อยู่ที่นี่

[โซยะ! คุณปลอดภัยดีหรือเปล่า?!]

คุณเอเว็ตต้าเข้ามาใกล้ๆแล้ววางมือบนแท่งแหล็กฉันสบายดีแต่ดูเหมือนจะถูกขังซะแล้ว

[เจ็บๆ เจ็บไปหมดเลย]

ร่างกายของฉันเจ็บไปทั้งตัว เนื้อและกระดูกของฉันทำเสียงแปลกๆเวลาขยับด้วยไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามผิวหนังของฉันก็รู้สึกร้อนแปลกๆ ถึงจะรู้สึกร้อนแต่ไม่ได้รู้สึกร้อนแบบเป็นไข้จากอาการบาดเจ็บเหมือนเป็นความร้อนที่เหมือนมีอะไรบางอย่างจากข้างนอกทำให้อุ่น

[โชคดีจังน่ะ ถ้าไม่ได้เอลฟ์ที่ผ่านทางมาใช้เวทย์รักษาให้ละก็นายคงได้เสียแขนไปแล้วล่ะนะ]

เป็นอย่างที่สารวัตรทหารว่าไว้จริง ก็สมควรละนะเพราะฉันใช้แขนกันดาบยาวไว้และโดนตัดลึกไปถึงกระดูกเลยด้วย

ฉันได้ลองขยับนิ้วมือทั้งห้าที่แขนขวาดู ถึงจะเหลือความเจ็ลปวดอยู่บ้างแต่ก็ขยับได้ไม่มีปัญหากับเส้นประสาทและกล้ามเนื้อสุดยอดไปเลย

[เอลฟ์คู่นั้นชื่ออะไรกันหรอครับ?]

[ไม่รุ้สิ เธอไม่ได้บอกไว้แต่เธอมีหน้าอกใหญ่]

[จริงเหรอครับ?]

[ถูกต้อง แบบนี้เลย! แบบนี้แหละ!]

สารวัตรทหารทำท่าท่างโค้งมนที่หน้าอกของเขา คนที่อยู่รอบๆตัวเขาต่างก็กรอกตามองด้วยความรังเกียจ

[โซยะ คุณดูเหมือนจะไม่เป็นไรมากสิน่ะ]

[ขอโทษด้วยครับที่ผมทำให้คุณเป็นห่วง]

[ฉันเองก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรบ้างอยู่หรอกแต่ช่วยบอกฉันทีว่าเกิดอะไรขึ้น]

คุณเอเว็ตต้าเอาหน้าเข้ามาใกล้อีก

กรงเหล็กที่เธอจับเริ่มที่จะส่งเสียงแตกเอี๊ยดอ๊าดเหมือนกำลังจะพัง

[โว้วๆ ขอโทษน่ะ คุณพี่สาวมีเขา นั่นมันงานของฉันนะพวกคุณทั้งหลายจะอยู่นี่ก็ได้แต่ให้ข้าเป็นคนถามก่อนสิ]

[………ก็ได้]

เธอยอมแต่โดยดีถึงจะทำหน้าตาน่ากลัวก็เถอะ

สารวัตรทหารกลับเข้าไปที่โต๊ะเพื่อหยิบกระดาษและปากกาก่อนที่จะนั่งลง

[อย่างแรกพี่ชายชื่อ โชยะแห่งญี่ปุ่น งั้นหรอ?]

[ครับ]

หมึกของปากกาไหลผ่านกระดาษอย่างราบรื่น

[คุณเป็นผู้ต้องสงสัยในการสร้างแผลฉกรรจ์ให้กับนักผจญภัยสามคนนะ]

[…ครับ]

มันก็คงจะลงเอยแบบนี้แหละน่ะก็ฉันดันสลบไปก่อนที่จะได้อธิบายสถานการณ์นี่นา

[คุณมีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้หรือไม่?]

[อย่างแรกเลย ทรัพย์สินของผมถูกขโมยจาดแคมป์ที่ผมอยู่ คนร้ายคือนักผจญภัยสามคนนั้นโชคดีที่ผมตามหาพวกเขาเจอถึงจะบาดเจ็บในระหว่างนี้ก็เถอะ ผมจับพวกเขามัดไว้แล้วพามายังที่นี่ซึ่งทั้งหมดนำไปสู่สถานการณ์ปัจจุบัน]

[แล้วนายเจอทรัพย์สินที่ถูกขโมยไหม?]

[ไม่เจอครับ]

มันไม่ได้มีตู้คอนเทนเนอร์ในห้องที่คับแคบนั่น ฉันไม่มีเวลาได้สืบสวนพวกนั้นเพราะมัวแต่กลัวเรื่องถูกซุ่มโจมตี

[ถ้างั้นมีใครบ้างที่สามารถยืนยันได้ว่าทรัพย์สินของนายถูกขโมย? ถ้าหากมีหลักฐานก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน]

[……………..ไม่มีเลย]

นี่มันแย่แล้ว

สถานการณ์กำลังดูแย่ อย่างน้อยถ้ามาคินาสามารถรีสตาร์ทได้ละก็ ไม่สิผู้คนในโลกนี้จะเชื่อหรือเปล่าถ้าหากเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เข้าใจยากสำหรับพวกเขา?

[ฉันพยายามตรวจเช็คตามที่พักของนักผจญภัยพวกนั้นแล้ว แต่ฉันไม่พบสินค้าที่ดูเหมือนของต่างแดนเลย ถึงแม้ว่าฉันจะพยายามกล่อมพวกเขาก็ตาม ฉันเองก็พูดไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นพวกที่เป็นคนดีและพวกเขาเองก็มีชื่อเสียเยอะ มันมีข่าวลือว่าพวกนี้เป็นสุนัขรับใช้ของลูกชายพ่อค้าที่คอยทำงานสกปรกต่างๆให้เขา ในเมื่อทุกอย่างมันไม่มีหลักฐาน มันก็จะเหลือแค่เรื่องที่นายทำร้ายร่างกายพวกเขาอย่างโหดร้าย ถ้าหากนายซ้อมพวกเขาเบาๆฉันว่าจะพยายามทำเป็นมองไม่เห็นละนะแต่สิ่งที่นายทำมันเกินกว่าที่จะมองข้ามไปได้น่ะ] 

ฉันไม่รู้จะตอบโต้ยังไงเลย

ตอนนี้ฉันเริ่มเสียใจกับการกระทำที่บ้าระห่ำของฉันละ

[และฉันยังมีข่าวร้ายอีกอย่างสำหรับพี่ชายด้วยน่ะ]

หืมมม ยังจะมีอะไรแย่กว่านี้อีกหรอ?

[เกี่ยวกับการยืนยันตัวตนของคุณน่ะ]

สารวัตรทหารได้วางปากกาลง

[ตามกฏหมายของทวีปกลางคนที่ไม่ทำสัญญากับเทพเจ้าองค์ไหนเลยถือว่ามีความผิด คนแบบนี้จะถูกจับและถูกส่งตัวให้กับผู้พิพากษาของ เซนต์ ลีริเดียส อย่างไรก็ตามเป็นที่รู้กันว่าคำตัดสินของผู้พิพากษานั้น 90 เปอร์เซ็นต์จะเป็นการสำเร็จโทษโดยการประหารและอีก 10 เปอร์เซ็นต์จะกลายเป็นหนูทดลองการวิจัย]

[What the……..]

ล่าแม่มดรึไงเนี่ย?

[พูดตรงๆน่ะ ฉันไม่อยากจับพี่ชายส่งให้คนพวกนั้นเลยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉันเพิ่งจะมาประจำตำแหน่งเพียง 10 วันก่อนหน้านี้เอง และฉันยังไม่อยากกลับไปยังทวีปกลางในทันทีหรอกน่ะเพราะตอนนี้คนเราขาดแคลนมาก เมื่อฉันไปถึงทวีปกลางแล้วต้องรีบกลับมาอีกฉันคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือไปอีกหลายเดือน]

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวอันมีศิลธรรมปนกับประโยชน์ส่วนตัวเล็กน้อยฉันก็ถามไป

[เออ การเดินทางไปอย่างเดียวใช้เวลานานแค่ไหนหรอครับ?]

[อย่างเร็วที่สุดก็ 6 เดือน]

ถึงแม้ว่าฉันจะถูกประกาศว่าเป็นผู้บริสุทธิก็ตาม แต่ถ้าเป็นอิหรอบนี้มันก็เป็นโทษตายสำหรับฉันอยู่ดี

โอเค ฉันพลาดเองแหละที่พยายามหาทางออกด้วยวิธีนี้ ฉันควรที่จะหาทางหนีได้ละ แต่อุปกรณ์………………… ถูกยึดไว้ทั้งหมดเลย

[ดังนั้น ฉันจึงมีข้อเสนอให้กับพวกคุณสองคนที่มาจากสมาคมนักผจญภัย ช่วยทำให้พี่ชายคนนี้เป็นข้อยกเว้นหรือหาวิธีที่จะทำให้นักผจญภัยได้ไหม? ถึงจะแค่ชั่วคราวก็ยังดีถ้าทำอย่างงั้นได้กรณีนี้ก็จะไม่ใช่งานที่เกี่ยวข้องกับงานของสารวัตรทหารอีกต่อไป ถ้าทำอย่างงั้นได้ก็ไม่จำเป็นต้องล่องเรือด้วย]

สารวัตรทหารคนนี้เป็นคนที่เก่งมากถึงจะขี้เกียจก็เถอะต้องขอยอมรับเลยฉันรู้สึกประทับใจ

[ผมเองก็ขอร้องละครับ ได้โปรดช่วยผมด้วย]

[ขอปฏิเสธ]

ตอบทันทีเลย

คนที่ตอบนั้นเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่มีปีก สำหรับมนุษย์สัตว์แล้วเขาดูเหมือนฮีมูเลยแต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะบินได้หรอกน่ะเพราะว่าปีกมันเล็กเกินไป เล็กจนเหมือนกับเป็นเครื่องประดับมากกว่าถึงแม้จะดูเหมือนเด็กก็ตามแต่มันคงไร้ประโยชน์ถ้าหากจะตัดสินคนในโลกนี้จากรูปร่างภายนอก

[ฉันโซลเซียหัวหน้าสมาคมนักผจญภัยของอาณาจักรเลมูเรีย เจ้าคนต่างแดนฉันจะพูดให้เคลียร์น่ะ คนที่ไม่ได้ทำสัญญาน่ะไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับมรดกจากเทพเจ้า เท่านี้ล่ะฉันมีงานอื่นต้องทำอีกเพราะงั้นขอตัว]

[หัวหน้าสมาคม! รอเดี๋ยวสิคะ!]

[ไปกันเถอะ!]

คุณเอเว็ตต้าหยุดหัวหน้าสมาคมที่ตั้งใจจะพูดสั้นๆแล้วจากไปโดยการกอดไปที่เอว ฉันรู้สึกเหมือนเห็นพี่น้องแหย่กันมากเห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นใจยังไงไม่รู้ แต่นั้นเป็นเพียงความคิดเพ้อเจ้อของฉันที่กำลังหนีความเป็นจริงอยู่

[รวมทั้งกึ่งเทพ คิดว่ามีเทพเจ้ากี่องค์ที่ได้ปฏิเสธเขา! ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย! ยิ่งไปกว่านั้นเจ้านี่มันทำให้ศัตรูกลายเป็นก้อนเนื้อแล้วลากไปทั้วเมืองเพื่อทำให้ขายหน้าเลยนะ! คิดว่าจะมีเทพองค์ไหนทำสัญญากับเขาหลังจากที่ได้รู้ว่าหมอนี่ได้ทำอะไรลงไปอีกหรือไง!]

นั้นทำเอาเถียงไม่ออกเลย

นอกจากนี้ดูเหมือนจะมีบางส่วนที่เป็นผลมาจากการกระทำของฉันอีกด้วย

[อย่างน้อยก็ขอแค่หนึ่งวันเถอะค่ะ ฉันจะขอเทพเจ้าที่อยู่ในเมืองอีกครั้ง]

[อื่มมม คุณเอเว็ตต้าผมรู้สึกผิดยังไงไม่รู้]

[โชยะน่ะเงียบไปเลย!]

นี่คุณเป็นแม่ผมหรือไง?

เราเฝ้าดูการสนธนาเรื่อยเปื่อยระหว่างหัวหน้าสมาคมกับคุณเอเว็ตต้าอยู่ซักพักหนึ่งสารวัตรทหารก็ถอนหายใจออกมาแล้ว พึมพำ

[ฉันคิดว่าฉันไปจองตั๋วเรือก่อนดีกว่า]

ช่างน่าเสียดายดูเหมือนว่าการผจญภัยของฉันจบลงที่นี่แล้ว

ฉันเริ่มพูดคนเดียวอยู่ในหัว

ฉันต้องการสำรวจดันเจี้ยน ฉันพูดย้ำกับตัวเอง แต่ฉันยังไม่ได้เริ่มอะไรซักอย่างเลย สิ่งเดียวที่ฉันทำได้หลังจากนี้ ถึงแม้จะรู้สึกผิดก็ตาม ดูเหมือนฉันต้องหาทางทำให้สารวัตรทหารคนนี้สลบแล้วหนีไป…….แต่สงสัยจังว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันหนีไป?

ทันใดนั้น

[ข้าได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วนะ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องง่ายๆไม่ใช่รึไง?]

เสียงจากสวรรค์ที่แท้จริง

[เอ๋]

เจ้าแมวสีเทา

******************************************************************************************************

คุยกันท้ายตอน

คนเขียนพยายามยัดอดีตของโชวยะอยู่ทุกตอนเลยโคตรน่าสงสัย

ชื่อของโชวยะและยูกิคาเสะ ต่างก็เป็นชื่อของเรือนำโชคทั้งคู่ที่มีอยู่จริงในสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากเป็นเรือที่ไม่ถูกจบในสงคราม

ขอให้ทุกคนอ่านให้สนุก

Options

not work with dark mode
Reset