Ihoujin, Dungeon ni Moguru 3.1: The Foreigner, Can’t Explore the Dungeon II

ตอนที่ 3.1: The Foreigner, Can’t Explore the Dungeon II

<วันที่สอง>

สุภาพสตรีจากแผนกต้อนรับของสมาพันธ์นักผจญภัยชื่อว่า เอเว๊ตต้า

[ฉันต้องเตรียมเอกสารอ้างอิง พรุ่งนี้ค่อยกลับมาละกัน]

แล้วเมื่อวานฉันก็โดนไล่ออกมาหลังจากที่ถูกพูดอย่างนั้นใส่

เนื่องจากฉันไม่มีกำหนดการอะไรในตอนเช้าเป็นพิเศษ ฉันจึงใช้เวลาในช่วงเช้าอย่างช้าๆสบายๆ ฉันดูแผนที่บริเวณโดยรอบของเมืองที่สร้างโดยมาคินา จากนั้นฉันก็พยายามจัดเรียงเสบียงต่างให้เป็นระเบียบและปรับปรุงบริเวณค่ายที่พัก ตอนนี้ห้องน้ำและห้องครัวดูมีอารยะธรรมมากขึ้นแล้ว คุณเกโตได้แวะเข้ามาพร้อมกับปลาที่จับได้ ฉันจึงตัดสินใจที่จะเลือกทำซุปหัวปลากินด้วยกัน

ฉันนำปลาที่เหลือมาทำปลาตากแห้ง และเดินทางไปถึงตัวเมืองราวๆบ่ายโมง

และ…..

[มาสายนะคะ]

คุณเอเว๊ตต้าดักรออยู่หน้าประตูเมือง เธอยืนอยู่อย่างนั้นพร้อมกับกอดอก ถึงจะทำหน้าตาไร้อารมณ์ก็เถอะแต่ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่พอใจ

[อา เอ่อ…. คุณเอเว๊ตต้า……. สิน่ะครับ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ]

[ก็เพราะว่าเป็นประตูเมืองที่คนปกติจะใช้เดินทางผ่านไปมามากท่าสุดยังไงละคะ]

[ไม่ครับ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น]

[สิ่งแรกที่ฉันทำของเช้านี้คือการเดินไปรอบๆโรงเตี๊ยมใหญ่ๆแต่ฉันก็ไม่สามารถหาคุณเจอ ในตอนนั้นเองที่ฉันนึกถึงสร้อยคอของคุณ คุณได้มันมาจากมนุษย์ใช่ไหมล่ะ ทันทีที่ฉันนึกออก ฉันก็สรุปได้ว่า คุณน่าจะอาศัยอยู่ที่ด้านนอกของกำแพงเมือง]

[ไม่ใช่แบบนั้นครับ เอ่อที่ผมอยากจะสื่อก็คือ….]

[คุณหมายถึง เรื่องที่ฉันจัดหาคนมารอที่แผนกต้อนรับเผื่อเราคลาดกันหรือเปล่า? ใช่แล้วล่ะเพราะฉันคิดว่ามันสำคัญไงล่ะ]

[………………………………………………………………]

[………………………………………………………………]

เราทั้งคู่ทำได้แต่เงียบ

คุณเอเว๊ตต้าเริ่มตัวสั่นเล็กน้อยจากนั้นใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง

[ฉันรู้สึกตื่นเต้นกับงานครั้งแรกของฉันและมันลงเอยด้วยการที่ฉันต้องมายืนรอคุณที่นี่เองนี่แหละค่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?]

[ไม่ครับผม! ไม่มีปัญหาอะไรเลยครับผม! ขออภัยด้วยครับ! แล้วก็ขอบคุณมากครับผม!]

[มันเป็นงานของฉันอยู่แล้วค่ะ!]

สีหน้าแบบ ไร้อารมณ์ของเธอเริ่มกลับมาเหมือนเดิม

ฉันต้องรีบตั้งสติของตัวเองและหาเทพเจ้ามาทำสัญญา

แต่ก่อนหน้านั้น ฉันต้องเลี้ยงคุณเอเว๊ตต้าอาหารมื้อสายซะหน่อย ฉันจ่ายค่าเสียหายไป 1 เหรียญเงิน

 

เทพเจ้าแรกที่เราเข้าไปหาคือเทพเจ้าที่ทำสัญญากับนักผจญภัยหลายๆคน

นักผจญภัยในตำนานที่ทิ้งเรื่องราวการผจญภัยอันโด่งดังในโลกหลายๆคนเช่น รีเมียร์ผู้เดือดดาล ดูอินผู้สงบนิ่ง โฮวม่าผู้ฝังศพ สามดาบอาดี้ ร็อบบ์ใจเด็ด ธรุสซูโอวูผู้ถูกลืม เป็นเทพเจ้าที่ประกอบด้วยคนทั้ง 6 คน

ผู้คนต่างยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งการผจญภัยและเรียกกันว่า วินดูบุนิคุรุ

พวกเขาไม่ใช่เทพเจ้าที่ลงมาจุติและเดินอยู่บนโลกใบนี้ในร่างของมนุษย์ แต่พวกเขาได้รับการเคารพบูชาโดยผู้คนในฐานะตำนานและแบบอย่างทึ่ควรประพฤติ ว่ากันว่าพวกเขาได้ทิ้งร่องรอยไว้ตามดันเจี้ยนต่างๆรอบโลก

เทวสถานแห่งนี้หลุดโลกจนเกินกว่าที่จะเรียกว่าเทวสถานได้จะเรียกว่าร้านเหล้าก็ยังได้เลย ถึงจะมีกระดานสำหรับติดคำร้องขอ แต่คนส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างในนั้นซัดเหล้าตั้งแต่กลางวันแสกๆเลย

[เจ้าหนู แกนั่นแหละการที่กลายเป็นนักผจญภัยหน้าใหม่ได้น่ะ วินดูบุนิคุรุ(เทพเจ้าแห่งการผจญภัย)จะเปลี่ยนจิตที่อยากรู้อยากเห็นให้เป็นพลัง ผู้คนจะต้องตกตะลึงไปกับชื่อเสียงและพวกเขาจะเรื่มเล่าเรื่องของคุณ และวันหนึ่งเรื่องเล่านั้นก็จะอาจจะกลายเป็นตำนานที่โด่งดังเหมือนกับพวกเขาก็ได้ เจ้าควรที่จะทำสัญญาถ้าหากแกมีหัวใจอันเร่าร้อนที่ไม่มีวันดับมอด]

เจ้าของบาร์พูดขึ้นมา

ไม่ว่าจะมองยังไงชายคนนี้ก็เป็นบาร์เทนเดอร์ชัดๆ เขาไว้ทรงผมโมฮอว์ก ร่างกายของเขาเองก็มีกล้ามเนื้อปูดขึ้นมาอย่างชัดเจน กำแพงข้างหลังห้อยขวานต่อสู้(battle axe)ขนาดใหญ่อย่างไร้เหตุผล

[มาสเตอร์ ขอสลัดรากผักขนาดใหญ่พิเศษ เบคอนหมูดันเจี้ยนอย่างหนา 3 ชิ้น ไข่กวิเนลยางมะตูมและเบียร์ อ้าา! ลืมไปเลยว่าฉันยังทำงานอยู่ขอเปลี่ยนเป็นนมแทนละกัน]

คุณเอเว๊ตต้ายังสั่งอาหารจากเขาด้วย ตาลุงนี่คงจะเป็นพนักงานของบาร์จริงๆสินะ? ไม่สิเดี๋ยวก่อนนะ ไม่ใช่ว่า คุณพึ่งจะกินข้าวชามยักษ์เสร็จไป 3 จานก่อนหน้านี้หรอกหรอ?

[เอเว็ตต้า พอได้แล้วมั้ง ภาพพจน์พังไปหมดแล้ว]

[ขอโทษค่ะ…. มันติดนิสัยนะ]

เธอนั่งลงบนเก้าอี้และพยายามทำตัวสำรวม

[คิดจะทำนิสัยของนักผจญภัยไปถึงไหน? ตอนนี้เจ้าเองก็เป็นพนักงานต้อนรับของกิลด์แล้วนา]

[เธอเคยเป็นอดีตนักผจญภัยน่ะ]

ก็คิดว่าต้องใช่ล่ะนะ แต่คนๆนี้น่าจะเป็นอดีตนักผจญภัย

[งั้นก็เจ้าเองสินะ ชาวต่างแดนที่เอเว็ตต้าบอกว่าอยากเป็นนักผจญภัยน่ะ]

[ใช่แล้วละครับ]

[เอาล่ะจะทำสัญญาเลยไหม?!]

[จะทำเลยครับ]

ง่ายๆงี้เลย ก็ดี ถ้าหากจัดการได้เร็วอย่างงี้ละก็ฉันก็ไม่มีอะไรให้บ่นหรอก

เจ้าของบาร์ก็ได้หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาวางบนเคาน์เตอร์จากนั้นก็วางมือบนหนังสือ

[ชื่อของข้าคือราสต้า โอรุ ราซวา ในฐานะผู้ติดตามของวินดูบุนิคุรุ ข้าขอมอบเข็มทิศสำหรับความพยายามครั้งใหม่ เจ้าหนู การผจญภัยไม่ใช่ทางที่ง่าย ชีวิตของเจ้าจะแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดการผจญภัย มันเป็นชีวิตที่ทรมาน เกินกว่าผู้คนธรรมดาจะทนไหว เจ้ายังจะก้าวต่อไปข้างหน้าและมีหัวใจที่ไม่แตกสลายไปจนตายได้ไหม? หากเจ้าเตรียมใจไว้แล้วละก็ จงวางมือบนหนังสือเล่มนี้แล้วเอ่ยนามของตนเองเสีย]

ในที่สุดการผจญภัยของฉันก็จะเริ่มขึ้น

ด้วยความแน่วแน่ที่อยู่ในใจฉัน ฉันวางมืออยู่ข้างบนมือของเจ้าของบาร์ มือเขาแข็งอย่างกับหินฉันรู้สึกได้ถึงรอยแผลเก่าบนมือชายคนนี้ คนๆนี้คงจะเคยเป็นนักผจญภัยที่มีชื่อเสียงในอดีต

[โซวยะแห่งญี่ปุ่น]

มีแสงกระพริบจากหลายๆจุดปรากฏขึ้น แม้จะอยู่กลางแสงแดด แสงกระพริบก็ยังสว่างไปมารอบๆตัว

จากนั้นก็เงียบ

ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างเติมเต็มอยู่ในใจฉัน

[สวย ไปไม่รอดฟ่ะ!]

[ทำไมล่ะฟะ!?]

ทั้งหมดฉันแค่มโนไปแอง

[มาสเตอร์! หมายความว่ายังไง!?]

คุณเอเว็ตต้ารีบวิ่งเข้ามาหา

เจ้าของบาร์เก็บหนังสือและเริ่มนำผ้ามาเช็ดเคาน์เตอร์

[หืมม~ อาจจะเป็นเพราะเรื่องนั้น บางครั้งเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นแต่เจ้ามีความฝันไหม?]

[มันก็มีอยู่หรอกครับ…]

[แล้วมันเป็นอุดมคติหรือความปรารถนาที่เป็นจริงเป็นจังล่ะ การผจญภัยมันเป็นเหมือนกับความปรารถนาที่ใม่มีทางเป็นจริง เทพเจ้าของเราให้พรกับผู้ที่มีความทะเยอทะยานที่เทพเจ้าคนอื่นต่างก็หัวเราะเยอะ การรวบรวมความฝันของผู้คนเหล่านั้นถือเป็นแก่นแท้ของวินดูบุนิคุรุของพวกเรา]

ความปรารถนาที่จะช่วยน้องสาวของฉันไม่ถือว่าเป็นความทะเยอทะยานงั้นหรอ?

ก็น่าจะถูกล่ะนะเพราะว่านั้นไม่ใช่ในสิ่งที่เธอต้องการ ฉันเองก็พอจะรู้อยู่ลางๆแล้วแหละว่าความหวังของฉันนั้นมันบิดเบี้ยว

[พูดได้คำเดียววาส เจ้าไม่มีความโรแมนติกในตัวลองไปที่อื่นดูสิ อย่างไรก็ตามข้ามีข้อเสนอให้กับเจ้า พวกเรามีหนังสือประวัติของวินดูบุนิคุรุเล่มใหม่ที่มีภาพประกอบแม้แต่ลิงก็ยังอ่านดูรู้เรื่อง ถ้าซื้อตอนนี้จะลดราคาเหลือ 1 เหรัยญทองเป็นยังไง?]

[ไม่เอาครับ]

ฉันได้ตัดสินใจไปลองที่อื่นดู

 

เปลวพลิง

ในแง่ของเวทย์มนตร์ มันเป็นเวทย์มนตร์ที่เก่าแก่ที่สุดสามารถร่ายได้รวดเร็วที่สุดแต่ก็เป็นเวทย์ที่ควบคุมยากที่สุด

ไม่ว่าโลกจะถูกสร้างขึ้นมาโดยยักษ์ หรือจะถูกสร้างขึ้นมาโดยบรรดาเทพเจ้าที่มีอยู่มากมาย ไฟได้อยู่มาก่อนที่โลกจะให้กำเนิดสิ่งเหล่านั้นซะอีก

ที่นี่เป็นอีกศาสนาหนึ่งที่บูชาเทพเจ้าที่ไม่ได้มาจุติ อ้างอิงจากคำอธิบายของคุณเอเว็ตต้าในระหว่าที่กำลังเดินทางไป พวกเขามีมุมมองสุดโต่งว่า โลกใบนี้ถือกำเนิดขึ้นมาจากเปลวเพลิงและจะหายไปเป็นเปลวเพลิง เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับเข้าไปเป็นความว่างเปล่าพวกเขาจึงไม่ต้องการการความมั่งคั่งและใช้ชีวิตแบบสมถะ รากฐานของศาสนานี้ถูกวางโดยผู้ลี้ภัยสงครามและคำสอนถูกแพร่กระจายไปทั่วโลกโดยจอมเวทย์ไฟผู้ยิ่งใหญ่

เหล่าผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผจญภัย ผู้คนที่ต้องการเรียนควบคุมเวทย์ไฟ ผู้ที่ละทิ้งความมั่งคั่ง ผู้คนที่เรื่มทำการผจญภัยเพียงลำพัง ดูเหมือนว่าจะเป็นที่ยอมรับอย่างมากจากเทพเจ้าที่ต้อนรับพวกเขาทั้งหมด

เป็นวิหารที่ดูเจียมเนื้อเจียมตัวดี อย่างไรก็ พวกคุณตามสามารถบอกได้เลยว่าวิหารแห่งนี้ได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน ส่วนข้างหลังนั้นฉันมองเห็นเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ

[ขอโทษค่ะ คุณที่อยู่ตรงนั้นน่ะ]

[เอ๊! ผมหรอครับ?]

ฉันถูกเรียกระหว่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าวิหาร โดยมนุษย์สัตว์ผิวสีคล้ำหางและหูสีทอง ไม่แน่ใจว่าเธอเป็นมนุษย์จิ้งจอกหรือเปล่า เธอดูเหมือนจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ทำเอาฉันใจเต้นตุบตับไปหมด(คุณตำรวจมีหมีอยู่ละ)

[คุณมาทำอะไรที่วิหารแห่งนี้หรือคะ?]

[ผมกำลังคิดว่าจะขอเข้าร่วมศาสนานี้]

[กรุณากลับไปด้วยค่ะ]

[ไวเกินไปแล้ว]

อย่างน้อยก็บอกเหตุที่ปฏิเสธฉันหน่อยเถอะ

[ดูเหมือนคุณจะไม่สามารถยอมรับมันได้สินะคะ ปกติเปลวเพลิงของเราไม่เคยปฏิเสธใครยกเว้นคุณคนแรก ดูสิคะ]

เธอชี้มาทางสร้อยคอของฉัน มันคือสร้อยคอที่ได้มาจากคุณเกโตที่อยู่ที่นี่

[มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคุณที่สวมใส่ของที่เกี่ยวข้องกับน้ำ คุณสามารถแสดงความรับผิดชอบได้รึเปล่าถ้าหากคุณนำสิ่งของอย่างนี้เข้ามาแล้วทำให้เปลวไฟในวิหารแห่งนี้ดับลง]

สร้อยคอนี้มีพลังที่ทำอย่างนั้นได้ด้วยเหรอ?

[ถ้าหากไม่ว่ายังไงคุณก็อยากจะเข้าร่วมให้ได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตามละก็ อย่างน้อยฉันก็จะอนุญาตให้คุณอธิษฐานกับเปลวเพลิง ถ้าหากคุณโยนสร้อยคอที่ได้จากมนุษย์ปลาทิ้งไปซะ]

[ขอปฏิเสธครับ ผมว่าผมคงไม่ถูกลิขิตให้เข้าร่วม]

[ฉันเห็นด้วยค่ะ]

ต่อไป

 

[ข้าชื่อแกลดเวนแขนยักษ์! ข้าไม่ต้องการเครือญาติที่อ่อนแอ! เงินทอง! เกียรติยศ! เลือด! ถ้อยคำใดๆ! ข้าไม่ต้องการพวกมันทั้งนั้น! แสดงให้ข้าเห็นด้วยร่างกายและทักษะของเจ้าว่าเจ้านั้นเป็นผู้ที่คู่ควร!]

ผู้หญิงที่ตะโกนอยู่นั้นเป็นพระเจ้าที่จุติมา

เธอมีผมสีบลอนด์หยักศกยาวและมีผิวสีแทน ร่างกายของเธออัตราส่วนระหว่างกล้ามเนื้อและความสวยงามดุจดั่งทองคำ หน้าอกที่หล่อเลี้ยงมาอย่างดีของเธอนั้นถูกคลุมด้วยผ้าเพียงชิ้นเดียว และก้นของเธอเองก็แทบจะโผล่ให้เห็นเพราะสวมผ้าอีกชิ้น ดาบขนาดใหญ่ที่เจาะพื้นนั้นมีขนาดใหญ่และหนา มันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเหวี่ยงได้เลย

[เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับตอนที่ดาบของท่านแกลดเวนหักตอนสู้กับมังกรเพราะพลังของท่านแช็งแกร่งเกินไปจึงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้หมัดของท่านทุบตีมังกรจนตาย เป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงจริงๆ]

[มังกร! ด้วยมือเปล่าเนี่ยน่ะ!?]

[ใช่แล้วละค่ะ เธอเป็นที่ชื่นชมอย่างมากจากเหล่าผู้หญิงที่อยากจะเป็นแนวหน้า]

ฉันควรกลับบ้านไปเลยดีไหม?

[ไม่ผ่าน! คนต่อไป!]

แถวค่อยๆเลื่อนไปข้างหน้า

ถ้าถามฉันว่าเกิดอะไรขึ้นที่หัวแถวละก็ ฉันคงต้องบอกว่าพวกผู้สมัครกำลังโจมตีซากหมูขนาดยักษ์ด้วยอาวุธของแต่ละคน

หมูตัวนั้นยาวประมาณ 2 เมตรได้ มันเป็นสายพันธ์ที่มีอยู่ในโลกแห่งนี้เท่านั้นหรือเปล่านะ?

[ไม่ผ่าน! คนต่อไป! เจ้าคนที่อยู่ตรงนั้นน่ะ! อย่าทำหน้าตาเหมือนคนตายก่อนที่จะก่อนที่จะเริ่มลองสิ! และแกที่อยู่ตรงนั้นน่ะ! อย่าไปหัวเราะเยาะคนอื่นเขา! ไปเกิดใหม่แล้วเริ่มฝึกมาอีกครั้ง!]

พวกที่ไม่มีโอกาส พวกที่ประหม่า พวกที่อาวุธพัง พวกที่เผลอทำอาวุธหลุดมือ เหล่าผู้คนที่ปรากฏตัวขึ้นและนั้บได้ตอนนี้ถูกปฏิสธไปแล้วกว่า 20 คนได้

[มันเป็นไปไม่ได้สำหรับผมหรอก]

ฉันแสดงความกังวลต่อคุณเอเว็ตต้าที่ต่อแถวอยู่ข้างหลัง

[ไม่จริงหรอกค่ะ ดูเด็กที่อยู่ตรงนั้นสิคะ]

ผู้ท้าชิงคนต่อไปเป็นเด็กที่พกดาบยาวที่ยาวแทบจะเท่ากับตัวเอง เขาน่าจะอายุประมาณ 14 ถึง 15 ปี เขายังเด็กมากและมีรูปร่างผอมเพรียว

[โว้ว]

อย่างไรก็ตามในตอนที่เขาถือดาบขึ้นมาบรรยากาศก็เปลี่ยนไป

เขาใช้มือซ้ายประคองและใช้มือขวาจับดาบ เขาพุ่งเข้าไปด้วยท่วงท่าที่ต่ำเหมือนกับสุนัขล่าเนื้อ และพุ่งเข้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับสัตว์เดรัจฉาน

มันเป็นการแทงที่รุนแรงมาก

ดาบเจาะเข้าไปในตัวหมูและถูกสะบัดหลุดจากมือของเด็กหนุ่ม

[อุ๊ก]

มันแสดงให้เห็นว่าเทคนิคของเขายังไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าหากเขาสามารถจับดาบที่อยู่ในมือไว้ได้ละก็มันจะต้องแทงทะลุตัวหมูอย่างแน่นอน

[เจ้าโง่! อย่าปล่อยให้อาวุธหลุดออกจากมือสิ!]

เมื่อนำดาบเก็บเข้าไปในฝักแล้ว เด็กหนุ่มก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ

[ทักษะการใช้ดาบ 20 คะแนนบวกกับที่เจ้ายังเด็กอีก 30 คะแนน! เมื่อนำมารวมกันแล้วผ่านครึ่งพอดี! จงรู้สึกเป็นเกียรติซะที่ได้รับเลือกให้เป็นเครือญาติกับข้าจากนี้ไปก็จงอุทิศตนเพื่อพัฒนาทักษะเหล่านี้ซะ! หนทางยังอีกยาวไกลกว่าเจ้าจะแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาได้!]

[เอ๊!]

เด็กชายมีท่าทีตกตะลึงหลังจากที่ได้ยินเสียงเชียร์จากรอบๆดังลั่น แล้วเขาก็ค่อยๆเข้าใจสถานการณ์

[เฮ้! เจ้าหนู อยากทำสัญญากับข้าหรือเปล่า?]

[เอ๊! ครับ ผมจะทำครับ!]

ในที่สุดเด็กชายก็เผยรอยยิ้มออกมา นักผจญภัยผู้ไรเดียงสาทำให้บรรยากาศรอบๆข้างอบอุ่น

[ถึงแม้ทักษะของเขายังไม่ถึงขั้นแต่เทพเจ้าเองก็ประเมินศักยภาพในอนาคตของเขาด้วย]

[เข้าใจแล้ว]

ฉันเองก็ต้องแสดงให้เด็กดูว่าตัวเองมีดีอยู่เหมือนกัน

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้รับอนุญาติให้ทำสัญญาอีกเลย ด้วยอาการท้องใส้ปั่นป่วนและแล้วตาของฉันก็มาถึง

[คนต่อไป!]

ฉันตั้งสติและกลั้นหายใจถือมีดล่าสัตว์ในมือขวาและใช้มือซ้ายจับข้อมือขวาด้วยมือซ้าย จากนั้นก็ยกมีดขึ้นมาไว้บนหัว

ความรู้เรื่องทักษะการใช้ดาบของฉันจำกัดแค่เคนโดที่เคยฝึกเมือตอนตอนยังเป็นเด็ก แต่ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด

[โอ้วววววววว!!]

ฉันปลุกใจด้วยเสียงที่ดังที่สุดแล้วฉันก็ใช้มีดล่าสัตว์ฟันลงมาสุดแรงเกิด

ฉันตะโกนเสียงดังจนรู้สึกหน้ามืดไปชั่วขณะ เมือฉันเริ่มมองเห็น ก็พบว่าใบมีดเฉือนเข้าไปในหมูประมาณ 2 เซนติเมตร

แต่คำตัดสินคืออะไรล่ะ?!

[หมดคำถาม!]

มันไม่ดีเลยสิน่ะ!

[นี่เอเว็ตต้า เจ้าเป็นคนพาผู้ชายคนนี้มาที่นี่งั้นหรอ?]

[ใช่ค่ะ]

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกัน

[ไม่ว่าจะมองยังไง ผู้ชายคนนี้ก็เหมาะที่จะอยู่แนวหลังมากกว่า เจ้าพาเขามาผิดที่แล้วล่ะ]

[………………..ค่ะ]

มันเป็นอย่างงั้นหรอกเหรอ

[คนต่อไป!]

ไปลองดูที่ต่อไปกันเถอะ

สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเดินไปรอบๆเมืองคือสิ่งที่เรียกว่าเทพเจ้านั้นจะถูกดึงดูดด้วยคนที่มีลักษณะคล้ายๆกัน

และวันนี้ทั้งวันฉันได้เห็นเทพเจ้าจำนวนมาก มุมมองเกี่ยวกับความเชื่อของฉันได้เปลี่ยนไปนิดหน่อย โดยเฉพาะพวกที่ถูกเรียกว่าเทพธิดานั้นไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่(หน้าอก?กับพระกับเจ้าก็ไม่เว้น = =*) ต่างก็เป็นพวกที่งดงาม ถือว่าเป็นอาหารตาที่ดีย์ ฉันยังได้รับกำลังใจจากเหล่าเทพเจ้าที่ไม่ใช่มนุษย์อีกด้วย สำหรับเทพที่เป็นผู้ชายนั้นส่วนใหญ่ฉันลืมไปหมดแล้ว

อย่างน้อยๆ ทุกสิ่งที่ทำไปก็ไม่ได้สูญเปล่าอย่างแน่นอน

ฉันได้แต่พูดกับตัวเอง

ท้องฟ้าเองก็เริ่มมืดแล้วด้วย คุณเอเว็ตต้านั่งอยู่บนถนนและคุกเข่าแล้วเอามือกุมขมับ น้ำตาค่อยๆไหลออกมาบนแก้มแล้ร่วงลงพื้น ฉันทำได้แต่นั่งข้างๆเธอ

[คุณทำได้ดีแล้วแหละครับ สิ่งดีๆจะต้องเข้ามาแน่นนอน]

เพราะว่าเธอหดหู่ใจก่อนที่ผมจะทันได้ทำ มันทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ได้ยากขึ้น

[ไม่นึกมาก่อนเลยว่าพวกเขาจะปฏิเสธคุณทุกคน]

[ถูกปฏิเสธอย่างต่อเนื่องแบบนี้ นึกว่าพอจะมีโอกาสอยู่บ้างหรอก แต่ดันถูกปฏิเสธหมดเลยแฮะ]

[ขอโทษน่ะคะ ที่ฉันไม่ได้ช่วยอะไรเลย]

[ผมคิดว่าคุณเอเว็ตต้าทำได้ดีแล้วละครับ แค่ดวงผมมันไม่ดีเท่านั้นแหละ]

ถึงแม้เธอจะบอกว่ามันเป็นงานของเธอก็เถอะ แต่วันนี้เธอก็ติดอยู่กับฉันทั้งวันเพราะเธอเดินนำฉันไปทั่ว ฉันไม่สามารถที่จะโทษเธอได้เลย

[แต่ว่าฉันทำอะไรไม่สำเร็จเลยนะคะ]

[ช่วงเวลาแบบนี้มันก็มีกันทุกคนนั่นแหละครับ มันก็เหมือนกับตอนเข้าไปสำรวจดันเจี้ยนนั่นแหละเนอะ?]

[ที่คุณพูดมาก็ถูก]

เธอพยักหน้าสองสามครั้ง

[เอาเป็นว่าตอนนี้เราไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะครับเดี๋ยวผมเลี้ยงเอง]

[เข้าใจแล้วค่ะ ฉันไม่คิดจะเกรงใจหรอกนะคะ]

เดี๋ยวน่ะ!

และในระหว่างที่เราคุยอยู่นั้นเอง

[เกิดอะไรขึ้น? เจ้าทำผู้หญิงคนนี้ท้องแล้วทำเธอร้องไห้อย่างงั้นหรอ?]

มีเสียงดังขึ้นมา

เสียงนั้นมาจากเด็กผู้หญิงหูแมว เธอมีหางเล็กๆส่ายไปมาอยู่ด้วย เธอน่ารักสุดๆไปเลย

[มองไปทางไหนกัน ข้าอยู่ทางนี้ต่างหากทางนี้]

ในระหว่างที่ฉันคิดว่าเธอมีน้ำเสียงที่สงบดีจังอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นฉันก็นึกขึ้นได้ว่าต้นเสียงนั้นมาจากแมวที่เธอถืออยู่ต่างหาก

แมวพูดได้

[แมวมัน…..แมวมันกำลังพูดอยู่!!!]

นี่เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจมากที่สุดเท่าที่ฉันพบเจอตั้งแต่ที่ข้ามมายังโลกฝั่งนี้

[เป็นคนที่หนวกหูชะมัด]

[คุณเอเว็ตต้าแมวมันกำลังพูดอยู่ด้วย คุณเอเว็ตต้า?]

หน้าของเธอซีดมาก

[โชยะพรุ่งนี้ฉันจะรออยู่ที่เคาน์เตอร์นะคะ กรุณามาถึงก่อนช่วงบ่าย ฉันขอโทษสำหรับวันนี้ด้วยส่วนเรื่องเลี้ยงข้าวเลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้แทนนะคะ ลาก่อน]

แล้วเธอก็จากไปเหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่าง หลังของเธอหายเข้าไปในเมืองยามพระอาทิตย์ตกดิน

เธอเกลียดแมวงั้นเหรอ?

[หืมม ช่างเป็นผู้หญิงมีเขาที่ขี้ขลาดเสียจริง เจ้าน่ะ เจ้าคนที่มีหน้าตาโง่ๆน่ะ]

[อา มีอะไรหรอเจ้าแมวน้อย?]

แมวที่มีขนสีเทายาวและดวงตาสีทองกำลังคุยกับฉัน

[ให้รางวัลเด็กคนนี้ด้วย เธออุ้มข้าตลอดทางจนมาถึงที่นี่ เจ้าไม่คิดจะให้รางวัลสำหรับความพยายามอันหนักหน่วงของเธอหน่อยหรอ?]

ทำไมต้องเป็นฉันด้วย? แต่นุ้งหูแมวคนนี้น่ารักน่ากอดมากจนฉันเผลอหยิบเหรียญทองแดงออกมาจากกระเป๋า แล้วมันก็ถูกแมวกระชากไปต่อหน้าต่อตา แมวตัวนั้นยื่นให้กับเด็กหูแมวแล้วพูดว่า

[เจ้าทำได้ดีมาก เดินทางกลับวิหารระวังด้วยล่ะ อย่าเดินแวะไปที่ไหนและอย่าเพิ่งไปซื้ออาหาร ระวังผู้ชายให้ดีโดยเฉพาะผู้ชายที่หน้าตาโง่ๆเหมือนแบบนี้ ลาก่อน]

เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆถือเหรียญทองแดงอย่างระมัดระวังจากนั้นเธอก็โบกมือไปมาก่อนเดินทาง ฉันก็โบกมือกลับบ้าง

[แล้วก็]

แมวตัวนั้นที่ขดตัวอยู่จนถึงตอนนี้เริ่มเอาตัวมาถูกับขาของฉัน

[อา คุณแมวมีธุระอะไรกับผมงั้นหรอครับ?]

[มิสุรานิกาต่างหาก เจ้าที่เรียกว่าโชยะ]

มิสุรานิกา………รู้สึกเหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน จากที่ไหนน่ะ? เจ้าสิ่งที่เอาไว้ลงทุนในอนาคตเหมือนบิทคอยน์ไม่ใช่หรอ? ไม่ใช่ว่าเจ่านั้นก็มีชื่อเรียกอย่างนั้นหรอกเหรอ?

[ข้าได้เห็นเทคนิคการต่อสู้กับกลุ่มอันธพาลเมื่อวานนี้แล้วเจ้าทำได้ดีมาก ข้าขอชมเชย]

ฉันเปลี่ยนไปอยู่ในท่าที่ดึงมีดคารัมบิตออกมาได้ง่ายที่สุด

ดูเหมือนว่าเจ้าแมวตัวนี้จะเห็นการต่อสู้เที่เกิดขึ้นเมื่อวานสิน่ะ

[บาปที่ได้มาขวางการนอนของข้านั้นสมควรตายเป็นพันๆครั้ง เจ้าควรจะชดใช้ด้วยชีวิตแต่ว่า…]

อยู่ๆฉันก็ถูกบอกให้ไปตายซะงั้น

[อยากให้ฉันทำอะไรกันแน่?]

[ถ้าหากเจ้ายอมมาเป็นข้ารับใช้ของข้าไปตลอดชีวิตมันคงจะดีกว่าล่ะนะ]

ฉันเพิ่งจะรู้ตัวนี้แหละว่าแมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถแสดงออกถึงความใจแคบได้ขนาดนี้

[พรุ่งนี้เองก็ดูท่าจะยุ่งๆด้วย ขอตัวกลับก่อนละกัน]

ฉันไม่อยากมาเสียเวลากับเรื่องแบบนี้

[นี่เจ้า-! ข้าอุตส่าห์ใจดียอมบอกว่าข้าจะยอมไว้ชีวิตของเจ้าเชียวน่ะ! ไม่คิดว่ามันเป็นข้อเสนอที่ดีหรอกเหรอ! ข้าอุตส่าห์ให้ข้อเสนอที่ร้อยปีจะมีอีกซักครั้งหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ- เข้าใจแล้ว! เอางั้นก็ได้! ข้าจะให้เงื่อนไขที่ไม่เข้มงวดกับเจ้าก็ได้ อย่างน้อยก็ฟังให้จบก่อน!]

เจ้าแมวนั้นส่งเสียงร้องในขณะที่ห้อยมาจากกางเกง ฉันคิดว่าจะทำเป็นไม่สนใจและเดินทางกลับบ้าน แต่ฉันก็รู้สึกสงสารจับใจเลยลองฟังในสิ่งที่มันพูดอีกครั้ง

[อาหารไง! ข้าจะยกโทษให้ถ้าหากเจ้าให้อาหารกับข้า! เจ้าคิดว่าไง! เจ้าไม่คิดว่าข้านั้นใจกว่างเหมือนกับมหาสมุทรหรอกหรอ?]

[เอ๋……]

การเลี้ยงแมวนั้นค่อนข้างเป็นปัญหา อีกอย่างฉันชอบหมามากกว่า มันคงจะดีถ้าหากได้เลี้ยงนุ้งหูแมวก่อนหน้านี้(คุณตำรวจมีหมีอยู่ตรงนี้!!)

[อึ๊ก เจ้า!….เจ้ากล้าทำกับข้าถึงเพียงนี้เลย-]

แล้วแมวตัวนั้นก็ร่วงลงมานอนกับพื้น มันตายแล้วหรอ? มันนอนแผ่เบาอยู่บนพื้นจนฉันนึกว่ามันอาจจะตายไปแล้วจริงๆก็ได้

[ไม่น่ะ ข้าขยับตัวมากเกินไป นี่คงจะทำให้ถึงขีดจำกัดแล้วสิน่ะ…]

[เอ๋!!!!!!!!]

ถ้าหากฉันทิ้งมันไว้ที่นี่แล้วพรุ่งนี้มาพบศพของมันเข้าละก็! มันคงทำให้ฉันกินข้าวไม่อร่อยไปอีกหลายวัน

[แกหิวอยู่งั้นหรอ?]

[ข้าไม่ได้กินอะไรมาประมาณ 15 ปีได้แล้วน่ะ…]

ตอนนี้มันกำลังพยายามทำตัวน่าสงสารแทน

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถเลี้ยงแมวได้หรือเปล่า

[แกอยากจะไปที่บ้านฉันไหม?]

[ช่วยไม่ได้น้า งั้นข้าจะไปกับเจ้าก็แล้วกัน]

วันนี้เลยเก็บแมวมาได้หนึ่งตัว

******************************************************************************************************

คุยกันท้ายเล่ม 

มันมึคำใบ้มากมายที่ไม่ได้ใส่ลงไปในมังงะโดยเฉพาะรายละเอียดเล็กเกี่ยวกับแมว สำหรับคนที่อ่านมังงะคงจะนึกภาพออกได้ง่าย

ปล.ตัวเอกนี่มันภัยสังคมชัดๆ

Options

not work with dark mode
Reset