“ยกเลิกข้อตกลง?” หม่าฉุนลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ไม่ ไม่มีทาง ไม่แน่นอน” คำพูดคราวนี้ไม่ใช่สิ่งที่โจวเหว่ยชิงสอนเขา แม้หม่าฉุนจะรู้ว่ามันยากที่จะยอมรับในขนาดตัวของอู่หยา แต่การทำให้งานแต่งเป็นโมฆะก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ประการแรก นี่เป็นเรื่องร้ายแรงมาก ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องส่วนตัว แต่มันเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเผ่าด้วย ที่สำคัญกว่านั้น เขายังรู้ด้วยว่าเมื่อผู้หญิงเผ่าอีกาทองคำถูกยกเลิกการหมั้นหมายจะเป็นเรื่องร้ายแรงขนาดไหน กฎของเผ่าอีกาทองคือไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ผู้หญิงที่ถูกยกเลิกงานแต่งจะถูกมองว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่ซื่อสัตย์ อู่หยาไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเป็นทายาทของหัวหน้าเผ่าอีกาทองได้อีกต่อไป แต่ชีวิตของเธอก็ยังอาจตกอยู่ในอันตรายด้วย แม้หม่าฉุนจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่เขาก็ไม่อาจทำลายชีวิตของอู่หยาเช่นนั้นได้! นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะหลบหนีไปแทนที่จะยกเลิกงานแต่งงาน
อู่หยามองเขาอย่างเย็นชาก่อนจะพูดว่า “ทำไมล่ะ? หากเจ้าไม่ชอบข้า ข้าก็จะคืนอิสรภาพให้แก่เจ้า”
หม่าฉุนส่ายหัวในใจ นึกย้อนไปถึงแผนขั้นที่ 3 ซึ่งโจวเหว่ยชิงได้บอกเขา ก่อนหน้านี้เขายังลังเลเล็กน้อย แต่ตอนนี้ชายหนุ่มรู้แล้วว่าตนไม่อาจลังเลได้อีกต่อไป
“อู่หยา ที่ข้าหนีออกมาตอนแรก มันเป็นความผิดของข้าจริงๆ ในเวลานั้นข้าไม่ได้คิดให้รอบคอบและข้าก็ไม่อยากแต่งงาน ข้าเกลียดการถูกยัดเยียดให้คนอื่นเพราะคำสั่งของเผ่า อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าก็ได้กรุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆ อย่างชัดเจนแล้ว ไม่ว่าเจ้าหรือข้า เราต่างก็มีภาระที่แบกอยู่บนไหล่ สิ่งที่เรียกว่าความรับผิดชอบ สิ่งนี้ชัดเจนมากขึ้นสำหรับข้าหลังจากได้ก้าวออกมาสู่โลกภายนอก ได้เห็นว่าจ้าวมณีสวรรค์มีพลังได้อย่างไร และข้าก็เกลียดตัวเองอย่างแท้ จริงเพราะความเกียจคร้านและความไร้ประโยชน์ของข้าในอดีต ตอนนี้ข้าจึงได้เริ่มทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักแล้ว ความจริงข้าวางแผนไว้แล้วว่าจะฝึกให้สำเร็จก่อน อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าก่อนที่จะกลับไปหาเจ้า ไม่ว่ายังไง…อย่างน้อยข้าก็ต้องมีพลังเท่าเทียมกับผู้หญิงของตัวเอง…”
“ก่อนหน้านี้ ในช่วงเวลาที่ข้าเห็นเจ้า ข้าก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมากจนไม่สามารถเผชิญหน้ากับใครได้ แทบจะหวังให้แผ่นดินสูบข้าลงไปเสียด้วยซ้ำ ข้ารู้ว่าสมาชิกเผ่าอีกาทองของเจ้าจะไม่ยอมละทิ้งบ้านเกิดมาง่ายๆ และข้าก็ไม่คิดว่าจะมีเหตุผลอะไรอีกที่ทำให้เจ้ามาที่นี่นอกจากตามหาข้า สำหรับหญิงสาวเช่นเจ้า การที่ต้องออกจากบ้านคนเดียวและเดินทางไกลมาเช่นนี้ ข้ารู้สึกซาบซึ้งจริงๆ”
“สำหรับความผิดพลาดที่ข้าได้ทำในตอนนั้น ข้าไม่รู้ว่าจะชดเชยให้เจ้าอย่างไร ข้าแค่หวังว่าจะมีโอกาสได้ทำ ความเข้าใจเจ้า เพื่อตอบสนองเจ้า รักและทะนุถนอมเจ้า…”
ในขณะที่เขาพูดถึงประเด็นนี้ หม่าฉุนก็ยิ้มอย่างเศร้าๆ และขมขื่นก่อนจะพูดต่อ “แน่นอน ข้ารู้ว่าคนๆ หนึ่งต้องชดใช้ความผิดพลาดของตนเอง ถ้าเจ้าไม่ต้องการให้โอกาสข้า ข้าก็เข้าใจ แต่อย่างน้อยขอให้ข้าได้ปกป้องชื่อเสียงและความบริสุทธิ์ของเจ้า นั่นคือวิธีที่ดีที่สุดที่ข้าจะสามารถชดใช้บาปของตนเอง”
หม่าฉุนยกมือขวาขึ้น ไม่มีใครรู้ว่ากริชสั้นปรากฏขึ้นในมือของเขาเมื่อใด และชายหนุ่มก็แทงมันลงไปยังหน้าอกซ้ายของเขาอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่ลังเล
คำพูดที่หม่าฉุนเอ่ยนั้นมาจากใจของเขาอย่างแท้จริง และแผนขั้นที่ 3 ที่โจวเหว่ยชิงได้สอนเขานั้นเรียกว่ากลศึกทรมานตนเอง
โจวเหว่ยชิงบอกว่าถ้าอู่หยาไม่ตบตีเขาหลังจากเข้าไปในห้อง นั่นหมายความว่าเธอมีความรู้สึกบางอย่างกับเขา หากเป็นเช่นนั้น เขาก็สามารถใช้กลศึกทรมานตนเองเพื่อหลอกล่อเธอได้ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจว่าจะใช้แผนนี้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขาทั้งสิ้น
เมื่อหม่าฉุนพูดประโยคก่อนหน้านี้กับอู่หยา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจและสำนึกผิดอย่างแท้จริงเมื่อมองเห็นหญิงสาวที่จิตใจแตกสลาย กลศึกทรมานตนของเขาจึงเปลี่ยนจากการแสดงละครไปสู่ความเป็นจริง เดิมทีโจวเหว่ยชิงเคยบอกให้เขาแทงเข้าที่หน้าอกด้านขวาเพราะนั่นจะทำให้เขาเพียงแค่บาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ถึงแก่ชีวิต ทว่าหม่าฉุนกลับแทงลงไปทางหน้าอกด้านซ้าย ที่ๆ มีหัวใจอยู่จริงๆ
สำหรับเผ่าอีกาทอง หากสามีของฝ่ายหญิงเสียชีวิต สิ่งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของผู้หญิง และเธอก็จะสามารถแต่งงานใหม่ได้ ในการทำเช่นนี้ หม่าฉุนจึงใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อแลกกับชื่อเสียงของอู่หยา
“เจ้ากำลังทำอะไร?!” เมื่อเห็นหม่าฉุนแทงตัวเองด้วยกริชอย่างเด็ดเดี่ยว หัวใจของอู่หยาก็อ่อนยวบ มือของเธอยกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อจับข้อมือของหม่าฉุนเอาไว้
จริงๆ แล้วเธอค่อนข้างรู้ชัดเกี่ยวกับพลังของหม่าฉุน และเมื่อมือของพวกเขาสัมผัสกัน อู่หยาก็บอกได้ทันทีว่าเขาแทงลงไปอย่างรุนแรงด้วยกำลังทั้งหมดของตัวเอง และมันก็ไม่ใช่การแสดงอย่างแน่นอน ดูจากกำลังที่เขาใช้ แม้ว่าเธอจะจับข้อมือของเขาเอาไว้ได้ทันเวลา แต่กริชของหม่าฉุนก็ยังคงแทงลึกเข้าที่กล้ามเนื้อหน้าอกของเขา และเลือดก็ไหลทะลักออกมาทันที
อู่หยารีบคว้ากริชจากมือของเขาและเหวี่ยงมันออกไปก่อนจะอุดปากแผลไว้อย่างรีบร้อน ในเวลานั้น หม่าฉุนก็แสดงความสามารถในการเกี้ยวผู้หญิง ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะไม่ด้อยไปกว่าโจวเหว่ยชิงเลยด้วยซ้ำ เขาหันหน้ากลับไปกอดอู่หยาไว้ในอ้อมแขนอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าเธอจะหนีหายไป
ด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพของหม่าฉุน การกอดหญิงสาวอย่างสุดกำลังเช่นนี้ บางทีอาจมีเพียงอู่หยาเท่านั้นที่สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้พลังปราณสวรรค์
ณ ลานบ้าน หยุนลี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงเอ่ยออกมาเบาๆ “อันธพาลน้อยหม่าฉุน…เขาจะยังอยู่ดีไหม? ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยง่ายๆ!” ก่อนหน้านี้เขาได้เห็นความสามารถในการต่อสู้ของอู่หยามาแล้วขณะต่อสู้กับชายชุดดำ ไม่กี่วันมานี้อู่หยาได้ทะลุไปยังระดับมณี 4 ชุดแล้ว และนั่นก็ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพและพลังของขวานในตำนานเป็นอย่างดี หญิงสาวย่อมสามารถฝากรอยประทับไว้ในใจของทุกคนได้อย่างแน่นอน
โจวเหว่ยชิงแสยะยิ้มและกล่าวว่า “หึๆ เขาจะอยู่ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเขาเรียนรู้จากเทพราคะผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ไปมากแค่ไหน”
หยุนลี่หัวเราะอย่างดูถูกและพูดว่า “เทพราคะบ้านเจ้าน่ะสิ เจ้าที่โผล่กลับมาคนเดียวและทำคนรักหายเนี่ยนะ… ”
หลินเทียนอ้าวที่ยืนอยู่ด้านข้างมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าโจวเหว่ยชิงคนเก่าที่ซุกซน เจ้าเล่ห์และไร้ยางอายได้กลับมาแล้ว
โจวเหว่ยชิงและหลินเทียนอ้าวสามารถเข้าใจกันและกันได้เป็นอย่างดี เมื่อได้เห็นสีหน้าและแววตาของเขา โจวเหว่ยชิงก็ยิ้มและกล่าวว่า “แม้วันนี้ข้าจะถูกขับไล่ออกไปจากที่นี่ แต่ข้าก็ได้รับข่าวดีที่สุดที่ข้าไม่ได้ยินมาเป็นเวลานาน ราชวงศ์แห่งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของข้ายังไม่ได้ถูกทำลายไปทั้งหมด และอย่างน้อยท่านพ่อของข้าและคนที่เหลือก็ยังมีชีวิตอยู่” ด้วยเหตุนี้ เขาจึงอธิบายสิ่งที่เขาได้ยินจากไช่ไช่ให้คนที่เหลือฟัง
“สิบปี…พวกเรายังมีโอกาส” หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึมหลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด
โจวเหว่ยชิงพยักหน้า “ใช่ เรามีโอกาสอย่างแน่นอน 10 ปีข้างหน้าจะเป็นเวลาที่เราจะผงาดขึ้น ข้าจะทำให้พวกเขาชดใช้ทุกอย่างที่เอาไปจากข้าคืนเป็น 10 เท่า!”
ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างแตกตื่นของอู่หยาจากภายในห้อง
สีหน้าของหยุนลี่เปลี่ยนไปทันที “พวกเราจะทำยังไงกันดี?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มน้อยๆ ราวกับว่าเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว “ทุกอย่างเรียบร้อยดี เราไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขา หม่าฉุนคนนี้…พรสวรรค์ของเขาไม่เลวเลย!” จากเสียงร้องตกใจของอู่หยาและน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใย โจวเหว่ยชิงก็รับรู้ได้แล้วว่ากลศึกทรมานตนของเขาได้ผล และทั้งคู่ก็ค่อนข้างจะสบายดี
หากกลศึกทรมานตนได้ผลเช่นนี้แล้วจะยังมีอะไรให้ต้องพูดถึงอีก? สิ่งที่เหลืออยู่นั่นมีเพียงหม่าฉุนที่จะจัดการได้ มันไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะสอนได้อีกต่อไป
*ก๊อก* *ก๊อก* *ก๊อก* เสียงเคาะดังขึ้นจากประตูหน้าบ้าน ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะทันได้เอ่ยอะไร สี่น้อยก็พลันพุ่งไปข้างหน้าเพื่อจะเปิดประตูในขณะที่คนอื่นๆ ต่างก็ตั้งท่าระวังตัว ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าชายชุดดำก่อนหน้านี้เป็นใคร หากอาณาจักรเฟยหลี่กำลังจะลงมือกับโจวเหว่ยชิงจริง พวกเขาคงไม่มีโอกาสให้หลบหนีแล้ว
มีคนมากกว่า 10 คนยืนอยู่ข้างนอก โดยทั้งหมดมีซ่างหลางยืนอยู่ด้านหน้าสุด นอกจากเขาแล้ว โจวเหว่ยชิงยังจำคนอื่นๆ ได้อีกสองสามคน รวมถึงรุ่นพี่หัวโล้นคนนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม จำนวนจริงๆ ของพวกเขาก็น้อยกว่าที่ซ่างหลางเคยบอกโจวเหว่ยชิงก่อนหน้านี้ เมื่อรวมซ่างหลางแล้วก็เหลือเพียง 10 กว่าคนที่ยืนอยู่ที่นั่น
เมื่อเห็นผู้คนมากมายในลานบ้าน ซ่างหลางก็ส่งเสียงแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะพาบรรดาสหายพี่น้องเข้าไปข้างใน
“หัวหน้าโจว เรามาแล้ว” ซ่างหลางเดินไปหาโจวเหว่ยชิงก่อนจะหยุดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่เดิมมีพวกเราอีกสองสามคน แต่เมื่อพวกเขาบางคนได้ยินว่าท่านถูกไล่ออกจากโรงเรียน…”
โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างเฉยเมยและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ที่เจ้าสามารถนำคนมาได้จำนวนมากขนาดนี้ข้าก็รู้สึกประหลาดใจมากแล้ว”
ซ่างหลางสูดหายใจเข้าลึก แม้ไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าโจวเหว่ยชิง เขาก็มักจะรู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่เคยได้สัมผัสจากที่ไหน “…หัวหน้าโจว เรามาที่นี่เพื่อเป็นผู้ติดตามตลอดชีพของท่าน นอกจากข้าแล้ว พวกเขาที่เหลือล้วนเป็นจ้าวมณียุทธ์ การได้ติดตามอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นถือเป็นเกียรติและโชคดีของเรา อย่างไรก็ตาม พวกเรามีกันหลายคนและเราก็กังวลเล็กน้อยว่าท่านจะช่วยพวกเราทุกคนเกี่ยวกับศาสตรามณียุทธ์ได้หรือไม่ ในความคิดของท่าน…”
ท้ายที่สุดมันก็คือการติดตามตลอดชีพและพวกเขาก็ต้องถูกประทับตรา ซ่างหลางจึงต้องรับผิดชอบเหล่าพี่น้องที่ติดตามตนมาด้วย เมื่อพูดคำเหล่านั้นออกมา ชายหนุ่มก็ไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของโจวเหว่ยชิงอีก หากจะพูดตรงๆแล้ว เมื่อโจวเหว่ยชิงถูกบังคับให้ออกจากโรงเรียนในครั้งนี้ ซ่างหลางเองก็ยังลังเลกับการจะตัดสินใจติดตามเขา ทว่าแรง ดึงดูดของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีความสามารถนั้นก็ยอดเยี่ยมเกินไป โดยเฉพาะคนที่อายุน้อยๆ เช่นโจวเหว่ยชิง
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเมื่อเขามาถึงที่นี่และเห็นผู้คนมากมายในลานบ้าน เขาก็เริ่มกังวลแล้วว่าตัวเองและพี่น้องของเขาจะได้รับการสนับสนุนจากโจวเหว่ยชิงในการหลอมรวมม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์หรือไม่
หยุนหลี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างอดจะพูดอย่างโกรธเคืองไม่ได้ “เขาคนเดียวอาจทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่ด้วยความช่วยเหลือของข้า มันจะเป็นไปไม่ได้อย่างไร?”
ก่อนหน้านี้ซ่างหลางกังวลมากเกินไปและไม่ได้สังเกตเห็นหยุนลี่ที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์หลี่ ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ”
นับตั้งแต่หยุนหลี่เข้าสอนในโรงเรียนทหารเฟยหลี่ เขาก็ค่อนข้างทะนงตัวและเย่อหยิ่งกับคนอื่นๆ มาโดยตลอด นอกจากนี้ยังไม่ใช่ว่าเขาจะสั่งสอนนักเรียนคนอื่นได้ง่ายๆ ในความเป็นจริง เขาได้สอนห้องเรียนเอกสามัญเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หยุนลี่เหลือบมองไปที่โจวเหว่ยชิงชั่วขณะก่อนจะพูดอย่างเฉยเมย “เขาเป็นเจ้านายของข้า หากเขาอยู่ที่นี่ ข้าก็ย่อมต้องอยู่ที่นี่เช่นกัน เจ้าคิดว่าผู้ติดตามของเขาจะมีเพียงแค่พวกเจ้าเพียงไม่กี่คนหรือ?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “ด้วยอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงที่เพิ่มเข้ามา อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะทำจิตใจให้สบายได้แล้ว”
ก่อนที่ซ่างหลางจะพยักหน้าเห็นด้วย หยุนลี่ก็ขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงอะไรกัน เจ้านายที่รักของข้า ข้ามาถึงระดับปรมาจารย์แล้ว!”
ถึงคราวที่โจวเหว่ยชิงก็ต้องสะดุ้งไปบ้าง “เร็วขนาดนั้นเลย?!”
หยุนลี่กล่าวอย่างร่าเริงว่า “เดิมทีข้าก็กำลังจะก้าวไปสู่ขั้นปรมาจารย์แล้ว หลังจากได้แข่งขันกับเจ้า แลกเปลี่ยนสมุดบันทึกและประสบการณ์ต่างๆ แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเคี่ยวกรำตัวเองอย่างหนักหน่วง และในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ เป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์ก่อนอายุ 30 ปี! เจ้าเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนหรือไม่? ฮ่าๆ แน่นอน ข้าจะไปถึงระดับเทพเจ้าก่อนเจ้า และในเวลานั้น ใครจะรู้ บางทีเจ้าอาจจะอยากเป็นผู้ติดตามของข้าก็ได้
โจวเหว่ยชิงมองไปที่ชายหนุ่มครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็พูดอย่างจริงจัง “หยุนลี่ ข้าคิดว่าเมื่อใครบางคนทะนงตัวมากเกินไป มันย่อมส่งผลร้ายต่อการฝึกของเขา ในความเป็นจริง แน่นอนว่ามันย่อมไม่ดีเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น ข้าจึงตัดสินใจที่จะช่วยเจ้าให้ไม่ตกหลุมพรางความสำเร็จและความภาคภูมิใจนั้น สาวน้อยจอมมึน มานี่ซิ”
โจวเหว่ยชิงถอนลมหายใจที่เขากลั้นเอาไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากพักฟื้นฟูพลังปราณเป็นเวลาสั้นๆ ในที่สุดหลุมดำพลังปราณของเขาก็สามารถขับพลังปราณสวรรค์ภายนอกส่วนใหญ่ออกไปได้และกลับมาหมุนวนตามปกติอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็กำลังเตือนเขาว่าแม้แต่ทักษะกลืนกินอันแสนทรงพลังก็ไม่สามารถอยู่ยงคงกระพันได้ตลอดไปและทุกอย่างก็มีขีดจำกัดของมันอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเผชิญหน้ากับศัตรูหลายคนหรือยอดฝีมือที่ทรงพลังมากๆ เขาหากไม่ระมัดระวังให้ดี นั่นอาจหมายถึงชีวิตของตัวเองก็เป็นได้
“แค่บาดเจ็บเล็กน้อย ข้าสบายดี” ด้วยสายเลือดของพยัคฆ์เทพอสูรมืด อัตราการฟื้นฟูของเขาจึงแข็งแกร่งมาก และเนื่องจากอาการบาดเจ็บก็ไม่ได้ร้ายแรงเกินไป พักผ่อนเพียงไม่กี่วันก็เพียงพอให้เขาฟื้นตัวกลับคืนมาได้เต็มที่แล้ว
หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้วแน่นก่อนจะพูดว่า “ป่ายต้า?”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าแล้วเงียบสักครู่ก่อนจะพูดอย่างเย็นชา “อาจจะ”
ที่ด้านข้าง สี่น้อยพูดอย่างสงสัย “นอกจากพวกเขาแล้วยังจะมีใครอีก?”
หลินเทียนอ้าวถอนหายใจและส่ายหัวเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
โจวเหว่ยชิงมองไปที่อีกฝ่าย ริมฝีปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชาขณะที่พูดว่า “ท่านก็คิดเหมือนกันสิ นะ…”
หลินเทียนอ้าวพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ไม่เช่นนั้นข้าก็คงไม่อาจคิดหาเหตุผลอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้แล้ว หยุนลี่บอกข้าแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าในโรงเรียนทหารเฟยหลี่ แม้ข้าไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง แต่ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสงสัยเขา เฮ้อ…ถึงอย่างไรเขาก็เคยผ่านความเป็นความตายมากับเรา และข้าก็ไม่อาจเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นได้เลย”
โจวเหว่ยชิงยักไหล่และกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ทุกคนย่อมมีความคิดและทางเดินเป็นของตัวเอง ท้ายที่สุดเขาก็เป็นตัวแทนของเหล่าชนชั้นสูง และสำหรับเขา เราทุกคนล้วนเป็นเพียงสามัญชน ที่สำคัญกว่านั้นคือหากเขาทำเพียงเพราะเห็นแก่อาณาจักรเฟยหลี่ สิ่งที่เขาเลือกก็ย่อมไม่ผิดอะไร ส่วนความอิจฉาริษยามีส่วนในการตัดสินใจของเขาหรือไม่…ข้าก็ยากที่จะพูด เป่าเปาที่รักของข้า บางทีครั้งต่อไปที่พบกัน พวกเราอาจจะไม่ใช่สหายกันอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ยังจะเป็นศัตรูกันอีกด้วย”
ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงหรือหลินเทียนอ้าว ทั้งคู่ต่างก็สงสัยเย่เป่าเปา หากไม่ใช่เพราะข่าวที่เย่เป่าเปานำกลับมาราย งานล่วงหน้า ราชวงศ์เฟยหลี่จะรู้ได้อย่างไรว่าโจวเหว่ยชิงทำให้หุบเขาอเวจีสีเลือดบันดาลโทสะระหว่างงานประลองมณีสวรรค์ หรือกระทั่งข่าวอื่นๆเกี่ยวกับหุบเขาหลงใหลและวังสวรรค์ไพศาล เป็นเพียงเพราะข่าวที่โจวเหว่ยชิงช่วยอาณาจักรวั่นโซ่วต่อต้านวังสวรรค์ไพศาลและหุบเขาหลงใหลนั้นเองที่ทำให้อาณาจักรเฟยหลี่ทำตัวไร้เหตุผลและขับไล่เขาออกจากอาณาจักร แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะช่วยพวกเขาให้ได้รับชัยชนะในงานประลองมณีสวรรค์ก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น โจวเหว่ยชิงและคนอื่นๆเพิ่งจะกลับมาถึงที่นี่ แต่เพียงแค่กลับเข้าไปในบ้านของตัวเอง พวกเขาก็ถูกจู่โจมทันที นั่นหมายความว่าอย่างไร? แม้ว่าชายในชุดดำจะมาจากอาณาจักรป่ายต้าจริงๆ แต่การที่พวกเขาจะสามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างถูกต้องเหมาะเจาะเช่นนี้ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขาต้องได้รับข่าวเกี่ยวกับที่อยู่ของโจวเหว่ยชิงมาก่อนล่วงหน้า…และก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถช่วยพวกเขาได้
นอกจากเย่เป่าเปาก็แทบจะไม่มีคำอธิบายอื่นๆ อีกแล้ว ไม่ว่าชายชุดดำเหล่านี้จะมาจากอาณาจักรป่ายต้าหรือเป็นกองกำลังของอัครมหาเสนาบดี นั่นก็ไม่สำคัญสำหรับพวกเขาอีกต่อไป
หลินเทียนอ้าวถามโจวเหว่ยชิง “พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป? แผนของเจ้าเป็นอย่างไร?”
โจวเหว่ยชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เราจะออกเดินทางต่อในคืนนี้ อย่างน้อยราชวงศ์เฟยหลี่และพวกขุนนางก็ไม่มีแผนจะสังหารข้า พวกเขาย่อมไม่ห้ามให้พวกเราออกจากเมืองแน่ พวกเราทั้งหมดจะจากไปในตอนกลางคืน แต่ข้าต้องรอกลุ่มรุ่นพี่จากโรงเรียนของข้าก่อน กำลังคนที่เพิ่มเข้ามาคือความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น พวกเขามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความก้าวหน้าในอนาคตของเรา”
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดกันนั้นเอง จู่ๆ ทุกคนก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวอย่างฉับพลัน “หม่าฉุน! เจ้าสารเลว! เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ!!”
*ตูม* เกิดเสียงดังอื้ออึง ทุกคนจึงจ้องไปยังที่มาของเสียงอย่างสับสน
ภาพที่เข้ามาทักทายสายตาพวกเขาคือร่างอันใหญ่โตของหม่าฉุนที่กำลังถูกอู่หยาจับตรึงด้วยแขนข้างเดียวก่อนจะกดเข้ากับกำแพง
ในแง่ของขนาดและรูปร่าง หม่าฉุนมีขนาดใหญ่โตและบึกบึนกว่าอู่หยา อย่างไรก็ตาม ในแง่ของความแข็งแกร่งและพลัง เขายังอยู่ห่างไกลจากหญิงสาวมากทีเดียว หลังถูกอู่หยาผลักชนกำแพง ชายหนุ่มก็ดูจะทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าของหม่าฉุนกลายเป็นสีเหลืองซีด และสีหน้าของเขาก็ราวกับว่าอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก
โจวเหว่ยชิงชะงักด้วยความตกตะลึง ในวินาทีถัดมา รอยยิ้มซุกซนที่ห่างหายไปนานก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เด็กหนุ่มพูดอย่างชั่วร้าย “เดี๋ยวก่อนอู่หยา”
อู่หยาหันหน้าไปมองโจวเหว่ยชิง สำหรับชายหนุ่มที่อายุยังน้อยแต่ความแข็งแกร่งกลับพัฒนาขึ้นพรวดพราดจนแซงหน้าเธอไปได้ เพื่อนที่แสนน่ากลัวคนนี้จึงได้รับความเคารพจากอู่หยาอย่างแท้จริง นอกจากนี้หญิงสาวยังปฏิบัติต่อโจวเหว่ยชิงในฐานะสหายที่แสนล้ำค่าของตนเสมอ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงคลายมือที่กำแน่นออกชั่วขณะ แต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยหม่าฉุนออกไปซะทีเดียว
โจวเหว่ยชิงจ้องมองอู่หยา จากนั้นก็หันไปมองหม่าฉุนซึ่งกำลังร้องไห้โอดครวญ “หัวหน้า เห็นแก่ความเป็นพี่น้องของเรา โปรดช่วยข้าด้วย!”
โจวเหว่ยชิงลูบหลังอู่หยาและพูดว่า “อู่หยา อย่าบอกนะว่าหม่าฉุนเป็นคู่หมั้นที่หนีจากงานแต่งของเจ้า?”
อู่หยาพยักหน้าอย่างรุนแรงและขบฟันแน่นขณะที่เธอพูดว่า “นอกจากไอ้สารเลวนี่แล้วจะมีใครอีกล่ะ? เดิมทีครอบครัวของเราได้จัดเตรียมงานแต่งงานของพวกเราไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อเขาพบข้า เขาก็หนีไปโดยไม่บอกกล่าวกับใคร ทั้งยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาหายไปไหน ข้าใช้เวลาค้นหาสักพักก่อนจะพบร่องรอยว่าเขาอยู่ในเมืองเฟยหลี่ วันนี้ในที่สุดข้าก็ได้เจอไอ้สารเลวคนนี้แล้ว หม่าฉุน พูดมา ทำไมเจ้าถึงหนีไป? เป็นเพราะข้าขี้เหร่หรืออย่างไร!!?”
แม้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด อู่หยาก็สามารถประจันหน้ากับพวกเขาได้อย่างกล้าหาญโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับคู่หมั้นที่หนีจากงานแต่งของตัวเองไป ใบหน้าของเธอก็พลันแดงก่ำด้วยความโกรธ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอู่หยาในสภาพเช่นนี้ หม่าฉุนจึงทำได้เพียงแค่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ถูกและไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมาดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามองไปยังคนอื่นๆ และตระหนักได้ว่าไม่มีใครยืนข้างเขาเลย ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงแค่นิ่งเงียบอย่างหดหู่
โตวโตวยืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงมาตลอด และในขณะนั้น หญิงสาวก็พลันกระพริบตาและพูดว่า “อาจารย์เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่มีใครสามารถตัดสินความงามจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ นอกจากนั้น ท่านยังบอกว่าความงามในหัวใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ข้าสัมผัสได้ว่าหัวใจข้างในของพี่อู่หยางดงามมาก”
โจวเหว่ยชิงเหลือบมองโตวโตวและแอบคิดกับตัวเอง ผู้หญิงคนนี้…เป็นไปได้ไหมว่าอู่หยาเคยซื้อใจนางด้วยขาแกะย่างระหว่างทางกลับ นางจึงได้พูดอย่างนั้นออกมา?
โจวเหว่ยชิงตบหลังอู่หยาเบาๆ อีกครั้งก่อนจะชี้ไปยังห้องขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้างและพูดว่า “อย่าทำรุนแรงนักล่ะ ถึงอย่างไรเขาก็อยู่ในมือเจ้าแล้ว บางเรื่องเจ้าก็ต้องระบายออกมาบ้าง ไม่ว่าเจ้าทั้งสองคนจะลงเอยกันหรือไม่ ทว่าก็มีคนหนึ่งต้องชดใช้ความผิดของตนเอง ไปเถิด เจ้าไม่จำเป็นต้องไว้หน้าข้าหรอก”
หม่าฉุนมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาที่น่าสงสารราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทว่าเมื่อเขาเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของอู่หยา ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงอึกอักพูดอะไรไม่ออก ในขณะนั้น จู่ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกคันยิบที่หูและน้ำเสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้นในหูของเขา เบาจนแทบฟังไม่ออก นั่นไม่ใช่เสียงของหัวหน้าของเขา โจวเหว่ยชิงหรอกหรือ?
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอดีต โจวเหว่ยชิงคงจะไม่สนใจหม่าฉุน ถ้าเขาไม่ปล่อยให้อู่หยาทุบตีอีกฝ่ายจนเขาตายไปครึ่งหนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็คงจะไม่อภัยให้ตัวเอง สหายคนนั้นหนีจากงานแต่งงาน บังคับให้คู่หมั้นของตนต้องออกตามหามาเป็นเวลาเนิ่นนาน เขาคือนิยามของคำว่า ‘ตัวปัญหา’ จริงๆ หากไม่ต้องการแต่งงานกับใคร เขาก็แค่พูดออกไป ทำไมต้องหนีไปแบบนั้นด้วย?
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาหม่าฉุนกลับมายืนอยู่ข้างเขาในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ออกโรงปกป้องเขาแม้ว่านั่นจะเป็นอันตรายต่อตัวเองก็ตาม ในช่วงเวลานั้น โจวเหว่ยชิงได้คิดปฏิบัติกับเขาในฐานะพี่ชายคนหนึ่งอย่างแท้จริงแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถข้ามแม่น้ำรื้อสะพานได้ และการช่วยเหลือหม่าฉุนเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรจะต้องทำ
ดังนั้น สำหรับเรื่องระหว่างเขากับอู่หยา โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจจะช่วยเขาเพียงครั้งเดียว ในอนาคตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา นั่นก็ขึ้นอยู่กับทั้งสองคนแล้ว โจวเหว่ยชิงจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป
หม่าฉุนกล่าวด้วยสีหน้าน่าสงสารกับอู่หยาว่า “ปล่อยข้าก่อน นี่เป็นเรื่องระหว่างเราสองคนสามีภรรยา อย่าให้คนอื่นมองพวกเราเป็นเรื่องขำขันยามบ่ายเลย พวกเราไปที่ห้องและพูดคุยกันจะดีกว่า เจ้าสามารถทำสิ่งที่เจ้าต้องการกับข้าได้ทุกอย่าง แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นลูกผู้ชาย อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะเหลือหน้าไว้ให้ข้าบ้าง”
คำพูดที่หม่าฉุนเพิ่งเอ่ยออกไปเมื่อกี้นี้เป็นไปตามที่โจวเหว่ยชิงสอนเขา
อู่หยาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยความโกรธ “เจ้ายังรู้จักคำว่าลูกผู้ชายอยู่อีกหรือ? ใครเป็นสามีภรรยากับเจ้าไม่ทราบ!” แม้ว่าหญิงสาวจะพูดแบบนั้น แต่สุดท้าย เธอก็ยังปล่อยแขนหม่าฉุนและเดินเข้าไปในห้องอย่างรีบร้อน
หม่าฉุนมองไปที่โจวเหว่ยชิงซึ่งกำลังมองกลับอย่างมีเลศนัย เขาไม่เหลืออะไรจะให้เสียอีกแล้ว ชายหนุ่มรู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่สามารถซ่อนตัวได้อีกต่อไป และเขาก็ยกนิ้วโป้งให้โจวเหว่ยชิงอย่างลับๆ ก่อนที่จะเดินตามหลังอู่หยาไป ทว่าในขณะที่เขาเดินผ่านโจวเหว่ยชิง เขาก็ได้รับของบางอย่างอย่างรวดเร็ว
โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเอง พี่ชาย ข้าช่วยเจ้าเท่าที่จะทำได้แล้ว ตอนนี้เจ้าก็อธิษฐานให้ตัวเองก็แล้วกัน
เหตุผลที่โจวเหว่ยชิงคิดแผนให้หม่าฉุนก่อนหน้านี้เป็นเพราะเขารู้จักอู่หยาเป็นอย่างดี แม้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะดูกล้าหาญและตรงไปตรงมา แต่ในความเป็นจริง เธอมีไหวพริบและเฉียบแหลมเป็นอย่างมาก สายตาของอู่หยาแสนจะคมกริบ การแสดงละครเป็นหมูกินเสือของเธอนั้นดีกว่าโจวเหว่ยชิงเสียด้วยซ้ำ การไว้หน้าผู้ชายของตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงที่ฉลาดเช่นอู่หยา ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังไม่ได้ตัดขาดความสัมพันธ์กันอย่างแท้จริงและยังถือว่าเป็นคู่หมั้นกันอยู่
หม่าฉุนเดินตามอู่หยาเข้าไปในห้องก่อนจะหันไปปิดประตู บังคับตัวเองให้ดูสงบเยือกเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว อู่หยาก็หมุนตัวกลับไปอย่างกะทันหัน จ้องมองเขาด้วยแววตาเยียบเย็น
หม่าฉุนถอนหายใจ และชายหนุ่มผู้สูง 2 เมตรคนนี้ก็ก้าวไปหาอู่หยาก่อนจะถอนหายใจอีกครั้งและพูดว่า “อู่หยา ข้ารู้ว่าตัวเองได้ทำผิดต่อเจ้าอย่างไม่อาจให้อภัยได้ และแม้ว่าข้าจะขอโทษกี่ครั้ง มันก็คงจะไม่พอสำหรับเจ้า ข้าไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไปแล้ว ลงมือเถอะ หากเจ้าสามารถระบายความรู้สึกของเจ้าได้ ข้าก็จะยอมรับมันเอาไว้เอง ข้าทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว” ในขณะที่พูดอย่างนั้น เขาก็หมอบลงต่อหน้าอู่หยา ยกแขนไปรองใต้ศีรษะอยู่ในท่ายอมแพ้ ราวกับยอมรับการโจมตีที่กำลังจะมาถึงโดยดุษฎี
นี่เป็นแผนขั้นตอนที่ 2 ซึ่งโจวเหว่ยชิงสอนหม่าฉุนก่อนจะตามเข้ามา การเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่ชาญฉลาดเช่นอู่หยา ภาษาดอกไม้ กลอุบาย หรือการโกหกใดๆ ย่อมไร้ผล ดังนั้นการยอมรับผิดและขอโทษตั้งแต่ครั้งแรกที่เป็นไปได้ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยผ่อนหนักเป็นเบา นับตั้งแต่แผนขั้นแรกของโจวเหว่ยชิงได้ผล ความเชื่อใจที่หม่าฉุนมีต่อเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
นับตั้งแต่ที่คู่หมั้นคนนี้หนีไปก็อาจกล่าวได้ว่าอู่หยาเกลียดเขามาก อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างสูง 2 เมตรของเขาก้มหมอบลงต่อหน้า ปล่อยให้เธอทุบตีและดุด่าเขาตามที่ต้องการ หัวใจของอู่หยาก็อ่อนยวบลง เขาตัวใหญ่มากเกินไป และถ้าเธอทุบตีเขาให้บาดเจ็บได้จริงๆ เขาจะเผชิญหน้ากับโจวเหว่ยชิงในอนาคตได้อย่างไร?
สมาชิกของเผ่าอีกาทองมีความภักดีและแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเรื่องความรัก เมื่อเธอได้ตกลงทำสัญญาว่าจะแต่งงานกับหม่าฉุน หญิงสาวก็คิดว่าตัวเองเป็นของเขาแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะแทบจะไม่เคยพูดจากันเลยสักครั้ง แต่ความเชื่อที่ฝังรากลึกเช่นนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ สิ่งนี้ยังทำให้อู่หยาคิดแทนผู้ชายของเธอเสมอ แม้ว่าเธอจะโกรธเขามากก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดเธอจึงรั้งตัวเองไว้และไม่ได้ลงมือใดๆ ก่อนจะพูดด้วยความโกรธ “หม่าฉุน พูดมา เจ้าต้องการอะไร? ถ้าเจ้าไม่ต้องการแต่งงานกับข้า เราจะกลับไปที่เผ่าเพื่อสะสางธุระของเราให้เสร็จสิ้น จากนั้นพวกเราก็สามารถหักล้างข้อตกลงได้ ทุบตีเจ้าไปก็มีแต่จะทำให้มือข้าสกปรก”