Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา 74.2 ทักษะสังเวยธาตุมืด (2)

ตอนที่ 74.2 ทักษะสังเวยธาตุมืด (2)

อย่างไรก็ตาม ผู้ชมที่เฉลียวฉลาดสามารถบอกได้ว่านี่อาจเป็นจุดจบของกลุ่มนักรบเหมี่ยวในงานประลองครั้งนี้ เจี่ยงเฟยวู่วามเกินไป เธอถึงกับใช้ทักษะสังเวยออกมาในงานประลองรอบแรก แม้ว่ามันอาจจะไม่สร้างความเสียหายให้กับตัวเองเท่ากับทักษะเปลวไฟแห่งชีวิต แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเพื่อพักฟื้นให้กลับมามีพลังเต็มที่ดังเดิม หากไม่มีพลังของเธอ กลุ่มนักรบเหมี่ยวจะไปถึงอันดับ 2 ของสายได้อย่างไร โดยเฉพาะงานประลองรอบนี้ที่พวกเขามีแนวโน้มว่าจะแพ้ด้วย

จู่ๆ ก็มีชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า เขาสวมเสื้อคลุมของสำนักกักเก็บทักษะ ทว่าบนศีรษะกลับมีมงกุฎสีม่วงทองประดับอยู่ เขาก้าวเดินกลางอากาศอย่างเนิบนาวราวกับกำลังเดินขึ้นบันไดบ้านตนเอง ไม่นานเขาก็ไปหยุดยืนอยู่บนเวทีการประลอง

ชายชรายกมือขวาขึ้น ใช้มือผลักอากาศลงไปที่เวที จากนั้นผู้ชมทั้งหลายต่างก็มองเห็นได้ชัดเจนว่าอากาศรอบๆกำลังบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงขณะที่แสงสีเงินสว่างวาบขึ้น ทันใดนั้นบนเวทีขนาดใหญ่ที่เคยมีสภาพเสียหายยับเยินก็สลายหายไปทั้งหลัง! ทั้งยังไม่มีแม้แต่ร่องร่อยเศษฝุ่นหลงเหลือไว้ให้เห็น

สมาชิกกลุ่มนักรบทุกๆ คนที่กำลังสนทนากันอยู่อย่างคึกคักก็เงียบเสียงลงทันทีเมื่อได้เห็นภาพนั้น ราวกับว่าลำคอของพวกเขาถูกบีบโดยมือที่มองไม่เห็น ทั้งจตุรัสตกอยู่ในความเงียบที่แสนแปลกประหลาด ผู้คนต่างจับตาดูชายชราด้วยความปลาบปลื้มใจ

จากนั้นชายในชุดเครื่องแบบสำนักกักเก็บทักษะจ้งเทียนหลายคนก็เดินออกมาพร้อมกับแบกหินเพชรก้อนใหญ่ออกมาด้วย เวลาผ่านไปเพียงชงชาร้อนได้ 1 กา แท่นเวทีหลังใหม่ก็สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว

ชายชราที่ลอยตัวอยู่ในอากาศกล่าวอย่างเฉยเมย “ดำเนินการประลองต่อไปได้” หลังจากพูดจบก็ดูเหมือนว่าเขาจะก้าวเท้าเหยียบขึ้นไปกลางอากาศและหายตัวไปจากที่นั่นทันที

หากสังเกตให้ดีก็จะพบว่าบริเวณมุมแท่นนั่งของผู้ชมระดับสูงมีชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน

เย่เป่าเปากลืนน้ำลายและพูดอย่างยากลำบาก “นี่มันพลังระดับไหนกันแน่?”

โจวเหว่ยชิงถอนหายใจและพูดว่า “ทักษะธาตุมิติ…ถ้าข้าเดาไม่ผิดเขาน่าจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชาที่มีทักษะธาตุมิติ อ๊าาา บ้าเอ้ย แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ไม่น่าแปลกใจที่เขาเล่าลือกันว่าหากมีมณีตั้งแต่ 9 ชุดเป็นต้นไปก็จะได้เหยียบย่างเข้าสู่โลกอีกใบโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับชายชราคนนั้น ข้าแน่ใจว่าเขาสามารถกำจัดพวกเราทั้ง 24 กลุ่มออกไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเสียเหงื่อสักหยด”

หลังจากพูดจบ โจวเหว่ยชิงก็ลุกขึ้นยืนและมุ่งหน้าไปที่เวที ในขณะที่อีกด้าน เด็กหนุ่มร่างอวบอ้วนจากกลุ่มนักรบเหมี่ยวก็เดินออกมาเช่นกัน

ผู้ตัดสินเองก็ถูกเปลี่ยนออกไป ไม่นานผู้ตัดสินคนใหม่ก็กล่าวขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม “กลุ่มนักรบเฟยหลี่กับกลุ่มนักรบเหมี่ยว การประลองแบบเดี่ยวรอบที่ 4 ผู้เข้าร่วมทั้งสองโปรดแนะนำตัวเอง”

“กลุ่มนักรบเฟยหลี่ โจวเหว่ยชิง”

“กลุ่มนักรบเหมี่ยว หนอนน้อย”

เมื่อได้ยินชื่อของฝ่ายตรงข้าม โจวเหว่ยชิงก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา เขาคิดกับตัวเองว่า ดูจากขนาดร่างกายแล้ว เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่านหนอนน้อยอีกหรือ!? เจ้าควรจะเรียกตัวเองว่าหนอนเจ้าเนื้อมากกว่า!

“เริ่มได้”

ในขณะที่ผู้ตัดสินตะโกนออกไป การต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการและทั้งสองฝ่ายก็เริ่มลงมือทันที หนอนน้อยก้าวถอยหลังกะทันหันสองก้าว จากนั้นก็ยกแขนขึ้นพร้อมกับแสงสีเหลืองเข้มข้นที่ส่องประกายแวววาวออกมา ทันใดนั้นกำแพงดินก็ก่อตัวขึ้นสูงต่อหน้าเขาราวกับโล่ปราการขนาดมหึมา เขาขยับตัวอีกครั้งเพื่อผลักกำแพงกว้าง 3 หลา สูง 2 หลานี้พุ่งเข้าหาโจวเหว่ยชิงพร้อมกับร่างของตัวเอง

ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่? โจวเหว่ยชิงอดสงสัยไม่ได้ขณะที่ปลดปล่อยมณีสวรรค์ของตัวเองออกมาบ้าง

หนอนน้อยวิ่งค่อนข้างเร็ว ไม่นานกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าก็ก่อตัวขึ้นมาบนเวทีการประลอง ปิดล้อมโจวเหว่ยชิงไว้จากทั้งสองข้าง บีบให้เขาอยู่ในกรอบแคบๆ และจำกัดความเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้

เมื่อหนอนน้อยปลดปล่อยกำแพงดินของเขาออกมา โจวเหว่ยชิงก็มองเห็นมณียุทธ์ที่อยู่รอบๆ มือขวาของเขาทันที มันคือหยกน้ำแข็ง 3 ดวงที่เป็นประเภทความแข็งแกร่งคล้ายกับของเขา เรื่องนั้นเป็นไปตามที่โจวเหว่ยชิงคาดไว้ สมาชิก 3 คนแรกที่ปรากฏตัวขึ้นมาในแต่ละรอบถือว่าทรงพลังที่สุดในบรรดาสมาชิกกลุ่มนักรบเหมี่ยวแล้ว

เมื่อเฝ้ามองดูหนอนน้อยวิ่งผลักกำแพงดินเข้าหาเขา ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะทำแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเขาหวาดกลัวลูกศรของโจวเหว่ยชิงจึงใช้กำแพงดินเหล่านี้ป้องกันลูกศรและจำกัดการเคลื่อนไหวของเขาไปพร้อมๆกัน สำหรับการจู่โจมโดยการผลักกำแพงเข้าหาอีกฝ่ายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหมอนั่นกำลังจะใช้กำแพงดันเขาให้ตกจากเวทีประลอง แม้ว่าแผนนี้จะค่อนข้างแปลกประหลาดไปเสียหน่อย แต่ด้วยกฎของงานประลองที่ว่าใครหล่นจากเวทีคือแพ้ หากนำแผนนี้มาใช้กับนักธนูธรรมดาๆ มันก็ยังมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้จริงๆ เสียด้วย

อนิจจา โจวเหว่ยชิงไม่ใช่นักธนูทั่วๆ ไป และเขาก็ยังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของเขายังเหนือชั้นกว่าจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่งทั่วๆ ไปเช่นเดียวกับอู่หยา!

ตอนนี้กำแพงของหนอนน้อยอยู่ห่างจากตัวเขาไปไม่ถึง 10 หลา ทว่าในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังจะตอบสนอง จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังถูกกดลงข้างล่างด้วยแรงดันบางอย่าง ทั้งเวทีดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังแปลกประหลาดที่ดึงดูดร่างของเขาให้ทรุดแนบลงไปที่พื้นและขัดขวางการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขาเอาไว้

นี่มันคืออะไรกัน? ทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงงั้นรึ? โจวเหว่ยชิงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เพราะถึงอย่างไรในบรรดาทักษะธาตุดินทั้งหมด ทักษะนี้ก็เป็นทักษะระดับ 9 ดาวที่ทรงพลังมาก มณีที่เพิ่มขึ้นแต่ละดวงสามารถเพิ่มแรงโน้มถ่วงขึ้นได้ 1 เท่าตัว เนื่องจากหนอนน้อยมีมณี 3 ชุด เขาจึงสามารถเพิ่มแรงโน้มถ่วงได้ถึง 3 เท่า แม้ว่าทักษะนี้จะเผาผลาญพลังปราณสวรรค์ไปเป็นจำนวนมหาศาลและยังเป็นทักษะที่ให้ผลกระทบวงกว้าง แต่ก็ยากมากที่จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีเพียง 3 ชุดจะมีทักษะเช่นนี้ได้ ทุกคนย่อมเห็นพลังของมันจากแสงสีเหลืองที่เรืองรองอยู่รอบเท้าของโจวเหว่ยชิง

เมื่อเขาเปิดใช้งานทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงนี้ หนอนน้อยก็เร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหันโดยการระเบิดพลังของพลังของตนออกมาอย่างเต็มที่ หวังว่าจะใช้โอกาสนี้ผลักโจวเหว่ยชิงออกจากสนามประลองให้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ช่างเป็นทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงที่น่าประทับใจจริงๆ! โจวเหว่ยชิงชื่นชมด้วยหัวใจ เห็นได้ชัดว่าหนอนน้อยรู้ว่าเขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่งเช่นกัน ดังนั้นอีกฝ่ายจึงรู้ว่าการใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองเข้าปะทะกับเขาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะจัดการกับโจวเหว่ยชิงได้ ดังนั้นเขาจึงใช้ทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงนี้เป็นการจู่โจมกะทันหันอีกทาง

อย่างไรก็ตาม เป็นอีกครั้งที่วลี ‘แผนการช่างยิ่งใหญ่ แต่น่าเสียดายที่มาพบกับคนอย่างโจวเหว่ยชิง’ ถูกนำมาใช้

โจวเหว่ยชิงพยายามฝืนยกไหล่ของตนเอาไว้เพื่อรั้งไม่ให้เขาล้มลง เขาก้าวไปข้างหน้า 1 ก้าวอย่างอดทนและเตรียมที่จะปะทะกับกำแพงโดยตรง แม้ว่าจะอยู่ภายใต้ผลของแรงโน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้น แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังสามารถฝืนตั้งท่ารับการโจมตีของอีกฝ่ายได้

*ตูม* เกิดเสียงดังก้องไปทั่วจตุรัสขณะที่หนอนน้อยใช้พลังทั้งหมดของตนกระแทกกำแพงดินเข้าที่ไหล่ของโจวเหว่ยชิงอย่างโหดเหี้ยม อย่างไรก็ตาม กำแพงกลับยังคงนิ่ง ไม่สามารถขยับต่อไปอีกแม้แต่นิ้วเดียว

อีกด้านหนึ่งของกำแพงดิน หนอนน้อยได้ออกแรงจนสุดกำลังแล้ว แต่ก็เขากลับพบว่าตนไม่สามารถดันกำแพงต่อไปได้อีก ด้านโจวเหว่ยชิง เขาดูมีความแน่วแน่และตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อราวกับว่ากำลังประสบกับช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต ทว่าก็ยังคงต้องอดกลั้นต่อไป

ย้อนกลับไปในเรือนพัก อู่หยาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ปิงเอ๋อร์ ผู้ชายของเจ้ารู้จักแสดงละครดีจริงๆ” ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเพียงกำแพงดินและคู่ต่อสู้ที่มีมณี 3 ชุดเท่านั้น เขาจะต้องทำสีหน้าอดกลั้นขนาดนั้นเชียว? ถ้านั่นคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาล่ะก็ ก่อนหน้านี้เธอคงไม่แพ้เขาแน่!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก ส่วนเย่เป่าเปาก็พยักเพยิดไปทางอื่นพลางพูดว่า “น้องอู่หยา นี่เป็นกลยุทธ์น่ะ เพราะถึงอย่างไรกลุ่มนักรบเหมี่ยวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเราอยู่ดี เจ้าไม่ได้มีแผนซุกซ่อนพลังที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ด้วยหรือ ข้าไม่เห็นเจ้าปลดปล่อยมณีธาตุออกมาด้วยซ้ำ”

แม้ทั้ง 2 คนบนเวทีดูเหมือนจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่สมาชิกคนอื่นๆ ของกลุ่มนักรบเหมี่ยวกลับกำลังมีสีหน้าน่าเกลียด ท้ายที่สุดแม้ว่าทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะกำลังดิ้นรนต่อสู้อย่างเต็มที่ แต่ก็เห็นชัดเจนว่าการใช้ทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงและกำแพงดินทำให้หนอนน้อยต้องสูญเสียพลังปราณสวรรค์ไปอย่างมหาศาล สถานการณ์ดังกล่าวกำลังบอกใบ้ว่าเขาได้พ่ายแพ้ให้แก่โจวเหว่ยชิงแล้ว ความจริงแล้วความสามารถในการต่อสู้ของหนอนน้อยก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นตั้งแต่แรก ทว่าเนื่องจากเขาโชคดีที่กักเก็บทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงมาได้ นั่นจึงทำให้เขาได้รับตำแหน่งสมาชิกหลักในกลุ่ม

ตามที่คาดไว้ เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ คนทั้งคู่ที่ตกอยู่ในสถานะการณ์จนมุมเหมือนกันก็เริ่มมีสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะออกแรงมากเกินไป แรงผลักของหนอนน้อยค่อยๆ อ่อนกำลังลงเรื่อยๆ ในขณะที่แรงต่อต้านของโจวเหว่ยชิงก็ลดลงในอัตราที่ใกล้เคียงกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งคู่จึงคงยันกันเอาไว้ได้อย่างไม่มีใครยอมใคร!

เพื่อชัยชนะครั้งนี้ หนอนน้อยทุ่มเททุกอย่างที่มี เกือบจะถึงขั้นยอมสละชีวิตด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่บางครั้งหัวใจอาจมุ่งมั่น แต่ร่างกายกลับไม่ยอมตอบสนอง ในที่สุดพลังปราณสวรรค์ของเขาก็หมดลง เมื่อถึงเวลานั้น เขาไม่สามารถคงรูปทักษะกำแพงดินและทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงได้อีกต่อไป ไม่นานหนอนน้อยก็ล้มลงก้นจ้ำเบ้า หอบหายใจหนักหน่วงขณะที่เหงื่อไหลท่วมไปทั้งตัว

การแสดงของโจวเหว่ยชิงนั้นยอดเยี่ยมเหมือนเช่นเคย เมื่อทักษะของฝ่ายตรงข้ามสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว เขาก็แกล้งสะดุดไปข้างหน้าอย่าง “แทบจะทรงตัวไม่อยู่” และหอบหายใจเข้าออกอย่างไร้เรี่ยวแรงเหมือนฝ่ายตรงข้าม อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงยืนอยู่พร้อมกับเอามือเท้าเอวด้วยท่าทางที่คล้ายกับจะบอกว่า “ข้าก็เกือบจะล้มคว่ำไปเหมือนกันนั่นแหละ แต่เผอิญรั้งตัวเองเอาไว้ได้น่ะ!”

ตั้งแต่งานประลองมณีสวรรค์เริ่มต้นมาจนถึงตอนนี้ อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการประลองที่แปลกประหลาดที่สุด อู่หยาผู้ลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมเหลือเชื่อ ทักษะสังเวยธาตุมืด สงครามผลักกำแพง…การต่อสู้แต่ละครั้งนั้นดูจะ…เอ่อ…แปลก…ประหลาดมาก…

ผู้ตัดสินมองผู้เข้าร่วมประลองที่กำลังหอบเหนื่อยทั้ง 2 คนอย่างหมดคำจะกล่าว ก่อนจะประกาศผลในท้ายที่สุด “การประลองครั้งที่ 4 ชัยชนะตกเป็นของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ สายที่ 3 การประลองชุดแรก กลุ่มนักรบเฟยหลี่ชนะกลุ่มนักรบเหมี่ยว”

โจวเหว่ยชิงยกมือขึ้นอย่างสุภาพ ก่อนจะยื่นมือเข้าไปช่วยหนอนน้อยอย่างใจกว้าง และถอนหายใจอย่างเห็นอกเห็นใจ “พี่ชาย นี่นับเป็นการต่อสู้ที่สูสีมาก ช่างเป็นการประมือที่ยอดเยี่ยมจริงๆ! ขอให้ท่านโชคดีในการประลองครั้งต่อไป” หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ลงจากเวทีและกลับไปที่เรือนพักทันที

บนแท่นนั่งของผู้ชมระดับสูง จักรพรรดิซ่างกวนเทียนซินแห่งอาณาจักรจ้งเทียนมองไปยังซ่างกวนหลงหยินที่นั่งข้างๆ เขา ยิ้มจางๆ พลางพูดว่า “หลงหยิน เจ้าคิดยังไงกับอันธพาลตัวน้อยนั่น?”

ซ่างกวนหลงหยินกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เขาใช้ทักษะธาตุมิติและทักษะธาตุสายฟ้า เมื่อรวมกับธนูศาสตรามณียุทธ์ เขาต้องมีบางอย่างที่น่าสนใจแน่นอน ทักษะธาตุมิตินั้นมาจากจักรพรรดิสีเงินและข้าก็ได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้สำนักกักเก็บทักษะเฟยหลี่สามารถจับมาได้ตัวหนึ่ง …แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาทำอย่างไรให้จ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดผู้นี้กักเก็บทักษะจากจักรพรรดิสีเงินได้สำเร็จ”

ซ่างกวนเทียนซินยิ้มและพูดว่า “ข้ารู้สึกว่าอันธพาลน้อยผู้นี้ไม่ได้เป็นอย่างที่คนภายนอกเห็น ก่อนหน้านี้สาวน้อยจากอาณาจักรเหมี่ยวก็สูญเสียการควบคุมร่างกายไปอย่างลึกลับ…จากสิ่งที่ข้าเห็น นั่นต้องมีความเกี่ยวข้องกับเขาแน่”

การแสดงออกของซ่างกวนหลงหยินเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิ้วของเขาโค้งขึ้นทันที “ฝ่าบาททรงช่างสังเกตจริงๆ ข้าจะจับตาดูเขาให้ละเอียดในการประลองรอบต่อๆ ไป มาดูกันว่าเขาจะมีอะไรซุกซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อบ้าง”

ณ เวลานี้ ทั้งสองด้านของเรือนพักกลุ่มนักรบเฟยหลี่ สมาชิกของกลุ่มตัวเต็งต่างก็กำลังมีสีหน้าดูถูกเหยียดหยามพวกเขา

เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าซีดเซียวและดูอ่อนแอกล่าวว่า “กลุ่มนักรบเฟยหลี่ปีนี้มีพลังอยู่ในระดับแค่นี้เองหรือ? จากสมาชิก 3 คน 2 คนมีมณี 3 ชุด ส่วนอีกคนก็มีมณี 4 ชุด พลังของพวกเขาอ่อนแอกว่ากลุ่มที่มาในประลองครั้งที่แล้วด้วยซ้ำ ดูเหมือนปีนี้พวกเขาจะไม่อาจรักษาอันดับที่ 5 ไว้ได้เสียแล้ว เช่นนั้นปีนี้อาณาจักรป่ายต้าคงจะได้ขึ้นไปข้างบนพร้อมกับพวกเราแทน”

เมื่อเจี่ยงเฟยถูกโจมตีด้วยทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ของโจวเหว่ยชิง เธอย่อมไม่รู้ว่าอะไรกำลังส่งผลกระทบต่อความเร็วของเธอเช่นนี้ ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ถูกซ่อนเร้นเอาไว้ดีเกินไปและไม่ใช่ทักษะที่รู้จักกันแพร่หลายนัก แม้แต่ หมิงอู๋ที่มีมณี 9 ชุดก็ยังได้รับผลเช่นนี้โดยที่เขาไม่รู้ว่าเกิดได้อย่างไร ดังนั้นในสายตาของคนนอก แม้แต่ในสายตาของเจี่ยงเฟยเอง เป็นทักษะอสนีบาตพันสายนั้นต่างหากที่ทำให้ความเร็วของเธอลดลง

ในที่สุดพลังของอู่หยาก็สามารถปลดปล่อยออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพและผลของทักษะ ‘สวรรค์ทำลายล้าง’ บนขวานคู่ในตำนานก็ทำให้การโจมตีที่ทรงพลังอยู่แล้วน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น ขวานขนาดใหญ่ในมือของเธอจึงหมุนวนและร่ายรำไปรอบๆ เหมือนใบพัดขนาดใหญ่ ด้านดาบหนักของอู๋เจิ้งหยาง มันก็แข็งแกร่งขึ้นเพราะทักษะกักเก็บของเขาเช่นกัน…ทว่าก็ดาบของเขาก็ยังต้องหม่นแสงเมื่ออยู่ต่อหน้าขวานในตำนาน ของอู่หยา

เดิมทีอู๋เจิ้งหยางก็ตั้งรับการโจมตีของอู่หยาไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะในแง่ของความเร็วหรือพลังก็ตาม ดังนั้นในขณะที่ยังคงมึนงงจากผลของทักษะอสนีบาตพันสายของโจวเหว่ยชิงและถูกโจมตีอย่างกะทันหัน ชัยชนะจึงถูกตัดสินอย่างง่ายดาย

*ตู้ม* ‘สวรรค์ทำลายล้าง’ และขวานคู่ในตำนานได้ทำลายเกราะประกายแสงลงอีกครั้ง

แน่นอนว่าครั้งนี้โจวเหว่ยชิงไม่ได้ทำผิดพลาดอีก เขายกธนูราชันย์ขึ้นง้างและปล่อยลูกศรออกไปดอกแล้วดอกเล่าอย่างรวดเร็วอีกครั้ง คราวนี้ห่าลูกศรของเขาพุ่งเป้าไปที่เจี่ยงเฟย หากพวกเขาชนะการประลองแบบคู่ครั้งนี้ กลุ่มเฟยหลี่ก็จะจบศึกในวันนี้ลงได้เสียที ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงไม่ออมแรงไว้แม้แต่น้อย เขาหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ออกมาจนถึงขีดสุดและฝังทักษะมิติกักขังลงบนลูกศรเหล่านั้นด้วย

หากเจี่ยงเฟยไม่ได้รับผลกระทบจากทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์อยู่ก่อนหน้า เธอย่อมรับมือกับการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย อนิจจา ระยะเวลา 3 วินาทีของทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์นั้นสำคัญกับการต่อสู้ที่ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับเวลาเช่นนี้มาก ไม่นานห่าลูกศรก็พุ่งเข้าหาเจี่งเฟยแล้ว

ก่อนหน้านี้เจี่ยงเฟยยังสามารถใช้การโจมตีของเธอกำจัดพวกมันออกไปได้ แต่ด้วยความเร็วที่ถูกจำกัดเอาไว้ ในที่สุดเธอก็ปะทะเข้ากับลูกศรดอกหนึ่งจนได้ แม้ว่ามันจะไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเจี่ยงเฟยเนื่องจากพลังปราณสวรรค์ของเธอ แต่ทักษะมิติกักขังก็ยังมีผลกับเธออยู่ดี เพราะถึงอย่างไรนั่นก็คือไพ่ตายของโจวเหว่ยชิงที่ปิดโอกาสไม่ให้เธอสามารถให้ความช่วยเหลืออู๋เจิ้งหยางจากอู่หยาได้

หลังจากที่อู่หยาทำลายเกราะประกายแสงของเขา อู๋เจิ้งหยางก็ฟื้นจากอาการอัมพาตทันที ถึงอย่างไรระดับพลังปราณของเขาก็สูงกว่าโจวเหว่ยชิง อีกทั้งพลังโจมตีของทักษะอสนีบาตพันสายก็ไม่ได้รุนแรงอะไร ด้วยเหตุนี้ผลของมันจึงทำให้เขาเป็นอัมพาตได้ไม่นาน น่าเสียดายที่เมื่อเขารู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว อู่หยาได้พุ่งเข้าใส่เขา และตอนนี้ขวานของเธอก็เหวี่ยงลงมาแล้ว

จากการต่อสู้ครั้งก่อนหน้า อู๋เจิ้งหยางย่อมเคยสัมผัสความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวของอู่หยามาก่อน เขารู้ได้ทันทีว่าตัวเองไม่อาจโจมตีตอบโต้ได้แล้ว ทันใดนั้นเขาจึงขยับถอยหลัง ดาบหนักในมือถูกยกขึ้นไปด้านบนเพื่อปัดป้องการโจมตีของอีกฝ่าย ในเวลาเดียวกันเขาก็ปลดปล่อยทักษะป้องกันออกมา แสงสีทองสว่างวาบขึ้นมาปกคลุมร่างกายของเขาเอาไว้ทันที

น่าเสียดายที่ความพยายามทั้งหมดของเขาไร้ประโยชน์ ขณะที่ขวานของอู่หยาฟาดลงไป ดาบหนักศาสตรามณียุทธ์ของอู๋เจิ้งหยางก็ถูกฟันหลุดจากมือของเขาทันที อู่หยาจึงก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวและปล่อยลูกเตะที่มีพลังรุนแรงออกไป ประวัติศาสตร์ดูเหมือนจะซ้ำรอยเมื่อเท้าของเธอฟาดเข้ากับโล่ของเขา จากนั้นเหตุการณ์เดิมก็วนมาบรรจบกันอีกครั้งเมื่ออู๋เจิ้งหยางผู้น่าสงสารลอยถลาออกไปเหมือนลูกปืนใหญ่และลงจอดในจุดเดียวกับการประลองครั้งแรก แน่นอนว่าทักษะการป้องกันของเขาช่วยเขาเอาไว้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออู่หยาไม่ได้พยายามจะสร้างความเสียหายร้ายแรงใดๆให้กับเขามากนัก ทว่านั่นก็ยังไม่รวมถึง ‘ใบหน้า’ ของเขาด้วย คราวนี้อู๋เจิ้งหยางไม่แปลกใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ถึงอย่างไรก็เป็นอู่หยาที่เอาชนะเขาได้อีกครั้ง

ในขณะที่อู่หยาเพิ่งจัดการกับอู๋เจิ้งหยางสำเร็จ อีกทางด้านหนึ่ง ผลของทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์บนร่างของเจี่ยงเฟยก็เพิ่งจะหมดฤทธิ์ไปเช่นกัน ทว่าเธอกลับถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงสีเงินของทักษะมิติกักขังต่อทันที

ดวงตาของหญิงสาวเยือกเย็นและทอประกายเด็ดเดี่ยวขึ้น เมื่อผลของทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์สิ้นสุดลงและเธอได้ตกอยู่ในมิติกักขัง ไม้คฑาสีดำในมือของเธอก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที

ถูกต้อง…แตกละเอียด ไม่ใช่ถูกเก็บกลับไป ทันทีที่ไม้คฑานั้นสลายไป มันก็กระจายออกเป็นมวลแสงสีดำหนาทึบที่หมุนวนรอบๆ ฝ่ามือของเธอ

ด้วยเสียง *พรวด* เลือดสดๆ พุ่งทะลักออกมาจากปากของเจี่ยงเฟยและสาดลงบนกลุ่มแสงสีดำที่อยู่ตรงหน้าเธอทันที ในช่วงเวลาต่อมา ศาสตรามณียุทธ์อีก 4 ชิ้นที่เธอสวมอยู่ก็เปล่งประกายด้วยแสงอันเจิดจ้า จากนั้นมิติกักขังก็สลายหายไปทันที ยิ่งไปกว่านั้น ลูกศรดอกต่อๆ ไปของโจวเหว่ยชิงก็ดูเหมือนจะถูกดึงดูดโดยพลังลึกลับเหล่านั้น มันพุ่งเข้าไปหลอมรวมเข้ากับกลุ่มแสงสีดำและสลายหายไปเช่นกัน ไม่เปิดโอกาสให้ทักษะใดๆ ที่ฝังอยู่ภายในได้ทันเปิดใช้งานเลยแม้แต่น้อย

ที่บริเวณมุมเวที สีหน้าของผู้ตัดสินเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาชูมือซ้ายขึ้น จากนั้นไพลินดารา 6 ดวงก็เรืองรองขึ้นมาทันที เขาเรียกมณีธาตุของตนออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับปล่อยทักษะโล่น้ำแข็ง 12 ชิ้นออกมาบังข้างหน้าไว้ในเสี้ยววินาที

“อู่หยา กลับมาเดี๋ยวนี้!” โจวเหว่ยชิงตะโกนขึ้นพร้อมกับเก็บธนูราชันย์ทันที

อู่หยายกขวานขึ้นเพื่อเตรียมโจมตี แต่เมื่อได้ยินเสียงของโจวเหว่ยชิง เธอก็ชะงักพร้อมกับหันไปมองเขาอย่างงงงวย

โจวเหว่ยชิงรีบตะโกน “กระโดดลงจากเวที เร็ว!” ขณะที่พูด เขาก็กลัวว่าอู่หยาจะตอบสนองได้ไม่ทันเวลา ขาขวาของเขาจึงกระแทกพื้นอย่างแรงและกระโดดเข้าหาเพื่อคว้าแขนเธอไว้ ก่อนจะกระโดดลงจากเวทีและลากเธอไปด้วย

อู่หยาไม่รู้ว่าทำไมโจวเหว่ยชิงถึงทำเช่นนี้ แต่เธอไม่ได้ขัดขืนแรงดึงของเขาขณะที่ถูกกระชากลงไป ทันทีที่เท้าแตะพื้น พวกเขาก็รู้สึกถึงกลิ่นอายเย็นยะเยือกที่เข้มข้นอย่างน่าประหลาดกำลังลุกโชนขึ้นในอากาศเหนือศีรษะของพวกเขา บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและไอความมืด ทั้งจตุรัสดูเหมือนจะมืดลงชั่วขณะ ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะสาดแสงลงมาถึงร่างของพวกเขาอีกครั้ง

เมื่อมองย้อนกลับไปที่เวที พวกเขาก็เห็นเจี่ยงเฟยที่มีใบหน้าซีดเซียวยืนอยู่อย่างมึนงง ร่างของเธอแกว่งไปมาราวกับว่ากำลังจะเป็นลม ตอนนี้ศาสตรามณียุทธ์ที่เธอสวมใส่ได้หายไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น บนเวทียังปรากฏหลุมขนาดใหญ่เกือบ 30 หลาขึ้น และตอนนี้แท่นเวทีทั้งหมดก็เกือบถูกทำลายลงไปแล้ว

แม้โจวเหว่ยชิงไม่ได้อธิบาย อู่หยาก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมเขาถึงต้องดึงเธอลงมากะทันหัน การโจมตีของเจี่ยงเฟยนั้นมีอานุภาพรุนแรงมากเกินไป ถ้าพวกเขากระโดดลงจากเวทีไม่ทันเวลา แม้ว่าพวกเขาจะรอดจากการระเบิดครั้งนั้นมาได้ พวกเขาก็จะต้องบาดเจ็บหนักแน่นอน

“ทำไมถึงรุนแรงขนาดนี้?” อู่หยาพึมพำกับตัวเอง

โจวเหว่ยชิงตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ก่อนเขาจะพูดว่า “ทักษะสังเวยธาตุมืดที่น่ากลัวที่สุด…เช่นเดียวกับทักษะเปลวไฟแห่งชีวิตของเซียวเอี๋ยนที่เผาผลาญพลังชีวิตของเขา เช่นนี้มันจะไม่รุนแรงได้ยังไง? นางถึงขั้นเอาชีวิตไปเดิมพัน ถ้าเราไม่วิ่งหนีก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่”

อีกด้านหนึ่งของเวที ผู้ตัดสินเองก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน แม้ว่าเขาจะมีมณี 6 ชุดและเจี่ยงเฟยก็ไม่ได้มุ่งเป้าโจมตีมาที่เขา แต่เขาก็ยังได้รับผลกระทบจากพลังของเธอไปด้วย โล่น้ำแข็งทั้ง 12 ชิ้นของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ และใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวในขณะที่พยายามฝืนตัวเองไม่ให้อาเจียนออกมาเป็นเลือด เช่นเดียวกับเซียวเอี๋ยน นี่เป็นทักษะสังเวยตนเองระดับมณี 5 ชุด…แต่อย่าลืมว่าทักษะธาตุของเจี่ยงเฟยเป็นทักษะธาตุยิ่งใหญ่ และเธอก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทโจมตีขั้นสุดยอด!

โจวเหว่ยชิงรีบเปรียบเทียบผลอย่างรวดเร็วและประเมินได้ว่าความสามารถในการโจมตีของเจี่ยงเฟยนั้นเหนือชั้นกว่าเซียวเอี๋ยน แม้ว่าความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การต่อสู้ของเธออาจจะต่ำกว่าเซียวเอี๋ยนก็ตาม ถึงอย่างไรก็ตาม หากมองโดยรวมแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็อาจจะเท่ากันก็ได้ แต่ถ้าหากโจวเหว่ยชิงต้องจัดการกับเธอในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวจริงๆ เขาก็อาจมีโอกาสถึงแพ้ 8 ใน 10 ส่วนเลยทีเดียว เว้นแต่เขาจะใช้สถานะปีศาจกลายร่างถึงจะพอมีโอกาสชนะได้บ้าง

ด้วยระดับพลังที่แตกต่างกันอย่างมาก พลังทักษะควบคุมของเขาจึงมีขีดจำกัด แต่ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ก็ยังใช้ได้ผลดีเกินคาด โจวเหว่ยชิงเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมถังเซียนถึงพูดว่าทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์นั้นน่าเหลือเชื่อมาก

ในที่สุดผู้ตัดสินก็ฝืนระงับอาการบาดเจ็บของเขาเอาไว้ได้และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “รอบที่ 3 การแข่งขันแบบคู่ กลุ่มนักรบเหมี่ยวชนะ”

เจี่ยงเฟยมองโจวเหว่ยชิงที่ยืนอยู่ด้านล่างอย่างเย็นชาก่อนจะพูดออกมาอย่างเยือกเย็น “ขี้ขลาด”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “เฮ้ๆ แม่นางคนงาม ข้าก็เคยได้ยินคำพูดที่ว่าผู้หญิงนมโตมักไร้สมองมาบ้าง แต่หน้าอกของเจ้าก็ไม่ใหญ่นัก แต่ทำไมสมองถึงไม่ค่อยจะมีรอยหยักเช่นนี้เล่า! ทำไมข้าจะต้องบ้าบิ่นวิ่งออกไปรับระเบิดของเจ้าโดยไม่มีเหตุผลด้วย? ก่อนหน้านี้เราชนะไปแล้ว 2 ครั้ง ดังนั้นพวกเราจึงสามารถแพ้ครั้งนี้ได้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ใช้ทักษะสังเวยตัวเองไปแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงไม่อาจเข้าร่วมการประลองในอนาคตได้อีก ดังนั้นหากเจ้ามีปัญญา ก็เชิญส่งสมาชิกคนอื่นในกลุ่มนักรบเหมี่ยวที่มีพลังเทียบเท่ากับตัวเจ้าออกมาได้ตลอดเวลา ข้ามั่นใจอยู่แล้วว่าจะชนะ ทำไมถึงจะต้องเสี่ยงชีวิตรับการโจมตีของเจ้าด้วยไม่ทราบ? ข้าดูโง่มากรึไง? ข้ากลัวตายมากที่สุดเจ้าไม่รู้หรือ? ยังไงก็ตาม เรียกออกมาสิ ใครจะประลองในรอบที่ 4 ล่ะ?”

“เจ้า…น่าไม่อาย!” ใบหน้าของเจี่ยงเฟยเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดขณะที่เธออาเจียนเลือดออกมาอีกคำหนึ่งพร้อมกับเสียง *อุ่ก*

อู๋เจิ้งหยางและจู้เฮยซานรีบกระโดดขึ้นไปบนเวทีเพื่อประคองเจี่ยงเฟย พวกเขาจ้องโจวเหว่ยชิงตาเขม็ง

โจวเหว่ยชิงมองตอบอย่างไร้เดียงสาในขณะที่เขายักไหล่ “อะไรกัน…แค่ข้ากลัวตายก็ผิดกฎการประลองด้วยรึ? ถึงอย่างไรเจ้าก็ชนะการประลองครั้งนี้ไปแล้ว ทำไมถึงยังบอกว่าข้าไร้ยางอายอยู่อีก? เขาเรียกว่ากลยุทธ์หนีตายน่ะเข้าใจไหม!”

“ทั้งสองฝ่ายโปรดลงจากเวที พวกเราจะต้องซ่อมแซมพื้นเวทีก่อน” น้ำเสียงที่ค่อนข้างเศร้าหมองของผู้ตัดสินดังออกมา

โจวเหว่ยชิงยิ้มให้เจี่ยงเฟยและพูดว่า “แม่นางคนงาม ไว้พบกันใหม่นะ” หลังจากนั้นเขาจึงมุ่งหน้ากลับไปที่เรือนรับรองทันที

ทันทีที่เขาเข้าไปในเรือนพัก รอยยิ้มบนใบหน้าของโจวเหว่ยชิงก็เลือนหายไปทันที เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและพูดกับสมาชิกอีก 3 คนว่า “ช่างเป็นทักษะสังเวยที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ…นางเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทโจมตีขั้นสุดยอดที่ทรงพลังมากทีเดียว ตอนนี้ข้ายังเห็นว่าแม้แต่เวทีก็ยังคงถูกกัดกร่อนไปเรื่อยๆ โชคดีที่เราหลบการโจมตีของนางทันนะเนี่ย เฮ้อ”

อู่หยาถามอย่างสงสัย “เหว่ยชิง เจ้ารู้จักทักษะสังเวยตัวเองด้วยหรือ?” อู่หยาเองก็รู้ว่าโจวเหว่ยชิงมีทักษะธาตุมืดเช่นกัน

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “ไม่ ข้าไม่รู้หรอก ทักษะสังเวยตัวเองแต่ละประเภทล้วนเป็นวิชาลับ พวกมันเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้ ไม่ใช่ทักษะกักเก็บ ข้าไม่มีอาจารย์สอนในเรื่องนั้น และข้าก็ไม่ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วข้าจึงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ข้าแน่ใจว่าท่านพ่อของข้ารู้ ดังนั้นในอนาคตข้าจะเรียนรู้จากเขา ส่วนก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าลากท่านลงเวที จริงๆ แล้วเป็นเพราะปฏิกิริยาของผู้ตัดสินต่างหาก ดูจากใบหน้าที่ดูตกตะลึงของเขา อีกทั้งยังเรียกใช้พลังป้องกันอย่างรวดเร็ว…ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 6 ชุดที่ได้รับการไว้วางใจให้เป็นผู้ตัดสิน หากเขามีปฏิกิริยาเช่นนี้ ปกติแล้วมันจะต้องเป็นสิ่งที่พวกเราไม่อาจรับมือได้ นั่นเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมข้าถึงคิดว่ามันเป็นทักษะสังเวยตนเอง”

เย่เป่าเปาขมวดคิ้วและพูดว่า “กลุ่มนักรบเหมี่ยวนี่ช่างแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดจริงๆ ถ้าสมาชิกในกลุ่มคนอื่นมีพลังเช่นเดียวกับคนทั้งคู่ พวกเราก็อาจจะตกที่นั่งลำบาก”

โจวเหว่ยชิงยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “อาณาจักรเหมี่ยวอาจแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของข้า แต่ก็คงไม่ต่างกันมากขนาดนั้นหรอก ถึงอย่างไรพวกเขาย่อมต้องอ่อนแอกว่าอาณาจักรเฟยหลี่แน่นอน การที่จะมีอัจฉริยะหนึ่งหรือสองคนนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ แต่ถ้ามีอัจฉริยะจำนวนมากปรากฏขึ้น ข้าแน่ใจว่าอาณาจักรรอบข้างของพวกเขาจะเป็นกลุ่มแรกที่ลงมือก่อนด้วยซ้ำ ไม่ต้องกังวล ข้ามั่นใจมากว่าเจียงเฟยเป็นสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาและไม่มีสมาชิกคนอื่นๆที่แข็งแกร่งเท่าอู๋เจิ้งหยางอีกแล้ว การต่อสู้เมื่อสักครู่น่าจะเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงและตื่นเต้นเร้าใจที่สุดตั้งแต่เริ่มงานประลองมาแล้ว ดูสิ มีแม้กระทั่งเวทีก็ยังถูกทำลาย!”

ด้านกลุ่มนักรบส่วนที่เหลือทั้งหมดในเรือนพัก สมาชิกทุกคนกำลังคุยกันเรื่องการต่อสู้เมื่อสักครู่ แน่นอนว่าพลังของเจี่ยงเฟยได้ฉายรัศมีบดบังเงาของโจวเหว่ยชิงและอู่หยาไว้โดยสิ้นเชิง อาจกล่าวได้ว่าได้บดบังความโดดเด่นของทุกคนที่เคยขึ้นเวทีมาด้วยซ้ำ จ้าวมณีสวรรค์ธาตุมืดที่รู้วิธีใช้ทักษะสังเวยตนเองนั้นน่าหวาดกลัวมาก ยิ่งกว่านั้น เธอยังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทโจมตีขั้นสุดยอดอีกด้วย!

ตอนนี้โจวเหว่ยชิงค่อนข้างแน่ใจว่านี่เป็นทักษะปิดผนึกที่ทรงพลัง จากความช้าในการเคลื่อนที่ของมัน พลังของมันน่าจะน่ากลัวเป็นอย่างมาก หากเขาถูกมันปิดผนึกได้ล่ะก็ ไม่ต้องเอ่ยถึงส่วนที่เหลือของการต่อสู้ครั้งนี้ เขาคงต้องลืมการลงแข่งงานประลองที่เหลือทั้งหมดไปได้เลย

โจวเหว่ยชิงยังคงลอยอยู่กลางอากาศขณะพยายามบังคับร่างกายให้หมุนตัว มือขวาถือธนูราชันย์ในขณะที่มือซ้ายขยับออกไปโบกพลังใส่เงาที่ไล่ตามมา ท่ามกลางแสงสีเงินวิบวับ อากาศพลันเกิดรอยแยกกว้าง 3 หลาขึ้นที่ใต้เท้าของเขาทันที

ในขณะที่เงาดำเหล่านั้นปะทะกับรอยแยก เสียงกระทบกระทั่งที่ฟังเสียดหูก็ดังขึ้นกลางจตุรัส เมื่อมาถึงจุดนี้ ทักษะธาตุมืดและการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวของเจี่ยงเฟยก็แสดงพลังออกมาอย่างเต็มเปี่ยม แม้จะเผชิญหน้ากับทักษะกระชากมิติของโจวเหว่ยชิง ทักษะปิดผนึกของเธอก็ยังไม่ยอมหยุดชะงัก แม้ว่าส่วนหนึ่งของมันจะสลายกลายเป็นควันดำ แต่บางส่วนก็ยังสามารถเคลื่อนที่อ้อมรอยแยกมิติและไล่ล่าโจวเหว่ยชิงต่อไปได้ สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือเมื่อทักษะของคนทั้งคู่สัมผัสกันและกัน ดูเหมือนว่าเงาของเจี่ยงเฟยจะทิ้งคราบสีดำไว้ในอากาศได้ด้วย แม้ทักษะกระชากมิติจะทำให้มันอ่อนกำลังลง แต่ก็มันก็ยังสามารถทิ้งร่องรอยไว้ในนั้นได้เช่นกัน

หากโจวเหว่ยชิงมีมณี 5 ชุดเช่นเดียวกับเจี่ยงเฟย แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ศาสตรามณียุทธ์เข้าช่วย ทักษะกระชากมิติระดับราชาของเขาก็ยังจะสามารถปิดกั้นทักษะปิดผนึกธาตุมืดของเธอเอาไว้ได้ น่าเสียดายที่ความแตกต่างของระดับพลังและพลังปรานสวรรค์นั้นมีมากเกินไป ดังนั้นแม้แต่ทักษะกระชากมิติระดับราชาก็ยังไม่อาจกระจายพลังโจมตีของอีกฝ่ายออกไปได้ทั้งหมด

จู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้งติดต่อกัน ภายใต้การคุ้มครองด้วยลูกศรของโจวเหว่ยชิง ในที่สุดอู่หยาก็ไปถึงตัวอู๋เจิ้งหยางจนได้ หลังจากได้ต่อสู้กับเขามาก่อนหน้านี้ เธอก็รู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่ายๆ อีก อู่หยาจึงปลดปล่อยขวานในตำนานและเหวี่ยงพวกมันใส่โล่แสงของอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยมทันที

อู๋เจิ้งหยางมีมณี 4 ชุด แน่นอนว่าย่อมมากกว่าอู่หยาอยู่ 1 ระดับ แต่จะใช้ตรรกะธรรมดากะเกณฑ์การโจมตีของอู่หยาได้อย่างไร ขวานในตำนานแต่ละชิ้นมีน้ำหนักมากกว่า 1,000 จิน เมื่อรวมกับพลังที่น่าสะพรึงกลัวของเธอ มันจะแข็งแกร่งได้มากแค่ไหนกัน?

แม้โจวเหว่ยชิงจะมีค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนาน แต่ความแข็งแกร่งหลักของพวกมันก็มาจากพลังพิเศษระดับเทพเจ้า พลังเสริมหลายชนิดที่ฝังอยู่ในค้อน และความสามารถในการเพิ่มพลังให้ทักษะกักเก็บ ดังนั้นหากไม่ใช้ทักษะใดๆ ในแง่ของการโจมตีด้วยความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว โจวเหว่ยชิงก็มั่นใจว่าการโจมตีด้วยอาวุธในตำนานของเขาไม่อาจเทียบได้กับขวานของอู่หยา

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเกราะประกายแสงจะมีพลังป้องกันที่น่าประทับใจ แต่เมื่อขวานของอู่หยาสับลงไปอย่างรุนแรง รอยร้าวก็ค่อยๆเริ่มปรากฏให้เห็น เมื่อขวานจามลงไปเป็นครั้งที่ 2 เกราะแสงนั้นก็เริ่มสั่นคลอนขณะที่รอยแตกปรากฏเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าว่ามันกำลังใกล้จะแตกเต็มที

เมื่อมาถึงจุดนี้ จักรพรรดิซ่างกวนเทียนซินผู้ซึ่งนั่งสบายๆ บนแท่นนั่งของเหล่าชนชั้นสูงก็ยิ้มน้อยๆออกมาขณะที่กล่าวว่า “สหายตัวน้อยที่มีมณี 3 ชุด ทั้ง 2 คนนี้น่าสนใจมากจริงๆ ทำให้ข้าได้ยลทักษะกระชากมิติที่นี่ได้ ช่างน่าประทับใจจริงๆ ส่วนแม่นางน้อยที่มีร่างกายใหญ่โตผู้นั้น…ขวานคู่ของนางก็ดูไม่ธรรมดา แต่สาวน้อยจากอาณาจักรเหมี่ยวเองก็น่าประทับใจเช่นกัน พลังระดับนางเกือบจะได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มสำรองจากอาณาจักรจ้งเทียนแล้ว”

จิ่งเฟยไม่ได้เหลือบมองไปที่โจวเหว่ยชิงหรือลังเลแม้แต่น้อย หลังจากการโจมตีรอบที่ 2 ซึ่งพุ่งเป้าไปที่อู่หยาถูกโจวเหว่ยชิงขัดขวางเอาไว้ได้อีกครั้ง เธอก็ส่งการโจมตีระรอกที่ 3 ออกไปโดยยังคงใช้บอลแสงสีดำทั้ง 5 เหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม สำหรับโจวเหว่ยชิงแล้ว การตอบโต้ครั้งนี้อาจไม่ง่ายดายอย่างที่คิดเนื่องจากเขากำลังเผชิญกับภัยคุกคามอย่างเงาดำที่กำลังรัดอยู่ที่ส้นเท้าของเขาอยู่

ณ เวลานี้ วิธีแก้ปัญหาที่ดีและง่ายที่สุดสำหรับโจวเหว่ยชิงคือการใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าเงาดำจะยังคงไล่ตามเขาต่อ แต่เขาก็ยังมีเวลาให้คิดวางแผนและลงมือตอบโต้ ทว่าหากเขาทำเช่นนั้น ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังจัดการกับเงา อู่หยาก็จะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ทั้ง 2 คนด้วยตัวคนเดียว ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงไม่สนใจวิธีง่ายๆเช่นนั้นและตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจแทน

ขณะที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็หยุดหลบหนีและใช้ขาขวาเตะเข้าไปที่เงาดำนั้นทันที ราวกับว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่มาจากจิตใต้สำนึกของตนเอง ในเวลาเดียวกันเขาก็ยิงธนูขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว เวลานี้สายไปแล้วที่เขาจะยิงลูกศร 5 ดอกเพื่อสกัดกั้นบอลสีดำทั้ง 5 ลูกที่พุ่งเข้าหาอู่หยา แต่เขามีแผนที่จะจัดการกับเรื่องนั้นอยู่แล้ว

เงาที่เหลือได้รุมพัวพันขาขวาของโจวเหว่ยชิงทันที ในอีกด้านหนึ่ง ริมฝีปากของเจี่ยงเฟยโค้งก็ขึ้นเป็นรอยยิ้มทันที ในสายตาของเธอ โจวเหว่ยชิงถูกเธอกำจัดออกไปเรียบร้อยแล้ว หากปราศจากความช่วยเหลือจากเจี่ยงเฟย เขาก็ไม่อาจจะหลุดพ้นไปจากเงาดำนั้นได้ และด้วยทักษะนั้น เธอสามารถเอาชีวิตเขาได้ด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเธอไม่คิดจะฆ่าโจวเหว่ยชิง แต่จะรอจนกว่าการต่อสู้จะจบลง หลังจากนั้นค่อยช่วยเขาปลดผนึกที่เรียกว่า ‘ผนึกสลายกายเนื้อ’ แทน

ในอีกด้านหนึ่ง บอลแสงสีดำทั้ง 5 ก็มาถึงตัวอู่หยาในเวลาเดียวกับที่เธอทำลายโล่แสงสำเร็จพอดี

เจี่ยงเฟยมั่นใจในทักษะของตนเองมาก ไม่ต้องพูดถึงจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุด แม้แต่ระดับ 5 ชุดเหมือนกันก็ยังยากที่จะรับมือกับทักษะที่ได้รับการเพิ่มพลังจนถึงขีดสูงสุดเช่นนี้ เพราะจุดแข็งของทักษะธาตุมืดคือการโจมตีต่อเนื่องและยาวนานนั่นเอง เมื่อถูกโจมตี ความสามารถในการทำลายล้างของมันจะคงอยู่ได้เป็นเวลานาน

“สวรรค์ทำลายล้าง!” อู่หยาตะโกนออกมาเสียงดังขณะที่ขวานในตำนานทั้ง 2 ชิ้นในมือเปล่งแสงสีแดงเลือดออกมา ในขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อของเธอก็นูนขึ้นมาเป็นมัดๆ จนแขนเสื้อปริขาดและสลายหายไป เห็นได้ชัดว่าตอนนี้บนท่อนแขนขนาดใหญ่ของเธอมีแสงสีแดงเลือดส่องสว่างออกมาในทำนองเดียวกัน ขณะที่อู่หยาเหวี่ยงขวานออกไป แสงสีแดงก็วูบไหวตามไปอย่างน่าขนลุก พวกมันตัดผ่านอากาศและกระแทกใส่บอลแสงสีดำทั้ง 5 จนพวกมันถูกแยกออกจากกัน สูญเสียการทรงตัวและตกกระแทกพื้นในที่สุด

เสียง *ฉี่* *ฉี่* ดังขึ้นพร้อมๆกับที่บอลแสงสีดำตกกระแทกพื้นทีละลูก เมื่อบอลเหล่านั้นปะทะกับพื้น พวกมันถึงขั้นละลายพื้นที่ทำจากเพชรที่แข็งแกร่งที่สุดให้กลายเป็นหลุมกว้าง 1 หลา และทำให้เกิดรูขนาดใหญ่ขึ้นบนเวที ไม่นานก็ค่อยๆ แผ่ขยายอาณาเขตออกไป

หลังจากนั้นอู่หยาก็หันไปใช้ขวานที่เรืองรองไปด้วยแสงสีแดงเหวี่ยงใส่เกราะแสงของอู๋เจิ้งหยางอีกครั้ง หลังจากการปะทะครั้งใหญ่ เกราะแสงก็แตกกระจายออกเป็นละอองแสงสีทองจำนวนมากทันที พริบตานั้นอู่หยาพลันพุ่งเข้าหาอู๋เจิ้งหยางราวกับพายุมรณะ

บนแท่นนั่งของผู้ชมระดับสูง เมื่อผู้ทรงพลังหลายคนเห็นท่อนแขนและขวานในตำนานของอู่หยาเปล่งแสงสีแดงเลือดขึ้นมา พวกเขาต่างก็ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ “อาวุธสังเวยเลือดในตำนาน?”

แม้แต่สีหน้าของซ่างกวนเทียนซินก็เปลี่ยนไป “ไม่แปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกว่าขวานนั้นมีความพิเศษ พวกมันเป็นอาวุธสังเวยเลือดในตำนานซึ่งต้องใช้เลือดของผู้สืบทอดในการเปิดใช้งาน เนื่องจากนางมาจากอาณาจักรเฟยหลี่ ด้วยร่างกายเช่นนี้ นางต้องมาจากเผ่าอีกาทองแน่ ฮ่าๆ กลุ่มนักรบเฟยหลี่ปีนี้น่าทึ่งมากจริงๆ!”

ไม่มีใครคาดคิดว่าอู่หยาจะโจมตีกะทันหันเช่นนี้ แม้แต่โจวเหว่ยชิงเองก็คาดไม่ถึงว่าอู่หยาจะสามารถฝ่าการโจมตีของคู่ต่อสู้ทั้ง 2 คนได้อย่างง่ายดายเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าความเข้าใจระหว่างพวกเขากำลังประสบปัญหา ทันใดนั้นเอง ในขณะที่อู่หยากำลังจะโจมตีออกไป เธอก็ต้องหยุดชะงักเนื่องจากมีแสงสีเงินโผล่ออกมาล้อมรอบตัวเธอเอาไว้ สิ่งนั้นช่วยชีวิตอู๋เจิ้งหยางซึ่งกำลังจะถูกขวานเหวี่ยงเข้าใส่ได้พอดิบพอดี

อนิจจา ทักษะนั้นคือทักษะมิติกักขังของโจวเหว่ยชิง ปรากฎว่าก่อนหน้านี้ที่โจวเหว่ยชิงไม่อาจจัดการบอลสีดำ 5 ลูกสุดท้ายเอาไว้ได้ เพื่อปกป้องอีกา เขาจึงปล่อยลูกศรออกไปเพื่อใช้ทักษะมิติกักขังกับเธอ แผนของเขาคือให้ทักษะมิติกักขังมีผลในเวลาเดียวกับที่บอลของเจี่ยงเฟยพุ่งเข้าใส่อู่หยา ซึ่งนั่นจะช่วยขัดขวางแรงปะทะส่วนใหญ่เอาไว้ได้และทำให้เขามีเวลาได้โจมตีอีกครั้งหลังจากจัดการกับเงา น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่าอู่หยาสามารถกำจัดบอลแสงสีดำได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งทักษะมิติกักขังของเขาก็กลายเป็นอุปสรรคมากกว่าความช่วยเหลือ ทำให้ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างหมดหนทาง ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี

*ปัง* *ปัง* *ปัง* *ปัง* ทักษะมิติกักขังไม่สามารถปิดกั้นอู่หยาได้เป็นเวลานานอยู่แล้ว ผลของมันอยู่ไม่ถึง 2 วินาทีก่อนที่เธอจะแยกมันออกด้วยขวานคู่ในตำนานพร้อมกับผลของทักษะ “สวรรค์ทำลายล้าง” อย่างไรก็ตาม อู๋เจิ้งหยางก็ได้ฉวยโอกาสพักหายใจ และเรียกเกราะประกายแสงขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน ดาบหนักในมือของเขาก็พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับแสงที่เจิดจ้าเพราะผลจากทักษะกักเก็บ เขาพุ่งเข้าหาเธอตามหลังเกราะแสงกำลังก่อตัวขึ้น

ในขณะนั้นเอง คนที่ตกตะลึงที่สุดคือเจี่ยงเฟย ไม่ใช่เพราะอู่หยาหรือลูกศรดอกนั้น แต่เป็นเพราะโจวเหว่ยชิงต่างหาก เห็นได้ชัดว่าเมื่อโจวเหว่ยชิงร่อนลงสู่พื้นแล้ว เขาก็ชักธนูขึ้นมาอีกครั้งราวกับว่าผนึกสลายกายเนื้อไม่มีผลกับเขาเลย

ทว่าความประหลาดใจก็ไม่ได้ทำให้เธอหยุดมือเช่นกัน เจี่ยงเฟยยกมือขึ้นอีกครั้งเพื่อปลดปล่อยบอลแสงอีก 5 ลูก คราวนี้ไม่ใช่เพื่อโจมตี แต่พวกมันกำลังลอยอยู่เหนือศีรษะของเธอเป็นรูปวงกลม เส้นใยที่เชื่อมโยงระหว่างพวกมันดูเหมือนจะแน่นหนามากขึ้นจนดูเหมือนโล่แสงสีดำที่สามารถปิดกั้นลูกศรที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าได้ การใช้พลังโจมตีเป็นเกราะป้องกัน การควบคุมพลังและทักษะเช่นนี้ถือว่าเป็นการใช้พลังของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เธอรู้ดีว่าสำหรับโจวเหว่ยชิงแล้ว ลูกศรที่เขาเพิ่งยิงออกมาต้องไม่ใช่เป็นลูกศรธรรมดาๆ แน่นอน

และแน่นอนว่าความจริงก็เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ ในการยิงลูกศรดอกนั้น โจวเหว่ยชิงได้ใช้ทักษะการยิงธนูเพื่อยืดระยะเวลาที่มันอยู่กลางอากาศ และเมื่อใช้มันลอบโจมตีก็จะให้ผลดีมาก

นี่เป็นวิชาลับของตุ๊ดยี่ฉือในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ที่เรียกว่า ‘ศรทะลวงฟ้า’ แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะเรียนรู้เรื่องนี้ได้เพียงครึ่งเดียว แต่มันก็ให้ผลดีอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

*พลุบ* ศรทะลวงฟ้าที่พุ่งลงไปหาตาข่ายโล่ที่สร้างขึ้นจากบอลแสงสีดำ 5 ลูกเหนือศีรษะเจี่ยงเฟยพลันหลอมละลายหายไปทันที ทว่ามันก็สามารถปลดปล่อยทักษะที่ฝังไว้ในลูกศรดอกนั้นออกมาได้ทันเวลา

ลูกศรดอกนี้เป็นสิ่งที่โจวเหว่ยชิงวางแผนจะใช้พลิกสถานการณ์ ดังนั้นมันจะไร้พิษสงขนาดนั้นได้ยังไง? ไม่นานก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นทันที สายฟ้าสีม่วงแกมน้ำเงินจำนวนนับไม่ถ้วนแตกตัวกระจัดกระจายออกไปในอากาศ โดยธรรมชาติแล้วเจี่ยงเฟยย่อมได้รับการปกป้องจากเกราะตาข่ายบอลสีดำ เธอจึงไม่ได้รับความเสียหายใดๆ อย่างที่คาดเอาไว้ ด้วยพลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิง และแม้จะมีพลังระเบิดทำลายล้างของธนูราชันย์รวมเข้าไปด้วย สิ่งนี้ก็ยังไม่อาจทำร้ายเธอได้อยู่ดี ทว่านั่นกลับไม่ใช่ทักษะเดียวที่โจวเหว่ยชิงฝังเอาไว้ และมันก็ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่เธอตั้งแต่แรก

ทักษะอสนีบาตพันสายเป็นทักษะผลกระทบวงกว้างเพียงชนิดเดียวของโจวเหว่ยชิง เมื่อทักษะนี้ระเบิดออกมาในตอนนี้ เนื่องจากมันส่งผลเป็นวงกว้าง หมายความว่าอู่หยาจึงอยู่ในระยะโจมตีด้วย ทว่าเป็นเพราะมันร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าด้านหลัง “เขตแดนของศัตรู” ผลของมันจึงกระจายย้อนจากด้านหลังศัตรูออกมาทางด้านหน้า และเนื่องจากด้านหน้าของเจี่ยงเฟยและอู๋เจิ้งหยางคือเกราะประกายแสง มันจึงสลายหายไปทันทีเพราะโดนสายฟ้าเหล่านั้นฟาดใส่จากทางด้านหลัง อีกทั้งยังกลายเป็นเกราะที่ปกป้องอู่หยาจากสายฟ้าของโจวเหว่ยชิงอีกด้วย! ทว่าเจี่ยงเฟยนั้นมีโล่ป้องกันของตนเอง ด้วยเหตุนี้ ผู้โชคร้ายเพียงคนเดียวที่ได้รับผลไปเต็มๆ คืออู๋เจิ้งหยาง

พลังโจมตีของทักษะอสนีบาตพันสายนั้นไม่แข็งแกร่งมากนัก โดยเฉพาะทักษะประเภทให้ผลกระทบวงกว้างเช่นนี้ ทว่าเมื่อถูกกระแทกใส่ด้วยพลังเกือบทั้งหมดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว อู๋เจิ้งหยางจึงถูกมันโจมตีอย่างรุนแรง ร่างกายของเขาชาหนึบ เส้นผมลุกเป็นไฟและมีกลิ่นไหม้ลอยออกมาจากร่างกายของเขา

ทว่าในเวลาเดียวกัน เจี่ยงเฟยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ กลับยืนนิ่งเฉย นั่นเป็นเพราะโจวเหว่ยชิงได้ใส่ทักษะที่ 2 ไว้ในลูกศรด้วยทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์!

ตอนนี้โจวเหว่ยชิงค่อนข้างแน่ใจว่านี่เป็นทักษะปิดผนึกที่ทรงพลัง จากความช้าในการเคลื่อนที่ของมัน พลังของมันน่าจะน่ากลัวเป็นอย่างมาก หากเขาถูกมันปิดผนึกได้ล่ะก็ ไม่ต้องเอ่ยถึงส่วนที่เหลือของการต่อสู้ครั้งนี้ เขาคงต้องลืมการลงแข่งงานประลองที่เหลือทั้งหมดไปได้เลย

โจวเหว่ยชิงยังคงลอยอยู่กลางอากาศขณะพยายามบังคับร่างกายให้หมุนตัว มือขวาถือธนูราชันย์ในขณะที่มือซ้ายขยับออกไปโบกพลังใส่เงาที่ไล่ตามมา ท่ามกลางแสงสีเงินวิบวับ อากาศพลันเกิดรอยแยกกว้าง 3 หลาขึ้นที่ใต้เท้าของเขาทันที

ในขณะที่เงาดำเหล่านั้นปะทะกับรอยแยก เสียงกระทบกระทั่งที่ฟังเสียดหูก็ดังขึ้นกลางจตุรัส เมื่อมาถึงจุดนี้ ทักษะธาตุมืดและการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวของเจี่ยงเฟยก็แสดงพลังออกมาอย่างเต็มเปี่ยม แม้จะเผชิญหน้ากับทักษะกระชากมิติของโจวเหว่ยชิง ทักษะปิดผนึกของเธอก็ยังไม่ยอมหยุดชะงัก แม้ว่าส่วนหนึ่งของมันจะสลายกลายเป็นควันดำ แต่บางส่วนก็ยังสามารถเคลื่อนที่อ้อมรอยแยกมิติและไล่ล่าโจวเหว่ยชิงต่อไปได้ สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือเมื่อทักษะของคนทั้งคู่สัมผัสกันและกัน ดูเหมือนว่าเงาของเจี่ยงเฟยจะทิ้งคราบสีดำไว้ในอากาศได้ด้วย แม้ทักษะกระชากมิติจะทำให้มันอ่อนกำลังลง แต่ก็มันก็ยังสามารถทิ้งร่องรอยไว้ในนั้นได้เช่นกัน

หากโจวเหว่ยชิงมีมณี 5 ชุดเช่นเดียวกับเจี่ยงเฟย แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ศาสตรามณียุทธ์เข้าช่วย ทักษะกระชากมิติระดับราชาของเขาก็ยังจะสามารถปิดกั้นทักษะปิดผนึกธาตุมืดของเธอเอาไว้ได้ น่าเสียดายที่ความแตกต่างของระดับพลังและพลังปรานสวรรค์นั้นมีมากเกินไป ดังนั้นแม้แต่ทักษะกระชากมิติระดับราชาก็ยังไม่อาจกระจายพลังโจมตีของอีกฝ่ายออกไปได้ทั้งหมด

จู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้งติดต่อกัน ภายใต้การคุ้มครองด้วยลูกศรของโจวเหว่ยชิง ในที่สุดอู่หยาก็ไปถึงตัวอู๋เจิ้งหยางจนได้ หลังจากได้ต่อสู้กับเขามาก่อนหน้านี้ เธอก็รู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่ายๆ อีก อู่หยาจึงปลดปล่อยขวานในตำนานและเหวี่ยงพวกมันใส่โล่แสงของอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยมทันที

อู๋เจิ้งหยางมีมณี 4 ชุด แน่นอนว่าย่อมมากกว่าอู่หยาอยู่ 1 ระดับ แต่จะใช้ตรรกะธรรมดากะเกณฑ์การโจมตีของอู่หยาได้อย่างไร ขวานในตำนานแต่ละชิ้นมีน้ำหนักมากกว่า 1,000 จิน เมื่อรวมกับพลังที่น่าสะพรึงกลัวของเธอ มันจะแข็งแกร่งได้มากแค่ไหนกัน?

แม้โจวเหว่ยชิงจะมีค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนาน แต่ความแข็งแกร่งหลักของพวกมันก็มาจากพลังพิเศษระดับเทพเจ้า พลังเสริมหลายชนิดที่ฝังอยู่ในค้อน และความสามารถในการเพิ่มพลังให้ทักษะกักเก็บ ดังนั้นหากไม่ใช้ทักษะใดๆ ในแง่ของการโจมตีด้วยความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว โจวเหว่ยชิงก็มั่นใจว่าการโจมตีด้วยอาวุธในตำนานของเขาไม่อาจเทียบได้กับขวานของอู่หยา

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเกราะประกายแสงจะมีพลังป้องกันที่น่าประทับใจ แต่เมื่อขวานของอู่หยาสับลงไปอย่างรุนแรง รอยร้าวก็ค่อยๆเริ่มปรากฏให้เห็น เมื่อขวานจามลงไปเป็นครั้งที่ 2 เกราะแสงนั้นก็เริ่มสั่นคลอนขณะที่รอยแตกปรากฏเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าว่ามันกำลังใกล้จะแตกเต็มที

เมื่อมาถึงจุดนี้ จักรพรรดิซ่างกวนเทียนซินผู้ซึ่งนั่งสบายๆ บนแท่นนั่งของเหล่าชนชั้นสูงก็ยิ้มน้อยๆออกมาขณะที่กล่าวว่า “สหายตัวน้อยที่มีมณี 3 ชุด ทั้ง 2 คนนี้น่าสนใจมากจริงๆ ทำให้ข้าได้ยลทักษะกระชากมิติที่นี่ได้ ช่างน่าประทับใจจริงๆ ส่วนแม่นางน้อยที่มีร่างกายใหญ่โตผู้นั้น…ขวานคู่ของนางก็ดูไม่ธรรมดา แต่สาวน้อยจากอาณาจักรเหมี่ยวเองก็น่าประทับใจเช่นกัน พลังระดับนางเกือบจะได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มสำรองจากอาณาจักรจ้งเทียนแล้ว”

จิ่งเฟยไม่ได้เหลือบมองไปที่โจวเหว่ยชิงหรือลังเลแม้แต่น้อย หลังจากการโจมตีรอบที่ 2 ซึ่งพุ่งเป้าไปที่อู่หยาถูกโจวเหว่ยชิงขัดขวางเอาไว้ได้อีกครั้ง เธอก็ส่งการโจมตีระรอกที่ 3 ออกไปโดยยังคงใช้บอลแสงสีดำทั้ง 5 เหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม สำหรับโจวเหว่ยชิงแล้ว การตอบโต้ครั้งนี้อาจไม่ง่ายดายอย่างที่คิดเนื่องจากเขากำลังเผชิญกับภัยคุกคามอย่างเงาดำที่กำลังรัดอยู่ที่ส้นเท้าของเขาอยู่

ณ เวลานี้ วิธีแก้ปัญหาที่ดีและง่ายที่สุดสำหรับโจวเหว่ยชิงคือการใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าเงาดำจะยังคงไล่ตามเขาต่อ แต่เขาก็ยังมีเวลาให้คิดวางแผนและลงมือตอบโต้ ทว่าหากเขาทำเช่นนั้น ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังจัดการกับเงา อู่หยาก็จะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ทั้ง 2 คนด้วยตัวคนเดียว ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงไม่สนใจวิธีง่ายๆเช่นนั้นและตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจแทน

ขณะที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็หยุดหลบหนีและใช้ขาขวาเตะเข้าไปที่เงาดำนั้นทันที ราวกับว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่มาจากจิตใต้สำนึกของตนเอง ในเวลาเดียวกันเขาก็ยิงธนูขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว เวลานี้สายไปแล้วที่เขาจะยิงลูกศร 5 ดอกเพื่อสกัดกั้นบอลสีดำทั้ง 5 ลูกที่พุ่งเข้าหาอู่หยา แต่เขามีแผนที่จะจัดการกับเรื่องนั้นอยู่แล้ว

เงาที่เหลือได้รุมพัวพันขาขวาของโจวเหว่ยชิงทันที ในอีกด้านหนึ่ง ริมฝีปากของเจี่ยงเฟยโค้งก็ขึ้นเป็นรอยยิ้มทันที ในสายตาของเธอ โจวเหว่ยชิงถูกเธอกำจัดออกไปเรียบร้อยแล้ว หากปราศจากความช่วยเหลือจากเจี่ยงเฟย เขาก็ไม่อาจจะหลุดพ้นไปจากเงาดำนั้นได้ และด้วยทักษะนั้น เธอสามารถเอาชีวิตเขาได้ด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเธอไม่คิดจะฆ่าโจวเหว่ยชิง แต่จะรอจนกว่าการต่อสู้จะจบลง หลังจากนั้นค่อยช่วยเขาปลดผนึกที่เรียกว่า ‘ผนึกสลายกายเนื้อ’ แทน

ในอีกด้านหนึ่ง บอลแสงสีดำทั้ง 5 ก็มาถึงตัวอู่หยาในเวลาเดียวกับที่เธอทำลายโล่แสงสำเร็จพอดี

เจี่ยงเฟยมั่นใจในทักษะของตนเองมาก ไม่ต้องพูดถึงจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุด แม้แต่ระดับ 5 ชุดเหมือนกันก็ยังยากที่จะรับมือกับทักษะที่ได้รับการเพิ่มพลังจนถึงขีดสูงสุดเช่นนี้ เพราะจุดแข็งของทักษะธาตุมืดคือการโจมตีต่อเนื่องและยาวนานนั่นเอง เมื่อถูกโจมตี ความสามารถในการทำลายล้างของมันจะคงอยู่ได้เป็นเวลานาน

“สวรรค์ทำลายล้าง!” อู่หยาตะโกนออกมาเสียงดังขณะที่ขวานในตำนานทั้ง 2 ชิ้นในมือเปล่งแสงสีแดงเลือดออกมา ในขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อของเธอก็นูนขึ้นมาเป็นมัดๆ จนแขนเสื้อปริขาดและสลายหายไป เห็นได้ชัดว่าตอนนี้บนท่อนแขนขนาดใหญ่ของเธอมีแสงสีแดงเลือดส่องสว่างออกมาในทำนองเดียวกัน ขณะที่อู่หยาเหวี่ยงขวานออกไป แสงสีแดงก็วูบไหวตามไปอย่างน่าขนลุก พวกมันตัดผ่านอากาศและกระแทกใส่บอลแสงสีดำทั้ง 5 จนพวกมันถูกแยกออกจากกัน สูญเสียการทรงตัวและตกกระแทกพื้นในที่สุด

เสียง *ฉี่* *ฉี่* ดังขึ้นพร้อมๆกับที่บอลแสงสีดำตกกระแทกพื้นทีละลูก เมื่อบอลเหล่านั้นปะทะกับพื้น พวกมันถึงขั้นละลายพื้นที่ทำจากเพชรที่แข็งแกร่งที่สุดให้กลายเป็นหลุมกว้าง 1 หลา และทำให้เกิดรูขนาดใหญ่ขึ้นบนเวที ไม่นานก็ค่อยๆ แผ่ขยายอาณาเขตออกไป

หลังจากนั้นอู่หยาก็หันไปใช้ขวานที่เรืองรองไปด้วยแสงสีแดงเหวี่ยงใส่เกราะแสงของอู๋เจิ้งหยางอีกครั้ง หลังจากการปะทะครั้งใหญ่ เกราะแสงก็แตกกระจายออกเป็นละอองแสงสีทองจำนวนมากทันที พริบตานั้นอู่หยาพลันพุ่งเข้าหาอู๋เจิ้งหยางราวกับพายุมรณะ

บนแท่นนั่งของผู้ชมระดับสูง เมื่อผู้ทรงพลังหลายคนเห็นท่อนแขนและขวานในตำนานของอู่หยาเปล่งแสงสีแดงเลือดขึ้นมา พวกเขาต่างก็ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ “อาวุธสังเวยเลือดในตำนาน?”

แม้แต่สีหน้าของซ่างกวนเทียนซินก็เปลี่ยนไป “ไม่แปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกว่าขวานนั้นมีความพิเศษ พวกมันเป็นอาวุธสังเวยเลือดในตำนานซึ่งต้องใช้เลือดของผู้สืบทอดในการเปิดใช้งาน เนื่องจากนางมาจากอาณาจักรเฟยหลี่ ด้วยร่างกายเช่นนี้ นางต้องมาจากเผ่าอีกาทองแน่ ฮ่าๆ กลุ่มนักรบเฟยหลี่ปีนี้น่าทึ่งมากจริงๆ!”

ไม่มีใครคาดคิดว่าอู่หยาจะโจมตีกะทันหันเช่นนี้ แม้แต่โจวเหว่ยชิงเองก็คาดไม่ถึงว่าอู่หยาจะสามารถฝ่าการโจมตีของคู่ต่อสู้ทั้ง 2 คนได้อย่างง่ายดายเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าความเข้าใจระหว่างพวกเขากำลังประสบปัญหา ทันใดนั้นเอง ในขณะที่อู่หยากำลังจะโจมตีออกไป เธอก็ต้องหยุดชะงักเนื่องจากมีแสงสีเงินโผล่ออกมาล้อมรอบตัวเธอเอาไว้ สิ่งนั้นช่วยชีวิตอู๋เจิ้งหยางซึ่งกำลังจะถูกขวานเหวี่ยงเข้าใส่ได้พอดิบพอดี

อนิจจา ทักษะนั้นคือทักษะมิติกักขังของโจวเหว่ยชิง ปรากฎว่าก่อนหน้านี้ที่โจวเหว่ยชิงไม่อาจจัดการบอลสีดำ 5 ลูกสุดท้ายเอาไว้ได้ เพื่อปกป้องอีกา เขาจึงปล่อยลูกศรออกไปเพื่อใช้ทักษะมิติกักขังกับเธอ แผนของเขาคือให้ทักษะมิติกักขังมีผลในเวลาเดียวกับที่บอลของเจี่ยงเฟยพุ่งเข้าใส่อู่หยา ซึ่งนั่นจะช่วยขัดขวางแรงปะทะส่วนใหญ่เอาไว้ได้และทำให้เขามีเวลาได้โจมตีอีกครั้งหลังจากจัดการกับเงา น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่าอู่หยาสามารถกำจัดบอลแสงสีดำได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งทักษะมิติกักขังของเขาก็กลายเป็นอุปสรรคมากกว่าความช่วยเหลือ ทำให้ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างหมดหนทาง ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี

*ปัง* *ปัง* *ปัง* *ปัง* ทักษะมิติกักขังไม่สามารถปิดกั้นอู่หยาได้เป็นเวลานานอยู่แล้ว ผลของมันอยู่ไม่ถึง 2 วินาทีก่อนที่เธอจะแยกมันออกด้วยขวานคู่ในตำนานพร้อมกับผลของทักษะ “สวรรค์ทำลายล้าง” อย่างไรก็ตาม อู๋เจิ้งหยางก็ได้ฉวยโอกาสพักหายใจ และเรียกเกราะประกายแสงขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน ดาบหนักในมือของเขาก็พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับแสงที่เจิดจ้าเพราะผลจากทักษะกักเก็บ เขาพุ่งเข้าหาเธอตามหลังเกราะแสงกำลังก่อตัวขึ้น

ในขณะนั้นเอง คนที่ตกตะลึงที่สุดคือเจี่ยงเฟย ไม่ใช่เพราะอู่หยาหรือลูกศรดอกนั้น แต่เป็นเพราะโจวเหว่ยชิงต่างหาก เห็นได้ชัดว่าเมื่อโจวเหว่ยชิงร่อนลงสู่พื้นแล้ว เขาก็ชักธนูขึ้นมาอีกครั้งราวกับว่าผนึกสลายกายเนื้อไม่มีผลกับเขาเลย

ทว่าความประหลาดใจก็ไม่ได้ทำให้เธอหยุดมือเช่นกัน เจี่ยงเฟยยกมือขึ้นอีกครั้งเพื่อปลดปล่อยบอลแสงอีก 5 ลูก คราวนี้ไม่ใช่เพื่อโจมตี แต่พวกมันกำลังลอยอยู่เหนือศีรษะของเธอเป็นรูปวงกลม เส้นใยที่เชื่อมโยงระหว่างพวกมันดูเหมือนจะแน่นหนามากขึ้นจนดูเหมือนโล่แสงสีดำที่สามารถปิดกั้นลูกศรที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าได้ การใช้พลังโจมตีเป็นเกราะป้องกัน การควบคุมพลังและทักษะเช่นนี้ถือว่าเป็นการใช้พลังของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เธอรู้ดีว่าสำหรับโจวเหว่ยชิงแล้ว ลูกศรที่เขาเพิ่งยิงออกมาต้องไม่ใช่เป็นลูกศรธรรมดาๆ แน่นอน

และแน่นอนว่าความจริงก็เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ ในการยิงลูกศรดอกนั้น โจวเหว่ยชิงได้ใช้ทักษะการยิงธนูเพื่อยืดระยะเวลาที่มันอยู่กลางอากาศ และเมื่อใช้มันลอบโจมตีก็จะให้ผลดีมาก

นี่เป็นวิชาลับของตุ๊ดยี่ฉือในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ที่เรียกว่า ‘ศรทะลวงฟ้า’ แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะเรียนรู้เรื่องนี้ได้เพียงครึ่งเดียว แต่มันก็ให้ผลดีอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

*พลุบ* ศรทะลวงฟ้าที่พุ่งลงไปหาตาข่ายโล่ที่สร้างขึ้นจากบอลแสงสีดำ 5 ลูกเหนือศีรษะเจี่ยงเฟยพลันหลอมละลายหายไปทันที ทว่ามันก็สามารถปลดปล่อยทักษะที่ฝังไว้ในลูกศรดอกนั้นออกมาได้ทันเวลา

ลูกศรดอกนี้เป็นสิ่งที่โจวเหว่ยชิงวางแผนจะใช้พลิกสถานการณ์ ดังนั้นมันจะไร้พิษสงขนาดนั้นได้ยังไง? ไม่นานก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นทันที สายฟ้าสีม่วงแกมน้ำเงินจำนวนนับไม่ถ้วนแตกตัวกระจัดกระจายออกไปในอากาศ โดยธรรมชาติแล้วเจี่ยงเฟยย่อมได้รับการปกป้องจากเกราะตาข่ายบอลสีดำ เธอจึงไม่ได้รับความเสียหายใดๆ อย่างที่คาดเอาไว้ ด้วยพลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิง และแม้จะมีพลังระเบิดทำลายล้างของธนูราชันย์รวมเข้าไปด้วย สิ่งนี้ก็ยังไม่อาจทำร้ายเธอได้อยู่ดี ทว่านั่นกลับไม่ใช่ทักษะเดียวที่โจวเหว่ยชิงฝังเอาไว้ และมันก็ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่เธอตั้งแต่แรก

ทักษะอสนีบาตพันสายเป็นทักษะผลกระทบวงกว้างเพียงชนิดเดียวของโจวเหว่ยชิง เมื่อทักษะนี้ระเบิดออกมาในตอนนี้ เนื่องจากมันส่งผลเป็นวงกว้าง หมายความว่าอู่หยาจึงอยู่ในระยะโจมตีด้วย ทว่าเป็นเพราะมันร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าด้านหลัง “เขตแดนของศัตรู” ผลของมันจึงกระจายย้อนจากด้านหลังศัตรูออกมาทางด้านหน้า และเนื่องจากด้านหน้าของเจี่ยงเฟยและอู๋เจิ้งหยางคือเกราะประกายแสง มันจึงสลายหายไปทันทีเพราะโดนสายฟ้าเหล่านั้นฟาดใส่จากทางด้านหลัง อีกทั้งยังกลายเป็นเกราะที่ปกป้องอู่หยาจากสายฟ้าของโจวเหว่ยชิงอีกด้วย! ทว่าเจี่ยงเฟยนั้นมีโล่ป้องกันของตนเอง ด้วยเหตุนี้ ผู้โชคร้ายเพียงคนเดียวที่ได้รับผลไปเต็มๆ คืออู๋เจิ้งหยาง

พลังโจมตีของทักษะอสนีบาตพันสายนั้นไม่แข็งแกร่งมากนัก โดยเฉพาะทักษะประเภทให้ผลกระทบวงกว้างเช่นนี้ ทว่าเมื่อถูกกระแทกใส่ด้วยพลังเกือบทั้งหมดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว อู๋เจิ้งหยางจึงถูกมันโจมตีอย่างรุนแรง ร่างกายของเขาชาหนึบ เส้นผมลุกเป็นไฟและมีกลิ่นไหม้ลอยออกมาจากร่างกายของเขา

ทว่าในเวลาเดียวกัน เจี่ยงเฟยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ กลับยืนนิ่งเฉย นั่นเป็นเพราะโจวเหว่ยชิงได้ใส่ทักษะที่ 2 ไว้ในลูกศรด้วยทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์!

“กลุ่มนักรบเฟยหลี่ อู่หยา”

“กลุ่มนักรบเฟยหลี่ โจวเหว่ยชิง”

“กลุ่มนักรบเหมี่ยว อู๋เจิ้งหยาง”

“กลุ่มนักรบเหมี่ยว เจี่ยงเฟย”

หลังจากทั้ง 4 คนแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อย ผู้ตัดสินก็ให้สัญญาณเริ่มการประลองครั้งที่ 3 ทันที

เมื่อทั้งสองฝ่ายเรียกมณีสวรรค์ของพวกเขาออกมาพร้อมๆ กัน ผู้ชมรอบข้างต่างส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ นั่นไม่ใช่เพราะโจวเหว่ยชิงมีมณีเพียง 3 ชุดเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะหญิงสาวร่างเล็กที่ชื่อว่าเจี่ยงเฟยมีมณีถึง 5 ชุด! ด้วยอายุของเธอ อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีความสามารถเป็นอันดับต้นๆ ของโลกด้วยซ้ำ ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเธอต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มนักรบเหมี่ยวอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อได้ยินคำสั่งของผู้ตัดสิน การต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการทันที แม้ว่าสีหน้าของอู๋เจิ้งหยางจะยังไม่ดีขึ้นและเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ แต่เขาก็ไม่ได้พุ่งตัวออกไปข้างหน้าแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอีก อู๋เจิ้งหยางเพียงปลดปล่อยดาบหนักออกมา เห็นได้ชัดว่าปลายดาบพลันเปล่งแสงวาววับ เขางอแขนขวา จากนั้นก็เสือกดาบหนักออกไปข้างหน้า ปลดปล่อยดาบแสงเจิดจ้าพุ่งออกไปจากตัวดาบจริง เห็นได้ชัดว่าดาบแสงไร้ตัวตนนั้นทะยานเข้าหาโจวเหว่ยชิงและอู่หยาทันที

เนื่องจากทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันมากกว่า 20 หลา ดังนั้นกว่าดาบแสงเล่มนั้นจะพุ่งถึงตัวโจวเหว่ยชิง พลังของมันก็ลดลงจนไม่อาจทำร้ายพวกเขาได้อยู่แล้ว ดังนั้นดาบแสงเล่มนั้นจึงมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือป้องกันไม่ให้โจวเหว่ยชิงและอู่หยาพุ่งเข้าหาพวกเขาในระยะประชิด แม้อู๋เจิ้งหยางจะไม่พอใจกับผลการประลองก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าในแง่ของความแข็งแกร่งทางร่างกาย เขาไม่อาจเทียบกับอู่หยาได้แม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ใครจะคาดคิดว่าทั้งอู่หยาและโจวเหว่ยชิงจะยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีแม้แต่ความคิดจะเคลื่อนไหวร่างกายด้วยซ้ำ พวกเขาทำเพียงแค่เฝ้าดูดาบแสงเล่มนั้นสลายหายไปต่อหน้าพวกเขาด้วยท่าทีเฉยเมย

อู่หยาหันไปหาโจวเหว่ยชิงและถามด้วยน้ำเสียงงวย “เขากำลังทำอะไรน่ะ? ฟันอากาศเล่นรึไง?”

โจวเหว่ยชิงยักไหล่ด้วยท่าทางไม่สนใจ “ข้าจะรู้ได้อย่างไร? บางทีก่อนหน้านี้หัวของเขาอาจกระแทกพื้นจนทำให้สมองกระทบกระเทือนไปหน่อยล่ะมั้ง?”

อู่หยาเปิดเผยรูปลักษณ์ไร้เดียงสาของเธอออกมาเหมือนอย่างเคย เกือบจะดูคล้ายพวกคนทึ่มด้วยซ้ำ ส่วนโจวเหว่ยชิงก็มีรอยยิ้มใสซื่อประจำตัวประดับอยู่บนใบหน้าทันทีที่ก้าวขึ้นไปบนเวที แน่นอนว่าทั้ง 2 คนเป็นคู่นักแสดงที่มีฝีมือยอดเยี่ยมมาก เนื่องจากพวกเขาสามารถพูดคุยรับมุกซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้ชมหลายคนถึงกับหัวเราะออกมา

อู๋เจิ้งหยางโกรธมากจนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงสลับขาว เขากำลังคิดจะโต้ตอบกลับไป แต่เจี่ยงเฟยกลับกล่าวขัดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึมจากทางด้านหลัง “อย่าตกหลุมพรางของพวกเขา เตรียมตัวให้พร้อม ระวังตัวไว้ก่อน”

น่าแปลกที่ทันทีที่เจี่ยงเฟยพูดขึ้นมา อู๋เจิ้งหยางก็สงบลงได้ทันที เขาจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิงและอู่หยาอีกครั้ง มุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้เท่านั้น

จ้าวมณีสวรรค์ธาตุแสงระดับ 4 ชุดผู้นี้ย่อมเป็นคู่หูที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกคน ในบรรดาทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 4 ธาตุแสงนั้นค่อนข้างธรรมดา แต่ก็ยังถือว่าเป็นทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่มากอยู่ดี

ด้วยพลังของโจวเหว่ยชิง ไพฑูรย์ตาแมวสองสีและศาสตรามณียุทธ์ในตำนาน เขาย่อมไม่มีปัญหาในการต่อสู้และเอาชนะเหล่าจ้าวมณีที่มีมณี 4 ชุด แต่การเผชิญหน้ากับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุดย่อมต้องก่อปัญหาให้เขาแน่ ถึงอย่างไรความแตกต่างของระดับพลังก็ยิ่งใหญ่มากเกินไป ในอดีตที่เขาได้เปรียบหมิงอู๋ระหว่างการต่อสู้นั้นก็เป็นเพราะว่าหมิงอู๋ประเมินเขาต่ำเกินไปอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะทั้งก่อนและหลังการเดิมพัน หมิงอู๋ไม่ได้ปลดปล่อยพลังของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้โจวเหว่ยชิงสามารถฉวยโอกาสลอบโจมตีเขาได้สำเร็จ

แน่นอนว่าปัจจุบันโจวเหว่ยชิงก็แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าแต่ก่อน อีกทั้งเขายังมีจำนวนทักษะมากกว่าจ้าวมณีสวรรค์ในระดับเดียวกันถึง 6 เท่า! ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกักเก็บทักษะระดับสูงเอาไว้มากมายโดยเฉพาะทักษะควบคุม ดังนั้นตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะใช้วิธีการใดเอาชนะมากกว่า

เจี่ยงเฟยที่ยืนอยู่ด้านหลังอู๋เจิ้งหยางยกมือขึ้นทั้งสองข้าง จากนั้นทุกคนก็สามารถมองเห็นมณีหยกแดงทั้ง 5 ดวงได้อย่างชัดเจน นั่นบ่งบอกว่ามณียุทธ์ของเธอเป็นประเภทการประสานงาน รอไม่นานรอบข้อมือขวาของเธอสว่างวาบขึ้นพร้อมกันทันที

หัวใจของโจวเหว่ยชิงเผลอบีบรัดโดยไม่รู้ตัว เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นกับตัวเองในใจ ยังมีชุดศาสตรามณียุทธ์อยู่อีก ชุด! อาจารย์ฮูเหยียนไม่ได้เคยบอกหรือว่าชุดศาสตรามณียุทธ์นั้นหายากแค่ไหน ทำไมในงานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้ถึงดูเหมือนจะมีอยู่เกลื่อนกลาดราวกับกะหล่ำปลีที่หาได้ทุกที่! เห็นได้ชัดว่าในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็มีผู้เข้าประลองอย่างน้อย 10 คนที่ปลดปล่อยชุดศาสตรามณียุทธ์ออกมาต่างประเภทกัน…

อย่างไรก็ตาม ไม่นานโจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเขาคำนวณผิดพลาด มณียุทธ์ทั้ง 5 ที่เจี่ยงเฟยปลดปล่อยออกมาไม่ใช่ชุดศาสตรามณียุทธ์

ชุดศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดมักมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน อาจจะมีลวดลายสลักอยู่เหมือนๆ กัน รวมถึงความสามารถในการใช้ประสานงานซึ่งกันและกันได้ ทว่าศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้นที่ปรากฏรอบๆ ร่างของเจี่ยงเฟยนั้นกลับดูแตกต่างกันออกไป

ถุงมือสีดำเคลือบโลหะ ไม้คฑายาวสีดำ ปลอกแขนสีดำข้างเดียวบนแขนขวา เกราะไหล่ขวาสีดำ และหมวกเกราะสีดำ น่าแปลกที่ศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 5 ชิ้นดูเหมือนจะหลอมรวมกับร่างกายทางซีกขวาทั้งหมด อีกทั้งพวกมันยังบรรจุมณีไว้ในหลุมแล้วเรียบร้อย และมณีเหล่านั้นก็คือไข่มุกสีดำที่แสดงถึงทักษะธาตุมืด

โจวเหว่ยชิงไม่ใช่จ้าวมณีสวรรค์ธรรมดาเพราะเขายังเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ด้วย เมื่อได้เห็นศาสตรามณียุทธ์ของเจี่ยงเฟย ไอเย็นก็ไหลเข้าเกาะกุมกระดูกสันหลังของเขาเมื่อนึกเรื่องบางอย่างออก เขาตะโกนบอกอย่างรวดเร็ว “อู่หยา ระวังด้วย! ผู้หญิงคนนั้นเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทโจมตีขั้นสุดยอด นางน่าจะเชี่ยวชาญการโจมตีระยะไกล

จ้าวมณีสวรรค์ประเภทโจมตีขั้นสุดยอดหมายถึงผู้ที่เน้นใช้พลังทั้งหมดไปที่การรุกโจมตีโดยไม่สนใจเกี่ยวกับพลังป้องกันหรือพลังควบคุมโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บของพวกเขาจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็จะมุ่งเน้นไปที่การรุกโจมตีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ศาสตรามณียุทธ์ของพวกเขามักจะมีทักษะบางอย่างที่ช่วยเพิ่มพลังโจมตีเช่นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเองหรือเพิ่มความสามารถในการสร้างความเสียหายให้กับศัตรู นอกจากนี้ พวกเขายังใช้ประโยชน์จากหลุมบรรจุมณีบนศาสตรามณียุทธ์เพื่อเพิ่มพลังให้กับทักษะกักเก็บของตนเอง พิจารณาจากศาสตรามณียุทธ์และไม้คฑาในมือขวาของเธอแล้ว โจวเหว่ยชิงก็สรุปความสามารถของเจี่ยงเฟยได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อพวกเขาสละการป้องกันทิ้งไปอย่างสิ้นเชิงเพื่อมุ่งเน้นไปที่การโจมตีเพียงอย่างเดียว จ้าวมณีสวรรค์ประเภทนี้มักจะลงมือทำสิ่งต่างๆอย่างสุดขั้วและนั่นก็เป็นอันตรายกับคู่ต่อสู้มาก หากศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บของพวกเขาถูกเตรียมการเอาไว้อย่างเหมาะสมแล้ว คนเหล่านี้ก็จะน่าสะพรึงกลัวมากเลยทีเดียว

ท้ายที่สุดแล้ว ความจริงก็เป็นอย่างที่โจวเหว่ยชิงคาดเดาไว้ไม่มีผิด ศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 5 ชิ้นของเจี่ยงเฟยล้วนส่งเสริมทักษะธาตุมืดของเธอทั้งสิ้น ทำให้ทักษะกักเก็บธาตุมืดทั้ง 5 ของเธอแข็งแกร่งขึ้นจนถึงระดับที่เรียกได้ว่าบ้าคลั่ง ภายใต้การเลือกสายแบบสุดโต่งเช่นนี้ ความสามารถในการโจมตีของเธอเพียงอย่างเดียวจึงเทียบได้กับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 6 ชุดที่ทรงพลังที่สุด โจวเหว่ยชิงเองไม่ได้คาดคิดว่าจะได้พบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ในงานประลองมณีสวรรค์รอบแรกด้วยซ้ำ

ในเวลาเดียวกับที่เขาตะโกนเตือนอู่หยา ธนูราชันย์ของเขาก็ปรากฏขึ้นในมือทันที เห็นได้ชัดว่าในกลุ่มฝ่ายตรงข้าม ขณะที่อู๋เจิ้งหยางมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนและการป้องกันอย่างเต็มที่ เจี่ยงเฟยที่อยู่ด้านหลังของเขาก็รุกพวกเขาด้วยพลังโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงรู้ว่าเขาต้องกำราบฝ่ายตรงข้ามด้วยการโจมตีของตนเองเพื่อหาโอกาสเอาชนะพวกเขาให้ได้

แม้จะได้รับคำเตือนจากโจวเหว่ยชิง แต่อู่หยาก็ยังพุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง การโจมตีครั้งแรกของเจี่ยงเฟยก็เริ่มต้นขึ้นเช่นกัน

เธอโบกไม้คฑาสีดำออกไป จากนั้นบอลแสงสีดำก็พุ่งเข้าหาอู่หยาทันที ในเวลาเดียวกัน เงาสีดำที่ยื่นออกมาจากเท้าของเธอค่อยๆ ยืดขยายไปทางโจวเหว่ยชิงช้าๆ

ด้านโจวเหว่ยชิงเองก็ลงมือในเวลาเดียวกันกับเจี่ยงเฟย ธนูราชันย์ในมือของเขากระพริบวูบไหวขณะที่ลูกศรพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันมาก และเกือบจะเหมือนกับว่าเขาเพิ่งยกธนูราชันย์ขึ้นมาขณะที่ลูกศรทะยานออกไปแล้ว

สำหรับอู๋เจิ้งหยาง เมื่อเขาเห็นโจวเหว่ยชิงเรียกธนูราชันย์ออกมา เขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการเรียกเกราะแสงออกมาป้องกัน แสงสีทองสุกใสค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา ทั้งยังปกคลุมเจี่ยงเฟยเอาไว้ด้วย แม้ว่ามันจะโปร่งใสและดูไม่มั่นคง แต่ก็อย่าได้ประเมินพลังของมันต่ำเกินไป เกราะประกายแสงนี้เป็นทักษะระดับ 6 ดาว และในบรรดาทักษะกักเก็บ มันเป็นถึงหนึ่งในทักษะป้องกันชั้นยอดเลยทีเดียว เนื่องจากเจี่ยงเฟยเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทโจมตีขั้นสุดยอด ดังนั้นเพื่อที่จะประสานงานกับเธอได้ดีขึ้น เพื่อนร่วมกลุ่มของเธอจึงต้องมีพลังป้องกันที่ยอดเยี่ยม

อย่างไรก็ตาม ลูกศรดอกแรกของโจวเหว่ยชิงกลับไม่ได้ยิงใส่คู่ต่อสู้ทั้ง 2 แต่พุ่งเข้าหาบอลแสงสีดำที่เจี่ยงเฟยยิงไปทางอู่หยาต่างหาก เกิดแรงระเบิดครั้งใหญ่ที่ทำให้อากาศสั่นสะเทือน จากนั้นทั้งบอลสีดำและลูกศรก็ระเหยหายไปพร้อมกัน

เจี่ยงเฟยชะงักไปเล็กน้อยในขณะที่คิ้วของโจวเหว่ยชิงก็โค้งขึ้นเช่นกัน แน่นอนว่าเจี่ยงเฟยกำลังรู้สึกประหลาดใจที่โจวเหว่ยชิงผู้มีมณี 3 ชุดสามารถทำลายการโจมตีที่ทรงพลังของเธอได้ด้วยลูกศรเพียงดอกเดียว

เห็นได้ชัดว่าลูกศรของโจวเหว่ยชิงไม่ใช่ลูกศรธรรมดาเพราะมันได้บรรจุทักษะสายฟ้าเขย่าสวรรค์ของเขาเอาไว้ด้วย ทักษะนี้มีความสามารถพิเศษในการขัดขวางหรือทำลายทักษะอื่นๆ ดังนั้นเมื่อรวมกับพลังระเบิดทำลายล้างของธนูราชันย์ มันจึงหักล้างการโจมตีของเธอมาได้อย่างฉิวเฉียด ทว่าโจวเหว่ยชิงก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าลูกศรของเขาสลายไปทันทีที่สัมผัสกับบอลแสงสีดำ หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าทักษะในลูกศรดอกนั้นมีผลก่อนพลังของบอลแสงสีดำ บางทีมันอาจจะถูกบอลแสงสีดำนั้นกลืนกินเข้าไปแล้ว

มันคือความแตกต่างระหว่างระดับพลังของทั้งคู่นั่นเอง

ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงจะอัจฉริยะเพียงใด ไม่ว่าเขาจะมีทักษะที่ทรงพลังหรือระดับดาวสูงแค่ไหน ตอนนี้เขาก็ยังมีมณีเพียง 3 ชุดเท่านั้น ทว่าคู่ต่อสู้ของเขาไม่เพียงแต่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุด แต่ยังเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมืดประเภทโจมตีขั้นสุดยอด! ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากเขาพยายามโจมตีเธอต่อไป แม้จะใช้ค้อนในตำนานของเขา โจว เหว่ยชิงก็ยังไม่อาจเอาชนะพวกเขาได้

ความประหลาดใจของเจียงเฟยเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่เธอจะฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง สายตาของเธอยังคงเย็นชาขณะที่โบกไม้คฑาขึ้นมา คราวนี้บอลแสงสีดำจำนวน 5 ลูกทะยานออกไปที่อู่หยาเหมือนเคย ทว่าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าครั้งก่อนหน้ามาก ในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าจะมีเส้นบางๆ เชื่อมบอลทั้ง 5 ลูกเอาไว้ ทำให้พวกมันถูกยึดเข้าหากันด้วยจุดมุ่งหมายบางอย่าง

ในเวลาเดียวกัน เงาดำที่ยื่นออกมาจากขาของเจี่ยงเฟยก็มาถึงตัวของโจวเหว่ยชิงแล้ว

ในการต่อสู้แบบคู่เช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่าทั้งเจี่ยงเฟยและอู๋เจิ้งหยางกำลังแสดงทักษะการทำงานเป็นกลุ่มและการประสานงานที่น่าทึ่งให้ทุกคนได้ประจักษ์ หนึ่งธาตุแสง หนึ่งธาตุมืด หนึ่งโจมตี หนึ่งป้องกัน นั่นแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี

โจวเหว่ยชิงไม่รู้ว่าเงาสีดำที่เข้ามาใกล้เท้าของเขาคืออะไร แต่เขารู้แน่ชัดว่าเขาไม่ควรประมาท ถึงอย่างไรก็ไม่ควรถูกมันพันธนาการเอาไว้ นั่นอาจเป็นทักษะควบคุมที่ทรงพลังหรือทักษะโจมตีก็ได้

เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ โจวเหว่ยชิงก็แสดงฝีมือการยิงธนูอันน่าทึ่งที่ได้เรียนรู้และฝึกฝนมากจากหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ จู่ๆ ลูกศร 5 ดอกก็ปรากฏขึ้นที่นิ้วของเขาและพวกมันก็ถูกยิงออกไปพร้อมกันด้วยเสียงดังวืด เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียงระเบิด 5 ครั้งก็ดังขึ้นที่อีกด้านหนึ่ง โจวเหว่ยชิงเลือกที่จะทำลายการโจมตีที่เจี่ยงเฟยปล่อยใส่อู่หยาพร้อมๆกับกระโดดขึ้นจากพื้น เพื่อช่วยอีกาแล้ว เขาแทบไม่มีโอกาสจัดการกับปัญหาของตัวเองด้วยซ้ำ

เงาดำที่ไล่ตามมาถึงเท้าของโจวเหว่ยชิงกระโจนตามเขาขึ้นไปทันทีราวกับเงาตามตัว จากนั้นก็พุ่งทะยานเข้าใส่เขาทันที

“กลุ่มนักรบเฟยหลี่ อู่หยา”

“กลุ่มนักรบเฟยหลี่ โจวเหว่ยชิง”

“กลุ่มนักรบเหมี่ยว อู๋เจิ้งหยาง”

“กลุ่มนักรบเหมี่ยว เจี่ยงเฟย”

หลังจากทั้ง 4 คนแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อย ผู้ตัดสินก็ให้สัญญาณเริ่มการประลองครั้งที่ 3 ทันที

เมื่อทั้งสองฝ่ายเรียกมณีสวรรค์ของพวกเขาออกมาพร้อมๆ กัน ผู้ชมรอบข้างต่างส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ นั่นไม่ใช่เพราะโจวเหว่ยชิงมีมณีเพียง 3 ชุดเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะหญิงสาวร่างเล็กที่ชื่อว่าเจี่ยงเฟยมีมณีถึง 5 ชุด! ด้วยอายุของเธอ อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีความสามารถเป็นอันดับต้นๆ ของโลกด้วยซ้ำ ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเธอต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มนักรบเหมี่ยวอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อได้ยินคำสั่งของผู้ตัดสิน การต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการทันที แม้ว่าสีหน้าของอู๋เจิ้งหยางจะยังไม่ดีขึ้นและเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ แต่เขาก็ไม่ได้พุ่งตัวออกไปข้างหน้าแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอีก อู๋เจิ้งหยางเพียงปลดปล่อยดาบหนักออกมา เห็นได้ชัดว่าปลายดาบพลันเปล่งแสงวาววับ เขางอแขนขวา จากนั้นก็เสือกดาบหนักออกไปข้างหน้า ปลดปล่อยดาบแสงเจิดจ้าพุ่งออกไปจากตัวดาบจริง เห็นได้ชัดว่าดาบแสงไร้ตัวตนนั้นทะยานเข้าหาโจวเหว่ยชิงและอู่หยาทันที

เนื่องจากทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันมากกว่า 20 หลา ดังนั้นกว่าดาบแสงเล่มนั้นจะพุ่งถึงตัวโจวเหว่ยชิง พลังของมันก็ลดลงจนไม่อาจทำร้ายพวกเขาได้อยู่แล้ว ดังนั้นดาบแสงเล่มนั้นจึงมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือป้องกันไม่ให้โจวเหว่ยชิงและอู่หยาพุ่งเข้าหาพวกเขาในระยะประชิด แม้อู๋เจิ้งหยางจะไม่พอใจกับผลการประลองก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าในแง่ของความแข็งแกร่งทางร่างกาย เขาไม่อาจเทียบกับอู่หยาได้แม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ใครจะคาดคิดว่าทั้งอู่หยาและโจวเหว่ยชิงจะยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีแม้แต่ความคิดจะเคลื่อนไหวร่างกายด้วยซ้ำ พวกเขาทำเพียงแค่เฝ้าดูดาบแสงเล่มนั้นสลายหายไปต่อหน้าพวกเขาด้วยท่าทีเฉยเมย

อู่หยาหันไปหาโจวเหว่ยชิงและถามด้วยน้ำเสียงงวย “เขากำลังทำอะไรน่ะ? ฟันอากาศเล่นรึไง?”

โจวเหว่ยชิงยักไหล่ด้วยท่าทางไม่สนใจ “ข้าจะรู้ได้อย่างไร? บางทีก่อนหน้านี้หัวของเขาอาจกระแทกพื้นจนทำให้สมองกระทบกระเทือนไปหน่อยล่ะมั้ง?”

อู่หยาเปิดเผยรูปลักษณ์ไร้เดียงสาของเธอออกมาเหมือนอย่างเคย เกือบจะดูคล้ายพวกคนทึ่มด้วยซ้ำ ส่วนโจวเหว่ยชิงก็มีรอยยิ้มใสซื่อประจำตัวประดับอยู่บนใบหน้าทันทีที่ก้าวขึ้นไปบนเวที แน่นอนว่าทั้ง 2 คนเป็นคู่นักแสดงที่มีฝีมือยอดเยี่ยมมาก เนื่องจากพวกเขาสามารถพูดคุยรับมุกซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้ชมหลายคนถึงกับหัวเราะออกมา

อู๋เจิ้งหยางโกรธมากจนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงสลับขาว เขากำลังคิดจะโต้ตอบกลับไป แต่เจี่ยงเฟยกลับกล่าวขัดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึมจากทางด้านหลัง “อย่าตกหลุมพรางของพวกเขา เตรียมตัวให้พร้อม ระวังตัวไว้ก่อน”

น่าแปลกที่ทันทีที่เจี่ยงเฟยพูดขึ้นมา อู๋เจิ้งหยางก็สงบลงได้ทันที เขาจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิงและอู่หยาอีกครั้ง มุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้เท่านั้น

จ้าวมณีสวรรค์ธาตุแสงระดับ 4 ชุดผู้นี้ย่อมเป็นคู่หูที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกคน ในบรรดาทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 4 ธาตุแสงนั้นค่อนข้างธรรมดา แต่ก็ยังถือว่าเป็นทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่มากอยู่ดี

ด้วยพลังของโจวเหว่ยชิง ไพฑูรย์ตาแมวสองสีและศาสตรามณียุทธ์ในตำนาน เขาย่อมไม่มีปัญหาในการต่อสู้และเอาชนะเหล่าจ้าวมณีที่มีมณี 4 ชุด แต่การเผชิญหน้ากับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุดย่อมต้องก่อปัญหาให้เขาแน่ ถึงอย่างไรความแตกต่างของระดับพลังก็ยิ่งใหญ่มากเกินไป ในอดีตที่เขาได้เปรียบหมิงอู๋ระหว่างการต่อสู้นั้นก็เป็นเพราะว่าหมิงอู๋ประเมินเขาต่ำเกินไปอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะทั้งก่อนและหลังการเดิมพัน หมิงอู๋ไม่ได้ปลดปล่อยพลังของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้โจวเหว่ยชิงสามารถฉวยโอกาสลอบโจมตีเขาได้สำเร็จ

แน่นอนว่าปัจจุบันโจวเหว่ยชิงก็แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าแต่ก่อน อีกทั้งเขายังมีจำนวนทักษะมากกว่าจ้าวมณีสวรรค์ในระดับเดียวกันถึง 6 เท่า! ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกักเก็บทักษะระดับสูงเอาไว้มากมายโดยเฉพาะทักษะควบคุม ดังนั้นตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะใช้วิธีการใดเอาชนะมากกว่า

เจี่ยงเฟยที่ยืนอยู่ด้านหลังอู๋เจิ้งหยางยกมือขึ้นทั้งสองข้าง จากนั้นทุกคนก็สามารถมองเห็นมณีหยกแดงทั้ง 5 ดวงได้อย่างชัดเจน นั่นบ่งบอกว่ามณียุทธ์ของเธอเป็นประเภทการประสานงาน รอไม่นานรอบข้อมือขวาของเธอสว่างวาบขึ้นพร้อมกันทันที

หัวใจของโจวเหว่ยชิงเผลอบีบรัดโดยไม่รู้ตัว เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นกับตัวเองในใจ ยังมีชุดศาสตรามณียุทธ์อยู่อีก ชุด! อาจารย์ฮูเหยียนไม่ได้เคยบอกหรือว่าชุดศาสตรามณียุทธ์นั้นหายากแค่ไหน ทำไมในงานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้ถึงดูเหมือนจะมีอยู่เกลื่อนกลาดราวกับกะหล่ำปลีที่หาได้ทุกที่! เห็นได้ชัดว่าในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็มีผู้เข้าประลองอย่างน้อย 10 คนที่ปลดปล่อยชุดศาสตรามณียุทธ์ออกมาต่างประเภทกัน…

อย่างไรก็ตาม ไม่นานโจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเขาคำนวณผิดพลาด มณียุทธ์ทั้ง 5 ที่เจี่ยงเฟยปลดปล่อยออกมาไม่ใช่ชุดศาสตรามณียุทธ์

ชุดศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดมักมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน อาจจะมีลวดลายสลักอยู่เหมือนๆ กัน รวมถึงความสามารถในการใช้ประสานงานซึ่งกันและกันได้ ทว่าศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้นที่ปรากฏรอบๆ ร่างของเจี่ยงเฟยนั้นกลับดูแตกต่างกันออกไป

ถุงมือสีดำเคลือบโลหะ ไม้คฑายาวสีดำ ปลอกแขนสีดำข้างเดียวบนแขนขวา เกราะไหล่ขวาสีดำ และหมวกเกราะสีดำ น่าแปลกที่ศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 5 ชิ้นดูเหมือนจะหลอมรวมกับร่างกายทางซีกขวาทั้งหมด อีกทั้งพวกมันยังบรรจุมณีไว้ในหลุมแล้วเรียบร้อย และมณีเหล่านั้นก็คือไข่มุกสีดำที่แสดงถึงทักษะธาตุมืด

โจวเหว่ยชิงไม่ใช่จ้าวมณีสวรรค์ธรรมดาเพราะเขายังเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ด้วย เมื่อได้เห็นศาสตรามณียุทธ์ของเจี่ยงเฟย ไอเย็นก็ไหลเข้าเกาะกุมกระดูกสันหลังของเขาเมื่อนึกเรื่องบางอย่างออก เขาตะโกนบอกอย่างรวดเร็ว “อู่หยา ระวังด้วย! ผู้หญิงคนนั้นเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทโจมตีขั้นสุดยอด นางน่าจะเชี่ยวชาญการโจมตีระยะไกล

จ้าวมณีสวรรค์ประเภทโจมตีขั้นสุดยอดหมายถึงผู้ที่เน้นใช้พลังทั้งหมดไปที่การรุกโจมตีโดยไม่สนใจเกี่ยวกับพลังป้องกันหรือพลังควบคุมโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บของพวกเขาจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็จะมุ่งเน้นไปที่การรุกโจมตีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ศาสตรามณียุทธ์ของพวกเขามักจะมีทักษะบางอย่างที่ช่วยเพิ่มพลังโจมตีเช่นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเองหรือเพิ่มความสามารถในการสร้างความเสียหายให้กับศัตรู นอกจากนี้ พวกเขายังใช้ประโยชน์จากหลุมบรรจุมณีบนศาสตรามณียุทธ์เพื่อเพิ่มพลังให้กับทักษะกักเก็บของตนเอง พิจารณาจากศาสตรามณียุทธ์และไม้คฑาในมือขวาของเธอแล้ว โจวเหว่ยชิงก็สรุปความสามารถของเจี่ยงเฟยได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อพวกเขาสละการป้องกันทิ้งไปอย่างสิ้นเชิงเพื่อมุ่งเน้นไปที่การโจมตีเพียงอย่างเดียว จ้าวมณีสวรรค์ประเภทนี้มักจะลงมือทำสิ่งต่างๆอย่างสุดขั้วและนั่นก็เป็นอันตรายกับคู่ต่อสู้มาก หากศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บของพวกเขาถูกเตรียมการเอาไว้อย่างเหมาะสมแล้ว คนเหล่านี้ก็จะน่าสะพรึงกลัวมากเลยทีเดียว

ท้ายที่สุดแล้ว ความจริงก็เป็นอย่างที่โจวเหว่ยชิงคาดเดาไว้ไม่มีผิด ศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 5 ชิ้นของเจี่ยงเฟยล้วนส่งเสริมทักษะธาตุมืดของเธอทั้งสิ้น ทำให้ทักษะกักเก็บธาตุมืดทั้ง 5 ของเธอแข็งแกร่งขึ้นจนถึงระดับที่เรียกได้ว่าบ้าคลั่ง ภายใต้การเลือกสายแบบสุดโต่งเช่นนี้ ความสามารถในการโจมตีของเธอเพียงอย่างเดียวจึงเทียบได้กับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 6 ชุดที่ทรงพลังที่สุด โจวเหว่ยชิงเองไม่ได้คาดคิดว่าจะได้พบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ในงานประลองมณีสวรรค์รอบแรกด้วยซ้ำ

ในเวลาเดียวกับที่เขาตะโกนเตือนอู่หยา ธนูราชันย์ของเขาก็ปรากฏขึ้นในมือทันที เห็นได้ชัดว่าในกลุ่มฝ่ายตรงข้าม ขณะที่อู๋เจิ้งหยางมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนและการป้องกันอย่างเต็มที่ เจี่ยงเฟยที่อยู่ด้านหลังของเขาก็รุกพวกเขาด้วยพลังโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงรู้ว่าเขาต้องกำราบฝ่ายตรงข้ามด้วยการโจมตีของตนเองเพื่อหาโอกาสเอาชนะพวกเขาให้ได้

แม้จะได้รับคำเตือนจากโจวเหว่ยชิง แต่อู่หยาก็ยังพุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง การโจมตีครั้งแรกของเจี่ยงเฟยก็เริ่มต้นขึ้นเช่นกัน

เธอโบกไม้คฑาสีดำออกไป จากนั้นบอลแสงสีดำก็พุ่งเข้าหาอู่หยาทันที ในเวลาเดียวกัน เงาสีดำที่ยื่นออกมาจากเท้าของเธอค่อยๆ ยืดขยายไปทางโจวเหว่ยชิงช้าๆ

ด้านโจวเหว่ยชิงเองก็ลงมือในเวลาเดียวกันกับเจี่ยงเฟย ธนูราชันย์ในมือของเขากระพริบวูบไหวขณะที่ลูกศรพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันมาก และเกือบจะเหมือนกับว่าเขาเพิ่งยกธนูราชันย์ขึ้นมาขณะที่ลูกศรทะยานออกไปแล้ว

สำหรับอู๋เจิ้งหยาง เมื่อเขาเห็นโจวเหว่ยชิงเรียกธนูราชันย์ออกมา เขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการเรียกเกราะแสงออกมาป้องกัน แสงสีทองสุกใสค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา ทั้งยังปกคลุมเจี่ยงเฟยเอาไว้ด้วย แม้ว่ามันจะโปร่งใสและดูไม่มั่นคง แต่ก็อย่าได้ประเมินพลังของมันต่ำเกินไป เกราะประกายแสงนี้เป็นทักษะระดับ 6 ดาว และในบรรดาทักษะกักเก็บ มันเป็นถึงหนึ่งในทักษะป้องกันชั้นยอดเลยทีเดียว เนื่องจากเจี่ยงเฟยเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทโจมตีขั้นสุดยอด ดังนั้นเพื่อที่จะประสานงานกับเธอได้ดีขึ้น เพื่อนร่วมกลุ่มของเธอจึงต้องมีพลังป้องกันที่ยอดเยี่ยม

อย่างไรก็ตาม ลูกศรดอกแรกของโจวเหว่ยชิงกลับไม่ได้ยิงใส่คู่ต่อสู้ทั้ง 2 แต่พุ่งเข้าหาบอลแสงสีดำที่เจี่ยงเฟยยิงไปทางอู่หยาต่างหาก เกิดแรงระเบิดครั้งใหญ่ที่ทำให้อากาศสั่นสะเทือน จากนั้นทั้งบอลสีดำและลูกศรก็ระเหยหายไปพร้อมกัน

เจี่ยงเฟยชะงักไปเล็กน้อยในขณะที่คิ้วของโจวเหว่ยชิงก็โค้งขึ้นเช่นกัน แน่นอนว่าเจี่ยงเฟยกำลังรู้สึกประหลาดใจที่โจวเหว่ยชิงผู้มีมณี 3 ชุดสามารถทำลายการโจมตีที่ทรงพลังของเธอได้ด้วยลูกศรเพียงดอกเดียว

เห็นได้ชัดว่าลูกศรของโจวเหว่ยชิงไม่ใช่ลูกศรธรรมดาเพราะมันได้บรรจุทักษะสายฟ้าเขย่าสวรรค์ของเขาเอาไว้ด้วย ทักษะนี้มีความสามารถพิเศษในการขัดขวางหรือทำลายทักษะอื่นๆ ดังนั้นเมื่อรวมกับพลังระเบิดทำลายล้างของธนูราชันย์ มันจึงหักล้างการโจมตีของเธอมาได้อย่างฉิวเฉียด ทว่าโจวเหว่ยชิงก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าลูกศรของเขาสลายไปทันทีที่สัมผัสกับบอลแสงสีดำ หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าทักษะในลูกศรดอกนั้นมีผลก่อนพลังของบอลแสงสีดำ บางทีมันอาจจะถูกบอลแสงสีดำนั้นกลืนกินเข้าไปแล้ว

มันคือความแตกต่างระหว่างระดับพลังของทั้งคู่นั่นเอง

ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงจะอัจฉริยะเพียงใด ไม่ว่าเขาจะมีทักษะที่ทรงพลังหรือระดับดาวสูงแค่ไหน ตอนนี้เขาก็ยังมีมณีเพียง 3 ชุดเท่านั้น ทว่าคู่ต่อสู้ของเขาไม่เพียงแต่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุด แต่ยังเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมืดประเภทโจมตีขั้นสุดยอด! ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากเขาพยายามโจมตีเธอต่อไป แม้จะใช้ค้อนในตำนานของเขา โจว เหว่ยชิงก็ยังไม่อาจเอาชนะพวกเขาได้

ความประหลาดใจของเจียงเฟยเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่เธอจะฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง สายตาของเธอยังคงเย็นชาขณะที่โบกไม้คฑาขึ้นมา คราวนี้บอลแสงสีดำจำนวน 5 ลูกทะยานออกไปที่อู่หยาเหมือนเคย ทว่าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าครั้งก่อนหน้ามาก ในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าจะมีเส้นบางๆ เชื่อมบอลทั้ง 5 ลูกเอาไว้ ทำให้พวกมันถูกยึดเข้าหากันด้วยจุดมุ่งหมายบางอย่าง

ในเวลาเดียวกัน เงาดำที่ยื่นออกมาจากขาของเจี่ยงเฟยก็มาถึงตัวของโจวเหว่ยชิงแล้ว

ในการต่อสู้แบบคู่เช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่าทั้งเจี่ยงเฟยและอู๋เจิ้งหยางกำลังแสดงทักษะการทำงานเป็นกลุ่มและการประสานงานที่น่าทึ่งให้ทุกคนได้ประจักษ์ หนึ่งธาตุแสง หนึ่งธาตุมืด หนึ่งโจมตี หนึ่งป้องกัน นั่นแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี

โจวเหว่ยชิงไม่รู้ว่าเงาสีดำที่เข้ามาใกล้เท้าของเขาคืออะไร แต่เขารู้แน่ชัดว่าเขาไม่ควรประมาท ถึงอย่างไรก็ไม่ควรถูกมันพันธนาการเอาไว้ นั่นอาจเป็นทักษะควบคุมที่ทรงพลังหรือทักษะโจมตีก็ได้

เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ โจวเหว่ยชิงก็แสดงฝีมือการยิงธนูอันน่าทึ่งที่ได้เรียนรู้และฝึกฝนมากจากหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ จู่ๆ ลูกศร 5 ดอกก็ปรากฏขึ้นที่นิ้วของเขาและพวกมันก็ถูกยิงออกไปพร้อมกันด้วยเสียงดังวืด เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียงระเบิด 5 ครั้งก็ดังขึ้นที่อีกด้านหนึ่ง โจวเหว่ยชิงเลือกที่จะทำลายการโจมตีที่เจี่ยงเฟยปล่อยใส่อู่หยาพร้อมๆกับกระโดดขึ้นจากพื้น เพื่อช่วยอีกาแล้ว เขาแทบไม่มีโอกาสจัดการกับปัญหาของตัวเองด้วยซ้ำ

เงาดำที่ไล่ตามมาถึงเท้าของโจวเหว่ยชิงกระโจนตามเขาขึ้นไปทันทีราวกับเงาตามตัว จากนั้นก็พุ่งทะยานเข้าใส่เขาทันที

สำหรับการประลองครั้งที่ 2 เย่เป่าเปาเป็นตัวแทนกลุ่มนักรบเฟยหลี่ในขณะที่ตัวแทนกลุ่มนักรบเหมี่ยวเป็นเด็กที่มีรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่ง เมื่อทั้งคู่ขึ้นไปบนเวที เขาก็เหลือบมองไปที่เย่เป่าเปาอย่างระมัดระวัง ทันทีที่เห็นว่าเย่เป่าเปาไม่เหมือนอู่หยา เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าฉากเมื่อสักครู่นี้ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขา

“กลุ่มนักรบเฟยหลี่ เย่เป่าเปา”

“กลุ่มนักรบเหมี่ยว จู้เฮยซาน”

ผู้ตัดสินตะโกนออกมาทันที “การประลองรอบที่ 2 เริ่มได้!” เนื่องจากการประลองทั้งหมดในวันนี้มีมากถึง 12 ครั้ง ดังนั้นพวกเขาไม่มีเวลาให้โอ้เอ้

เย่เป่าเปาสะบัดข้อมือของเขาออกมา จากนั้นไม้คฑาศาสตรามณียุทธ์ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา สำหรับจู้เฮยซาน เขาพุ่งเข้าหาเย่เป่าเปาทันทีโดยมีกริชศาสตรามณียุทธ์สีดำสนิทอยู่ในมือขวา เขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก ไม่กี่ก้าวก็เข้าถึงตัวเย่เป่าเปาได้แล้ว

มณียุทธ์ของเย่เป่าเปาคือหยกเหลืองที่เป็นประเภทความทนทานและมีไว้ใช้สำหรับป้องกันเป็นหลัก เมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม เขาจึงยกมือซ้ายขึ้นอย่างใจเย็นและโล่ศาสตรามณียุทธ์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาทันที

เมื่อเทียบกับหลินเทียนอ้าวแล้ว โล่ของเขาอ่อนแอและเล็กกว่ามาก มันเป็นเพียงโล่กลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ฉื่อเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ด้านหน้าของโล่กลับมีไพลินที่ส่องประกายแวววาวบรรจุอยู่ในหลุม มันก็คือมณีธาตุของเขานั่นเอง

*ติ๊ง* เสียงของแข็งกระทบกระทั่งกันดังขึ้นแผ่วเบาเมื่อทั้งสองปะทะกันเป็นครั้งแรก บางทีกลุ่มนักรบเหมี่ยวอาจรู้สึกกังวลหลังจากการพ่ายแพ้ไปในครั้งแรก พวกเขาจึงส่งจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 4 ชุดออกมาอีกครั้งในการประลองครั้งที่ 2 ยิ่งไปกว่านั้น มณียุทธ์ของจู้เฮยซานผู้นี้ยังเป็นหยกหินมังกรซึ่งเป็นมณียุทธ์ประเภทความว่องไวอีกด้วย

แม้ว่าการโจมตีครั้งแรกของจู้เฮยซานจะถูกโล่ศาสตรามณียุทธ์ของเย่เป่าเปาสกัดเอาไว้ได้ แต่การโจมตีของเขาก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ในขณะที่เขากำลังพุ่งเข้าพัวพันกับอีกฝ่าย แสงสีเขียวก็พลันส่องสว่างออกมาจากข้อมือซ้ายของเขา จู่ๆ ร่างของเขาก็กลายเป็นสายฟ้าที่เกรี้ยวกราด กระหน่ำโจมตีเย่เป่าเปาจากทุกทิศทาง

กลับมาที่เรือนรับรองของกลุ่มเฟยหลี่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “จ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอด!” แท้จริงแล้วจู้เฮยซานเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอดเช่นเดียวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขามีทั้งราชันทุรมาลินและหยกหินมังกรอยู่ภายในตัว

“ไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้นหรอก” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างใจเย็น “ในบรรดาระดับพลังปราณขั้นล่างๆ จ้าวมณีธาตุน้ำมีพลังควบคุมที่แข็งแกร่งที่สุด โชคของเราค่อนข้างดีจริงๆ”

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงพูดจบ ฉากในสนามรบก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ปั่นป่วนวุ่นวายราวลมพายุของจู้เฮยซาน เย่เป่าเปาก็รู้ดีว่าเขาย่อมไม่อาจหลบหลีกพวกมันพ้น เขาจึงสะบัดไม้เท้าในมือออกไปทันที โล่น้ำแข็งพลันก่อตัวขึ้นมาป้องกันบริเวณด้านหลังและด้านข้างของเขา สำหรับโล่กลมเล็กๆ ที่อยู่ในมือซ้าย เขาก็ยังคงขยับมันอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการโจมตีของจู้เฮยซานจากทางด้านหน้า

เนื่องจากมีมณียุทธ์ประเภทการป้องกัน เย่เป่าเปาจึงมีความเชี่ยวชาญในการโจมตีระยะไกลและการป้องกันระยะใกล้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้เขายังพยายามรับฟังเซียวเอี๋ยนอย่างนอบน้อม เขาจึงได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ อีกมากมาย ทั้งการฝึกควบคุมพลังปราณสวรรค์ การใช้ทักษะกักเก็บ และวิธีการต่อสู้ทั่วไป ทั้งหมดนั้นทำให้พลังโดยรวมของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

จู้เฮยซานแสดงทักษะความเร็วออกมาอย่างเต็มที่โดยใช้ประโยชน์จากทักษะพายุพัดของเขา ร่างกายของเขาจึงดูเหมือนควันสีเขียวที่ลอยวูบวาบไปมาในขณะที่เขาเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ การโจมตีของจู้เฮยซานคล้ายจะไหลลื่นไปได้ทุกทิศทาง อนิจจา การโจมตีของเขาดูเหมือนจะถูกขัดขวางหรือตอบโต้ได้อย่างน่าประหลาดทุกครั้ง เย่เป่าเปาไม่ได้ขยับตัวเร็วนัก แต่การป้องกันของเขากลับมั่นคงด้วยทักษะโล่น้ำแข็งและโล่ศาสตรามณียุทธ์ในมือซ้าย ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถสกัดกั้นการโจมตีระรอกแล้วระรอกเล่าของอีกฝ่ายเอาไว้ได้

โดยธรรมชาติแล้วจู้เฮยซานมักต้องเผชิญปัญหาเดียวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอด จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของพวกเขาคือการขาดพลังโจมตีที่มีประสิทธิภาพ เย่เป่าเปาที่มีมณียุทธ์ประเภทป้องกันจึงสามารถปักหลักป้องกันการโจมตีทั้งหมดของเขาเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้จู้เฮยซานจึงไม่อาจทะลวงเกราะป้องกันของเขาเพื่อสร้างความเสียหายให้อีกฝ่ายได้

ผู้ชมส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าเมื่อทั้งสองต่อสู้และปะทะกันอย่างต่อเนื่อง หมอกน้ำแข็งบางๆ ก็ค่อยๆ ไหลเอื่อยออกมาจากเท้าของเย่เป่าเปา สำหรับคนนอก สิ่งนั้นอาจดูเหมือนหมอกจากโล่น้ำแข็ง แต่จริงๆ แล้วหมอกนี้กำลังกระจายออกไปอย่างช้าๆและแนบติดอยู่กับพื้นตลอดเวลา ดังนั้นในช่วงเวลาที่การต่อสู้ดำเนินต่อไป มันก็กระจายออกไปในรัศมี 10 หลารอบๆ ตัวคนทั้งคู่แล้ว

เมื่อการโจมตีที่บ้าคลั่งของจู้เฮยซานหยุดลงเพียงชั่ววินาทีเพื่อพักฟื้นลมหายใจ หมอกน้ำแข็งก็ผุดขึ้นมาจากพื้นอย่างเงียบๆทันที จู่ๆ จู้เฮยซานก็รู้สึกว่าอุณหภูมิรอบตัวกำลังลดลงฮวบฮาบ ขณะที่เขากำลังคิดจะล่าถอย เขาก็ได้ยินเย่เป่าเปาเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “สนามเยือกแข็ง!”

ในช่วงเวลานั้น หมอกน้ำแข็งก็พวยพุ่งออกมาทันที จู้เฮยซานรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาถูกล้อมรอบไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันเกาะติดอยู่กับร่างกายของเขาพร้อมกับความหนาวเย็นเสียดกระดูก นั่นทำให้ร่างกายของเขา ลึกไปจนถึงเส้นชีพจรกำลังแข็งตัวจับตัวเป็นก้อน

ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีไพ่เหนือกว่ากันแล้ว จู้เฮยซานโบกมือขวาขึ้นมาอย่างไม่ลังเล แสงสีเขียว 3 ดวงพุ่งออกมาจากมือของเขาลอยขึ้นไปในอากาศทันที นี่คือลูกดอก 3 ลูก โดยแต่ละลูกเต็มไปด้วยพลังจากหยกหินมังกรของเขา

ใครจะคิดว่าในบรรดามณียุทธ์ทั้ง 4 ดวงของจู้เฮยซาน กว่า 3 ดวงในนั้นเป็นอาวุธชนิดเดียวกัน และจริงๆ ก็เป็นแค่ลูกดอกปาเป้าเท่านั้น!

ในขณะที่ลูกดอกทั้ง 3 ทะยานขึ้นไปบนฟ้า พวกมันก็พุ่งเข้าหากันกลางอากาศและหลอมรวมเข้าด้วยกันทันที ท่ามกลางประกายแสงสีเขียวเข้มข้น ดูเหมือนว่าพวกมันจะรวมตัวกันกลายเป็นลูกดอกขนาดใหญ่เพียง 1 ดอก ทว่าความเร็วที่บ้าคลั่งของมันก็ไม่ได้ลดลงในขณะที่พุ่งออกไปสะบัดตัวโค้งกลางอากาศกลายเป็นเส้นแสงสีเขียวที่งดงามบนท้องฟ้า พริบตาเดียวก็พุ่งไปที่อกขวาของเย่เป่าเปาทันที

แน่นอนว่าในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอด จู้เฮยซานรู้ดีว่าตัวเองไม่มีพลังโจมตีที่สูงส่งอะไร ทว่าลูกดอกทั้ง 3 ของเขาก็เป็นชุดประสานศาสตรามณียุทธ์เช่นเดียวกับโล่ของหลินเทียนอ้าว ด้วยเหตุนี้มันจึงให้ผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกันด้วย แต่ทว่าในกรณีของเขา ลูกดอกนี้ถูกใช้เพื่อโจมตีและมันก็ทำจากมณีเพียง 3 ดวงเท่านั้น เมื่อรวมกับพื้นฐานความแรงในการโจมตีของเขาที่ไม่ได้สูงมากอยู่ก่อนแล้ว พลังของมันจึงยังอ่อนแอมากหากเทียบกับโล่ของหลินเทียนอ้าว

แต่ถึงกระนั้น นั่นเป็นเพียงการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรการผสานลูกดอกทั้ง 3 เข้าด้วยกันก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถมองข้ามได้อย่างแน่นอนเพราะนั่นสามารถช่วยเพิ่มพลังโจมตีของจู้เฮยซานได้เป็นอย่างดี เมื่อรวมกับการที่มันพุ่งเข้าหาด้วยความเร็วสูง เย่เป่าเปาจึงไม่อาจตอบสนองได้ทันเวลา

ภายในเรือนรับรอง สีหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้แต่เขาก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้แม้ว่าจะต้องการก็ตาม

ทว่าในช่วงเวลาที่กำลังจะเกิดอันตรายร้ายแรง คนที่สงบเยือกเย็นที่สุดกลับเป็นเย่เป่าเปา เพราะก่อนหน้านี้ขณะที่จู้เฮยซานกวาดมือขวามาทางเขา เย่เป่าเปาก็ได้เริ่มเตรียมการรับมือเอาไว้ก่อนแล้วเช่นกัน

เย่เป่าเปาก็รู้ดีว่าหมอกน้ำแข็งที่เขาปล่อยออกมาก่อนหน้านี้พร้อมกับทักษะสนามเยือกแข็งส่งผลกระทบต่อจู้เฮยซานเป็นอย่างมาก อย่างน้อยพวกมันก็ช่วยจำกัดความเร็วของอีกฝ่ายลง แน่นอนว่าจู้เฮยซานเพิ่งจะใช้ทักษะโจมตีใส่เขาก่อนที่ตนเองจะถูกควบคุมเอาไว้ได้อย่างเต็มที่ ความจริงสัญชาตญาณการต่อสู้ของเย่เป่าเปาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นเช่นกัน ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงพยายามบังคับให้คู่ต่อสู้เดินตามหมากที่เขาวางเอาไว้

*สวบ* ลูกดอกที่ผสานร่างเข้าด้วยกันพุ่งเข้าใส่อกขวาของเย่เป่าเปาทันที ทว่าเย่เป่าเปากลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เพราะในช่วงเวลานั้นกลับมีเย่เป่าเปาคนที่ 2 ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีด้วย!

ทักษะสนับสนุนธาตุน้ำระดับ 7 ดาว ทักษะภาพสะท้อน เจ้าของสามารถใช้พลังปราณสวรรค์ธาตุน้ำสร้างภาพลวงตาซึ่งเหมือนกับร่างกายของพวกเขาเองขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันเมื่อใช้ทักษะนี้ ความสามารถของทักษะธาตุน้ำทั้งหมดจะถูกยกระดับขึ้น ระดับมณี 4 ชุดของเย่เป่าเปาในปัจจุบันจะช่วยเพิ่มความสามารถให้ธาตุน้ำของเขาได้เกือบ 2 ใน 10 ส่วน

แม้ว่าเขาจะเตรียมพร้อมและปลดปล่อยทักษะภาพสะท้อนออกไปด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เขาก็ยังทำได้เพียงแค่หลบการโจมตีครั้งใหญ่ของคู่ต่อสู้เท่านั้น แท้จริงแล้วเย่เป่าเปาก็กำลังหวาดกลัวจนเหงื่อแตกเช่นกัน พลังของจู้เฮยซานนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้เสียอีก

ลูกดอกประสานศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 3 พลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดายและถูกส่งกลับไปยังมือของจู้เฮยซานอย่างรวดเร็ว ทว่าหลังจากนี้เย่เป่าเปาย่อมไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายโจมตีเขาได้อีกต่อไป

ด้วยทักษะหมอกน้ำแข็งและทักษะสนามเยือกแข็งที่ได้รับการส่งเสริมโดยทักษะภาพสะท้อน พลังของพวกมันจึงแข็งแกร่งขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากความเร็วของจู้เฮยซานถูกจำกัดและถูกเขาควบคุมเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด จู้เฮยซานจึงรู้สึกราวกับว่าร่างทั้งร่างของเขากำลังถูกแช่แข็งเอาไว้

โล่น้ำแข็งที่ดูเรียบๆ กำลังกดแนบเข้ากับลำตัวและแขนของจู้เฮยซานอย่างแรง ทำให้เขาไม่สามารถปลดปล่อยลูกดอกออกไปได้อีกครั้ง เมื่อเขาพยายามจะถอยกลับ จู่ๆ ก็พบว่าโล่น้ำแข็งอีก 3 ชิ้นกำลังกดทับเขาจากด้านหลัง ขังให้เขาติดอยู่กับที่ ไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย

เมื่อหอกน้ำแข็งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในมือของเย่เป่าเปา น้ำเสียงเย็นชาของผู้หญิงก็คนหนึ่งดังออกมาจากกลุ่มนักรบเหมี่ยว “พวกเราขอยอมรับความพ่ายแพ้”

เย่เป่าเปาไม่ได้โจมตีต่ออีก แม้ว่าการโจมตีด้วยลูกดอกประสานศาสตรามณียุทธ์ของจู้เฮยซานก่อนหน้านี้จะน่าตกใจมาก แต่อีกฝ่ายก็เล็งไปที่หน้าอกด้านขวา ไม่ใช่ที่หัวใจของเขา พวกเขาทั้งคู่ทั้ไม่ได้เกลียดชังอะไรกัน ดังนั้นการโจมตีและทำร้ายคู่ต่อสู้อย่างรุนแรงจึงไม่จำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังถือเป็นเรื่องโง่เขลาด้วยซ้ำ

เย่เป่าเปาสลายหอกน้ำแข็งของเขาและปล่อยจู้เฮยซานออกจาก ‘คุก’ หมอกน้ำแข็งและโล่น้ำแข็งอย่างรวดเร็ว เขาโค้งคำนับน้อยๆ และยิ้มให้จู้เฮยซาน “ครั้งนี้ท่านปล่อยให้ข้าชนะเสียแล้ว”

จู้เฮยซานพูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “อืม ข้าแพ้แล้ว ข้าควรจะปล่อยของที่มีออกไปให้หมดและใช้ชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 3 ชิ้นของข้าตั้งแต่เริ่มต้น บางทีข้าอาจมีโอกาสชนะมากกว่านี้….”

จริงๆ แล้วในแง่ของพลังต่อสู้โดยรวม จู้เฮยซานไม่ได้ด้อยไปกว่าเย่เป่าเปาเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเขาไม่ต้องการเปิดเผยพลังของตัวเองออกมาเร็วเกินไปและเย่เป่าเปาก็แข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ด้วยเหตุนี้อีกฝ่ายจึงคว้าชัยชนะไปได้อย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นการแข่งขันคงจะสูสีมากกว่านี้ และผลลัพธ์ก็คงจะยังไม่แน่นอน

ผู้ตัดสินประกาศผลผู้ชนะว่าเป็นกลุ่มนักรบเฟยหลี่อีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายก็โค้งคำนับให้กันและกันอย่างสุภาพก่อนที่จะเดินลงจากเวที

นั่นเป็นการต่อสู้ที่ค่อนข้างธรรมดา ทุกคนจึงไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก แต่ก่อนที่ผู้ชมจะได้ทันตั้งตัว ร่างขนาดมหึมาของอู่หยาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างน่าตกใจ

แน่นอนว่าเธอกลับมาบนเวทีเพื่อการประลองครั้งที่ 3 การประลองแบบคู่!

เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอีกครั้งขณะอู่หยากระโจนขึ้นไปเหยียบบนเวที โจวเหว่ยชิงยิ้มและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เขายืดเส้นยืดสายก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนเวทีเช่นกัน

“อ้วนน้อย ระวังตัวด้วยนะ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเป็นห่วง ก่อนหน้านี้ลูกดอกประสานศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 3 ชิ้นทำให้เธอตกใจเล็กน้อย อันที่จริงงานประลองมณีสวรรค์นี้เป็นสถานที่ที่รวบรวมคนรุ่นเยาว์ที่มีความสามารถเอาไว้จำนวนมาก เนื่องจากไม่มีใครล่วงรู้ความลับหรือทักษะพิเศษที่คนอื่นมี จึงไม่มีใครสามารถประเมินพลังที่แท้จริงของพวกเขาได้เลย

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง เจ้าก็รู้คติของข้า ปลอดภัยไว้ก่อน!”

เมื่อเห็นว่าอู่หยาขึ้นเวทีเป็นครั้งที่ 2 อู๋เจิ้งหยางก็เดินออกมาอีกครั้งอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกแย่มากกับการพ่ายแพ้ครั้งแรก ดังนั้นเขาจึงต้องการจะกลับไปเผชิญหน้ากับอู่หย่าอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นเขาคงละอายใจที่จะอยู่ในกลุ่มต่อไป

ด้านหลังอู๋เจิ้งหยางมีหญิงสาวคนหนึ่งติดตามมาจากกลุ่มนักรบเหมี่ยว เธอมีอายุราวๆ 25 ปี รูปร่างเล็กและบอบบาง หน้าตาของเธอสูงกว่าค่าเฉลี่ย ทว่ามีสีหน้าเย็นชาขณะที่ตรวจสอบอู่หยาด้วยสายตาระมัดระวัง

อู่หยามองไปที่โจวเหว่ยชิงและถามขึ้นมาเบาๆ “พวกเราจะเอายังไง?”

โจวเหว่ยชิงหุบยิ้มในขณะที่เขาพูดว่า “พวกเราจะเอายังไง? แล้วเจ้าคิดยังไงล่ะ? หาคู่นอนกันดีไหม? พวกเราแยกกันจัดการแต่ละคน เจ้าหนุ่มหน้าหยกนั่นเป็นของเจ้า ส่วนสาวงามคนนั้นเป็นของข้า เช่นนี้เป็นอย่างไร?”

“ก็ได้” อู่หยาพยักหน้าเห็นด้วยทันที

สำหรับการประลองครั้งที่ 2 เย่เป่าเปาเป็นตัวแทนกลุ่มนักรบเฟยหลี่ในขณะที่ตัวแทนกลุ่มนักรบเหมี่ยวเป็นเด็กที่มีรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่ง เมื่อทั้งคู่ขึ้นไปบนเวที เขาก็เหลือบมองไปที่เย่เป่าเปาอย่างระมัดระวัง ทันทีที่เห็นว่าเย่เป่าเปาไม่เหมือนอู่หยา เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าฉากเมื่อสักครู่นี้ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขา

“กลุ่มนักรบเฟยหลี่ เย่เป่าเปา”

“กลุ่มนักรบเหมี่ยว จู้เฮยซาน”

ผู้ตัดสินตะโกนออกมาทันที “การประลองรอบที่ 2 เริ่มได้!” เนื่องจากการประลองทั้งหมดในวันนี้มีมากถึง 12 ครั้ง ดังนั้นพวกเขาไม่มีเวลาให้โอ้เอ้

เย่เป่าเปาสะบัดข้อมือของเขาออกมา จากนั้นไม้คฑาศาสตรามณียุทธ์ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา สำหรับจู้เฮยซาน เขาพุ่งเข้าหาเย่เป่าเปาทันทีโดยมีกริชศาสตรามณียุทธ์สีดำสนิทอยู่ในมือขวา เขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก ไม่กี่ก้าวก็เข้าถึงตัวเย่เป่าเปาได้แล้ว

มณียุทธ์ของเย่เป่าเปาคือหยกเหลืองที่เป็นประเภทความทนทานและมีไว้ใช้สำหรับป้องกันเป็นหลัก เมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม เขาจึงยกมือซ้ายขึ้นอย่างใจเย็นและโล่ศาสตรามณียุทธ์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาทันที

เมื่อเทียบกับหลินเทียนอ้าวแล้ว โล่ของเขาอ่อนแอและเล็กกว่ามาก มันเป็นเพียงโล่กลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ฉื่อเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ด้านหน้าของโล่กลับมีไพลินที่ส่องประกายแวววาวบรรจุอยู่ในหลุม มันก็คือมณีธาตุของเขานั่นเอง

*ติ๊ง* เสียงของแข็งกระทบกระทั่งกันดังขึ้นแผ่วเบาเมื่อทั้งสองปะทะกันเป็นครั้งแรก บางทีกลุ่มนักรบเหมี่ยวอาจรู้สึกกังวลหลังจากการพ่ายแพ้ไปในครั้งแรก พวกเขาจึงส่งจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 4 ชุดออกมาอีกครั้งในการประลองครั้งที่ 2 ยิ่งไปกว่านั้น มณียุทธ์ของจู้เฮยซานผู้นี้ยังเป็นหยกหินมังกรซึ่งเป็นมณียุทธ์ประเภทความว่องไวอีกด้วย

แม้ว่าการโจมตีครั้งแรกของจู้เฮยซานจะถูกโล่ศาสตรามณียุทธ์ของเย่เป่าเปาสกัดเอาไว้ได้ แต่การโจมตีของเขาก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ในขณะที่เขากำลังพุ่งเข้าพัวพันกับอีกฝ่าย แสงสีเขียวก็พลันส่องสว่างออกมาจากข้อมือซ้ายของเขา จู่ๆ ร่างของเขาก็กลายเป็นสายฟ้าที่เกรี้ยวกราด กระหน่ำโจมตีเย่เป่าเปาจากทุกทิศทาง

กลับมาที่เรือนรับรองของกลุ่มเฟยหลี่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “จ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอด!” แท้จริงแล้วจู้เฮยซานเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอดเช่นเดียวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขามีทั้งราชันทุรมาลินและหยกหินมังกรอยู่ภายในตัว

“ไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้นหรอก” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างใจเย็น “ในบรรดาระดับพลังปราณขั้นล่างๆ จ้าวมณีธาตุน้ำมีพลังควบคุมที่แข็งแกร่งที่สุด โชคของเราค่อนข้างดีจริงๆ”

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงพูดจบ ฉากในสนามรบก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ปั่นป่วนวุ่นวายราวลมพายุของจู้เฮยซาน เย่เป่าเปาก็รู้ดีว่าเขาย่อมไม่อาจหลบหลีกพวกมันพ้น เขาจึงสะบัดไม้เท้าในมือออกไปทันที โล่น้ำแข็งพลันก่อตัวขึ้นมาป้องกันบริเวณด้านหลังและด้านข้างของเขา สำหรับโล่กลมเล็กๆ ที่อยู่ในมือซ้าย เขาก็ยังคงขยับมันอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการโจมตีของจู้เฮยซานจากทางด้านหน้า

เนื่องจากมีมณียุทธ์ประเภทการป้องกัน เย่เป่าเปาจึงมีความเชี่ยวชาญในการโจมตีระยะไกลและการป้องกันระยะใกล้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้เขายังพยายามรับฟังเซียวเอี๋ยนอย่างนอบน้อม เขาจึงได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ อีกมากมาย ทั้งการฝึกควบคุมพลังปราณสวรรค์ การใช้ทักษะกักเก็บ และวิธีการต่อสู้ทั่วไป ทั้งหมดนั้นทำให้พลังโดยรวมของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

จู้เฮยซานแสดงทักษะความเร็วออกมาอย่างเต็มที่โดยใช้ประโยชน์จากทักษะพายุพัดของเขา ร่างกายของเขาจึงดูเหมือนควันสีเขียวที่ลอยวูบวาบไปมาในขณะที่เขาเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ การโจมตีของจู้เฮยซานคล้ายจะไหลลื่นไปได้ทุกทิศทาง อนิจจา การโจมตีของเขาดูเหมือนจะถูกขัดขวางหรือตอบโต้ได้อย่างน่าประหลาดทุกครั้ง เย่เป่าเปาไม่ได้ขยับตัวเร็วนัก แต่การป้องกันของเขากลับมั่นคงด้วยทักษะโล่น้ำแข็งและโล่ศาสตรามณียุทธ์ในมือซ้าย ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถสกัดกั้นการโจมตีระรอกแล้วระรอกเล่าของอีกฝ่ายเอาไว้ได้

โดยธรรมชาติแล้วจู้เฮยซานมักต้องเผชิญปัญหาเดียวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอด จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของพวกเขาคือการขาดพลังโจมตีที่มีประสิทธิภาพ เย่เป่าเปาที่มีมณียุทธ์ประเภทป้องกันจึงสามารถปักหลักป้องกันการโจมตีทั้งหมดของเขาเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้จู้เฮยซานจึงไม่อาจทะลวงเกราะป้องกันของเขาเพื่อสร้างความเสียหายให้อีกฝ่ายได้

ผู้ชมส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าเมื่อทั้งสองต่อสู้และปะทะกันอย่างต่อเนื่อง หมอกน้ำแข็งบางๆ ก็ค่อยๆ ไหลเอื่อยออกมาจากเท้าของเย่เป่าเปา สำหรับคนนอก สิ่งนั้นอาจดูเหมือนหมอกจากโล่น้ำแข็ง แต่จริงๆ แล้วหมอกนี้กำลังกระจายออกไปอย่างช้าๆและแนบติดอยู่กับพื้นตลอดเวลา ดังนั้นในช่วงเวลาที่การต่อสู้ดำเนินต่อไป มันก็กระจายออกไปในรัศมี 10 หลารอบๆ ตัวคนทั้งคู่แล้ว

เมื่อการโจมตีที่บ้าคลั่งของจู้เฮยซานหยุดลงเพียงชั่ววินาทีเพื่อพักฟื้นลมหายใจ หมอกน้ำแข็งก็ผุดขึ้นมาจากพื้นอย่างเงียบๆทันที จู่ๆ จู้เฮยซานก็รู้สึกว่าอุณหภูมิรอบตัวกำลังลดลงฮวบฮาบ ขณะที่เขากำลังคิดจะล่าถอย เขาก็ได้ยินเย่เป่าเปาเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “สนามเยือกแข็ง!”

ในช่วงเวลานั้น หมอกน้ำแข็งก็พวยพุ่งออกมาทันที จู้เฮยซานรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาถูกล้อมรอบไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันเกาะติดอยู่กับร่างกายของเขาพร้อมกับความหนาวเย็นเสียดกระดูก นั่นทำให้ร่างกายของเขา ลึกไปจนถึงเส้นชีพจรกำลังแข็งตัวจับตัวเป็นก้อน

ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีไพ่เหนือกว่ากันแล้ว จู้เฮยซานโบกมือขวาขึ้นมาอย่างไม่ลังเล แสงสีเขียว 3 ดวงพุ่งออกมาจากมือของเขาลอยขึ้นไปในอากาศทันที นี่คือลูกดอก 3 ลูก โดยแต่ละลูกเต็มไปด้วยพลังจากหยกหินมังกรของเขา

ใครจะคิดว่าในบรรดามณียุทธ์ทั้ง 4 ดวงของจู้เฮยซาน กว่า 3 ดวงในนั้นเป็นอาวุธชนิดเดียวกัน และจริงๆ ก็เป็นแค่ลูกดอกปาเป้าเท่านั้น!

ในขณะที่ลูกดอกทั้ง 3 ทะยานขึ้นไปบนฟ้า พวกมันก็พุ่งเข้าหากันกลางอากาศและหลอมรวมเข้าด้วยกันทันที ท่ามกลางประกายแสงสีเขียวเข้มข้น ดูเหมือนว่าพวกมันจะรวมตัวกันกลายเป็นลูกดอกขนาดใหญ่เพียง 1 ดอก ทว่าความเร็วที่บ้าคลั่งของมันก็ไม่ได้ลดลงในขณะที่พุ่งออกไปสะบัดตัวโค้งกลางอากาศกลายเป็นเส้นแสงสีเขียวที่งดงามบนท้องฟ้า พริบตาเดียวก็พุ่งไปที่อกขวาของเย่เป่าเปาทันที

แน่นอนว่าในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอด จู้เฮยซานรู้ดีว่าตัวเองไม่มีพลังโจมตีที่สูงส่งอะไร ทว่าลูกดอกทั้ง 3 ของเขาก็เป็นชุดประสานศาสตรามณียุทธ์เช่นเดียวกับโล่ของหลินเทียนอ้าว ด้วยเหตุนี้มันจึงให้ผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกันด้วย แต่ทว่าในกรณีของเขา ลูกดอกนี้ถูกใช้เพื่อโจมตีและมันก็ทำจากมณีเพียง 3 ดวงเท่านั้น เมื่อรวมกับพื้นฐานความแรงในการโจมตีของเขาที่ไม่ได้สูงมากอยู่ก่อนแล้ว พลังของมันจึงยังอ่อนแอมากหากเทียบกับโล่ของหลินเทียนอ้าว

แต่ถึงกระนั้น นั่นเป็นเพียงการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรการผสานลูกดอกทั้ง 3 เข้าด้วยกันก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถมองข้ามได้อย่างแน่นอนเพราะนั่นสามารถช่วยเพิ่มพลังโจมตีของจู้เฮยซานได้เป็นอย่างดี เมื่อรวมกับการที่มันพุ่งเข้าหาด้วยความเร็วสูง เย่เป่าเปาจึงไม่อาจตอบสนองได้ทันเวลา

ภายในเรือนรับรอง สีหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้แต่เขาก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้แม้ว่าจะต้องการก็ตาม

ทว่าในช่วงเวลาที่กำลังจะเกิดอันตรายร้ายแรง คนที่สงบเยือกเย็นที่สุดกลับเป็นเย่เป่าเปา เพราะก่อนหน้านี้ขณะที่จู้เฮยซานกวาดมือขวามาทางเขา เย่เป่าเปาก็ได้เริ่มเตรียมการรับมือเอาไว้ก่อนแล้วเช่นกัน

เย่เป่าเปาก็รู้ดีว่าหมอกน้ำแข็งที่เขาปล่อยออกมาก่อนหน้านี้พร้อมกับทักษะสนามเยือกแข็งส่งผลกระทบต่อจู้เฮยซานเป็นอย่างมาก อย่างน้อยพวกมันก็ช่วยจำกัดความเร็วของอีกฝ่ายลง แน่นอนว่าจู้เฮยซานเพิ่งจะใช้ทักษะโจมตีใส่เขาก่อนที่ตนเองจะถูกควบคุมเอาไว้ได้อย่างเต็มที่ ความจริงสัญชาตญาณการต่อสู้ของเย่เป่าเปาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นเช่นกัน ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงพยายามบังคับให้คู่ต่อสู้เดินตามหมากที่เขาวางเอาไว้

*สวบ* ลูกดอกที่ผสานร่างเข้าด้วยกันพุ่งเข้าใส่อกขวาของเย่เป่าเปาทันที ทว่าเย่เป่าเปากลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เพราะในช่วงเวลานั้นกลับมีเย่เป่าเปาคนที่ 2 ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีด้วย!

ทักษะสนับสนุนธาตุน้ำระดับ 7 ดาว ทักษะภาพสะท้อน เจ้าของสามารถใช้พลังปราณสวรรค์ธาตุน้ำสร้างภาพลวงตาซึ่งเหมือนกับร่างกายของพวกเขาเองขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันเมื่อใช้ทักษะนี้ ความสามารถของทักษะธาตุน้ำทั้งหมดจะถูกยกระดับขึ้น ระดับมณี 4 ชุดของเย่เป่าเปาในปัจจุบันจะช่วยเพิ่มความสามารถให้ธาตุน้ำของเขาได้เกือบ 2 ใน 10 ส่วน

แม้ว่าเขาจะเตรียมพร้อมและปลดปล่อยทักษะภาพสะท้อนออกไปด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เขาก็ยังทำได้เพียงแค่หลบการโจมตีครั้งใหญ่ของคู่ต่อสู้เท่านั้น แท้จริงแล้วเย่เป่าเปาก็กำลังหวาดกลัวจนเหงื่อแตกเช่นกัน พลังของจู้เฮยซานนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้เสียอีก

ลูกดอกประสานศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 3 พลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดายและถูกส่งกลับไปยังมือของจู้เฮยซานอย่างรวดเร็ว ทว่าหลังจากนี้เย่เป่าเปาย่อมไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายโจมตีเขาได้อีกต่อไป

ด้วยทักษะหมอกน้ำแข็งและทักษะสนามเยือกแข็งที่ได้รับการส่งเสริมโดยทักษะภาพสะท้อน พลังของพวกมันจึงแข็งแกร่งขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากความเร็วของจู้เฮยซานถูกจำกัดและถูกเขาควบคุมเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด จู้เฮยซานจึงรู้สึกราวกับว่าร่างทั้งร่างของเขากำลังถูกแช่แข็งเอาไว้

โล่น้ำแข็งที่ดูเรียบๆ กำลังกดแนบเข้ากับลำตัวและแขนของจู้เฮยซานอย่างแรง ทำให้เขาไม่สามารถปลดปล่อยลูกดอกออกไปได้อีกครั้ง เมื่อเขาพยายามจะถอยกลับ จู่ๆ ก็พบว่าโล่น้ำแข็งอีก 3 ชิ้นกำลังกดทับเขาจากด้านหลัง ขังให้เขาติดอยู่กับที่ ไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย

เมื่อหอกน้ำแข็งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในมือของเย่เป่าเปา น้ำเสียงเย็นชาของผู้หญิงก็คนหนึ่งดังออกมาจากกลุ่มนักรบเหมี่ยว “พวกเราขอยอมรับความพ่ายแพ้”

เย่เป่าเปาไม่ได้โจมตีต่ออีก แม้ว่าการโจมตีด้วยลูกดอกประสานศาสตรามณียุทธ์ของจู้เฮยซานก่อนหน้านี้จะน่าตกใจมาก แต่อีกฝ่ายก็เล็งไปที่หน้าอกด้านขวา ไม่ใช่ที่หัวใจของเขา พวกเขาทั้งคู่ทั้ไม่ได้เกลียดชังอะไรกัน ดังนั้นการโจมตีและทำร้ายคู่ต่อสู้อย่างรุนแรงจึงไม่จำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังถือเป็นเรื่องโง่เขลาด้วยซ้ำ

เย่เป่าเปาสลายหอกน้ำแข็งของเขาและปล่อยจู้เฮยซานออกจาก ‘คุก’ หมอกน้ำแข็งและโล่น้ำแข็งอย่างรวดเร็ว เขาโค้งคำนับน้อยๆ และยิ้มให้จู้เฮยซาน “ครั้งนี้ท่านปล่อยให้ข้าชนะเสียแล้ว”

จู้เฮยซานพูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “อืม ข้าแพ้แล้ว ข้าควรจะปล่อยของที่มีออกไปให้หมดและใช้ชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 3 ชิ้นของข้าตั้งแต่เริ่มต้น บางทีข้าอาจมีโอกาสชนะมากกว่านี้….”

จริงๆ แล้วในแง่ของพลังต่อสู้โดยรวม จู้เฮยซานไม่ได้ด้อยไปกว่าเย่เป่าเปาเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเขาไม่ต้องการเปิดเผยพลังของตัวเองออกมาเร็วเกินไปและเย่เป่าเปาก็แข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ด้วยเหตุนี้อีกฝ่ายจึงคว้าชัยชนะไปได้อย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นการแข่งขันคงจะสูสีมากกว่านี้ และผลลัพธ์ก็คงจะยังไม่แน่นอน

ผู้ตัดสินประกาศผลผู้ชนะว่าเป็นกลุ่มนักรบเฟยหลี่อีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายก็โค้งคำนับให้กันและกันอย่างสุภาพก่อนที่จะเดินลงจากเวที

นั่นเป็นการต่อสู้ที่ค่อนข้างธรรมดา ทุกคนจึงไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก แต่ก่อนที่ผู้ชมจะได้ทันตั้งตัว ร่างขนาดมหึมาของอู่หยาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างน่าตกใจ

แน่นอนว่าเธอกลับมาบนเวทีเพื่อการประลองครั้งที่ 3 การประลองแบบคู่!

เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอีกครั้งขณะอู่หยากระโจนขึ้นไปเหยียบบนเวที โจวเหว่ยชิงยิ้มและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เขายืดเส้นยืดสายก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนเวทีเช่นกัน

“อ้วนน้อย ระวังตัวด้วยนะ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเป็นห่วง ก่อนหน้านี้ลูกดอกประสานศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 3 ชิ้นทำให้เธอตกใจเล็กน้อย อันที่จริงงานประลองมณีสวรรค์นี้เป็นสถานที่ที่รวบรวมคนรุ่นเยาว์ที่มีความสามารถเอาไว้จำนวนมาก เนื่องจากไม่มีใครล่วงรู้ความลับหรือทักษะพิเศษที่คนอื่นมี จึงไม่มีใครสามารถประเมินพลังที่แท้จริงของพวกเขาได้เลย

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง เจ้าก็รู้คติของข้า ปลอดภัยไว้ก่อน!”

เมื่อเห็นว่าอู่หยาขึ้นเวทีเป็นครั้งที่ 2 อู๋เจิ้งหยางก็เดินออกมาอีกครั้งอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกแย่มากกับการพ่ายแพ้ครั้งแรก ดังนั้นเขาจึงต้องการจะกลับไปเผชิญหน้ากับอู่หย่าอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นเขาคงละอายใจที่จะอยู่ในกลุ่มต่อไป

ด้านหลังอู๋เจิ้งหยางมีหญิงสาวคนหนึ่งติดตามมาจากกลุ่มนักรบเหมี่ยว เธอมีอายุราวๆ 25 ปี รูปร่างเล็กและบอบบาง หน้าตาของเธอสูงกว่าค่าเฉลี่ย ทว่ามีสีหน้าเย็นชาขณะที่ตรวจสอบอู่หยาด้วยสายตาระมัดระวัง

อู่หยามองไปที่โจวเหว่ยชิงและถามขึ้นมาเบาๆ “พวกเราจะเอายังไง?”

โจวเหว่ยชิงหุบยิ้มในขณะที่เขาพูดว่า “พวกเราจะเอายังไง? แล้วเจ้าคิดยังไงล่ะ? หาคู่นอนกันดีไหม? พวกเราแยกกันจัดการแต่ละคน เจ้าหนุ่มหน้าหยกนั่นเป็นของเจ้า ส่วนสาวงามคนนั้นเป็นของข้า เช่นนี้เป็นอย่างไร?”

“ก็ได้” อู่หยาพยักหน้าเห็นด้วยทันที

อันที่จริงเสียงระเบิดนั้นคือเสียงขณะอู่หยาร่อนลงบนเวที ด้วยน้ำหนัก 600 จิน กระดูก และกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งของเธอ การกระโดดลงมาจากที่สูงขนาดนั้นจะไม่ทำให้เกิดแรงปะทะที่รุนแรงได้อย่างไร? คนอื่นๆ มักจะกระโดดขึ้นไปอย่างว่องไวและเงียบเชียบ แต่เธอกลับตัดสินใจทำในทางตรงกันข้าม แน่นอนว่านั่นทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ในช่วงเวลานั้นเธอจึงสามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนมาไว้ที่ตัวเอง รวมถึงกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 และแขกระดับสูงจำนวนมากในคราเดียว

เครื่องแบบของกลุ่มนักรบเฟยหลี่เป็นสีเขียวเข้มและปักด้วยด้ายสีทอง เครื่องแบบของพวกเขาแตกต่างจากอาณาจักรจ้งเทียนเพราะพวกเขาปักตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรเฟยหลี่ซึ่งก็คือดาบไขว้เอาไว้ที่อกด้านซ้าย

ขณะนั้นแม้แต่ผู้ตัดสินบนเวทีก็ยังตกใจเพราะแรงกระโดดของอู่หยา และเมื่อมองไปยังรอยแยกเล็กๆ บนพื้นเวทีที่ทำจากเพชรผสมไทเทเนียม ริมฝีปากของเขาก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย

ในขณะนั้น กลุ่มนักรบอาณาจักรเหมี่ยวก็ขึ้นเวทีมาแล้วเช่นกัน

เขาเป็นเด็กหนุ่มตัวสูงที่มีรูปร่างสมส่วน ในตอนแรกเขาขยับตัวออกไปในเวลาเดียวกันกับอู่หยา แต่เมื่ออู่หยากระโดดลงมาถึงพื้น เขาก็ต้องตกใจจนเสียการทรงตัว เมื่อมองไปยังเด็กผู้หญิงตรงหน้าเขาซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตและมีกล้ามเนื้อบึกบึน สมาชิกรุ่นเยาว์จากอาณาจักรเหมี่ยวคนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าแปลกๆ ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปเป็นระแวดระวังเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง

โจวเหว่ยชิงยังคงนั่งอยู่อย่างผ่อนคลายในเรือนพักรับรองด้วยสีหน้าพึงพอใจ คล้ายนักคิดอัจฉริยะที่วางแผนทุกอย่างมาเป็นอย่างดีและทุกๆ อย่างก็อยู่ในมือของเขาเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าเขามีเหตุผลในการวางลำดับผู้เข้าประลองเช่นนี้; ไม่ว่ากลุ่มใดก็ตาม ทุกคนมักจะวางเดิมพันในการต่อสู้ครั้งแรกไว้สูงมาก เพราะท้ายที่สุดแล้วการเริ่มต้นที่ดีก็เป็นลางดีเช่นกัน มันสามารถปลุกขวัญกำลังใจให้กับคนในกลุ่มและเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มมาก ด้วยเหตุนี้สมาชิกคนแรกจึงเป็นหนึ่งในสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโจวเหว่ยชิงจึงมอบหมายให้อู่หยาออกไปประลองเป็นคนแรก เขามั่น ใจในความสามารถของอู่หยามาก ไม่ว่าในแง่ของร่างกาย ความแข็งแกร่ง หรือทักษะการต่อสู้ เธอจะสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกตะลึงได้อย่างแน่นอน

โดยปกติสมาชิกคนที่ 2 ที่ถูกส่งออกไปมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอกว่าคนแรกเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็มีการต่อสู้ทั้งหมดถึง 5 ครั้ง สำหรับการส่งเย่เป่าเปาออกไปเป็นสมาชิกคนที่ 2 นั้น โจวเหว่ยชิงคาดว่าจะมีโอกาสชนะอย่างน้อย 7 ใน 10 ส่วน เมื่อรวมกับความจริงที่ว่าเขามั่นใจในการประลองครั้งที่ 3 เป็นอย่างยิ่งเนื่องจากทั้งเขาและอู่หยาออกไปต่อสู้ ดังนั้นแม้ว่าเย่เป่าเปาจะแพ้การประลองครั้งที่ 2 เขาก็จะลงแข่งในรอบที่ 4 เพื่อจบเรื่องทั้งหมดเอง

บนเวทีประลอง ผู้ตัดสินกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ทั้งสองฝ่ายแนะนำตัวเอง”

อู่หยาพูดด้วยท่าทีสบายๆ “กลุ่มนักรบเฟยหลี่ อู่หยา”

สมาชิกฝ่ายตรงข้ามกล่าวอย่างเคร่งขรึม “กลุ่มนักรบเหมี่ยว อู๋เจิ้งหยาง”

ผู้ตัดสินกล่าวต่อว่า “กฎนั้นง่ายมาก เจ้าทั้งคู่สามารถโจมตีได้ตามต้องการโดยไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับอาวุธ ส่วนปรมาจารย์อสูรไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บ หากมีคนขอยอมแพ้ จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้โจมตีต่อ เข้าใจหรือไม่?”

เมื่อทั้งสองฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วย ผู้ตัดสินจึงให้สัญญาณเริ่มต้นการประลองอย่างรวดเร็ว ในที่สุดการต่อสู้ครั้งแรกของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

อู๋เจิ้งหยาง สมาชิกกลุ่มนักรบเหมี่ยวตะโกนออกมาเสียงดังลั่นทันที เขาปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมา ทุกคนจึงสามารถเห็นหยกน้ำแข็งจำนวน 4 ก้อนปรากฏอยู่รอบๆ ข้อมือขวาของเขาได้อย่างชัดเจน

เมื่อมองไปที่มณียุทธ์ของเขา ปากของโจวเหว่ยชิงก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเปี่ยมสุข สำหรับอู่หยา ศัตรูที่รับมือยากที่สุดคือจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวที่มีความสามารถในการรุกสูงเช่นเดียวกับสี่น้อย แต่เนื่องจากอู๋เจิ้งหยางผู้นี้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่ง ดังนั้นเขาจะแข่งความแข็งแกร่งกับอู่หยาได้อย่างไร? ถึงอย่างไรเจ้านั่นก็ไม่ใช่โจวเหว่ยชิงเสียหน่อย!

อู่หยาปลดปล่อยมณีสวรรค์ของตัวเองออกมาเช่นกัน เมื่อหยกน้ำแข็ง 3 ดวงและทับทิมแดงดารา 3 ดวงปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเธอ เสียงร้องของผู้ชมก็ดังขึ้นเซ็งแซ่ด้วยความประหลาดใจ

ร่างของอู่หยาสูงใหญ่เกินไป และถึงแม้ว่าชุดของเธอจะถูกตัดเย็บขึ้นเป็นพิเศษ แต่มันก็ยังไม่อาจต้านทานจิตวิญญาณการต่อสู้ของหญิงสาวคนนี้ได้ ขณะที่เธอพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อเตรียมต่อสู้ มณีธาตุของเธอก็โผล่ออกมาให้ทุกคนได้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ

ในครั้งแรก เมื่อทุกคนได้เห็นว่าอาณาจักรเฟยหลี่ส่งสมาชิกมาเพียง 4 คน พวกเขาก็คาดเอาไว้แล้วว่าอาณาจักรเฟยหลี่ต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแน่ แต่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าสมาชิกคนแรกที่ออกมาต่อสู้จะเป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุด เพราะไม่ว่าเธอจะดูกล้าหาญหรือแข็งแกร่งเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วในโลกจ้าวมณีสวรรค์ ขนาดของร่างกายก็ไม่ได้ส่งผลต่อชัยชนะอยู่ดี

เมื่อได้เห็นมณี 3 ชุดของอู่หยา อู๋เจิ้งหยางก็ชะงักไปทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งมณีธาตุของเธอที่ไม่ได้มีความพิเศษอะไร เห็นด้ชัดว่าเป็นเพียงธาตุไฟธรรมดาๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “เจ้ามาที่นี่เพื่อหยอกล้อผู้อื่นหรือไง!”

อู่หยายิ้มและพูดว่า “หึๆ หากข้ามาเพื่อกำราบพวกเจ้าล่ะ?” เมื่อเธอพูดจบ เธอก็ก้าวไปข้างหน้าและพุ่งเข้าหาอู๋เจิ้งหยางทันที

อู๋เจิ้งหยางส่งเสียงหึในลำคอ มณียุทธ์ทั้ง 4 ดวงรอบข้อมือขวาของเขาสว่างวาบขึ้นทันที แม้ว่าอู่หยาจะมีมณีเพียง 3 ชุด แต่อู๋เจิ้งหยางก็ไม่ได้ประมาท กว่าเขาจะมาเป็นตัวแทนของกลุ่มนักรบเหมี่ยวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกส่งออกมาคนแรก เขาย่อมต้องมีความพิเศษกว่าคนอื่นแน่นอน ไม่ว่าจะในแง่ของระดับพลัง ประสบการณ์การต่อสู้ หรือความเฉลียวฉลาด เขาล้วนแล้วแต่โดดเด่นทั้งหมด

ดาบหนักที่กว้างครึ่งฉื่อและยาวเกือบ 1.5 เมตรปรากฏขึ้นในมือของเขาทันที ในเวลาเดียวกัน โล่อีกชิ้นก็ปรากฏขึ้นในมืออีกข้างพร้อมกับเกราะไหล่และเกราะอก ประกายแสงสีเงินส่องแสงวูบวาบพร้อมกับไอหมอกน้ำแข็งที่ลอยออกมาจากศาสตรามณียุทธ์ 4 ชิ้นของเขา เห็นได้ชัดว่าอย่างน้อย 3 ชิ้นนั้นก็มาจากศาสตรามณียุทธ์ชุดเดียวกัน

ทันทีที่ศาสตรามณียุทธ์ของเขาหลอมรวมกับร่างกาย กลิ่นอายและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของอู๋เจิ้งหยางก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เขาก้าวไปข้างหน้า เหวี่ยงดาบหนักออกไปด้วยแขนข้างเดียวโดยมีจุดมุ่งหมายที่ศีรษะของอู่หยา

เมื่อเผชิญหน้ากับอู่หยาที่ไม่ได้เรียกศาสตรามณียุทธ์ออกมาแม้แต่ชิ้นเดียว อู๋เจิ้งหยางก็ไม่ได้รีบร้อนใช้ทักษะกักเก็บของตนเช่นกัน ในกลุ่มนักรบเหมี่ยว เขามีพลังมากที่สุดเป็นอันดับสอง มีเพียงหัวหน้าของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถเอาชนะเขาได้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะต้องออกไปประลองแบบคู่อีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่ควรใช้พลังมากเกินไปโดยไม่จำเป็น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็จะต้องตรวจสอบพลังที่แท้จริงของอู่หยาก่อน

สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ประเภทแข็งแกร่งที่มีมณี 4 ชุดคนหนึ่ง นอกเหนือจากพลังของดาบศาสตรามณียุทธ์แล้ว แรงขณะที่ฟันดาบออกไปก็ค่อนข้างน่าทึ่งมาก เกิดเสียงร้องโหยหวนขณะที่ดาบพุ่งเสียดสีกับอากาศทันที ดูจากความแข็งแกร่งของอู๋เจิ้งหยาง ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากพลังของศาสตรามณียุทธ์ พร้อมกับลีลาการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลทรงพลัง การโจมตีของอู๋เจิ้งหยางจึงอาจกล่าวได้ว่าใกล้สมบูรณ์แบบเต็มที เขายังคงถือโล่ในมือซ้ายไว้เพื่อป้องกันตัวเองในขณะที่โจมตีออกไปด้วย นี่เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการทดสอบพลังที่แท้จริงของใครสักคน นอกจากนี้ ตำแหน่งที่เขาอยู่ยังสามารถปลดปล่อยการโจมตีออกไปได้อย่างต่อเนื่องด้วย เขาจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าตนจะสามารถจบการแข่งขันระหว่างเขากับหญิงสาวผู้มีระดับพลังปราณต่ำกว่าผู้นี้ได้อย่างรวดเร็ว

ความจริงการตัดสินใจและกลยุทธ์ของอู๋เจิ้งหยางนั้นไม่ได้ผิดพลาดอะไร แต่น่าเสียดายที่เขาประเมินอู่หยาต่ำเกินไป เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่น่าจะด่วนตัดสินเธอจากระดับพลังปราณเพียงอย่างเดียว อู่หยาใช่คนธรรมดาๆ เสียที่ ไหน?

เมื่อมองไปยังดาบหนักที่กำลังพุ่งเข้าหาเธอ อู่หยาก็หยุดนิ่งไปทันที ทักษะและความสามารถในการต่อสู้ของอู่ หยายังคงฝังแน่นอยู่ในสายเลือดอย่างแยกไม่ออก และเมื่อเธอยกมือซ้ายขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นเธอก็สามารถใช้มือเปล่าคว้าดาบหนักเอาไว้ได้ทันที ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอถึงกับใช้มือเปล่าคว้าเข้าที่ปลายมีด!

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร อู๋เจิ้งหยางก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอู่หยาจะคว้าดาบของเขาเอาไว้ได้เช่นนั้น! *กึกก* เสียงหนึ่งดังขึ้นกึกก้องขณะที่เขารู้สึกราวกับว่าดาบหนักของเขาถูกหนีบไว้ด้วยคีมเหล็ก แม้จะเร่งใช้พละกำลังและพลังปราณสวรรค์อย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าดาบจะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย อีกทั้งมือของอู่หยาเองก็ไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน ด้านอู่หยา เธอกำลังมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า มือที่ยังคงจับดาบหนักอยู่ดูผ่อนคลายลงโดยสิ้นเชิง

การเคลื่อนไหวของอู่หยานั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเสมอ หากการกระทำเรียบง่ายสามารถแก้ปัญหาได้ เธอก็จะไม่ใช้วิธีการที่ซับซ้อนเด็ดขาด ขณะที่มือซ้ายของเธอยังคงจับดาบหนักของคู่ต่อสู้ ขาขวาของเธอตวัดเตะออกไปอย่างโหดเหี้ยม แม้ว่าจะมีดาบหนักขนาดใหญ่กั้นขวางอยู่ระหว่างพวกเขา แต่อู่หยาก็สามารถโยกดาบขึ้นหลบ จากนั้นขายาวๆที่ล่ำหนาและทรงพลังของเธอฟาดออกมาเป็นเส้นตรง พุ่งเข้าใส่โล่ของอู๋เจิ้งหยางอย่างแรง

*ปั่ก*!

ขากรรไกรของผู้ชมทุกคนตกลงที่พื้นขณะที่อู๋เจิ้งหยางบินถลาออกไปเหมือนลูกปืนใหญ่เมื่อถูกอู่หยาเตะ ร่างของเขาพร้อมกับศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 4 ชิ้นลอยหวือออกจากเวที บินผ่านเรือนรับรองหลายหลัง ก่อนที่จะพุ่งกระแทกพื้นลานจัตุรัสอย่างแรง

ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้ครั้งแรกระหว่างกลุ่มนักรบเฟยหลี่และกลุ่มนักรบเหมี่ยวจึงสิ้นสุดลงทันที การ “ต่อสู้” ทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น!

ตกตะลึง ทุกคนต่างตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก แม้แต่เหล่าผู้ทรงพลังที่นั่งอยู่บนแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูงก็จ้องมองมาที่เวทีพร้อมกับอ้าปากค้าง เป็นดังคำกล่าวที่ว่า ‘ต่อหน้าความแข็งแกร่งขั้นสุดยอด เล่ห์เหลี่ยมใดๆ ก็ไร้ผล’ และอู่หยาก็แสดงสิ่งนี้ให้ทุกคนได้ประจักษ์อย่างแท้จริง

ขณะที่อู่หยาเตะโล่ของอู๋เจิ้งหยาง เสียงที่ดังตามมาก็ส่งผลให้หัวใจหลายดวงกระตุกแน่นและบีบเกร็ง ราวกับว่าเจ้าของของพวกมันถูกเตะเสียเอง

ร่างของอู๋เจิ้งหยางกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง เขาตกตะลึงจนไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ โล่ศาสตรามณียุทธ์ของเขามีรอยแตกขนาดเล็กหลายจุด และสิ่งนี้ยังเป็นศาสตรามณียุทธ์ชิ้นที่ 4 ของเขาอีกด้วย! อีกฝ่ายต้องมีพละกำลังที่น่าหวาดกลัวขนาดไหนถึงจะทำเช่นนี้ได้! เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่ง!

อู่หยายืนอยู่กลางเวทีอย่างภาคภูมิใจ มือของเธอเท้าเอวขณะที่เอ่ยออกมาอย่างมีเลศนัยว่า “เจ้าหนุ่มหน้าหยกตัวน้อยนั่นลืมกินข้าวมาหรือไร! มาอีก! คนต่อไป!”

ไม่นานผู้ตัดสินก็ฟื้นสติกลับคืนมาได้ เขากระแอมไออย่างสุภาพ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “เกี่ยวกับเรื่องนั้น…ผู้เข้าประลองอู่หยา ทุกคนสามารถต่อสู้ได้ในการประลองแบบเดี่ยวได้ครั้งเดียวเท่านั้น”

อู่หยาชะงักไป จากนั้นก็เกาหัวอย่างเขินอาย “โอ้! ใช่แล้ว ข้าลืมเรื่องนั้นไปซะสนิทเลย งั้นผลการประลองของข้าคือชนะใช่ไหม?”

ผู้ตัดสินทำได้เพียงจ้องมองไปยังอู่หยาอย่างหมดหนทาง ก่อนจะพยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดว่า “การต่อสู้ครั้งแรก กลุ่มนักรบเฟยหลี่ชนะ”

อู่หยายิ้มออกมา เธอคำนับผู้ตัดสินก่อนจะกระโดดลงจากเวที คราวนี้หลายคนหลับตารอขณะที่เธอกระโดดลงข้างล่างพร้อมเสียงแผ่นดินสะเทือน ผู้หญิงคนนี้มีนิสัยแปลกประหลาดจริงๆ!

โจวเหว่ยชิงยังคงนั่งอยู่ในเรือนพักของพวกเขา รอยยิ้มขบขันกำลังแต่งแต้มอยู่บนริมฝีปาก อู่หยารู้วิธีแสดงละครจริงๆ! ในการต่อสู้เมื่อสักครู่ ตอนแรกเธอทำตัวไร้เดียงสาและอ่านออกง่ายมาก เมื่อรวมกับร่างกายที่ใหญ่โตของเธอแล้ว คนอื่นจึงมองว่าเธอเป็น ‘นักกล้ามไร้สมอง’ ได้ไม่ยาก

แน่นอนว่าหากใครคิดเช่นนั้น พวกเขาย่อมต้องคิดผิด สุดท้ายก็จะตกหลุมพรางของเธอโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ขณะที่โจวเหว่ยชิงพนันกับสี่น้อย อู่หยาและเซียวเอี๋ยนก็ไม่ได้เข้าร่วมด้วย ดังนั้นภายใต้หน้ากากซื่อๆ และอ่านง่ายของอู่หยา เธอก็เป็นคนที่เฉลียวฉลาดมากคนหนึ่ง แน่นอนว่าทักษะการแสดงของเธอดีมากพอจะสร้างความประทับใจให้กับโจวเหว่ยชิงเลยทีเดียว

อู๋เจิ้งหยางถูกพาตัวกลับไปที่เรือนพักโดยสมาชิกคนอื่นในกลุ่ม ในที่สุดเมื่อได้หายใจออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมาเป็นเลือด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำทันที นั่นไม่ใช่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บหนัก แต่เป็นเพราะเขารู้สึกทุกข์ทรมานกับการพ่ายแพ้ครั้งนี้มากเกินไป เขายังไม่ทันได้ใช้พลังออกไปเต็มที่ด้วยซ้ำ แต่เขากลับพ่ายแพ้ไปเช่นนี้เสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่ได้ใช้ทักษะกักเก็บแม้แต่อย่างเดียว! นี่มันเรื่องบ้า…

น่าเสียดายที่พ่ายแพ้ก็คือพ่ายแพ้ เมื่อเขาร่วงลงจากเวที นั่นก็นับว่าเขาพ่ายแพ้และไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ไม่นานผู้ตัดสินก็ตะโกนออกมาว่า “การต่อสู้รอบที่ 2 การประลองแบบเดี่ยว ทั้งสองฝ่ายเตรียมตัวให้พร้อม โปรดส่งสมาชิกในกลุ่มของท่านออกมาตามลำดับ”

เย่เป่าเปาลุกขึ้นยืนและจัดชุดของเขาอย่างสง่างาม ในขณะที่เดินขึ้นไปบนเวที เมื่อเทียบกับอู่หยาแล้วเขาดูปกติกว่ามาก

อันที่จริงเสียงระเบิดนั้นคือเสียงขณะอู่หยาร่อนลงบนเวที ด้วยน้ำหนัก 600 จิน กระดูก และกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งของเธอ การกระโดดลงมาจากที่สูงขนาดนั้นจะไม่ทำให้เกิดแรงปะทะที่รุนแรงได้อย่างไร? คนอื่นๆ มักจะกระโดดขึ้นไปอย่างว่องไวและเงียบเชียบ แต่เธอกลับตัดสินใจทำในทางตรงกันข้าม แน่นอนว่านั่นทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ในช่วงเวลานั้นเธอจึงสามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนมาไว้ที่ตัวเอง รวมถึงกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 และแขกระดับสูงจำนวนมากในคราเดียว

เครื่องแบบของกลุ่มนักรบเฟยหลี่เป็นสีเขียวเข้มและปักด้วยด้ายสีทอง เครื่องแบบของพวกเขาแตกต่างจากอาณาจักรจ้งเทียนเพราะพวกเขาปักตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรเฟยหลี่ซึ่งก็คือดาบไขว้เอาไว้ที่อกด้านซ้าย

ขณะนั้นแม้แต่ผู้ตัดสินบนเวทีก็ยังตกใจเพราะแรงกระโดดของอู่หยา และเมื่อมองไปยังรอยแยกเล็กๆ บนพื้นเวทีที่ทำจากเพชรผสมไทเทเนียม ริมฝีปากของเขาก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย

ในขณะนั้น กลุ่มนักรบอาณาจักรเหมี่ยวก็ขึ้นเวทีมาแล้วเช่นกัน

เขาเป็นเด็กหนุ่มตัวสูงที่มีรูปร่างสมส่วน ในตอนแรกเขาขยับตัวออกไปในเวลาเดียวกันกับอู่หยา แต่เมื่ออู่หยากระโดดลงมาถึงพื้น เขาก็ต้องตกใจจนเสียการทรงตัว เมื่อมองไปยังเด็กผู้หญิงตรงหน้าเขาซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตและมีกล้ามเนื้อบึกบึน สมาชิกรุ่นเยาว์จากอาณาจักรเหมี่ยวคนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าแปลกๆ ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปเป็นระแวดระวังเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง

โจวเหว่ยชิงยังคงนั่งอยู่อย่างผ่อนคลายในเรือนพักรับรองด้วยสีหน้าพึงพอใจ คล้ายนักคิดอัจฉริยะที่วางแผนทุกอย่างมาเป็นอย่างดีและทุกๆ อย่างก็อยู่ในมือของเขาเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าเขามีเหตุผลในการวางลำดับผู้เข้าประลองเช่นนี้; ไม่ว่ากลุ่มใดก็ตาม ทุกคนมักจะวางเดิมพันในการต่อสู้ครั้งแรกไว้สูงมาก เพราะท้ายที่สุดแล้วการเริ่มต้นที่ดีก็เป็นลางดีเช่นกัน มันสามารถปลุกขวัญกำลังใจให้กับคนในกลุ่มและเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มมาก ด้วยเหตุนี้สมาชิกคนแรกจึงเป็นหนึ่งในสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโจวเหว่ยชิงจึงมอบหมายให้อู่หยาออกไปประลองเป็นคนแรก เขามั่น ใจในความสามารถของอู่หยามาก ไม่ว่าในแง่ของร่างกาย ความแข็งแกร่ง หรือทักษะการต่อสู้ เธอจะสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกตะลึงได้อย่างแน่นอน

โดยปกติสมาชิกคนที่ 2 ที่ถูกส่งออกไปมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอกว่าคนแรกเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็มีการต่อสู้ทั้งหมดถึง 5 ครั้ง สำหรับการส่งเย่เป่าเปาออกไปเป็นสมาชิกคนที่ 2 นั้น โจวเหว่ยชิงคาดว่าจะมีโอกาสชนะอย่างน้อย 7 ใน 10 ส่วน เมื่อรวมกับความจริงที่ว่าเขามั่นใจในการประลองครั้งที่ 3 เป็นอย่างยิ่งเนื่องจากทั้งเขาและอู่หยาออกไปต่อสู้ ดังนั้นแม้ว่าเย่เป่าเปาจะแพ้การประลองครั้งที่ 2 เขาก็จะลงแข่งในรอบที่ 4 เพื่อจบเรื่องทั้งหมดเอง

บนเวทีประลอง ผู้ตัดสินกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ทั้งสองฝ่ายแนะนำตัวเอง”

อู่หยาพูดด้วยท่าทีสบายๆ “กลุ่มนักรบเฟยหลี่ อู่หยา”

สมาชิกฝ่ายตรงข้ามกล่าวอย่างเคร่งขรึม “กลุ่มนักรบเหมี่ยว อู๋เจิ้งหยาง”

ผู้ตัดสินกล่าวต่อว่า “กฎนั้นง่ายมาก เจ้าทั้งคู่สามารถโจมตีได้ตามต้องการโดยไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับอาวุธ ส่วนปรมาจารย์อสูรไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บ หากมีคนขอยอมแพ้ จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้โจมตีต่อ เข้าใจหรือไม่?”

เมื่อทั้งสองฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วย ผู้ตัดสินจึงให้สัญญาณเริ่มต้นการประลองอย่างรวดเร็ว ในที่สุดการต่อสู้ครั้งแรกของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

อู๋เจิ้งหยาง สมาชิกกลุ่มนักรบเหมี่ยวตะโกนออกมาเสียงดังลั่นทันที เขาปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมา ทุกคนจึงสามารถเห็นหยกน้ำแข็งจำนวน 4 ก้อนปรากฏอยู่รอบๆ ข้อมือขวาของเขาได้อย่างชัดเจน

เมื่อมองไปที่มณียุทธ์ของเขา ปากของโจวเหว่ยชิงก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเปี่ยมสุข สำหรับอู่หยา ศัตรูที่รับมือยากที่สุดคือจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวที่มีความสามารถในการรุกสูงเช่นเดียวกับสี่น้อย แต่เนื่องจากอู๋เจิ้งหยางผู้นี้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่ง ดังนั้นเขาจะแข่งความแข็งแกร่งกับอู่หยาได้อย่างไร? ถึงอย่างไรเจ้านั่นก็ไม่ใช่โจวเหว่ยชิงเสียหน่อย!

อู่หยาปลดปล่อยมณีสวรรค์ของตัวเองออกมาเช่นกัน เมื่อหยกน้ำแข็ง 3 ดวงและทับทิมแดงดารา 3 ดวงปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเธอ เสียงร้องของผู้ชมก็ดังขึ้นเซ็งแซ่ด้วยความประหลาดใจ

ร่างของอู่หยาสูงใหญ่เกินไป และถึงแม้ว่าชุดของเธอจะถูกตัดเย็บขึ้นเป็นพิเศษ แต่มันก็ยังไม่อาจต้านทานจิตวิญญาณการต่อสู้ของหญิงสาวคนนี้ได้ ขณะที่เธอพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อเตรียมต่อสู้ มณีธาตุของเธอก็โผล่ออกมาให้ทุกคนได้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ

ในครั้งแรก เมื่อทุกคนได้เห็นว่าอาณาจักรเฟยหลี่ส่งสมาชิกมาเพียง 4 คน พวกเขาก็คาดเอาไว้แล้วว่าอาณาจักรเฟยหลี่ต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแน่ แต่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าสมาชิกคนแรกที่ออกมาต่อสู้จะเป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุด เพราะไม่ว่าเธอจะดูกล้าหาญหรือแข็งแกร่งเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วในโลกจ้าวมณีสวรรค์ ขนาดของร่างกายก็ไม่ได้ส่งผลต่อชัยชนะอยู่ดี

เมื่อได้เห็นมณี 3 ชุดของอู่หยา อู๋เจิ้งหยางก็ชะงักไปทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งมณีธาตุของเธอที่ไม่ได้มีความพิเศษอะไร เห็นด้ชัดว่าเป็นเพียงธาตุไฟธรรมดาๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “เจ้ามาที่นี่เพื่อหยอกล้อผู้อื่นหรือไง!”

อู่หยายิ้มและพูดว่า “หึๆ หากข้ามาเพื่อกำราบพวกเจ้าล่ะ?” เมื่อเธอพูดจบ เธอก็ก้าวไปข้างหน้าและพุ่งเข้าหาอู๋เจิ้งหยางทันที

อู๋เจิ้งหยางส่งเสียงหึในลำคอ มณียุทธ์ทั้ง 4 ดวงรอบข้อมือขวาของเขาสว่างวาบขึ้นทันที แม้ว่าอู่หยาจะมีมณีเพียง 3 ชุด แต่อู๋เจิ้งหยางก็ไม่ได้ประมาท กว่าเขาจะมาเป็นตัวแทนของกลุ่มนักรบเหมี่ยวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกส่งออกมาคนแรก เขาย่อมต้องมีความพิเศษกว่าคนอื่นแน่นอน ไม่ว่าจะในแง่ของระดับพลัง ประสบการณ์การต่อสู้ หรือความเฉลียวฉลาด เขาล้วนแล้วแต่โดดเด่นทั้งหมด

ดาบหนักที่กว้างครึ่งฉื่อและยาวเกือบ 1.5 เมตรปรากฏขึ้นในมือของเขาทันที ในเวลาเดียวกัน โล่อีกชิ้นก็ปรากฏขึ้นในมืออีกข้างพร้อมกับเกราะไหล่และเกราะอก ประกายแสงสีเงินส่องแสงวูบวาบพร้อมกับไอหมอกน้ำแข็งที่ลอยออกมาจากศาสตรามณียุทธ์ 4 ชิ้นของเขา เห็นได้ชัดว่าอย่างน้อย 3 ชิ้นนั้นก็มาจากศาสตรามณียุทธ์ชุดเดียวกัน

ทันทีที่ศาสตรามณียุทธ์ของเขาหลอมรวมกับร่างกาย กลิ่นอายและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของอู๋เจิ้งหยางก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เขาก้าวไปข้างหน้า เหวี่ยงดาบหนักออกไปด้วยแขนข้างเดียวโดยมีจุดมุ่งหมายที่ศีรษะของอู่หยา

เมื่อเผชิญหน้ากับอู่หยาที่ไม่ได้เรียกศาสตรามณียุทธ์ออกมาแม้แต่ชิ้นเดียว อู๋เจิ้งหยางก็ไม่ได้รีบร้อนใช้ทักษะกักเก็บของตนเช่นกัน ในกลุ่มนักรบเหมี่ยว เขามีพลังมากที่สุดเป็นอันดับสอง มีเพียงหัวหน้าของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถเอาชนะเขาได้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะต้องออกไปประลองแบบคู่อีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่ควรใช้พลังมากเกินไปโดยไม่จำเป็น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็จะต้องตรวจสอบพลังที่แท้จริงของอู่หยาก่อน

สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ประเภทแข็งแกร่งที่มีมณี 4 ชุดคนหนึ่ง นอกเหนือจากพลังของดาบศาสตรามณียุทธ์แล้ว แรงขณะที่ฟันดาบออกไปก็ค่อนข้างน่าทึ่งมาก เกิดเสียงร้องโหยหวนขณะที่ดาบพุ่งเสียดสีกับอากาศทันที ดูจากความแข็งแกร่งของอู๋เจิ้งหยาง ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากพลังของศาสตรามณียุทธ์ พร้อมกับลีลาการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลทรงพลัง การโจมตีของอู๋เจิ้งหยางจึงอาจกล่าวได้ว่าใกล้สมบูรณ์แบบเต็มที เขายังคงถือโล่ในมือซ้ายไว้เพื่อป้องกันตัวเองในขณะที่โจมตีออกไปด้วย นี่เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการทดสอบพลังที่แท้จริงของใครสักคน นอกจากนี้ ตำแหน่งที่เขาอยู่ยังสามารถปลดปล่อยการโจมตีออกไปได้อย่างต่อเนื่องด้วย เขาจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าตนจะสามารถจบการแข่งขันระหว่างเขากับหญิงสาวผู้มีระดับพลังปราณต่ำกว่าผู้นี้ได้อย่างรวดเร็ว

ความจริงการตัดสินใจและกลยุทธ์ของอู๋เจิ้งหยางนั้นไม่ได้ผิดพลาดอะไร แต่น่าเสียดายที่เขาประเมินอู่หยาต่ำเกินไป เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่น่าจะด่วนตัดสินเธอจากระดับพลังปราณเพียงอย่างเดียว อู่หยาใช่คนธรรมดาๆ เสียที่ ไหน?

เมื่อมองไปยังดาบหนักที่กำลังพุ่งเข้าหาเธอ อู่หยาก็หยุดนิ่งไปทันที ทักษะและความสามารถในการต่อสู้ของอู่ หยายังคงฝังแน่นอยู่ในสายเลือดอย่างแยกไม่ออก และเมื่อเธอยกมือซ้ายขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นเธอก็สามารถใช้มือเปล่าคว้าดาบหนักเอาไว้ได้ทันที ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอถึงกับใช้มือเปล่าคว้าเข้าที่ปลายมีด!

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร อู๋เจิ้งหยางก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอู่หยาจะคว้าดาบของเขาเอาไว้ได้เช่นนั้น! *กึกก* เสียงหนึ่งดังขึ้นกึกก้องขณะที่เขารู้สึกราวกับว่าดาบหนักของเขาถูกหนีบไว้ด้วยคีมเหล็ก แม้จะเร่งใช้พละกำลังและพลังปราณสวรรค์อย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าดาบจะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย อีกทั้งมือของอู่หยาเองก็ไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน ด้านอู่หยา เธอกำลังมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า มือที่ยังคงจับดาบหนักอยู่ดูผ่อนคลายลงโดยสิ้นเชิง

การเคลื่อนไหวของอู่หยานั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเสมอ หากการกระทำเรียบง่ายสามารถแก้ปัญหาได้ เธอก็จะไม่ใช้วิธีการที่ซับซ้อนเด็ดขาด ขณะที่มือซ้ายของเธอยังคงจับดาบหนักของคู่ต่อสู้ ขาขวาของเธอตวัดเตะออกไปอย่างโหดเหี้ยม แม้ว่าจะมีดาบหนักขนาดใหญ่กั้นขวางอยู่ระหว่างพวกเขา แต่อู่หยาก็สามารถโยกดาบขึ้นหลบ จากนั้นขายาวๆที่ล่ำหนาและทรงพลังของเธอฟาดออกมาเป็นเส้นตรง พุ่งเข้าใส่โล่ของอู๋เจิ้งหยางอย่างแรง

*ปั่ก*!

ขากรรไกรของผู้ชมทุกคนตกลงที่พื้นขณะที่อู๋เจิ้งหยางบินถลาออกไปเหมือนลูกปืนใหญ่เมื่อถูกอู่หยาเตะ ร่างของเขาพร้อมกับศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 4 ชิ้นลอยหวือออกจากเวที บินผ่านเรือนรับรองหลายหลัง ก่อนที่จะพุ่งกระแทกพื้นลานจัตุรัสอย่างแรง

ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้ครั้งแรกระหว่างกลุ่มนักรบเฟยหลี่และกลุ่มนักรบเหมี่ยวจึงสิ้นสุดลงทันที การ “ต่อสู้” ทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น!

ตกตะลึง ทุกคนต่างตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก แม้แต่เหล่าผู้ทรงพลังที่นั่งอยู่บนแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูงก็จ้องมองมาที่เวทีพร้อมกับอ้าปากค้าง เป็นดังคำกล่าวที่ว่า ‘ต่อหน้าความแข็งแกร่งขั้นสุดยอด เล่ห์เหลี่ยมใดๆ ก็ไร้ผล’ และอู่หยาก็แสดงสิ่งนี้ให้ทุกคนได้ประจักษ์อย่างแท้จริง

ขณะที่อู่หยาเตะโล่ของอู๋เจิ้งหยาง เสียงที่ดังตามมาก็ส่งผลให้หัวใจหลายดวงกระตุกแน่นและบีบเกร็ง ราวกับว่าเจ้าของของพวกมันถูกเตะเสียเอง

ร่างของอู๋เจิ้งหยางกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง เขาตกตะลึงจนไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ โล่ศาสตรามณียุทธ์ของเขามีรอยแตกขนาดเล็กหลายจุด และสิ่งนี้ยังเป็นศาสตรามณียุทธ์ชิ้นที่ 4 ของเขาอีกด้วย! อีกฝ่ายต้องมีพละกำลังที่น่าหวาดกลัวขนาดไหนถึงจะทำเช่นนี้ได้! เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่ง!

อู่หยายืนอยู่กลางเวทีอย่างภาคภูมิใจ มือของเธอเท้าเอวขณะที่เอ่ยออกมาอย่างมีเลศนัยว่า “เจ้าหนุ่มหน้าหยกตัวน้อยนั่นลืมกินข้าวมาหรือไร! มาอีก! คนต่อไป!”

ไม่นานผู้ตัดสินก็ฟื้นสติกลับคืนมาได้ เขากระแอมไออย่างสุภาพ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “เกี่ยวกับเรื่องนั้น…ผู้เข้าประลองอู่หยา ทุกคนสามารถต่อสู้ได้ในการประลองแบบเดี่ยวได้ครั้งเดียวเท่านั้น”

อู่หยาชะงักไป จากนั้นก็เกาหัวอย่างเขินอาย “โอ้! ใช่แล้ว ข้าลืมเรื่องนั้นไปซะสนิทเลย งั้นผลการประลองของข้าคือชนะใช่ไหม?”

ผู้ตัดสินทำได้เพียงจ้องมองไปยังอู่หยาอย่างหมดหนทาง ก่อนจะพยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดว่า “การต่อสู้ครั้งแรก กลุ่มนักรบเฟยหลี่ชนะ”

อู่หยายิ้มออกมา เธอคำนับผู้ตัดสินก่อนจะกระโดดลงจากเวที คราวนี้หลายคนหลับตารอขณะที่เธอกระโดดลงข้างล่างพร้อมเสียงแผ่นดินสะเทือน ผู้หญิงคนนี้มีนิสัยแปลกประหลาดจริงๆ!

โจวเหว่ยชิงยังคงนั่งอยู่ในเรือนพักของพวกเขา รอยยิ้มขบขันกำลังแต่งแต้มอยู่บนริมฝีปาก อู่หยารู้วิธีแสดงละครจริงๆ! ในการต่อสู้เมื่อสักครู่ ตอนแรกเธอทำตัวไร้เดียงสาและอ่านออกง่ายมาก เมื่อรวมกับร่างกายที่ใหญ่โตของเธอแล้ว คนอื่นจึงมองว่าเธอเป็น ‘นักกล้ามไร้สมอง’ ได้ไม่ยาก

แน่นอนว่าหากใครคิดเช่นนั้น พวกเขาย่อมต้องคิดผิด สุดท้ายก็จะตกหลุมพรางของเธอโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ขณะที่โจวเหว่ยชิงพนันกับสี่น้อย อู่หยาและเซียวเอี๋ยนก็ไม่ได้เข้าร่วมด้วย ดังนั้นภายใต้หน้ากากซื่อๆ และอ่านง่ายของอู่หยา เธอก็เป็นคนที่เฉลียวฉลาดมากคนหนึ่ง แน่นอนว่าทักษะการแสดงของเธอดีมากพอจะสร้างความประทับใจให้กับโจวเหว่ยชิงเลยทีเดียว

อู๋เจิ้งหยางถูกพาตัวกลับไปที่เรือนพักโดยสมาชิกคนอื่นในกลุ่ม ในที่สุดเมื่อได้หายใจออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมาเป็นเลือด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำทันที นั่นไม่ใช่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บหนัก แต่เป็นเพราะเขารู้สึกทุกข์ทรมานกับการพ่ายแพ้ครั้งนี้มากเกินไป เขายังไม่ทันได้ใช้พลังออกไปเต็มที่ด้วยซ้ำ แต่เขากลับพ่ายแพ้ไปเช่นนี้เสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่ได้ใช้ทักษะกักเก็บแม้แต่อย่างเดียว! นี่มันเรื่องบ้า…

น่าเสียดายที่พ่ายแพ้ก็คือพ่ายแพ้ เมื่อเขาร่วงลงจากเวที นั่นก็นับว่าเขาพ่ายแพ้และไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ไม่นานผู้ตัดสินก็ตะโกนออกมาว่า “การต่อสู้รอบที่ 2 การประลองแบบเดี่ยว ทั้งสองฝ่ายเตรียมตัวให้พร้อม โปรดส่งสมาชิกในกลุ่มของท่านออกมาตามลำดับ”

เย่เป่าเปาลุกขึ้นยืนและจัดชุดของเขาอย่างสง่างาม ในขณะที่เดินขึ้นไปบนเวที เมื่อเทียบกับอู่หยาแล้วเขาดูปกติกว่ามาก

เมื่อเทียบกับพิธีจับฉลากเมื่อวาน บรรยากาศที่จตุรัสวันนี้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และรังสีฆ่าฟัน ทุกๆกลุ่มพกความแข็งแกร่งมาเต็มเปี่ยม แม้กระทั่งกลุ่มตัวเต็งก็มาพร้อมกับจำนวนสมาชิกไม่ต่ำกว่า 8 คน ส่วนกลุ่มที่มีจำนวนคนมากที่สุดนำสมาชิกมาด้วยมากกว่า 10 คนด้วยซ้ำ ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือกลุ่มนักรบอาณาจักรเฟยหลี่และผู้นำที่รักของเรา โจวเหว่ยชิงเท่านั้นที่พาพวกมาด้วยเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น

เมื่อโจวเหว่ยชิงเดินนำซ่างกวนปิงเอ๋อร์ อู่หยาและเย่เป่าเปาไปที่เรือนพักของกลุ่มเฟยหลี่ พวกเขาทั้งหมดต่างก็ดึงดูดความสนใจจากกลุ่มอื่นๆ รวมถึงกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 ได้ทันที แม้กระทั่งกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 พวกเขาก็มีสมาชิกหลัก 5 คนและสมาชิกสำรอง 3 คน รวมทั้งหมดเป็น 8 คน ดังนั้นในสายตาของคนอื่นๆ กลุ่มเฟยหลี่นั้นอวดดีมากเกินไป การนำสมาชิกเพียง 4 คนเข้าร่วมงานประลองเท่ากับเป็นการประกาศให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขามั่นใจมากว่าจะชนะการประลองในวันนี้ไปได้ด้วยสมาชิกเพียง 4 คนเท่านั้น

แน่นอนว่าคนที่มีสีหน้าน่าเกลียดที่สุดในตอนนี้คือคู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างกลุ่มจากอาณาจักรเหมี่ยว และตอนนี้พวกเขาทั้งหมดต่างก็จ้องมองกลุ่มนักรบเฟยหลี่ตาเขม็ง

น่าเสียดายที่หนังหน้าของหัวหน้าโจวที่รักของเราหนามาก ดังนั้นไม่ว่าทุกคนจะจ้องมองพวกเขาอย่างกินเนื้อกินเลือดอย่างไร เขาก็ยังคงมีสีหน้า ‘ไม่ใช่ปัญหาของข้า’ ประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ ไม่นานเขาก็เข้าไปนั่งในเรือนพักอย่างสง่าผ่าเผย

บริเวณด้านข้างของเรือนพักที่หันหน้าไปทางเวทีหลักนั้นเปิดโล่งและไม่ได้ถูกปิดกั้นจากสายตาผู้อื่น ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นเขานั่งลงด้วยท่าทางสบายๆ ความรู้สึกหมั่นไส้ก็เริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่นานสมาชิกกลุ่มทั้งหมดก็มารวมตัวกันอยู่ในเรือนพักแต่ละหลัง จากระยะไกลๆ พวกเขายังเห็นด้วยว่าแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูงกำลังอัดแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก โจวเหว่ยชิงเหลือบมองไปทางนั้นก่อนจะรีบเสตาหลบอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องดีเลยที่ประสาทสัมผัสของเขาว่องไวเช่นนี้ เพียงแค่มองแวบเดียวก็ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาขึ้นมาทันที เหงื่อเย็นๆหลั่งออกมาปกคลุมจนทั่วแผ่นหลัง เขาไม่อาจบอกได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่บนแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูงมีพลังอยู่ในระดับใดบ้าง แต่เขามั่นใจว่ามีอย่างน้อย 20 กว่าคนที่มีพลังเหนือกว่าหมิงอู๋! กล่าวคือมีจ้าวมณีระดับเทวะมากกว่า 29 คนนั่งอยู่บนแท่นนั่งนั้น อีกทั้งแต่ละคนยังเป็นผู้ทรงพลังที่สามารถเขย่าโลกทั้งใบได้เลยทีเดียว!

ในขณะนี้ชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปีบนแท่นนั่งนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกมาด้านหน้า เขาสวมเสื้อคลุมมังกรสีทอง มงกุฎทองคำบนศีรษะมีอัญมณีที่วิจิตรงดงามประดับอยู่หลายเม็ด อีกทั้งบริเวณเอวก็ยังมีสายคาดที่ร้อยขึ้นจากหยกหิมะขาว 18 ชิ้น เขาไม่ได้มีหน้าตาหล่อเหลามากนัก รอบๆ ตัวมีเพียงกลิ่นอายที่มั่นคงเรียบง่าย ทว่าก็ยังไม่อาจปกปิดประกายแวววาวในดวงตาของเขาเอาไว้ได้ นั่นจึงยากที่จะระบุว่าแท้จริงแล้วเขาอายุเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ว่ามีระดับพลังแข็งแกร่งกว่าหมิงอู๋

“สวัสดีเหล่าหนุ่มสาวจากทั้ง 24 อาณาจักร ยินดีที่ได้พบพวกเจ้าทุกคน ข้าคือจักรพรรดิแห่งอาณาจักรจ้งเทียน นามว่าซ่างกวนเทียนซิน ข้าขอต้อนรับพวกเจ้าทุกคนเข้าสู่อาณาจักรจ้งเทียนของเราเพื่อเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี” เสียงของเขานุ่มนวลและอ่อนโยน แต่ก็เหมือนสายน้ำที่ซึมลึกลงสู่พื้น ค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วจนทุกคนสามารถได้ยินเสียงของเขาได้อย่างชัดเจน

เหล่ากลุ่มคู่แข่งที่อยู่ในเรือนพักต่างรีบเดินออกมาโค้งคำนับไปทางแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูงพร้อมกับทักทายว่า “ขอคำนับฝ่าบาท” ในหมู่พวกเขา สมาชิก 8 คนจากกลุ่มจ้งเทียนโน้มตัวคุกเข่าลงด้วยความเคารพ

ประชาชนหลายแสนคนที่อยู่รอบๆ จตุรัสต่างก็คุกเข่าลงพร้อมกันและตะโกนออกมาดังๆ ว่า “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ!”

การได้เห็นประชาชนหลายแสนคนร้องตะโกนพร้อมกันนั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งมาก เนื่องจากคลื่นเสียงขนาดใหญ่กำลังดังกึกก้องไปทั่ว จึงมีความเป็นไปได้ว่าแม้แต่ผู้คนบนเกาะอัญมณีสวรรค์ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปหลายพันเมตรก็ยังได้ยิน นี่คือบารมีและอำนาจอันยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ แม้ว่าซ่างกวนเทียนซินจะไม่ได้วางอำนาจบาตรใหญ่ใดๆ ต่อหน้าพลเมืองจำนวนมากของเขา เขาก็ยังกลายเป็นจุดสนใจของคนในพื้นที่ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

โจวเหว่ยชิงโค้งคำนับเล็กน้อย แต่จู่ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซึ่งอยู่ข้างๆเขาดูค่อนข้างตกตะลึง “ปิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวเบาๆ และพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกว่าเสียงของเขานุ่มนวลและฟังสบายหูมาก”

ขณะนี้ซ่างกวนเทียนซินก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “กฎงานประลองมณีสวรรค์นั้นเป็นไปอย่างที่เคยเป็นมา วันนี้เป็นรอบแรก ข้าหวังว่าจะได้เห็นคนรุ่นเยาว์ที่มีอนาคตเช่นเจ้าทั้งหลายแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้เต็มที่และทำผลงานได้ ดี”

“กลุ่มนักรบ 4 อันดับแรกจะสามารถเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์เพื่อเข้าร่วมรอบชิงชนะเลิศได้ ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ยังจะได้รับรางวัลมากมายที่นั่น จำไว้ว่านี่คือเวทีของเจ้า! นั่นคือทั้งหมดที่ข้าจะพูดในวันนี้ ซ่างกวนหลงหยิน เจ้าอยู่ที่ ไหน?”

“ข้าอยู่นี่ขอรับ” ชายชราก้าวออกมาจากทางด้านข้างและโค้งคำนับให้ซ่างกวนเทียนซินอย่างเคารพนอบน้อม

ซ่างกวนเทียนซินกล่าวว่า “หลงหยิน เจ้าจะเป็นผู้ตัดสินสูงสุดในงานประลองมณีสวรรค์ปีนี้ โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในสำนักกักเก็บทักษะของเจ้าเป็นกรรมการในแต่ละรอบ”

“น้อมรับคำสั่ง ฝ่าบาท”

สายตาของซ่างกวนเทียนซินกวาดมองเหล่านักรบทั้ง 24 กลุ่มและพลเมืองของเขา ก่อนที่จะพูดอย่างเคร่งขรึม “เริ่มการประลอง!”

“ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ขอพระองค์ทรงพระเจริญ!”

เสียงร้องสรรเสริญดังขึ้นอีกครั้งขณะที่ซ่างกวนเทียนซินกลับไปนั่งที่ตรงเก้าอี้ตรงกลางแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูง ส่วนซ่างกวนหลงหยินก็ก้าวเข้าไปยืนแทนที่เขา

เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ที่แสนอ่อนโยนของซ่างกวนเทียนซิน ซ่างกวนหลงหยินดูสง่างามและเข้มงวดมากกว่า ใบหน้าของเขาไม่ยินดียินร้ายและมีประกายดุร้ายในดวงตาของเขา ราวกับว่าเขาเป็นดาบที่เสียบอยู่ในฝัก รอวันถูกชักออกมา

เย่เป่าเปาพูดขึ้นมาเบาๆ “ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับชายผู้นี้มาก่อน เขาเป็นหัวหน้าสำนักกักเก็บทักษะอาณาจักรจ้งเทียนและเป็นหนึ่งในบุคคลที่สำคัญที่สุดในอาณาจักรนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข่าวลือว่าสมาชิกชนชั้นสูงของวังสวรรค์ไพศาลยังเป็นคนของราชวงศ์ด้วย ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าอาณาจักรจ้งเทียนจะมีขนาดใหญ่มาก แต่สถานะของตระกูลซ่างกวนก็ไม่เคยสั่นคลอน ตำแหน่งของจักรพรรดิจึงยังคงเป็นของพวกเขาเสมอ”

‘หัวหน้าสำนักกักเก็บทักษะอาณาจักรจ้งเทียน’ ตำแหน่งของเขาเพียงอย่างเดียวทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกแล้ว แม้แต่หัวหน้าสำนักกักเก็บทักษะอาณาจักรเฟยหลี่ก็ยังเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชา ทว่าบุคคนที่อยู่ตรงหน้าเขากลับทรงพลังยิ่งกว่า! แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรจ้งเทียน เพราะว่ายังมีวังสวรรค์ไพศาลอยู่เหนือเขาขึ้นไปอีกขั้น! โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่จริงๆ และวันนี้เขาก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว

สายตาทรงอำนาจของซ่างกวนหลงหยินกวาดผ่านผู้ชมและพวกเขาก็เงียบกริบลงทันที ทั้งหมดกลายเป็นภาพที่น่าประทับใจมากเพราะบริเวณนี้มีประชาชนอยู่หลายแสนคนด้วยซ้ำ! ยิ่งไปกว่านั้น หากใครได้เพ่งตรวจสอบใบหน้าของคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดก็จะสามารถเห็นความคลั่งไคล้ในสายตาของพวกเขาได้อย่างชัดเจน

“รอบแรก การประลอง 1 ต่อ 1 กลุ่มนักรบจ้งเทียนกับกลุ่มนักรบเทียนเฟิง ทั้งสองฝ่ายโปรดส่งผู้เข้าประลองคนแรกออกมา ผู้ตัดสินจากสำนักกักเก็บทักษะโปรดขึ้นไปบนเวทีด้วย”

ภายใต้การคาดเดาของผู้ชม คนแรกที่ขึ้นไปบนเวทีคือชายวัยกลางคนผู้ที่สวมเสื้อคลุมสีครีมผู้ตัดสิน บนเสื้อคลุมของเขามีด้ายสีเงินปักแซมอยู่และกลางหน้าอกก็ยังมีด้ายสีเงินปักคำว่า “จ้ง” ขนาดใหญ่เอาไว้

กลุ่มนักรบจ้งเทียนอยู่ในเรือนพักหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากเรือนของโจวเหว่ยชิงไม่มาก หลังจากเห็นแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมา พริบตานั้นเด็กหนุ่มร่างยักษ์คนหนึ่งก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีทันที ชุดเครื่องแบบของกลุ่มจ้งเทียนเป็นสีขาวบริสุทธิ์และมีลายปักที่ดูคล้ายกับเสื้อคลุมของผู้พิพากษา แม้ว่าเครื่องแบบของพวกเขาจะไม่ใช่เสื้อคลุม แต่ก็เป็นชุดรัดรูปที่เหมาะสำหรับการต่อสู้ ทว่าด้ายบนแถบชุดของพวกเขากลับเป็นสีทอง แต่ก็มีคำว่า ‘จ้ง’ ปักไว้กลางหน้าอกเช่นกัน

ทันทีที่สมาชิกกลุ่มจ้งเทียนขึ้นไปบนเวที กลุ่มเทียนเฟิงก็ตะโกนออกมาว่า “พวกเราขอยอมรับความพ่ายแพ้”

ผู้ตัดสินหันไปหาพวกเขาและถามว่า “พวกเจ้าทุกคนยอมรับความพ่ายแพ้หรือไม่?”

“ขอรับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สมาชิกกลุ่มนักรบจ้งเทียนก็ดูไม่แปลกใจ เขายังคงไม่แสดงออก ราวกับว่าได้คาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าสิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้น หลังจากโค้งคำนับให้ผู้ตัดสินแล้ว เขาก็เดินลงมาจากเวทีและกลับไปที่เรือนพักของตนดังเดิม

ตามตารางการแข่งขัน การประลอง 4 ครั้งแรกจะเป็นการประลองของกลุ่มตัวเต็ง จากนั้นถึงตามมาด้วยกลุ่มอื่นๆ

เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มตัวเต็งในรอบอุ่นเครื่อง การบอกยอมแพ้ทันทีไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายแต่เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดมาก ถึงอย่างไรการเอาชนะกลุ่มตัวเต็งก็ยากเกินไป หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แม้ว่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่พวกเขาก็จะไม่ทำเช่นนั้นในรอบอุ่นเครื่องแน่นอน พวกเขาต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ยากลำบากซึ่งอาจทำให้พวกเขาต้องสูญเสียพละกำลังมากเกินไป ถึงอย่างไรการเก็บพลังไว้จัดการกลุ่มอื่นๆ เพื่อที่จะได้อันดับที่ 2 ในสายย่อมดีกว่าอยู่แล้ว นี่จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นจุดยืนของกลุ่มส่วนใหญ่เลยทีเดียว

เป็นไปตามที่คาดไว้ ในการต่อสู้ 3 ครั้งถัดมา กลุ่มตัวเต็งอีก 3 กลุ่มก็ชนะโดยไม่มีการต่อสู้ พวกเขาจึงชนะการประลองครั้งแรกไปได้อย่างง่ายดาย

ถัดไปเป็นการต่อสู้รอบที่ 2 ของแต่ละสาย ในที่สุดนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่แท้จริงเสียที!

โจวเหว่ยชิงนั่งอยู่ในเรือนพักคอยเฝ้าดูแต่ละกลุ่มอย่างใกล้ชิด เมื่อดูการต่อสู้ของ 2 กลุ่มแรกจากสายการประลองที่ 1 เขาก็รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ แม้ว่าทั้ง 2 กลุ่มจะมาจากอาณาจักรเล็กๆ แต่พลังของพวกเขาก็ไม่อาจมองข้ามไปได้ ทั้ง 5 คนที่ออกไปต่อสู้กันจริงๆ แต่ละฝ่ายล้วนประกอบไปด้วยสมาชิกจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 3 ชุด 2 คนและจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 4 ชุด 3 คน สำหรับคนรุ่นเยาว์ที่มีอายุไม่ถึง 30 ปี พลังเช่นนี้ถือว่าแข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะการต่อสู้และรูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาก็ค่อนข้างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ในขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายบนเวที ทุกคนก็ได้เห็นว่าพลังปราณสวรรค์กำลังเคลื่อนที่วูบวาบไปมา การต่อสู้ของพวกเขาจึงค่อนข้างน่าประทับใจมาก แม้ว่าทั้ง 2 กลุ่มนี้จะเป็นเพียง “กลุ่มระดับล่าง” จากการจัดอันดับ 1ใน 24 กลุ่มก็ตาม

สุดท้ายการประลองก็จบลงโดยที่ฝ่ายหนึ่งเอาชนะไปแบบฉิวเฉียดด้วยผลคะแนน 3-2

เมื่อมาถึงการต่อสู้ครั้งที่ 2 ของสายการประลองที่ 2 โจวเหว่ยชิงก็ไม่อาจมีสมาธิดูอะไรได้อีก นั่นเป็นเพราะรอบต่อไปจะถึงตากลุ่มของพวกเขาแล้ว

“อู่หยา ท่านออกไปประลองรอบแรก เป่าเปา ท่านออกไปรอบสอง สำหรับรอบที่ 3 ในการแข่งขันแบบคู่ อู่หยากับข้าจะออกไปเอง” ในฐานะหัวหน้ากลุ่มชั่วคราว โจวเหว่ยชิงจึงมอบหมายหน้าที่ให้ทุกคนอย่างรวดเร็ว

แม้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะไม่ได้รับมอบหมายให้ออกไปต่อสู้ แต่เธอก็ไม่ได้บ่นอะไร เธอทำเพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆโจวเหว่ยชิงอย่างเงียบๆ สำหรับผู้ชายของเธอ เธอมีความเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างเต็มเปี่ยมและจะคอยสนับสนุนเขาอย่างไม่ลดละ

รอบที่ 2 จบลงค่อนข้างเร็วเนื่องจากมีกลุ่มหนึ่งมาจากอาณาจักรที่ค่อนข้างใหญ่ พวกเขามีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับอาณาจักรเฟยหลี่ กลุ่มนักรบเจอร์รีคอนนอธนั่นเอง พวกเขาแสดงพลังที่แท้จริงและความเหนือชั้นออกมา ไม่นานก็เอาชนะไปได้อย่างง่ายดายด้วยการส่งสมาชิกลงมาเพียงแค่ 4 คน จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 4 ชุด 2 คน และจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ชุด 2 คน

เมื่อใดที่การต่อสู้สิ้นสุดลง ผู้ตัดสินบนเวทีก็จะถูกเปลี่ยนออกไปด้วย ขณะนี้ผู้ตัดสินคนใหม่จึงก้าวขึ้นไปบนเวทีและตะโกนออกมาว่า “การต่อสู้ครั้งที่ 2 ของสายที่ 3 กลุ่มนักรบเฟยหลี่กับกลุ่มนักรบเหมี่ยว ทั้ง 2 ฝ่ายโปรดส่งผู้เข้าประลองคนแรกขึ้นมาบนเวที”

อู่หยาเฝ้ารอที่จะได้ต่อสู้มานานแล้ว เธอจึงก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอไปถึงที่นั่น อู่หยาก็ไม่คิดแม้แต่จะใช้บันได เพียงแค่กระทืบเท้าขวาลงบนพื้นอย่างแรงแล้วทะยานขึ้นไปลงจอดบนเวทีอย่างกะทันหัน

โจวเหว่ยชิงรีบใช้มืออุดหูอย่างรวดเร็ว จู่ๆ เสียงระเบิดรุนแรงก็ดังขึ้นมา ส่งผลให้ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก

เมื่อเทียบกับพิธีจับฉลากเมื่อวาน บรรยากาศที่จตุรัสวันนี้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และรังสีฆ่าฟัน ทุกๆกลุ่มพกความแข็งแกร่งมาเต็มเปี่ยม แม้กระทั่งกลุ่มตัวเต็งก็มาพร้อมกับจำนวนสมาชิกไม่ต่ำกว่า 8 คน ส่วนกลุ่มที่มีจำนวนคนมากที่สุดนำสมาชิกมาด้วยมากกว่า 10 คนด้วยซ้ำ ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือกลุ่มนักรบอาณาจักรเฟยหลี่และผู้นำที่รักของเรา โจวเหว่ยชิงเท่านั้นที่พาพวกมาด้วยเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น

เมื่อโจวเหว่ยชิงเดินนำซ่างกวนปิงเอ๋อร์ อู่หยาและเย่เป่าเปาไปที่เรือนพักของกลุ่มเฟยหลี่ พวกเขาทั้งหมดต่างก็ดึงดูดความสนใจจากกลุ่มอื่นๆ รวมถึงกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 ได้ทันที แม้กระทั่งกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 พวกเขาก็มีสมาชิกหลัก 5 คนและสมาชิกสำรอง 3 คน รวมทั้งหมดเป็น 8 คน ดังนั้นในสายตาของคนอื่นๆ กลุ่มเฟยหลี่นั้นอวดดีมากเกินไป การนำสมาชิกเพียง 4 คนเข้าร่วมงานประลองเท่ากับเป็นการประกาศให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขามั่นใจมากว่าจะชนะการประลองในวันนี้ไปได้ด้วยสมาชิกเพียง 4 คนเท่านั้น

แน่นอนว่าคนที่มีสีหน้าน่าเกลียดที่สุดในตอนนี้คือคู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างกลุ่มจากอาณาจักรเหมี่ยว และตอนนี้พวกเขาทั้งหมดต่างก็จ้องมองกลุ่มนักรบเฟยหลี่ตาเขม็ง

น่าเสียดายที่หนังหน้าของหัวหน้าโจวที่รักของเราหนามาก ดังนั้นไม่ว่าทุกคนจะจ้องมองพวกเขาอย่างกินเนื้อกินเลือดอย่างไร เขาก็ยังคงมีสีหน้า ‘ไม่ใช่ปัญหาของข้า’ ประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ ไม่นานเขาก็เข้าไปนั่งในเรือนพักอย่างสง่าผ่าเผย

บริเวณด้านข้างของเรือนพักที่หันหน้าไปทางเวทีหลักนั้นเปิดโล่งและไม่ได้ถูกปิดกั้นจากสายตาผู้อื่น ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นเขานั่งลงด้วยท่าทางสบายๆ ความรู้สึกหมั่นไส้ก็เริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่นานสมาชิกกลุ่มทั้งหมดก็มารวมตัวกันอยู่ในเรือนพักแต่ละหลัง จากระยะไกลๆ พวกเขายังเห็นด้วยว่าแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูงกำลังอัดแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก โจวเหว่ยชิงเหลือบมองไปทางนั้นก่อนจะรีบเสตาหลบอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องดีเลยที่ประสาทสัมผัสของเขาว่องไวเช่นนี้ เพียงแค่มองแวบเดียวก็ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาขึ้นมาทันที เหงื่อเย็นๆหลั่งออกมาปกคลุมจนทั่วแผ่นหลัง เขาไม่อาจบอกได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่บนแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูงมีพลังอยู่ในระดับใดบ้าง แต่เขามั่นใจว่ามีอย่างน้อย 20 กว่าคนที่มีพลังเหนือกว่าหมิงอู๋! กล่าวคือมีจ้าวมณีระดับเทวะมากกว่า 29 คนนั่งอยู่บนแท่นนั่งนั้น อีกทั้งแต่ละคนยังเป็นผู้ทรงพลังที่สามารถเขย่าโลกทั้งใบได้เลยทีเดียว!

ในขณะนี้ชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปีบนแท่นนั่งนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกมาด้านหน้า เขาสวมเสื้อคลุมมังกรสีทอง มงกุฎทองคำบนศีรษะมีอัญมณีที่วิจิตรงดงามประดับอยู่หลายเม็ด อีกทั้งบริเวณเอวก็ยังมีสายคาดที่ร้อยขึ้นจากหยกหิมะขาว 18 ชิ้น เขาไม่ได้มีหน้าตาหล่อเหลามากนัก รอบๆ ตัวมีเพียงกลิ่นอายที่มั่นคงเรียบง่าย ทว่าก็ยังไม่อาจปกปิดประกายแวววาวในดวงตาของเขาเอาไว้ได้ นั่นจึงยากที่จะระบุว่าแท้จริงแล้วเขาอายุเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ว่ามีระดับพลังแข็งแกร่งกว่าหมิงอู๋

“สวัสดีเหล่าหนุ่มสาวจากทั้ง 24 อาณาจักร ยินดีที่ได้พบพวกเจ้าทุกคน ข้าคือจักรพรรดิแห่งอาณาจักรจ้งเทียน นามว่าซ่างกวนเทียนซิน ข้าขอต้อนรับพวกเจ้าทุกคนเข้าสู่อาณาจักรจ้งเทียนของเราเพื่อเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี” เสียงของเขานุ่มนวลและอ่อนโยน แต่ก็เหมือนสายน้ำที่ซึมลึกลงสู่พื้น ค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วจนทุกคนสามารถได้ยินเสียงของเขาได้อย่างชัดเจน

เหล่ากลุ่มคู่แข่งที่อยู่ในเรือนพักต่างรีบเดินออกมาโค้งคำนับไปทางแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูงพร้อมกับทักทายว่า “ขอคำนับฝ่าบาท” ในหมู่พวกเขา สมาชิก 8 คนจากกลุ่มจ้งเทียนโน้มตัวคุกเข่าลงด้วยความเคารพ

ประชาชนหลายแสนคนที่อยู่รอบๆ จตุรัสต่างก็คุกเข่าลงพร้อมกันและตะโกนออกมาดังๆ ว่า “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ!”

การได้เห็นประชาชนหลายแสนคนร้องตะโกนพร้อมกันนั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งมาก เนื่องจากคลื่นเสียงขนาดใหญ่กำลังดังกึกก้องไปทั่ว จึงมีความเป็นไปได้ว่าแม้แต่ผู้คนบนเกาะอัญมณีสวรรค์ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปหลายพันเมตรก็ยังได้ยิน นี่คือบารมีและอำนาจอันยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ แม้ว่าซ่างกวนเทียนซินจะไม่ได้วางอำนาจบาตรใหญ่ใดๆ ต่อหน้าพลเมืองจำนวนมากของเขา เขาก็ยังกลายเป็นจุดสนใจของคนในพื้นที่ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

โจวเหว่ยชิงโค้งคำนับเล็กน้อย แต่จู่ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซึ่งอยู่ข้างๆเขาดูค่อนข้างตกตะลึง “ปิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวเบาๆ และพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกว่าเสียงของเขานุ่มนวลและฟังสบายหูมาก”

ขณะนี้ซ่างกวนเทียนซินก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “กฎงานประลองมณีสวรรค์นั้นเป็นไปอย่างที่เคยเป็นมา วันนี้เป็นรอบแรก ข้าหวังว่าจะได้เห็นคนรุ่นเยาว์ที่มีอนาคตเช่นเจ้าทั้งหลายแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้เต็มที่และทำผลงานได้ ดี”

“กลุ่มนักรบ 4 อันดับแรกจะสามารถเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์เพื่อเข้าร่วมรอบชิงชนะเลิศได้ ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ยังจะได้รับรางวัลมากมายที่นั่น จำไว้ว่านี่คือเวทีของเจ้า! นั่นคือทั้งหมดที่ข้าจะพูดในวันนี้ ซ่างกวนหลงหยิน เจ้าอยู่ที่ ไหน?”

“ข้าอยู่นี่ขอรับ” ชายชราก้าวออกมาจากทางด้านข้างและโค้งคำนับให้ซ่างกวนเทียนซินอย่างเคารพนอบน้อม

ซ่างกวนเทียนซินกล่าวว่า “หลงหยิน เจ้าจะเป็นผู้ตัดสินสูงสุดในงานประลองมณีสวรรค์ปีนี้ โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในสำนักกักเก็บทักษะของเจ้าเป็นกรรมการในแต่ละรอบ”

“น้อมรับคำสั่ง ฝ่าบาท”

สายตาของซ่างกวนเทียนซินกวาดมองเหล่านักรบทั้ง 24 กลุ่มและพลเมืองของเขา ก่อนที่จะพูดอย่างเคร่งขรึม “เริ่มการประลอง!”

“ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ขอพระองค์ทรงพระเจริญ!”

เสียงร้องสรรเสริญดังขึ้นอีกครั้งขณะที่ซ่างกวนเทียนซินกลับไปนั่งที่ตรงเก้าอี้ตรงกลางแท่นนั่งของผู้ชมชนชั้นสูง ส่วนซ่างกวนหลงหยินก็ก้าวเข้าไปยืนแทนที่เขา

เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ที่แสนอ่อนโยนของซ่างกวนเทียนซิน ซ่างกวนหลงหยินดูสง่างามและเข้มงวดมากกว่า ใบหน้าของเขาไม่ยินดียินร้ายและมีประกายดุร้ายในดวงตาของเขา ราวกับว่าเขาเป็นดาบที่เสียบอยู่ในฝัก รอวันถูกชักออกมา

เย่เป่าเปาพูดขึ้นมาเบาๆ “ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับชายผู้นี้มาก่อน เขาเป็นหัวหน้าสำนักกักเก็บทักษะอาณาจักรจ้งเทียนและเป็นหนึ่งในบุคคลที่สำคัญที่สุดในอาณาจักรนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข่าวลือว่าสมาชิกชนชั้นสูงของวังสวรรค์ไพศาลยังเป็นคนของราชวงศ์ด้วย ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าอาณาจักรจ้งเทียนจะมีขนาดใหญ่มาก แต่สถานะของตระกูลซ่างกวนก็ไม่เคยสั่นคลอน ตำแหน่งของจักรพรรดิจึงยังคงเป็นของพวกเขาเสมอ”

‘หัวหน้าสำนักกักเก็บทักษะอาณาจักรจ้งเทียน’ ตำแหน่งของเขาเพียงอย่างเดียวทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกแล้ว แม้แต่หัวหน้าสำนักกักเก็บทักษะอาณาจักรเฟยหลี่ก็ยังเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชา ทว่าบุคคนที่อยู่ตรงหน้าเขากลับทรงพลังยิ่งกว่า! แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรจ้งเทียน เพราะว่ายังมีวังสวรรค์ไพศาลอยู่เหนือเขาขึ้นไปอีกขั้น! โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่จริงๆ และวันนี้เขาก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว

สายตาทรงอำนาจของซ่างกวนหลงหยินกวาดผ่านผู้ชมและพวกเขาก็เงียบกริบลงทันที ทั้งหมดกลายเป็นภาพที่น่าประทับใจมากเพราะบริเวณนี้มีประชาชนอยู่หลายแสนคนด้วยซ้ำ! ยิ่งไปกว่านั้น หากใครได้เพ่งตรวจสอบใบหน้าของคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดก็จะสามารถเห็นความคลั่งไคล้ในสายตาของพวกเขาได้อย่างชัดเจน

“รอบแรก การประลอง 1 ต่อ 1 กลุ่มนักรบจ้งเทียนกับกลุ่มนักรบเทียนเฟิง ทั้งสองฝ่ายโปรดส่งผู้เข้าประลองคนแรกออกมา ผู้ตัดสินจากสำนักกักเก็บทักษะโปรดขึ้นไปบนเวทีด้วย”

ภายใต้การคาดเดาของผู้ชม คนแรกที่ขึ้นไปบนเวทีคือชายวัยกลางคนผู้ที่สวมเสื้อคลุมสีครีมผู้ตัดสิน บนเสื้อคลุมของเขามีด้ายสีเงินปักแซมอยู่และกลางหน้าอกก็ยังมีด้ายสีเงินปักคำว่า “จ้ง” ขนาดใหญ่เอาไว้

กลุ่มนักรบจ้งเทียนอยู่ในเรือนพักหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากเรือนของโจวเหว่ยชิงไม่มาก หลังจากเห็นแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมา พริบตานั้นเด็กหนุ่มร่างยักษ์คนหนึ่งก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีทันที ชุดเครื่องแบบของกลุ่มจ้งเทียนเป็นสีขาวบริสุทธิ์และมีลายปักที่ดูคล้ายกับเสื้อคลุมของผู้พิพากษา แม้ว่าเครื่องแบบของพวกเขาจะไม่ใช่เสื้อคลุม แต่ก็เป็นชุดรัดรูปที่เหมาะสำหรับการต่อสู้ ทว่าด้ายบนแถบชุดของพวกเขากลับเป็นสีทอง แต่ก็มีคำว่า ‘จ้ง’ ปักไว้กลางหน้าอกเช่นกัน

ทันทีที่สมาชิกกลุ่มจ้งเทียนขึ้นไปบนเวที กลุ่มเทียนเฟิงก็ตะโกนออกมาว่า “พวกเราขอยอมรับความพ่ายแพ้”

ผู้ตัดสินหันไปหาพวกเขาและถามว่า “พวกเจ้าทุกคนยอมรับความพ่ายแพ้หรือไม่?”

“ขอรับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สมาชิกกลุ่มนักรบจ้งเทียนก็ดูไม่แปลกใจ เขายังคงไม่แสดงออก ราวกับว่าได้คาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าสิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้น หลังจากโค้งคำนับให้ผู้ตัดสินแล้ว เขาก็เดินลงมาจากเวทีและกลับไปที่เรือนพักของตนดังเดิม

ตามตารางการแข่งขัน การประลอง 4 ครั้งแรกจะเป็นการประลองของกลุ่มตัวเต็ง จากนั้นถึงตามมาด้วยกลุ่มอื่นๆ

เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มตัวเต็งในรอบอุ่นเครื่อง การบอกยอมแพ้ทันทีไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายแต่เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดมาก ถึงอย่างไรการเอาชนะกลุ่มตัวเต็งก็ยากเกินไป หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แม้ว่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่พวกเขาก็จะไม่ทำเช่นนั้นในรอบอุ่นเครื่องแน่นอน พวกเขาต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ยากลำบากซึ่งอาจทำให้พวกเขาต้องสูญเสียพละกำลังมากเกินไป ถึงอย่างไรการเก็บพลังไว้จัดการกลุ่มอื่นๆ เพื่อที่จะได้อันดับที่ 2 ในสายย่อมดีกว่าอยู่แล้ว นี่จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นจุดยืนของกลุ่มส่วนใหญ่เลยทีเดียว

เป็นไปตามที่คาดไว้ ในการต่อสู้ 3 ครั้งถัดมา กลุ่มตัวเต็งอีก 3 กลุ่มก็ชนะโดยไม่มีการต่อสู้ พวกเขาจึงชนะการประลองครั้งแรกไปได้อย่างง่ายดาย

ถัดไปเป็นการต่อสู้รอบที่ 2 ของแต่ละสาย ในที่สุดนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่แท้จริงเสียที!

โจวเหว่ยชิงนั่งอยู่ในเรือนพักคอยเฝ้าดูแต่ละกลุ่มอย่างใกล้ชิด เมื่อดูการต่อสู้ของ 2 กลุ่มแรกจากสายการประลองที่ 1 เขาก็รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ แม้ว่าทั้ง 2 กลุ่มจะมาจากอาณาจักรเล็กๆ แต่พลังของพวกเขาก็ไม่อาจมองข้ามไปได้ ทั้ง 5 คนที่ออกไปต่อสู้กันจริงๆ แต่ละฝ่ายล้วนประกอบไปด้วยสมาชิกจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 3 ชุด 2 คนและจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 4 ชุด 3 คน สำหรับคนรุ่นเยาว์ที่มีอายุไม่ถึง 30 ปี พลังเช่นนี้ถือว่าแข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะการต่อสู้และรูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาก็ค่อนข้างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ในขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายบนเวที ทุกคนก็ได้เห็นว่าพลังปราณสวรรค์กำลังเคลื่อนที่วูบวาบไปมา การต่อสู้ของพวกเขาจึงค่อนข้างน่าประทับใจมาก แม้ว่าทั้ง 2 กลุ่มนี้จะเป็นเพียง “กลุ่มระดับล่าง” จากการจัดอันดับ 1ใน 24 กลุ่มก็ตาม

สุดท้ายการประลองก็จบลงโดยที่ฝ่ายหนึ่งเอาชนะไปแบบฉิวเฉียดด้วยผลคะแนน 3-2

เมื่อมาถึงการต่อสู้ครั้งที่ 2 ของสายการประลองที่ 2 โจวเหว่ยชิงก็ไม่อาจมีสมาธิดูอะไรได้อีก นั่นเป็นเพราะรอบต่อไปจะถึงตากลุ่มของพวกเขาแล้ว

“อู่หยา ท่านออกไปประลองรอบแรก เป่าเปา ท่านออกไปรอบสอง สำหรับรอบที่ 3 ในการแข่งขันแบบคู่ อู่หยากับข้าจะออกไปเอง” ในฐานะหัวหน้ากลุ่มชั่วคราว โจวเหว่ยชิงจึงมอบหมายหน้าที่ให้ทุกคนอย่างรวดเร็ว

แม้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะไม่ได้รับมอบหมายให้ออกไปต่อสู้ แต่เธอก็ไม่ได้บ่นอะไร เธอทำเพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆโจวเหว่ยชิงอย่างเงียบๆ สำหรับผู้ชายของเธอ เธอมีความเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างเต็มเปี่ยมและจะคอยสนับสนุนเขาอย่างไม่ลดละ

รอบที่ 2 จบลงค่อนข้างเร็วเนื่องจากมีกลุ่มหนึ่งมาจากอาณาจักรที่ค่อนข้างใหญ่ พวกเขามีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับอาณาจักรเฟยหลี่ กลุ่มนักรบเจอร์รีคอนนอธนั่นเอง พวกเขาแสดงพลังที่แท้จริงและความเหนือชั้นออกมา ไม่นานก็เอาชนะไปได้อย่างง่ายดายด้วยการส่งสมาชิกลงมาเพียงแค่ 4 คน จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 4 ชุด 2 คน และจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ชุด 2 คน

เมื่อใดที่การต่อสู้สิ้นสุดลง ผู้ตัดสินบนเวทีก็จะถูกเปลี่ยนออกไปด้วย ขณะนี้ผู้ตัดสินคนใหม่จึงก้าวขึ้นไปบนเวทีและตะโกนออกมาว่า “การต่อสู้ครั้งที่ 2 ของสายที่ 3 กลุ่มนักรบเฟยหลี่กับกลุ่มนักรบเหมี่ยว ทั้ง 2 ฝ่ายโปรดส่งผู้เข้าประลองคนแรกขึ้นมาบนเวที”

อู่หยาเฝ้ารอที่จะได้ต่อสู้มานานแล้ว เธอจึงก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอไปถึงที่นั่น อู่หยาก็ไม่คิดแม้แต่จะใช้บันได เพียงแค่กระทืบเท้าขวาลงบนพื้นอย่างแรงแล้วทะยานขึ้นไปลงจอดบนเวทีอย่างกะทันหัน

โจวเหว่ยชิงรีบใช้มืออุดหูอย่างรวดเร็ว จู่ๆ เสียงระเบิดรุนแรงก็ดังขึ้นมา ส่งผลให้ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดเดินกะทันหันและจ้องมองไปที่ยังที่ไกลๆ แห่งหนึ่ง โจวเหว่ยชิงมองตามสายตาของเธอไป จากนั้นก็พบว่าไป๋จิ่วและผู้ติดตามของเขากำลังพูดคุยกับหญิงสาวชุดดำคนหนึ่ง ดูจากการสีหน้าท่าทางของพวกแล้ว อีกฝ่ายดูจะเคารพเธอเป็นอย่างมาก

“นางคือผู้หญิงที่ทำร้ายเราเมื่อครั้งที่แล้ว” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดออกมาเบาๆ

“เอ๊ะ?” โจวเหว่ยชิงตกตะลึงไปเช่นกัน เขาไม่ได้ร่วมต่อสู้ในครั้งก่อน แต่เขาก็ได้ยินรายละเอียดจากสมาชิกคนอื่นๆมาก่อนหน้านี้บ้าง แม้ว่าในระหว่างการต่อสู้กับผู้หญิงคนนั้น สมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่มจะกำลังเหนื่อยล้าหรือได้รับบาดเจ็บมาก่อน แต่นั่นก็ยังไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าเธอจัดการกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นหญิงสาวชุดดำผู้นี้ย่อมต้องมีพลังมหาศาลแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น จากคำบอกเล่าของพวกเขา โจวเหว่ยชิงก็ยังตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าหญิงสาวชุดดำที่เรียกตัวเองว่าแม่มดน้อยนั้นมีทั้งทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุปีศาจ นอกจากนี้เธอยังสามารถใช้พืชบางชนิดสนับสนุนตัวเองได้ด้วย และนั่นก็น่าจะเป็นทักษะธาตุชีวิตเหมือนหมิงฮัว สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงสถานที่แห่งหนึ่ง นิกายปีศาจสวรรค์

จ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจกำลังถูกทั่วโลกตามล่าตัว ดังนั้นจึงมีเพียงนิกายปีศาจสวรรค์เท่านั้นที่จะสนับสนุนจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจที่ทรงพลังขนาดนี้ได้ นอกจากนี้ เมื่อได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นยังอายุน้อยมาก ดังนั้นก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าเธออาจเป็นคนสำคัญในนิกาย

หากตอนนี้แม่มดน้อยร่วมมือกับไป๋จิ่วและหลัวเซียวเย่จริงๆ นั่นอาจเป็นข่าวร้ายสำหรับโจวเหว่ยชิงเลยทีเดียว เขาไม่ได้หวาดกลัวอาณาจักรคาลิเซ เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรป่ายต้า แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นเพียงกลุ่มลำดับที่ 2 ของอาณาจักรป่ายต้า แต่ถ้าหากนิกายปีศาจสวรรค์ร่วมมือกับพวกเขา นั่นก็อาจจะแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง โจวเหว่ยชิงย่อมรู้ซึ้งดีว่านิกายปีศาจสวรรค์นั้นทรงพลังเพียงใด เพราะถึงอย่างไรเขาเคยเกือบตายด้วยน้ำมือของหมิงอู๋มาก่อน

คล้ายแม่มดน้อยจะรับรู้ได้ว่าโจวเหว่ยชิงกำลังจ้องมองเธอ หญิงชุดดำผู้นั้นจึงหันหน้ามามองพวกเขา เมื่อสายตาของพวกเขาสบกัน โจวเหว่ยชิงก็เห็นจิตวิญญาณความเฉลียวฉลาดและความมีชีวิตชีวาในดวงตาของเธอ ทว่าในนั้นก็ยังมีความลึกล้ำที่น่าหวาดกลัวซ่อนเร้นเอาไว้ด้วย แม่มดน้อยเองก็มองเห็นความเกรี้ยวกราดผ่านสายตาคุกคามของเขาเช่นกัน จากนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิง ใบหน้าของเธอฉายแววสงสัยขึ้นมาทันที โดยธรรมชาติแล้วเธอย่อมจดจำการต่อสู้เมื่อ 2-3 วันก่อนได้อย่างชัดเจน แต่ในระหว่างการต่อสู้ครั้งนั้นโจวเหว่ยชิงผู้นี้ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาร่วมต่อสู้กับกลุ่มของเขาด้วย

ไป๋จิ่วและหลัวเซียวเย่มองตามสายตาของเธอมาบรรจบเข้ากับร่างของโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เมื่อเห็นว่าเป็นพวกเขา ไป๋จิ่วก็รีบพูดอะไรบางอย่างกับแม่มดน้อยเบาๆ ชัดเจนว่าไป๋จิ่วกำลังอธิบายที่มาของพวกเขาให้อีกคนฟัง

แม่มดน้อยเอียงศีรษะไปทางโจวเหว่ยชิง เผยให้เห็นรอยยิ้มน่ารักขณะที่เธอขยิบตาให้เขา ในขณะนั้นเจ้าแมวอ้วนที่หลับใหลอยู่ในอ้อมอกของโจวเหว่ยชิงพลันลืมตาตื่นขึ้นมาทันที มันโผล่หัวออกมานอกอกเสื้อ ดวงตาสีม่วงเข้มของมันจ้องมองไปที่แม่มดน้อยตาเขม็ง

เมื่อเห็นเจ้าแมวอ้วนอยู่ในอ้อมอกของโจวเหว่ยชิง ร่างของแม่มดน้อยก็สั่นเทาเล็กน้อย ดวงตาของเธอกระพริบมองอย่างตกใจ เธอสูญเสียความสงบไปชั่ววินาทีเนื่องจากความตกใจนั้น ทว่าการแสดงออกของเธอก็กลับมาเยือกเย็นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากของแม่มดน้อยโค้งขึ้นด้วยความขบขัน เธอทำท่ากรุ่นคิดสักครู่ก่อนจะหันหน้าเดินจากไป

ไป๋จิ่วมองพวกเขาด้วยท่าทางหยิ่งผยองและสายตาเหยียดหยามก่อนจะไล่ตามแม่มดน้อยไป

เมื่อเห็นพวกเขาจากไปแล้ว โจวเหว่ยชิงก็จับมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขึ้นมาและพูดอย่างกังวลเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าเราอาจจะมีปัญหาแล้ว ถ้าแม่มดน้อยเป็นตัวแทนจากนิกายปีศาจสวรรค์และพวกเขากำลังสนับสนุนอาณาจักรคาลิเซ อยู่จริงๆ อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราก็อาจตกที่นั่งลำบากในไม่ช้า”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วและพูดว่า “เราควรป่าวประกาศเรื่องของพวกเขาไหม? ถึงอย่างไรตอนนี้ทั้งโลกก็กำลังตามล่าจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจเหล่านี้อยู่ หากเราแจ้งข่าวเกี่ยวกับพวกเขา บางทีพวกเขาอาจจะถูกตัดสิทธิ์จากงานประลองมณีสวรรค์ก็ได้”

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ พวกเขาถูกตามล่ามานานแล้ว แต่นิกายของพวกเขาก็ยังอยู่มาได้นานจนถึงตอนนี้ พวกเขาอาจมีวิธีดีๆ ใช้ปกปิดพลังของตัวเองเอาไว้ก็เป็นได้ แม้ว่าเราจะรายงานเรื่องนี้ออกไป แต่ก็ยากที่จะพิสูจน์อะไรได้ ในทางกลับกัน นั่นจะทำให้นิกายปีศาจสวรรค์ยิ่งโกรธเกรี้ยวหนักกว่าเดิม หากเดิมทีพวกเขาไม่ได้ตั้งใจสนับสนุนอาณาจักรคาลิเซ นั่นอาจผลักดันให้พวกเขาทำเช่นนั้นก็เป็นได้ นั่นไม่เพียงแต่จะทำให้เราตกที่นั่งลำบาก อาณาจักรของเราก็จะตกอยู่ในอันตรายมากยิ่งขึ้นด้วย อย่ากังวลไปเลย พวกเราควรใช้งานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้เฝ้าสังเกตว่านิกายปีศาจสวรรค์สนับสนุนอาณาจักรคาลิเซมากแค่ไหนดีกว่า พูดตามตรง อาณาจักรคาลิเซนั้นเล็กเกินไปสำหรับนิกายปีศาจสวรรค์…หากพวกเขาต้องการสนับสนุนอาณาจักรสักแห่ง อาณาจักรนั้นก็ควรจะเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ๆอย่างเฟยหลี่หรือป่ายต้ามากกว่า ข้าเดาว่าอาณาจักรคาลิเซอาจเป็นเพียงหุ่นเชิดของพวกเขา เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคือการไปถึง 4 อันดับแรก และเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์ต่างหาก ถ้าข้าเดาถูก แค่นี้ก็พิสูจน์ได้ว่าเกาะมณีสวรรค์นั้นมีสิ่งของดีๆมากมาย สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้คืออย่ารีบร้อน ค่อยๆ ทำตามแผนไปทีละอย่าง เอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมดของเราในขณะที่คอยเฝ้าสังเกตสถานการณ์ไปด้วย”

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง รอยยิ้มที่อ่อนโยนก็ปรากฏบนใบหน้างดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอพูดขึ้นเบาๆ “อ้วนน้อยของข้าโตขึ้นแล้วจริงๆ”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างพลางเอนศีรษะไปที่ใบหูของเธอแล้วกระซิบว่า “ฮิๆ ถูกต้อง ข้าโตแล้ว…หมายความว่าเจ้าจะให้ข้าทำความสนิทสนมกับเจ้าได้แล้วใช่หรือไม่? ไม่ต้องกังวล ข้าจะระมัดระวังให้มากๆ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ามีอ้วนน้อยตัวเล็กๆอยู่แล้วล่ะ ข้อเสนอนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคักขณะที่เธอพูดว่า“เสือดาวเปลี่ยนลายไม่ได้ฉันใด ทรชนก็ไม่อาจเปลี่ยนนิสัยได้ฉันนั้น! เจ้าแสดงความซื่อสัตย์ได้เพียง 2 วัน จากนั้นก็กลับไปเป็นพวกไร้ยางอายเหมือนเดิมอีกแล้ว! ทั้งๆ ที่งานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้มีความสำคัญมาก แต่จิตใจของเจ้าก็ยังเต็มไปด้วยความคิดสกปรกอยู่อีก!”

โจวเหว่ยชิงรีบเอ่ยแย้ง “ข้าสกปรกยังไง? ข้ากำลังจริงจังอยู่ต่างหาก! อย่างไรก็ตาม…เจ้ากำลังหมายความว่า… หลังจากงานประลองมณีสวรรค์….พวกเราสามารถ…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าขึ้นสีแดงก่ำ “กลับกันเถอะ ทุกคนกำลังตั้งหน้าตั้งตารอพวกเราอยู่นะ!”

เมื่อพวกเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม โจวเหว่ยชิงก็อธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้คนอื่นๆ ฟังทันที เมื่อได้ยินว่าพวกเขาได้อยู่สายการประลองเดียวกับอาณาจักรป่ายต้า ไม่มีสมาชิกคนใดรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม ทุกคนกลับเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมาแทน

“สุดยอดไปเลย! เหว่ยชิง เจ้าโชคดีเกินไปแล้ว!” สี่น้อยกล่าวด้วยสีหน้าชื่นชม “ข้าอยากสอนบทเรียนให้พวกสารเลวป่ายต้ามาตลอด เหว่ยชิง พวกเจ้าต้องจัดการกลุ่มแรกๆ ให้ดีล่ะ หากได้พบกับอาณาจักรป่ายต้าเมื่อไหร่ พวกข้าจะต้องลงไปกำจัดพวกมันอย่างแน่นอน! ข้าจะบอกอะไรให้ ถ้าเราจัดการกลุ่มอาณาจักรป่ายต้าได้ในรอบอุ่นเครื่อง แม้ว่าเราจะไปไม่ถึง 4 อันดับแรก ตอนกลับบ้านเราก็จะยังคงเป็นวีรบุรุษอยู่ดี”

ขี้เมาเป่าถูมือเข้าด้วยกันอย่างยินดี “ข้าแทบจะทนรอไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าบาดแผลของข้าฟื้นตัวเร็วขึ้นทันตาเห็นเลยทีเดียว เหว่ยชิง ฝีมือจับฉลากของเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ! ไม่ได้การละ ข้าต้องรีบกลับไปฝึกปราณแล้ว ต้องรีบฟื้นตัวให้ทันรอบที่พวกเราจะได้ต่อสู้กับกลุ่มป่ายต้า”

เซียวเอี๋ยนไม่ได้เปล่งเสียงโวยวายเหมือนอีก 2 คน เพียงแค่พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ข้าฟื้นตัวได้เกือบ 7 ใน 10 ส่วนแล้ว แม้จะต้องผลาญพลังชีวิตตัวเองอีกครั้ง ข้าก็ยังจะออกไปต่อสู้”

แสงเยียบเย็นผุดขึ้นมาในดวงตาของหลินเทียนอ้าว “อาณาจักรป่ายต้า หึ! อาณาจักรป่ายต้า ดีจริงๆ!”

โจวเหว่ยชิงจ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง “พอได้ยินว่าเป็นพวกเขา ทำไมพวกท่านถึงได้ดูตื่นเต้นกันขนาดนี้? นี่มันเกินเหตุไปหน่อยมั้ยเนี่ย?”

ขี้เมาเป่ากล่าวว่า “เหว่ยชิง เจ้ามาจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์สินะ ถ้าได้พบกับกลุ่มคาลิเซ เจ้าจะรู้สึกยังไง ล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงรีบตอบโดยไม่ลังเลว่า “ แน่นอนข้าจะอัดพวกมันให้น่วมจนคลำทางกลับบ้านไม่ถูกเลยทีเดียว!”

ขี้เมาเป่ายิ้มและพูดอย่างตื่นเต้น “หึ! พวกข้าก็เหมือนกันนั่นแหละ! อาณาจักรของเราเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับอาณาจักรป่ายต้า ความเกลียดชังของพวกเรานั้นลึกล้ำมากจนสามารถเล่าย้อนกลับไปได้ถึงประวัติศาสตร์ยุคแรกๆ ได้เลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นความเกลียดชังที่ส่งผ่านกันมาทางสายเลือด ความเกลียดชังระดับเผ่าพันธุ์! เมื่อครั้งเราต่อสู้กับอาณาจักรวั่นโซ่ว อาณาจักรป่ายต้าก็ก่อปัญหาให้เรามากมาย ข้ากล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าประชาชนชาวเฟยหลี่ทุกคนเกลียดชังอาณาจักรป่ายต้ามากกว่าอาณาจักรวั่นโซ่ว!”

อู่หยาลุกขึ้นยืนกะทันหันและเดินจากไปทันที โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “อู่หยา เจ้าจะไปไหน?”

อู่หยากล่าวหน้าตาย “ลับขวาน”

เย่เป่าเปากล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “ไม่เอาน่า นายท่านที่เคารพทั้งหลาย พวกท่านจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ! ข้าก็อยากสู้เหมือนกัน! เหว่ยชิง ทำไมโชคของเจ้าถึงไม่ดีเพิ่มขึ้นไปอีกสักหน่อยนะ ถ้าเพียงพวกเราได้ต่อสู้กับป่ายต้าได้ในรอบแรก…”

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างโกรธเคือง “ให้ตายเถอะ! การเป็นผู้นำชั่วคราวนี่ง่ายดายมากจริงๆ เล้ย! ข้าไม่จำเป็นต้องปลุกขวัญกำลังใจพวกท่านเลยด้วยซ้ำ ดูความกระเหี้ยนกระหือรือของพวกท่านสิ ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วกระมัง พวกท่านทั้งหมดจงไปฝึกฝนตามที่ต้องการเถอะ ปิงเอ๋อร์ มาเร็ว กลับไปที่ห้องแล้วทำเรื่องที่พวกเราชอบกันเถอะ…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงก่ำอีกครั้ง เธอจ้องเขาตาเขม็งและพึมพำบางอย่าง ก่อนจะหันหลังและวิ่งออกไป

นับตั้งแต่ที่ทั้งกลุ่มได้รับบาดเจ็บหนัก พวกเขาก็ค่อนข้างเก็บกดและเกือบกลายเป็นโรคซึมเศร้า อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ฟังผลการจับฉลากของกลุ่ม จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาก็ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว นี่เป็นสิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่คาดคิดมาก่อนด้วยซ้ำ!

เช้าวันใหม่ที่สดใส

ในที่สุดงานประลองมณีสวรรค์ก็กำลังจะเริ่มขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มนักรบจำนวน 24 กลุ่ม แต่ละรอบจึงมีการต่อสู้ 12 ครั้ง โดยแต่ละกลุ่มจะได้ออกไปต่อสู้ 3 ครั้ง และการประลองทั้งหมดจะเกิดขึ้นในวันเดียว ส่วนการประลองครั้งถัดไปจะจัดขึ้นในอีก 3 วันต่อมา

ในฐานะหัวหน้ากลุ่มชั่วคราว เมื่อโจวเหว่ยชิงนำกลุ่มของเขาออกจากโรงเตี๊ยม เขาก็ค่อนข้างรู้สึกกลุ้มใจ เหตุผลง่ายๆคือกลุ่มของเขาไม่มีสมาชิกครบ 5 คน แม้จะนับตัวเองเข้าไปด้วย แต่ทั้งหมดก็มีเพียง 4 คนเท่านั้น

หลังจากได้ยินว่าสายการประลองของพวกเขามีกลุ่มป่ายต้าอยู่ด้วย สมาชิกในกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บก็รีบฝึกฝนและเร่งฟื้นฟูร่างกายกันอย่างบ้าคลั่ง จิตวิญญาณของพวกเขาเต็มไปด้วยการต่อสู้ จากผลการจับฉลาก พวกเขาจะได้พบกับกลุ่มนักรบป่ายต้าในรอบที่ 3 ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงพยายามจะฟื้นตัวให้เร็วที่สุดเพื่อให้พร้อมออกไปต่อสู้ได้ในเวลานั้น ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่แม้แต่จะเข้าชมการประลองในวันนี้ ทั้งยังไม่ห่วงใยกลุ่มของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไร ด้วยจำนวนคนเพียง 4 คน กลุ่มของพวกเขาก็ยังสามารถผ่านการประลองทั้ง 5 ครั้งไปได้อยู่ดี แน่นอนว่าอาจมีคนต้องออกไปต่อสู้ 2 ครั้ง แม้จะเป็นการทำร้ายคนๆ นั้นมากเกินไปก็ตาม

เมื่อเทียบกับเมื่อวาน ลานจตุรัสในวันนี้ดูพลุกพล่านและมีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อวันก่อนมาก เวลานี้ยังคงเช้าตรู่ แต่จตุรัสและบริเวณโดยรอบก็มีผู้คนอัดแน่นอยู่ตั้งแต่บริเวณรอบนอกไปจนถึงสนามประลองที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางจตุรัสแล้ว หากไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมทางเดินสำหรับกลุ่มนักรบเอาไว้ให้โดยเฉพาะแล้วล่ะก็ พวกเขาก็อาจมีปัญหาในการเดินทางเข้าสู่สนามประลองก็เป็นได้

Next

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดเดินกะทันหันและจ้องมองไปที่ยังที่ไกลๆ แห่งหนึ่ง โจวเหว่ยชิงมองตามสายตาของเธอไป จากนั้นก็พบว่าไป๋จิ่วและผู้ติดตามของเขากำลังพูดคุยกับหญิงสาวชุดดำคนหนึ่ง ดูจากการสีหน้าท่าทางของพวกแล้ว อีกฝ่ายดูจะเคารพเธอเป็นอย่างมาก

“นางคือผู้หญิงที่ทำร้ายเราเมื่อครั้งที่แล้ว” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดออกมาเบาๆ

“เอ๊ะ?” โจวเหว่ยชิงตกตะลึงไปเช่นกัน เขาไม่ได้ร่วมต่อสู้ในครั้งก่อน แต่เขาก็ได้ยินรายละเอียดจากสมาชิกคนอื่นๆมาก่อนหน้านี้บ้าง แม้ว่าในระหว่างการต่อสู้กับผู้หญิงคนนั้น สมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่มจะกำลังเหนื่อยล้าหรือได้รับบาดเจ็บมาก่อน แต่นั่นก็ยังไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าเธอจัดการกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นหญิงสาวชุดดำผู้นี้ย่อมต้องมีพลังมหาศาลแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น จากคำบอกเล่าของพวกเขา โจวเหว่ยชิงก็ยังตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าหญิงสาวชุดดำที่เรียกตัวเองว่าแม่มดน้อยนั้นมีทั้งทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุปีศาจ นอกจากนี้เธอยังสามารถใช้พืชบางชนิดสนับสนุนตัวเองได้ด้วย และนั่นก็น่าจะเป็นทักษะธาตุชีวิตเหมือนหมิงฮัว สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงสถานที่แห่งหนึ่ง นิกายปีศาจสวรรค์

จ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจกำลังถูกทั่วโลกตามล่าตัว ดังนั้นจึงมีเพียงนิกายปีศาจสวรรค์เท่านั้นที่จะสนับสนุนจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจที่ทรงพลังขนาดนี้ได้ นอกจากนี้ เมื่อได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นยังอายุน้อยมาก ดังนั้นก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าเธออาจเป็นคนสำคัญในนิกาย

หากตอนนี้แม่มดน้อยร่วมมือกับไป๋จิ่วและหลัวเซียวเย่จริงๆ นั่นอาจเป็นข่าวร้ายสำหรับโจวเหว่ยชิงเลยทีเดียว เขาไม่ได้หวาดกลัวอาณาจักรคาลิเซ เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรป่ายต้า แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นเพียงกลุ่มลำดับที่ 2 ของอาณาจักรป่ายต้า แต่ถ้าหากนิกายปีศาจสวรรค์ร่วมมือกับพวกเขา นั่นก็อาจจะแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง โจวเหว่ยชิงย่อมรู้ซึ้งดีว่านิกายปีศาจสวรรค์นั้นทรงพลังเพียงใด เพราะถึงอย่างไรเขาเคยเกือบตายด้วยน้ำมือของหมิงอู๋มาก่อน

คล้ายแม่มดน้อยจะรับรู้ได้ว่าโจวเหว่ยชิงกำลังจ้องมองเธอ หญิงชุดดำผู้นั้นจึงหันหน้ามามองพวกเขา เมื่อสายตาของพวกเขาสบกัน โจวเหว่ยชิงก็เห็นจิตวิญญาณความเฉลียวฉลาดและความมีชีวิตชีวาในดวงตาของเธอ ทว่าในนั้นก็ยังมีความลึกล้ำที่น่าหวาดกลัวซ่อนเร้นเอาไว้ด้วย แม่มดน้อยเองก็มองเห็นความเกรี้ยวกราดผ่านสายตาคุกคามของเขาเช่นกัน จากนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิง ใบหน้าของเธอฉายแววสงสัยขึ้นมาทันที โดยธรรมชาติแล้วเธอย่อมจดจำการต่อสู้เมื่อ 2-3 วันก่อนได้อย่างชัดเจน แต่ในระหว่างการต่อสู้ครั้งนั้นโจวเหว่ยชิงผู้นี้ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาร่วมต่อสู้กับกลุ่มของเขาด้วย

ไป๋จิ่วและหลัวเซียวเย่มองตามสายตาของเธอมาบรรจบเข้ากับร่างของโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เมื่อเห็นว่าเป็นพวกเขา ไป๋จิ่วก็รีบพูดอะไรบางอย่างกับแม่มดน้อยเบาๆ ชัดเจนว่าไป๋จิ่วกำลังอธิบายที่มาของพวกเขาให้อีกคนฟัง

แม่มดน้อยเอียงศีรษะไปทางโจวเหว่ยชิง เผยให้เห็นรอยยิ้มน่ารักขณะที่เธอขยิบตาให้เขา ในขณะนั้นเจ้าแมวอ้วนที่หลับใหลอยู่ในอ้อมอกของโจวเหว่ยชิงพลันลืมตาตื่นขึ้นมาทันที มันโผล่หัวออกมานอกอกเสื้อ ดวงตาสีม่วงเข้มของมันจ้องมองไปที่แม่มดน้อยตาเขม็ง

เมื่อเห็นเจ้าแมวอ้วนอยู่ในอ้อมอกของโจวเหว่ยชิง ร่างของแม่มดน้อยก็สั่นเทาเล็กน้อย ดวงตาของเธอกระพริบมองอย่างตกใจ เธอสูญเสียความสงบไปชั่ววินาทีเนื่องจากความตกใจนั้น ทว่าการแสดงออกของเธอก็กลับมาเยือกเย็นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากของแม่มดน้อยโค้งขึ้นด้วยความขบขัน เธอทำท่ากรุ่นคิดสักครู่ก่อนจะหันหน้าเดินจากไป

ไป๋จิ่วมองพวกเขาด้วยท่าทางหยิ่งผยองและสายตาเหยียดหยามก่อนจะไล่ตามแม่มดน้อยไป

เมื่อเห็นพวกเขาจากไปแล้ว โจวเหว่ยชิงก็จับมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขึ้นมาและพูดอย่างกังวลเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าเราอาจจะมีปัญหาแล้ว ถ้าแม่มดน้อยเป็นตัวแทนจากนิกายปีศาจสวรรค์และพวกเขากำลังสนับสนุนอาณาจักรคาลิเซ อยู่จริงๆ อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราก็อาจตกที่นั่งลำบากในไม่ช้า”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วและพูดว่า “เราควรป่าวประกาศเรื่องของพวกเขาไหม? ถึงอย่างไรตอนนี้ทั้งโลกก็กำลังตามล่าจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจเหล่านี้อยู่ หากเราแจ้งข่าวเกี่ยวกับพวกเขา บางทีพวกเขาอาจจะถูกตัดสิทธิ์จากงานประลองมณีสวรรค์ก็ได้”

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ พวกเขาถูกตามล่ามานานแล้ว แต่นิกายของพวกเขาก็ยังอยู่มาได้นานจนถึงตอนนี้ พวกเขาอาจมีวิธีดีๆ ใช้ปกปิดพลังของตัวเองเอาไว้ก็เป็นได้ แม้ว่าเราจะรายงานเรื่องนี้ออกไป แต่ก็ยากที่จะพิสูจน์อะไรได้ ในทางกลับกัน นั่นจะทำให้นิกายปีศาจสวรรค์ยิ่งโกรธเกรี้ยวหนักกว่าเดิม หากเดิมทีพวกเขาไม่ได้ตั้งใจสนับสนุนอาณาจักรคาลิเซ นั่นอาจผลักดันให้พวกเขาทำเช่นนั้นก็เป็นได้ นั่นไม่เพียงแต่จะทำให้เราตกที่นั่งลำบาก อาณาจักรของเราก็จะตกอยู่ในอันตรายมากยิ่งขึ้นด้วย อย่ากังวลไปเลย พวกเราควรใช้งานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้เฝ้าสังเกตว่านิกายปีศาจสวรรค์สนับสนุนอาณาจักรคาลิเซมากแค่ไหนดีกว่า พูดตามตรง อาณาจักรคาลิเซนั้นเล็กเกินไปสำหรับนิกายปีศาจสวรรค์…หากพวกเขาต้องการสนับสนุนอาณาจักรสักแห่ง อาณาจักรนั้นก็ควรจะเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ๆอย่างเฟยหลี่หรือป่ายต้ามากกว่า ข้าเดาว่าอาณาจักรคาลิเซอาจเป็นเพียงหุ่นเชิดของพวกเขา เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคือการไปถึง 4 อันดับแรก และเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์ต่างหาก ถ้าข้าเดาถูก แค่นี้ก็พิสูจน์ได้ว่าเกาะมณีสวรรค์นั้นมีสิ่งของดีๆมากมาย สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้คืออย่ารีบร้อน ค่อยๆ ทำตามแผนไปทีละอย่าง เอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมดของเราในขณะที่คอยเฝ้าสังเกตสถานการณ์ไปด้วย”

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง รอยยิ้มที่อ่อนโยนก็ปรากฏบนใบหน้างดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอพูดขึ้นเบาๆ “อ้วนน้อยของข้าโตขึ้นแล้วจริงๆ”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างพลางเอนศีรษะไปที่ใบหูของเธอแล้วกระซิบว่า “ฮิๆ ถูกต้อง ข้าโตแล้ว…หมายความว่าเจ้าจะให้ข้าทำความสนิทสนมกับเจ้าได้แล้วใช่หรือไม่? ไม่ต้องกังวล ข้าจะระมัดระวังให้มากๆ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ามีอ้วนน้อยตัวเล็กๆอยู่แล้วล่ะ ข้อเสนอนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคักขณะที่เธอพูดว่า“เสือดาวเปลี่ยนลายไม่ได้ฉันใด ทรชนก็ไม่อาจเปลี่ยนนิสัยได้ฉันนั้น! เจ้าแสดงความซื่อสัตย์ได้เพียง 2 วัน จากนั้นก็กลับไปเป็นพวกไร้ยางอายเหมือนเดิมอีกแล้ว! ทั้งๆ ที่งานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้มีความสำคัญมาก แต่จิตใจของเจ้าก็ยังเต็มไปด้วยความคิดสกปรกอยู่อีก!”

โจวเหว่ยชิงรีบเอ่ยแย้ง “ข้าสกปรกยังไง? ข้ากำลังจริงจังอยู่ต่างหาก! อย่างไรก็ตาม…เจ้ากำลังหมายความว่า… หลังจากงานประลองมณีสวรรค์….พวกเราสามารถ…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าขึ้นสีแดงก่ำ “กลับกันเถอะ ทุกคนกำลังตั้งหน้าตั้งตารอพวกเราอยู่นะ!”

เมื่อพวกเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม โจวเหว่ยชิงก็อธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้คนอื่นๆ ฟังทันที เมื่อได้ยินว่าพวกเขาได้อยู่สายการประลองเดียวกับอาณาจักรป่ายต้า ไม่มีสมาชิกคนใดรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม ทุกคนกลับเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมาแทน

“สุดยอดไปเลย! เหว่ยชิง เจ้าโชคดีเกินไปแล้ว!” สี่น้อยกล่าวด้วยสีหน้าชื่นชม “ข้าอยากสอนบทเรียนให้พวกสารเลวป่ายต้ามาตลอด เหว่ยชิง พวกเจ้าต้องจัดการกลุ่มแรกๆ ให้ดีล่ะ หากได้พบกับอาณาจักรป่ายต้าเมื่อไหร่ พวกข้าจะต้องลงไปกำจัดพวกมันอย่างแน่นอน! ข้าจะบอกอะไรให้ ถ้าเราจัดการกลุ่มอาณาจักรป่ายต้าได้ในรอบอุ่นเครื่อง แม้ว่าเราจะไปไม่ถึง 4 อันดับแรก ตอนกลับบ้านเราก็จะยังคงเป็นวีรบุรุษอยู่ดี”

ขี้เมาเป่าถูมือเข้าด้วยกันอย่างยินดี “ข้าแทบจะทนรอไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าบาดแผลของข้าฟื้นตัวเร็วขึ้นทันตาเห็นเลยทีเดียว เหว่ยชิง ฝีมือจับฉลากของเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ! ไม่ได้การละ ข้าต้องรีบกลับไปฝึกปราณแล้ว ต้องรีบฟื้นตัวให้ทันรอบที่พวกเราจะได้ต่อสู้กับกลุ่มป่ายต้า”

เซียวเอี๋ยนไม่ได้เปล่งเสียงโวยวายเหมือนอีก 2 คน เพียงแค่พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ข้าฟื้นตัวได้เกือบ 7 ใน 10 ส่วนแล้ว แม้จะต้องผลาญพลังชีวิตตัวเองอีกครั้ง ข้าก็ยังจะออกไปต่อสู้”

แสงเยียบเย็นผุดขึ้นมาในดวงตาของหลินเทียนอ้าว “อาณาจักรป่ายต้า หึ! อาณาจักรป่ายต้า ดีจริงๆ!”

โจวเหว่ยชิงจ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง “พอได้ยินว่าเป็นพวกเขา ทำไมพวกท่านถึงได้ดูตื่นเต้นกันขนาดนี้? นี่มันเกินเหตุไปหน่อยมั้ยเนี่ย?”

ขี้เมาเป่ากล่าวว่า “เหว่ยชิง เจ้ามาจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์สินะ ถ้าได้พบกับกลุ่มคาลิเซ เจ้าจะรู้สึกยังไง ล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงรีบตอบโดยไม่ลังเลว่า “ แน่นอนข้าจะอัดพวกมันให้น่วมจนคลำทางกลับบ้านไม่ถูกเลยทีเดียว!”

ขี้เมาเป่ายิ้มและพูดอย่างตื่นเต้น “หึ! พวกข้าก็เหมือนกันนั่นแหละ! อาณาจักรของเราเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับอาณาจักรป่ายต้า ความเกลียดชังของพวกเรานั้นลึกล้ำมากจนสามารถเล่าย้อนกลับไปได้ถึงประวัติศาสตร์ยุคแรกๆ ได้เลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นความเกลียดชังที่ส่งผ่านกันมาทางสายเลือด ความเกลียดชังระดับเผ่าพันธุ์! เมื่อครั้งเราต่อสู้กับอาณาจักรวั่นโซ่ว อาณาจักรป่ายต้าก็ก่อปัญหาให้เรามากมาย ข้ากล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าประชาชนชาวเฟยหลี่ทุกคนเกลียดชังอาณาจักรป่ายต้ามากกว่าอาณาจักรวั่นโซ่ว!”

อู่หยาลุกขึ้นยืนกะทันหันและเดินจากไปทันที โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “อู่หยา เจ้าจะไปไหน?”

อู่หยากล่าวหน้าตาย “ลับขวาน”

เย่เป่าเปากล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “ไม่เอาน่า นายท่านที่เคารพทั้งหลาย พวกท่านจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ! ข้าก็อยากสู้เหมือนกัน! เหว่ยชิง ทำไมโชคของเจ้าถึงไม่ดีเพิ่มขึ้นไปอีกสักหน่อยนะ ถ้าเพียงพวกเราได้ต่อสู้กับป่ายต้าได้ในรอบแรก…”

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างโกรธเคือง “ให้ตายเถอะ! การเป็นผู้นำชั่วคราวนี่ง่ายดายมากจริงๆ เล้ย! ข้าไม่จำเป็นต้องปลุกขวัญกำลังใจพวกท่านเลยด้วยซ้ำ ดูความกระเหี้ยนกระหือรือของพวกท่านสิ ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วกระมัง พวกท่านทั้งหมดจงไปฝึกฝนตามที่ต้องการเถอะ ปิงเอ๋อร์ มาเร็ว กลับไปที่ห้องแล้วทำเรื่องที่พวกเราชอบกันเถอะ…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงก่ำอีกครั้ง เธอจ้องเขาตาเขม็งและพึมพำบางอย่าง ก่อนจะหันหลังและวิ่งออกไป

นับตั้งแต่ที่ทั้งกลุ่มได้รับบาดเจ็บหนัก พวกเขาก็ค่อนข้างเก็บกดและเกือบกลายเป็นโรคซึมเศร้า อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ฟังผลการจับฉลากของกลุ่ม จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาก็ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว นี่เป็นสิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่คาดคิดมาก่อนด้วยซ้ำ!

เช้าวันใหม่ที่สดใส

ในที่สุดงานประลองมณีสวรรค์ก็กำลังจะเริ่มขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มนักรบจำนวน 24 กลุ่ม แต่ละรอบจึงมีการต่อสู้ 12 ครั้ง โดยแต่ละกลุ่มจะได้ออกไปต่อสู้ 3 ครั้ง และการประลองทั้งหมดจะเกิดขึ้นในวันเดียว ส่วนการประลองครั้งถัดไปจะจัดขึ้นในอีก 3 วันต่อมา

ในฐานะหัวหน้ากลุ่มชั่วคราว เมื่อโจวเหว่ยชิงนำกลุ่มของเขาออกจากโรงเตี๊ยม เขาก็ค่อนข้างรู้สึกกลุ้มใจ เหตุผลง่ายๆคือกลุ่มของเขาไม่มีสมาชิกครบ 5 คน แม้จะนับตัวเองเข้าไปด้วย แต่ทั้งหมดก็มีเพียง 4 คนเท่านั้น

หลังจากได้ยินว่าสายการประลองของพวกเขามีกลุ่มป่ายต้าอยู่ด้วย สมาชิกในกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บก็รีบฝึกฝนและเร่งฟื้นฟูร่างกายกันอย่างบ้าคลั่ง จิตวิญญาณของพวกเขาเต็มไปด้วยการต่อสู้ จากผลการจับฉลาก พวกเขาจะได้พบกับกลุ่มนักรบป่ายต้าในรอบที่ 3 ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงพยายามจะฟื้นตัวให้เร็วที่สุดเพื่อให้พร้อมออกไปต่อสู้ได้ในเวลานั้น ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่แม้แต่จะเข้าชมการประลองในวันนี้ ทั้งยังไม่ห่วงใยกลุ่มของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไร ด้วยจำนวนคนเพียง 4 คน กลุ่มของพวกเขาก็ยังสามารถผ่านการประลองทั้ง 5 ครั้งไปได้อยู่ดี แน่นอนว่าอาจมีคนต้องออกไปต่อสู้ 2 ครั้ง แม้จะเป็นการทำร้ายคนๆ นั้นมากเกินไปก็ตาม

เมื่อเทียบกับเมื่อวาน ลานจตุรัสในวันนี้ดูพลุกพล่านและมีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อวันก่อนมาก เวลานี้ยังคงเช้าตรู่ แต่จตุรัสและบริเวณโดยรอบก็มีผู้คนอัดแน่นอยู่ตั้งแต่บริเวณรอบนอกไปจนถึงสนามประลองที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางจตุรัสแล้ว หากไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมทางเดินสำหรับกลุ่มนักรบเอาไว้ให้โดยเฉพาะแล้วล่ะก็ พวกเขาก็อาจมีปัญหาในการเดินทางเข้าสู่สนามประลองก็เป็นได้

Next

แม้ว่ากลุ่มคนเหล่านั้นจะติดตามไป๋จิ่วมา แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สนใจกลุ่มของโจวเหว่ยชิงเลย ราวกับว่าพวกเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ นี่เป็นสิ่งที่จุดประกายให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกตื่นตัวมากที่สุด

ไป๋จิ่วเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเจ้าจะเปรียบเทียบกับอาณา จักรคาลิเซของเราได้อย่างไร! คนที่อยู่ข้างหลังข้าล้วนแต่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเจ้ามีจ้าวมณีสวรรค์มากมายขนาดนี้ไหมล่ะ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา “ข้าไม่ได้ทรยศอาณาจักรของข้า ไม่ใช่ทั้งตอนนี้และหลังจากนี้ อาณาจักรคาลิเซของเจ้ามีอำนาจมากพอจะเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ด้วยหรือ? หึ จากที่ข้าเห็น เจ้าก็เป็นแค่กลุ่มลำดับที่ 2 ของอาณาจักรป่ายต้า”

“แล้วยังไง!” ความเกลียดรุนแรงฉายชัดในดวงตาของไป๋จิ่ว ตอนนั้นพวกมันถึงกับทำให้เขาฉี่ราดกางเกง แน่นอนว่าเหตุการณ์นั้นจะอยู่ในใจของเขาตลอดไป! สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แม้ว่าเธอจะเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง แต่ในใจของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ไม่มีวันที่จะมีความรู้สึกอ่อนโยนและถนุถนอมกับผู้หญิงเช่นนี้ได้ “แม้ว่าเราจะเป็นกลุ่มลำดับที่ 2 ของอาณาจักรป่ายต้า แต่อย่างน้อยนั่นก็แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรป่ายต้าสนับสนุนพวกเรา แล้วพวกเจ้าล่ะ? แม้จะเข้าร่วมกับอาณาจักรเฟยลี่ แต่ด้วยระดับพลังปราณของเจ้า เจ้าก็น่าจะเป็นแค่สมาชิกกลุ่มสำรองเท่านั้น ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็ได้เป็นผู้นำกลุ่มอาณาจักรคาลิเซ แม้ว่าข้าจะเข้าสู่สนามรบไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าเจ้าที่ถูกคนอื่นควบคุม”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยากจะโต้เถียงต่อ แต่กลับถูกโจวเหว่ยชิงรั้งไว้ “ปิงเอ๋อร์ ไปกันเถอะ” หลังจากพูดแบบนั้น เขาก็พาซ่างกวนปิงเอ๋อร์และอู่หยาออกไปจากที่นั่นทันที

ขณะที่พวกเขาเดินผ่านไป๋จิ่ว ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็หรี่ลงขณะที่เขาพูดเบาๆ ราวกระซิบ “ข้าหวังว่าพวกเราจะโชคดีตอนจับฉลากและถูกจัดให้อยู่ในสายเดียวกันกับกลุ่มอาณาจักรคาลิเซของเจ้า” แม้ว่าเขาอยากจะฆ่าคนผู้นี้ แต่เขาก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เพราะถึงอย่างไรเวลานี้พวกเขาก็ยังอยู่ในจุดลงทะเบียนงานประลองมณีสวรรค์

“เจ้า…” ไป๋จิ่วกำลังจะโต้กลับ แต่ร่างของทั้ง 3 คนก็ได้หายลับตาไปแล้ว หลัวเซียวเย่ ผู้ติดตามที่ภักดีของเขารีบร้อนพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท อย่าลดตัวลงไปเถียงกับพวกเขาเลย นั่นจะส่งผลต่อแผนการอันยิ่งใหญ่ของเรานะขอรับ”

ไป๋จิ่วมองผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของเขา จากนั้นอารมณ์ของเขาก็สงบลงทันตาเห็น เขาลูบใบหน้าตนเองพลางเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “เอาล่ะ ข้าจะปล่อยพวกมันไปก่อนก็ได้ หึ! ควรจะเป็นข้าต่างหากที่พูดว่าจะได้เจอพวกมันในงานประ ลอง!”

หลัวเซียวเย่หน้าแดงเล็กน้อย มองไปที่ไป๋จิ่วด้วยสีหน้างุนงง

เมื่อพวกเขาก้าวเข้าสู่จตุรัสอีกครั้ง โจวเหว่ยชิงก็ปลดปล่อยลมหายใจที่อดกลั้นเอาไว้ออกมา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ากล้ามเนื้อของเขากำลังเกร็งแน่น

โจวเหว่ยชิงเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพึมพำกับตัวเอง “งานประลองมณีสวรรค์รอบต่อไป ข้าจะนำอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราเข้าสู่เวทีนี้อย่างแน่นอน ในตอนนั้น เราจะมีเพียงเป้าหมายเดียวคือผู้ชนะอันดับ 1”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายของโจวเหว่ยชิงก่อนที่พวกเขาจะไปถึงโรงเตี๊ยม เขาไม่ได้เดินเลือกซื้อขนมและอาหารตามที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้ ทำเพียงแค่รีบร้อนกลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้วปิดห้องฝึกปราณ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้พยายามปลอบโยนเขาเช่นกัน เธอรู้ว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของผู้ชายของตนได้ถูกจุดขึ้นมาแล้ว นั่นไม่ใช่เพราะองค์ชาย 9 แต่เป็นเพราะความอ่อนแอของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของพวกเขาต่างหากที่เป็นตัวกระตุ้นชั้นดี

พริบตาเดียว เวลา 3 วันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าก็ถึงเวลาที่กลุ่มของพวกเขาจะต้องออกไปจับฉลากเลือกสาย

ขณะนี้ยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก แต่เมืองจ้งเทียนก็คึกคักไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาลแล้ว ตั้งแต่คืนก่อน ประตูทางเข้าเมืองชั้นในก็เริ่มถูกควบคุมโดยทหารเนื่องจากพวกเขาต้องชะลอการหลั่งไหลเข้ามาของผู้เข้าชมจำนวนมาก งานประ ลองมณีสวรรค์นั้นเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมอยู่แล้ว แต่เพราะมีผู้อยู่อาศัยในเมืองชั้นนอกมากเกินไป หากทุกคนพยายามบุกเข้าไปในเมืองชั้นใน แน่นอนว่าย่อมไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับทุกคน

แม้ว่าการแข่งจริงจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่พิธีจับฉลากก็ยังดึงดูดผู้ชมได้เป็นจำนวนมาก ท้ายที่สุดแล้วประชาชนจำนวนมากก็ยังต้องการทราบว่าแต่ละกลุ่มจะได้แข่งกับใครบ้าง หลายคนถึงกับตั้งโต๊ะเดิมพันในงานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้เลยทีเดียว

ตอนนี้พระราชวังถูกปิดล้อมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พื้นที่ตั้งแต่ตัวปราสาทไปจนถึงรูปปั้นขนาดใหญ่ดูแตกต่างไปจากเดิมเป็นอย่างมาก

ด้านหน้าของพระราชวังมีการสร้างแท่นที่นั่งสูง 20 เมตรซึ่งจะใช้สำหรับรองรับผู้ชมและสามารถจุคนได้หลายร้อยคนในคราวเดียว ทว่าเห็นได้ชัดว่ามีเพียงชนชั้นสูงของอาณาจักรจ้งเทียนและแขกคนสำคัญอื่นๆ เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ขึ้นไปนั่งบนเวที

ด้านหน้าของที่นั่งของเหล่าคนสำคัญมีเวทีสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวและกว้าง 50 เมตร สูงประมาณ 5 เมตร เมื่ออยู่บนแท่นนั่งสามารถมองเห็นบนเวทีได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่านั่นคือเวทีนั้นคือสถานที่ที่ทุกกลุ่มจะต้องขึ้นไปทำการประลองกัน

เวทีการประลองทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยหินเพชรขนาดมหึมาซึ่งเป็นวัสดุที่แข็งแกร่งและทนทานมาก ทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายก็เพื่อป้องกันไม่ให้จ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังเผลอทำลายเวทีด้วยพลังการโจมตีของพวกเขา

นอกจากนั้น บริเวณรอบๆ เวทีการประลอง นอกจากแท่นที่นั่งของบุคคลสำคัญแล้ว อีก 3 ด้านยังล้อมรอบไปด้วยสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เห็นได้ชัดว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาให้กลุ่มจากอาณาจักรต่างๆ ได้เข้าพักและรับชมการประลอง

มีอาณาจักรทั้งหมด 24 แห่งลงทะเบียนเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ในปีนี้ การแข่งขันจึงแบ่งออกเป็น 4 สาย สายละ 6 กลุ่ม ดังนั้นจึง มีสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด 24 หลังตั้งล้อมเวทีเอาไว้ ในบรรดาเรือนเหล่านั้น หลังที่หันหน้าเข้าหาแท่นที่นั่งของผู้ชมกิตติมาศักดิ์และตั้งอยู่ตรงข้ามของเวทีประลองพอดีคือเรือน 4 หลังใหญ่ที่โดดเด่นสะดุดตา แน่นอนว่าเรือนเหล่านั้นมีไว้สำหรับกลุ่มตัวเต็งทั้งหลาย เห็นได้ชัดว่าฐานะและอันดับมีความสำคัญเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

เมื่อดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นกลางท้องฟ้า กลุ่มนักรบจากอาณาจักรต่างๆ ก็ถูกตรวจสอบป้ายอนุญาตเพื่อให้สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ หน้าเรือนพักแต่ละหลังมีชื่ออาณาจักรติดอยู่ที่ประตู พวกเขาจึงสามารถเดินเข้าไปในเรือนที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ได้ทันที

สำหรับกลุ่มจากอาณาจักรเฟยหลี่ มีเพียงโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เท่านั้นที่เข้ามายังเรือนที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ สำหรับกลุ่มอื่นๆก็เหมือนกัน มีสมาชิกเพียง 1 ถึง 2 คนเท่านั้นที่มาที่นี่ บางครั้งรูปลักษณ์และลักษณะนิสัยของจ้าวมณีสวรรค์ก็อาจเปิดเผยสิ่งที่พวกเขาถนัดออกมาได้ เนื่องจากงานประลองยังไม่เริ่มขึ้น พวกเขาจึงไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถของตัวเองเร็วเกินไป

ในระหว่างการประลองครั้งก่อน กลุ่มจากอาณาจักรเฟยหลี่ทำผลงานได้ดีเป็นอันดับที่ 5 ด้วยเหตุนี้เรือนของพวกเขาจึงตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 และเป็นหนึ่งในเรือนพักที่ใหญ่โตรองลงมาจากเรือนทั้ง 4 หลัง

ขณะที่โจวเหว่ยชิงเดินไปยังเรือนพักของพวกเขา เขาก็หยุดอยู่ที่ประตูและมองไปยังเรือนของกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 อย่างสงสัย ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น กลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 ไม่ใส่ใจแม้กระทั่งส่งคนมาจับฉลากด้วยซ้ำ!

พวกเขาช่างเย่อหยิ่งจริงๆ! ในความคิดของคนเหล่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะได้อยู่ในสายการประลองไหน พวกเขาก็จะเป็นอันดับ 1 ในสายนั้นอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่อยากแม้แต่จะรับรู้ว่ากลุ่มอื่นจะได้อยู่สายไหนบ้าง แน่นอนความเย่อหยิ่งของพวกเขาก็มาจากอำนาจที่พวกเขามีเช่นกัน แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะรู้อยู่แก่ใจ แต่นั่นก็ทำให้เขามีความมุ่งมั่นขึ้นมา เขาจะไม่ยอมแพ้และจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปให้ได้!

ตัวแทนจับฉลากของอาณาจักรคาลิเซคือไป๋จิ่วและผู้ติดตามตัวน้อยของเขา เนื่องจากพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมงานประลองก่อนหน้านี้ เรือนของพวกเขาจึงอยู่ในตำแหน่งที่ไกลที่สุด

น่าเสียดายที่ความปรารถนาของโจวเหว่ยชิงไม่เป็นจริงเพราะว่าเขาไม่ได้อยู่ในสายการประลองเดียวกันกับอาณาจักรคาลิเซ อย่างไรก็ตาม โลกก็ยังกลมจริงๆ เมื่อโจวเหว่ยชิงตรวจสอบกลุ่มผู้เข้าแข่งใน ‘สายที่ 3’ ของเขา เขาก็ตระหนักได้ว่ากลุ่มของพวกเขาอยู่สายเดียวกันกับอาณาจักรป่ายต้า! ถึงอย่างไรศัตรูก็มักจะต้องวนมาเจอกันเสมอ!

สำหรับสายที่ 3 กลุ่มตัวเต็งที่ได้รับการคัดเลือกมาจากอาณาจักรใหญ่ทางตอนใต้ของดินแดนไร้ขอบเขตอย่างอาณาจักรตันตุ้นนั้นมีหุบเขาอเวจีสีเลือด 1 ใน 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์คอยสนับสนุนอยู่ อาณาจักรตันตุ้นมีขนาดใหญ่พอๆ กับอาณาจักรเฟยหลี่ แต่ด้วยหุบเขาอเวจีสีเลือดที่คอยสนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง พลังโดยรวมของกลุ่มจากอาณาจักรตันตุ้นจึงแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรเฟยหลี่มาก

นอกจากกลุ่มนักรบจากอาณาจักรตันตุ้น เฟยหลี่ และป่ายต้าแล้ว อีก 3 กลุ่มในสายการประลองของพวกเขายังมาจากอาณาจักรเหมี่ยว อาณาจักรเตี่ยเซิง และอาณาจักรคาซี

อาณาจักรทั้ง 3 แห่งนี้เป็นอาณาจักรจากฝั่งตะวันออกที่ค่อนข้างเล็ก แต่แม้ว่าจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีพลังมากกว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์หรืออาณาจักรคาลิเซอยู่ดี

ทางตะวันออกของดินแดนไร้ขอบเขตมีอาณาจักรที่ทรงพลังอยู่ 2 แห่งคืออาณาจักรแอมเบอร์และอาณาจักรเจอร์รีคอนนอธ อาณาจักรใหญ่ทั้ง 2 แห่งนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอาณาจักรแอมเบอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากหุบเขาทิศตะวันออกอย่างหุบเขาหลงใหล ภายใต้แรงกดดันของอาณาจักรทั้ง 2 นี้ อาณาจักรเล็กๆ ที่อยู่รายรอบจึงต้องจ่ายส่วยให้กับพวกเขาเพื่อเป็นค่าคุ้มครอง อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับทางฝั่งตะวันตกที่อาณาจักรป่ายต้าและอาณาจักรเฟยหลี่เป็นศัตรูกัน อาณาจักรแอมเบอร์และอาณาจักรเจอร์รีคอนนอธก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีนัก โชคดีที่พวกเขาอยู่ห่างกันมาก อาณาจักรหนึ่งอยู่สุดตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนอีกอาณาจักรอยู่สุดตะวันออกเฉียงเหนือโดยมีอาณาจักรเล็กๆ อีก 17 แห่งแยกพวกเขาออกจากกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ทะเลาะรบรากันมากนัก

ยิ่งไปกว่านั้น อาณาจักรเล็กๆเหล่านี้ยังอยู่ใกล้กับอาณาจักรจ้งเทียนตอนกลาง นั่นจึงส่งผลให้อาณาจักรใหญ่ทั้ง 2 แห่งนี้ไม่กล้ารุกรานพวกเขาง่ายๆ แน่นอนว่านั้นทำให้ทุกอย่างยังคงสงบสุขเรียบร้อยดี

สำหรับ 7 อาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน มี 4 แห่งได้รับการสนับสนุนจากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อาณาจักรวั่นโซ่ว อาณาจักรจ้งเทียน อาณาจักรตันตุ้นและอาณาจักรแอมเบอร์ และพวกเขาก็ยังเป็นกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 อีกด้วย ส่วนอีก 3 อาณาจักรทรงพลังที่เหลือนั้น อาจกล่าวได้ว่าอาณาจักรป่ายต้าและอาณาจักรเฟยหลี่ถูกจัดอยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้นสายการประลองที่ 3 จึงถือว่าเป็นสายแห่งหายนะเนื่องจากรวบรวมอาณาจักรที่ทรงพลังเอาไว้ นอกจากนี้ ทั้ง 2 อาณาจักรยังเป็นศัตรูเก่ากันอีกด้วย! แน่นอนว่าตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่ากลุ่มนักรบอาณาจักรเฟยหลี่ไม่มีความพร้อมมากนัก พวกเขามีเพียงโจวเหว่ยชิงที่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุดเป็นหัวหน้ากลุ่มเท่านั้น

ในลำดับต่อไป พวกเขาจะต้องจับฉลากเพื่อหาคู่ต่อสู้กลุ่มแรก คราวนี้โชคของโจวเหว่ยชิงดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อยโดย เขาจับฉลากได้หนึ่งในกลุ่มที่อ่อนแอกว่า นั่นก็คือกลุ่มที่มาจากอาณาจักรเหมี่ยว

เมื่อเห็นผลเช่นนั้น เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอาณาจักรป่ายต้าในรอบแรกโดยที่หลินเทียนอ้าวและคนที่เหลือไม่สามารถต่อสู้ได้ เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะพวกเขาไปได้เช่นกัน ทว่าเพื่อที่จะเข้าสู่ 8 อันดับแรก นี่ก็เป็นการต่อสู้ที่สำคัญมากสำหรับพวกเขา ด้านอาณาจักรป่ายต้า พวกเขาโชคร้ายจับฉลากได้กลุ่มตัวเต็งอย่างอาณาจักรตันตุ้น

ขั้นตอนการจับฉลากทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และในตอนท้าย ขณะที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังจะมุ่งหน้ากลับออกไป ทันใดนั้นร่างยของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หยุดชะงักและสั่นสะท้าน ดวงตาของเธอจับจ้องและจดจ่อไปยังทิศทางหนึ่งราวกับเห็นบางสิ่งที่ทำให้เธอตกใจอย่างมาก

แม้ว่ากลุ่มคนเหล่านั้นจะติดตามไป๋จิ่วมา แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สนใจกลุ่มของโจวเหว่ยชิงเลย ราวกับว่าพวกเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ นี่เป็นสิ่งที่จุดประกายให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกตื่นตัวมากที่สุด

ไป๋จิ่วเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเจ้าจะเปรียบเทียบกับอาณา จักรคาลิเซของเราได้อย่างไร! คนที่อยู่ข้างหลังข้าล้วนแต่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเจ้ามีจ้าวมณีสวรรค์มากมายขนาดนี้ไหมล่ะ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา “ข้าไม่ได้ทรยศอาณาจักรของข้า ไม่ใช่ทั้งตอนนี้และหลังจากนี้ อาณาจักรคาลิเซของเจ้ามีอำนาจมากพอจะเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ด้วยหรือ? หึ จากที่ข้าเห็น เจ้าก็เป็นแค่กลุ่มลำดับที่ 2 ของอาณาจักรป่ายต้า”

“แล้วยังไง!” ความเกลียดรุนแรงฉายชัดในดวงตาของไป๋จิ่ว ตอนนั้นพวกมันถึงกับทำให้เขาฉี่ราดกางเกง แน่นอนว่าเหตุการณ์นั้นจะอยู่ในใจของเขาตลอดไป! สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แม้ว่าเธอจะเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง แต่ในใจของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ไม่มีวันที่จะมีความรู้สึกอ่อนโยนและถนุถนอมกับผู้หญิงเช่นนี้ได้ “แม้ว่าเราจะเป็นกลุ่มลำดับที่ 2 ของอาณาจักรป่ายต้า แต่อย่างน้อยนั่นก็แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรป่ายต้าสนับสนุนพวกเรา แล้วพวกเจ้าล่ะ? แม้จะเข้าร่วมกับอาณาจักรเฟยลี่ แต่ด้วยระดับพลังปราณของเจ้า เจ้าก็น่าจะเป็นแค่สมาชิกกลุ่มสำรองเท่านั้น ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็ได้เป็นผู้นำกลุ่มอาณาจักรคาลิเซ แม้ว่าข้าจะเข้าสู่สนามรบไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าเจ้าที่ถูกคนอื่นควบคุม”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยากจะโต้เถียงต่อ แต่กลับถูกโจวเหว่ยชิงรั้งไว้ “ปิงเอ๋อร์ ไปกันเถอะ” หลังจากพูดแบบนั้น เขาก็พาซ่างกวนปิงเอ๋อร์และอู่หยาออกไปจากที่นั่นทันที

ขณะที่พวกเขาเดินผ่านไป๋จิ่ว ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็หรี่ลงขณะที่เขาพูดเบาๆ ราวกระซิบ “ข้าหวังว่าพวกเราจะโชคดีตอนจับฉลากและถูกจัดให้อยู่ในสายเดียวกันกับกลุ่มอาณาจักรคาลิเซของเจ้า” แม้ว่าเขาอยากจะฆ่าคนผู้นี้ แต่เขาก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เพราะถึงอย่างไรเวลานี้พวกเขาก็ยังอยู่ในจุดลงทะเบียนงานประลองมณีสวรรค์

“เจ้า…” ไป๋จิ่วกำลังจะโต้กลับ แต่ร่างของทั้ง 3 คนก็ได้หายลับตาไปแล้ว หลัวเซียวเย่ ผู้ติดตามที่ภักดีของเขารีบร้อนพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท อย่าลดตัวลงไปเถียงกับพวกเขาเลย นั่นจะส่งผลต่อแผนการอันยิ่งใหญ่ของเรานะขอรับ”

ไป๋จิ่วมองผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของเขา จากนั้นอารมณ์ของเขาก็สงบลงทันตาเห็น เขาลูบใบหน้าตนเองพลางเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “เอาล่ะ ข้าจะปล่อยพวกมันไปก่อนก็ได้ หึ! ควรจะเป็นข้าต่างหากที่พูดว่าจะได้เจอพวกมันในงานประ ลอง!”

หลัวเซียวเย่หน้าแดงเล็กน้อย มองไปที่ไป๋จิ่วด้วยสีหน้างุนงง

เมื่อพวกเขาก้าวเข้าสู่จตุรัสอีกครั้ง โจวเหว่ยชิงก็ปลดปล่อยลมหายใจที่อดกลั้นเอาไว้ออกมา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ากล้ามเนื้อของเขากำลังเกร็งแน่น

โจวเหว่ยชิงเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพึมพำกับตัวเอง “งานประลองมณีสวรรค์รอบต่อไป ข้าจะนำอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราเข้าสู่เวทีนี้อย่างแน่นอน ในตอนนั้น เราจะมีเพียงเป้าหมายเดียวคือผู้ชนะอันดับ 1”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายของโจวเหว่ยชิงก่อนที่พวกเขาจะไปถึงโรงเตี๊ยม เขาไม่ได้เดินเลือกซื้อขนมและอาหารตามที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้ ทำเพียงแค่รีบร้อนกลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้วปิดห้องฝึกปราณ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้พยายามปลอบโยนเขาเช่นกัน เธอรู้ว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของผู้ชายของตนได้ถูกจุดขึ้นมาแล้ว นั่นไม่ใช่เพราะองค์ชาย 9 แต่เป็นเพราะความอ่อนแอของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของพวกเขาต่างหากที่เป็นตัวกระตุ้นชั้นดี

พริบตาเดียว เวลา 3 วันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าก็ถึงเวลาที่กลุ่มของพวกเขาจะต้องออกไปจับฉลากเลือกสาย

ขณะนี้ยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก แต่เมืองจ้งเทียนก็คึกคักไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาลแล้ว ตั้งแต่คืนก่อน ประตูทางเข้าเมืองชั้นในก็เริ่มถูกควบคุมโดยทหารเนื่องจากพวกเขาต้องชะลอการหลั่งไหลเข้ามาของผู้เข้าชมจำนวนมาก งานประ ลองมณีสวรรค์นั้นเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมอยู่แล้ว แต่เพราะมีผู้อยู่อาศัยในเมืองชั้นนอกมากเกินไป หากทุกคนพยายามบุกเข้าไปในเมืองชั้นใน แน่นอนว่าย่อมไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับทุกคน

แม้ว่าการแข่งจริงจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่พิธีจับฉลากก็ยังดึงดูดผู้ชมได้เป็นจำนวนมาก ท้ายที่สุดแล้วประชาชนจำนวนมากก็ยังต้องการทราบว่าแต่ละกลุ่มจะได้แข่งกับใครบ้าง หลายคนถึงกับตั้งโต๊ะเดิมพันในงานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้เลยทีเดียว

ตอนนี้พระราชวังถูกปิดล้อมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พื้นที่ตั้งแต่ตัวปราสาทไปจนถึงรูปปั้นขนาดใหญ่ดูแตกต่างไปจากเดิมเป็นอย่างมาก

ด้านหน้าของพระราชวังมีการสร้างแท่นที่นั่งสูง 20 เมตรซึ่งจะใช้สำหรับรองรับผู้ชมและสามารถจุคนได้หลายร้อยคนในคราวเดียว ทว่าเห็นได้ชัดว่ามีเพียงชนชั้นสูงของอาณาจักรจ้งเทียนและแขกคนสำคัญอื่นๆ เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ขึ้นไปนั่งบนเวที

ด้านหน้าของที่นั่งของเหล่าคนสำคัญมีเวทีสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวและกว้าง 50 เมตร สูงประมาณ 5 เมตร เมื่ออยู่บนแท่นนั่งสามารถมองเห็นบนเวทีได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่านั่นคือเวทีนั้นคือสถานที่ที่ทุกกลุ่มจะต้องขึ้นไปทำการประลองกัน

เวทีการประลองทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยหินเพชรขนาดมหึมาซึ่งเป็นวัสดุที่แข็งแกร่งและทนทานมาก ทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายก็เพื่อป้องกันไม่ให้จ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังเผลอทำลายเวทีด้วยพลังการโจมตีของพวกเขา

นอกจากนั้น บริเวณรอบๆ เวทีการประลอง นอกจากแท่นที่นั่งของบุคคลสำคัญแล้ว อีก 3 ด้านยังล้อมรอบไปด้วยสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ เห็นได้ชัดว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาให้กลุ่มจากอาณาจักรต่างๆ ได้เข้าพักและรับชมการประลอง

มีอาณาจักรทั้งหมด 24 แห่งลงทะเบียนเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ในปีนี้ การแข่งขันจึงแบ่งออกเป็น 4 สาย สายละ 6 กลุ่ม ดังนั้นจึง มีสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด 24 หลังตั้งล้อมเวทีเอาไว้ ในบรรดาเรือนเหล่านั้น หลังที่หันหน้าเข้าหาแท่นที่นั่งของผู้ชมกิตติมาศักดิ์และตั้งอยู่ตรงข้ามของเวทีประลองพอดีคือเรือน 4 หลังใหญ่ที่โดดเด่นสะดุดตา แน่นอนว่าเรือนเหล่านั้นมีไว้สำหรับกลุ่มตัวเต็งทั้งหลาย เห็นได้ชัดว่าฐานะและอันดับมีความสำคัญเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

เมื่อดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นกลางท้องฟ้า กลุ่มนักรบจากอาณาจักรต่างๆ ก็ถูกตรวจสอบป้ายอนุญาตเพื่อให้สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ หน้าเรือนพักแต่ละหลังมีชื่ออาณาจักรติดอยู่ที่ประตู พวกเขาจึงสามารถเดินเข้าไปในเรือนที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ได้ทันที

สำหรับกลุ่มจากอาณาจักรเฟยหลี่ มีเพียงโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เท่านั้นที่เข้ามายังเรือนที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ สำหรับกลุ่มอื่นๆก็เหมือนกัน มีสมาชิกเพียง 1 ถึง 2 คนเท่านั้นที่มาที่นี่ บางครั้งรูปลักษณ์และลักษณะนิสัยของจ้าวมณีสวรรค์ก็อาจเปิดเผยสิ่งที่พวกเขาถนัดออกมาได้ เนื่องจากงานประลองยังไม่เริ่มขึ้น พวกเขาจึงไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถของตัวเองเร็วเกินไป

ในระหว่างการประลองครั้งก่อน กลุ่มจากอาณาจักรเฟยหลี่ทำผลงานได้ดีเป็นอันดับที่ 5 ด้วยเหตุนี้เรือนของพวกเขาจึงตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 และเป็นหนึ่งในเรือนพักที่ใหญ่โตรองลงมาจากเรือนทั้ง 4 หลัง

ขณะที่โจวเหว่ยชิงเดินไปยังเรือนพักของพวกเขา เขาก็หยุดอยู่ที่ประตูและมองไปยังเรือนของกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 อย่างสงสัย ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น กลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 ไม่ใส่ใจแม้กระทั่งส่งคนมาจับฉลากด้วยซ้ำ!

พวกเขาช่างเย่อหยิ่งจริงๆ! ในความคิดของคนเหล่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะได้อยู่ในสายการประลองไหน พวกเขาก็จะเป็นอันดับ 1 ในสายนั้นอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่อยากแม้แต่จะรับรู้ว่ากลุ่มอื่นจะได้อยู่สายไหนบ้าง แน่นอนความเย่อหยิ่งของพวกเขาก็มาจากอำนาจที่พวกเขามีเช่นกัน แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะรู้อยู่แก่ใจ แต่นั่นก็ทำให้เขามีความมุ่งมั่นขึ้นมา เขาจะไม่ยอมแพ้และจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปให้ได้!

ตัวแทนจับฉลากของอาณาจักรคาลิเซคือไป๋จิ่วและผู้ติดตามตัวน้อยของเขา เนื่องจากพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมงานประลองก่อนหน้านี้ เรือนของพวกเขาจึงอยู่ในตำแหน่งที่ไกลที่สุด

น่าเสียดายที่ความปรารถนาของโจวเหว่ยชิงไม่เป็นจริงเพราะว่าเขาไม่ได้อยู่ในสายการประลองเดียวกันกับอาณาจักรคาลิเซ อย่างไรก็ตาม โลกก็ยังกลมจริงๆ เมื่อโจวเหว่ยชิงตรวจสอบกลุ่มผู้เข้าแข่งใน ‘สายที่ 3’ ของเขา เขาก็ตระหนักได้ว่ากลุ่มของพวกเขาอยู่สายเดียวกันกับอาณาจักรป่ายต้า! ถึงอย่างไรศัตรูก็มักจะต้องวนมาเจอกันเสมอ!

สำหรับสายที่ 3 กลุ่มตัวเต็งที่ได้รับการคัดเลือกมาจากอาณาจักรใหญ่ทางตอนใต้ของดินแดนไร้ขอบเขตอย่างอาณาจักรตันตุ้นนั้นมีหุบเขาอเวจีสีเลือด 1 ใน 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์คอยสนับสนุนอยู่ อาณาจักรตันตุ้นมีขนาดใหญ่พอๆ กับอาณาจักรเฟยหลี่ แต่ด้วยหุบเขาอเวจีสีเลือดที่คอยสนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง พลังโดยรวมของกลุ่มจากอาณาจักรตันตุ้นจึงแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรเฟยหลี่มาก

นอกจากกลุ่มนักรบจากอาณาจักรตันตุ้น เฟยหลี่ และป่ายต้าแล้ว อีก 3 กลุ่มในสายการประลองของพวกเขายังมาจากอาณาจักรเหมี่ยว อาณาจักรเตี่ยเซิง และอาณาจักรคาซี

อาณาจักรทั้ง 3 แห่งนี้เป็นอาณาจักรจากฝั่งตะวันออกที่ค่อนข้างเล็ก แต่แม้ว่าจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีพลังมากกว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์หรืออาณาจักรคาลิเซอยู่ดี

ทางตะวันออกของดินแดนไร้ขอบเขตมีอาณาจักรที่ทรงพลังอยู่ 2 แห่งคืออาณาจักรแอมเบอร์และอาณาจักรเจอร์รีคอนนอธ อาณาจักรใหญ่ทั้ง 2 แห่งนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอาณาจักรแอมเบอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากหุบเขาทิศตะวันออกอย่างหุบเขาหลงใหล ภายใต้แรงกดดันของอาณาจักรทั้ง 2 นี้ อาณาจักรเล็กๆ ที่อยู่รายรอบจึงต้องจ่ายส่วยให้กับพวกเขาเพื่อเป็นค่าคุ้มครอง อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับทางฝั่งตะวันตกที่อาณาจักรป่ายต้าและอาณาจักรเฟยหลี่เป็นศัตรูกัน อาณาจักรแอมเบอร์และอาณาจักรเจอร์รีคอนนอธก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีนัก โชคดีที่พวกเขาอยู่ห่างกันมาก อาณาจักรหนึ่งอยู่สุดตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนอีกอาณาจักรอยู่สุดตะวันออกเฉียงเหนือโดยมีอาณาจักรเล็กๆ อีก 17 แห่งแยกพวกเขาออกจากกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ทะเลาะรบรากันมากนัก

ยิ่งไปกว่านั้น อาณาจักรเล็กๆเหล่านี้ยังอยู่ใกล้กับอาณาจักรจ้งเทียนตอนกลาง นั่นจึงส่งผลให้อาณาจักรใหญ่ทั้ง 2 แห่งนี้ไม่กล้ารุกรานพวกเขาง่ายๆ แน่นอนว่านั้นทำให้ทุกอย่างยังคงสงบสุขเรียบร้อยดี

สำหรับ 7 อาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน มี 4 แห่งได้รับการสนับสนุนจากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อาณาจักรวั่นโซ่ว อาณาจักรจ้งเทียน อาณาจักรตันตุ้นและอาณาจักรแอมเบอร์ และพวกเขาก็ยังเป็นกลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 อีกด้วย ส่วนอีก 3 อาณาจักรทรงพลังที่เหลือนั้น อาจกล่าวได้ว่าอาณาจักรป่ายต้าและอาณาจักรเฟยหลี่ถูกจัดอยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้นสายการประลองที่ 3 จึงถือว่าเป็นสายแห่งหายนะเนื่องจากรวบรวมอาณาจักรที่ทรงพลังเอาไว้ นอกจากนี้ ทั้ง 2 อาณาจักรยังเป็นศัตรูเก่ากันอีกด้วย! แน่นอนว่าตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่ากลุ่มนักรบอาณาจักรเฟยหลี่ไม่มีความพร้อมมากนัก พวกเขามีเพียงโจวเหว่ยชิงที่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุดเป็นหัวหน้ากลุ่มเท่านั้น

ในลำดับต่อไป พวกเขาจะต้องจับฉลากเพื่อหาคู่ต่อสู้กลุ่มแรก คราวนี้โชคของโจวเหว่ยชิงดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อยโดย เขาจับฉลากได้หนึ่งในกลุ่มที่อ่อนแอกว่า นั่นก็คือกลุ่มที่มาจากอาณาจักรเหมี่ยว

เมื่อเห็นผลเช่นนั้น เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอาณาจักรป่ายต้าในรอบแรกโดยที่หลินเทียนอ้าวและคนที่เหลือไม่สามารถต่อสู้ได้ เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะพวกเขาไปได้เช่นกัน ทว่าเพื่อที่จะเข้าสู่ 8 อันดับแรก นี่ก็เป็นการต่อสู้ที่สำคัญมากสำหรับพวกเขา ด้านอาณาจักรป่ายต้า พวกเขาโชคร้ายจับฉลากได้กลุ่มตัวเต็งอย่างอาณาจักรตันตุ้น

ขั้นตอนการจับฉลากทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และในตอนท้าย ขณะที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังจะมุ่งหน้ากลับออกไป ทันใดนั้นร่างยของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หยุดชะงักและสั่นสะท้าน ดวงตาของเธอจับจ้องและจดจ่อไปยังทิศทางหนึ่งราวกับเห็นบางสิ่งที่ทำให้เธอตกใจอย่างมาก

หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและกล่าวว่า “นั่นก็เป็นทางเลือกที่กลุ่มอื่นๆ คิดเอาไว้เช่นกัน อย่างน้อยก็เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะเก็บแรงไว้เพื่อเอาชนะกลุ่มที่มาจากอาณาจักรอื่นๆ เพื่อเข้าสู่ 8 อันดับแรกให้ได้”

“ถึงอย่างไรกลุ่มตัวเต็งเหล่านี้ก็ทรงพลังมาก แม้ว่าเราจะเอาชนะพวกเขาได้จริงๆ แต่นั่นก็ย่อมมาพร้อมกับความเสียหายที่รุนแรง หากเป็นเช่นนั้นเราจะมีพลังเหลือไว้ต่อสู้กับกลุ่มอื่นๆเพื่อเข้าสู่ 8 อันดับแรกได้อย่างไร? นี่ยังไม่รวมพวกกลุ่มตัวเต็งในสายอื่นๆ อีก”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้า อย่างไรก็ตาม ความคิดบางอย่างก็ผุดวาบขึ้นมาในใจของเขา บางทีหากสถานการณ์เอื้ออำนวย อาจไม่จำเป็นต้องรอถึงรอบ 8 อันดับแรกเพื่อต่อสู้กับกลุ่มตัวเต็งก็เป็นได้

“กฎการประลองเป็นเช่นนั้น แล้วการต่อสู้จริงล่ะ? เป็นการต่อแบบสู้เดี่ยวหรือแบบกลุ่ม?” โจวเหว่ยชิงกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ เขาจึงขอรายละเอียดเพิ่มเติมจากหลินเทียนอ้าว

หลินเทียนอ้าวกล่าวว่า “รอบอุ่นเครื่องเป็นการต่อสู้แบบเดี่ยว 4 รอบและแบบคู่ 1 รอบ สำหรับรอบชิงชนะเลิศเป็นแบบแพ้คัดออก กล่าวคือแต่ละกลุ่มจะส่งสมาชิก 5 คนออกไปผลัดกันต่อสู้แบบเดี่ยว ผู้ชนะยังคงอยู่บนสนาม ส่วนผู้แพ้จะถูกคัดออกไปเรื่อยๆจนกว่ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะตกรอบทั้ง 5 คน ส่วนการต่อสู้ในระดับสูงขึ้นไปอย่างการประลองของ 4 อันดับแรก ข้าไม่แน่ใจว่ารูปแบบเป็นอย่างไร”

“สำหรับประลองเดี่ยวในรอบอุ่นเครื่องทั้ง 4 รอบ จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไปประลองเดี่ยวได้ 2 ครั้ง ทว่าในการแข่งขันแบบคู่ สมาชิกที่เป็นตัวแทนการต่อสู้แบบเดี่ยวอาจออกไปต่อสู้แบบคู่ได้อีกครั้ง”

กฎและรูปแบบการประลองนั้นค่อนข้างเรียบง่าย ด้วยคำอธิบายของหลินเทียนอ้าว ทุกคนจึงสามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุผลหลักที่หลินเทียนอ้าวเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของโจวเหว่ยชิงที่ให้ทุกคนเข้าร่วมการประลองต่อ จริงๆแล้วก็เป็นไปได้ที่จะต่อสู้ด้วยสมาชิกเพียง 4 คนในรอบอุ่นเครื่อง แม้ว่านั่นจะยากลำบากมากก็ตาม โดยเฉพาะสมาชิกที่จะต้องต่อสู้ 2 ครั้งในการประลองแบบเดี่ยวและแบบคู่

“ในรอบอุ่นเครื่อง เราจำเป็นต้องชนะ 3 ใน 5 เท่านั้น 2 รอบแรกจะเป็นการต่อสู้แบบเดี่ยว จากนั้นก็เป็นการแข่งแบบคู่ ปิดท้ายด้วยการแข่งขันแบบเดี่ยวอีก 2 รอบ ดังนั้น ตราบใดที่เราชนะการประลอง 3 รอบแรกทั้งหมด ก็เป็นไปได้ที่สมาชิกทั้ง 4 คนจะต้องเหนื่อยเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะเราสามารถแพ้รอบที่ 4 และ 5 ได้”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

หลินเทียนอ้าวกล่าวต่อ “เหว่ยชิง จุดลงทะเบียนอยู่ใกล้ประตูราชวังอาณาจักรจ้งเทียน ตอนนี้เจ้าจงไปที่นั่นเพื่อลงทะเบียนให้กลุ่มของพวกเรา เมื่อวานนี้ข้าได้มอบเอกสารที่จำเป็นทั้งหมดให้เจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าสามารถตรงไปที่นั่นและรับแผ่นป้ายประจำกลุ่มของเรามาได้เลย พวกข้าจะรออยู่ที่นี่เพื่อฟื้นฟูพลังและฝึกปราณ พวกเราจะออกไปก็ต่อเมื่อถึงวันจับฉลากแบ่งสายก่อนที่งานประลองจะเริ่มขึ้น”

“เอาล่ะทุกคน พักผ่อนอยู่ที่นี่เถอะ ข้าจะออกไปแล้ว ปิงเอ๋อร์ มากับข้า”

“ข้าก็อยากไปด้วย!” อู่หยาจับแขนของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น แม้ว่าเธอจะมีร่างกายที่ใหญ่โต แต่เธอก็ยังเด็กมากและยังคงมีนิสัยเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วๆ ไป ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในสถานที่ลึกลับแห่งใหม่ เธอจึงอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่ง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกอู่หยาจับแขนเอาไว้ เมื่อทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันทำให้ขนาดของทั้งคู่แตกต่างกันมากขึ้นไปอีก

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและกล่าวว่า “เอาล่ะ งั้นไปด้วยกันเถอะ มาสิ”

เมืองหลวงจ้งเทียนมีขนาดใหญ่มาก ขณะที่พวกเขาเข้ามาถึงในเมืองเมื่อคืนก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว ความยิ่งใหญ่ของเมืองแห่งนี้จึงไม่ได้โดดเด่นกระแทกตาพวกเขามากนัก แต่เมื่อพวกเขาก้าวออกไปข้างนอกโรงเตี๊ยม แม้ว่าเวลานี้จะยังเป็นเวลาเช้าตรู่ แต่ความพลุกพล่านวุ่นวายในเมืองก็วิ่งเข้าสู่สายตาของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ตึกรามบ้านช่องล้วนสูงตระหง่าน ส่วนใหญ่มีความสูง 3 ชั้นขึ้นไปทั้งนั้น อาคารเหล่านี้ค่อนข้างแปลกตาและดูเป็นการออกแบบที่เก่าแก่โบราณ มีรูปปั้นและงานแกะสลักติดอยู่รอบผนังกำแพงและหลังคาบ้านเรือน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของใหม่ แต่ก็มีกลิ่นอายศิลปะโบราณและลึกลับ ทั้งหมดนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากที่อื่นๆ ศิลปะและวัฒนธรรมของเมืองนี้ดูล้ำลึกกว่าเมืองเฟยหลี่มากนัก

ขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนน ร่างของอู่หยาก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี แม้แต่ความงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็แทบจะถูกละเลยไปด้วยเหตุนี้ เห็นได้ชัดจากการที่ผู้สัญจรไปมาเกือบทุกคนมักจะจ้องอู่หยาขณะที่พวกเขาเดินสวนไป

อู่หยาดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจสายตาแปลกๆ พวกนั้นมากนัก เธอจึงสามารถเดินต่อไปอย่างเยือกเย็นโดยไม่รู้สึกลำบากใจ แม้บางครั้งจะตะโกนออกมาบ้างว่า “เจ้าจะจ้องมองอะไรกันนัก ไม่เคยเห็นหญิงงามมาก่อนเลยหรือ?!”

ผิวหน้าของโจวเหว่ยชิงนั้นหนาโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกลำบากใจเช่นกัน เขาทำเพียงแค่จับมือเล็กๆที่อ่อนนุ่มของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขณะสอดส่องสายตาไปยังร้านค้าต่างๆ อย่างสนอกสนใจ สินค้าท้องถิ่นในเมืองจ้งเทียนเป็นของแปลกใหม่สำหรับเขา และเขาก็ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินเกี่ยวกับพวกมันมาก่อน แน่นอนสิ่งที่ดึงดูดเขามากที่สุดคือร้านขายอาหาร กลิ่นหอมอบอวลเหล่านั้นทำให้ท้องของเขาร้องดังโครกครากและกระตุ้นให้เขาเริ่มอยากอาหาร อย่างไรก็ตาม เขาก็ตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่ออาหารเหล่านั้นและลงทะเบียนให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจปล่อยให้เพื่อนที่บาดเจ็บทนหิวอยู่ในโรงเตี๊ยมในขณะที่พวกเขาเล่นสนุกอยู่ข้างนอกได้ เมื่อเดินกลับมาที่นี่อีกครั้ง เขาก็สามารถซื้ออาหารกลับไปรับประทานร่วมกันได้

พวกเขาตามหาพระราชวังพบได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ถามทางกับกลุ่มคนที่เดินสวนไปมา ไม่นานพวกเขาก็มาถึงจุดลงทะเบียนจนได้ แม้ว่าเมืองชั้นในจะยังคงมีขนาดใหญ่มาก แต่ก็ยังถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับเมืองชั้นนอกทั้งหมด ไม่นานพวกเขาก็มาถึงหน้าพระราชวังจ้งเทียนที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองชั้นใน

“สมกับเป็นอาณาจักรใหญ่! ช่างเป็นพระราชวังที่งดงามมาก!” เมื่อมองไปที่ลานจตุรัสหน้าพระราชวังซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า 1 ตารางกิโลเมตร โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะอุทานกับตัวเอง ตรงใจกลางจตุรัสมีรูปปั้นขนาดใหญ่สูง 30 เมตรซึ่งดึงดูดความสนใจของพวกเขาทันทีที่มาถึง

รูปปั้นนั้นเป็นผู้ชายที่มีผมยาวเคลียไหล่ผู้หนึ่ง เขามีรูปร่างแข็งแรงกำยำ บนแผ่นหลังมีปีกขนาดใหญ่ยื่นออกมา สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของโจวเหว่ยชิงได้ในทันทีก็คือไข่มุก12 ดวงที่แกะสลักอยู่รอบข้อมือของเขา แม้ว่ารูปปั้นนั้นจะไม่ได้ทาสี แต่จำนวนมณีเพียงอย่างเดียวก็บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของเขาได้แล้ว! มันแสดงให้เห็นว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงของมณีสวรรค์ทั้ง 12 ชุดเสร็จสมบูรณ์แล้ว นี่คือผู้ทรงพลังระดับเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด! เป็นไปได้หรือไม่ว่าในอาณาจักรจ้งเทียนแห่งนี้มีจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทพเจ้าที่มีมณี 12 ชุดอยู่จริงๆ?

ลานจตุรัสหน้าพระราชวังไม่ได้เป็นเขตหวงห้ามอันใด ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นว่ามีผู้คนจำนวนมากเดินไปที่รูปปั้นขนาดใหญ่นั้นเพื่อสักการะบูชาเขา เมื่อมองไปยังใบหน้าที่เปี่ยมศรัทธาของผู้คนก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคคลในรูปปั้นนั้นจะต้องมีสถานะที่สูงส่งมากเพียงใดในอาณาจักรจ้งเทียน

พวกเขาซักถามคนที่เดินผ่านไปมาอย่างรวดเร็วและในไม่ช้าพวกเขาก็พบว่ารูปปั้นนั้นคือจักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักรจ้งเทียน ชื่อของเขาคือซ่างกวนยู่หลง เขาไม่เพียงแต่ก่อตั้งอาณาจักรจ้งเทียนเท่านั้น แต่ยังได้สร้างเกาะมณีสวรรค์และวังสวรรค์ไพศาลขึ้นมาด้วย ดังนั้นเขาจึงเป็นปฐมกษัตริย์ที่แท้จริงของอาณาจักรจ้งเทียน รูปปั้นถูกแกะสลักจากเพชรและจะยืนยงคงกระพันเช่นนี้ตลอดไป นับตั้งแต่ที่รูปปั้นถูกสร้างขึ้น เขาผู้นั้นก็ยืนอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสายลมกัดเซาะมานานกว่า 2,000 ปี ยืนโดดเด่นเป็นสง่าและคอยกวาดสายตามองทั่วเมืองจ้งเทียนอย่างอาจหาญ

“ปิงเอ๋อร์ ราชวงศ์จักรจ้งเทียนมีนามสกุลเดียวกันกับเจ้าล่ะ!” โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างให้เธอ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “ท่านแม่มักจะไม่เต็มใจพูดเกี่ยวกับท่านพ่อ ตอนที่ข้าอยู่โรงเรียน ข้าเคยถามอาจารย์เกี่ยวกับสกุลของข้า และเขาก็บอกว่าซ่างกวนเป็นตระกูลจากอาณาจักรจ้งเทียน มีความเป็นไปได้ว่าท่านพ่อของข้าอาจมาจากอาณาจักรจ้งเทียนจริงๆ แต่ก่อนที่ข้าจะจำความได้ ท่านแม่ก็ได้นำข้าจากมาแล้ว ข้าจึงไม่เคยเห็นหน้าท่านพ่อมาก่อน”

โจวเหว่ยชิงโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยนและพูดเบาๆ ว่า “ปิงเอ๋อร์ อย่าเศร้าไปเลย หากมีเวลาข้าจะพาเจ้าตระเวนไปรอบๆ อาณาจักรจ้งเทียนเพื่อค้นหาบิดาของเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าก็งดงามมาก ข้าแน่ใจว่าการตามหาบิดาของเจ้าต้องไม่ใช่เรื่องยากแน่นอน”

“อืม”

จากนั้นโจวเหว่ยชิงก็หันไปหาอู่หยาที่กำลังจ้องมองไปยังรูปปั้นนั้นและพูดว่า “อู่หยา ไปกันเถอะ พวกเรายังต้องไปลงทะเบียนอีก”

อู่หยาถอนหายใจอย่างชื่นชมและพูดว่า “คนในรูปปั้นนั้นดูแข็งแกร่งและทรงพลังมาก…หากสวรรค์มอบผู้ชายที่บึกบึนเช่นนี้มาให้เผ่าอีกาทองของเราบ้างจะดีสักแค่ไหนกันหนอ…”

“นี่ ไปกันเถอะ…ข้ามั่นใจว่าสวรรค์จะต้องมอบของขวัญให้เจ้าแน่ แต่หากสวรรค์ไม่ช่วยเจ้า เมื่อพวกเรากลับไป ข้าจะช่วยเจ้าตามหาเอง!” เมื่อได้ยินความปรารถนาต่อบุรุษเพศของอู่หยา โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องตลกเลยแม้แต่น้อย เขาเข้าใจความปรารถนาของอู่หยาอย่างแท้จริง ความกังวลใจเกี่ยวกับความอยู่รอดของเผ่า…นั่นเป็นสิ่งที่เขาสามารถเอื้อนเอ่ยออกไปได้อย่างแท้จริง!

จุดลงทะเบียนสำหรับงานประลองมณีสวรรค์อยู่ใกล้กับประตูทางเข้าพระราชวัง และอาณาจักรจงเทียนก็ให้ความสำคัญกับงานประลองเป็นอย่างมาก พวกเขาสร้างอาคารใหม่ขึ้นเป็นพิเศษเพื่อใช้ลงทะเบียนโดยเฉพาะ มีป้ายขนาดใหญ่ติดไว้ด้านบนอาคารพร้อมกับสลักตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่เอาไว้ว่า “งานประลองมณีสวรรค์”

เมื่อโจวเหว่ยชิงพาเด็กสาวทั้ง 2 เข้าไปในอาคาร ขั้นตอนการลงทะเบียนก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ด้วยจดหมายเชิญและเอกสารประจำตัวจากอาณาจักรเฟยหลี่ที่หลินเทียนอ้าวมอบให้เขาก่อนหน้า เขาจึงสามารถลงทะเบียนและรับแผ่นป้ายประจำกลุ่มมาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เขายังได้รับแจ้งให้กลับไปรายงานตัวที่จตุรัสเพื่อจับฉลากแบ่งสายในอีก 3 วันถัดไป ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยังได้รับรายละเอียดเกี่ยวกับการประลองเพิ่มเติมและกุญแจสำหรับที่พักที่อาณาจักรจ้งเทียนได้จัดเตรียมไว้ให้กลุ่มของพวกเขา แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงไม่คิดจะย้ายคนในกลุ่มออกไปพักที่อื่นอีก เพราะถึงอย่างไรทุกกลุ่มจะต้องอยู่ที่นั่นแน่ และนี่ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่พวกเขาจะเสี่ยงพาตัวเอาเข้าไปสู่ความขัดแย้งใดๆ

เมื่อทั้ง 3 คนลงทะเบียนเสร็จและกำลังมุ่งหน้ากลับออกไป พวกเขาก็พบเข้ากับกลุ่มคนที่กำลังเดินสวนเข้ามา

กลุ่มนี้มีจำนวนมากกว่าสิบคน และพวกเขาก็มาที่นี่เพื่อลงทะเบียนงานประลองเช่นกัน สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือหัวหน้ากลุ่มเป็นคนที่ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็จดจำได้!

ย้อนอดีตกลับไปไม่นาน เมื่อโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้พบกันหลังจากที่มณีแห่งสวรรค์ของเขาได้ตื่นขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ประสบเข้ากับเหตุการณ์ลอบสังหารซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ซึ่งผู้นำในการลอบสังหารครั้งนั้นคือไป๋จิ่ว เจ้าชายลำดับที่ 9 ของอาณาจักรคาลิเซ และในขณะนี้บุคคลผู้นั้นก็อยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว

ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายพบกัน ไป๋จิ่วก็ชะงักไปทันที สำหรับโจวเหว่ยชิง เขาไม่ได้มีความประทับใจอะไรกับอีกฝ่ายมากนัก แต่เขาย่อมจดจำซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างง่ายดาย เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้เป็นเพียงอัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุดจากอาณาจักรศัตรูของเขาและเป็นจ้าวมณีสวรรค์เพียงคนเดียวในรุ่นนี้เท่านั้น แต่เธอก็ยังเป็นผู้ที่มีความงามอันดับหนึ่งและเขาก็ประทับใจในตัวเธอเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยังเคยตกเป็นเป้าหมายในการลอบสังหารของเขามาก่อนด้วย

“เป็นเจ้า?!” ไป๋จิ่วจ้องไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างเร่าร้อน จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองคำว่า ‘งานประลองมณีสวรรค์’ ด้านบน “ช่างเป็นเรื่องน่าขันจริงๆ ที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเจ้าสามารถเข้าสู่งานประลองมณีสวรรค์ได้”

อู่หยายืนอยู่ข้างซ่างกวนปิงเอ๋อร์ กล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “พวกเราเป็นตัวแทนของอาณาจักรเฟยหลี่

ใบหน้าอันหล่อเหลาของไป๋จิ่วแสดงท่าทางรังเกียจออกมาทันที “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าอัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุดของออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ซึ่ง จ้าวมณีสวรรค์เพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา แม่นางซ่างกวนปิงเอ๋อร์ จะละทิ้งอาณาจักรของตนเองและแปรพักตร์มาอยู่กับอาณาจักรเฟยหลี่ ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าอาณาจักรคาลิเซของเราจะสามารถยึดครองอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ได้ในไม่ช้า! โจวสุ่ยหนิวไร้ผู้สืบทอดอย่างแท้จริง!”

โจวเหว่ยชิงเลิกคิ้วขึ้นและถามว่า “เจ้ากำลังบอกว่าตัวเองเป็นตัวแทนของอาณาจักรคาลิเซเข้าร่วมงานประลองงั้นรึ?”

จุดสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ไป๋จิ่ว ท้ายที่สุดแล้วตามความทรงจำของเขา ไป่จิ่วเป็นเพียงจ้าวมณียุทธ์เท่านั้น เขาไม่ใช่จ้าวมณีสวรรค์ ด้วยระดับพลังปราณและพลังในปัจจุบันของเขา ไป่จิ่วไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับเขาแน่นอน คนที่เขาหมายตาคือสหายร่วมกลุ่มของไป่จิ่ว พวกเขาอายุมากกว่า 30 ปีหรือเด็กกว่านั้น แต่ละคนดูหนักแน่นมั่นคง ท่าทางลึกล้ำ และมีสีหน้าเย็นชา แม้ว่าภายนอกพวกเขาจะดูธรรมดา แต่โจวเหว่ยชิงก็สามารถสัมผัสกลิ่นอายอันตรายจากพวกเขาได้

หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและกล่าวว่า “นั่นก็เป็นทางเลือกที่กลุ่มอื่นๆ คิดเอาไว้เช่นกัน อย่างน้อยก็เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะเก็บแรงไว้เพื่อเอาชนะกลุ่มที่มาจากอาณาจักรอื่นๆ เพื่อเข้าสู่ 8 อันดับแรกให้ได้”

“ถึงอย่างไรกลุ่มตัวเต็งเหล่านี้ก็ทรงพลังมาก แม้ว่าเราจะเอาชนะพวกเขาได้จริงๆ แต่นั่นก็ย่อมมาพร้อมกับความเสียหายที่รุนแรง หากเป็นเช่นนั้นเราจะมีพลังเหลือไว้ต่อสู้กับกลุ่มอื่นๆเพื่อเข้าสู่ 8 อันดับแรกได้อย่างไร? นี่ยังไม่รวมพวกกลุ่มตัวเต็งในสายอื่นๆ อีก”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้า อย่างไรก็ตาม ความคิดบางอย่างก็ผุดวาบขึ้นมาในใจของเขา บางทีหากสถานการณ์เอื้ออำนวย อาจไม่จำเป็นต้องรอถึงรอบ 8 อันดับแรกเพื่อต่อสู้กับกลุ่มตัวเต็งก็เป็นได้

“กฎการประลองเป็นเช่นนั้น แล้วการต่อสู้จริงล่ะ? เป็นการต่อแบบสู้เดี่ยวหรือแบบกลุ่ม?” โจวเหว่ยชิงกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ เขาจึงขอรายละเอียดเพิ่มเติมจากหลินเทียนอ้าว

หลินเทียนอ้าวกล่าวว่า “รอบอุ่นเครื่องเป็นการต่อสู้แบบเดี่ยว 4 รอบและแบบคู่ 1 รอบ สำหรับรอบชิงชนะเลิศเป็นแบบแพ้คัดออก กล่าวคือแต่ละกลุ่มจะส่งสมาชิก 5 คนออกไปผลัดกันต่อสู้แบบเดี่ยว ผู้ชนะยังคงอยู่บนสนาม ส่วนผู้แพ้จะถูกคัดออกไปเรื่อยๆจนกว่ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะตกรอบทั้ง 5 คน ส่วนการต่อสู้ในระดับสูงขึ้นไปอย่างการประลองของ 4 อันดับแรก ข้าไม่แน่ใจว่ารูปแบบเป็นอย่างไร”

“สำหรับประลองเดี่ยวในรอบอุ่นเครื่องทั้ง 4 รอบ จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไปประลองเดี่ยวได้ 2 ครั้ง ทว่าในการแข่งขันแบบคู่ สมาชิกที่เป็นตัวแทนการต่อสู้แบบเดี่ยวอาจออกไปต่อสู้แบบคู่ได้อีกครั้ง”

กฎและรูปแบบการประลองนั้นค่อนข้างเรียบง่าย ด้วยคำอธิบายของหลินเทียนอ้าว ทุกคนจึงสามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุผลหลักที่หลินเทียนอ้าวเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของโจวเหว่ยชิงที่ให้ทุกคนเข้าร่วมการประลองต่อ จริงๆแล้วก็เป็นไปได้ที่จะต่อสู้ด้วยสมาชิกเพียง 4 คนในรอบอุ่นเครื่อง แม้ว่านั่นจะยากลำบากมากก็ตาม โดยเฉพาะสมาชิกที่จะต้องต่อสู้ 2 ครั้งในการประลองแบบเดี่ยวและแบบคู่

“ในรอบอุ่นเครื่อง เราจำเป็นต้องชนะ 3 ใน 5 เท่านั้น 2 รอบแรกจะเป็นการต่อสู้แบบเดี่ยว จากนั้นก็เป็นการแข่งแบบคู่ ปิดท้ายด้วยการแข่งขันแบบเดี่ยวอีก 2 รอบ ดังนั้น ตราบใดที่เราชนะการประลอง 3 รอบแรกทั้งหมด ก็เป็นไปได้ที่สมาชิกทั้ง 4 คนจะต้องเหนื่อยเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะเราสามารถแพ้รอบที่ 4 และ 5 ได้”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

หลินเทียนอ้าวกล่าวต่อ “เหว่ยชิง จุดลงทะเบียนอยู่ใกล้ประตูราชวังอาณาจักรจ้งเทียน ตอนนี้เจ้าจงไปที่นั่นเพื่อลงทะเบียนให้กลุ่มของพวกเรา เมื่อวานนี้ข้าได้มอบเอกสารที่จำเป็นทั้งหมดให้เจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าสามารถตรงไปที่นั่นและรับแผ่นป้ายประจำกลุ่มของเรามาได้เลย พวกข้าจะรออยู่ที่นี่เพื่อฟื้นฟูพลังและฝึกปราณ พวกเราจะออกไปก็ต่อเมื่อถึงวันจับฉลากแบ่งสายก่อนที่งานประลองจะเริ่มขึ้น”

“เอาล่ะทุกคน พักผ่อนอยู่ที่นี่เถอะ ข้าจะออกไปแล้ว ปิงเอ๋อร์ มากับข้า”

“ข้าก็อยากไปด้วย!” อู่หยาจับแขนของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น แม้ว่าเธอจะมีร่างกายที่ใหญ่โต แต่เธอก็ยังเด็กมากและยังคงมีนิสัยเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วๆ ไป ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในสถานที่ลึกลับแห่งใหม่ เธอจึงอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างยิ่ง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกอู่หยาจับแขนเอาไว้ เมื่อทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันทำให้ขนาดของทั้งคู่แตกต่างกันมากขึ้นไปอีก

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและกล่าวว่า “เอาล่ะ งั้นไปด้วยกันเถอะ มาสิ”

เมืองหลวงจ้งเทียนมีขนาดใหญ่มาก ขณะที่พวกเขาเข้ามาถึงในเมืองเมื่อคืนก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว ความยิ่งใหญ่ของเมืองแห่งนี้จึงไม่ได้โดดเด่นกระแทกตาพวกเขามากนัก แต่เมื่อพวกเขาก้าวออกไปข้างนอกโรงเตี๊ยม แม้ว่าเวลานี้จะยังเป็นเวลาเช้าตรู่ แต่ความพลุกพล่านวุ่นวายในเมืองก็วิ่งเข้าสู่สายตาของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ตึกรามบ้านช่องล้วนสูงตระหง่าน ส่วนใหญ่มีความสูง 3 ชั้นขึ้นไปทั้งนั้น อาคารเหล่านี้ค่อนข้างแปลกตาและดูเป็นการออกแบบที่เก่าแก่โบราณ มีรูปปั้นและงานแกะสลักติดอยู่รอบผนังกำแพงและหลังคาบ้านเรือน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของใหม่ แต่ก็มีกลิ่นอายศิลปะโบราณและลึกลับ ทั้งหมดนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากที่อื่นๆ ศิลปะและวัฒนธรรมของเมืองนี้ดูล้ำลึกกว่าเมืองเฟยหลี่มากนัก

ขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนน ร่างของอู่หยาก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี แม้แต่ความงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็แทบจะถูกละเลยไปด้วยเหตุนี้ เห็นได้ชัดจากการที่ผู้สัญจรไปมาเกือบทุกคนมักจะจ้องอู่หยาขณะที่พวกเขาเดินสวนไป

อู่หยาดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจสายตาแปลกๆ พวกนั้นมากนัก เธอจึงสามารถเดินต่อไปอย่างเยือกเย็นโดยไม่รู้สึกลำบากใจ แม้บางครั้งจะตะโกนออกมาบ้างว่า “เจ้าจะจ้องมองอะไรกันนัก ไม่เคยเห็นหญิงงามมาก่อนเลยหรือ?!”

ผิวหน้าของโจวเหว่ยชิงนั้นหนาโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกลำบากใจเช่นกัน เขาทำเพียงแค่จับมือเล็กๆที่อ่อนนุ่มของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขณะสอดส่องสายตาไปยังร้านค้าต่างๆ อย่างสนอกสนใจ สินค้าท้องถิ่นในเมืองจ้งเทียนเป็นของแปลกใหม่สำหรับเขา และเขาก็ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินเกี่ยวกับพวกมันมาก่อน แน่นอนสิ่งที่ดึงดูดเขามากที่สุดคือร้านขายอาหาร กลิ่นหอมอบอวลเหล่านั้นทำให้ท้องของเขาร้องดังโครกครากและกระตุ้นให้เขาเริ่มอยากอาหาร อย่างไรก็ตาม เขาก็ตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่ออาหารเหล่านั้นและลงทะเบียนให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจปล่อยให้เพื่อนที่บาดเจ็บทนหิวอยู่ในโรงเตี๊ยมในขณะที่พวกเขาเล่นสนุกอยู่ข้างนอกได้ เมื่อเดินกลับมาที่นี่อีกครั้ง เขาก็สามารถซื้ออาหารกลับไปรับประทานร่วมกันได้

พวกเขาตามหาพระราชวังพบได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ถามทางกับกลุ่มคนที่เดินสวนไปมา ไม่นานพวกเขาก็มาถึงจุดลงทะเบียนจนได้ แม้ว่าเมืองชั้นในจะยังคงมีขนาดใหญ่มาก แต่ก็ยังถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับเมืองชั้นนอกทั้งหมด ไม่นานพวกเขาก็มาถึงหน้าพระราชวังจ้งเทียนที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองชั้นใน

“สมกับเป็นอาณาจักรใหญ่! ช่างเป็นพระราชวังที่งดงามมาก!” เมื่อมองไปที่ลานจตุรัสหน้าพระราชวังซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า 1 ตารางกิโลเมตร โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะอุทานกับตัวเอง ตรงใจกลางจตุรัสมีรูปปั้นขนาดใหญ่สูง 30 เมตรซึ่งดึงดูดความสนใจของพวกเขาทันทีที่มาถึง

รูปปั้นนั้นเป็นผู้ชายที่มีผมยาวเคลียไหล่ผู้หนึ่ง เขามีรูปร่างแข็งแรงกำยำ บนแผ่นหลังมีปีกขนาดใหญ่ยื่นออกมา สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของโจวเหว่ยชิงได้ในทันทีก็คือไข่มุก12 ดวงที่แกะสลักอยู่รอบข้อมือของเขา แม้ว่ารูปปั้นนั้นจะไม่ได้ทาสี แต่จำนวนมณีเพียงอย่างเดียวก็บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของเขาได้แล้ว! มันแสดงให้เห็นว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงของมณีสวรรค์ทั้ง 12 ชุดเสร็จสมบูรณ์แล้ว นี่คือผู้ทรงพลังระดับเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด! เป็นไปได้หรือไม่ว่าในอาณาจักรจ้งเทียนแห่งนี้มีจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทพเจ้าที่มีมณี 12 ชุดอยู่จริงๆ?

ลานจตุรัสหน้าพระราชวังไม่ได้เป็นเขตหวงห้ามอันใด ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นว่ามีผู้คนจำนวนมากเดินไปที่รูปปั้นขนาดใหญ่นั้นเพื่อสักการะบูชาเขา เมื่อมองไปยังใบหน้าที่เปี่ยมศรัทธาของผู้คนก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคคลในรูปปั้นนั้นจะต้องมีสถานะที่สูงส่งมากเพียงใดในอาณาจักรจ้งเทียน

พวกเขาซักถามคนที่เดินผ่านไปมาอย่างรวดเร็วและในไม่ช้าพวกเขาก็พบว่ารูปปั้นนั้นคือจักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักรจ้งเทียน ชื่อของเขาคือซ่างกวนยู่หลง เขาไม่เพียงแต่ก่อตั้งอาณาจักรจ้งเทียนเท่านั้น แต่ยังได้สร้างเกาะมณีสวรรค์และวังสวรรค์ไพศาลขึ้นมาด้วย ดังนั้นเขาจึงเป็นปฐมกษัตริย์ที่แท้จริงของอาณาจักรจ้งเทียน รูปปั้นถูกแกะสลักจากเพชรและจะยืนยงคงกระพันเช่นนี้ตลอดไป นับตั้งแต่ที่รูปปั้นถูกสร้างขึ้น เขาผู้นั้นก็ยืนอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสายลมกัดเซาะมานานกว่า 2,000 ปี ยืนโดดเด่นเป็นสง่าและคอยกวาดสายตามองทั่วเมืองจ้งเทียนอย่างอาจหาญ

“ปิงเอ๋อร์ ราชวงศ์จักรจ้งเทียนมีนามสกุลเดียวกันกับเจ้าล่ะ!” โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างให้เธอ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “ท่านแม่มักจะไม่เต็มใจพูดเกี่ยวกับท่านพ่อ ตอนที่ข้าอยู่โรงเรียน ข้าเคยถามอาจารย์เกี่ยวกับสกุลของข้า และเขาก็บอกว่าซ่างกวนเป็นตระกูลจากอาณาจักรจ้งเทียน มีความเป็นไปได้ว่าท่านพ่อของข้าอาจมาจากอาณาจักรจ้งเทียนจริงๆ แต่ก่อนที่ข้าจะจำความได้ ท่านแม่ก็ได้นำข้าจากมาแล้ว ข้าจึงไม่เคยเห็นหน้าท่านพ่อมาก่อน”

โจวเหว่ยชิงโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยนและพูดเบาๆ ว่า “ปิงเอ๋อร์ อย่าเศร้าไปเลย หากมีเวลาข้าจะพาเจ้าตระเวนไปรอบๆ อาณาจักรจ้งเทียนเพื่อค้นหาบิดาของเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าก็งดงามมาก ข้าแน่ใจว่าการตามหาบิดาของเจ้าต้องไม่ใช่เรื่องยากแน่นอน”

“อืม”

จากนั้นโจวเหว่ยชิงก็หันไปหาอู่หยาที่กำลังจ้องมองไปยังรูปปั้นนั้นและพูดว่า “อู่หยา ไปกันเถอะ พวกเรายังต้องไปลงทะเบียนอีก”

อู่หยาถอนหายใจอย่างชื่นชมและพูดว่า “คนในรูปปั้นนั้นดูแข็งแกร่งและทรงพลังมาก…หากสวรรค์มอบผู้ชายที่บึกบึนเช่นนี้มาให้เผ่าอีกาทองของเราบ้างจะดีสักแค่ไหนกันหนอ…”

“นี่ ไปกันเถอะ…ข้ามั่นใจว่าสวรรค์จะต้องมอบของขวัญให้เจ้าแน่ แต่หากสวรรค์ไม่ช่วยเจ้า เมื่อพวกเรากลับไป ข้าจะช่วยเจ้าตามหาเอง!” เมื่อได้ยินความปรารถนาต่อบุรุษเพศของอู่หยา โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องตลกเลยแม้แต่น้อย เขาเข้าใจความปรารถนาของอู่หยาอย่างแท้จริง ความกังวลใจเกี่ยวกับความอยู่รอดของเผ่า…นั่นเป็นสิ่งที่เขาสามารถเอื้อนเอ่ยออกไปได้อย่างแท้จริง!

จุดลงทะเบียนสำหรับงานประลองมณีสวรรค์อยู่ใกล้กับประตูทางเข้าพระราชวัง และอาณาจักรจงเทียนก็ให้ความสำคัญกับงานประลองเป็นอย่างมาก พวกเขาสร้างอาคารใหม่ขึ้นเป็นพิเศษเพื่อใช้ลงทะเบียนโดยเฉพาะ มีป้ายขนาดใหญ่ติดไว้ด้านบนอาคารพร้อมกับสลักตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่เอาไว้ว่า “งานประลองมณีสวรรค์”

เมื่อโจวเหว่ยชิงพาเด็กสาวทั้ง 2 เข้าไปในอาคาร ขั้นตอนการลงทะเบียนก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ด้วยจดหมายเชิญและเอกสารประจำตัวจากอาณาจักรเฟยหลี่ที่หลินเทียนอ้าวมอบให้เขาก่อนหน้า เขาจึงสามารถลงทะเบียนและรับแผ่นป้ายประจำกลุ่มมาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เขายังได้รับแจ้งให้กลับไปรายงานตัวที่จตุรัสเพื่อจับฉลากแบ่งสายในอีก 3 วันถัดไป ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยังได้รับรายละเอียดเกี่ยวกับการประลองเพิ่มเติมและกุญแจสำหรับที่พักที่อาณาจักรจ้งเทียนได้จัดเตรียมไว้ให้กลุ่มของพวกเขา แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงไม่คิดจะย้ายคนในกลุ่มออกไปพักที่อื่นอีก เพราะถึงอย่างไรทุกกลุ่มจะต้องอยู่ที่นั่นแน่ และนี่ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่พวกเขาจะเสี่ยงพาตัวเอาเข้าไปสู่ความขัดแย้งใดๆ

เมื่อทั้ง 3 คนลงทะเบียนเสร็จและกำลังมุ่งหน้ากลับออกไป พวกเขาก็พบเข้ากับกลุ่มคนที่กำลังเดินสวนเข้ามา

กลุ่มนี้มีจำนวนมากกว่าสิบคน และพวกเขาก็มาที่นี่เพื่อลงทะเบียนงานประลองเช่นกัน สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือหัวหน้ากลุ่มเป็นคนที่ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็จดจำได้!

ย้อนอดีตกลับไปไม่นาน เมื่อโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้พบกันหลังจากที่มณีแห่งสวรรค์ของเขาได้ตื่นขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ประสบเข้ากับเหตุการณ์ลอบสังหารซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ซึ่งผู้นำในการลอบสังหารครั้งนั้นคือไป๋จิ่ว เจ้าชายลำดับที่ 9 ของอาณาจักรคาลิเซ และในขณะนี้บุคคลผู้นั้นก็อยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว

ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายพบกัน ไป๋จิ่วก็ชะงักไปทันที สำหรับโจวเหว่ยชิง เขาไม่ได้มีความประทับใจอะไรกับอีกฝ่ายมากนัก แต่เขาย่อมจดจำซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างง่ายดาย เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้เป็นเพียงอัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุดจากอาณาจักรศัตรูของเขาและเป็นจ้าวมณีสวรรค์เพียงคนเดียวในรุ่นนี้เท่านั้น แต่เธอก็ยังเป็นผู้ที่มีความงามอันดับหนึ่งและเขาก็ประทับใจในตัวเธอเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยังเคยตกเป็นเป้าหมายในการลอบสังหารของเขามาก่อนด้วย

“เป็นเจ้า?!” ไป๋จิ่วจ้องไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างเร่าร้อน จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองคำว่า ‘งานประลองมณีสวรรค์’ ด้านบน “ช่างเป็นเรื่องน่าขันจริงๆ ที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเจ้าสามารถเข้าสู่งานประลองมณีสวรรค์ได้”

อู่หยายืนอยู่ข้างซ่างกวนปิงเอ๋อร์ กล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “พวกเราเป็นตัวแทนของอาณาจักรเฟยหลี่

ใบหน้าอันหล่อเหลาของไป๋จิ่วแสดงท่าทางรังเกียจออกมาทันที “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าอัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุดของออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ซึ่ง จ้าวมณีสวรรค์เพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา แม่นางซ่างกวนปิงเอ๋อร์ จะละทิ้งอาณาจักรของตนเองและแปรพักตร์มาอยู่กับอาณาจักรเฟยหลี่ ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าอาณาจักรคาลิเซของเราจะสามารถยึดครองอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ได้ในไม่ช้า! โจวสุ่ยหนิวไร้ผู้สืบทอดอย่างแท้จริง!”

โจวเหว่ยชิงเลิกคิ้วขึ้นและถามว่า “เจ้ากำลังบอกว่าตัวเองเป็นตัวแทนของอาณาจักรคาลิเซเข้าร่วมงานประลองงั้นรึ?”

จุดสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ไป๋จิ่ว ท้ายที่สุดแล้วตามความทรงจำของเขา ไป่จิ่วเป็นเพียงจ้าวมณียุทธ์เท่านั้น เขาไม่ใช่จ้าวมณีสวรรค์ ด้วยระดับพลังปราณและพลังในปัจจุบันของเขา ไป่จิ่วไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับเขาแน่นอน คนที่เขาหมายตาคือสหายร่วมกลุ่มของไป่จิ่ว พวกเขาอายุมากกว่า 30 ปีหรือเด็กกว่านั้น แต่ละคนดูหนักแน่นมั่นคง ท่าทางลึกล้ำ และมีสีหน้าเย็นชา แม้ว่าภายนอกพวกเขาจะดูธรรมดา แต่โจวเหว่ยชิงก็สามารถสัมผัสกลิ่นอายอันตรายจากพวกเขาได้

เมื่อกลุ่มเฟยหลี่กลับมาเดินทางต่ออีกครั้ง พวกเขาก็ได้เปลี่ยนวิธีเดินทางไปเป็นนั่งรถม้า 3 คันที่โจวเหว่ยชิงวิ่งไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดเพื่อซื้อหามาแทน ความจริงพวกเขามีจำนวนเพียง 8 คน ดังนั้นรถม้าคันใหญ่เพียงคันเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีผู้บาดเจ็บถึง 4 คน โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจภายในเสี้ยววินาทีเลือกซื้อรถม้ามา 3 คัน อู่หยาที่มีน้ำหนักตัวมากและซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะใช้รถม้าหนึ่งคันเนื่องจากเป็นผู้หญิงเพียง 2 คนในกลุ่ม ส่วนรถม้าอีก 2 คันที่เหลือ โจวเหว่ยชิงและเย่เป่าเปาจะแยกกันไปรถม้าคนละคันเพื่อคอยดูแลเพื่อนร่วมทางที่บาดเจ็บ 2 คน วิธีนี้จะช่วยให้พวกเขาได้พักผ่อนอย่างเพียงพอระหว่างการเดินทางและยังหายจากอาการบาดเจ็บเร็วขึ้นอีกด้วย

ในเวลานี้โจวเหว่ยชิงพบว่าเขาคิดถึงหมิงฮัว จะดีแค่ไหนถ้าตอนนี้มีจ้าวมณีสวรรค์ที่มีธาตุชีวิตอยู่กับพวกเขาเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทั้งหมด

แม้ว่ารถม้าแต่ละคันจะถูกลากด้วยม้าที่มีพละกำลังแข็งแกร่งจำนวน 4 ตัว แต่ความเร็วในการเดินทางก็ช้ากว่าการขี่ม้าด้วยตัวเองมาก หลังจากผ่านไป 15 วัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงอาณาจักรจ้งเทียน ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเวลาเพียง 5 วันก่อนที่งานประลองมณีสวรรค์จะเริ่ม

หากมองจากระยะไกลๆ ด้านหน้าพวกเขาคือหุบเขาขนาดใหญ่และเห็นได้ชัดว่ามีผู้คนจำนวนมากกำลังเดินทางสัญจรผ่านไปมา ตามคำบอกเล่าของคนขับรถม้า ขณะนี้พวกเขากำลังจะถึงเมืองจ้งเทียนแล้ว

หลินเทียนอ้าวบอกคนขับให้หยุดรถม้าและสั่งให้ทุกคนลงจากรถ

“หัวหน้า เรากำลังจะถึงเมืองจ้งเทียนไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นทำไมพวกเราไม่หยุดพักเมื่อเดินทางถึงในตัวเมืองล่ะ” ขี้เมาเป่าถามอย่างสงสัย

หลินเทียนอ้าวยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “พวกเจ้าลองเงยหน้าและมองขึ้นไปสิ ข้าแค่อยากจะให้ทุกคนได้ยลว่าเกาะมณีสวรรค์เป็นอย่างไร”

เมื่อทุกคนมองขึ้นไปด้านบน พวกเขาก็ต้องรู้สึกตกใจ

ตอนนี้พวกเขาอยู่บนถนนสายหลัก และจากตำแหน่งของพวกเขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอีกประมาณ 2-3 ลี้ข้างหน้ามีเสาหินต้นใหญ่ตั้งตระหง่านเสียดแทงขึ้นไปบนท้องฟ้าจนหายลับไปในกลุ่มก้อนเมฆ เพียงแค่มองด้วยตาเปล่า พวกเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าแท้จริงแล้วเสาหินเหล่านั้นมีขนาดใหญ่เพียงใด แต่เพียงแค่ได้ยืนอยู่ที่นี่พร้อมกับมองภาพเสาขนาดยักษ์16 ต้นสูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้าก็เป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ใจมากแล้ว แม้แต่เสือขาวตัวน้อยหรือเจ้าแมวอ้วนก็ยังโผล่หัวออกมาจากอกของโจวเหว่ยชิงเพื่อแอบมองดู แสงเยียบเย็นผุดขึ้นมาในดวงตาของมันทันที

นั่นคือภูเขาจ้งเทียน และเป็นสถานที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในอาณาจักรจ้งเทียน เมืองจ้งเทียนทั้งเมืองตั้งอยู่ใต้เสาค้ำสวรรค์ทั้ง 16 ต้น ส่วนด้านบนคือเกาะมณีสวรรค์ซึ่งเป็นที่ตั้งของวังสวรรค์ไพศาล อาณาจักรจ้งเทียนภาคภูมิใจที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นศูนย์กลางของแผ่นดินมาโดยตลอด และพวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเชิดหน้าทำเช่นนั้นได้เช่นกัน เพราะเห็นได้ชัดว่าทิวทัศน์ที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้มีอยู่เพียงที่นี่เท่านั้น

“นั่นน่าทึ่งมาก! เสาขนาดใหญ่พวกนี้เป็นเหมือนโซ่ที่เชื่อมโลกกับท้องฟ้าเอาไว้จริงๆ ชื่อเสาค้ำสวรรค์นั้นเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง!” สี่น้อยอุทานด้วยความชื่นชม

โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับเงยหน้ากรุ่นคิดกับตัวเอง ไม่น่าแปลกใจเลยที่อาณาจักรจ้งเทียนถูกยกย่องว่าเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน จากเมืองหลวงจ้งเทียนที่ตั้งอยู่บริเวณท้องเขาไปจนถึงเกาะมณีสวรรค์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า สิ่งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นสถานที่อัศจรรย์ที่สุดในโลกแล้ว ขณะนี้เขาจึงรู้สึกคาดหวังกับงานประลองมณีสวรรค์มากขึ้นเรื่อยๆและอดไม่ได้ที่จะอยากให้งานประลองมาถึงเร็วๆ ไม่น่าแปลกที่ทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะติด 4 อันดับแรกให้ได้! แม้ว่าจะไม่มีของรางวัลที่ล่อตาล่อใจขนาดนี้ แต่ทุกคนก็ยังคงมีใจฝักใฝ่ที่จะขึ้นไปบนเกาะมณีสวรรค์เพื่อเปิดหูเปิดตา! พวกเขาจะได้เห็นสถานที่แปลกประหลาดแบบไหนกันบ้างนะ?

หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเฉยชาว่า “เรากำลังจะถึงเมืองจ้งเทียนและก็เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น ตอนนี้ข้าขอประกาศให้โจวเหว่ยชิงเป็นหัวหน้ากลุ่มชั่วคราวและเขาจะเป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่างในระหว่างการประลอง”

โจวเหว่ยชิงมองไปที่หลินเทียนอ้าวด้วยความประหลาดใจ แต่หลินเทียนอ้าวกลับพยักหน้าให้โจวเหว่ยชิงอย่างให้กำลังใจสนับสนุน

ขี้เมาเป่าถามขึ้นมาว่า “หัวหน้า นั่นไม่จำเป็นไม่ใช่หรือ? แม้ว่าบาดแผลของท่านจะยังไม่หายดี แต่นั่นก็ไม่มีผลต่อการออกคำสั่งนี่!”

หลินเทียนอ้าวส่ายหัวและพูดว่า “ไม่หรอก ตอนนี้เหว่ยชิงเป็นหัวหน้า เขารู้เกี่ยวกับพลังของตัวเองและปิงเอ๋อร์ดีที่สุด ข้าจะคอยอยู่เคียงข้างเขาเพื่อให้คำแนะนำ แต่ข้าก็เชื่อว่าเขาจะไม่ทำอะไรที่ตัวเองไม่มั่นใจเด็ดขาด ข้าคิดว่าเขาเหมาะมากที่จะเป็นหัวหน้ากลุ่มชั่วคราว”

หลังจากพักผ่อนมาหลายสิบวัน คนทั้งกลุ่มก็มีสภาพร่างกายดีขึ้นมาก แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยเฉพาะคนที่ได้รับบาดเจ็บภายใน พวกเขายังไม่สามารถออกไปต่อสู้ได้ แม้ว่าจ้าวมณีสวรรค์จะมีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บดังกล่าวได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แน่นอน

หลินเทียนอ้าวพยักหน้าให้กับโจวเหว่ยชิงและกล่าวว่า “การประลองแต่ละรอบจะจัดขึ้นในทุกๆ 3 วันเพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันได้พักผ่อนระหว่างแต่ละรอบ จากสภาพอาการบาดเจ็บของพวกเรา อย่างน้อยก็จะต้องใช้เวลา 10 วันในการฟื้นตัว เซียวเอี๋ยนและขี้เมาเป่ามีอาการแย่ลง ดังนั้นพวกเขาอาจใช้เวลานานกว่านี้ ดังนั้นเจ้าจะต้องนำสมาชิกที่ไม่ได้รับบาดเจ็บผ่านเข้าไปในรอบที่ลึกขึ้น อย่างน้อยก็รอบที่ 2 นี่เป็นเรื่องยากมาก แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะทำได้ บางทีกลุ่มของเราอาจต้องลองเสี่ยงดวงกับโชคของเจ้าดูบ้าง เผื่อว่าพวกเราจะไม่ต้องพบกับกลุ่มที่แข็งแกร่งเร็วเกินไป”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าไม่อาจรับประกันกับทุกคนได้ แต่ข้าสัญญาว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ ไปกันเถอะ เร่งเข้าไปในเมืองจ้งเทียนเพื่อหาที่พักกันดีกว่า เราจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เสียที”

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้ว่าพวกเขาจะอยู่บนท้องถนนตลอดเวลา แต่ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นโจวเหว่ยชิงที่ทำงานหนักที่สุด เนื่องจากเขาให้คำมั่นว่าจะเป็นเสาหลักของกลุ่ม เขาจึงรู้สึกถึงน้ำหนักที่แบกเอาไว้บนบ่าของตัวเอง แม้ว่าพลังปราณสวรรค์เขาจะเพิ่มระดับขึ้นเป็นขั้นทะลวงพิภพแล้ว แต่เขาก็ยังมีมณีเพียง 3 ชุดอยู่ดี ดูจากระดับพลังของบรรดาสมาชิกกลุ่มหลักที่มาจากโรงเรียนจ้าวมณีแล้ว เขาก็คาดเดาได้ว่าผู้ที่เข้าร่วมงานประลองน่าจะต้องมีมณีอย่างน้อย 4-5 ดวง หรืออาจจะมีมากกว่านั้นด้วยซ้ำ

แม้ว่าจะเป็นเพียงการลับมีดก่อนเข้าสู่สนามจริง แต่การทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักและพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ก่อนการต่อสู้จะเริ่มก็ยังถือเป็นเรื่องที่ควรทำ

แม้ว่าพวกเขาจะมองเห็นเสาค้ำสวรรค์แล้ว แต่ระยะทางทั้งหมดก็ยังดูค่อนข้างลวงตาอยู่มาก กว่าพวกเขาจะมาถึงเมืองหลวงจ้งเทียนก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงประตูเมืองและได้เห็นชัดๆ ว่าเสาทั้ง 16 ต้นนั้นใหญ่โตขนาดไหน เสาแต่ละต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 2,000-3,000 เมตร ทั้งยังใช้เสาทั้ง 16 ต้นนี้เป็นฐานก่อกำแพงขึ้นมาล้อมรอบเมืองเอาไว้ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่านี่คือเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน พวกเขามองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของกำแพงด้วยซ้ำ โจวเหว่ยชิงมั่นใจอย่างยิ่งว่าแม้แต่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ทั้งอาณาจักรก็ไม่ใหญ่โตเท่าเมืองหลวงแห่งนี้ เพราะอย่างไรที่นี่ก็มีขนาดใหญ่มากกว่า 5,000 ตารางกิโลเมตร!

เมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนทำการเกษตรและอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้านนอกกำแพงเมือง แต่ เพราะเมืองจ้งเทียนแห่งนี้ใหญ่เกินไป ดังนั้นแม้แต่การเพาะปลูกและทำเกษตรต่างๆ พวกเขาก็ยังทำกันอยู่ในเมือง! แค่กำแพงเมืองขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียวก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกเขามีเงินจำนวนมหาศาลแค่ไหน อีกทั้งเมืองจ้งเทียนทั้งเมืองก็เหมือนกับอาณาจักรเล็กๆแห่งหนึ่งที่สามารถปกครองตนเองได้ ขณะนี้เมฆหมอกกำลังลอยปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ดวงอาทิตย์สามารถส่องผ่านเข้ามาได้เพียงจากด้านข้างเท่านั้น จึงไม่มีใครสามารถมองเห็นเกาะมณีสวรรค์ที่ตั้งอยู่ด้านบนได้ถนัดนัก

กว่าพวกเขาจะเข้าไปถึงตัวเมืองชั้นในได้ ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว เมืองชั้นในเป็นหัวใจหลักของเมืองทั้งเมือง และแค่พื้นที่ของเมืองชั้นในเพียงอย่างเดียวก็ใหญ่กว่าเมืองเฟยหลี่ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเฟยหลี่แล้ว

กว่าทุกคนจะได้พักผ่อนก็เป็นเวลาเที่ยงคืน

ในฐานะหัวหน้ากลุ่มชั่วคราว โจวเหว่ยชิงได้เลือกโรงเตี๊ยมเล็กๆ แต่ดูสะอาดสะอ้านให้กลุ่มของเขาเข้าพัก เหตุผลไม่ใช่เพราะต้องการประหยัดเงิน แต่เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะสามารถพักผ่อนกันได้อย่างสงบสุข แน่นอนว่าเมื่อเริ่มใกล้ถึงงานประลองมณีสวรรค์ เมืองจ้งเทียนก็จะเริ่มคึกคักและวุ่นวายขึ้นมาก ถึงอย่างไรผู้ทรงพลังรุ่นเยาว์ของทั้งโลกก็กำลังมารวมตัวกันที่นี่ และเพราะพวกเขาล้วนเป็นคู่แข่งกัน หากได้พบหน้ากัน แน่นอนว่าย่อมต้องเกิดการประทบกระทั่งกันขึ้นแน่ ตอนนี้กลุ่มของพวกเขามีคนเจ็บจำนวนมาก โดยเฉพาะหลินเทียนอ้าวที่เป็นกำลังหลัก นี่จึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะพวกเขาจะปะทะกับคนอื่นๆ โดยไม่จำเป็น ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงเลือกพักในโรงเตี๊ยมธรรมดาๆให้เพื่อนร่วมกลุ่มที่บาดเจ็บพักผ่อนกันได้อย่างสบายใจ ขณะนี้ยังมีเวลาอีก 5 วันกว่าการประลองจะเริ่มต้นขึ้นจริงๆ

คืนแรกของพวกเขาในเมืองจ้งเทียนนั้นผ่านไปด้วยดี และในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ทุกคนทานอาหารเช้าแล้ว หลินเทียนอ้าวก็เรียกทุกคนไปที่ห้องของเขา เขาเป็นคนเดียวที่เคยเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์มาก่อนและถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องแจ้งให้ทั้งกลุ่มทราบเกี่ยวกับกฎและสิ่งต่างๆ ที่ควรสังเกต โดยเฉพาะโจวเหว่ยชิงซึ่งตอนนี้เป็นผู้นำชั่วคราว

หลินเทียนอ้าวมองไปยังบรรดาสหายที่นั่งอยู่ล้อมรอบตัวเขาและพูดขึ้นอย่างจริงจัง “งานประลองมณีสวรรค์กำลังจะเริ่มขึ้น เซียวเอี๋ยน สี่น้อย ขี้เมาเป่า สำหรับการประลอง 2 รอบแรก เจ้าทั้ง 3 คนไม่ต้องเข้าร่วม บาดแผลของข้ารุนแรงน้อยกว่า ดังนั้นข้ากับเหว่ยชิงจะพาคนอื่นๆ ไปเข้าร่วมงานประลอง แต่แน่นอนว่าข้าจะไม่เข้าร่วมการประลองเพราะเกรงว่าบาดแผลของข้าจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม ยกเว้นแต่กรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น”

“ทั่วทั้งแผ่นดินมีอาณาจักรมากกว่า 30 แห่ง ทั้งเล็กและใหญ่ นอกจากนี้ อาณาจักรที่สามารถเสาะหาและรวบรวมจ้าวมณีสวรรค์รุ่นเยาว์ได้อย่างน้อย 5 คนก็มีเพียง 20 แห่งเท่านั้น การแข่งขันทั้งหมดแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือรอบอุ่นเครื่องและรอบชิงชนะเลิศ ในรอบอุ่นเครื่อง ทุกกลุ่มจะถูกแบ่งออกเป็น 4 สายใหญ่ๆ โดยวิธีการจับฉลาก แต่ละสายจะมีกลุ่มตัวเต็งอยู่ 1 กลุ่ม นั่นก็คือกลุ่มที่มาจาก 4 ใน 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยกเว้นนิกายปีศาจสวรรค์ แน่นอนว่าคำแถลงของพวกเขาต่อโลกภายนอกคือบรรดากลุ่มตัวเต็งเป็นกลุ่มที่เคยชนะมาก่อนหน้า เลยได้รับการขนานนามว่ากลุ่มตัวเต็ง แน่นอนว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา 4 อันดับแรกก็มักเป็นผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ในรอบอุ่นเครื่องเบื้องต้นจะเป็นการแข่งขันแบบพบกันหมด กล่าวคือในแต่ละสาย ทุกกลุ่มจะต้องได้ต่อสู้กันหมด”

“ในการแข่งขันรอบแรก แต่ละสายจะนำ 2 กลุ่มที่มีผลงานดีที่สุดผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ นั่นคือ 8 อันดับแรกของการประลองทั้งหมดนั่นเอง หลังจากนั้น พวกเขาจะต่อสู้กันอีกครั้งเพื่อตัดสินว่าใครจะได้เป็น 4 อันดับแรก และรอบชิงชนะเลิศระหว่าง 4 อันดับแรกจะถูกจัดขึ้นที่เกาะมณีสวรรค์”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าการประลองจะค่อนข้างตรงไปตรงมา ไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก”

หลินเทียนอ้าวยิ้มและกล่าวว่า “อันที่จริงมันตรงไปตรงมามาก แต่ในเวลาเดียวกันก็ยากที่จะผ่านในแต่ละรอบเช่นกัน กลุ่มตัวเต็งแต่ละสายมักจะเป็นกลุ่มที่ได้อันดับ 1 ไปครองอยู่ก่อนแล้ว ส่วนอาณาจักรอื่นๆ ก็จะต้องต่อสู้อย่างสุดกำลังเพื่อแย่งชิงอันดับ ที่ 2 ในสายนั้น 3 ปีที่แล้วกลุ่มของเราต่อสู้อย่างสุดกำลัง แลกไปกับการที่รุ่นพี่สองคนที่ต้องกลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต ก่อนที่จะผ่านเข้ารอบที่ 2 ไปได้อย่างอย่างหืดขึ้นคอ แต่ทว่าหลังจากนั้นเราพ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดายในระหว่างการประลอง 8 อันดับแรก ดังนั้นเพื่อที่จะเข้าสู่รอบ 2 ได้อย่างปลอดภัย เราต้องเอาชนะกลุ่มอื่นๆ ในรอบอุ่นเครื่องให้ได้”

จู่ๆ ความคิดบางอย่างก็แล่นขึ้นมาในสมอง โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ท่านหมายความว่า เราจะต้องพ่ายแพ้ให้กับกลุ่มตัวเต็งในสายการประลองของเรา?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “เข้ามา! ถึงอย่างไรมณียุทธ์ของข้าก็ยังเป็นประเภทความแข็งแกร่ง เราทั้งคู่มีมณี 3 ชุดเท่ากัน ทำไมไม่ลองแข่งกันดูล่ะ?”

สี่น้อยหัวเราะอย่างเต็มที่และพูดว่า “เหว่ยชิง เจ้ากำลังหาเรื่องใส่ตัวสินะ? นี่ไม่ใช่แค่การประลองทั่วๆ ไปหรอกนะ ค้อนในตำนานของอู่หยา…แม้แต่หัวหน้าก็ยังต้องปวดหัวเชียวล่ะ!”

ทันใดนั้นหลินเทียนอ้าวก็พูดออกมา “อู่หยา ไปเถอะ แข่งกับเขา”

“เอ๊ะ?” ทุกคนมองไปที่หลินเทียนอ้าวด้วยความประหลาดใจ

การวิเคราะห์ของโจวเหว่ยชิงนั้นสามารถล่อลวงหลินเทียนอ้าวได้จริงๆ เช่นเดียวกับที่โจวเหว่ยชิงคิดไว้ งานประลองมณีสวรรค์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อหลินเทียนอ้าว และอาจกล่าวได้ว่าเป็นเป้าหมายของเขาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การแข่งขันเมื่อ 3 ปีที่แล้วยังตราตรึงอยู่ในความประทับใจของเขา ดังนั้น 3 ปีต่อมาเขาจึงใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อจะได้ขึ้นเวทีอีกครั้งและนำเกียรติยศมาสู่อาณาจักรเฟยหลี่

อู่หยายืนขึ้นอย่างช้าๆ มองไปที่หลินเทียนอ้าวอย่างสงสัย “หัวหน้า ท่านแน่ใจหรือ? แม้ว่าเขาจะดูมีเนื้อหนังอยู่บ้าง แต่…หากประมือกับข้า…”

*พรวด* เย่เป่าเปาที่กำลังดื่มน้ำในเวลานั้นพ่นน้ำออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ มุมปากกระตุกเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่ายังไง เขาเนี่ยนะแค่มีเนื้อมีหนังอยู่บ้าง?”

หลินเทียนอ้าวยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “ข้ามีเหตุผลที่ทำเช่นนั้น เจ้าเพียงแค่ลองด้วยตัวเองเพื่อหาคำตอบดู”

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นอู่หยาก็ยกมือขวาขึ้นฟาดไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างกะทันหัน

เวลานั้นโจวเหว่ยชิงกำลังยืนอยู่ใกล้ๆ อู่หยา และด้วยความสูงของเธอ เธอจึงแทบไม่จำเป็นต้องก้าวเข้าไปให้ถึงตัวเขาก่อนจะลงมือ

โจวเหว่ยชิงไม่หลบ แต่แยกเท้าซ้ายออกไปทางซ้ายอย่างรวดเร็ว เขาก้มลงเล็กน้อยในขณะจัดท่าให้ตัวเอง โจวเหว่ยชิงส่งเสียงร้องในลำคอ ยกมือขวาขึ้นกางนิ้วออกรับแรงปะทะจากฝ่ามือของอู่หยาด้วยมือของเขาเอง

ฝ่ามือของพวกเขาประกบกันพร้อมกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่น นิ้วของพวกเขาพลันประสานกันแน่น

ทุกคนจ้องมองทั้ง 2 คนอย่างไม่วางตาขณะที่เฝ้าดูการต่อสู้อย่างเงียบๆ

อู่หยามั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเอง เธอจึงคว้ามือของโจวเหว่ยชิงเข้ามาใกล้ พยายามดึงเขาเข้าหาตัวอย่างแรงและคิดที่จะเหวี่ยงร่างของเขาขึ้น

“เอ๊ะ?” ทันทีที่อู่หยาออกแรงมากขึ้น ความประหลาดใจก็ฉายชัดขึ้นบนใบหน้าของเธอทันที แม้เธอจะพยายามดึงเขาขึ้นจากพื้นเท่าไหร่ แต่โจวเหว่ยชิงก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย มือขวาของเขายังคงนิ่งเหมือนหินและไม่ขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

ในฐานะสมาชิกเผ่าอีกาทองและเป็นหนึ่งในผู้ที่มีความสามารถโดดเด่น อู่หยาจึงเรียกได้ว่ามีพละกำลังที่น่ากลัว แม้ว่าท่าทางของเธอจะดูสบายๆ แต่ในนั้นก็แฝงแรงดึงอยู่หลายพันจิน ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือสิ่งที่เธอประเมินแล้วว่าเป็นพละกำลังของโจวเหว่ยชิง ผู้ที่เป็นเจ้ามณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งระดับมณี 3 ชุด

เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของอู่หยา มุมปากของโจวเหว่ยชิงก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ

จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของอู่หยาได้รับการกระตุ้นทันที เธอปักขาขวาของเธอลงบนพื้นอย่างมั่นคงราวกับเดือยหมุนและตะโกนออกมาว่า “มานี่!” ร่างกายของเธอสั่นเกร็งเล็กน้อยขณะที่เค้นพลังไปยังแขนขวา และดึงแขนเขาเข้ามาด้วยพลังที่รุนแรง

โจวเหว่ยชิงยังคงส่งเสียงต่ำๆ ในลำคอ ดวงตาของเขาแวววาวเป็นประกายขณะที่กล้ามเนื้อทั่วร่างกายกำลังกระชับขึ้น กล้ามเนื้อแขนของเขาตึงแน่นเมื่อพลังทั้งหมดไปรวมกันอยู่ที่มือขวา

*ตูม* เสียงระเบิดเล็กๆ ดังขึ้นเมื่อเสื้อผ้าบนแขนขวาของโจวเหว่ยชิงถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นแขนที่แข็งแกร่งและกำยำ ขณะนี้กล้ามเนื้อของเขากำลังกระเพื่อมเพราะอาการเกร็ง แขนของเขาจึงเต็มไปด้วยพลังและลายเส้นที่สวยงาม

เมื่อต้องเผชิญกับแรงระเบิดกะทันหันของอู่หยา โจวเหว่ยชิงก็ทำเพียงชะงักไปเพียงเล็กน้อย แต่กลับยังไม่ถูกดึงออกไปได้ง่ายๆ อย่างที่ทุกคนคาดคิด

เมื่อมาถึงจุดนี้ สมาชิกทุกคนจากโรงเรียนเจ้ามณี รวมทั้งเย่เป่าเปาก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ครั้งแรกอาจอธิบายได้ว่าเป็นเพราะอู่หยาประเมินโจวเหว่ยชิงต่ำไป แต่การดึงครั้งที่ 2 ที่มีพลังมหาศาลมากกว่ากลับถูกเขาขัดขวางเอาไว้ได้อย่างง่ายดายอีกครั้ง! สมาชิกของโรงเรียนเจ้ามณีต่างก็เคยสัมผัสพลังที่น่ากลัวของอู่หยามาก่อน และเพียงแค่การดึง 2 ครั้งก็เกินกว่าที่จ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่งธรรมดาๆ จะสามารถต้านทานได้แล้ว

อู่หยาไม่เพียงแต่สืบทอดพลังของเผ่าอีกาทอง แต่เธอยังได้รับการสืบทอดพลังจากฝั่งบิดาซึ่งมาจากเผ่าคนเถื่อนที่แข็งแกร่งด้วย ผลจากการแต่งงานของผู้นำที่แข็งแกร่ง 2 คน ร่างกายของเธอจึงเป็นหนึ่งในคนที่โดดเด่นที่สุดในเผ่า ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น เธอก็ยังไม่สามารถเคลื่อนย้ายร่างของโจวเหว่ยชิงได้

“อีกครั้ง!” โจวเหว่ยชิงตะโกนออกมา การเผชิญหน้ากับพลังของอู่หยาเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขา แต่นั่นเป็นเรื่องก่อนที่เขาจะได้รับพลังระหว่างการวิวัฒน์พลังของเจ้าแมวอ้วน ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะถูกอู่หยาเหวี่ยงออกไปได้นานแล้ว อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ศักยภาพที่ถูกพัฒนาขึ้นทั้งหมดของโจวเหว่ยชิงถูกดึงออกมาใช้ทั้งหมด การวิวัฒน์ของเจ้าแมวอ้วนทำให้พลังที่เหลืออยู่ของไข่มุกรัตติกาลแพร่กระจายเข้าสู่ร่างกายของเขาและหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดโจวเหว่ยชิงจึงได้สืบทอดพลังของไข่มุกรัตติกาลอย่างเต็มร้อยเสียที ด้วยการเพิ่มพลังให้กับร่างกายครั้งใหญ่ ความแข็งแกร่งของเขาจึงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของเผ่าอีกาทองอย่างอู่หยาเลย

เสียงตะโกนของโจวเหว่ยชิงปลุกสัญชาตญาณการกระหายการต่อสู้ของอู่หยาขึ้นมาทันที ถึงอย่างไรเธอก็ไม่เคยแพ้ในเรื่องความแข็งแกร่งมาก่อน อู่หย่าพลันคำรามออกมาเสียงดัง แขนเสื้อขวาของเธอก็ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในขณะที่แขนข้างนั้นถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทอง ร่างกายของเธอดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นทันที

เรี่ยวแรงที่ใช้ดึงแขนอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้มือของพวกเขาทั้งสองคนก็ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดขณะที่กระดูกกำลังแบกรับแรงกดดัน

หยกน้ำแข็งเปล่งประกายขึ้นมาเมื่อมณียุทธ์ของพวกเขาทั้ง 2 คนปรากฏขึ้นรอบข้อมือ แน่นอนว่าตอนนี้ความแข็งแกร่งของพวกเขาถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด รวมถึงพลังจากมณียุทธ์ของพวกเขาด้วย

ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อมาถึงจุดนี้ทุกคนย่อมเข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของโจวเหว่ยชิงได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม อู่หยาก็ยังคงเป็นอู่หยา และภายใต้การออกแรงอย่างเต็มพิกัดของเธอ ร่างของโจวเหว่ยชิงก็ค่อยๆถูกดึงไปข้างหน้า ร่างกายส่วนบนของเขาค่อยๆ ขยับเข้าหาเธอ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการขยับเพียงเล็กน้อย แต่ในแง่ของความแข็งแกร่งทางกายภาพ ขณะนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าโจวเหว่ยชิงยังคงด้อยกว่าอีกฝ่ายอยู่เล็กน้อย ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าอู่หยาน่าจะชนะการประลองในครั้งนี้ ทันใดนั้นดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็กลายเป็นสีแดงเลือด และในช่วงเวลาถัดมาสายเสือสีดำก็ค่อยๆ โผล่ออกมาห่อหุ้มแขนของเขาเป็นชั้นๆ กล้ามเนื้อที่ตึงแน่นและใหญ่โตของเขาขยายใหญ่ขึ้น แม้แต่ฝ่ามือก็ดูใหญ่ขึ้นมากเช่นกัน

โจวเหว่ยชิงกระทืบเท้าลงบนพื้นอย่างแรง พื้นดินพลันสั่นสะเทือนขณะที่พลังแสนน่ากลัวของเขาระเบิดออกมา ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังดึงอู่หยาเข้ามาก็คล้ายกับว่าเขากำลังยกภูเขาขึ้นทั้งลูก แขนของเขางอตามแรงดึง จากนั้นก็ตวัดขึ้นอย่างกะทันหัน และเขาก็สามารถยกอู่หยาที่หนักกว่า 600 จินขึ้นได้ด้วยเหตุนี้!

เย่เป่าเปา ขี้เมาเป่า เซียวเอี๋ยน และสี่น้อย ทั้ง 4 คนจ้องมองภาพเหล่านั้นด้วยตกตะลึง ปากของพวกเขาอ้าปากค้างเพราะไม่อาจเชื่อในสายตาของตัวเองได้ สี่น้อยพึมพำกับตัวเอง “สัตว์ประหลาด…นี่คือสัตว์ประหลาดชัดๆ”

พวกเขาย่อมรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของอู่หยาเป็นอย่างดีเพราะเคยได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่นั่นพร้อมกับขวานในตำนานของเธอมาก่อน และพลังที่น่ารังเกียจนั่นก็ทิ่มแทงดวงตาของพวกเขาเมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงสามารถเอาชนะอู่หยาในระหว่างการประลองด้านความแข็งแกร่ง!

โจวเหว่ยชิงสะบัดแขนขวาเพื่อเหวี่ยงอู่หยาข้ามไปด้านหลังตัวเอง เมื่อร่างของอู่หยาสัมผัสพื้น เท้าของเธอก็เหยียบลงไปจนเกิดเป็นหลุมยุบ เมื่อนั้นผู้ชมที่กำลังตกตะลึงก็ตื่นจากภวังค์ของพวกเขาทันที

ในขณะนี้ สีหน้าของอู่หยายังคงฉายแววไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เธอจ้องไปที่มือของเธอด้วยความตกตะลึง เมื่อมองสลับไปที่โจวเหว่ยชิงและมือของตนเอง สมองของเธอก็ไม่สามารถประมวลผลได้ชั่วคราว

จ้าวมณีสวรรค์ที่มีระดับพลังปราณเท่ากัน…เธอกลับพ่ายแพ้เรื่องความแข็งแกร่ง?!

ขณะที่ลายเสือค่อยๆ จางลงและหายไปจากแขนของโจวเหว่ยชิง เขาก็สะบัดหัวไปมาเล็กน้อย ในความเป็นจริงเขาไม่รู้ว่าพวกมันสามารถปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อช่วยให้เขาระเบิดพลังครั้งสุดท้ายได้อย่างไร เนื่องจากปกติเขาต้องเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างเสียก่อนถึงจะใช้พลังเช่นนี้ได้ จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกราวกับว่าความแข็งแกร่งของตนมีมากพอจะโค่นภูเขาและถมทะเลได้

โจวเหว่ยชิงสะบัดแขนเพื่อยืดกล้ามเนื้อก่อนจะยิ้มและพูดว่า “เป็นไงบ้าง? พี่สี่น้อย ถ้าท่านเดิมพันกับข้าอีกครั้ง ตอนนี้ท่านคิดว่าใครชนะ? ฮิๆ”

อันที่จริงเมื่อเปรียบเทียบกับชัยชนะครั้งแรกของเขาแล้ว การที่เขาชนะอู่หยาด้วยความแข็งแกร่งครั้งนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อสำหรับผู้ชมมากกว่า

สี่น้อยพยายามเถียงเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง “นี่…นี่…แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่ข้าก็จะไม่ลงเอยเหมือนเดิมหรอกน่า! อู่หยามีขวานในตำนานด้วย ถ้าเจ้าได้เห็นพลังของมัน มันเป็นการรวมพลังที่สามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า!”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ข้าอาจไม่มีขวาน แต่ข้าก็มีค้อน! ดูนี่!!” ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขาก็ยื่นแขนออกไปและขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นม่านพลังป้องกันสีดำเหลือบทองที่ให้แสงสว่างเจิดจ้าบ่งบอกว่าเป็นศาสตรามณียุทธ์ในตำนานก็ระเบิดออกมาขณะค้อนคู่หนึ่งปรากฏในมือของเขา

ค้อนคู่นั้นเปล่งประกายแวววาว ใบหน้ายิ้มแย้มและใบหน้าร้องไห้ที่สลักอยู่บนหน้าค้อนพลันแผ่กลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา โจวเหว่ยชิงถือค้อนขนาดใหญ่ในมือ ตอนนี้เขาที่สูง 1.9 เมตรดูเหมือนรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของเทพเจ้าสงครามผู้ยืนทำท่าทางหยิ่งผยองและสูงสง่าต่อหน้าพวกเขา

ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว ค้อนคู่ในตำนานนั้นถือว่ามีขนาดเล็กกว่าขวานในตำนานเล็กน้อย แต่ในแง่ของการออกแบบ ลักษณะภายนอกของค้อนคู่นั้นดูวิจิตรกว่ามาก

สี่น้อยพึมพำ “ของพวกนั้นจะเปรียบเทียบกับขวานในตำนานของอู่หยาได้อย่างไร? ดูแล้วเหมือนเป็นเครื่องเงินที่ดูดีแต่ทำจากขี้ผึ้ง ไม่น่าจะมีประโยชน์เท่าไหร่”

เซียวเอี๋ยนมองไปที่สี่น้อยและพูดอย่างเฉยเมย “ความโง่นี่น่ากลัวจริงๆ แสงสีทองนั่นแสดงให้เห็นว่าค้อนเหล่านั้นเป็นศาสตรามณียุทธ์ที่สร้างขึ้นโดยอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า เอาล่ะ ข้าตกลงจะเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์” หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็หลับตาลงนั่งพร้อมมีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มนับตั้งแต่การต่อสู้ในป่า

ขี้เมาเป่าพูดด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูก “ทำไมเด็กพวกนี้ถึงน่ากลัวขนาดนี้ ค้อนคู่หนึ่ง ขวานอีกคู่หนึ่ง หากพวกเขายืนอยู่ที่ประตูทางเข้าก็อาจสวมรอยเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ได้เลย นั่นจะต้องเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์อย่างแน่นอน อืม ข้าตกลงจะเข้าร่วมการประลองด้วย”

โจวเหว่ยชิงยกค้อนขึ้นอย่างมีเลศนัยขณะที่เขายิ้มให้กับสี่น้อย “ พี่สี่น้อย ท่านอยากลองสัมผัสค้อนของข้าดู ไหม?”

สี่น้อยส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “อย่านะ…ไม่…ข้าเห็นด้วย เพราะฉะนั้นไม่เป็นไร! บ้าจริง ข้าถูกเจ้าหลอกอีกแล้วรึ เจ้าเด็กขี้โกงนี่! ทั้งอุบาทว์และเจ้าเล่ห์! นั่นแหละคือคำนิยามของเจ้า!”

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังยิ้มอย่างพอใจที่ได้รับการยอมรับจากคนในกลุ่ม ทันใดนั้นอู่หยาก็เดินเข้ามาข้างๆ เขา อู่หยาที่สูง 2 เมตรและเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในเผ่าอีกาทองจ้องมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนขณะที่เธอพูดอย่างอ่อนหวาน “เจ้า…เจ้าทำให้ข้าเจ็บ เพราะฉะนั้น เหว่ยชิง เจ้าจงไปชดใช้ที่เผ่าอีกาทองของข้าซะ แม้ว่าข้าจะมีคู่หมั้นอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานอีกมากมายในเผ่า! พวกนางชอบผู้ชายที่แข็งแกร่งเช่นเจ้า ไม่ต้องกังวลไป พวกนางจะไม่ขอให้เจ้ารับผิดชอบ เจ้าแค่ต้องทิ้งเมล็ดพันธุ์ของเจ้าไว้ที่เผ่า เช่นนี้เป็นอย่างไร?”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของโจวเหว่ยชิงกระตุกขณะที่เขามองไปที่อู่หยา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง “พี่ใหญ่ ข้ากลัวแล้ว ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ!”

เมื่อได้ยินคำตอบของเขา ในที่สุดทุกคนก็หัวเราะออกมา แม้แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หัวเราะคิกคักกับตัวเอง ส่วนสี่น้อยนั้นหัวเราะอย่างหนักจนแทบทำให้แผลของเขาปริแยก แต่เขาก็ยังหัวเราะออกมาจนน้ำตาไหลอาบแก้ม อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง งานประลองมณีสวรรค์งั้นหรือ…พวกเรามาแล้ว

“หัวหน้า กลับบ้านกันเถอะ” ประโยคที่เรียบง่าย แต่มันทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป สีหน้าของพวกเขาดูน่าเกลียดขึ้นมาทันที กำปั้นของสี่น้อยกำแน่น ใบหน้าของเขาฉายแววว้าวุ่นใจ เซียวเอี๋ยนหลับตาและถอนหายใจเบาๆ แม้อู่ หยายังดูค่อนข้างรับเรื่องนี้ไหวเนื่องจากเธอยังเด็กมากและสามารถเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ครั้งต่อไปได้ตลอดเวลา แต่เธอก็ยังดูมีสีหน้าผิดหวังฉายชัดออกมา

หลินเทียนอ้าวมองไปที่ขี้เมาเป่า หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจและส่ายหัว เขาพูดอย่างอ่อนใจ “แม้คนบัญชา แต่ฟ้าก็เป็นผู้ลิขิต เจ้าพูดถูก แทนที่จะดื้อรั้นเดินหน้าต่อไปและกลายเป็นที่อับอายในสายผู้อื่น พวกเราก็ควรจะกลับไปเช่นกัน ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างเต็มที่เอง”

“ช้าก่อน!” ในขณะนั้น โจวเหว่ยชิงก็ลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันและกวาดมองสีหน้าผิดหวังของสหายร่วมทาง เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกเราจะกลับไปแบบนี้ไม่ได้ พวกเราต้องเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์”

“หืม?” ขี้เมาเป่ามองเขาพลางขมวดคิ้ว “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เราจะเข้าร่วมได้อย่างไร? จุดประสงค์ของเราไม่ใช่แค่เข้าร่วมเฉยๆเท่านั้น ด้วยอาการบาดเจ็บของเรา ข้ากลัวว่าแม้แต่รอบแรกพวกเราก็ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ นับประสาอะไรกับการแข่งขันในช่วงหลัง หรือแม้แต่ฝันถึง 4 อันดับแรก ทั้งหมดจะกลายเป็นความอัปยศอดสูของพวกเราไปเสียเปล่าๆ”

โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึก เขาได้กรุ่นคิดเรื่องนี้ไว้อย่างถี่ถ้วนก่อนจะพูดออกมาแล้ว เขารู้ว่าการประลองครั้งนี้มีความสำคัญเพียงใดต่อสมาชิกทั้ง 5 ของโรงเรียนเจ้ามณี โดยเฉพาะเหล่ารุ่นพี่ และอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นความใฝ่ฝันของพวกเขา แต่ถึงกระนั้น ความฝันนี้กลับพังทลายลงไปเพราะตัวเขาและเจ้าแมวอ้วน ถ้าพวกเขากลับไปในสภาพนี้ โจวเหว่ยชิงก็คงจะไม่มีทางให้อภัยตัวเองได้ อีกทั้งคนที่เหลือก็ต้องทนอยู่กับความเศร้าเสียใจเช่นกัน แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็น เมื่อมาถึงจุดนี้ นิสัยองอาจกล้าหาญที่เขาอาจได้รับถ่ายทอดมาจากแม่ทัพโจวก็โผล่ขึ้นมาเป็นครั้งแรก และเขาตัดสินใจแล้วว่าตนจะต้องเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์นี้อย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะต้องเปิดเผยไพฑูรย์ตาแมวสองสีของตนออกมาก็ตาม แน่นอนว่ามันอาจจะก่อปัญหาให้เขาอีกเป็นโขยง แต่ถ้าเขาไม่ทำเช่นนี้ เขาก็อาจจะต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิต

ถึงอย่างไรเขาก็ได้ไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดก่อนที่จะตัดสินใจทำเช่นนี้แล้ว ก็เหมือนกับที่หญิงสาวผมขาวผู้ลึกลับนามว่าเทียนเอ๋อร์ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าภูเขาหิมะสวรรค์กำลังจับตามองเขาอยู่ หากเขาประสบปัญหาจากการเปิดเผยไพฑูรย์ตาแมวสองสี เขาก็สามารถเข้าร่วมภูเขาหิมะสวรรค์ หรือหากไม่มีทางเลือกอื่น แม้แต่นิกายปีศาจสวรรค์เขาก็จะยอมเข้าร่วมกับพวกเขา

“เราจะเดินหน้าเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ต่อ ข้าจะเป็นเสาหลักของกลุ่มให้เอง” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม

ทันทีที่เขาพูดแบบนั้น ทุกคนก็มองเขาด้วยความประหลาดใจ

ดวงตาของสี่น้อยเผยให้เห็นถึงความซาบซึ้ง แต่เขาก็ถอนหายใจและพูดว่า “น้องชาย ไม่เป็นไรหรอก ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกแย่กับเหตุการณ์นี้ แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้า ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น บางครั้งโชคร้ายก็มักจะจู่โจมเข้าหาพวกเราโดยไม่ทันได้ตั้งตัวล่ะนะ”

โจวเหว่ยชิงส่ายหน้า ตอนนี้ดวงตาของเขาไม่มีแววซุกซนขี้เล่นเหมือนปกติ แต่เป็นแววตาที่กำลังคิดคำนวณอย่างเยือกเย็น “กลุ่มพวกเรามี 8 คน ดูจากสภาพภายนอกแล้ว พวกท่านทั้ง 4 ได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างไรก็ตามทั้งข้าและซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้รับบาดเจ็บโดยสิ้นเชิง พวกเราจึงสามารถใช้พลังต่อสู้ได้เต็มที่ อู่หยาและเย่เป่าเปาน่าจะฟื้นตัวในอีกไม่กี่วัน เมื่อถึงเวลาที่งานประลองเริ่มขึ้น เราทั้ง 4 คนก็จะสามารถเข้าร่วมการต่อสู้ได้ ดูจากอาการบาดเจ็บของท่าน หัวหน้าควรใช้เวลาประมาณ 1 เดือนหรือมากกว่านั้นเพื่อให้ฟื้นคืนสู่สภาพที่ดีที่สุด ส่วนสี่น้อย อาการของท่านก็น่าจะคล้ายกัน สำหรับเซียวเอี๋ยนและขี้เมาเป่า พวกเขาได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่ามากและอาจต้องใช้เวลานานกว่านี้ หากพวกเราทั้ง 4 คนสามารถผ่าน 2 รอบแรกไปได้ ความสามารถในการต่อสู้ของทั้งกลุ่มก็จะกลับคืนมาอย่างน้อย 8 ใน 10 ส่วน หากเราสามารถรั้งอันดับ 8 เอาไว้ได้ เวลานั้นกลุ่มของเราก็จะฟื้นตัวได้เกือบ 9 ใน 10 ส่วนแล้ว ถึงตอนนั้นใครจะกล้าบอกว่าพวกเราไม่มีความสามารถมากพอจะก้าวขึ้นสู่ 4 อันดับแรกอีก? การต่อสู้ที่ยากที่สุดสำหรับพวกเราในตอนนี้คือ 2 รอบแรก แต่ถ้าเราโชคดีในตอนจับฉลาก เราอาจจะได้กลุ่มที่อ่อนแอกว่าก็ได้ ถึงอย่างไรเรายังคงมีโอกาสอยู่”

เมื่อฟังการวิเคราะห์ของเขา สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป และความหวังก็ดูเหมือนจะโชติช่วงขึ้นมาในใจของทุกคน

โจวเหว่ยชิงรีบกล่าวต่อ “รุ่นพี่เย่เป่าเปามีมณี 4 ชุด และระดับพลังปราณของเขาก็มากพอจะเข้าร่วมการประลอง ส่วนอู่หยา ในแง่ของการโจมตีทางกายภาพ นางแทบจะเทียบได้กับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ชุดด้วยซ้ำ ส่วนปิงเอ๋อร์อาจไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่เพราะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสูงสุด ความเร็วของนางจึงเหนือกว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ชุดทั่วๆ ไป นอกจากนี้ แม้ว่าความสามารถในการโจมตีของนางอาจจะไม่ทรงพลังมากนัก แต่นางก็ยังสามารถแสร้งว่าตนเองเป็นปรมาจารย์อสูรเพื่อนำหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งระดับปรมะขั้นแรกขึ้นไปบนสนาม เมื่อรวมกับทักษะการยิงธนูของนาง แน่นอนว่านั่นย่อมเป็นพลังที่น่ากลัว”

ขี้เมาเป่ากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ถึงอย่างนั้นก็ยังอาจจะไม่เพียงพอ เจ้ารู้ดีว่างานประลองครั้งนี้มีความสำคัญเพียงใด แม้ว่ารอบแรกๆ พวกเราอาจจะไม่ได้พบกับกลุ่มที่เก่งกาจ แต่อาณาจักรที่เล็กกว่านั้นก็ยังส่งจ้าวมณีสวรรค์ที่เก่งและยอดเยี่ยมที่สุดมาอยู่ดี”

โจวเหว่ยชิงยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “ยังมีเสาหลักของกลุ่มอย่างข้าอยู่อีกหนึ่งคน ข้ามั่นใจว่าตราบใดที่เราไม่ได้เผชิญหน้ากับกลุ่มที่มีมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์หนุนหลังอยู่ ข้าก็จะสามารถกำราบคู่ต่อสู้ได้ 2 คนหรือมากกว่านั้น แม้ว่าข้าไม่อยากทำให้ท่านตกใจ แต่ข้าก็ต้องบอกรุ่นพี่สี่น้อยว่าก่อนหน้านี้ที่ข้าเอาชนะท่านไม่ใช่เพราะโชคช่วย”

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงพูดเช่นนั้น สีหน้าสี่น้อยก็ดูแปลกประหลาดขึ้นมาทันที “เหว่ยชิง เจ้ากำลังพยายามจะปลอบใจข้าหรือยั่วโมโหข้ากันแน่?! เจ้ากำลังบอกว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าข้างั้นรึ?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “หึๆ แข็งแกร่งกว่าท่านแน่นอน!”

สี่น้อยพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง “เจ้าเด็กคนนี้นี่! เจ้ากำลังกลั่นแกล้งข้าที่ตอนนี้ได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถทดสอบความจริงได้ด้วยตัวเอง ข้ารู้ความตั้งใจของเจ้าดี และเจ้าต้องการให้พวกเราเข้าร่วมงานประลอง แต่เราไม่สามารถเอาชีวิตของเจ้าไปเดิมพันเช่นนี้ได้ ถึงอย่างไรในงานประลองมณีสวรรค์ก็มีการอำนวยความสะดวกให้ทุกคนสามารถปลดปล่อยพลังได้เต็มที่ ดังนั้นการเผลอฆ่าคู่ต่อสู้จึงไม่ถือว่าผิดกฎ”

นอกจากหลินเทียนอ้าวที่ดูครุ่นคิดอย่างหนักและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่นั่งนิ่งๆ อย่างสงบเยือกเย็นแล้ว เพื่อนร่วมทางที่เหลือต่างก็มองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้าไม่เชื่อถือ แม้แต่เย่เป่าเปาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ก่อนหน้านี้เย่เป่าเปารู้สึกว่าพลังของโจวเหว่ยชิงก็ไม่เลวเท่าไหร่นัก ทว่าในช่วง 3 วันที่ผ่านมา เขาก็ได้ตระหนักว่ามีช่องว่างอันยิ่งใหญ่ที่เขาแทบจะแทรกผ่านไปไม่ได้ระหว่างพลังของเขากับสมาชิกจากโรงเรียนเจ้ามณีคนอื่นๆ ความสามัคคี การทำงานเป็นกลุ่ม การรับรู้ ปฏิกิริยาตอบสนอง ความสามารถในการต่อสู้ แม้แต่ทักษะที่ทรงพลัง เขายังขาดสิ่งเหล่านี้อยู่มาก ดังนั้นเมื่อได้ยินโจวเหว่ยชิงพูดว่าเขามีพลังมากกว่าสี่น้อย เขาจึงไม่เชื่ออย่างสนิทใจ

“อู่หยา” โจวเหว่ยชิงเมินสี่น้อยและหันไปหาอู่หยาแทน

“มีอะไรหรือ?” อู่หยาตอบ เธอนั่งบนพื้นและมองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างไม่แน่ใจ เธอไม่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ เพียงแค่ได้รับผลกระทบจากพลังปราณธาตุปีศาจของแม่มดน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้เนื่องจากไอปีศาจเหล่านั้นถูกโจวเหว่ยชิงดูดออกไปแล้ว เมื่อรวมกับการพักผ่อนหลายวันและพื้นฐานร่างกายที่แข็งแรงแต่เดิม เธอจึงฟื้นตัวได้เร็วมาก

โจวเหว่ยชิงมองอู่หยา ปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะที่พูดว่า “มาประลองความแข็งแกร่งทางกายภาพกันเถอะ”

“อะไรนะ? เจ้าจะประลองเรื่องความแข็งแกร่งทางกายภาพกับข้า!” ดวงตาของอู่หยาแทบจะถลนออกมา การแสดงออกของเธอชัดเจนว่า ‘น้องชาย เจ้าป่วยอยู่หรือเปล่า!’ เธอไม่ใช่คนเดียว ทุกคนที่เหลือจ้องมองโจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้าคล้ายคลึงกัน

ในช่วงเวลาแห่งความว้าวุ่นใจนั้น โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองลงไปยังหน้าอกของตนเองที่มีเจ้าแมวอ้วนซุกอยู่ เขารู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาจะต้องเชื่อมโยงกับการวิวัฒน์ระดับของเจ้าแมวอ้วนแน่ แม้เขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นขณะที่หมดสติไป แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับประโยชน์มากมายจากเจ้าแมวอ้วน ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่ได้รับความเจ็บปวดเหมือนอย่างเคยเมื่อทะลวงจุดตายที่สำคัญเช่นนี้

เขายกมือขึ้นลูบหัวเจ้าแมวอ้วนและพูดด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง “ขอบคุณนะแมวอ้วน เจ้ากำจัดเสื้อผ้าของข้าก็เพื่อช่วยข้านี่เอง…ขอบคุณ”

เจ้าแมวอ้วนที่กำลังเดือดดาลด้วยความโกรธพลันสะดุ้งเมื่อได้รับสัมผัสอบอุ่นจากมือของเขาเช่นนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของเขา แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่จู่ๆ เธอก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่อาจบรรยายได้ ความรู้สึกเช่นนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่มาก แม้แต่บิดาของเธอก็ยังไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเช่นนี้มาก่อน

ขณะที่เขาพูด โจวเหว่ยชิงก็เดินออกจากถ้ำไปด้วย ในตอนแรกเขาวางแผนจะยกย่องชมเชยเจ้าแมวอ้วนให้มาก กว่านี้ แต่ในขณะที่เขาก้าวออกไปและเห็นฉากตรงหน้า ทั้งร่างของเขาก็สั่นสะท้านด้วยความตกใจ เขาพุ่งไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซึ่งนอนอยู่บนพื้นทันที

“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?” โจวเหว่ยชิงอุ้มซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขน ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด รังสีสังหารเข้มข้นปะทุออกมาจากร่างกายของเขาทันที ในขณะที่เขาประคองร่างของเธอเอาไว้ พลังปราณสวรรค์ของเขาก็หลั่งไหลเข้าไปในร่างของเธอทีละน้อย

ฉากตรงหน้าทำให้เขาตกใจมาก พื้นทั้งหมดเต็มไปด้วยเลือดและเกลื่อนไปด้วยซากศพของอสูรสวรรค์จำนวนมาก ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เขาได้เข้าร่วมภารกิจที่ต้องเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์หลายครั้งและเขาก็มีประสบการณ์ในการจัดการกับพวกมันมากมาย มองปราดเดียวเขาก็บอกได้แล้วว่าอสูรสวรรค์เหล่านี้ทรงพลังเพียงใด นอกจากนี้ เพื่อนร่วมกลุ่มของเขาทุกคน ไม่ว่าจะนั่งหรือนอนอยู่บนพื้น ทุกคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนๆ กัน เป็นเช่นนี้เขาจะสงบสติอารมณ์ได้อย่างไร!?

พลังปราณที่โจวเหว่ยชิงถ่ายเทให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำให้เธอฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อย ในบรรดาสมาชิกกลุ่มทั้งหมด เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก ทว่าสาเหตุที่เธอหมดสตินั้นก็เป็นเพราะความเหนื่อยล้าและความกดดันจากการต่อสู้ครั้งก่อนๆ เมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงที่อยู่ตรงหน้าเธอปลอดภัยดี เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สวมกอดเขาเอาไว้แน่นเพื่อให้อ้อมกอดอันอบอุ่นของเขาปลอบประโลมจิตใจ ในที่สุดเธอก็ผ่อนคลายลงและมีดวงตาแดงก่ำ

“อ้วนน้อย ข้าคิดว่าจะไม่ได้เจอเจ้าอีกแล้ว ดีจังที่เจ้าสบายดี”

โจวเหว่ยชิงกอดเธอไว้อย่างแนบแน่น หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนใบหน้าซีดเซียว เขานึกไม่ออกว่าตนจะเป็นอย่างไรหากต้องสูญเสียซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไป และเขาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน

“อ้วนน้อย ข้าไม่เป็นไร แค่เหนื่อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าควรรีบไปตรวจดูคนที่เหลือก่อน 3 วันที่ผ่านมานี้ เพื่อปกป้องเจ้าและแมวอ้วน พวกเราต้องผ่านการต่อสู้ไม่ต่ำกว่า 10 ระรอก เมื่อสักครู่มีเด็กสาวชุดดำคนหนึ่งโผล่ออกมา และนางก็เกือบจะฆ่าพวกเราทั้งหมด”

โจวเหว่ยชิงรีบระงับอารมณ์ เขาไม่ใช่คนโง่ เพียงแค่เสียสติไปชั่วครู่เพราะเห็นภาพซ่างกวนปิงเอ๋อร์นอนหมดสติบนพื้นเท่านั้น เขาเข้าใจได้ทันทีว่าการโจมตีของอสูรสวรรค์เหล่านี้เกิดจากการวิวัฒน์พลังของเจ้าแมวอ้วนและคนที่เหลือต่างก็ใช้เวลาทั้ง 3 วันต่อสู้เพื่อปกป้องพวกเขาเอาไว้ เป็นเวลาถึง 3 วัน! ดูจากสภาพของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่เหนื่อยล้าจนเป็นลมไป เขาก็จินตนาการได้แล้วว่าการต่อสู้พวกนั้นจะต้องยากลำบากแค่ไหน

เขาวางซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลงบนพื้นในท่าที่สะดวกสบายอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังหลินเทียนอ้าวอย่างรวดเร็ว

ต้องบอกว่าหลินเทียนอ้าวคู่ควรกับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มจริงๆ อาการบาดเจ็บของเขาร้ายแรงมาก แต่เขายังคงเป็นคนเดียวที่สามารถนั่งไขว่ห้าง ทำสมาธิเข้าญาณเพื่อรักษาตัวเองได้

แค่ความยืดหยุ่นและความมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียว เขาก็มีมากกว่าผู้อื่นแล้ว

“หัวหน้า ท่านเป็นยังไงบ้าง?” โจวเหว่ยชิงมองไปที่หลินเทียนอ้าวอย่างเป็นห่วง เขาค่อนข้างจะตกใจเมื่อเห็นหลินเทียนอ้าวมีใบหน้าซีดเซียว ลมหายใจของอีกฝ่ายไม่สม่ำเสมอ อีกทั้งกล้ามเนื้อของเขาก็กระตุกอย่างชัดเจนด้วยความเจ็บปวด โจวเหว่ยชิงรู้ดีว่าการป้องกันของเขาทรงพลังเพียงใด และหากเขาได้รับความเสียหายเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าการต่อสู้นั้นจะรุนแรงแค่ไหน

โจวเหว่ยชิงไม่มีทักษะธาตุชีวิต เขาจึงไม่สามารถช่วยรักษาหลินเทียนอ้าวได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือส่งพลังปราณสวรรค์ให้หลินเทียนอ้าว ทั้งหมดก็เพื่อช่วยเหลือเขาในกระบวนการฟื้นฟูร่างกายของตนเอง

โจวเหว่ยชิงนั่งอยู่ข้างหลังหลินเทียนอ้าว วางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนหลังกว้างของเขาและค่อยๆ ส่งผ่านพลังปราณสวรรค์ของเขาเข้าไปให้อีกฝ่าย

ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็ค้นพบบางสิ่งที่แปลกออกไป ภายในร่างกายของหลินเทียนอ้าวกลับมีพลังบางอย่างที่เขาคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด และเมื่อโจวเหว่ยชิงได้ส่งพลังปราณสวรรค์ของตัวเองเข้าไป ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

กระแสพลังที่เย็นสดชื่นไหลย้อนเข้ามาในร่างกายของเขาผ่านฝ่ามือและวงล้อทักษะธาตุที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็หมุนไปที่พื้นที่สีเทาซึ่งแสดงถึงทักษะธาตุปีศาจ

“เกิดอะไรขึ้น?” โจวเหว่ยชิงรู้สึกตื่นตระหนก เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อเขาทะลวงผ่านวิชาเทพอมตะส่วนที่ 2 ไปแล้ว เขาจะสามารถควบคุมทักษะกลืนกินได้แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสถานะปีศาจกลายร่าง? แต่…แต่ตรงหน้าเขาคือหลินเทียนอ้าว เขาไม่ต้องการที่จะกลืนกินอีกฝ่าย!

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงพยายามไขปริศนาเรื่องนี้ กระแสพลังเย็นยะเยือกที่เข้าสู่ฝ่ามือของเขาก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น นอกจากนี้ เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าพลังปรานเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดไว้แต่แรก นี่ไม่ใช่พลังปรานธาตุดินของหลินเทียนอ้าว แต่เป็นพลังปราณสวรรค์ธาตุปีศาจที่เย็นยะเยือก!

เมื่อพลังปราณธาตุปีศาจถูกโจวเหว่ยชิงดูดกลืนออกไป เขาก็รู้สึกได้ชัดว่ากล้ามเนื้อที่เกร็งแน่นบนหลังของหลินเทียนอ้าวผ่อนคลายเล็กน้อยจนอีกฝ่ายสามารถกลับไปนั่งตัวตรงได้ พลังปรานธาตุปีศาจบริสุทธิ์นี้ถูกผสมเข้ากับพลังปราณสวรรค์ธาตุมืดบางอย่าง และทันทีที่โจวเหว่ยชิงดูดกลืนพวกมันเข้ามา พลังปราณเหล่านั้นก็ถูกดูดซับโดยจุดตายทั้ง 13 แห่งของเขาและถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังปราณของตัวเอง จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็พลันสัมผัสได้ว่าพลังปรานสวรรค์ของเขาพัฒนาขึ้นพร้อมๆ กับระดับพลังเขา!

“ข้าดีขึ้นมากแล้ว” หลินเทียนอ้าวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนหน้านี้ขณะที่แม่มดน้อยโจมตีโล่ประสานของเขา ด้วยการโจมตีครั้งสุดท้ายนั้น โล่ของเขาก็เกือบจะถูกทำลายไปแล้ว 3 วันมานี้หลินเทียนอ้าวเป็นเสาหลักให้คนในกลุ่มทั้งหมด เป็นเสาที่ยึดพวกเขาไว้ด้วยกัน ดังนั้นเขาจึงเผาผลาญพลังตัวเองมากจนเกินควร ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น แม่มดน้อยก็คงจะไม่รู้สึกว่าเขาจัดการได้ยากเช่นนี้ หลังจากได้รับบาดเจ็บหนัก สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดสำหรับหลินเทียนอ้าวก็คือพลังปราณธาตุปีศาจที่แสนเย็นยะเยือก ทันทีที่มันเข้ามาในร่างกายของเขา มันก็เริ่มกัดกินพลังปรานและทำลายเส้นเชีพจรของเขา เขาจึงต้องใช้พลังงานสวรรค์จำนวนมากเพื่อที่จะสกัดมันเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจขจัดมันออกไปจากร่างกายได้ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่สามารถเพ่งสมาธิรักษาอาการบาดเจ็บส่วนอื่นได้เลย เขารู้ดีว่าหากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าบาดแผลอื่นๆ ของเขาจะหายดีแล้ว แต่พลังปราณปีศาจก็จะยังคงอยู่ในร่างกายของเขาและกลายเป็นอาการบาดเจ็บเรื้อรังต่อไป

ในขณะที่เขาเริ่มรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ โจวเหว่ยชิงก็มาถึง และเมื่อมือของอีกฝ่ายวางลงบนหลังของเขา หลินเทียนอ้าวก็รู้สึกว่าพลังปราณปีศาจที่เป็นตัวก่อปัญหากำลังถูกโจวเหว่ยชิงดึงกลับออกไป เมื่อร่างกายไม่หลงเหลือพลังปราณปีศาจอยู่แล้ว เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะตอนนี้เขาสามารถมุ่งเน้นไปที่การรักษาบาดแผลที่เหลือได้แล้ว

“เหว่ยชิง เดินไปดูขี้เมาเป่าอีกด้านหน่อย เขาได้รับบาดเจ็บหนักที่สุด อีกทั้งยังถูกพลังปราณธาตุปีศาจรบกวนอยู่ด้วย ช่วยเขาก่อน จากนั้นก็ไปช่วยสี่น้อย และอู่หยาตามลำดับ เย่เป่าเปาเพิ่งหมดสติไปเพราะเหนื่อย ส่วนเซียวเอี๋ยนก็เผาผลาญพลังชีวิตของตัวเองเพื่อเรียกเปลวไฟแห่งชีวิตออกมา แต่เขาสามารถฟื้นตัวได้ด้วยตัวเองอย่างช้าๆ”

แม้จะกำลังบาดเจ็บสาหัส หลินเทียนอ้าวก็ยังคงเป็นหัวหน้าที่รับผิดชอบต่อกลุ่ม เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะซักไซ้โจวเหว่ยชิงเกี่ยวกับวิธีที่เขาสามารถจัดการกับพลังปราณธาตุปีศาจที่เย็นยะเยือกในร่างกายของเขา ถึงอย่างไรการจัดการกับอาการบาดเจ็บของทุกคนก็สำคัญกว่ามาก

1 ชั่วโมงต่อมา โจวเหว่ยชิงก็สามารถดึงพลังปราณธาตุปีศาจทั้งหมดจากร่างเพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บของทุกคนได้สำเร็จ ในเวลาเดียวกัน พลังปราณธาตุปีศาจจำนวนมหาศาลเหล่านี้ก็เป็นเหมือนยาบำรุงกำลังชั้นดีเพราะมันช่วยเพิ่มระดับพลังปราณของเขาได้มากทีเดียว

เมื่อทุกคนมารวมตัวกัน โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ได้ทันที ในบรรดาเพื่อนทั้ง 7 คนของเขา คนเดียวที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บหนักคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ด้านเย่เป่าเปาที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บบางส่วนจากการต่อสู้ใน 3 วันที่ผ่านมาเช่นกัน ทว่าอาการบาดเจ็บของทั้งเขาและอู่หยาไม่สาหัสมากนักเมื่อเทียบกับคนที่เหลือ โดยเฉพาะอู่หยา อาการบาดเจ็บหลักของเธอมาจากการบุกรุกของพลังปราณธาตุปีศาจที่โจวเหว่ยชิงดึงออกไปแล้ว ตอนนี้เธอจึงค่อนข้างสบายดี แต่อย่างไรก็ตาม คนที่เหลือต่างก็ยังตกอยู่ในความคับแค้นใจ

ฝั่งขี้เมาเป่านั้นได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง และแม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะช่วยเขาดึงพลังปราณธาตุปีศาจในร่างกายออกมาแล้ว แต่เนื่องจากเขาบาดเจ็บภายในอยู่ก่อน เมื่อรวมกับอาการบาดเจ็บอื่นๆ ของเขา ขี้เมาเป่าคงจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติดังเดิม สิ่งเลวร้ายลำดับถัดมาคือเซียวเอี๋ยนผู้ซึ่งเส้นชีพจรได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาได้เผาผลาญพลังชีวิตของตนเองเพื่อเรียกเปลวไฟแห่งชีวิตออกมาระหว่างการต่อสู้กับแม่มดน้อย แม้เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่มันก็ทำให้พลังชีวิตของเขาหมดไปเช่นกัน ดังนั้นทั้งเขาและขี้เมาเป่าจึงได้แต่นอนสลบไสลไปอย่างไม่มีสติ ส่วนสี่น้อยดีกว่าอีก 2 คนเล็กน้อยเท่านั้น เขาได้รับบาดเจ็บภายในเช่นเดียวกับหลินเทียนอ้าวและต้องใช้เวลาฟื้นตัวระยะหนึ่ง

ในบรรดาสมาชิกทั้งหมด 8 คนของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ ปรากฏว่าสมาชิกหลัก 4 ใน 5 คนได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว แต่อีกไม่ถึง 20 วันก็จะถึงงานประลองมณีสวรรค์เช่นกัน แน่นอนว่าเวลา 20 วันย่อมไม่เพียงพอที่จะให้พวกเขาทั้ง 4 ฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์

โจวเหว่ยชิงค่อยๆ เก็บเกี่ยววัตถุดิบต่างๆ จากอสูรสวรรค์ที่ตายไปอย่างช้าๆ และเงียบๆ แม้จะรู้ว่าตอนนี้สมาชิกในกลุ่มของเขาปลอดภัยดีเพราะเขาได้ดึงพลังปราณธาตุปีศาจออกมาจากบาดแผลของทุกคนสำเร็จแล้ว แต่คิ้วของเขาก็ยังคงขมวดแน่น เพื่อปกป้องเขาและแมวอ้วน สหายทั้ง 7 คนนี้ไม่ได้ทอดทิ้งเขา พวกเขาต่อสู้อย่างสุดชีวิตตลอด 3 วัน 3 คืน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นสิ่งนี้ก็จะทำให้เขาติดค้างคนที่เหลืออย่างหนัก ที่สำคัญกว่านั้นคือ เพื่อปกป้องเขา สมาชิกหลักทั้ง 4 คนถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยเฉพาะหลินเทียนอ้าว เช่นนี้พวกเขาจะทำอย่างไรกับงานประลองมณีสวรรค์! พวกเขามาที่งานประลองนี้ด้วยความหวังที่จะเข้าสู่ 4 อันดับแรก โดยเฉพาะหลินเทียนอ้าวที่มีอายุ 29 ปีแล้ว อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเขาและสิ่งที่เขาทุ่มเทฝึกฝนตลอดช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการจะทำให้สำเร็จก่อนที่จะกลับไปเป็นผู้ติดตามตลอดชีพของโจวเหว่ยชิง เช่นนี้เขาจะยอมปล่อยผ่านไปได้ง่ายหรือ

เนื่องจากเจ้าแมวอ้วนได้วิวัฒน์พลังขึ้นเรียบร้อยแล้ว กลิ่นอายที่ดึงดูดบรรดาอสูรสวรรค์ก็ไม่มีเหลืออีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงพักผ่อนกัน 3 วันเต็มเพื่อฟื้นฟูและรักษาอาการบาดเจ็บที่รุนแรง ในที่สุดเซียวเอี๋ยนและขี้เมาเป่าก็ตื่นขึ้นมา และแม้ว่าจะไม่มีใครตำหนิโจวเหว่ยชิง แต่เขาก็ยังมองเห็นความโศกเศร้าในดวงตาของพวกเขาได้

พอรุ่งเช้า พวกเขาก็นั่งรอบกองไฟและกินอาหารที่โจวเหว่ยชิงเตรียมเอาไว้ ทุกคนยังคงตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด

ทันใดนั้นขี้เมาเป่าที่ก้มหน้าลงพร้อมกับสีแดงระเรื่อเล็กน้อยในดวงตาก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “หัวหน้า เรากลับบ้านกันเถอะ”

ด้วยอาการบาดเจ็บเช่นนี้ พวกเขาจะเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ต่อไปได้อย่างไร!

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ที่หลินเทียนอ้าวถูกกระแทกกลับจนถึงตอนที่ทุกคนถูกทำร้ายและซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังเผชิญหน้ากับความตาย เวลาทั้งหมดแทบจะผ่านไปไม่ถึง 2 อึดใจเท่านั้น ดังนั้นในขณะนี้จึงไม่มีใครสามารถฝ่าเข้ามาช่วยเธอได้ทันเวลา!

ทว่าทันใดนั้น แสงสีทองเจิดจ้าก็พุ่งสวนออกมาจากภายในถ้ำ ปะทะเข้ากับแสงสีเทาที่กำลังทะยานหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เกิดเสียงปะทะดังสนั่นหวั่นไหว จากนั้นดวงไฟทั้ง 2 ก็สลายหายไปพร้อมกัน เมื่อถึงจุดนี้ ทุกคนก็ตระหนักได้ทันทีว่าโล่แสงสีขาวที่ป้องกันทางเข้าถ้ำได้ถูกทำลายไปแล้วโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว

เมื่อเห็นว่าการโจมตีของเธอถูกขัดขวางเอาไว้ได้ แม่มดน้อยก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที สายตาของเธอหันไปที่ทางเข้าถ้ำก่อนจะถอนหายใจและพูดออกมาเบาๆ “เป็นเจ้าจริงๆ…ช่างน่าเสียดาย…ข้ามาสายเกินไป…เจ้าวิวัฒน์สำเร็จแล้ว งั้นรึ! หึ งั้นวันนี้ข้าก็คงต้องเลิกราไปก่อน สักวันข้าจะต้องตามเจ้าทันแน่!” หลินเทียนอ้าวและคนอื่นๆ รู้สึกสับสนกับคำพูดของเธอ แต่ขณะที่มองไปรอบๆ กลุ่มคนที่ได้รับบาดเจ็บ เธอก็ไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก ไม่นานเธอก็ฉีกยิ้มสดใสให้พวกเขาอย่างน่ารักไร้เดียงสาและเปลี่ยนกลับไปเป็นหมอกควันสีดำลอยหายเข้าไปในป่า

ตั้งแต่ต้นจนจบ แม่มดน้อยปรากฏตัวออกมาต่อสู้กับพวกเขาเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ทว่าในช่วงไม่กี่นาทีนั้น หญิงสาวคนนี้กลับฝากรอยแผลไว้ในใจของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทุกคน นอกจากเย่เป่าเปาที่หมดสติไปแล้ว หลังการต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้น จากทั้งหมด 6 คน มีเพียงซ่างกวนปิงเอ๋อร์และอู่หยาเท่านั้นที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก หลินเทียนอ้าว ขี้เมาเป่า เซียวเอี๋ยน และสี่น้อย สมาชิกหลักทั้ง 4 คนต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสกันทั้งหมด

ตอนนี้อู่หยากำลังนั่งอยู่บนพื้นและหอบหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง เป็นความจริงที่ว่าเธอมีพละกำลังมหาศาล แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังคงเป็นแค่จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีเพียง 3 ชุด การเผชิญหน้ากับแม่มดน้อยทำให้เธอรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่แม่มดน้อยโจมตีขวานของเธอถึง 13 ครั้ง นอกจากนี้ ไอปีศาจที่แผ่เข้ามาในร่างกายของเธอผ่านโซ่ก็บีบคั้นให้เธอรู้สึกไม่สู้ดีนัก ในความเป็นจริง ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดต้องทนกับการรุกรานของไอปีศาจในระดับที่แตกต่างกัน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทรุดฮวบลงบนพื้นอย่างหมดแรง เพราะต้องออกแรงไปมากในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ทั้งยังได้เผชิญหน้ากับความตายในระยะประชิดเมื่อครู่ เธอจึงรู้สึกเหนื่อยล้าไปหมดทั้งกายใจ เรี่ยวแรงของเธอจึงไม่อาจแม้แต่จะฝืนมุ่งหน้าเข้าไปในถ้ำเพื่อสำรวจดูอย่างที่ตนหวัง ไม่นานเธอก็ล้มลงหมดสติไป

ภายในถ้ำ ดวงแสงทั้ง 4 สีและรังไหมก็หายไปแล้วทั้งคู่ โจวเหว่ยชิงนอนหมดสติอยู่บนพื้น ลายเสือสีดำบนร่างกายของเขาค่อยๆ จางหายไป อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เขากลับกำลังถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวระยิบระยับหนาประมาณ 3 นิ้ว ร่างของเขาพลันเกิดแรงดึงดูดขึ้นมาทันที มันช่วยดูดกลืนพลังงานจากบรรยากาศรอบตัวเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว

เทียนเอ๋อร์ยืนเปลือยเปล่าอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิง เธอหันหลังให้เขาเนื่องจากสายตากำลังทอดมองออกไปยังนอกถ้ำ ดวงตาสีม่วงของเธอเปล่งประกายเลือนลาง เห็นได้ชัดว่ามณีสวรรค์ 6 ชุดรอบข้อมือของเธอตอนนี้กลายเป็น 7 ชุดแล้ว ลายเสือสีฟ้ารอบๆ ตัวของเธอได้เลือนหายไปช้าๆ และร่างกายที่ทรงเสน่ห์เย้ายวนของเธอก็เปิดเปลือยท้าสายตาอย่างชัดเจน แม้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นก็ตาม เส้นผมสีขาวสลวยทอดยาวลงมาตามแผ่นหลังปกปิดร่างกายเอาไว้ได้แทบทุกส่วน ร่างของเธอยังมีกลิ่นอายที่ค่อนข้างลึกลับเย็นชา หรือแม้กระทั่งกลิ่นอายที่แผ่ไอศักดิ์สิทธิ์ออกมา

“นางอยู่แถวนี้จริงๆ…คราวนี้ข้าติดหนี้เหล่าสหายของเจ้าคนไร้ยางอายนี่เสียแล้ว” เทียนเอ๋อร์บ่นพึมพำกับตนเอง จากนั้นเธอก็หันกลับไปมองโจวเหว่ยชิงที่กำลังหลับสนิท ดวงตาของเธอปรากฏแววซับซ้อนทันที

“ทำไม! ทำไมข้าถึงไม่ฆ่าเขา?” เห็นได้ชัดว่าข้าฆ่าเขาได้ และก็ควรฆ่าเขาเพื่อชิงพลังมาทั้งหมด นั่นเป็นแผนของข้ามาตลอด…แต่ทำไมข้าถึงทำไม่ได้? ข้าอยู่กับเขามาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว อีกทั้งเจ้าคนขี้โกงนั่นก็คอยกลั่นแกล้งข้ามาโดยตลอด! ข้าควรจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุนลงแรงช่วยเหลือเขาสิ! เฮ้อ…แต่ข้ากลับทำไม่ได้? ยิ่งไปกว่านั้นคือในระหว่างการวิวัฒน์ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์ ตัวเขาเองก็ยังได้รับประโยชน์มหาศาลเช่นกัน ฮึ่ม เจ้าคนไร้ยางอายนี่ฉวยโอกาสเอาเปรียบอีกแล้ว!”

เทียนเอ๋อร์นั่งลงอย่างช้าๆ เธอตรวจสอบโจวเหว่ยชิงอย่างใกล้ชิดอีกครั้งเนื่องจากดวงตายังคงพร่ามัว เธอยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของโจวเหว่ยชิงเบาๆ และรับรู้ถึงความอบอุ่นจากผิวของเขา ไม่นานเธอก็หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย

“เจ้าคนขี้โกงนี่ หึ! กล้าจับข้าและบังคับข้าให้อาบน้ำกับเจ้า ข้าอยากจะฆ่าเจ้าจริงๆ!” ขณะพูดเช่นนั้น เธอก็หยิกใบหน้าของเขาและบิดทึ้งด้วยความหมั่นไส้

ทันใดนั้นเธอก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา “เจ้าคนกลิ้งกลอกผู้นี้เลวร้ายที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาจริงๆ เอาล่ะๆ ก็ได้ ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อข้าจะวิวัฒน์ไปสู่ระดับราชา นั่นคือช่วงเวลาที่ข้าสามารถได้ประโยชน์สูงสุดจากการตายของเจ้าได้ ถึงเวลานั้นข้าก็คงจะสามารถทำให้หัวใจของข้าแข็งกระด้างขึ้นได้แล้วกระมัง ใช่ มันต้องเป็นนั้นแน่ๆ”

หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เทียนเอ๋อร์ก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายมากขึ้น ใบหน้าของเธอเผยความโล่งใจออกมา เมื่อมองไปที่ร่างเปลือยของโจวเหว่ยชิงหลังจากลายเสือดำได้เลือนหายไปหมดแล้ว แก้มของเธอก็ยิ่งขึ้นสีมากกว่าเดิม เธอยกมือขวาขึ้น แตะหน้าผากของเขาด้วยนิ้วชี้ จากนั้นแสงสีม่วงอ่อนก็ซึมหายเข้าไปในศีรษะของเขา ในเวลาเดียวกันเธอถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีขาวเจิดจ้า ร่างกายพลันหดเล็กลงอย่างช้าๆ เมื่อปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง เทียนเอ๋อร์ก็อยู่ในร่างเสือขาวตัวน้อยน่ารักแล้ว

แมวอ้วนมองเขาด้วยความโกรธ มันอ้าปากกัดแขนโจวเหว่ยชิงอย่างแรง ก่อนที่จะปีนขึ้นไปนอนซุกบนหน้าอกของเขาอย่างร้อนรน

โจวเหว่ยชิงที่กำลังหลับสนิทย่อมไม่รู้ว่าเขาเพิ่งถูกเจ้าแมวอ้วนกัด แต่เขาก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่แน่นอน เขาตัวสั่นสะท้าน ค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะราวกับว่าสมองของเขากระทบกระเทือนอย่างหนัก เมื่อมองไปรอบๆ ถ้ำ เขารู้สึกสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ข้าอยู่ไหน? ทำไมข้ามาอยู่ที่นี่? ข้ากำลังอะไร? เกิดอะไรขึ้นกันแน่ฟะเนี่ยย!? เขามองไปรอบๆ ตัวอย่างงุนงงอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ความทรงจำของเขาจะเริ่มกลับคืนมาช้าๆ

เอ๊ะ! ข้าควรจะอยู่กับเจ้าแมวอ้วนนี่ ข้าต้องคอยปกป้องมันในขณะที่มันกำลังวิวัฒน์พลัง! โจวเหว่ยชิงลุกพรวดขึ้นทันทีเมื่อคิดได้เช่นนั้น อนิจจา นั่นทำให้เจ้าแมวอ้วนที่เพิ่งนอนลงอย่างสบายๆ บนอกของเขากลิ้งตกลงไปทันทีข้างล่างทันที ทว่าในขณะที่ร่างกายที่อ่อนนุ่มของมันร่วงหล่นลงมาตามร่างกายของโจวเหว่ยชิง เขากลับไม่ได้ให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างของมันไถลลงไปถึงส่วนต้นขาของเขา มันก็ถูกหยุดเอาไว้โดยบางสิ่ง

เมื่อมันลืมตาขึ้น ‘เจ้าสิ่งน่าเกลียด’ ที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้มันโกรธแทบตาย โจวเหว่ยชิง ข้าจะฆ่าเจ้า! ในขณะที่มันกำลังจะยกกรงเล็บเล็กๆ ของมันตวัดใส่ “เจ้านั่น” ที่อยู่ตรงหน้า มันก็พลันรู้สึกว่าร่างกายกำลังลอยหวือขึ้นไปด้านบน

โจวเหว่ยชิงจับแมวอ้วนมาจ่อตรงใบหน้าของเขา ก่อนจะจ้องตาแล้วถามมันอย่างสงสัย “แมวอ้วน เจ้าวิวัฒน์พลังสำเร็จแล้วหรือ?”

เจ้าแมวอ้วนหลับตา เบ้ปากขณะที่หูน้อยๆ ของมันพลิกลง ทั้งหมดนี้เผยให้เห็นว่า “ข้าไม่สนใจเจ้า”

“ฮึ? ข้าถามเจ้าอยู่นะ เจ้านี่ไม่มีสำนึกผิดชอบชั่วดีเลยหรือไง? ข้าเพิ่งจะช่วยให้เจ้าวิวัฒน์พลังได้สำเร็จ แต่เจ้ากลับปฏิบัติกับข้าเช่นนี้หรือ!” โจวเหว่ยชิงพูดอย่างโกรธเคืองพลางบีบก้นเล็กๆ ที่นุ่มนิ่มของเจ้าแมวอ้วน เมื่อมองลงไปข้างล่างอีกครั้ง เขาก็รู้ว่าแท้จริงแล้วเขากำลังเปลือยเปล่า

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างทันที “เกิดอะไรขึ้น? สะ เสื้อผ้าของข้าไปไหน?! แมวอ้วน เจ้าทำอะไรข้า? ข้า…ข้า…ความบริสุทธิ์ของข้า! อ๊าาาาา!!” คนไร้ยางอายมองไปที่เสือขาวตัวน้อยในมือด้วยใบหน้าที่เศร้าโศก เขาดึงหูของมันขณะที่พูดว่า “แมวอ้วน ทำไมเจ้าถึงกำจัดเสื้อผ้าของข้าทิ้งไปหมด? เจ้าได้ทำสิ่งนั้นกับข้าหรือไม่? แมวลามก! เจ้าไร้ยางอายขนาดนี้เลยหรือ เจ้าต้องรับผิดชอบข้านะ! เอ๊ะ ทำไมเจ้าถึงจ้องข้าแบบนั้นกัน?”

ในที่สุดเจ้าแมวอ้วนก็ลืมตาขึ้นมา มันโกรธจนถึงถึงขีดสุดและรังสีสังหารก็ลอยฟุ้งขึ้นมาในอากาศ มันรู้สึกว่าตนเองตัดสินใจผิดจริงๆ ที่ช่วยเหลือเจ้าวายร้ายนี่ มันควรจะฉีกเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ!

“เอ่อ…ไม่เป็นไร ใครขอให้เราอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ล่ะเนอะ เฮ้อ ข้าจะยอมอยู่เงียบๆ และจะไม่โวยวายเรื่องนี้อีกแล้ว” โจวเหว่ยชิงเจ้าเล่ห์เหมือนอย่างเคย เขาสามารถรับรู้ได้โดยธรรมชาติว่าบรรยากาศกำลังเยือกยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนึกถึงพลังของเจ้าแมวอ้วน เขาจึงตัดสินใจที่จะล่าถอยก่อน

เขาหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่จากสร้อยมิติขึ้นมาสวม ยัดเจ้าแมวอ้วนไว้ในอกเสื้อก่อนจะเดินออกไปข้างนอก แมวอ้วนจ้องมองด้วยความโกรธชั่วขณะก่อนจะหลับตาลงอย่างหงุดหงิด

ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ แต่ทันทีที่เขาขยับตัวและเลือดในกายเริ่มไหลเวียน เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก!

นับตั้งแต่ที่เขากลืนไข่มุกรัตติกาลเข้าไป ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายใน ทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าจ้าวมณีทั่วๆ ไปมากอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องนำมันมาเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ราวกับว่าก่อนหน้านี้ร่างกายของเขาถูกสร้างขึ้นจากเหล็กเส้นบางๆ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นแท่งเหล็กหนา!

จากส่วนที่ลึกที่สุด จากภายในสู่ภายนอกร่างกาย ตั้งแต่ผิวหนังไปจนถึงกระดูก เส้นชีพจร และอวัยวะภายใน ทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อย่างสมบูรณ์ เมื่อเพ่งสมาธิสำรวจภายในร่างกายด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขา โจวเหว่ยชิงก็สามารถสัมผัสได้ว่าร่างทั้งร่างของเขา ลึกลงไปจนถึงส่วนที่เล็กที่สุดกำลังถูกห่อหุ้มไปด้วยไอพลังสีม่วงหนาทึบ และก็เป็นพลังปรานสีม่วงนี่เองที่ทำให้ร่างกายของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก

เดิมทีโจวเหว่ยชิงยังสามารถสัมผัสถึงพลังงานที่เหลืออยู่ของไข่มุกรัตติกาลในตันเถียนของเขาได้ แต่ตอนนี้มันได้หายไปหมดแล้ว อวัยวะภายในของเขารู้สึกตื่นตัวและกระปรี้กระเปร่าจนแทบจะเรืองแสงออกมาภายนอก และทุกครั้งที่เขาหายใจก็ดูเหมือนว่าอวัยวะภายในจะปลดปล่อยพลังออกมาทั่วทั้งร่างกาย กล้ามเนื้อ กระดูก เส้นชีพจร ทุกอย่างดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นมาก แม้กระทั่งเรี่ยวแรงของเขาก็เพิ่มขึ้นมหาศาลเช่นกัน เพียงแค่ก้าวเดินไปข้างหน้า เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองเบาลงกว่าเดิม และสามารถก้าวไปไกลเกือบ 2 หลาในครั้งเดียว

ในขณะเดียวกัน โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้ว่าจุดตายสุดท้ายในวิชาเทพอมตะส่วนที่ 2 จุดตายบริเวณเอวด้านหลังของเขาได้ถูกทะลวงไปเรียบร้อยแล้ว! มันคือจุดตายเหว่ยลู่ จุดที่ 2 บนกระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ นี่หมายความว่าเขาฝึกวิชาเทพอมตะส่วนที่ 2 เสร็จสมบูรณ์แล้ว และที่สำคัญกว่านั้นคือจุดตายทั้ง 8 ได้เชื่อมโยงเข้าด้วยกันอย่างถูกต้องและไหลเวียนหากันได้อย่างเหมาะสม

จุดตายทั้ง 8 จุดบริเวณด้านหลังเอว ซึ่งตอนนี้ถูกทะลวงหมดแล้ว กำลังเชื่อมโยงกับจุดตายบริเวณแขนขาทั้ง 5 ในวิชาส่วนแรกอย่างรวดเร็ว พวกมันเชื่อมต่อกันราวกับกลุ่มดาวบนท้องฟ้า หลุมดำพลังปราณทั้งหมด 13 แห่งประสานเข้าด้วยกันโดยมีจุดตายฉีไห่เป็นจุดศูนย์กลาง ทุกครั้งที่เขาหายใจ โจวเหว่ยชิงจะรู้สึกราวกับว่าทุกขุมขนของเขามีพลังชีวิตเป็นของตัวเอง ภายใต้แรงดูดกลืนของหลุมดำพลังปราณทั้ง 13 พวกมันสามารถดึงพลังปรานจำนวนมหาศาลจากชั้นบรรยากาศเข้ามาภายใน กรองให้บริสุทธิ์ ก่อนที่จะไหลเวียนไปรอบๆ ร่างกายและกลับไปที่จุดตายฉีไห่บนตันเถียนของเขาในที่สุด

นอกเหนือจากความจริงที่ว่าเส้นชีพจรของเขาแข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และกว้างขึ้นอย่างมาก พลังปรานสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน ขณะนี้ร่างของเขามีพลังปรานสวรรค์สถานะของเหลวอยู่มากมาย ในที่สุด ตอนนี้เขาก็มาถึงขั้นทะลวงพิภพอย่างเป็นทางการแล้ว

เซียวเอี๋ยนเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุดที่ทรงพลัง และเมื่อเขาทุ่มเทใช้ทักษะนี้ด้วยชีวิต ทุกคนจึงสามารถจินตนาการถึงพลังที่แท้จริงของมันได้ แน่นอนว่าแม้แต่หญิงสาวชุดดำที่มีระดับพลังเหนือกว่าเขาก็ยังไม่อาจรับมือกับสิ่งนี้ได้ง่ายๆ ถึงอย่างไรอาจารย์ของเซียวเอี๋ยนก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเฟยหลี่ ผู้ทรงพลังระดับราชา!

เมื่อเซียวเอี๋ยนปลดปล่อยมณีสวรรค์ทั้ง 10 ดวงของเขาออกมา สีของมณียุทธ์ก็ถูกบดบังไปด้วยสีของมณีธาตุโดยสิ้นเชิง ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ธาตุไฟ มณีธาตุของเขาคือทับทิมแดงดารา เมื่อเปรียบเทียบกับทับทิมทั่วๆ ไปแล้ว ทับทิมแดงดาราจะให้แสงเป็นประกายและเจิดจ้ามากกว่า นั่นแสดงให้เห็นถึงความงดงามของดวงดาวสีแดง และนั่นก็คือที่มาของชื่อ ‘ทับทิมแดงดารา’

ทับทิมแดงดาราทั้ง 5 ดวงดูเหมือนจะระเบิดออกจนลุกเป็นไฟอยู่ด้านหลังนกฟีนิกซ์เพลิง อุณหภูมิที่ร้อนระอุขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้อากาศในรัศมีร้อยเมตรเกิดระลอกคลื่นความร้อนขึ้น

“ฝนดอกฝูหรงสีน้ำเงิน!” หญิงสาวชุดดำฟาดดาบสีเทาดำไปข้างหน้าพร้อมกับร้องตะโกนออกมา

ดอกฝูหรงขนาดยักษ์เรืองแสงสีฟ้าและเบ่งบานออกมาอย่างรวดเร็วจากด้านหลังของเธอ แสงสีฟ้าสาดกระจายออกมาย้อมท้องฟ้าเหมือนละอองหยาดฝนหยดเล็กๆ ดูนุ่มนวลและอ่อนโยน แต่เมื่อพวกมันไหลทะลักออกมาพร้อมกัน คลื่นความร้อนที่แผ่ออกมาในอากาศก็ถูกระงับเอาไว้จนต้องหยุดชะงัก

เสียงอื้ออึงดังออกมาในขณะที่เกิดภาพแปลกประหลาดขึ้น ขณะที่หยดแสงสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าพัวพันกับเปลวไฟลูกใหญ่ มันก็ตรงเข้าต่อสู้กับนกฟีนิกซ์เพลิงที่กำลังบินเข้าหาหญิงสาวด้วย

ต้องรู้ว่านกฟีนิกซ์เพลิงนี้สร้างขึ้นจากพลังปรานบริสุทธิ์และมีอุณหภูมิสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ ทว่าตอนนี้มันกลับถูกแสงสีน้ำเงินที่แสนเปราะบางควบคุมเอาไว้ได้! ในเวลาเดียวกัน ใบมีดสีเทาของหญิงสาวชุดดำก็พุ่งแหวกอากาศออกไปข้างหน้าในแนวโค้งทันที

เกิดแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนที่บรรยากาศจะมืดครึ้มลงเมื่อร่างของนกฟีนิกซ์เพลิงแตกกระจายกลายเป็นประกายแสงจำนวนนับไม่ถ้วน ในขณะเดียวกันดอกฝูหรงสีน้ำเงินก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ

“ถึงกับใช้เปลวไฟแห่งชีวิตของตนเองโจมตีข้าจริงๆ งั้นรึ! แม่มดน้อยจะโกรธแล้วนะ!” หญิงสาวชุดดำเม้มริมฝีปาก จากนั้นร่างทั้งร่างก็หายวับไปในพริบตา

ก่อนหน้านี้เปลวไฟแห่งชีวิตที่เซียวเอี๋ยนปลดปล่อยออกมานั้นได้รับการกระตุ้นด้วยพลังปราณธาตุแสงจากทักษะ ‘แสงพิสุทธิ์สวรรค์และโลกา’ ของขี้เมาเป่า แม้ว่าหญิงสาวชุดดำที่เรียกตัวเองว่าแม่มดน้อยจะมีพลังมาก แต่การปะทะกันนี้ก็ส่งผลต่อพลังของเธออยู่บ้างเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หลังจากเซียวเอี๋ยนสลบเหมือดไปแล้ว สถานการณ์ของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ก็ยิ่งเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันคนที่ยังสามารถต่อสู้ได้คือ หลินเทียนอ้าว สี่น้อย ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และอู่หยา

อนิจจา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทักษะเปลี่ยนร่างเป็นหมอกควันของแม่มดน้อย การโจมตีทางกายภาพของพวกเขาจึงใช้ไม่ได้ผลมากนัก หัวใจของพวกเขาพลันรู้สึกหนักอึ้ง ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องจะจบลงเช่นนี้ หลังจากยืนหยัดต่อสู้มาเป็นเวลา 3 วัน พวกเขาไม่ได้ถูกฝูงอสูรสวรรค์รุมฆ่าตาย แต่กลับต้องตกตายด้วยน้ำมือของหญิงสาวเพียงคนเดียว

เมื่อหมอกสีดำรวมตัวกันอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายของมันคือหลินเทียนอ้าว เงาพร่ามัวของใบมีดสีเทาปรากฏขึ้นวูบวาบท่ามกลางหมอกสีดำ ราวกับคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายที่กำลังมองหาและรอคอยโอกาสโจมตีเหยื่อในช่วงเวลาที่พวกมันอ่อนแอ

หลินเทียนอ้าวยังคงมีท่าทีนิ่งสงบเหมือนเคย ใบหน้าของเขาดูเย็นชาและไม่ยินดียินร้าย โล่ประสานศาสตรามณียุทธ์กระแทกลงกับพื้นอีกครั้งขณะมณีธาตุทั้ง 5 ซึ่งบรรจุอยู่ตรงกลางโล่สว่างวาบขึ้นพร้อมกัน พวกมันแผ่พลังออกปกคลุมร่างกายของเขากลายเป็นชุดเกราะหินหนาเตอะ

จู่ๆ หลินเทียนอ้าวก็หลับตาลง โล่ขนาดใหญ่ขยับหมุนวนไปรอบๆ ร่างของเขากลางอากาศ ขณะที่เขาขยับเท้าช้าๆ เตรียมรับการโจมตีของแม่มดน้อยอย่างมั่นคง

*ตึ้ง* *ตึ้ง* เสียงแหลมบาดหูของโลหะปะทะกันดังออกมา หลินเทียนอ้าวยังคงระดมโจมตีหมอกสีดำ ทว่ามันก็ยังสามารถกระจายตัวและรวมเข้าด้วยกันขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง

ในขณะเดียวกันก็มีเสียงร้องคำรามดังออกมาจากอีกฝั่ง ก่อนหน้านี้สี่น้อยพยายามฟื้นฟูพลังของเขาอยู่ตลอดเวลา ขณะนี้เขาจึงร่อนลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเงินหนาทึบ ทำให้ทั้งร่างดูเหมือนบอลแสงสีเงินขนาดใหญ่ เพียงพริบตาเดียวเขาก็เข้าร่วมวงต่อสู้โดยการปรับการเคลื่อนไหวให้เร็วถึงขีดสุด

สี่น้อยถือมีดเล่มหนึ่งอยู่ในมือ ปีกของเขากระพือขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เขาควบคุมการเคลื่อนไหวในอากาศก่อนจะโฉบลงไปโจมตีและบินหนี ร่างทั้งร่างของเขาดูเหมือนพายุหมุนสีเงินที่หมุนวนไปรอบๆ เกี่ยวกระหวัดเข้ากับหมอกสีดำและโผเข้าโจมตีด้วยความเร็วสูง

แม่มดน้อยอาจเพิกเฉยต่อการโจมตีทางกายภาพได้ แต่เธอก็ยังต้องสนใจการโจมตีของสี่น้อยเพราะมันเต็มไปด้วยปราณธาตุมิติจำนวนมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีพลังเสริมที่ได้รับจากขี้เมาเป่าก่อนหน้านี้มาเพิ่มด้วย แม้ว่าจุดสนใจหลักของเธอยังคงเป็น หลินเทียนอ้าว แต่การโจมตีก่อกวนจากสี่น้อยก็ส่งผลกระทบต่อเธอเช่นกัน

เวลานี้อู่หยาเองก็ลงมือเช่นกัน เมื่อรู้ว่าการโจมตีระยะประชิดที่ทรงพลังของเธอไร้ประโยชน์กับกลุ่มหมอกควัน ในที่สุดเธอก็เผยมณีธาตุของเธอออกมาเป็นครั้งแรก

เช่นเดียวกับเซียวเอี๋ยน มณีธาตุของอู่หยาคือทับทิมแดงดารามณีธาตุไฟ ทว่าในแง่ของทักษะกักเก็บ เธอกลับไม่ได้มีทักษะประเภทโจมตีที่ทรงพลัง แต่เป็นประเภทสนับสนุนทั้งหมด! ถึงกระนั้นเธอก็จะแสดงให้เห็นพลังที่แท้จริงของเส้นทางที่เธอเลือก

ขวานในตำนานขนาดมหึมาทั้ง 2 ชิ้นได้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และเห็นได้ชัดว่าขวานคู่นั้นพันอยู่กับโซ่สีแดง โซ่นั้นยาวประมาณ 10 เมตร ภายใต้การควบคุมของอู่หยา พวกมันจึงถูกเหวี่ยงขึ้นลงราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมือ สามารถเปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็วและตวัดเฉือนลงบนควันสีดำได้จากมุมต่างๆ

ถึงตอนนี้ขวานในตำนานได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงแล้ว จุดแข็งของอู่หยาคือการต่อสู้ระยะประชิด และทักษะของเธอทั้งหมดก็กักเก็บมาเพื่อเพิ่มพลังให้กับสิ่งนั้น ทักษะธาตุไฟของเธอล้วนแต่เป็นทักษะสนับสนุนที่หายากและแน่นอนว่าพวกมันก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้บ่อยนัก สำหรับโซ่นั้น จริงๆ แล้วมันเป็นศาสตรามณียุทธ์ ความสามารถของมันคือใช้เชื่อมต่อและควบคุมขวานในตำนานนั่นเอง

สิ่งที่อู่หยาใช้อยู่นี้คือหนึ่งในวิชาขวานลับของเผ่าอีกาทอง การโจมตีสลายหมื่นอสูร วิชาขวานนี้ถูกใช้โดยบรรพบุรุษของพวกเขาเพื่อให้สามารถฆ่าอสูรสวรรค์จำนวนมากๆ ได้ วิชานี้ใช้ได้ทั้งการต่อสู้ระยะใกล้หรือระยะไกล อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพมากด้วย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เองก็ลงมือบ้างเช่นกัน คราวนี้เธอเก็บคันธนูและลูกศรเอาไว้และปลดปล่อยศาสตรามณียุทธ์ชิ้นที่ 2 ของเธอออกมา สิ่งนั้นก็คือรองเท้าวายุประสาน

เมื่อมีรองเท้าคู่นี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่มีความว่องไวขั้นสุดยอดก็เหมือนกับลมพายุที่พัดกรรโชกแรงด้วยความเร็วที่บ้าคลั่ง ขณะที่วิ่งอยู่นั้น เธอก็ส่งกงจักรวายุขนาดใหญ่ออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่ละชิ้นยังประกอบด้วยกงจักรวายุขนาดเล็กๆอีก 7 ชิ้น แม้ว่าเธอจะไม่มีทักษะบีบอัดกงจักรเหล่านี้เข้าด้วยกันเช่นเดียวกับบอลอัคคีของเซียวเอี๋ยน แต่กงจักรวายุขนาดเล็กทั้ง 7 นั้นก็อยู่ใกล้กันมาก ทั้งยังพุ่งไปข้างหน้าในเวลาเดียวกันคล้ายกับบอลอัคคีผสาน แม้ว่าพลังในการโจมตีของมันจะไม่มาก แต่ก็ยังเพียงพอที่จะทำร้ายแม่มดน้อยได้

แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะมีมณี 3 ชุดเท่านั้น แต่ด้วยความสามารถของรองเท้าวายุประสานและพลังที่เค้นขึ้นมาจนถึงขีดสุด ความเร็วของเธอจึงเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าเสียอีก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากทุกทิศทางเช่นนี้ แม่มดน้อยย่อมไม่อาจรับมือกับเธอได้ง่ายๆ

ในช่วงเวลานั้นเอง สมาชิกที่เหลืออีก 4 คนของกลุ่มก็ได้ล้อมรอบแม่มดน้อยเอาไว้และร่วมกันโจมตีเข้าใส่เธอจากทุกมุมด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขา ทุกคนรู้ว่านี่เป็นโอกาสสุดท้าย หากแม่มดน้อยสามารถโค่นคนในกลุ่มลงได้อีก 1 คน โดยเฉพาะคนที่สำคัญอย่าหลินเทียนอ้าว พวกเขาที่เหลือก็คงจบเห่แล้ว

เมื่อพวกเขาทั้ง 4 คนเค้นพลังออกมาใช้อย่างเต็มที่ร่วมกับพลังเสริมธาตุแสงจากทักษะ ‘แสงพิสุทธิ์สวรรค์ และโลกา’ ของขี้เมาเป่า การโจมตีครั้งนี้จึงถือเป็นการผสมผสานที่อันตรายอย่างยิ่ง แม้แต่อสูรสวรรค์ระดับเทวะก็ไม่สามารถรับมือกับสิ่งนี้ได้ง่ายๆ

อย่างไรก็ตาม แม่มดน้อยก็แสดงให้พวกเขาเห็นว่าจิตใจของมนุษย์นั้นซับซ้อนกว่าอสูรสวรรค์ทั่วๆ ไป อย่างน้อยก็มนุษย์ที่มีความสามารถพิเศษเช่นเธอ ผู้ซึ่งเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลัง

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของทั้ง 4 คน แม่มดน้อยกลับไม่ได้มีท่าทีกระวนกระวายเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นหมอกควันสีดำก็กลายเป็นของแข็ง เผยให้เห็นร่างเดิมของเธออีกครั้ง และฝ่ามือซ้ายของเธอก็ฟาดเข้าใส่โล่ของหลินเทียนอ้าวทันที

เสียงระเบิดดังขึ้นจนหูอื้อ และสีหน้าของหลินเทียนอ้าวก็เปลี่ยนไปทันที เขาต้องเซถอยหลังไป 3 ก้าวโดยไม่สมัครใจ บนโล่ของเขาปรากฏรอยประทับฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ลึกกว่าครั้งก่อนหน้ามาก! ขณะที่หลินเทียนอ้าวกลับมา ทรงตัวได้ เขาก็ต้องต่อสู้กับไอปีศาจที่รุกล้ำเข้ามาในร่างกายของเขาอีกครั้ง ไม่นานรอยมือที่ประทับอยู่บนโล่ก็ระเบิดออกมาทันที การระเบิดในครั้งนี้เกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะเจาะมาก ไม่เพียงแต่ทำลายการโจมตีของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ยังทำให้หลินเทียนอ้าวกระเด็นถอยหลังไปอีก 5 ก้าวและทำให้เขากระอักเลือดออกมาหลายคำ ร่างกายของเขาเย็นเฉียบขนะที่ใบหน้าซีดเซียวลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากฟาดฝ่ามือใส่หลินเทียนอ้าวจนเขากระเด็นออกไป แม่มดน้อยก็ไม่ได้หยุดชื่นชมผลลัพธ์ของตนเอง เธอขยับตัวต่อเนื่องอย่างรวดเร็วโดยปราศจากความลังเล มีดสั้นสีเทาในมือของเธอสะบัดออกไปเหมือนสายฟ้าฟาดจำนวน 13 ครั้ง การโจมตีแต่ละครั้งปะทะเข้ากับขวานในตำนานของอู่หยา มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแสงสีแดงเพลิงรอบๆ ตัวขวานค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ เมื่อแสงสีเทาโผล่เข้ามาปะทะ ไม่นานมันก็ถูกแสงสีเทาโอบล้อมเอาไว้ได้ในที่สุด แต่แสงสีเทาก็ยังคงเคลื่อนที่ต่อไป มันไหลวนผ่านโซ่ลงมาถึงร่างของอู่หยา แม้แต่พลังปรานทั้งหมดที่อู่หยาผสมเข้าไปในโซ่ก็ไม่สามารถหยุดการรุกคืบของแสงสีเทาได้ ไม่นานขวานในตำนานก็ตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรงขณะที่อู่หยาสูญเสียการควบคุมร่างกายของตนเองไปทันที

ในขณะเดียวกัน แม่มดน้อยก็หมุนเท้าจนกลายเป็นพายุหมุนสีดำเข้าโจมตีสี่น้อยด้วย หลังจากปะทะกันอย่างรวดเร็ว สี่น้อยก็ส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมาขณะที่ถูกกระแทกกระเด็นออกไปไกลเกือบ 20 ฟุต ร่างของเขาหยุดชะงัก มีเลือดจำนวนมากไหลทะลักออกจากปากของเขา ปีกศาสตรามณียุทธ์ที่อยู่ด้านหลังพลันสลายหายไปทันที ใบหน้าของสี่น้อยซีดเซียวจนไร้สี และพลังเสริมจากทักษะ ‘แสงพิสุทธิ์สวรรค์และโลกา’ ที่ได้รับจากขี้เมาเป่าก็ถูกกำจัดไปด้วยทันที

ในช่วงเวลาสั้นๆ แม่มดน้อยสามารถเอาชนะสมาชิกในกลุ่มไปได้แล้วกว่า 3 คน ทว่าใบหน้าที่งดงามของเธอก็เริ่มขึ้นสีแดงก่ำเช่นกัน เมื่อแสงสีน้ำเงินสุกใสค่อยๆ แผ่ขยายออกไป ดอกฝูหรงสีน้ำเงินก็ลอยขึ้นมากลางอากาศอีกครั้ง

ในขณะนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยายามจะถอยกลับ แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอถูกล้อมรอบไปด้วยม่านพลังที่เย็นยะเยือก ทำให้การเคลื่อนไหวของเธอช้าลงหลายเท่า ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนอง ร่างกายของเธอถูกแสงสีฟ้ากลืนกินและแช่แข็งทันที

แม่มดน้อยลอยไปรอบๆ ร่างของเธอเป็นครึ่งวงกลม ใบมีดสีเทาในมือของเธอฟาดลงไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ฉับพลันนั้นแสงสีเทาก็ดูเหมือนจะผ่าแยกอากาศตรงเข้าหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างเกรี้ยวกราด หากครั้งนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกโจมตีเข้าตรงๆ เธอจะต้องตายอย่างแน่นอน

สาเหตุที่ทำให้พวกเขารู้สึกเย็นวาบไปทั่วสันหลังนั้นเป็นเพราะพวกเขาสังเกตเห็นมณีสีแดงเข้มจำนวน 6 ดวงที่ส่องประกายรอบๆ มือขวาของเธอ แสงสีแดงของมันตัดกับชุดสีดำของอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด

ในบรรดามณียุทธ์ทั้งหลาย หยกแดงคือมณียุทธ์ประเภทการประสานงาน และสีแดงบริสุทธิ์ก็ยังบ่งบอกว่าเธอเป็นจ้าวมณีสวรรค์ สมาชิกในกลุ่มต่างไม่มีใครคาดคิดว่าหญิงสาวอายุราว 16 ปีผู้นี้จะมีระดับพลังปราณที่ทรงพลังเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการเคลื่อนไหวราวกับหมอกควันสีดำก่อนหน้านี้ก็แสดงให้เห็นว่าทักษะธาตุของเธอน่าจะเป็น 1 ใน 4 ทักษะธาตุยิ่งใหญ่เช่นธาตุมืด!

ความผิดปกติเช่นนี้บ่งบอกว่าต้องมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่แน่ ใจของทุกคนพลันรู้สึกถึงได้ถึงอันตราย หลินเทียนอ้าวรีบตะโกนบอก “อู่หยา กลับมา!”

แม้ว่าทุกคนจะเหนื่อยล้าแทบขาดใจ แต่พวกเขาก็รีบรวบรวมพลังและพุ่งไปรวมตัวกันปิดกั้นทางเข้าถ้ำอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนของหลินเทียนอ้าว แม้ว่าอู่หยาจะรู้สึกกังวลที่เธอจัดการอีกฝ่ายไม่สำเร็จ แต่เธอก็รีบปฏิบัติตามคำสั่งของเขาด้วยการกระโดดถอยหลังอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งไปรวมตัวกับสมาชิกที่เหลือ

หญิงสาวชุดดำที่เมื่อสักครู่ยังมีสีหน้ารู้สึกผิดพลันหัวเราะคิกคักขึ้นมาขณะที่เธอมองพวกเขา “โอ้ ทำไมถึงต้องระวังตัวขนาดนั้น! นี่ข้าน่ากลัวมากเลยหรือ?”

เมื่อเธอพูดเช่นนั้น เธอก็ก้าวเข้ามาหาพวกเขาหลายก้าว ร่างกายของเธอดูคล้ายจะลอยมาข้างหน้าแม้ว่าเท้าจะยังติดอยู่ที่พื้นดินก็ตาม ในชั่วพริบตาเดียว เธอก็มาปรากฏตัวต่อหน้าหลินเทียนอ้าวแล้ว อีกทั้งฝ่ามือสีงาช้างของเธอเคลื่อนไปที่หน้าอกของเขาทันที…

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวชุดดำผู้นี้เป็นศัตรูไม่ใช่มิตร ในช่วงเวลาสั้นๆเธอถึงขั้นสามารถตระหนักรู้ได้ว่าหลินเทียนอ้าวเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเขา

แสงสีขาวพลันสว่างวาบขึ้นมาทันที หลินเทียนอ้าวเปิดใช้งานโล่ประสานศาสตรามณียุทธ์เต็มรูปแบบ 5 ชิ้นของเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับ 3 วันที่แล้ว แสงของมันก็ริบหรี่ลงมาก ไม่ว่าหลินเทียนอ้าวจะแข็งแกร่งแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะจดจ่อกับตัวเองเพียงใด เมื่อต้องต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมดเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน ไม่ว่าใครก็ต้องได้รับผลกระทบอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงปลดปล่อยพลังของตนออกมาได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเวลาปกติด้วยซ้ำ

เสียง *เคร้ง* ดังขึ้น ตามด้วยเสียงบางอย่างชนกันจนแสบแก้วหู ฝ่ามือที่ดูธรรมดาๆ นั้นกลับสามารถทิ้งรอยประทับฝ่ามือสีเทาขนาดเล็กไว้บนโล่ประสานขั้นสุดยอดได้จริงๆ! สำหรับหลินเทียนอ้าวเอง ตอนนี้ทั้งร่างของเขากำลังสั่นสะท้านราวกับได้สัมผัสน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก ไอปีศาจพลันแทรกซึมเข้ามาในร่างกายของเขาผ่านรอยประทับบนโล่ชิ้นนั้น หากไม่ใช่เพราะโล่ของเขาแบกรับความเสียหายบางส่วนเอาไว้ บางทีการโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้อาจทำให้เขาหมดสติไปก็ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผลที่ออกมาคือร่างกายที่บอบช้ำของเขาได้รับความเสียหายอีกครั้ง จู่ๆ ลำคอก็รู้สึกได้ถึงรสหวาน เขาอาเจียนออกมาเป็นเลือดจำนวนมาก ทว่าขณะที่เลือดพุ่งออกมาในอากาศ มันก็จับตัวกลายเป็นเป็นก้อนน้ำแข็งสีแดงและกลิ้งตกลงบนพื้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้หลินเทียนอ้าวจะสามารถขับเลือดเสียออกมาได้ แต่เขาก็คงไม่อาจทนรับการโจมตีของเธอได้อีกเป็นครั้งที่ 2

“เอ๋?” ดวงตาของหญิงสาวฉายแววประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าฝ่ามือของเธอยังไม่ได้เลื่อนหลุดออกไปจากร่างของหลินเทียนอ้าว ในช่วงเวลาต่อมา ร่างกายของเธอก็กลายเป็นหมอกควันสีดำและลอยวูบผ่านร่างของเขาไป ทว่าพริบตาต่อมาขวานของอู่หยาก็ฟาดผ่านหมอกสีดำนั้นทันที หลังจากนั้นม่านพลังสีทองก็ปรากฏขึ้นล้อมรอบหมอกนั้นเอาไว้

ทุกคนรู้แล้วว่าหญิงสาวชุดดำผู้นั้นมีทักษะธาตุมืด และโดยธรรมชาติแล้วธาตุที่ต่อต้านความมืดได้ดีที่สุดก็คือธาตุแสง แต่ถึงกระนั้น พลังของเธอก็ยังแข็งแกร่งเกินไป แม้ไม่พูดถึงความจริงที่ว่าเธอสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีได้อย่างง่ายดายด้วยทักษะหมอกควันที่เห็นได้ชัดว่าต้องกักเก็บมาจากอสูรสวรรค์ระดับราชาหรือสูงกว่าไปนั้น เพียงแค่พลังโจมตีที่สร้างความเสียหายให้กับหลินเทียนอ้าวได้อย่างน่าประหลาดใจนั้นก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงมากเกินพอแล้ว

แสงสีเทาพลันส่องแสงขึ้นตอบโต้ทันที และแม้ว่ากำแพงแสงสีทองจะปกคลุมควันสีดำเอาไว้ได้ทั้งหมด แต่หลังจากนั้นมันก็กลับถูกแสงสีเทากลืนกินอย่างรวดเร็ว

เสียงใสราวกระดิ่งเงินของหญิงสาวชุดดำดังขึ้นในอากาศอีกครั้ง “เจ้ากล้าใช้พลังธาตุแสงเพื่อต่อกรกับข้า? เจ้าทั้งหมด…จงตายซะเถอะ!”

ในขณะที่เสียงนั้นดังขึ้น ร่างกายของเธอก็เปลี่ยนรูปอีกครั้งเพื่อหลบหลีกบอลอัคคีผสานของเซียวเอี๋ยน เมื่อเธอร่อนลงบนพื้นอีกครั้ง เธอก็ไปปรากฏตัวอยู่ข้างๆ ขี้เมาเป่าแล้ว วินาทีนั้น จู่ๆ ฝ่ามือของหญิงสาวก็พุ่งไปที่ศีรษะของเขาโดยที่ไม่มีใครทันตั้งตัว

เมื่อเผชิญกับการโจมตีดังกล่าว สีหน้าของสมาชิกในกลุ่มก็เปลี่ยนไป แม้แต่หลินเทียนอ้าวที่มีพลังป้องกันขั้นสุดยอดก็ยังได้รับบาดเจ็บจากฝ่ามือของเธอ หากครั้งนี้เธอสามารถทำร้ายขี้เมาเป่าได้จริงๆ เขาก็คงจะต้องตายแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ขี้เมาเป่าก็ได้แสดงให้เห็นพลังของจ้าวมณีสวรรค์ 5 ชุดของตนเอง ขณะที่เขาโจมตีเด็กสาวด้วยทักษะธาตุแสงก่อนหน้านี้ เขาก็เดาได้อยู่แล้วว่าตนจะกลายเป็นเป้าหมายต่อไป เพราะถึงอย่างไรทักษะธาตุแสงก็เป็นศัตรูตามธรรมชาติหรืออาจเรียกได้ว่าขั้วตรงข้ามกับทักษะธาตุมืดอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มร้อย แต่เขาก็ยังเตรียมพร้อมรับการโจมตีของเธอตลอดเวลา

เมื่อหญิงสาวชุดสีดำร่อนลงมาจากท้องฟ้าและพุ่งเข้าใส่เขา ร่างของขี้เมาเป่าก็พลันหมุนคว้างเป็นวงกลม ศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดของเขาจะถูกเก็บกลับมา ฝ่ามือทั้ง 2 จับกันเอาไว้ที่หน้าอก ในขณะที่แขนก็ถูกไขว้เป็นรูปกากบาท ในเวลาต่อมาเขาผลักฝ่ามือของตนเองออกไปและแสงสีทองเจิดจ้าก็ระเบิดออกกลายเป็นเสาทองคำขนาดใหญ่ครอบร่างของเขาเอาไว้

แม้นั่นจะทำให้หญิงสาวชุดดำฉายแววประหลาดใจออกมา แต่ฝ่ามือของเธอก็ยังไม่ยอมหยุดพุ่งไปข้างหน้า พริบตาถัดมาเธอก็ฟาดมือเข้าใส่ฝ่ามือของขี้เมาเป่า ในขณะนั้นเสาแสงสีทองสุกใสรอบๆร่างขี้เมาเป่าก็ขยายออกครอบคลุมทุกคนในพื้นที่ทันที

ทันทีที่ร่างของทุกคนได้อาบแสงสีทองเหล่านั้น ความรู้สึกอบอุ่นก็ตรงเข้าห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้ พลังปรานสวรรค์ธาตุแสงอันเจิดจ้าซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาช้าๆ ทุกคนเงยหน้าขึ้นมาทันทีเพราะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นทั้งทางร่างกายจิตใจ แม้แต่พลังปราณสวรรค์ของพวกเขาก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ด้านหญิงสาวในชุดสีดำกลับชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่ถูกแสงสีทองเข้าโอบล้อม พลังบนฝ่ามือของเธอก็ดูอ่อนแสงลงทันที แต่ถึงกระนั้นขี้เมาเป่าก็ยังคงส่งเสียงอู้อี้ในลำคอเมื่อฝ่ามือของพวกเขาปะทะกัน ร่างของเขาก็กระเด็นออกไปไกลเหมือนลูกยาง พุ่งถอยหลังไปเกือบ 30 หลาก่อนจะปะทะเข้ากับต้นไม้และหล่นกระแทกพื้น

ทักษะที่ขี้เมาเป่าใช้เรียกว่า ‘แสงพิสุทธิ์สวรรค์และโลกา’ และเป็นทักษะที่กักเก็บไว้ในมณีดวงที่ 5 ของเขา และนี่ก็เป็นหนึ่งในทักษะสนับสนุน เมื่อใช้ทักษะนี้มันจะเพิ่มพลังป้องกันของเขาเป็น 3 เท่าใน 1 วินาทีซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการสกัดกั้นการโจมตีของศัตรูที่ทรงพลัง แต่นั่นไม่ใช่ผลเพียงอย่างเดียวของทักษะนี้ เนื่องจากมันยังสามารถฟื้นฟูพลังให้เพื่อนของเขาที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้ ทำให้การโจมตีของทุกคนมีธาตุแสงแฝงอยู่หนึ่งส่วน ทั้งยังให้ผลในการรักษาและฟื้นฟูอีกเล็กน้อย แม้ว่าพลังในการรักษาของธาตุแสงจะไม่แข็งแกร่งเท่าธาตุชีวิต แต่ก็มันยังถือว่าค่อนข้างใช้ได้

ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นทักษะที่มีประโยชน์อย่างยิ่งกับศัตรูที่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุมืด พลังของทักษะนี้ยังสามารถโจมตีใส่อีกฝ่ายได้แรงกว่าปกติเล็กน้อยเนื่องจากทักษะธาตุทั้ง 2 มีคุณสมบัติเป็นขั้วตรงข้ามกัน นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขารอดจากการโจมตีของหญิงสาวชุดดำมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ถึงกระนั้น เมื่อขี้เมาเป่าถูกพลังของอีกฝ่ายซัดกระเด็นเข้าไปในป่า เขาก็ต้องอาเจียนออกมาเป็นเลือดจำนวนมากและเพ่งสมาธิใช้พลังปราณสวรรค์ธาตุแสงของเขาขับไล่ไอปีศาจที่กำลังแทรกซึมเข้ามาในร่าง และเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็แทบจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดต่อไปได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถกลับเข้าร่วมการต่อสู้ได้อีกแล้ว หากจะถามว่าระดับมณี 6 ชุดนั้นน่ากลัวขนาดนี้เลยหรือ? คำตอบคือไม่ ระดับมณี 6 ชุดนั้นไม่ได้น่ากลัว แต่เป็นหญิงสาวชุดดำคนนี้ต่างหากที่น่ากลัว! หลังจากได้ปะทะกัน 2 ครั้งสั้นๆ หลินเทียนอ้าวก็ตัดสินได้แล้วว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ได้มีทักษะธาตุมืดเพียงอย่างเดียว เพราะทักษะธาตุมืดเพียงอย่างเดียวไม่ได้มีความสามารถในการทะลุทะลวง ความสามารถในการโจมตี และแผ่กลิ่นอายปีศาจออกมาเช่นนี้แน่

หญิงสาวชุดดำไม่ได้รีบร้อนลงมือ แต่การโจมตีที่ล้มเหลวถึง 2 ครั้งก็ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เธอยืนพึมพำพร้อมกับทำหน้ามุ่ยอยู่ตรงนั้น “พวกท่านมีพลังแข็งแกร่งจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่สามารถสังหารอสูรสวรรค์ไปได้มากขนาดนั้น เฮ้อ น่าเสียดายที่เรี่ยวแรงของพวกท่านมีเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งแล้ว มิฉะนั้นข้าอาจจะต้องพบปัญหาใหญ่เข้าจริงๆ”

เมื่อมาถึงจุดนี้ สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่อีก 2 คนก็ระเบิดพลังออกมาพร้อมกัน แสงสีเหลืองเจิดจ้าค่อยๆ หนาทึบขึ้น รอยมือของหญิงสาวก็เริ่มเลือนหายไปจากโล่ของหลินเทียนอ้าว มณีธาตุที่บรรจุอยู่ในหลุมมณีบนโล่ทั้ง 5 พลันส่องประกายแวววาวออกมา ทันใดนั้น ทักษะที่ฝังอยู่บนโล่ถูกเปิดใช้งานขึ้นมาทันที ทำให้โล่ที่แต่เดิมมีขนาดมหึมาอยู่แล้วขยายใหญ่ขึ้นและหนักขึ้นอีก

ในเวลาเดียวกับที่หลินเทียนอ้าวลงมือ เซียวเอี๋ยนก็เริ่มโจมตีเช่นกัน ในบรรดาสมาชิกภายในกลุ่มทั้งหมด เขาเป็นคนที่เงียบขรึมที่สุด ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนที่โจวเหว่ยชิงคิดว่าอันตรายที่สุดเมื่อพวกเขาพบกันครั้งแรก ในช่วงเวลาที่อันตรายเช่นนี้ เวลาที่ชีวิตของพวกเขาทั้งหมดแขวนอยู่บนเส้นด้าย ในที่สุดเขาก็ปะทุพลังของตนเองออกมาจนเต็มพิกัด

เขาส่งเสียงคำราม จากนั้นไม้คฑาธาตุไฟในมือก็หายไปและเปลี่ยนกลับเป็นมณียุทธ์ ในช่วงเวลาต่อมา เหตุการณ์แปลกประหลาดและฉากน่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ๆ มณีสวรรค์ทั้ง 10 ดวงได้พุ่งออกไปจากข้อมือของเขา มณียุทธ์ทั้ง 5 ดวงหมุนวนอยู่ในวงแหวนรอบนอก ส่วนมณีธาตุทั้ง 5 นั้นหมุนวนอยู่ในวงแหวนภายในรอบตัวของเขา

แสงสีแดงเพลิงพลันส่องแสงเป็นประกายออกมาจากภายในวงแหวนนั้น ทว่าใบหน้าของเซียวเอี๋ยนก็ซีดเซียวลงมากเช่นกัน มือของเขายกขึ้นไปประดับอยู่ตรงหน้าอก ทำท่าทางแปลกๆ จากนั้นก็มีเปลวไฟสีขาวพวยพุ่งออกมาจากปากของเขา

หญิงสาวชุดดำกระพริบตาด้วยความประหลาดใจ “หวาาา เจ้ากำลังเอาชีวิตไปเสี่ยงนะ! เปลวไฟแห่งชีวิต มณีสวรรค์ร่ายรำ! ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินพวกเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ สินะ เจ้าถึงกับรู้วิธีใช้ทักษะเช่นนี้ออกมาจริงๆ ด้วยหรือนี่!” ผิดกับคำพูดของตนเอง หญิงสาวชุดดำกลับดูไม่กังวลและไม่รีบร้อนที่จะโจมตีหลินเทียนอ้าว เธอทำเพียงกระโดดถอยหลังไป 2 หลาและมองไปที่เซียวเอี๋ยนอย่างอยากรู้อยากเห็น

ท่ามกลางแสงสีแดงเจิดจ้า เซียวเอี๋ยนกลับเผยสีหน้าที่ดูน่าเกลียดออกมาอย่างชัดเจน ใบหน้าซีดเซียวของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองสลับสีเขียว ในเวลาเดียวกัน แสงรอบตัวเขาก็แข็งแกร่งขึ้นและเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น ทันใดนั้นเขาก็กู่ร้องและมณีสวรรค์ทั้ง 10 ดวงที่ลอยวนอยู่รอบตัวของเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศพร้อมกับแสงเจิดจ้า ในช่วงเวลาต่อมา เสียงร้องแหลมหูที่ฟังดูเหมือนเสียงนกก็ดังขึ้น จากนั้นนกฟีนิกซ์สีแดงเหลือบทองขนาดใหญ่ยาว 3 เมตรที่สร้างขึ้นจากเปลวไฟก็โผล่ออกมาจากแสงเจิดจ้ากลุ่มนั้น

เซียวเอี๋ยนยกมือชี้นิ้วไปที่หญิงสาวชุดดำ และหลังจากทำเช่นนั้น เขาก็ทรุดตัวลงบนพื้นและกระอักเลือดออกมาทันที

นกฟีนิกซ์เพลิงสยายปีกออกกลางอากาศ เสียงร้องโหยหวนของมันแผดก้องไปทั่วบริเวณในขณะที่มันพุ่งเข้าหาหญิงสาวชุดดำ พื้นที่ในรัศมีเกือบร้อยเมตรพลันร้อนระอุขึ้นเป็นอย่างมาก อากาศรอบๆก็ดูบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยประกายแสงสีแดงเพลิง

ตอนนี้หญิงสาวชุดดำมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาแล้ว ดาบสั้นสีเทาปรากฏขึ้นในมือของเธอทันที ดาบเล่มนั้นมีความยาวเพียง 1 ฉื่อเท่านั้น รูปลักษณ์ของมันดูแปลกตามากเพราะด้านหนึ่งเป็นสีดำและอีกด้านเป็นสีเทา ในเวลาเดียวกัน ม่านแสง 2 ชั้นก็ลุกพรึ่บขึ้นจากร่างกายของเธอ ดูเหมือนว่าตอนนี้หญิงสาวชุดดำกำลังเหินขึ้นไปข้างหน้าเพื่อปะทะเข้ากับนกฟีนิกซ์เพลิงตัวนั้น

เมื่อเทียบกับความโกลาหลภายนอกถ้ำแล้ว ภายในถ้ำนั้นกลับเงียบสงบกว่ามาก ดวงแสงทั้ง 4 สีกำลังส่องสว่างอยู่เหนือรังไหมขนาดใหญ่ พลังปราณค่อยๆ แทรกผ่านออกมาในรูปแบบที่แปลกประหลาด สามารถมองเห็นเส้นแสงสีดำและสีฟ้าที่ขยับเคลื่อนไหวไปมาอย่างชัดเจน ในตอนแรกดูเหมือนว่าแสงสีฟ้าจะมีพลังมากกว่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปแสงสีดำก็ดูเหมือนจะได้รับแรงกระตุ้นและมีพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมันมีพลังเทียบเท่ากับแสงสีฟ้า

ในขณะที่เส้นแสงทั้งสอง 2 กำลังพัวพันเกี่ยวรัดและคลอเคลียซึ่งกันและกัน ดวงแสงทั้ง 4 ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

โชคของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ยังถือว่าค่อนข้างดี ทุกอย่างเป็นเหมือนดังที่หลินเทียนอ้าวเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าใกล้ๆ กับถนนสายหลักของอาณาจักรจ้งเทียนไม่มีสัตว์สวรรค์มากนัก แต่ก็แน่นอนว่ายังมีอสูรสวรรค์อีกมากมายอยู่ลึกเข้าไปในป่า ทว่าพวกมันก็อาศัยอยู่ค่อนข้างห่างจากจุดที่พวกเขาเฝ้าอยู่และกลิ่นอายที่เสือขาวตัวน้อยปล่อยออกมาเมื่อเข้าสู่การวิวัฒน์ระดับก็มีระยะทางจำกัดเช่นกัน

หลังจากรับการโจมตี 2 ระรอกแรกจากสิงโตโลหิตเพลิงและลิงปีศาจธาตุมืด อีก 6 ชั่วโมงต่อมา การโจมตีระรอกที่ 3 ก็มาถึง หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกโจมตีอีกทุกๆ 2-3 ชั่วโมง แต่ก็เป็นการโจมตีเล็กๆน้อยๆที่ไม่ได้ดุเดือดมากนัก แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดจะรับมือได้ยากมาก แต่พวกเขาก็ยังสามารถผ่านพ้นไปได้

ในเวลาเดียวกัน สมาชิกในกลุ่มก็ตระหนักถึงบางสิ่งที่สำคัญ อสูรสวรรค์ที่โจมตีพวกเขาทั้งหมดสูญเสียการควบคุมตนเอง พวกมันบางตัวถึงกับบ้าคลั่งและสูญเสียสติสัมปชัญญะ นั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกมันไม่สามารถใช้พลังของตนเองได้อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น อสูรสวรรค์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นระดับเทวะทั้งหมด หรือไม่ก็ถูกนำมาโดยอสูรสวรรค์ระดับเทวะ

เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ล่วงเลยไป 3 วันแล้ว ในช่วงเวลานั้นพวกเขาถูกโจมตีเป็นระยะๆ และการต่อสู้ที่ยากลำบากที่สุดก็คือเมื่อพวกเขาถูกโจมตีโดยอสูรสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุดจำนวน 2 ตัว ในช่วงเวลาสุดท้าย ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงปล่อยหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งทั้ง 2 ตัวออกมาช่วยเหลือ ทำให้ในที่สุดพวกเขาก็สามารถพักหายใจได้บ้าง ด้วยการทำงานประสานกันเป็นกลุ่มและการเสียสละของสมาชิกหลายคน แม้พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บหนักแต่ในที่สุดก็สามารถเอาชนะอสูรสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุดไปได้แบบแทบกระอักเลือด

สี่น้อยทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอย่างหมดแรง เขาหอบหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง “ข้าสู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว หัวหน้า ข้ากำลังจะตาย! หากพวกเรายังคงปักหลักสู้ต่อไป แม้ว่าเราจะไม่ถูกอสูรสวรรค์ฆ่าตาย พวกเราก็ต้องกลายเป็นบ้า!”

ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา พวกเขาใช้เวลาทุกๆ วินาทีไปกับการระแวดระวังภัย ประสาทสัมผัสของพวกเขาจึงถูกขึงจนตึงอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีอสูรสวรรค์โผล่เข้ามาโจมตี เนื่องจากพวกเขาต้องตื่นตัวอยู่เสมอและต้องอสู้กับอสูรสวรรค์ระรอกแล้วระรอกเล่า สิ่งเหล่านี้จึงส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจพวกเขาอย่างมาก ถึงแม้ว่าอสูรสวรรค์เหล่านี้จะกำลังบ้าคลั่งจนทำให้ความฉลาดและทักษะของพวกมันจึงลดลงไปมาก แต่นั่นก็ยังทำให้พวกมันไม่ยอมล่าถอยกลับไปเช่นกัน พวกมันจึงทำได้เพียงแค่ต่อสู้จนตัวตายเท่านั้น

บาดแผลบนร่างกายและพลังปราณที่สูญเสียไปอย่างต่อเนื่องกำลังส่งผลร้ายต่อทุกคน แต่สิ่งที่แย่ที่สุดคือจิตวิญญาณของพวกเขา หลังจากต่อสู้มา 3 วัน 3 คืนอย่างต่อเนื่องและได้พักผ่อนเป็นเวลาที่จำกัด แม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังรู้สึกอ่อนล้า อีกทั้งจิตวิญญาณก็บอบช้ำอย่างรุนแรง คนที่หนักแน่นมั่นคงเช่นหลินเทียนอ้าวหรือคนหนังหนาอย่างอู่ หยายังพอจะรับมือกับสิ่งนี้ไหว แต่สมาชิกในกลุ่มที่เหลือนั้นกำลังย่ำแย่ถึงขีดสุด

มาถึงจุดนี้ ความแตกต่างของพลังและลักษณะนิสัยของแต่ละคนก็ถูกเปิดเผยออกมาจนหมด ส่วนคนที่ล้มลงเป็นคนแรกไม่ใช่คนที่มีระดับพลังปราณต่ำสุดอย่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่กลับเป็นเย่เป่าเปา

แม้ว่าเย่เป่าเปาจะเป็นมีมณี 4 ชุด แต่ในฐานะลูกชายของเสนาบดีใหญ่ เขาจึงได้ใช้ชีวิตสุขสบายมาตั้งแต่เด็ก แม้เขาจะได้รับการฝึกฝนมาบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากนัก นับประสาอะไรกับการต่อสู้ที่ดุเดือดและกินเวลายาวนานเช่นนี้ ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงนอนหมดสติพิงทางเข้าถ้ำอยู่อย่างหมดสภาพ

คนต่อมาที่ประสบปัญหาก็ยังไม่ใช่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หลังจากฝึกหนักมา 2 ปีและมีประสบการณ์ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบากเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่พวกเขาปกป้องอยู่คืออ้วนน้อยคนสำคัญของเธอ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เธอจึงไม่อาจยอมแพ้ ไม่ว่าจะเหนื่อยล้าแค่ไหนเธอก็จะเอาชนะมันไปด้วยความมุ่งมั่น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาจไม่มีพลังมากนัก เมื่อเทียบกับอสูรสวรรค์ระดับเทวะก็แทบจะไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้นอกจากโจมตีก่อกวน แต่หากเป็นอสูรสวรรค์ระดับเทวะที่นำฝูงอสูรสวรรค์ระดับปรมะมาหลายๆ ตัว เธอก็จะกลายเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่สุดในการป้องกันกลุ่ม แค่ทักษะการยิงธนูเร็วของเธอเพียงอย่างเดียวก็สามารถยับยั้งอสูรสวรรค์ระดับปรมะจำนวนมากเอาไว้ได้แล้ว และนั่นก็ช่วยยื้อเวลาให้เพื่อนในกลุ่มสามารถจัดการกับศัตรูทั้งหมดได้อย่างสบายๆ

ตอนนี้เรี่ยวแรงของสี่น้อยใกล้จะหมดลงเต็มที หน้าที่ของเขาคือวิ่งวุ่นไปทุกที่ๆต้องการความช่วยเหลือ เมื่อเกิดปัญหาใดๆขึ้น ความเร็วของเขาก็มักเป็นกุญแจสำคัญที่สนับสนุนให้แผนการประสบความสำเร็จ

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยังต้องลาดตระเวนเพื่อสอดแนมไปทั่ว ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพลังวิญญาณของเขาก็ถูกใช้ไปมากเช่นกัน

หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้วและมองกลับไปที่ทางเข้าถ้ำ ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม จะไม่ให้เขาได้อย่างไร? เมื่อมองไปที่สภาพที่อ่อนแอของสมาชิกทุกคนรวมถึงการโจมตีต่อเนื่องจากเหล่าอสูรสวรรค์ เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ยิ่งกังวลใจมากขึ้น เพราะทันทีที่พวกเขาไม่สามารถรับมือกับการโจมตีของเหล่าอสูรสวรรค์ได้ นั่นหมายความว่าพวกมันอาจจะโผล่มาที่นี่ หลินเทียนอ้าวสูดหายใจเข้าลึกและตัดสินใจด้วยความเด็ดเดี่ยว “อู่หยา ขี้เมาเป่า เจ้าทั้ง 2 พาคนที่เหลือมุ่งหน้าไปในเมืองก่อน ส่วนตัวข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องถ้ำ”

ทันทีที่ทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็ตกละตึงจนตาค้าง ขี้เมาเป่ารีบร้อนเอ่ยแทรกขึ้นมา “พวกเราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ทิ้งท่านไว้ที่นี่คนเดียวเนี่ยนะ!?”

3 วันที่ผ่านมา ผู้ที่รับแรงกดดันมากที่สุดย่อมเป็นหลินเทียนอ้าว อสูรสวรรค์ระดับเทวะถูกเขากันเอาไว้ทุกตัว เป็นเพราะพลังป้องกันและทักษะต่อสู้ของเขาที่ทำให้กลุ่มของพวกเขายืดหยัดอยู่ได้นานขนาดนี้ ดังนั้นในแง่ของการใช้เรี่ยวแรง ใครจะกล้าพูดว่าเหนื่อยมากกว่าเขา!

หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “นี่เป็นคำสั่ง ด้วยจำนวนของพวกเจ้า กลุ่มของเราก็จะยังคงสามารถเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ได้ แม้ว่าข้าและโจวเหว่ยชิงจะไม่รอด นั่นก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งกลุ่ม รีบออกไปจากสถานที่นี้ให้เร็วที่สุด ตราบใดที่ไม่อยู่ใกล้ทางเข้าถ้ำ พวกเจ้าก็น่าจะปลอดภัย ถ้าโจวเหว่ยชิงและข้ารอดไปได้ พวกเราหาทางจะติดต่อพวกเจ้าภายหลัง”

“พี่ใหญ่หลิน ข้าจะไม่จากไปแน่นอน ข้าจะอยู่ที่นี่และปกป้องสถานที่นี้ร่วมกับท่าน” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่ลังเล ตอนนี้อ้วนน้อยของเธอยังอยู่ข้างในนั้น เธอจะยอมจากไปได้อย่างไร?

สี่น้อยรวบรวมพลังทั้งหมดของเขาเพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง “ข้าจะไม่ทิ้งท่านไว้ที่นี่คนเดียวเช่นกัน หัวหน้า ถ้าพวกเราจากไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน? ถ้าท่านต้องการจะจากไป พวกเราก็จะออกไปด้วยกัน แต่ข้าคิดว่าเราทุกคนควรอยู่ อย่างไรพลังของข้ายังอยู่ได้อีกสักพัก” ถ้าเป็นคนอื่น เขาอาจจะแนะนำให้ทุกคนรีบออกไปจากที่นี่และละทิ้งโจว เหว่ยชิงเอาไว้ แต่ทว่าโจวเหว่ยชิงก็เคยช่วยเหลือเขาและขี้เมาเป่าเอาไว้ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาติดหนี้บุญอีกฝ่ายอย่างใหญ่หลวง แม้ว่าสี่น้อยจะดูเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจใครที่สุดในบรรดาสมาชิกในกลุ่มทั้งหมด แต่ ณ เวลานี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่าตนจะอยู่เพื่อปกป้องโจวเหว่ยชิง

“เหลวไหล ข้าบอกว่านี่เป็นคำสั่ง!” หลินเทียนอ้าวร้องออกมาด้วยความโกรธ แสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีและอำนาจของผู้นำ

อนิจจา น่าเสียดายที่ในขณะนี้ไม่มีใครยอมเชื่อฟังคำสั่งของเขา อู่หยาหันหน้าหนีไปทางอื่น ยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้านพลางบริหารกล้ามเนื้อ ต้องบอกว่าอู่หยาคู่ควรกับตำแหน่งอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของเผ่าอีกาทองจริงๆ หลังจากผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือด 3 วัน 3 คืน เธอก็เป็นคนเดียวที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย เมื่อใดก็ตามที่อสูรสวรรค์ปรากฏตัวขึ้น การโจมตีของเธอก็มักจะโหดเหี้ยมที่สุด แม้จะมีบาดแผลตามร่างกายอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังดูเฉยเมยและผ่อนคลาย บางทีในแง่ของระดับพลังปราณและพละกำลัง เธออาจจะไม่ทรงพลังเท่าขี้เมาเป่าหรือเซียวเอี๋ยนที่มีมณี 5 ชุด แต่ถ้าหากเป็นการต่อสู้ที่บ้าคลั่งสุดชีวิต ผลลัพธ์สุดท้ายก็ย่อมเป็นชัยชนะของเธออย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรเผ่าอีกาทองมีชื่อเสียงด้านความกล้าในการสู้รบ และเธอก็ถือเป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆในยุคนี้! ในบรรดาสมาชิกเผ่าทั้งหมด แม้ไม่นับรวมว่าเธอมีมณีสวรรค์ เพียงเพราะความแข็งแกร่งทางกายภาพเพียงอย่างเดียว เธอก็ยังมีชื่อเสียงสูงส่งมากในเผ่า

สี่น้อยปิดปากเงียบขณะที่ขี้เมาเป่านั่งแหมะลงบนพื้นและฮัมเพลงกับตัวเองเบาๆ เซียวเอี๋ยนมองไปที่หลินเทียนอ้าวและพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว “พวกเราคือกลุ่มเดียวกัน”

ทันใดนั้นเสียงที่กระจ่างชัดก็ดังขึ้น “หวาาาา! ทำไมมีซากศพเยอะจัง! น่ากลัวมาก!”

ทุกคนชะงักเมื่อได้ยินเสียงนั้น ตลอด 3 วันที่ผ่านมาพวกเขาได้เผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์มากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกับมนุษย์คนอื่นๆ เพราะอย่างไรที่นี่ก็ค่อนข้างไกลจากถนนหลัก และแม้ว่าจะมีนักเดินทางเลือกพักผ่อนอยู่ข้างทางบ้าง พวกเขาก็จะไม่มุ่งเข้ามาในป่าลึกมากนัก

หญิงสาวคนหนึ่งโผล่ออกมาจากข้างต้นไม้พร้อมกับเสียงหวานใสคล้ายกระดิ่งต้องลม เธอดูเหมือนจะอายุน้อยกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยซ้ำ อายุน่าจะราวๆ 16-17 ปี ผมเปียสีดำสองข้างทำให้อีกฝ่ายมีบรรยากาศคล้ายน้องสาวข้างบ้าน ดวงตากลมโตของเธอดูสดใสและน่าประทับใจ ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของพวกเขามากที่สุดคือการที่ม่านตาดำของเธอเป็นสีเทาสลัว เพราะนั่นถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก!

หญิงสาวคนนี้สูงไม่มากนัก เธอสูงเพียงแค่ 1.6 เมตร ทว่าเธอก็ยังมีสัดส่วนงดงามเหมาะสมกับวัยเด็กแรกรุ่น เต็มไปด้วยแรงเสน่ห์ของคนรุ่นเยาว์ เธอสวมชุดคลุมสีดำที่ยาวไปถึงพื้น หญิงสาวคนนี้ดูน่ารักน่าชังมาก แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในป่า แต่เท้าของเธอกลับเปลือยเปล่า อีกทั้งยังดูเหมือนไม่รู้สึกรู้สาขณะเดินย่ำไปบนพื้นดินแข็งๆ

เวลานี้เธอกำลังจ้องมองไปที่กองเลือดในบริเวณนั้น รวมถึงซากศพของเหล่าอสูรสวรรค์ที่ตายแล้ว เธอยกมือขึ้นทาบหน้าอก ดวงตากลมโตของเธอเบิกกว้างราวกับแสดงความหวาดกลัว

อู่หยาหัวเราะและพูดว่า “น้องสาว เจ้ามาจากไหนหรือ? พ่อแม่ของเจ้าอยู่ไหน? เข้าป่าคนเดียวมันอันตรายนะ”

หญิงสาวชุดดำมองดูอู่หยาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ว้าว! พี่สาว ท่านสูงมาก! ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่สูงเท่าท่านมาก่อน สูงกว่าข้ามากๆๆๆๆ!” ขณะที่เธอพูดอย่างนั้น เธอใช้มือของเธขยับขึ้นลงให้เห็นความแตกต่างระหว่างความสูงของทั้ง 2 คน

อู่หยาหัวเราะอีกครั้ง เธอเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับยกมือขึ้นราวกับจะลูบศีรษะเธอ แต่ทว่าในขณะที่อู่ หยาอยู่ห่างจากเด็กหญิงไปประมาณ 1 หลา จู่ๆ มือของเธอก็พุ่งออกไปกำรอบคอของหญิงสาวคนนั้นเอาไว้

จู่ๆ หญิงสาวแปลกหน้าคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมาดื้อๆอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่มีใครสงสัยได้อย่างไร? แม้ว่าอู่หยาจะมีหนังหนา แต่เธอก็ไม่ได้โง่ ในความเป็นจริงเธอซ่อนความฉลาดของเธอไว้เบื้องหลังรูปลักษณ์ที่ดูทึมทื่อและโง่เขลา ในจังหวะนั้นเธอลงมืออย่างกะทันหันมาก ไม่เพียงแต่หญิงสาวชุดดำที่ถูกเธอคว้าตัวเอาไว้ แม้แต่คนอื่นๆ ในกลุ่มต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน

อู่หยาแข็งแกร่งขนาดไหนกัน? ด้วยความแข็งแกร่งของเธอ แม้หลินเทียนอ้าวที่มีระดับพลังปราณสูงกว่าจะถูกเธอคว้าคอ เขาก็คงไม่สามารถหลบหลีกได้

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มือของอู่หยากำลังจะเอื้อมไปถึงลำคอของอีกฝ่าย ร่างของหญิงสาวผู้นั้นกลับลอยวูบหลบออกไปข้างๆ เหมือนควันไฟ ดูเหมือนจะขยับอย่างเชื่องช้า แต่ก็หลุดลอดออกไปจากมือของอู่หยาได้อย่างง่ายดาย ดวงตากลมโตของเธอดูไร้เดียงสาเมื่อมองไปที่อู่หยาด้วยใบหน้ารู้สึกผิด

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ดวงอาทิตย์กำลังลอยอยู่เหนือศีรษะด้านบน มันสาดแสงทะลุผ่านเหล่าแมกไม้ลงมา นำพาความอบอุ่นอ่อนโยนมาสู่ทุกคนท่ามกลางร่มเงาของใบไม้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นท่าทางการขยับหลบหลีกที่แสนเรียบง่ายของหญิงสาวชุดดำ หัวใจของทุกคนก็พลันหนาวสั่นขึ้นมาทันที

เมื่อรวบรวมวัตถุดิบล้ำค่าจากร่างของสิงโตโลหิตเพลิงเสร็จแล้ว พวกเขาก็ต้องตกใจกับเสียงที่แผดดังขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลาไม่นานลิงยักษ์สีดำก็โผล่ออกมาอีกหนึ่งตัว

“ระวัง!” หลินเทียนอ้าวตะโกนบอก คราวนี้เขาเริ่มขยับตัวก่อน

ไม่มีใครคาดคิดว่าหลังจากจัดการฝูงสิงโตไปได้ไม่นาน อสูรสวรรค์อีกตัวจะมาถึงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ลิงยักษ์สีดำตัวนี้เข้าใกล้พวกเขาอย่างเงียบเชียบ อีกทั้งตำแหน่งปัจจุบันของมันก็อยู่ใกล้กับสี่น้อยมาก ท่อนแขนขนาดใหญ่ที่ยาวเกือบ 2 เมตรของมันพลันพุ่งออกไปทางสี่น้อยทันที จากนั้นมันก็แบมือออกเพื่อใช้ฝ่ามือตบลงไปยังบริเวณที่เขายืนอยู่

ลิงยักษ์ตัวนี้สูงประมาณ 3 เมตร ทั่วร่างกายปกคลุมด้วยขนสีดำมะเมื่อม ดวงตาสีเหลืองแก่ของมันเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว อีกทั้งม่านพลังปราณสวรรค์รอบๆ ตัวก็ดูจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าจ่าฝูงสิงโตโลหิตเพลิงเสียอีก

สี่น้อยเคยผ่านประสบการณ์การต่อสู้มามากมาย เมื่อได้รับการเตือนจากเสียงตะโกนของหลินเทียนอ้าว เขาจึงไม่ลังเลที่จะใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาทันที

ฝ่ามือสีดำขนาดใหญ่ฟาดใส่ตำแหน่งที่สี่น้อยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ทันที ทว่าด้วยทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา ร่างของเขาจึงโผล่ห่างออกไป 10 หลา เหงื่อกาฬเย็นๆ หลั่งออกมาเต็มตัวเพราะเขาเพิ่งจะรอดตายมาได้อย่างเฉียดฉิว

ในบรรดาอสูรสวรรค์ทั้งหมด แน่นอนว่าลิงยักษ์มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด ดังนั้นพวกมันจึงถูกสร้างให้มีความแข็งแกร่งทางกายภาพและมีพลังที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน แม้แต่สัตว์ตระกูลแมวที่ทรงพลังอย่างสิงโตและเสือก็มักจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับพวกมัน

มองครั้งแรกลิงยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่มีความพิเศษใดๆ แต่เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด พวกเขาก็สามารถมองเห็นเพชรเม็ดโตติดอยู่ตรงกลางหน้าผากของมันได้อย่างชัดเจน

สี่น้อยอุทานด้วยความตื่นตกใจ “มันคืออสูรวานรธาตุมืด ทุกคนระวังตัว! เจ้านี่น่าจะอยู่ในระดับเทวะขั้นแรกถึงขั้นกลาง!”

ดูจากระดับของมันเพียงอย่างเดียว อสูรวานรธาตุมืดตัวนี้ดูจะค่อนข้างคล้ายกับสิงโตโลหิตเพลิง แต่อย่าลืมคำว่า ‘ธาตุมืด’ แม้พวกมันจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่อสูรสวรรค์ที่มี 1 ใน 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็ยากจะรับมือมาก

ในวินาทีนั้นทุกคนจึงอดสงสัยกับตัวเองไม่ได้ว่า…เสือขาวตัวน้อยของโจวเหว่ยชิงเป็นตัวอะไรกันแน่! สามารถดึงดูดความสนใจของอสูรสวรรค์ระดับเทวะหลายตัวจากที่ไกลๆ ในขณะที่มันกำลังวิวัฒน์ระดับเช่นนี้ได้ แสดงให้เห็นว่าพลังของเจ้าแมวอ้วนนั้นล่อตาล่อใจเพียงใด!

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวคิดถึงเรื่องนี้ ไม่นานทุกคนจึงเริ่มลงมือทันที สายธนูของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขยับปล่อยลูกศรออกไปก่อนที่ใครจะทันตั้งตัว ลูกศรดอกแล้วดอกเล่าพุ่งเข้าหาดวงตาของลิงยักษ์ทันที

ชั่วพริบตานั้นชั้นแสงสีดำพลันไหลวนออกมาจากร่างของอสูรวานรธาตุมืด ลูกศรใดๆ ที่ผ่านเข้าสู่ชั้นแสงนั้นต่างก็ดูเหมือนจะถูกหลอมละลายหายไปทั้งหมดก่อนที่จะเข้าถึงร่างของมัน

อสูรวานรธาตุมืดแผดเสียงออกมาพร้อมๆ กระโจนเข้าใส่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง หลินเทียนอ้าวก็มาถึงตัวของมันแล้วเช่นกัน

เขาพุ่งหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระโจนออกไปดักมันเอาไว้ โล่ประสานเต็มรูปแบบ 5 ชิ้นพลันปรากฏขึ้นในมือ พวกมันเปล่งแสงสีเหลืองเข้มข้นขณะที่เขาใช้โล่ขัดขวางอสูรวานรธาตุมืดเอาไว้ ร่างของทั้งสองพลันปะทะเข้าด้วยกันอย่างรุนแรง หลินเทียนอ้าวถูกส่งกลับด้วยแรงระเบิด เขาเซถอยหลังก่อนจะกลับมายืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคงอีกครั้ง แต่ถึงแม้เขาจะสามารถสกัดกั้นลิงยักษ์ได้สำเร็จ โล่ของเขากลับเกิดเสียงปริร้าวขึ้นอีกหลายๆ ครั้งตามมา

“ระวัง! การโจมตีของมันมีลักษณะกัดกร่อน!” หลินเทียนอ้าวตะโกนออกมา แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ระดับเทวะที่ทรงพลัง เขาก็ยังคงสงบนิ่งและไม่สั่นคลอน ดวงตาของเขาวาวโรจน์ ไม่มีแววลังเลขณะที่ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง แสงสีเหลืองเข้มข้นจากโล่ประสานพลันไหลวนออกมาห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ เวลาต่อมาเขาก็พุ่งเข้าหาลิงยักษ์อีกครั้ง

นี่เป็นหนึ่งในทักษะที่ฝังอยู่ในโล่ประสานศาสตรามณียุทธ์ของเขา มีชื่อเรียกว่า ‘โล่รุกเร็ว’ ก่อนหน้านี้ ทักษะนี้สามารถทำให้สิงโตจ่าฝูงชะงักไปได้ชั่วขณะ นี่จึงถือเป็นประโยชน์ที่สำคัญของทักษะชนิดนี้

น่าเสียดายที่อสูรวานรธาตุมืดไม่ใช่สิงโตโลหิตเพลิง มันมีข้อได้เปรียบจำนวนมากกว่าสิงโตโลหิตเพลิงและพลังด้านความเร็วก็เป็นหนึ่งในนั้น ขาอันทรงพลังของมันกระแทกเข้าที่พื้นอย่างรุนแรง กลิ่นอายอำมหิตพวยพุ่งออกมาจากร่างขณะที่มันเงื้อมือทั้งสองข้างและพุ่งเข้าหาหลินเทียนอ้าวด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน

*ตูม*! เสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังก้องไปทั่วบริเวณเมื่อหนึ่งคนหนึ่งอสูรพุ่งเข้าหากันอีกครั้ง แรงปะทะดังกล่าวทำให้อสูรวานรธาตุมืดต้องไถลตัวกลับไปเกือบ 10 หลาก่อนจะหยุดลงได้ในที่สุด ส่วนหลินเทียนอ้าวก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก ร่างของเขากระเด็นถอยหลังไปหลายหลาพร้อมกับโล่ในมือและหยุดลงเมื่อกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง เพื่อระบายอาการบาดเจ็บ เขาจึงไม่อาจทำอะไรได้นอกจากกระอักเลือดออกมาคำโต

ลิงยักษ์ตัวนี้เป็นอสูรสวรรค์ระดับเทวะเช่นกัน ทว่าพลังของมันแตกต่างจากสิงโตโลหิตเพลิงเมื่อสักครู่นี้มาก เหตุผลก็เป็นเพราะอสูรวานรธาตุมืดตัวนี้นอกจากจะมีทักษะธาตุมืดที่หายากแล้ว มันยังเป็นอสูรสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่งอีกด้วย! แม้ว่าหลินเทียนอ้าวจะใช้ทักษะของเขาเตรียมพร้อมรับแรงกระแทก แต่เขาก็ยังคงได้รับบาดเจ็บภายในอยู่ดี

ทว่าการปะทะกันครั้งนี้ก็ให้ผลดีเช่นกันเนื่องจากอสูรวานรธาตุมืดพลันชะงักไปชั่วขณะ เป็นอีกครั้งที่การป้องกันอันทรงพลังของหลินเทียนอ้าวได้มอบโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กับพวกพ้องของเขา

การโจมตีของเซียวเอี๋ยนเริ่มขึ้นเกือบในเวลาเดียวกันกับที่อสูรวานรธาตุมืดถูกกระแทกกลับไป เขาโจมตีซ้ำอีกครั้งด้วยทักษะบอลอัคคีผสาน เกิดระเบิดครั้งใหญ่อีกครั้งเมื่อบอลอัคคีเหล่านั้นพุ่งชนเข้ากับร่างของอสูรวานรธาตุมืด ในเวลานั้นมันยังไม่สามารถขยับตัวได้เพราะการโจมตีของหลินเทียนอ้าว ม่านพลังสีดำที่มันใช้ปกป้องร่างกายก็อ่อนกำลังลงอย่างมาก แรงระเบิดจากบอลอัคคีผสานทำให้มันกระเด็นออกไปอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเส้นขนของมันมีพลังป้องกันที่ดียิ่งกว่าจ่าฝูงสิงโตโลหิตเพลิง ดังนั้นจึงดูเหมือนว่ามันไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงใดๆ มากนัก

น่าเสียดายที่มันกำลังต่อสู้อยู่กับคนทั้งกลุ่ม ดังนั้นการโจมตีทั้งหมดจึงยังไม่จบสิ้นง่ายๆ อู่หยาเองก็เคลื่อนไหวในเวลาเดียวกันกับที่เซียวเอี๋ยนปลดปล่อยการโจมตีของตนออกไป ร่างกายของเธอลอยขึ้นไปกลางอากาศ มือแต่ละข้างเงื้อขวานขึ้นสูงและฟาดฟันลงไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

ในขณะที่ขวานของเธอแหวกอากาศลงไปสู่ลิงยักษ์เบื้องล่าง แสงสีทองเรืองรองทั้ง 2 สายพลันพุ่งเข้าหาขวานของเธอราวกับสายฟ้าฟาด เป้าหมายของมันไม่ใช่ลิงยักษ์ แต่เป็นขวานในตำนานของอู่หยา ในขณะที่แสงสีทองทั้ง 2 สายกระทบกับตัวขวาน แสงสีดำเหลือบทองดั้งเดิมของขวานก็สว่างไสวเป็นประกายขึ้นอย่างมาก

อสูรวานรธาตุมืดไม่มีเวลาเหลือมากพอ มันจึงทำได้เพียงยกแขนขึ้นป้องกันขวานยักษ์ของอู่หยาเท่านั้น

*ฉัวะ* *ฉัวะ* ท่อนแขนหนาๆของอสูรวานรธาตุมืดถูกฟันจนหักด้วยพลังโจมตีของขวานคู่ ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันก็ยังคงเดินหน้าผ่าลึกลงไปถึงกล้ามเนื้อส่วนคออย่างโหดเหี้ยม

อสูรวานรธาตุมืดส่งเสียงร้องโหยหวนเนื่องจากความเจ็บปวด มันดิ้นเร่าไปรอบๆ ด้วยความโกรธ ระรอกคลื่นแสงสีดำและสีแดงเลือดแผ่ขยายออกมาจากร่างกายของมันทันที

สี่น้อยที่บินอยู่เหนืออากาศรีบตะโกนออกมา “ทุกคนระวัง! นั่นคือคลื่นมรณะ!”

ทันทีที่เขาพูดจบ ดวงแสงสีเหลือง 5 ดวงพลันพุ่งขึ้นไปในอากาศและกระจายตัวออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว 2 ดวงพุ่งไปอยู่หน้าอู่หยา 1 ดวงหน้าสี่น้อย และอีก 2 ดวงหน้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์และขี้เมาเป่าตามลำดับ

เกิดเสียงวิ้งๆ ขึ้นขณะที่คลื่นมรณะระเบิดออกมาเป็นรัศมีวงกลม ดวงแสงสีเหลืองทั้ง 5 ดวงค่อยๆ อับแสงลงเมื่อคลื่นเหล่านั้นพยายามจะฝ่าปราการแสงสีเหลืองเข้าไปข้างใน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับการปกป้องด้วยดวงแสงทั้ง 5 นี้ไม่ได้รับบาดเจ็บโดยสิ้นเชิง ไม่นานคลื่นพลังสีดำค่อยๆ ล่าถอยกลับไปทางเดิม

ผู้ที่ช่วยชีวิตทุกคนในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้คือหลินเทียนอ้าว ดวงแสงทั้งหมดเกิดจากการที่เขาแบ่งโล่ประสานของเขาออกเป็น 5 ส่วน แท้จริงแล้วดวงแสงสีเหลืองทั้ง 5 นั้นเป็นโล่ของเขาเอง แม้หลินเทียนอ้าวจะใช้พลังเต็มขีดจำกัดของตนเอง แต่พลังป้องกันของดวงแสงเหล่านั้นก็แทบจะปิดกั้นคลื่นมรณะเหล่านั้นเอาไว้ไม่ได้

คนในกลุ่มที่เหลือทั้งหมดต่างก็สามารถมองเห็นผลร้ายของคลื่นมรณะได้ พื้นที่ทั้งหมดที่ถูกคลื่นนั้นซัดผ่านถูกทำลายและเต็มไปด้วยไอแห่งความตาย ไม่ว่าจะเป็นกอหญ้า ต้นไม้ ก้อนหิน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่สลายหายไปทั้งหมด พลังทำลายล้างที่น่ากลัวเช่นนี้ทำให้ทุกคนมองเห็นผลที่ตามมาได้ชัดเจนมาก

หลังจากได้รับบาดเจ็บหนักและฝืนปลดปล่อยพลังโจมตีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมันออกมา สุดท้ายอสูรวานรธาตุมืดก็เริ่มแสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาให้เห็น แม้ว่าดวงตาของมันจะยังคงจับจ้องไปที่ถ้ำตลอดเวลาก็ตาม

ชั่วพริบตานั้นเอง จู่ๆ หอกน้ำแข็งก็พุ่งพรวดออกมาก็ฝังร่างลงไปในดวงตาของอสูรวานรธาตุมืดจนทะลุและลากร่างของมันถอยไปข้างหลังอีกหลายหลา เลือดสดๆ จำนวนมากพลันไหลทะลักออกมาจากบาดแผลทั้งหมดทันที

ผู้ที่เพิ่งโจมตีครั้งสุดท้ายไปคือเย่เป่าเปา เขาใช้ทักษะธาตุน้ำของเขา ทักษะหอกน้ำแข็ง ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพราะเขาเป็นผู้พบโอกาสดีๆ เช่นนี้ด้วยตนเอง แต่เป็นเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไปจนทักษะของเขาที่ปลดปล่อยออกมาช้าที่สุดเพิ่งจะมาถึงตัวของลิงยักษ์และแทงลงไปที่ดวงตาพอดี! เขายังคงขาดความเชี่ยวชาญในแง่การส่งสัญญาณ เข้าใจความคิดของคนอื่นๆ และทำงานประสานกันเป็นกลุ่ม เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีประสบการณ์การต่อสู้ในสนามรบจริงๆ น้อยกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาก ทว่าก็ยังโชคดีที่ทุกอย่างยังคงดำเนินไปด้วยดี

อู่หยาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เธอคว้าขวานประจำกายขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเหวี่ยงพวกมันออกไปตัดหัวของลิงยักษ์ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนโหดเหี้ยมทารุณ แต่เพราะอสูรสวรรค์เหล่านี้กำลังดุร้ายและบ้าคลั่ง อีกทั้งพวกมันยังมีพลังชีวิตมากมายอยู่ในตัว หากพวกเขาลังเลที่จะสังหารพวกมัน ทุกคนก็อาจจะถูกโจมตีด้วยพลังเฮือกสุดท้าย ใครก็ตามที่ไม่ระวังตัวให้ดีอาจจะได้รับบาดเจ็บหนัก หรือแย่กว่านั้นคือเสียชีวิตได้ ภายใต้สถานการณ์สุ่มเสี่ยงที่พวกเขาอาจต้องรับการโจมตีจากสัตว์ร้ายตัวอื่นๆ หลังจากนี้อีก หากไม่รีบจัดการ มันก็อาจจะนำหายนะมาให้คนทั้งกลุ่มก็เป็นได้

ใบหน้าขอหลินเทียนอ้าวดูย่ำแย่และซีดเซียว การต่อสู้ครั้งนี้อาจจะกินเวลาไม่นานและดูเรียบง่าย แต่เขากลับใช้แรงกายแรงใจไปอย่างมหาศาลแล้ว พลังปราณสวรรค์ของเขาถูกใช้ไปแล้วมากกว่าครึ่ง และที่สำคัญคือเขายังได้รับบาดเจ็บอีกหลายครั้ง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองดูเขาจากด้านข้าง เธอย่อมมองออกว่าทั้งสิงโตโลหิตเพลิงและอสูรวานรธาตุมืดมีพลังมากกว่าคนทั้งกลุ่ม เหตุผลเดียวที่คนในกลุ่มสามารถจัดการกับพวกมันได้เป็นเพราะการทำงานประสานกัน และที่สำคัญกว่านั้นคือเพราะหลินเทียนอ้าว

การโจมตีของหลินเทียนอ้าวมักจะออกมาถูกที่ถูกเวลาเสมอ การป้องกันและทักษะต่อสู้ที่ทรงพลังของเขาทำให้อสูรสวรรค์ระดับเทวะทั้ง 2 ตัวนี้ไม่อาจใช้พลังออกมาได้อย่างเต็มที่และถูกจัดการลงอย่างรวดเร็วด้วยการโจมตีประสานงานของทุกๆคน หากเรื่องราวไม่เป็นเช่นนั้น หากอสูรวานรธาตุมืดสามารถปลดปล่อยพลังของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ มันก็อาจจะฆ่าพวกเขาส่วนมากได้อย่างง่ายดาย หรือไม่ก็อาจจะทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าวิธีการของหลินเทียนอ้าวจะแตกต่างจากหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ แต่เป้าหมายโดยรวมก็ยังคงเหมือนกัน ทั้งหมดก็คือใช้ประโยชน์จากทักษะของแต่ละคนและการทำงานร่วมเป็นกลุ่มเพื่อป้องกันไม่ให้อสูรสวรรค์ที่ทรงพลังปลดปล่อยพลังเฮือกสุดท้ายก่อนตาย

เวลาในการปรากฏตัวของสิงโตโลหิตเพลิงและอสูรวานรธาตุมืดนั้นห่างกันไม่นานนัก ด้วยเหตุนี้ใบหน้าของทุกคนจึงดูจริงจังและวิตกกังวลมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โจวเหว่ยชิงหอบเสือขาวตัวน้อยเข้าไปในถ้ำเพียง 1 ชั่วโมง แต่พวกเขากลับต้องรับการโจมตีที่ทรงพลังถึง 2 ระลอกแล้ว ใครจะรู้ว่าต่อไปในอนาคตจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่อีก?

“อย่าเก็บวัตถุดิบจากอสูรสวรรค์เหล่านี้อีก แค่นำแก่นพลังออกมาให้เร็วที่สุดก็พอ ทุกคนจงพักผ่อนและฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ของตัวเองทันที” หลินเทียนอ้าวตัดสินใจและออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว

เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ระดับเทวะ เขารู้ว่าตนไม่สามารถดูแคลนความสามารถของมันได้ เขาจึงต้องรวมรวมและใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อกำจัดมันเท่านั้น

หลังจากโล่ของเขาปะทะกับร่างของสิงโตจ่าฝูง หลินเทียนอ้าวก็ไถลกลับไปข้างหลังไกล 2 ฟุต แต่ร่างกายและโล่ของเขาก็ยังคงแข็งแกร่งดุจขุนเขาอยู่เช่นเดิม ด้านจ่าฝูงสิงโตโลหิตเพลิง แรงปะทะนั้นก็ทำเหวี่ยงมันกลับไปข้างหลังเช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุให้มันกลิ้งไปบนพื้นอีกหลายตลบก่อนจะกลับมายืนตรงได้อีกครั้ง

อู่หยากำลังจะกระโจนเข้าร่วมต่อสู้ด้วย แต่หลินเทียนอ้าวกลับห้ามเธอเอาไว้อย่างรวดเร็ว “กำจัดสิงโตตัวเมียให้หมดก่อน ข้าจะถ่วงเวลาจ่าฝูงเอาไว้”

เวลานี้จากสิงโต 7 ตัวเหลือเพียง 5 ตัวเท่านั้น และทั้งหมดก็ยังคงถูกสกัดเอาไว้ด้วยลูกศรของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แม้ว่าพวกมันจะคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวและพยายามฝ่าห่าลูกศรเหล่านี้เข้ามาใกล้พวกเขา แต่พวกมันก็ทำได้เพียงวิ่งไปมาเพื่อหลบหลีก ไม่สามารถกระโจนเข้าใส่เป้าหมายได้โดยตรงอย่างที่ตั้งใจ

อู่หยา ขี้เมาเป่า เซียวเอี๋ยน และเย่เป่าเปาไม่ได้คลายความระแวดระวังลงแม้แต่น้อย แต่ละคนรวบรวมพลังและโจมตีออกไปอย่างสุดความสามารถ

ครั้งแรกพวกเขายังละล้าละลังเล็กน้อยเนื่องจากกังวลว่าห่าลูกศรของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาจจะบังเอิญทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บไปด้วย ทว่าความคิดดังกล่าวก็ต้องถูกลบออกจากสมองอย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าทักษะการยิงธนูของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นน่าทึ่งเกินไป เห็นได้ชัดว่ามีกระทั่งลูกศรบางส่วนที่อ้อมหลบพวกเขาก่อนจะตรงเข้าไปหาเป้าหมาย แม้จะยิงด้วยความเร็วดุจสายฟ้าเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีแม้แต่ลูกเดียวที่พลาดเป้า

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้ว่าเหล่าสิงโตโลหิตเพลิงตัวเมียจะเป็นอสูรสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลาง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มที่ทรงพลังและทำงานร่วมกันได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ พวกมันจะเทียบอีกฝ่ายได้อย่างไร?

สำหรับจ่าฝูงสิงโตโลหิตเพลิงที่ทรงพลังที่สุด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลินเทียนอ้าว มันก็ไม่สามารถฝ่าการป้องกันของเขาไปได้อยู่ดี

เดิมทีขณะที่หลินเทียนอ้าวเดิมพันกับโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ เขาได้จำกัดความสามารถของตัวเองไว้โดยการยืนนิ่งๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้มากนัก ตอนนี้เขาจึงจะแสดงพลังที่เป็นเอกลักษณ์ของตนให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เข้าใจว่าทำไมโจวเหว่ยชิงถึงให้ความสำคัญกับเขามากมายขนาดนี้

จ่าฝูงตัวนี้มีพลังเทียบเท่ากับจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 7 ชุดและมีพลังมากกว่าสมาชิกในกลุ่มมาก พลังทำลายล้างของมันนั้นทรงอานุภาพอย่างน่าประหลาดใจ และแม้ว่าความแข็งแกร่งของอู่หยาจะน่าประทับใจเช่นกัน แต่เธอก็ไม่ยังไม่อาจทำอะไรเปลวไฟของจ่าฝูงตัวนี้ได้มากนัก สำหรับคนอื่นๆ เรียกได้ว่าพลังของสี่น้อยนั้นสู้มันไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนเซียวเอี๋ยนนั้นไม่เก่งในการต่อสู้ระยะประชิด และแม้ว่าขี้เมาเป่าจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับมันได้สักพัก แต่นั่นก็คงจะเป็นระยะเวลาไม่นานมากเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังป้องกันขั้นสุดยอดของหลินเทียนอ้าว สิงโตจ่าฝูงก็ต้องรีบหยุดฝีเท้าของมันเอาไว้ทันที

หลินเทียนอ้าวไม่ได้เคลื่อนไหวเร็วมากนัก จากมุมมองของผู้ชมภายนอก เขาอาจดูเหมือนกำลังขยับแค่โล่ยักษ์ของเขาอย่างช้าๆ แต่เพียงแค่นั้นเขาก็สามารถป้องกันการโจมตีได้ถูกที่ถูกเวลาแล้ว ไม่ว่าสิงโตจ่าฝูงจะพยายามอย่างไร มันก็ยังไม่สามารถสบัดตัวให้หลุดพ้นจากแนวป้องกันของเขาไปได้

โล่ประสานศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้นในมือของหลินเทียนอ้าวยังคงสามารถสร้างความประทับใจได้ทุกที่เสมอ ทุกครั้งที่จ่าฝูงสิงโตโลหิตเพลิงต้องการเปลี่ยนทิศทางหรือโจมตีคนอื่นๆ หลินเทียนอ้าวก็จะเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวหรือขยับโล่ของเขาออกไปกันไม่ให้มันรวบรวมพลังหรือปลดปล่อยพลังออกมาได้ นั่นจึงทำให้มันค่อยๆ เริ่มเสียสมดุลไปทีละน้อย

ด้วยเหตุนี้ หลินเทียนอ้าวและสิงโตจ่าฝูงจึงอยู่ในระยะที่ใกล้กันอย่างไม่น่าเชื่อ และการต่อสู้ระยะประชิดเช่นนี้ก็ดูอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

ทว่าถึงกระนั้นสิงโตจ่าฝูงก็ยังไม่อาจฝ่าแนวป้องกันของหลินเทียนอ้าวไปได้ อีกทั้งยังไม่สามารถกระโจนเข้าไปช่วยเหลือเหล่าตัวเมียได้อีกด้วย มันจึงทำได้เพียงเฝ้าดูเหล่าสิงโตตัวเมียถูกสมาชิกในกลุ่มนักรบเฟยหลี่กำจัดไปทีละตัวๆ

การโจมตีของอู่หยาโหดเหี้ยมเกินไป ด้วยขวานคู่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 1,300 จินในมือของเธอนั้น แม้แต่ตัวจ่าฝูงก็ยังไม่อาจอาจต้านทานได้ นับประสาอะไรกับสิงโตตัวเมียเหล่านั้น จากบรรดาสิงโตตัวเมียที่เหลือทั้งหมด 5 ตัว ตอนนี้เธอกลับฆ่าไปแล้ว 3! สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือ ทันทีที่เลือดของพวกมันกระเซ็นเปื้อนลงบนขวาน ไม่นานก็ดูเหมือนว่าเลือดเหล่านั้นจะถูกขวานของเธอดูดซับเข้าไป จากนั้นแสงสีทองเข้มก็ยิ่งสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าขวานในตำนานเหล่านี้ไม่ใช่อาวุธธรรมดาๆ อย่างแน่นอน!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดยิงธนูแล้ว เธอค่อยๆ เก็บลูกศรบางส่วนที่ยังไม่เสียหายขึ้นมาอย่างใจเย็น เธอรู้ว่าในตอนนี้เธอไม่จำเป็นสำหรับการต่อสู้ที่เหลือแล้ว สิงโตจ่าฝูงตัวนั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอสามารถจัดการหรือก่อกวนได้ง่ายๆ

ในขณะที่เซียวเอี๋ยนจัดการสิงโตตัวสุดท้าย อู่หยาและขี้เมาเป่าก็พร้อมใจกันตีวงโอบเข้าหาหลินเทียนอ้าวจากทั้งสองด้าน

“หัวหน้า ลงมือกันเถอะ” ขี้เมาเป่ายิ้มและพูดอย่างตื่นเต้น

หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เย่เป่าเปา ใช้หอกน้ำแข็งของเจ้ายิงมัน”

เย่เป่าเปายังไม่เข้าใจจังหวะตอบโต้กับคนในกลุ่มมากเท่าไหร่ และด้วยประสบการณ์การต่อสู้ที่น้อยกว่าคนอื่นๆ เขาจึงยังไม่อาจทำงานประสานร่วมกับคนในกลุ่มได้ดีมากนัก หากไม่มีคำแนะนำของหลินเทียนอ้าว เขาก็คงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ดังนั้นตอนนี้เขาจึงค่อยๆ สร้างหอกน้ำแข็งขึ้นมาด้วยพลังทั้งหมดของเขา แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมหลินเทียนอ้าวต้องการให้เขาทำเช่นนั้นก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็แค่ต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น ในความคิดของเขา อย่างไรหอกน้ำแข็งนี้ยังไม่อาจฝ่าผ่านปราการไฟของสิงโตจ่าฝูงได้อยู่ดี!

ใช้เวลาประมาณ 5 อึดใจถัดมา หอกน้ำแข็งของเย่เป่าเปาก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ เพียงพริบตาเดียว มันก็กลายเป็นเส้นแสงสีฟ้าเย็นเยียบพุ่งตรงไปที่ศีรษะของสิงโตจ่าฝูง

ในเวลาเดียวกัน หลินเทียนอ้าวก็แสดงให้เย่เป่าเปาและซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้ว่าพลังที่แท้จริงของการป้องกันขั้นสูงสุดของเขาคืออะไร

ขณะที่เย่เป่าเปาร้องตะโกนและปล่อยหอกของเขาออกมา หลินเทียนอ้าวก็ส่งเสียงออกมาเช่นกัน เท้าขวาของเขาเหยียบลงบนพื้นอย่างแรง โล่ประสานในมือพลันเปล่งประกายเป็นแสงสีเหลืองและโล่ทั้งชิ้นก็ทุบเข้าที่ด้านข้างลำตัวของจ่าฝูงอย่างโหดเหี้ยม

ในช่วงเวลานั้น จู่ๆ ปราการไฟของสิงโตโลหิตเพลิงก็ถูกระงับโดยโล่แสงสีเหลืองนั้นเอง ทักษะที่ไม่รู้จักของหลินเทียนอ้าวได้ทำให้สิงโตโลหิตเพลิงตกตะลึงไปเสี้ยววินาที แต่ในวินาทีนั้นกลับเป็นจังหวะเดียวกับที่หอกน้ำแข็งของเย่เป่าเปามาถึงตัวของมันด้วย

ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นเอง หลินเทียนอ้าวก็ได้ฉวยโอกาสโจมตีใส่สิงโตจ่าฝูงเป็นครั้งที่ 2 จุดหมายของเขาไม่ใช่เพื่อโจมตีมัน แต่เพื่อทำให้มันขยับตัว! ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อให้หอกน้ำแข็งสามารถพุ่งเข้าใส่ดวงตาของมันได้!

ด้วยเสียง ‘ฉึก’ อันน่าสยดสยอง ทักษะ 8 ดาวอันทรงพลังอย่างหอกน้ำแข็งที่เย่เป่าเปาปลดปล่อยออกมาก็ได้เจาะทะลวงเข้าไปในดวงตาของสิงโตจ่าฝูงและฝังลึกเข้าไปในลูกตาทันที แม้ว่าไม่นานหอกน้ำแข็งจะหลอมละลายไปเพราะเปลวไฟข้างในก็ตาม ไม่ว่าการป้องกันของสิงโตจ่าฝูงจะแข็งแกร่งและทนทานเพียงใด ในช่วงเวลาที่มันกำลังตกตะลึงและสูญเสียการควบคุมปราการไฟไปเพียงเสี้ยววินาทีนั้น เปลือกตาของมันยังคงเป็นเพียงเปลือกตาธรรมดา! ดังนั้นเปลือกตาที่ไม่มีปราการไฟจะป้องกันหอกอันทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร! ด้วยเหตุนี้มันจึงได้รับบาดเจ็บหนักพลางร้องโหยหวนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวและความเจ็บปวด

ขี้เมาเป่าและอู่หยาไม่ยอมพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ไปแน่นอน

ขี้เมาเป่ายกกระบองในมือของเขาขึ้น จากนั้นแสงสีทองก็สว่างวาบอีกครั้ง จู่ๆ กระบองของเขาดูเหมือนจะแยกออกเป็นภาพลวงตา 3 ภาพในขณะที่ร่างของเขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้สังเกตอย่างละเอียด ภาพทั้ง 3 ก็จะซ้อนทับกันราวกับว่าเป็นเพียงภาพเดียว

นี่ไม่ใช่ทักษะที่กักเก็บไว้ในมณีธาตุ แต่เป็นทักษะการต่อสู้กระบี่กระบองที่ขี้เมาเป่าฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง ชื่อของมันคือ ‘สามปีศาจจู่โจม’ เมื่อใช้ควบคู่ไปกับทักษะจู่โจมเที่ยงธรรมของธาตุแสงที่เขาเคยใช้ แม้ว่าพลังโจมตีจะไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่มันก็ยังให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งและทรงพลัง

*ตูม* *ตูม* *ตูม* กระบองทั้ง 3 กระแทกเข้ากับศีรษะของสิงโตจ่าฝูงอย่างแรง เสียงร้องโหยหวนของมันพลันถูกขัดเอาไว้ในลำคอ อีกทั้งปราการไฟที่ถูกระงับเอาไว้ก็ไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อีกครั้ง

การแสดงลำดับถัดมาคือฝีมือของอู่หยา ขวานในตำนานของเธอฟาดลงไปอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าจนแสบตา ทำให้คนในกลุ่มที่เหลือแทบจะมองไม่เห็นแรงระเบิดที่แท้จริง

ปราการป้องกันของสิงโตโลหิตเพลิงนั้นทรงพลังเกินไป แม้แต่ขวานยักษ์ในตำนานก็ไม่สามารถจบชีวิตของมันลงได้ด้วยการฟันลงไปเพียงครั้งเดียว แต่ถ้าหากว่าการฟันครั้งเดียวไม่อาจจบชีวิตมันได้ แล้วถ้าฟันหลายๆ ครั้งล่ะ? อย่างไรตอนนี้สิงโตจ่าฝูงกำลังได้รับบาดเจ็บและอยู่ในสภาวะแตกตื่น พลังป้องกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างปราการไฟก็ถูกระงับเอาไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่ออู่หยาลงมือหลายๆ ครั้ง ไม่กี่วินาทีต่อมาศีรษะของมันก็หลุดออกจากคอทันที เลือดสดๆ สาดกระเซ็นย้อมทั้งอู่หยาและขี้เมาเป่าจนชุ่ม…ในขณะที่มันสิ้นใจเพราะขวานของอู่หยา มีเพียงหลินเทียนอ้าวผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เปียกโชกไปด้วยเพราะโล่ของเขาก็ถือว่าเป็นปราการป้องกันชั้นดีชิ้นหนึ่งเช่นกัน

ขี้เมาเป่าแทบจะพูดไม่ออก ในที่สุดก็ถอนหายใจและพูดว่า “น้องอู่หยา ทักษะสับลมกรดของเจ้ากำลังโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พรสวรรค์แต่กำเนิดของเจ้านั้นยอดเยี่ยมมากจริงๆ” แม้ว่าสมาชิกเผ่าอีกาทองจะมีพลังมหาศาล แต่พวกเขาก็ค่อนข้างเรียบง่ายและไม่ได้ตั้งชื่อหรูหราให้ทักษะต่อสู้ของพวกเขา

อู่หยายิ้มออกมา ขวานในตำนานทั้ง 2 พลันหายไปท่ามกลางแสงพร่ามัว เมื่อพินิจดูอย่างระมัดระวัง จะเห็นได้ว่าอู่หยามีแหวนมิติอยู่บนมือแต่ละข้าง เห็นได้ชัดว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อเก็บขวานในตำนานเหล่านั้น

เมื่อเก็บขวานในตำนานลงไปแล้ว เธอก็เตะเข้าที่หัวของสิงโตจ่าฝูงก่อนจะถือขึ้นมาไว้ในมือ เมื่อใช้มือคว้านเข้าไปค้นหาอยู่พักหนึ่ง เธอก็ดึงแก่นพลังสีแดงเข้มออกมา

หลินเทียนอ้าวและคนที่เหลือต่างก็เก็บศาสตรามณียุทธ์ของพวกเขาเช่นกัน เขายิ้มและพูดว่า “ผิวหนังและแก่นพลังของสิงโตโลหิตเพลิงนั้นมีค่ามาก เลือดของพวกมันก็ยังสามารถใช้สร้างหมึกศาสตรามณียุทธ์ได้ อีกทั้งยังค่อนข้างขายได้ราคา พวกเราอย่าให้เสียของดีกว่า มาเถอะ ช่วยกันเก็บให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเราไปถึงเมืองหลวง พวกเราก็สามารถนำพวกมันไปขายและแบ่งผลประโยชน์กันได้”

“เดี๋ยวข้าทำเอง” อู่หยารีบเก็บของเหล่านั้นอย่างตื่นเต้น ส่วนสี่น้อยเองก็บินโฉบลงมาเพื่อช่วยเหลือ

หลินเทียนอ้าวกลับไปที่ทางเข้าถ้ำ หันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่เก็บลูกศรทั้งหมดของเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินเทียนอ้าวพยักหน้าให้อีกฝ่าย เขาพูดด้วยท่าทางยอมรับ “ยิงธนูได้ดี”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “หัวหน้าชมข้ามากเกินไปแล้ว พวกท่านทุกคนก็ทรงพลังมากเช่นกัน เพราะอย่างไรตัวข้าก็ยังไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าจ่าฝูงสิงโตโลหิตเพลิง”

หลินเทียนอ้าวยังยิ้มขณะที่เขาตอบว่า “ดูเหมือนว่าทั้งเจ้าและโจวเหว่ยชิงจะมีประสบการณ์และภูมิหลังที่ค่อนข้างดี กลุ่มของเราโชคดีเหลือเกินที่มีพวกเจ้า ทักษะของเจ้าทั้งคู่จะช่วยชดเชยข้อเสียด้านการต่อสู้ระยะไกลและความเร็วในการโจมตี ไม่ว่าทักษะกักเก็บจะดีแค่ไหน อย่างไรความเร็วในการโจมตีก็ไม่มีทางเทียบได้กับลูกศร”

ในบรรดาจ้าวมณีสวรรค์ทั้งหมด ทุกคนล้วนมีเส้นทางในการฝึกฝนของตนเอง บางคนอาจให้ความสำคัญกับการใช้มณียุทธ์และการต่อสู้ระยะประชิดมากกว่า จ้าวมณีสวรรค์เช่นนี้มักจะมีลักษณะทางกายภาพที่ดีและมักจะมีทักษะต่อสู้บางรูปแบบด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคืออู่หยานั่นเอง ส่วนในทางกลับกัน มีบางคนที่ให้ความสำคัญกับทักษะกักเก็บ ตัวอย่างของคนประเภทนี้คือเย่เป่าเปาและเซียวเอี๋ยน พวกเขาแข็งแกร่งมากในการต่อสู้ระยะไกล

แน่นอนว่าจ้าวมณีสวรรค์ทุกคนมีพลังมากที่สุดเมื่อใช้ทั้งมณีธาตุและมณียุทธ์พร้อมกัน นี่เป็นข้อได้เปรียบหลักของพวกเขาอยู่แล้ว และการมุ่งเน้นไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนถนัด ไม่ได้บอกว่าพวกเขาจะละทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไป

แม้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะมีมณี 3 ชุด แต่ด้วยทักษะการยิงธนูที่โดดเด่นของเธอ เธอจึงสามารถลดปริมาณพลังปราณที่ต้องสูญเสียไปและรักษาระดับพลังที่ใช้โจมตีให้คงที่ได้ แม้ว่าเธออาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวมณีสวรรค์เช่นอู่หยาหรือหลินเทียนอ้าว แต่หากต้องเผชิญหน้ากับคนอย่างเย่เป่าเปาและเซียวเอี๋ยน นั่นก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะพูดว่าใครจะชนะ ด้วยทักษะการยิงธนูของเธอ ตราบใดที่สามารถรักษาระยะห่างและมีเวลาเพียงพอ แม้แต่เซียวเอี๋ยนที่มีมณี 5 ชุดก็อาจค่อยๆหมดกำลังและตายลงในที่สุด เว้นเสียแต่ว่าระดับพลังปราณของผู้นั้นข้ามผ่านระดับเทวะไปแล้ว ไม่เช่นนั้นระยะโจมตีและความเร็วของทักษะกักเก็บก็ยังห่างชั้นกับลูกศรที่ถูกยิงออกไปจากธนูมากนัก

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณเมื่อกระบองของขี้เมาเป่าฟาดเข้าที่ร่างของสิงโตตัวเมียอย่างแรง เพราะบริเวณเปลือกตากำลังได้รับความเจ็บปวด สิงโตตัวนั้นจึงไม่อาจจะหลบการโจมตีของเขาได้ อีกทั้งยังไม่สามารถใช้พลังปราณป้องกันได้อย่างเหมาะสมและทันเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้ ขี้เมาเป่าจึงสามารถฉวยโอกาสโจมตีจุดบอดของมันได้ ไม่ใช่ส่วนศีรษะที่แข็งจนเกินไป แต่เป็นจุดที่อยู่ระหว่างศีรษะและไหล่ เมื่อถูกกระบองฟาดเข้าใส่ สิงโตตัวนั้นก็กระเด็นขึ้นไปในอากาศทันที ร่างของมันหมุนคว้างไปรอบๆ และร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ทั้งยังเปรอะเปื้อนไปด้วยแสงสีทองจากตะบองชิ้นนั้น มันกลิ้งไปมาหลายตลบก่อนจะพยายามลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก

ถึงอย่างไรขี้เมาเป่าก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลาง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสิงโตตัวเมียตัวนั้น เมื่อมันได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา มันจึงเสียสมาธิและไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ การโจมตีของขี้เมาเป่าจึงทำให้มันได้รับบาดเจ็บหนักถึงแม้มันจะมีผิวหนังที่แข็งแกร่งก็ตาม เห็นได้ชัดว่าถ้าเป็นอสูรสวรรค์ที่อ่อนแอและไม่มีผิวหนังแข็งแกร่งเช่นนี้ มันจะต้องตกตายเพราะการโจมตีดังกล่าวแน่นอน

ในขณะนี้ทุกคนกำลังตะลึงกับลูกศร 7 ดอกที่น่าทึ่งของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เนื่องจากเธอเพิ่งแสดงให้พวกเขาเห็นว่าอัตราความเร็วในการยิงธนูของเธอมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมอย่างไร

เท้าทั้งสองข้างยังคงวางอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง เธอปักหลักอยู่ในตำแหน่งเดิมขณะที่ธนูวิญญาณมรกตส่งเส้นแสงสีเขียวพุ่งออกไปอย่างต่อเนื่องราวกับฟ้าแลบ เส้นแสงเหล่านั้นพุ่งทะยานเข้าหาดวงตาของสิงโตโลหิตเพลิงอย่างแม่นยำ ไม่ว่าพวกมันจะขยับหนีหรือหลบหลีกอย่างไร ลูกศรเหล่านั้นก็ดูเหมือนมีดวงตา สามารถไล่กวดพวกมันไปได้ทุกที่

หากมีเพียงแค่ธนูวิญญาณมรกต พลังโจมตีของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อาจมีไม่มากพอ โดยเฉพาะตอนที่เธอมีมณี 3 ชุดเช่นนี้ แต่แม้พลังปราณสวรรค์ของเธอจะต่ำที่สุดในกลุ่ม เธอก็ยังสามารถทำสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จด้วยพลังของตัวเอง

อสูรสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลางทั้ง 7 ตัวถูกเธอจัดการแต่เพียงผู้เดียว! นอกจากสิงโตตัวเดียวที่เธอจงใจปล่อยให้ขี้เมาเป่าจัดการก็ยังไม่มีสิงโตตัวไหนสามารถเข้าใกล้พวกเขาในระยะ 10 หลาได้อีก สิงโตโลหิตเพลิงทั้งหมดคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ทำได้เพียงขยับตัวป้องกันดวงตาเอาไว้ แม้ลูกศรของเธอจะยังคงสามารถแทรกและบิดตัวผ่านแนวป้องกันของพวกมันเข้าสู่ดวงตาได้ในที่สุดก็ตาม

เนื่องจากการมองเห็นของพวกมันถูกจำกัดและต้องตกอยู่ภายใต้ห่าลูกศรที่ระดมยิงใส่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสิงโตโลหิตเพลิงเหล่านี้จะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกมันก็ไม่สามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นำจุดอ่อนของพวกมันมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ แม้จะไม่มีการโจมตีระยะไกลอื่นๆ เข้าช่วย พวกมันทั้งหมดก็ยังถูกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปราบลงได้ด้วยคนเดียว อย่างน้อยก็ยื้อเวลาเอาไว้ได้ช่วงสั้นๆ เช่นตอนนี้

ณ กลางอากาศ สี่น้อยทำได้เพียงจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างและกรามก็แทบหล่นลงไปที่พื้น เขายังจำได้ว่าตนเองล้อเลียนโจวเหว่ยชิงอย่างไรในวันที่พวกเขาพบกันในโรงเรียนเจ้ามณี ในเวลานั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ก้าวออกมาเพื่อท้าเดิมพันกับเขาอย่างโกรธเกรี้ยว ตอนนี้เขารู้แล้วว่าแม้ว่าหนุ่มสาวคู่นี้จะมีระดับพลังปราณไม่สูงนัก แต่ทักษะการยิงธนูที่น่าเหลือเชื่อของพวกเขาก็ไม่ควรถูกมองข้ามเช่นกัน

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับห่าลูกศรเช่นนี้ แม้ว่าหลินเทียนอ้าวที่มีการป้องกันขั้นสุดยอดอาจปัดป้องออกไปได้อย่างง่ายดาย ส่วนอู่หยาที่มีกล้ามเนื้อและผิวหนังที่ทนทานก็อาจจะจัดการกับมันได้ง่ายๆ แต่พวกเขาที่เหลือล่ะ? แม้ว่าพวกเขาอาจมีระดับพลังปราณที่สูงกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิง และบางทีก็อาจจะมีพลังแข็งแกร่งกว่าคนทั้งคู่ แต่ถ้าหากทุกคนต้องอยู่ห่างจากพวกเขาในระยะมากกว่า 50 หลา ใครจะกล้าบอกว่าตนสามารถบุกฝ่าเข้าไปถึงตัวคนทั้งคู่ได้

ทักษะการประเมินของหลินเทียนอ้าวนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าสี่น้อย เขาสามารถอ่านสีหน้าและท่าทางของผู้อื่นได้ ท่าทางสงบนิ่งของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และจังหวะเวลาของเธอนั้นไร้ที่ติ ทันทีที่เขาเห็นลูกศร 7 ดอกแรก เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต้องเคยอยู่ในสนามรบและเคยต่อสู้กับอสูรสวรรค์มาก่อน นี่เป็นเพียงครั้งแรกที่ทุกคนต่อสู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม แต่เธอกลับสามารถสนับสนุนขี้เมาเป่าได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่ไม่ใช่เพียงนักธนูธรรมดาๆ ที่เชื่อมั่นในอัตราการยิงของตนเองเท่านั้น หากไม่พูดถึงพลังโจมตีที่ค่อนข้างอ่อนแอของเธอแล้ว การมีนักธนูคนนี้ในกลุ่มก็ถือเป็นพรอันยิ่งใหญ่จากสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย!

ความจริงแล้วนี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ จากทักษะและพลังทั้งหมดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เพราะท้ายที่สุดแล้วพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอไม่ใช่แค่อัตราเร็วในการยิงธนูเท่านั้น แต่เป็นอัตราเร็วในการยิงขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงต่างหาก ถึงอย่างไรเธอก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไวขั้นสุดยอด เมื่อพูดถึงความเร็ว แม้ว่าเธอจะบินไม่ได้ แต่ในแง่ของความเร็วในการเคลื่อนที่ แม้แต่สี่น้อยที่มีมณี 4 ชุดและบินได้ก็ไม่อาจเอาชนะเธอได้แน่นอน

หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์คืออะไรงั้นหรือ? มันคือสำนักสวรรค์พิสดาร ในฐานะศิษย์ของหัวหน้าหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์อย่างหัวเฟิง ทักษะการยิงธนูของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ย่อมต้องดีเลิศกว่าโจวเหว่ยชิง

เดิมทีสำนักสวรรค์พิสดารไม่มีจ้าวมณีสวรรค์เลยแม้แต่คนเดียว แต่พวกเขาก็ยังสามารถลอบสังหารจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังมากมายได้…พวกเขาทำได้อย่างไรน่ะหรือ? ด้วยทักษะการยิงธนูที่หลากหลายและคาดเดาไม่ได้ของพวกเขายังไงล่ะ! อาจกล่าวได้ว่าถ้าโจวเหว่ยชิงหรือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมกลุ่มคนใดคนหนึ่งในระยะ 100 หลา นอกจากหลินเทียนอ้าวที่มีพลังป้องกันขั้นสุดยอดและเป็นขั้วตรงข้ามกับพวกเขาแล้ว คนอื่นๆย่อมไม่มีใครมีโอกาสเอาชนะพวกเขาได้อีกเลย แล้วถ้าเพื่อนร่วมกลุ่มคนอื่นมีมณีสวรรค์ 5 ชุดล่ะ? เมื่อเผชิญหน้ากับนักธนูผู้ทรงพลัง ใครจะกล้าพูดอย่างมั่นใจว่าพวกเขาสามารถป้องกันหรือหลบหลีกลูกศรทั้งหมดและฝ่าเข้าใกล้อีกฝ่ายได้?

เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งในขณะที่อู่หยาเริ่มลงมือตอบโต้ ร่างของเธอพุ่งออกไปเหมือนลูกปืนใหญ่ มุ่งเป้าไปที่สิงโตตัวหนึ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังระดมยิงสกัดเอาไว้อยู่

ในเวลาเดียวกับที่อู่หยาขยับตัว เย่เป่าเปาและเซียวเอี๋ยนต่างก็ยกไม้คฑาขึ้นมาเช่นกัน

แสงสีฟ้าที่เจิดจ้าจนตาพร่ารวมตัวกันอยู่เหนือศีรษะของเย่เป่าเปาและกลายร่างเป็นหอกน้ำแข็งหนึ่งชิ้น ไม่นานนักหอกนี้ก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ จนมีขนาดเท่าแขนมนุษย์

เย่เป่าเปาเป็นผู้ที่ภาคภูมิใจในความสามารถของตนเองมาโดยตลอด เมื่อตอนนี้ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้แสดงพลังของพวกเขาออกมาแล้ว ในฐานะผู้นำจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่ เขาจะไม่พยายามแสดงพลังออกมาเพื่อต่อสู้ให้ดีที่สุดได้อย่างไร? ในการโจมตีครั้งนี้เขาได้ปลดปล่อยพลังปราณสวรรค์จำนวนมหาศาลออกมาด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแสดงพลังมณี 4 ชุดของตนออกมาให้ทุกคนเห็น

ในขณะเดียวกัน เซียวเอี๋ยนก็เปิดฉากโจมตีร่วมกับเย่เป่าเปาด้วย แสงไฟพวยพุ่งออกมาจากไม้คฑาของเขา ก่อเกิดเป็นลูกไฟจำนวนมาก บอลอัคคีเป็นเพียงทักษะธาตุไฟระดับ 2 ดาว โดยปกติแล้วจ้าวมณีสวรรค์ธาตุไฟที่มีความสามารถและมีเงินเพียงพอก็มักจะไม่คิดกักเก็บทักษะดังกล่าว ทว่าตัวเซียวเอี๋ยนกลับทำตัวต่อต้านค่านิยม เพราะในขณะที่คนอื่นๆอาจสร้างบอลอัคคีได้เพียงลูกเดียว เขาสามารถยิงออกไปได้ 9 ลูกได้ในครั้งเดียว! นี่ไม่ใช่บอลอัคคีธรรมดาๆ แต่เป็นบอลอัคคีที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจนกลายเป็นทักษะระดับ 5 ดาว เรียกว่าทักษะบอลอัคคีผสาน ถึงกระนั้น ทักษะระดับ 5 ดาวก็ถือว่าเป็นเพียงทักษะระดับทั่วๆไป เพราะหอกน้ำแข็งของเย่เป่าเปานั้นมีพลังโจมตีถึงระดับ 8 ดาว! ในฐานะลูกชายของเสนาบดี ทุกคนย่อมรู้ชัดอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้ขัดสนเงินทองอะไร

ทว่าพลังของเซียวเอี๋ยนจะเรียบง่ายเช่นนี้เองหรือ? ในไม่ช้า สายตาของเย่เป่าเปาก็ต้องเปลี่ยนไปเพราะความตกตะลึง

บอลอัคคีทั้ง 9 ลูกทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่กลับไม่ได้พุ่งตรงไปที่สิงโตโลหิตเพลิง เพราะขณะที่พวกมันโผทะยานขึ้นไปในอากาศ บอลอัคคีลูกแรกก็หยุดชะงัก จากนั้นลูกที่สองก็พุ่งเข้าใส่บอลอัคคีลูกแรกทันที ไม่นานบอลอัคคีลูกต่อๆ มาก็ชนเข้ากับลูกแรกซ้ำไปเรื่อยๆ ไม่นานบอลอัคคีทั้ง 9 ลูกก็ผสานรวมกันจนครบ เปลวไฟสีเหลืองดั้งเดิมพลันหลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นสีแดงเพลิงที่ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล มันไม่รอช้า รีบพุ่งตรงเข้าหาสิงโตตัวเมียและเกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นทันที แม้สิงโตโลหิตเพลิงจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งและทนทาน แต่เมื่อถูกโจมตีด้วยบอลอัคคีขนาดมหึมา ร่างของมันจึงกระเด็นไปข้างหลังเกือบ 10 ฟุต แรงระเบิดยังทำให้ร่างของมันปริแยกออกจากกัน เผยให้เห็นกระดูกสีขาวซีดอยู่ข้างใต้ผิวหนัง แน่นอนว่าหลังจากนี้มันย่อมไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อได้แล้ว

ควรรู้ว่าสิงโตโลหิตเพลิงก็เป็นอสูรทักษะธาตุไฟเช่นกัน ด้วยเหตุนี้มันจึงสามารถต้านทานพลังธาตุไฟได้ตามธรรมชาติ ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เซียวเอี๋ยนกลับยังสามารถสังหารผู้ที่มีพลังอยู่ในระดับเดียวกันกับตัวเองได้ จากสิ่งนี้ทุกคนย่อมบอกได้ว่าบอลอัคคีผสานทั้ง 9 ลูกของเขาทรงพลังเพียงใด เช่นนี้จะนำทักษะของเขาไปเทียบกับทักษะบอลอัคคีผสานแบบปกติได้อย่างไร!

เย่เป่าเปาประหนักได้อย่างรวดเร็วว่าถ้าเป็นเขาที่เผชิญหน้ากับเซียวเอี๋ยนแทนสิงโตตัวนั้น แค่ทักษะบอลอัคคีผสานเพียงอย่างเดียว เขาอาจจะถูกทำลายกลายเป็นเศษเล็กน้อยก่อนที่จะทันได้เคลื่อนไหวร่างกายด้วยซ้ำ

ความแตกต่าง…นี่คือความแตกต่างระหว่างพวกเขาอย่างแท้จริง เย่เป่าเปาคิดกับตัวเองในขณะที่เขาเริ่มเปิดการโจมตีบ้าง ทว่าน่าเสียดายที่การโจมตีของเขากลับไม่ได้ให้ผลเช่นเดียวกับเซียวเอี๋ยน

เมื่อเห็นว่าสิงโตตัวหนึ่งในฝูงถูกฆ่าตาย สิงโตจ่าฝูงก็รู้สึกโกรธมาก ร่างกายใหญ่โตของมันทะยานขึ้นไปในอากาศ ปราการไฟรอบๆตัวพลันลุกโชนขึ้นอย่างดุเดือด ทำให้ร่างของมันดูคล้ายกับลูกไฟขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งออกไปกลางอากาศ

หอกน้ำแข็งของเย่เป่าเปาพุ่งเป้าไปที่สิงโตอีกตัวหนึ่ง แต่การโจมตีของเขากลับถูกขัดขวางโดยสิงโตจ่าฝูงที่กำลังโมโหจัด เพียงพริบตาเดียว หอกของเขาก็พลันหลอมละลายในปราการไฟที่ร้อนระอุของมัน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็โจมตีมันในเวลาเดียวกัน ด้วยอัตราความเร็วในการยิงของเธอ เธอก็น่าจะสามารถจัดการสิงโตอีกตัวลงได้ แต่ทว่าก่อนที่ลูกศรจะไปถึงร่างของสิงโตตัวนั้น มันกลับต้องมีชะตากรรมเดียวกันกับหอกน้ำแข็งที่หลอม ละลายไปก่อนหน้าเพราะเปลวไฟของสิงโตจ่าฝูง ในฐานะอสูรสวรรค์ระดับเทวะขั้นแรก สิงโตโลหิตเพลิงตัวผู้ย่อมมีพลังมากกว่าสิงโตตัวเมียมาก ดังนั้นลูกศรธรรมดาๆ จึงไม่อาจฝ่าปราการไฟที่ป้องกันร่างของมันเอาไว้ได้

ในขณะที่สิงโตโลหิตเพลิงกระโจนออกมาข้างหน้า มันก็ไม่ได้ทำเพียงแค่ขัดขวางหอกน้ำแข็ง แต่ยังเปิดการโจมตีอีกด้วย เป้าหมายของมันไม่ใช่หลินเทียนอ้าวที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่กลับเป็นอู่หยา เพราะในขณะที่เซียวเอี๋ยนลงมือฆ่าสิงโตตัวเมียด้วยบอลอัคคีของเขา ฝั่งอู่หยาเองก็เริ่มลงมือเช่นกัน แม้ว่าเธอจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่ง แต่ความเร็วของเธอก็ไม่ได้ถือว่าด้อย เธอรีบพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อต้องต่อสู้กับสิงโตที่แทบจะลืมตาไม่ขึ้น เธอจะยอมพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้ได้อย่างไร? สมาชิกเผ่าอีกาทองเกิดมาเพื่อเป็นนักรบและต้องเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์มากมายตั้งแต่อายุยังน้อย ขวานรบขนาดใหญ่ในมือของเธอพลันเปล่งประกายด้วยแสงสีทองเข้ม เธอพุ่งไปข้างหน้าและตวัดขวานลงไปทันที ในพริบตาต่อมาสิงโตตัวเมียก็ถูกสับกลายเป็นสองท่อนแล้ว

อย่างไรก็ตาม การโจมตีนั้นทำให้สิงโตจ่าฝูงเริ่มเปิดฉากกระโจนเข้าใส่เธอ มันพุ่งเข้าหาอู่หยาด้วยความโกรธ โชคดีที่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น หลินเทียนอ้าวก็เริ่มลงมือเช่นกัน เขาไม่ได้เคลื่อนที่เร็วมาก แต่พยายามเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่เพื่อสกัดกั้นตัวจ่าฝูง ณ จุดที่มันจะเข้าโจมตีอู่หยา

ในขณะที่สิงโตจ่าฝูงอยู่ห่างจากอู่หยาเพียง 5 หลา หลินเทียนอ้าวก็สามารถแทรกตัวเข้าไปสกัดกั้นมันได้ทัน เกิดเสียงกระแทกดังลั่นสนั่นหวั่นไหวในวินาทีที่โล่ของเขาปะทะเข้ากับสีข้างของมัน

แน่นอนว่าเขาโจมตีมันไม่สำเร็จ แม้จะอยู่กลางอากาศ แต่สิงโตโลหิตเพลิงก็สามารถรับรู้ถึงอันตรายที่กำลังเข้าใกล้ได้ มันจึงใช้กรงเล็บของมันพลิกตัวหลบกลางอากาศทันที

อนิจจา แม้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองของมันจะว่องไวมาก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลินเทียนอ้าว ผลลัพธ์ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

ทันทีที่หลินเทียนอ้าวปรากฏตัวขึ้น โล่ในมือของเขาก็หลอมรวมกันกลายเป็นชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้นทันที เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ระดับเทวะ เขารู้ว่าตนไม่สามารถดูแคลนความสามารถของมันได้ เขาจึงต้องรวมรวมและใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อกำจัดมันเท่านั้น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าถนัดธนูยิงเร็ว แม้ว่าพลังในการต่อสู้ของข้าจะเทียบไม่ได้กับอ้วนน้อย ข้าไม่มีทักษะควบคุมเหมือนเขา แต่อัตราความเร็วในการยิงของข้าก็เหนือกว่าเขา หัวหน้าหลิน ท่านก็ปฏิบัติกับข้าเหมือนเป็นนักธนูจ้าวมณี 3 ดวงทั่วๆ ไปคนหนึ่งเถอะ” เธอระบุความสามารถของตนเองทันทีเพื่อให้หลินเทียนอ้าวสามารถจัดวางกลยุทธ์ของเขาได้ ท้ายที่สุดพวกเขาก็เป็นกลุ่มเดียวกันแล้ว ถ้าผู้นำไม่ทราบความสามารถของคนในกลุ่ม เขาจะวางแผนใช้ความสามารถของคนทั้งกลุ่มให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร

หลินเทียนอ้าวพยักหน้ายอมรับ แม้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาจไม่ได้มีพลังมากมายนัก แต่หญิงสาวผู้งดงามไม่มีใครเทียบได้คนนี้ก็ให้ความรู้สึกเป็นกันเองและสบายใจมาก

“เอาล่ะ หน้าที่ของเจ้าคือเน้นโจมตีระยะไกล แต่อย่าไปไกลเกิน 5 หลาจากตัวข้าล่ะ” แน่นอนว่าหลินเทียนอ้าวย่อมต้องอยากปกป้องซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ไม่ใช่แค่เพราะเธออ่อนแอที่สุดในกลุ่ม แต่ยังเป็นเพราะความสัมพันธ์ของเธอกับโจวเหว่ยชิง ในฐานะผู้ติดตามของโจวเหว่ยชิง การปกป้องคนรักของเจ้านายจึงเป็นสิ่งที่เขาพึงกระทำ

เกือบ 15 นาทีหลังจากที่โจวเหว่ยชิงหายเข้าไปในถ้ำกับเจ้าแมวอ้วน สี่น้อยก็กลับมาจากการสำรวจ สีหน้าของเขาดูซีดเซียวขณะพุ่งตรงไปหาหลินเทียนอ้าว “หัวหน้า เกิดเรื่องแย่แล้ว! ตอนที่ข้าสอดแนมบริเวณรอบๆ ข้าสังเกตเห็นว่าพวกสัตว์และอสูรตัวเล็กๆ ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากบางสิ่งบางอย่าง ทุกตัวอยู่ในสภาพที่ถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวถึงขีดสุด แม้ว่าพวกมันดูเหมือนจะหวาดกลัวอะไรบางอย่างอยู่ก็เถอะ แต่สิ่งที่พวกมันทั้งหมดเป็นเหมือนกันทุกตัวคือจ้องมองไปยังทิศทางเดียวกันตลอด และนั่นก็คือทิศทางที่พวกเราอยู่ เสือขาวตัวน้อยของโจวเหว่ยชิงเป็นตัวอะไรกันแน่? แค่วิวัฒน์ระดับขึ้นธรรมดาๆยังทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นขนาดนี้…ดูเหมือนว่าเหล่าอสูรสวรรค์ที่อยู่ใกล้ๆก็ถูกดึงดูดมาที่นี่ด้วยเช่นกัน”

หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้วมุ่น แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ พวกเขาก็จะต้องปกป้องโจวเหว่ยชิงและแมวอ้วนเอาไว้ให้ได้ ดังนั้นขณะนี้ทุกคนจึงได้แต่พยายามภาวนาให้ไม่มีอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังอยู่แถวๆ นี้

เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทว่าสภาพแวดล้อมก็ยังคงเงียบสงบ หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมง สมาชิกทุกคนที่รู้สึกวิตกกังวลก็ผ่อนคลายลงในที่สุด แต่ทว่าหลินเทียนอ้าวก็ยังคงไม่ยอมลดความระแวดระวังและสั่งการให้ทุกคนประจำที่เอาไว้ให้ดี

ทันใดนั้นเสียงคำรามที่ฟังดูโกรธเกรี้ยวก็ดังออกมาจากทางทิศตะวันตก แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้มากนัก แต่คลื่นเสียงที่ดูน่าเกรงขามนั้นก็ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป

หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ทุกคนเตรียมตัว”

หลังจากนั้นไม่นาน กลิ่นเหม็นสาบก็โชยมาในอากาศ ทันใดนั้นแผ่นดินก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นเมื่ออสูรสวรรค์ขนาดใหญ่จำนวน 8 ตัวปรากฏกายขึ้นมาพร้อมๆ กัน

อสูรสวรรค์เหล่านี้มีรูปร่างเหมือนสิงโต และจ่าฝูงที่เดินนำหน้าก็มีความยาวเกือบ 4 เมตร และความสูง 1.5 เมตร! แผงคอของพวกมันเป็นสีแดงเพลิง ดวงตาที่ฉายประกายดุร้ายก็มีสีแดงก่ำคล้ายเม็ดทับทิมสีแดง มีสิงโตอีก 7 ตัวขนาบอยู่ข้างๆ สิงโตตัวใหญ่นี้ แม้ว่าพวกมันจะไม่มีแผงคอเหมือนตัวจ่าฝูงก็ตาม ด้วยเหตุนี้ พวกมันทั้งหมดจึงน่าจะเป็นตัวเมีย เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พวกมันมีเหมือนๆ กันคือขนสีแดงเพลิงที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งตัว

ทันทีที่สิงโตฝูงนี้ปรากฏกายขึ้น พวกมันก็แตกแถวเป็นรูปครึ่งวงกลมและล้อมพวกเขาที่เฝ้าหน้าถ้ำเอาไว้ทันที ไม่นานก็ส่งเสียงขู่คำรามออกมาอย่างต่อเนื่อง

สิงโตจ่าฝูงแหงนคอคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างโกรธเกรี้ยว เสียงนั้นทำให้สมาชิกในกลุ่มรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง เห็นได้ชัดว่าเสียงคำรามที่พวกเขาได้ยินก่อนหน้าก็มาจากสิงโตตัวนี้เช่นกัน

กรงเล็บของสิงโตทั้ง 8 กวาดไปมาที่พื้นอย่างกระสับกระส่าย แสดงให้เห็นถึงสภาพอารมณ์ที่ไม่มั่นคงขณะที่พวกมันจ้องมองไปยังปากถ้ำด้านหลังพวกเขา

หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ทุกคนระวังให้ดี พวกนี้คือสิงโตโลหิตเพลิง สิงโตตัวผู้น่าจะมีพลังอยู่ในระดับเทวะขั้นแรก ส่วนสิงโตตัวที่เหลือน่าจะเป็นระดับปรมะขั้นกลาง นี่เป็นปัญหาแน่…หากมีโอกาสจัดการพวกมัน…ห้ามลังเลเด็ดขาด”

อู่หยายิ้มเย็น สะบัดมือนำขวานออกมา จากนั้นก็หมุนควงขวานยักษ์ในมือเป็นรูปวงกลมด้วยท่าทีสบายๆ สำหรับขี้เมาเป่าที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของหลินเทียนอ้าว เขายิ้มเยาะอย่างเย็นชาขณะที่ยกข้อมือขึ้น มณีหยกดำทั้ง 5 ดวงพลันปรากฏขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่ามณียุทธ์ของเขาเป็นประเภทความทรหด ไม่นานมณีของเขาก็ส่องแสงเป็นประกายวูบวาบขณะที่มันแปรเปลี่ยนเป็นกระบองสีดำสนิทในมือของเขา ในเวลาเดียวกันชุดเกราะสีดำที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันก็ก่อตัวขึ้นรอบๆ ศีรษะ หน้าอก เอว และข้อมือของเขา เห็นได้ชัดว่าศาสตรามณียุทธ์ของเขาคือชุดศาสตรามณียุทธ์และยังไม่ใช่ชุดที่เสร็จสมบูรณ์! นี่เป็นการออกแบบของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะขั้นสูงสุด และทั้งชุดก็น่าจะประกอบไปด้วยศาสตรามณียุทธ์จำนวนไม่น้อยกว่า 8 ชิ้น

ปีกศาสตรามณียุทธ์ของสี่น้อยก็ถูกปลดปล่อยออกมาเช่นกัน เขาบินขึ้นไปลอยตัวอยู่เหนืออากาศขณะที่จ้องมองไปยังเหล่าสิงโต เตรียมพร้อมจะลงมือหากถึงคราวจำเป็น หน้าที่ของเขาคือก่อกวนและขัดขวางการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม

เซียวเอี๋ยนและเย่เป่าเปาต่างก็หมุนเวียนพลังปรานสวรรค์ของพวกเขาออกมาเช่นกัน ที่น่าแปลกใจคือทั้งคู่เรียกไม้คฑาสั้นออกมาไว้ในมือ พวกมันมีความยาวประมาณ 4 ฉื่อและมีลูกแก้วคริสตัลทรงกลมติดอยู่ด้านบน

ไม้คฑาเหล่านี้เป็นศาสตรามณียุทธ์ชนิดพิเศษซึ่งมีไว้เสริมพลังให้กับทักษะกักเก็บในมณีธาตุของพวกเขา พวกมันเหมาะกับจ้าวมณีสวรรค์ที่เน้นใช้พลังธาตุเข้าโจมตีมากที่สุด

หลินเทียนอ้าวยืนอยู่ตรงใจกลางของกลุ่ม เขายกมือขวาขึ้นปลดปล่อยโล่ประสานศาสตรามณียุทธ์ออกมา แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีเพียง 3 ชิ้นก็ตาม ดวงตาของเขาจดจ่ออยู่ที่สิงโตจ่าฝูงอย่างแน่วแน่ สำหรับสมาชิกจากโรงเรียนเจ้ามณี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ ก่อนหน้านี้เพื่อฝึกฝนการทำงานเป็นกลุ่ม พวกเขาเคยใช้เวลาช่วงหนึ่งออกล่าอสูรสวรรค์ด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าสิงโตโลหิตเพลิงทั้ง 8 ที่ยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขาจะทรงพลังมาก แต่พวกมันก็รู้ว่าต้องสงบและไม่วู่วาม

*โฮกกกกก* สิงโตโลหิตเพลิงตัวผู้หันหน้าไปทางหลินเทียนอ้าวและส่งเสียงคำรามอย่างป่าเถื่อนขณะที่มันใช้อุ้งเท้าขวากระแทกพื้นอย่างรุนแรง ร่างกายของมันดูเหมือนสว่างไสวขึ้นมาด้วยเปลวเพลิงสีแดงเลือด ราวกับว่าขนของมันกำลังติดไฟอยู่ นอกจากนี้ก็ไม่ใช่แค่จ่าฝูงเท่านั้น สิงโตตัวอื่นๆ ก็ทำตามอย่างรู้งาน แม้ว่าเปลวไฟของมันจะดูอ่อนกำลังกว่าจ่าฝูงมากก็ตาม

“มาแล้ว!” หลินเทียนอ้าวตะโกนบอกคนในกลุ่ม

ในขณะที่เขาตะโกนออกไป สิงโตทั้ง 7 ก็ตั้งท่าพร้อมสู้ทันที ในบรรดาอสูรสวรรค์ประเภทสิงโตทั้งหมด สิงโตโลหิตเพลิงถือว่าแข็งแกร่งน้อยกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะอ่อนแอ เนื่องจากพวกมันมีความแข็งแกร่งทางกายภาพสูงมาก ผิวหนังหนาๆ ของพวกมันนับว่าใช้เป็นเกราะป้องกันตามธรรมชาติได้เป็นอย่างดี และเมื่อพวกมันโจมตีคู่ต่อสู้ก็ยังมีเปลวไฟพิเศษซึ่งสามารถสร้างความเสียหายให้ศัตรูได้อย่างสาหัสอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของพวกมันคือการโจมตีระยะไกล ดังนั้นพวกมันจึงถูกจัดอันดับไว้ค่อนข้างต่ำ แม้แต่ราชาสิงโตโลหิตเพลิงที่มีพลังมากที่สุดก็อยู่ในระดับเทวะขั้นกลางเท่านั้น ด้วยเหตุนี้สิงโตจ่าฝูงก็น่าจะยังมีระดับพลังไม่มากไปกว่าตัวราชา

ขณะที่สิงโตทั้ง 7 กระโจนออกมาข้างหน้า ความเร็วของพวกมันก็ดูน่าอัศจรรย์มาก ราวกับว่าในพริบตาเดียวก็มีเลือด 7 สายกำลังพุ่งเข้าหาคนทั้งกลุ่ม

อาจเป็นเพราะร่างกายใหญ่โตของอู่หยาและกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวของเธอ สิงโตเหล่านั้นจึงไม่กล้าพุ่งเข้าทำร้ายเธอตรงๆ แต่มี 3 ตัวพุ่งเข้าหาขี้เมาเป่าในขณะที่อีก 2 ตัวพุ่งเข้าหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ฝ่าย 2 ตัวที่เหลือเดินวนไปรอบๆเพื่อพยายามหาทางเข้าใกล้เซียวเอี๋ยนและเย่เป่าเปา เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายหลักในการโจมตีครั้งนี้คือขี้เมาเป่า

หลินเทียนอ้าวไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังของเพื่อนพ้องในกลุ่ม ดังนั้นสายตาของเขาจึงจับจ้องไปที่สิงโตตัวผู้ตลอดเวลาเพราะเขารู้ดีว่าอสูรสวรรค์ระดับเทวะตัวนี้อันตรายที่สุด และเขาก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะสามารถเอาชนะมันได้ด้วยตัวคนเดียว

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดคิดว่าในบรรดาสมาชิกทั้งหมด คนแรกที่ฉวยโอกาสลงมือก่อนคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์

เกือบจะในเวลาเดียวกันกับที่สิงโตทั้ง 7 กระโจนเข้าหาเป้าหมายที่ตนเลือก แสงสีเขียว 7 สายก็พุ่งออกมาจากร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทันที ไม่มีใครเห็นการเคลื่อนไหวของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทุกคนรู้สึกได้เพียงว่าธนูของเธอขยับน้อยๆ ก่อนที่แสงสีเขียวทั้ง 7 สายจะพุ่งสวนออกมาจากคันธนู

ลูกศรเหล่านั้นทะยานเข้าหาสิงโตทั้งหมดอย่างรวดเร็ว แต่เป้าหมายหลักของเธอคือสิงโตทั้ง 3 ที่พุ่งเข้าหาขี้เมาเป่า การโจมตีของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นได้ถูกกำหนดทิศทางเอาไว้แล้วอย่างมีแบบแผน ลูกศรแต่ละดอกจะพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงในเวลาที่ต่างกัน สิงโต 2 ตัวที่กำลังพุ่งเข้าใส่ขี้เมาเป่าถูกลูกศรโจมตีเข้าใส่ก่อน ลูกศรเหล่านั้นเต็มไปด้วยพลังปราณสวรรค์ธาตุลม พวกมันจึงเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและตรงเข้าหาดวงตาของสิงโตโลหิตเพลิงทั้งคู่ แม้ว่าอสูรสวรรค์เหล่านี้จะมีผิวหนังที่แข็งแกร่งมาก แต่ดวงตาก็ยังเป็นจุดอ่อนของพวกมันอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ สิงโตทั้ง 2 จึงต้องหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ แต่ลูกศรนั้นกลับเร็วเกินไปที่จะหลบ พวกมันจึงทำได้เพียงหลับตาเพื่อให้เปลือกตาของพวกมันช่วยปกป้องดวงตาที่แสนเปราะบางเอาไว้

เมื่อลูกศรพุ่งผ่านปราการเพลิงที่ล้อมรอบตัวสิงโตโลหิตเพลิงทั้ง 2 เอาไว้ ลูกศรเหล่านั้นก็เคลื่อนที่ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้น ในขณะที่ลูกศรปะทะเข้ากับเปลือกตาของพวกมันก็ยังทำให้สิงโตเหล่านี้ร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด การเคลื่อนไหวของพวกมันจึงช้าลงทันที จังหวะการก้าวเดินก็เสียศูนย์ไปเล็กน้อย และไม่ใช่แค่สิงโตทั้ง 2 ตัวนี้เท่านั้น บรรดาสิงโตตัวอื่นๆที่กระโจนเข้าใส่สมาชิกในกลุ่มจากทิศทางที่แตกต่างกันก็มีอาการคล้ายกันทั้งหมด ในขณะนั้นเอง ลูกศรดอกสุดท้ายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กำลังทะยานเข้าหาสิงโตตัวสุดท้ายที่กำลังพุ่งเข้าใส่ขี้เมาเป่า

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากแผนการที่วางเอาไว้ ขณะที่สิงโต 3 ตัวพุ่งเข้าใส่ขี้เมาเป่า หากสิงโต 2 ตัวถูกทำให้ชะงักด้วยลูกศรของเธอ ที่อยู่ของตัวสุดท้ายก็จะถูกเปิดเผยออกมาด้วย แต่เดิมขี้เมาเป่านั้นกดดันมากที่ถูกสิงโตทั้ง 3 ตัวรุมโจมตีพร้อมๆ กัน ทว่าเวลานี้กลับเหลือเพียงตัวเดียวแล้ว เห็นดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า รีบคว้าโอกาสดีไว้ทันที กระบองสีดำในมือของเขาเปล่งประกายแสงสีทองออกมาอย่างฉับพลัน เขาควงมันเป็นรูปครึ่งวงกลมและฟาดไปที่ศีรษะของสิงโตตัวสุดท้ายอย่างโหดเหี้ยม ก่อนหน้านั้นดูเหมือนว่ากระบองของเขาจะขยับวูบวาบไปมากลางอากาศ หมุนหลอกล่อไปซ้ายทีขวาที ทำให้สิงโตตัวนั้นไม่อาจตัดสินใจเลือกทิศโจมตีได้อย่างถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นคือแสงสีทองจากศาสตรามณียุทธ์ของเขาก็ยังทำให้เปลวไฟรอบๆ ตัวสิงโตสั่นไหวอย่างรุนแรงและค่อยๆ อ่อนกำลังลงด้วย

ในเวลาเดียวกันกับที่กระบองของขี้เมาเป่าพุ่งออกไป ลูกศรดอกสุดท้ายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มาถึงพอดี ครั้งนี้เป้าหมายของมันก็คือดวงตาเหมือนอย่างเคย แต่รอบนี้มันพุ่งเข้าใส่เปลือกตาอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงดังบาดหู ไม่น่าเชื่อว่าจู่ๆ ลูกศรดอกนั้นก็สามารถแทงทะลุเปลือกตาของสิงโตตัวนี้ไปได้อย่างโหดเหี้ยม

จากบรรดาลูกศรทั้งหมด 7 ดอก นี่เป็นลูกศรที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใส่พลังปราณลงไปมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังใช้ทักษะที่กักเก็บเอาไว้ในมณีธาตุของเธออย่างศรไร้เสียงด้วย ความสามารถทะลุทะลวงของมันไม่เพียงแต่ทรงพลังกว่า แต่ยังสามารถต้านทานปราการไฟที่ปกป้องร่างของสิงโตพวกนั้นได้ดีกว่าลูกศรดอกอื่นๆ ด้วย

สิงโตโลหิตเพลิงตัวสุดท้ายมุ่งความสนใจไปที่การโจมตีของขี้เมาเป่า มันจึงไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างมากนัก ทว่าจู่ๆมันก็รู้สึกตกใจเมื่อเปลือกตาของมันถูกลูกศรแทงทะลุ แม้ว่าลูกศรจะไม่ได้แทงลึกมากนักและอาการบาดเจ็บก็ได้ไม่ร้ายแรง เห็นได้ชัดว่าอย่างน้อยมันก็จะยังไม่ตาบอดถาวร แต่นั่นก็ยังเป็นถึงดวงตาอันบอบบางของมัน! สำหรับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ ดวงตาถือว่าเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดจุดหนึ่ง เมื่อถูกยิงด้วยลูกศร ทุกคนย่อมสามารถจินตนาการได้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน

โจวเหว่ยชิงรู้สึกโล่งใจมากที่อู่หยาไม่ใช่คนที่เดิมพันกับเขาก่อนหน้านี้ เขารู้ว่าหากไม่ใช้พลังขาขวาปีศาจแล้ว ความแข็งแกร่งของเขายังไม่สามารถเทียบกับเธอได้

อาการสั่นเทาของแมวอ้วนแย่ลงเรื่อยๆ โจวเหว่ยชิงเพิ่งจะนั่งลง จู่ๆ เจ้าแมวอ้วนก็เงยหน้าขึ้น ไอหมอกสีขาวพุ่งทะลักออกมาจากปากของมันทันที

กลิ่นหอมหวานนั้นดูเหมือนจะโชยออกมาห่อหุ้มบริเวณรอบๆ หนักกว่าเดิมถึง 10 เท่า โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกราวกับว่ากลิ่นนั้นกำลังรุกล้ำเข้าสู่ทุกรูขุมขนของเขา ทำให้ร่างกายของเขาค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ

แมวอ้วนกระโดดขึ้นเหยียบไปบนร่างของโจวเหว่ยชิง เส้นขนของมันกำลังสว่างไสวไปด้วยแสงสีขาวเจิดจ้า ม่านแสงนั้นหนาแน่นจนเกือบจะกลายเป็นเกราะแสงห่อหุ้มอยู่รอบตัวของมัน แมวอ้วนครางออกมาเสียงต่ำๆ ฉับพลันนั้นลำแสงสีขาวก็พุ่งออกจากร่างของมันมุ่งหน้าตรงไปยังทางเข้าถ้ำ ก่อตัวเป็นกำแพงหนาทึบปิดทางเข้าเอาไว้โดยสมบูรณ์

“โฮกกกกก” เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง แมวอ้วนหันกลับมามองโจวเหว่ยชิง ดวงตาของมันกลายเป็นสีม่วงเข้ม ในเวลาต่อมาร่างกายของมันขยายออกอย่างรวดเร็ว ไม่ช้ามันก็กลายเป็นเสือขาวขนาดใหญ่ที่มีความยาวถึง 5 เมตร

ตอนนี้โจวเหว่ยชิงกำลังรู้สึกเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เจ้าแมวอ้วนได้ปลดปล่อยไอหมอกสีขาวออกมาจากปากของมันและไอพวกนั้นก็ได้รุกล้ำเข้ามาในร่างกายของเขา จนตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่าร่างกายกำลังร้อนขึ้นมาจากภายใน ไอความร้อนจากตัวของเขาทำให้เสื้อผ้ากำลังหลอมละลาย สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือไม่เพียงแต่มณีสวรรค์ของเขาจะปรากฏขึ้นมาเองโดยไม่ต้องปลดปล่อยพวกมันออกมา แม้แต่ลายเสือที่มักจะปรากฏเฉพาะช่วงที่เขาเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างก็ยังปรากฏขึ้นบนผิวหนังของเขาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น วงล้อทักษะธาตุที่อยู่ในดวงตาของเขาก็กำลังหมุนคว้างอย่างควบคุมไม่ได้

เดิมทีความร้อนที่ปะทุขึ้นจากภายในร่างกายทำให้เขารู้สึกอบอุ่นสบายตัว ทว่าไม่นานมันก็กลายเป็นความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนและเขารู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในกำลังถูกเผาไหม้ ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีเลือด กล้ามเนื้อพลันก็ขยายใหญ่ขึ้นจนปูดโปน กระดูกเบียดกันจนส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด จากนั้นคำว่า ‘ราชา’ ก็ปรากฏบนหน้าผากของเขาอีกครั้ง เขาเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างอย่างไม่ตั้งใจ! เจ้าแมวอ้วนคือผู้ที่สามารถทำให้เขาเข้าสู่สภาวะเช่นนี้ด้วยไอหมอกสีขาวของมัน!

เจ้าแมวอ้วนจับจ้องไปที่โจวเหว่ยชิง แม้ว่าร่างกายของมันจะยังคงสั่นเทาไม่หยุด แต่ดวงตาของมันก็ยังคงนิ่งสงบและเยือกเย็น ขณะที่มันกำลังขยายขนาดขึ้น เพียงหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง มันก็สามารถทำให้ตัวเองขยายใหญ่ขึ้นไปได้อีก ในเวลาต่อมา เจ้าแมวอ้วนก็พ่นไอหมอกออกมาอีกครั้ง คราวนี้ไอหมอกนั้นมีแสงสีขาวและสีทองผสมกันอยู่ ไอเหล่านั้นรีบตรงเข้าไปห่อหุ้มร่างกายของโจวเหว่ยชิงเอาไว้ทันที

เดิมทีสถานะปีศาจกลายร่างจะทำให้ร่างกายของโจวเหว่ยชิงอยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นประสาทสัมผัสของเขาจึงถูกปลุกเร้าให้อยู่ในระดับสูงสุดเช่นกัน น่าเสียดายที่ในขณะนี้เขาพบว่าตนเองไม่สามารถขยับร่างกายได้แม้แต่ส่วนเดียว พลังปราณสวรรค์ในร่างกายของโจวเหว่ยชิงกำลังไหลวนไปมาอย่างปั่นป่วน จุดตายทั้ง 12 และหลุมดำพลังปราณกำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่งเพื่อกลืนกินไอหมอกที่เจ้าแมวอ้วนปลดปล่อยออกมา เมื่อไอหมอกสายนั้นซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของโจวเหว่ยชิง ความรู้สึกแสบร้อนก็ยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจนทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังจะหลอม ละลาย

นับตั้งแต่พลังปราณสวรรค์ของเขาเริ่มทะลวงเข้าสู่ขั้นทะลวงพิภพ พลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงก็ถูกบีบอัดให้อยู่ในรูปของเหลว เมื่อเทียบกับความกว้างของเส้นชีพจรแล้ว พลังปราณสวรรค์ในรูปของเหลวนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงกระแสน้ำสายเล็กๆ ที่ไหลผ่านท่อกว้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เขายังไม่ได้เข้าสู่ขั้นทะลวงพิภพอย่างเต็มที่ด้วยซ้ำ เรียกได้ว่ากำลังอยู่ในระดับที่ 12 และยังไปไม่ถึงระดับที่ 13 ซึ่งเป็นระดับแรกของขั้นทะลวงพิภพ

อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าพลังปราณสวรรค์รูปของเหลวสีขาวในร่างกายของเขากำลังระเหยกลายเป็นควันสีขาว ทว่ารูปลักษณ์ของพลังปราณในตอนนี้กลับดูแตกต่างจากสีขาวดั้งเดิมเนื่องจากมันได้ผสานเข้ากับไอหมอกของเจ้าแมวอ้วนจนกลายเป็นควันสีทองเข้ม ควันสีทองนี้พยายามจะแทรกผ่านร่างกายของเขาออกมา ราวกับหาทางทำให้ร่างกายของเขาระเบิดออกให้ได้

เมื่อควันเหล่านั้นชำแรกผ่านพลังปราณสวรรค์ในร่างของโจวเหว่ยชิงไป พลังปราณของเขาก็จะถูกย้อมจนกลายเป็นสีทองไปด้วย

ในขณะนั้น แสงวาววับในดวงตาของเจ้าแมวอ้วนก็ทวีความรุนแรงขึ้น แสงสีม่วงเข้ม 2 สายพลันพุ่งเข้าหาดวงตาของโจวเหว่ยชิงทันที สายตาของเขาจึงล่องลอยอยู่ท่ามกลางแสงสีม่วงเหล่านั้น รู้สึกราวกับว่าตนถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่ ทั้งร่างสั่นสะท้าน สมองพลันรู้สึกว่างเปล่า

เจ้าแมวอ้วนร่างยักษ์ยังคงมีอาการสั่นเทาขณะที่มันค่อยๆก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าไม่มั่นคง ไม่นานเหตุการณ์แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หมอกสีขาวทองค่อยๆ ตรงเข้ามาห่อหุ้มร่างกายของมันเอาไว้ แมวอ้วนเริ่มกระบวนการเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้ง แขนขาของมันเริ่มยาวขึ้นและร่างกายก็ค่อยๆ หดเล็กลง ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มันก้าวเดิน ท่ามกลางแสงสลัวของไอหมอก มันก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์จากเสือขาวตัวใหญ่กลายเป็นมนุษย์คนหนึ่ง…นั่นคือบุคคลที่โจวเหว่ยชิงเคยพบมาก่อน…ผู้ที่เคยช่วยจักรพรรดิสีเงิน…และช่วยโจวเหว่ยชิง…เธอก็คือเทียนเอ๋อร์!

ตอนนี้ร่างกายของเทียนเอ๋อร์กำลังเปลือยเปล่า ศีรษะปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีขาวที่ยาวคลอเคลียลงไปตั้งแต่แผ่นหลังจรดบั้นท้าย ช่วยปกปิดร่างกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายเอาไว้ได้พอดี ดวงตาของเธอเรืองรองไปด้วยแสงสีม่วงเข้ม ร่างกายยังคงสั่นเทาเหมือนเคย ผิวขาวบริสุทธิ์ดุจน้ำนมด่างพร้อยไปด้วยลายเสือ แม้ว่าจะมันจะเป็นสีฟ้าซึ่งแตกต่างจากลายเสือสีดำของโจวเหว่ยชิงก็ตาม ลวดลายบนลำตัวของพวกเขาทั้ง 2 ดูเหมือนจะดึงดูดซึ่งกันและกัน และเมื่อเทียนเอ๋อร์กลายร่างเป็นมนุษย์ ลวดลายเหล่านั้นก็ยิ่งดูชัดเจนขึ้นในความมืด

เธอโบกมือขึ้นทีหนึ่ง ร่างที่หมดสติของโจวเหว่ยชิงพลันลอยขึ้นมาในอากาศและตรงเข้าสู้อ้อมอกของเธอทันที

เวลานี้ดวงตาของเทียนเอ๋อร์เต็มไปด้วยรังสีสังหารอย่างรุนแรง เล็บของเธอดูเหมือนจะงอกออกมาจนกลายเป็นกรงเล็บเสือที่ทรงพลัง ทั้ง 5 นิ้วเปล่งประกายไปด้วยแสงเยียบเย็นขณะที่มันตะปบเข้าที่ไหล่ของโจวเหว่ยชิง

ทันใดนั้นเทียนเอ๋อร์ก็ยกมือขวาโฉบขึ้นเหนือศีรษะของโจวเหว่ยชิง ด้วยแรงผันผวนของพลังปราณสวรรค์ หากกรงเล็บของเธอตวัดลงไปเมื่อไหร่ มันจะก็สามารถทะลุเข้าไปในศีรษะของโจวเหว่ยชิงได้ทันที

ทว่าในเวลาเดียวกันแววตาของเธอก็ฉาวแววลังเล ราวกับว่าตนเองกำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญไป ในห้วงความคิดของเทียนเอ๋อร์ ภาพความทรงจำในเวลา 2 ปีที่ผ่านมากำลังฉายชัดอยู่ภายในนั้น นั่นคือช่วงเวลาที่พวกเขาเคยใช้ร่วมกันมาอย่างยาวนาน

เธอยกกรงเล็บขึ้นอีกครั้ง กัดริมฝีปากแน่นในขณะที่พยายามจะข่มใจตวัดมันลงไปอีกครั้ง แต่ในขณะที่กรงเล็บอยู่ห่างจากศีรษะของโจวเหว่ยชิงเพียงไม่กี่นิ้ว มือของเธอก็หยุดชะงักลงอีกครั้ง …

“ทำไม? ทำไมข้าถึงฆ่าเขาไม่ได้?” น้ำเสียงสั่นๆของเทียนเอ๋อร์ดังลอดออกมา “ข้าควรจะฆ่าเขา นั่นเป็นแผนของข้ามาโดยตลอด…หลังฆ่าเขา ข้าก็จะได้ประโยชน์มหาศาล แต่…แต่…ทำไมข้าถึงทำไม่ได้ล่ะ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือ ว่า…จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า…ไม่! เป็นไปไม่ได้…ข้าจะชอบเจ้าคนไร้ยางอายและน่ารังเกียจที่ชอบกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าจะต้องฆ่าเขาทิ้งซะ!”

น้ำเสียงของเทียนเอ๋อร์นั้นฟังดูแน่วแน่มาก แต่กรงเล็บที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของโจวเหว่ยชิงกลับยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิมและไม่อาจตัดใจตวัดมือลงไปได้

ทันใดนั้นเธอก็ก้าวไปข้างหน้าอีกครึ่งก้าว กางแขนและสวมกอดโจวเหว่ยชิงเอาไว้แน่น ขณะนี้ทั้งคู่กำลังเปลือยเปล่าและร่างกายของพวกเขาก็กำลังบดเบียดเข้าหากัน หากโจวเหว่ยชิงยังมีสติอยู่ เลือดกำเดาก็คงจะพุ่งกระฉูดออกมาจากจมูกของเขาเป็นแน่

หลังจากสวมกอดโจวเหว่ยชิงแล้วเธอก็กัดเข้าที่ไหล่ของเขาอย่างรุนแรง

ในขณะที่ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกัน ลายเสือบนร่างกายของพวกเขาก็ดูเหมือนจะดึงดูดซึ่งกันและกัน ลายเสือสีดำและสีฟ้ากำลังยืดขยายเข้าหากันคล้ายระรอกคลื่นที่กำลังขยับด้วยท่าทางแปลกแปลกประหลาด

เทียนเอ๋อร์ตกตะลึงขึ้นมาทันที เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น สิ่งที่แปลกที่สุดคือแม้เธอจะกัดลงไปบนไหล่ของเขา แต่มันก็ไม่ได้ระคายเคืองผิวของเขาแม้แต่น้อย กระทั่งรอยฟันก็ยังไม่ปรากฏให้เห็นด้วยซ้ำ

ความร้อนที่ลุกโชนภายในร่างของโจวเหว่ยชิงดูเหมือนจะกำลังถูกถ่ายเทไปยังร่างของเทียนเอ๋อร์ ลายเสือสีดำและสีฟ้าคล้ายจะพุ่งเข้าคลอเคลียกันท่ามกลางระรอกคลื่นที่แสนบ้าคลั่ง

ใบหน้าของเทียนเอ๋อร์ซึ่งเดิมฉายแววเจ็บปวดค่อยผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อลายเสือบนตัวของทั้งคู่ได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน แสงสีดำและสีฟ้าจากร่างกายของพวกเขาเคลื่อนไหวอย่างน่าแปลกประหลาด ราวกับเส้นแสงเหล่านั้นกำลังเต้นระบำด้วยกันรอบๆ ร่างของคนทั้งคู่

เมื่อเวลาผ่านไป แสงสีดำและสีฟ้าก็เข้มข้นและหมุนวนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มองไม่เห็นร่างของคนทั้งคู่

บริเวณด้านบนของรังไหมนี้ จู่ๆ ดวงแสงที่มีสีแตกต่างกัน 4 สีก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ดวงแสงด้านบนศีรษะของเทียนเอ๋อร์เป็นสีทองและสีม่วง ในขณะที่ดวงแสงที่หมุนวนอยู่เหนือร่างของโจวเหว่ยชิงเป็นสีเทาและไม่มีสีตามลำดับ แสงทั้ง 4 ดวงต่างสาดแสงลงมา ก่อให้เกิดกำแพงแสงลักษณะแปลกประหลาดรอบๆ ร่างของพวกเขาทั้งคู่ สิ่งนี้ทำให้รังไหมแสงดูน่าอัศจรรย์มาก

แน่นอนว่าภาพแปลกๆ ภายในถ้ำนั้นไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ฟังดูเงียบสงบเท่าไหร่เช่นกัน

ก่อนหน้านี้เมื่อทางเข้าถ้ำถูกปิดกั้นด้วยแสงสีขาว ทุกคนต่างก็รู้สึกตกตะลึงอย่างควบคุมไม่อยู่ ทว่าพวกเขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่านั่นต้องเป็นความสามารถในการป้องกันตนเองของเจ้าแมวอ้วนแน่นอน อีกทั้งจากไอพลังที่แผ่ออกมาจากกำแพงที่เจ้าแมวอ้วนสร้างขึ้น หลินเทียนอ้าวและคนอื่นๆ ก็สามารถสัมผัสได้ว่าเจ้าแมวอ้วนนั้นมีความพิเศษเพียงใด

“ทุกคนระวังตัวด้วย แม่นางปิงเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่นี่กับข้า ส่วนสี่น้อยออกลาดตระเวนแถวๆ นี้ ขี้เมาเป่า อู่หยา เจ้าทั้ง 2 คนเฝ้าที่ด้านข้าง เซียวเอี๋ยน เจ้ากับเย่เป่าเปามีทักษะธาตุไฟและธาตุน้ำ พวกเจ้ามีหน้าที่ช่วยโจมตีจากระยะไกล”

หลินเทียนอ้าวสามารถมอบหมายหน้าที่ให้ทุกคนด้วยประโยคที่เรียบง่าย ในฐานะผู้นำ ความสุขุมเยือกเย็นและความหนักแน่นของเขาจะทำให้เพื่อนร่วมกลุ่มมั่นใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในฐานะคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา หลินเทียนอ้าวต้องเป็นตัวประสานที่ยึดพวกเขาไว้ด้วยกัน หน้าที่ของเขาคือรีบลงมือแบ่งงานทันทีเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

เมื่อทุกคนเข้าได้รับมอบหมายหน้าที่ของตนเองแล้ว สี่น้อยก็ทะยานขึ้นไปในอากาศอย่างว่องไวและหายไปกลางพงไม้อย่างเงียบเชียบ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ หลินเทียนอ้าว เธอรีบหยิบของขวัญที่หัวเฟิงมอบให้เธอออกมาจากแหวนมิติ แน่ นอนว่านั่นคือธนูวิญญาณมรกต ธนูยาวสีเขียวคันนี้มีขนาดเล็กและเห็นได้ชัดว่าไม่เทอะทะเหมือนธนูอุษาดำของโจวเหว่ย ชิง เพียงแค่กวาดตาดูก็รู้สึกว่ามันต้องน้ำหนักเบาและเร็วมากแน่

เมื่อมองไปที่คันธนูในมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หลินเทียนอ้าวก็รีบถามขึ้นมา “แม่นางปิงเอ๋อร์ เจ้าก็เป็นนักธนูด้วยหรือ?”

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังรู้สึกประหม่าเพราะถูกอู่หยาจ้องมองอย่างสำรวจ ฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างกระตุกและดิ้นไปมาในอกเสื้อของตน เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียงขู่ต่ำๆ ก็ดังขึ้น และเสือขาวตัวน้อยหรือเจ้าแมวอ้วนก็พุ่งกระโจนออกมาจากอ้อมแขนของเขา

มันมักจะถูกโจวเหว่ยชิงหิ้วตัวพาไปไหนมาไหนด้วยทุกๆ วัน โดยธรรมชาติแล้วทุกคนจึงเคยเห็นเจ้าแมวอ้วนมาก่อน ในสายตาของพวกเขา ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ของมันจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่มันก็ดูเด็กมากและดูเหมือนจะเป็นเพียงสัตว์อสูรตัวน้อยธรรมดาๆ ดังนั้นทุกคนจึงไม่มีใครให้ความสนใจมันมากนัก

ทันทีที่แมวอ้วนกระโจนออกมาจากอกเสื้อของเขา โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติไป นั่นเป็นเพราะเมื่อมันกระโจนออกมาข้างนอก ร่างของมันก็ร่วงแหมะลงบนแผงคอม้า เส้นขนพลันตั้งชัน ลำตัวสั่นเทาอย่างรุนแรงราวกับว่ากำลังได้รับความเจ็บปวดทรมาณ เส้นขนสีน้ำเงินเข้มดูเหมือนจะบิดเบี้ยวและเปลี่ยนรูปร่างไปมาอย่างแปลกประหลาด ราวกับว่าพวกมันเป็นปรสิตเรืองแสงที่มีชีวิตและน่าขนลุก

เมื่อเห็นลวดลายที่เกิดขึ้นบนร่างของเสือขาวตัวน้อย โจวเหว่ยชิงก็นึกย้อนไปถึงลายเสือดำที่เกิดบนผิวหนังของเขาเมื่อเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง แต่ถึงกระนั้นกลิ่นอายรอบตัวของเจ้าแมวอ้วนก็แตกต่างจากเขามาก โจวเหว่ยชิงไม่รู้สึกถึงไอความชั่วร้ายหรือทักษะธาตุปีศาจเลย ในทางตรงกันข้าม ร่างของแมวอ้วนกลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ขณะเดียวกันโจวเหว่ยชิงก็ยังได้ยินเสียงกระดูกกำลังเสียดสีกันจนแตกละเอียด

*กรรรรร* เสียงคำรามดังออกมาจากลำคอของแมวอ้วนเบาๆ

ม้าเร็วทั้ง 8 ตัวที่แบกคนในกลุ่มพลันทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องของเสือขาวตัวน้อย ทุกตัวนอนนิ่งบนพื้นโดยไม่ส่งเสียงออกมาสักแอะ ปากของพวกมันเต็มไปด้วยฟองน้ำลายผสมกับคาวเลือด

โชคดีที่พวกเขาทั้งหมดเป็นจ้าวมณีสวรรค์ แม้ว่าพวกเขาจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาก็ยังสามารถกระโดดหนีจากม้าได้ทันเวลา ไม่นานทุกคนก็จ้องมองกันและกันด้วยสีหน้าสับสน

โจวเหว่ยชิงรีบช้อนตัวเจ้าแมวอ้วนเข้ามาในอ้อมแขนของเขาอีกครั้งด้วยสีหน้าวิตกกังวล แม้ว่าปกติแล้วเขาจะชอบกลั่นแกล้งมัน แต่พวกเขาก็อยู่ด้วยกันมานานกว่า 2 ปีแล้ว อาจกล่าวได้อยู่ด้วยกันมานานจนไม่อาจแยกจากกันได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังช่วยชีวิตเขามาหลายครั้งและโจวเหว่ยชิงก็ปฏิบัติกับมันเหมือนคนในครอบครัว เมื่อเกิดเหตุการณ์กะทันหันเช่นนี้ เขาจะไม่รู้สึกว้าวุ่นใจได้อย่างไร?

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกอดเสือขาวตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมอก เขาก็รับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าดวงตาของเจ้าแมวอ้วนกำลังปิดแน่นขณะที่ร่างกายกำลังสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้ปลดปล่อยพลังใดๆ ออกมา แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงขุมพลังยิ่งใหญ่ที่กำลังหมุนวนอยู่ใต้ผิวหนังของมัน

“แมวอ้วน แมวอ้วน เกิดอะไรขึ้น? เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? อย่าทำให้ข้าตกใจสิ!” โจวเหว่ยชิงร้องอย่างตื่นตระหนก

เสียงเคร่งขรึมของหลินเทียนอ้าวดังแทรกขึ้นมา “ดูเหมือนว่ามันกำลังจะทะลวงผ่านไปอีกระดับขั้นและวิวัฒน์พลังขึ้น เหว่ยชิงดูเหมือนว่าอสูรสวรรค์ตัวนี้จะมีระดับสูงมากทีเดียว การที่เสียงร้องมันสามารถทำให้ม้าที่แข็งแรง 8 ตัวนี้ตายได้ เมื่อโตขึ้นมันจะต้องมีพลังมหาศาลแน่นอน”

โจวเหว่ยชิงมองเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก “แล้วตอนนี้ข้าจะทำยังไงดี?”

หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เมื่อถึงเวลาที่อสูรสวรรค์จะวิวัฒน์ขึ้นอีกระดับ พวกมันจะต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น มนุษย์อย่างพวกเราย่อมไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ แต่ถึงอย่างไรเวลานี้ก็เป็นช่วงที่พวกมันอ่อนแอที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกมันยังจะปลดปล่อยกลิ่นอายที่แปลกประหลาดออกมาด้วย กลิ่นนั้นจะสามารถล่อลวงอสูรสวรรค์ตัวอื่นมากลืนกินพวกมันได้ ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือการปกป้องมันเอาไว้ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่มันไม่มีครอบครัวคอยปกป้องเหมือนอย่างเคย โชคดีที่แม้ว่าถนนเส้นนี้จะล้อมรอบไปด้วยป่าเขา แต่ข้าก็ไม่คิดว่าจะมีอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังอยู่ใกล้กับถนนสายหลัก ไปกันเถอะ พวกเราเข้าป่าไปค้นหาสถานที่ปลอดภัยไว้หลบซ่อนตัวกันก่อน เพื่อนตัวจ้อยนี้ไม่น่าจะใช้เวลาวิวัฒน์พลังนานขนาดนั้น ทั้งหมดอาจจะกินเวลาไปประมาณ 3 วัน”

โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ต้องขอโทษทุกคนด้วย ข้าทำให้การเดินทางต้องล่าช้า”

ขี้เมาเป่าหัวเราะและกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา พวกเรายังมีเวลาอีกมาก นอกจากนี้ หากเสือขาวตัวน้อยของเจ้าสามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นได้ มันก็อาจจะมีประโยชน์ในการแข่งขันของพวกเรา!”

โจวเหว่ยชิงชะงักก่อนจะถามด้วยความประหลาดใจ “พวกเราสามารถใช้อสูรสวรรค์ในงานประลองมณีสวรรค์ได้ด้วยหรือ?”

ขี้เมาเป่ากล่าวว่า “เจ้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอาชีพปรมาจารย์อสูรในอาณาจักรวั่นโซ่วมาก่อนเลยหรือ? พลังของพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่พวกเขาสามารถทำให้อสูรสวรรค์เชื่องและนำไปต่อสู้แทนตนเองได้ ดังนั้นการประลองมณีสวรรค์จึงอนุญาตให้อสูรสวรรค์เข้าร่วมการต่อสู้ได้ แต่บุคคลนั้นก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บใดๆ ทั้งยังสามารถนำอสูรสวรรค์มาใช้ได้เพียงตัวเดียว แต่ถึงกระนั้น กลุ่มจากอาณาจักรวั่นโซ่วก็ยังสามารถเข้าสู่ 4 อันดับแรกได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาณาจักรวั่นโซ่วแข็งแกร่งมาก”

เนื่องจากอาการสั่นเทาของเจ้าแมวอ้วนกำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ ตอนนี้โจวเหว่ยชิงจึงไม่อาจเพ่งความสนใจไปที่ปรมาจารย์อสูรได้ ม้าของพวกเขาตายไปหมดแล้ว ทุกคนจึงไม่มีอะไรให้ขี่อีก หลังจากตกลงกันได้แล้ว ทั้งหมดจึงมุ่งหน้าเข้าไปในป่าข้างถนนหลัก ภายใต้การนำของหลินเทียนอ้าว พวกเขาจึงพบจุดพักแรมเหมาะๆ บริเวณริมหน้าผาเล็กๆ ในป่า

“อู่หยา สร้างถ้ำให้เหว่ยชิงใช้ปกป้องเพื่อนตัวน้อยตรงนั้น เรื่องจะง่ายขึ้นหากพวกเราช่วยเฝ้ายามหน้าถ้ำซึ่งเป็นทางเข้าออกเดียว” หลินเทียนอ้าวเอ่ยปากบอกอู่หยา

ในฐานะผู้นำ ไม่เพียงแต่เขาจะมีพลังมากที่สุด แต่เขายังได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกทุกคนในกลุ่มด้วย หลังจากอยู่ด้วยกันมาเพียงไม่กี่วัน แม้แต่คนที่เย่อหยิ่งอย่างเย่เป่าเปาก็ยังประทับใจนิสัยหนักแน่นมั่นคงของหลินเทียนอ้าว ในความเป็นจริง เย่เป่าเปาเคยกระซิบกับโจวเหว่ยชิงอย่างลับๆ ว่าคนอย่างหลินเทียนอ้าวนั้นเก่งกาจในทุกๆ เรื่องที่เขาคิดจะลงมือทำ หากเขาเลือกเดินในเส้นทางแม่ทัพ เขาก็อาจจะกลายเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง น่าเสียดายที่นั่นไม่ใช่เส้นทางที่เขาเลือก ในขณะที่เย่เป่าเปากล่าวชมหลินเทียนอ้าว โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มแย้มออกมาราวกับคนโง่

อู่หยาพยักหน้าทำสัญญาณให้คนที่เหลือก้าวถอยหลัง เธอสะบัดมือออกไป แสงสีดำ 2 สายพลันสว่างวาบขึ้นมาทันที จากนั้นขวานหน้ากว้างขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอทั้ง 2 ข้าง

เมื่อมองไปที่ขวานคู่ในมือของอู่หยา ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็แทบจะถลนออกมานอกเบ้าด้วยความตกใจ ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของคำว่าขวานหน้า “กว้าง” ดูสิ พวกมันมีขนาดใหญ่เกือบเท่ากรอบประตูด้วยซ้ำ!

ขวานหน้ากว้างทั้ง 2 ชิ้นเป็นสีดำสนิท พวกมันกำลังปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกออกมา แต่ละชิ้นมีความยาวเกือบ 6 ฉื่อ หัวขวานมีขนาดใหญ่กว่าค้อนคู่ในตำนานของโจวเหว่ยชิงเสียอีก ส่วนด้ามจับเป็นเหล็กแหลม มีความหนาเกือบเท่าแขนของมนุษย์ แน่นอนว่ามีเพียงมือขนาดใหญ่ของอู่หยาเท่านั้นที่สามารถถือพวกมันได้อย่างสบายๆ ตัวขวานมีลวดลายแปลกประหลาดที่มีแสงเรืองรองออกมาเป็นสีดำเหลือบทอง เมื่อขวานปรากฏขึ้นในมือของเธอ วินาทีนั้นก็ดูเหมือนว่าท้องฟ้าจะมีเมฆดำลอยเข้าปกคลุมทันที เมื่อรวมกับรูปร่างใหญ่โตมโหฬารของเธอ นั่นก็ทำให้อู่หยามีรูปลักษณ์ที่ดูโหดเหี้ยมและน่ากลัวเป็นอย่างมาก

“นี่…นี่เป็นศาสตรามณียุทธ์?” เย่เป่าเปาเกือบจะพูดติดอ่างในขณะที่เขาละล่ำละลักถามออกมา

อู่หยายิ้มและพูดว่า “เปล่า นี่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษของข้า มันถูกเรียกว่าขวานเทพอีกาทอง ชิ้นที่อยู่ทางซ้ายหนัก 612 จิน ส่วนชิ้นที่อยู่ทางขวาหนัก 781 จิน รวมทั้งหมด 1,393 จิน อาวุธเหล่านี้เป็นอาวุธในตำนานของเผ่าเราและมีเพียงสมาชิกเผ่าอีกาทองเท่านั้นที่สามารถใช้ได้”

เย่เป่าเปา โจวเหว่ยชิงและโจวเหว่ยชิงแลกเปลี่ยนสายตากันทันที ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดอู่หยาจึงสามารถเข้าเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มนี้ได้แม้จะมีมณีเพียง 3 ชุด นั่นเป็นเพราะถึงแม้ขวานคู่เหล่านี้จะไม่ใช่ศาสตรามณียุทธ์ แต่ประสิทธิภาพก็น่าจะดีพอๆ กัน หรืออาจดีกว่าด้วยซ้ำ! พวกมันมีน้ำหนักรวมกันมากกว่า 1,000 จิน ของพวกนี้ช่างน่ากลัวเกินไปจริงๆ!

อู่หยาอ้าปากตะโกนเค้นพลัง หยกน้ำแข็ง 3 ดวงรอบข้อมือขวาของเธอพลันเปล่งแสงขึ้นมาทันที ขวานศึกขนาดใหญ่ทั้ง 2 ชิ้นในมือของเธอกลายเป็นกิ่งไม้เล็กๆไปในพริบตาเมื่อถูกควงไปรอบๆ เหมือนพายุหมุน ขณะนี้ทั้งร่างของเธอปกคลุมไปด้วยแสงสีดำเหลือบทอง หลังจากเสียงของแข็งกระทบกันครั้งใหญ่ อู่หยาก็ฟาดขวานนั้นลงไปบนเขาลูกนั้นทันที

ขณะที่ขวานของเธอปะทะเข้ากับภูเขาลูกนั้น คนทั้งกลุ่มก็รู้สึกได้ทันทีว่าพื้นดินกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไม่นานเสียงระเบิดครั้งใหญ่ก็ดังขึ้นและอู่หยาก็เริ่มขุดลึกเข้าไปในเขาลูกนั้นเหมือนรถขุดดิน

โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าท้องไส้ของตนกำลังปั่นป่วน เขาคิดมาตลอดว่าในบรรดาจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 3 ชุดย่อมไม่มีใครสามารถล้มเขาได้ แต่เมื่อมองเห็นความสามารถของอู่หยา เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองมั่นใจมากเกินไป ถ้าเขาต้องเผชิญหน้ากับอู่หยาในการต่อสู้จริง เขาก็ไม่คิดว่าตนจะได้รับชัยชนะ บางทีหากจะเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ก็คงจะต้องเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างเท่านั้น

“ทักษะของนางเป็นขั้วตรงข้ามของข้า” เสียงของหลินเทียนอ้าวดังขึ้นเบาๆ ในหูของโจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงหันหน้ากลับไปด้วยความประหลาดใจ เขาจ้องมองหลินเทียนอ้าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้นมาว่า “ไม่มีใครจะเข้าใจพลังที่แท้จริงของอู่หยาหากไม่ได้เผชิญหน้ากับนางโดยตรง พลังน่ากลัวของขวานในตำนานพวกนั้น…เหตุผลที่อู่หยาเคารพข้า จริงๆ แล้วเป็นเพราะข้าคือคนเดียวที่สามารถป้องกันการโจมตีของนางได้ ผู้หญิงคนนั้นมีความกล้าหาญอย่างยิ่ง ในการสอบคัดเลือกเพื่อเฟ้นหาสมาชิกในกลุ่มหลัก ไม่มีนักเรียนคนใดเต็มใจที่จะต่อสู้กับนางนอกจากตัวข้าเอง แน่นอนว่านางเป็นคนแรกที่ถูกเลือก! ในแง่ของพลังโดยรวมของอู่หยา ข้าไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าขีดจำกัดของนางอยู่ที่จุดไหน เผ่าอีกาทองล้วนเป็นนักรบโดยกำเนิดและอู่หยาก็เป็นที่รู้จักในฐานะผู้มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในรอบ 1,000 ปี จากสิ่งนั้น เจ้าก็ลองจินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ของนางดู”

โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่และพึมพำกับตัวเอง “หากต้องเข้าสู่สนามรบจริง อู่หยาจะกลายเป็นเครื่องบดเนื้อแน่นอน”

ในที่สุดเสียงที่ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินก็หายไป เพียงพริบตาเดียวอู่หยาก็มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาอีกครั้ง จริงๆแล้วเธอเพิ่งขุดทางเข้าถ้ำที่มีขนาดกว้าง 3 เมตรสูง 2.5 เมตรลึกเข้าไปในภูเขา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเธอไม่มีสิ่งสกปรกติดอยู่ตามร่างกาย แม้แต่เหงื่อสักหยดก็ไม่มีด้วยซ้ำ ทั้งยังดูนิ่งเฉยเหมือนปกติ เห็นได้ชัดว่าไม่มีสัญญาณใดที่บ่งบอกว่าเธอพึ่งออกแรงขุดภูเขาไปลูกหนึ่ง!

“พี่ใหญ่ ข้าประทับใจมากจริงๆ!” โจวเหว่ยชิงยกนิ้วโป้งให้อู่หยาก่อนจะกอดเจ้าแมวอ้วนแนบอกแล้วพุ่งเข้าไปในถ้ำทันที

พละกำลังของอู่หยาน่าทึ่งมากจริงๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ เธอกลับสามารถขุดถ้ำได้ลึกถึง 10 เมตร!

เนื่องจากไพฑูรย์ตาแมวสองสีนั้นหายากมาก ดังนั้นจึงมีเพียงหลินเทียนอ้าวและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เท่านั้นที่รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แน่นอนว่าไม่มีคนอื่นสงสัยเกี่ยวกับมณียุทธ์ของโจวเหว่ยชิงเลย พวกเขาทั้งหมดคิดว่าทักษะธาตุสายฟ้าและทักษะธาตุมืดนั้นเป็นความสามารถของธนูศาสตรามณียุทธ์ของเขา

มีเพียงอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะเท่านั้นที่สามารถสร้างศาสตรามณียุทธ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษเช่นนี้ขึ้นมาได้ นั่นจะต้องเป็นผลมาจากการเสียสละหลุมบรรจุมณีเพื่อใส่ทักษะต่างๆ ลงไปในตัวศาสตรามณียุทธ์อย่างถาวรแทน สิ่งนี้จะทำให้ศาสตรามณียุทธ์ที่ถูกปรับแต่งมีพลังมหาศาล แต่ทว่าผู้ใช้ก็ยังต้องสิ้นเปลืองพลังปราณสวรรค์จำนวนมากเพราะความแตกต่างระหว่างทักษะธาตุของตนเองและทักษะที่ฝังลงบนศาสตรามณียุทธ์ นอกจากนี้ ศาสตรามณียุทธ์ชนิดนี้ก็มีข้อเสียคือความหลากหลายของทักษะกักเก็บเมื่อเทียบกับศาสตรามณียุทธ์ที่มีหลุมบรรจุมณี เนื่องจากศาสตรามณียุทธ์ประเภทนี้จะมีทักษะเดียวให้ใช้งาน ดังนั้นจึงไม่ยืดหยุ่นเท่ากับความสามารถในการใส่ทักษะหลายๆ ชนิดลงในหลุมบรรจุมณี นอกจากนี้ พลังของมันก็จะอยู่คงที่ในระดับเดิมตลอดไป ไม่สามารถพัฒนาขึ้นเหมือนทักษะกักเก็บเมื่อระดับพลังปราณของผู้ใช้เพิ่มขึ้น ทว่าศาสตรามณียุทธ์ชนิดนี้ก็ยังถือว่าคุ้มค่าหากฝังทักษะที่ทรงพลังลงไป

กลุ่มนักรบจากอาณาจักรหลี่ทั้ง 8 คนเดินทางออกจากเมืองเฟยหลี่ภายใต้การนำของหลินเทียนอ้าว พวกเขาขึ้นเรือข้ามทะเลสาบเฟยหลี่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก

ขณะที่พวกเขากำลังล่องเรือ หลินเทียนอ้าวก็ได้อธิบายเกี่ยวกับกติกางานประลองมณีสวรรค์เพิ่มเติมเพื่อให้พวกเขาทราบเกี่ยวกับกิจกรรมทั้งหมดซึ่งจะจัดขึ้นในเมืองจงเทียน เมืองหลวงแห่งอาณาจักรจ้งเทียน

ดินแดนไร้ขอบเขตนั้นมีขนาดใหญ่มาก มีอาณาจักรหลายสิบแห่งตั้งกระจายอยู่จนทั่วทั้งอาณาจักรใหญ่และอาณาจักรเล็กๆ ความแข็งแกร่งของแต่ละอาณาจักรถูกจัดเป็นอันดับต่างๆ ในบรรดาอาณาจักรทั้งหมดมีเพียง 2 อาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นก็คืออาณาจักรวั่นโซ่วและอาณาจักรจ้งเทียน

อาณาจักรวั่นโซ่วครอบครองพื้นที่ทางตอนเหนือของดินแดนไร้ขอบเขตทั้งหมด อาณาจักรของพวกเขากินพื้นที่เกือบ 1 ใน 4 ในแผ่นดินแห่งนี้ สำหรับอาณาจักรจ้งเทียน พวกเขายึดครองพื้นที่ตอนกลางทั้งหมดของแผ่นดิน ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูก อาณาเขตของพวกเขามีขนาดใหญ่กว่าอาณาจักรวั่นโซ่วเสียอีก ด้วยเหตุนี้ เมื่อนำพื้นที่ของอาณาจักรทั้ง 2 แห่งมารวมกันเพียงอย่างเดียวก็มีขนาดประมาณ 4 ใน 7 ส่วนของแผ่นดินทั้งหมดแล้ว แม้แต่อาณาจักรที่มีขนาดใหญ่รองลงมาอย่างอาณาจักรเฟยหลี่และอาณาจักรป่ายต้า แม้จะนำทั้ง 2 อาณาจักรนี้มารวมกันก็ยังมีพื้นที่เทียบได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของอาณาจักรจ้งเทียนหรืออาณาจักรวั่นโซ่วเท่านั้น

อาณาจักรที่ถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ เหมือนอาณาจักรเฟยหลี่ก็มีอยู่ถึง 5 อาณาจักรด้วยกัน นอกจากอาณาจักรเฟยหลี่และอาณาจักรป่ายต้าแล้ว ยังมีอาณาจักรตันตุ้นอยู่ทางตอนใต้ อาณาจักรเป่าโปและอาณาจักรเก่อลี่ถีโม่ทางทิศตะวันออก เมื่อรวมดินแดนทั้งหมดของอาณาจักรอันดับที่ ‘2’ ทั้ง 5 อาณาจักรนี้พร้อมด้วยอาณาจักรอันดับ 1 ทั้ง 2 แห่งเข้าด้วยกันก็จะมีพื้นที่มากกว่า 9 ใน 10 ของผืนดินทั้งหมดในดินแดนไร้ขอบเขตแล้ว ดังนั้นพื้นที่ส่วนที่เหลืออีก 1 ส่วนจึงประกอบไปด้วยอาณาจักรเล็กๆ อีก 20 อาณาจักร แน่นอนว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของโจวเหว่ยชิงก็เป็นหนึ่งในอาณาจักรที่เล็กๆ ที่ไม่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ งานการประลองมณีสวรรค์จึงเป็นเพียงสนามประลองของอาณาจักรทั้ง 7 เท่านั้น แม้ว่าอาณาจักรเล็กๆอาจมีผู้ทรงพลังถือกำเนิดขึ้นบ้างคนสองคน แต่นั่นก็เกิดขึ้นได้ยาก ทั้งยังมีน้อยและอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ดังนั้นอาณาจักรเล็กๆ เหล่านั้นจึงไม่มีผลต่ออันดับที่มั่นคงของอาณาจักรใหญ่ทั้ง 7 แห่ง

ในการประลองมณีสวรรค์ครั้งล่าสุด กลุ่มนักรบอาณาจักรเฟยหลี่ทำคะแนนได้ค่อนข้างดี พวกเขาไต่ไปจนถึงอันดับที่ 5 แล้ว เพียงนิดเดียวก็จะสามารถเป็นหนึ่งใน 4 อันดับแรกได้ น่าเสียดายที่มันยากจะทำให้สำเร็จ ครั้งนี้ในบรรดานักเรียน 5 คนที่เป็นสมาชิกในหลุ่มหลัก มีเพียงหลินเทียนอ้าวเท่านั้นที่เคยเข้าร่วมการแข่งขันเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

หลังจากล่องเรือผ่านทะเลสาบเฟยหลี่ หลินเทียนอ้าวก็ซื้อม้าเร็วมาทั้งหมด 8 ตัว ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงขี่ม้าเพื่อเดินทางต่อไป ตามแผนของหลินเทียนอ้าว ยิ่งพวกเขาไปถึงเมืองจ้งเทียนเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งดีเท่านั้น ประการแรกคือพวกเขาจะสามารถพักผ่อนและฟื้นฟูกำลังเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้และยังช่วยให้พวกเขามีเวลาคิดแผนการรบด้วย

ในบรรดาคนทั้ง 8 โจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และอู่หยาไม่เคยขี่ม้ามาก่อน นั่นเป็นเพราะในอดีตขณะที่พวกเขาอยู่ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์พวกเขามักจะมุ่งหน้าไปทำภารกิจในรถม้าหรูหราของหัวเฟิง ตอนนี้เมื่อพวกเขาต้องควบขี่ม้า ทั้งคู่จึงรู้สึกว่านี่เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มาก แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีร่างกายยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ดังนั้นภายใต้ชี้แนะของหลินเทียนอ้าวและคนอื่นๆ ไม่นานพวกเขาทั้งคู่ก็สามารถเรียนรู้เคล็ดลับในการขี่ม้าได้อย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ เวลานี้คนเดียวที่ยังมีปัญหาอยู่ก็คืออู่หยา และนั่นทำให้เธอรู้สึกค่อนข้างมืดมนเป็นอย่างยิ่ง ในระยะเวลา 5 วันที่ทุกคนออกต้องเดินทางด้วยม้าไปยังพรมแดนอาณาจักรจ้งเทียน อู่หยาต้องเปลี่ยนม้าถึง 6 ตัว โดยที่ม้าแต่ละตัวแทบจะทนอยู่ได้ไม่ครบวัน เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะน้ำหนักของหญิงสาวคนนี้มีมากเกินไปจนน่าตกใจ! แม้แต่ม้าตัวที่บึกบึนที่สุดก็ทนแบกเธอได้ไม่ถึงวันก่อนจะพ่นฟองออกมาเต็มปากและสิ้นใจตาย

“พี่ใหญ่อู่หยา…ท่านช่างกระตือรือร้นเหลือเกิน…ถึงกับเปลี่ยนม้าอีกครั้งแล้ว…” โจวเหว่ยชิงพูดกับอู่หยาที่กำลังจ้องมองม้าน้ำลายฟูมปากของตนอย่างหมดอาลัยตายอยาก

อู่หยาแค่นเสียงและพูดว่า “ข้าแค่หนักเกินไปนิดหน่อยเท่านั้น ม้าน้อยๆ พวกนี้ช่างอ่อนแอเสียจริง”

โจวเหว่ยชิงเอ่ยถามอย่างสงสัย “ข้าขอพูดตามตรง แม้ว่าท่านจะตัวใหญ่กว่าข้าและหัวหน้าหลินเล็กน้อย แต่ท่านก็ไม่น่าจะมีน้ำหนักมากกว่าพวกเราขนาดนั้นนี่นา? ทำไมม้าของท่านถึงได้ทนไม่ไหวทุกตัวเลยเล่า?”

อู่หยาเหลือบมองเขาและถามว่า “เจ้าหนักเท่าไหร่?”

โจวเหว่ยชิงตอบว่า “ข้าคิดว่าน้อยกว่า 200 จินนะ” เขาสูง 1.9 เมตรและมีกล้ามเนื้อตึงแน่นไปทั้งตัว น้ำหนักดังกล่าวจึงถือว่าดีต่อสุขภาพแล้ว หากเทียบกับร่างกายของมนุษย์ทั่วไป ร่างกายของเขาก็ถือว่าใหญ่โตแล้ว

อู่หยามองไปที่หลินเทียนอ้าวและถามว่า “หัวหน้า แล้วท่านล่ะ?”

หลินเทียนอ้าวมีรูปร่างใหญ่โตและมีกล้ามเนื้อมากกว่าโจวเหว่ยชิงเสียอีก เขารีบตอบว่า “น่าจะประมาณ 230 จิน หรือมากกว่านั้น”

อู่หยายิ้มและพูดว่า “น้ำหนักของพวกท่าน 2 คนรวมกันก็ยังเบากว่าข้า”

“หาาาาาา?” คราวนี้ทุกคนสะดุ้งขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน โจวเหว่ยชิงและหลินเทียนอ้าวหนักรวมกันมากกว่า 400 จินด้วยซ้ำ! แม้ว่าอู่หยาจะดูรูปร่างใหญ่โตกว่าพวกเขา แต่เธอก็ไม่น่าจะหนักเกิน 400 จินไปได้!

อู่หยากล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าจะบอกความลับให้ฟัง ข้ามาจากชนเผ่าที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนทางตอนเหนือของอาณาจักรเฟยหลี่ ชื่อว่าเผ่าอีกาทอง พวกเราเกิดมาพร้อมกับโครงสร้างกระดูกและมวลกล้ามเนื้อที่หนาแน่นมาก อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งทางกายภาพสูง หึ ข้าหนักประมาณ 600 จินต่างหาก!”

“ห๊าาาาาาาาา!” นอกเหนือจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์และหลินเทียนอ้าวผู้หนักแน่นดังขุนเขาแล้ว ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา

600 จิน? นี่ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?

ขี้เมาเป่าพึมพำออกมาเบาๆ “มิน่าล่ะ พลังของเจ้าถึงได้น่ากลัวขนาดนี้ เจ้ามาจากเผ่าอีกาทองนั่นเอง! เผ่าอีกาทองนั้นเป็นรู้จักกันในนามเผ่าบ้าดีเดือด! ในช่วงขาขึ้นของพวกเขา ในเผ่ามีสมาชิกมากกว่าแสนคน อีกทั้งพวกเขายังมีกองกำลังที่โด่งดังอย่าง ‘กลุ่มนักรบขวานอีกาทอง’ ที่แข็งแกร่งจำนวน 5,000 นาย ว่ากันว่าพวกเขาไม่เคยรบแพ้มาก่อน เมื่อชื่อเสียงของพวกเขาโด่งดังขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด นั่นก็เป็นเวลาที่พวกเขามีฐานะเทียบเคียงกับเผ่าเขี้ยวหมาป่าของอาณาจักรวั่นโซ่ว ทั้ง 2 เผ่าถือว่าเป็นหนึ่งในกองทหารราบที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จู่ๆจำนวนประชากรในเผ่าอีกาทองเริ่มลดน้อยลง ในที่สุดเผ่าของพวกเขาก็สูญเสียอำนาจในมือไป ทว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกของเผ่าอีกาทองเข้าร่วมกับกองทัพ พลังของพวกเขาจะยังคงอยู่ในลำดับต้นๆ และมักจะได้รับตำแหน่งระดับสูงในกองทัพ เวลาอยู่ในสนามรบ สมาชิกเผ่าอีกาทองก็จะเปรียบเสมือนเครื่องจักรสังหาร”

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตั้งใจฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น อย่างไรคนที่เหลือในกลุ่มก็มาจากอาณาจักรเฟยหลี่และพวกเขาก็รู้เกี่ยวกับเผ่าอีกาทองอยู่แล้วไม่มากก็น้อย เห็นได้ชัดจากการที่พวกเขาพยักหน้าเห็นด้วยอยู่เป็น ระยะๆ ตลอดเวลา

สี่น้อยถามขึ้นมาอย่างสงสัย “แต่เท่าที่ข้ารู้ นักรบเผ่าอีกาทองจะเป็นจ้าวมณียุทธ์เสียส่วนใหญ่นี่นา ข้าไม่เคยได้ยินว่าเผ่าของพวกเขามีจ้าวมณีสวรรค์มาก่อน แต่อู่หยา เจ้ากลับเป็นคนผู้นั้น!”

สีหน้าของอู่หยาดูหดหู่ลงเล็กน้อย เธอพูดขึ้นมาช้าๆ “ อันที่จริงสมาชิกเผ่าอีกาทองของเราล้วนเกิดมาพร้อมกับพลังทางกายภาพที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่คนที่ไม่มีมณีพลังก็อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครเทียบได้ในแง่ของพละกำลังและความแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้เอง สมาชิกเผ่าอีกาทองที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงจะมีน้ำหนักอย่างน้อย 500 จิน นอกจากนี้ผิวหนังและกล้ามเนื้อของเรายังแข็งมาก เรียกได้ว่าพวกเรามี ‘เกราะ’ ป้องกันตามธรรมชาติเป็นของตนเอง ดังนั้นนักรบกลุ่มขวานอีกาทองจึงสามารถต่อสู้กับจ้าวมณีทั่วไปได้อย่างสูสีเลยทีเดียว”

“น่าเสียดายที่วันหนึ่งเผ่าอีกาทองของเราเริ่มมีปัญหาในการสืบตระกูล ไม่มีใครรู้สาเหตุและมันก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่มีสมาชิกคนใดในเผ่าที่สามารถตั้งครรภ์ได้เมื่อจับคู่กับคนในเผ่าด้วยกันเอง เนื่องจากไม่มีทางเลือก พวกเราจึงต้องพยายามหาคนรักนอกเผ่ามาครองคู่ อนิจจา แม้ว่าจะเป็นทารกในครรภ์ น้ำหนักของเราก็ยังมากผิดมนุษย์เกินไปอยู่ดี ดังนั้นผู้ชายในเผ่าของเราจึงไม่สามารถหาคู่ครองนอกเผ่าได้ มิฉะนั้นผู้หญิงที่เป็นมนุษย์ธรรมดาจะถูกฆ่าตายเพราะทารกในครรภ์หนักเกินไปจนสามารถทะลุมดลูกออกมา มีเพียงผู้หญิงในเผ่าของเราเท่านั้นที่จะสามารถหาคู่ครองนอกเผ่าได้ แต่ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็น่าจะเดาได้ว่าคนในเผ่าของข้าหน้าตาเป็นอย่างไร…ดังนั้นในเผ่าอีกาทองตอนนี้ ข้าถือว่างดงามที่สุดแล้ว ส่วนสมาชิกหญิงคนอื่นๆ แม้คนที่เตี้ยที่สุดก็ยังสูงอย่างน้อย 2 เมตร ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้จะมีมนุษย์ธรรมดาคนไหนเต็มใจแต่งงานกับพวกเราบ้าง? แน่นอนว่านั่นจึงทำให้จำนวนคนในเผ่าของเราลดลงอย่างมาก ความจริงแเหตุผลที่ข้ามาเมืองเฟยหลี่และเข้าเรียนที่โรงเรียนเจ้ามณีก็เพื่อตามหาคู่หมั้นของข้า ไอ้เจ้างั่งนั่น…พอเห็นว่าข้าหน้าตาเป็นอย่างไร เขาก็ถึงกับหนีออกจากบ้านไปจริงๆ! ข้าได้ยินมาว่าเขามาที่เมืองเฟยลี่ ข้าจึงมาที่นี่เพื่อตามหาเขา…แต่จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังหาเขาไม่พบ”

“ตัวข้าเองก็เป็นผลมาจากการแต่งงานกับคนนอกเผ่า ท่านแม่ของข้าเป็นหัวหน้าเผ่าอีกาทองคนปัจจุบัน ส่วนท่านพ่อของข้าเป็นหัวหน้าเผ่าคนเถื่อนจากอาณาจักรวั่นโซ่ว หลายปีก่อนท่านพ่อของข้าประสบปัญหาขณะออกท่องโลกและได้ท่านแม่ช่วยเหลือเอาไว้ หลังจากนั้นพวกก็ให้กำเนิดข้าขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่ได้มีสายเลือดของเผ่าอีกาทองแบบบริสุทธิ์เต็มร้อย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงเป็นจ้าวมณีสวรรค์ได้”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของอู่หยา ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง นี่เป็นเรื่องเศร้าของคนทั้งเผ่าโดยแท้!

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างสำนึกผิด “ข้าต้องขอโทษด้วย พี่ใหญ่อู่หยา ข้าไม่รู้ว่าน้ำหนักของท่านเป็นผลมาจากกรรมพันธุ์ที่สืบทอดทางสายเลือด”

อู่หยาส่ายหัวและพูดว่า “ไม่เป็นไร ใครขอให้น้ำหนักของข้าเยอะผิดมนุษย์มนาเช่นนี้ล่ะ จะว่าไปแล้ว…น้องโจว กล้ามเนื้อของเจ้าก็ดูบึกบึนแข็งแรงดีเช่นกัน…มณียุทธ์ของเจ้ามีคุณสมบัติประเภทความแข็งแกร่งใช่ไหม? ทำไมเจ้าไม่มาที่เผ่าอีกาทองของเราล่ะ เจ้าไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับใครเลย แค่ฝากเมล็ดพันธุ์ของเจ้าไว้กับพวกเราก็พอแล้ว”

โจวเหว่ยชิงตกใจจนเกือบหงายหลังตกม้า เขามองอู่หยาด้วยสีหน้าหวั่นวิตก “ไม่ ไม่ ได้โปรดเถอะ! พี่ใหญ่ ปล่อยข้าไปเถิด! ร่างน้อยๆ ของข้าจะแบกรับน้ำหนัก 600 จินได้ยังไง!!”

อู่หยามองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างเจ้าเล่ห์ เธอยิ้มและพูดว่า “เจ้าก็อยู่ข้างบนไปสิ!”

นอกจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำแล้ว ทุกคนต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นโจวเหว่ยชิงมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้

ขณะนี้พวกเขาทั้ง 8 คนกำลังขี่ม้าเลียบไปตามถนนหลักของจักรวรรดิจ้งเทียน แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับอาณาจักรอันดับ 1 ของโลกใบนี้มากนัก แต่เขาก็ยังสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้มากมายจากถนนหลักที่มีอาณาเขตกว้างขวางเส้นนี้

ไม่ต้องพูดถึงอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เลยด้วยซ้ำ แม้แต่ถนนหลักของของอาณาจักรเฟยหลี่ที่กว้างเกือบ 20 เมตรและถือว่าเป็นถนนชั้นนำแห่งหนึ่งก็ยังแคบกว่าถนนเส้นนี้ ถนนหลักของอาณาจักรจ้งเทียนมีความกว้างมากกว่า 30 เมตร มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอย่างเป็นระเบียบให้ความร่มรื่นไปตลอดทาง และถนนทั้งสายก็ดูราวกับเป็นตัวแทนแสดงให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรใหญ่แห่งนี้

เมืองหลวงเฟยหลี่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรเฟยหลี่ในขณะที่เมืองหลวงจ้งเทียนตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรจ้งเทียน เนื่องจากพรมแดนด้านตะวันออกของอาณาจักรเฟยหลี่อยู่ติดกับพรมแดนทางตะวันตกของอาณาจักรจ้งเทียน ระยะทางจากเมืองหลวงเฟยหลี่ไปเมืองหลวงจ้งเทียนจึงไม่ไกลกันมากนัก ด้วยการควบขี่ม้าไปเช่นนี้ พวกเขาควรจะไปถึงที่นั่นภายในระยะเวลาสิบกว่าวัน และถึงตอนนี้พวกเขาก็เดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว

ปรากฏว่าการตัดสินใจของโจวเหว่ยชิงนั้นชาญฉลาดอย่างแท้จริง ชายชราเสื้อแดงคนนั้นเห็นว่าพวกเขากำลังจะจากไปจึงไม่ได้ทักท้วงขึ้นมานี้อีก เขาทำเพียงแค่สรุปทักษะธาตุพื้นฐานของทั้ง 2 คนจากการต่อสู้ที่ได้เห็น

ทันทีที่พวกเขาออกโรงเรียนเจ้ามณี ขี้เมาเป่าและสี่น้อยต่างก็เดินตามไปอย่างเงียบๆ หัวคิ้วของพวกเขาขมวดมุ่น ไม่มีบรรยากาศเย่อหยิ่งดั่งเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว สายตาของเซียวเอี๋ยนตกอยู่ที่โจวเหว่ยชิงอยู่ตลอดเวลา สีหน้าของเขาคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง

ในทางกลับกัน อู่หยากลับมีท่าทีตรงไปตรงมามากกว่า ทันทีที่พวกเขาออกจากประตูโรงเรียน เธอก็เดินเข้าหาโจวเหว่ยชิงและตบไหล่เขาพลางพูดว่า “พี่โจว ไม่เลว ไม่เลวจริงๆ! แม้จะมีสิทธิชอบธรรมแต่ก็ยังรู้จักผ่อนปรน จากนี้ไปท่านคือสหายของข้า!”

เมื่อถูกเธอโอบกอดเอาไว้ โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย ร่างกายของอู่หยาใหญ่โตเกินไปจริงๆ กระทั่งสูงกว่าเขาไปถึงครึ่งศีรษะ มือของเธอยังสามารถโอบรอบไหล่ของเขาได้พอดีอีกด้วย แต่อย่างไรก็เถอะ แม่นางร่างยักษ์ผู้นี้กลับลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นผู้หญิง! หน้าอกแข็งๆ ของเธอกำลังถูไถเข้ากับไหล่ของโจวเหว่ยชิง ทว่าเธอก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

“พี่ใหญ่อู่หยา ผู้หญิงและผู้ชายไม่ควรใกล้ชิดกันขนาดนี้ ท่านควรจะปล่อยข้าได้แล้ว” โจวเหว่ยชิงเหลือบมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยกลัวว่าเธอจะโกรธ แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับกลายเป็นว่าเธอกำลังแอบยิ้มน้อยๆ อยู่ต่างหาก!

เรื่องที่โจวเหว่ยชิงไม่ได้รับสี่น้อยและขี้เมาเป่ามาเป็นผู้ติดตามนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้คิดมากเลยด้วยซ้ำ อย่างไรเธอก็เป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาดและอยู่ร่วมกับโจวเหว่ยชิงมายาวนาน ด้วยเหตุนี้เธอจึงเชื่อมั่นในตัวของเขามาก ความคิดของเธอช่างแสนเรียบง่าย ‘อ้วนน้อยต้องมีเหตุผลในการกระทำเช่นนั้นแน่นอน’

อู่หยาแค่นเสียงและพูดว่า “พวกเราทุกคนต่างก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์กันทั้งนั้น ข้าเป็นเด็กผู้หญิงก็จริง แต่ข้าเองก็ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ กลับเป็นเจ้าที่ขี้อายเกินไป…นี่เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่าหา! อ้อ แล้วเรียกใครว่าพี่ใหญ่? ข้าอายุแค่ 17 ปีเท่านั้น”

“เอ่อ…” โจวเหว่ยชิงรีบเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ใช้สายตากวาดมองอู่หยาและร่างกายที่บึกบึนของเธอ หัวใจของเขาพลันบิดเกร็งด้วยฉงน เจ้าอายุแค่ 17 แต่กลับตัวใหญ่มากขนาดนี้ นั่นหมายความว่าเจ้าจะยังโตขึ้นได้อีกหรือ!

“แต่…ข้ายังอายุไม่ถึง 17 ปีด้วยซ้ำ” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูใสซื่อ

“อะไรนะ!?” ดวงตาของอู่หยาเต็มไปด้วยความตกใจ ไม่ใช่แค่เธอ แต่คนอื่นๆ ก็หยุดชะงักและรีบหันหน้ามามองด้วยเช่นกัน แม้แต่เย่เป่าเปาเองก็ยังไม่เคยรู้อายุที่แท้จริงของโจวเหว่ยชิงมาก่อน เมื่อเขาได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงอายุน้อยกว่า 17 สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนกลับไปมาหลายครั้ง ที่แย่ไปกว่านั้นคือสี่น้อยและขี้เมาเป่าที่เพิ่งแพ้เดิมพันให้กับโจวเหว่ยชิง ทั้งคู่ต่างสบตากันด้วยสีหน้าราวกับคนจะร้องไห้

พวกเขาแพ้เด็กที่อายุยังไม่ถึง 17 ปีจริงๆ เหรอเนี่ย!

หลินเทียนอ้าวเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน ถ้าสี่น้อย ขี้เมาเป่า อู่หยา เซียวเอี๋ยน หรือแม้แต่เย่เป่าเปาคิดว่าก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงเอาชนะตู่ต่อสู้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมแล้วล่ะก็ มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ดีว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของโจวเหว่ยชิงนั้นเหนือชั้นกว่าสี่น้อยมาก เพราะถึงอย่างไรเขาก็ได้เห็นไพฑูรย์ตาแมวสองสีด้วยตาตัวเองมาแล้ว

อายุ 17 ปี…จริงๆ แล้วเขายังอายุไม่ถึง 17 ปีด้วยซ้ำ! ทันใดนั้นหลินเทียนอ้าวก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้พ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายอย่างเปล่าประโยชน์ โจวเหว่ยชิงที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะอย่างแท้จริง สำหรับเด็ก ‘ธรรมดาๆ’ อายุ 17 คนหนึ่ง การได้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดนั้นถือว่ายากเย็นพอสมควรแล้ว นับประสาอะไรกับทักษะมากมายของเขา นอกจากนี้ นั่นยังไม่นับว่าอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางด้วย!

“หยุด! ข้าทนไม่ไหวแล้ว!” ในขณะนั้นเอง ขี้เมาเป่าก็ส่งเสียงดังออกมาพร้อมกับก้าวเข้าหาโจวเหว่ยชิงด้วยท่าทีคุกคาม ทุกคนพลันตกใจขึ้นมาในทันที ทว่าในตอนนั้นเอง พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าดวงตาของขี้เมาเป่ากำลังกลายเป็นสีแดงก่ำ

“โจวเหว่ยชิง! ได้! ต่อจากนี้ไปข้าจะเป็นผู้ติดตามของเจ้า เพราะข้าเต็มใจที่จะเดิมพัน ดังนั้นข้าจึงเต็มใจที่จะพ่ายแพ้ด้วย…ใครใช้ให้ข้าโง่เขลาขนาดนี้ล่ะ ถ้าข้าผิดคำพูดของตนเอง มันก็จะกลายเป็นรอยแผลในใจของข้าตลอดไป ทั้งยังอาจกลายเป็นหายนะของข้าได้ แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ข้าขอเป็นผู้ติดตามของเจ้าจะดีกว่า”

สี่น้อยยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “พี่เป่า ท่านจะทำเช่นนั้นจริงๆ หรือ! ถ้าท่านจะเป็นผู้ติดตามของเขาจริงๆ แล้วข้าล่ะ?”

ขี้เมาเป่าพูดอย่างเคืองขุ่น “บัดซบ! ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าแพ้ ข้าจะพบหายนะแบบนี้ได้หรือ? เจ้ายังจะกล้าถามข้าอีก!? ไม่รู้จักด่านเคราะห์ระดับเทวะหรืออย่างไร? ถ้าข้าไม่รักษาคำพูดของตัวเองในตอนนี้ อนาคตหากข้ามีโอกาสได้ทะลวงผ่านด่านเคราะห์ระดับเทวะ จิตของข้าย่อมไม่บริสุทธิ์พอ อย่างไรท้ายที่สุดเป้าหมายข้าคือการเป็นบุคคลที่มีพลังและอำนาจ แต่ถ้าหากว่าสิ่งนั้นไม่อาจเป็นไปได้แล้ว ข้ายังจะมีจุดมุ่งหมายอะไรในชีวิตได้อีก? ด้วยเหตุนี้ข้าจึงจะเป็นผู้ติดตามของเขาและไม่ยอมละทิ้งโอกาสก้าวขึ้นเป็นจ้าวมณีที่ทรงพลัง นอกจากนี้การติดตามอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางที่ยังอายุน้อยและมีความสามารถเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องอับอายอะไรเลย”

เมื่อได้ยินคำพูดของขี้เมาเป่า หลินเทียนอ้าวก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยเล็กน้อย ส่วนเย่เป่าเปาก็พูดขึ้นมาเบาๆ “สมกับเป็นลูกผู้ชาย”

สี่น้อยมองไปที่ขี้เมาเป่าด้วยสีหน้าสับสนและลังเล ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจและพูดว่า “พี่เป่า ท่านพูดถูก แม้ว่าพวกเราจะมีโอกาสน้อยกว่า 1 ใน 10 ส่วนที่จะทะลวงผ่านด่านเคราะห์ระดับเทวะได้จริงๆ ก็ตาม แต่อย่างไรก็ยังดีกว่าไม่มีโอกาสเลยแม้แต่ครึ่งส่วน พวกเราภาคภูมิใจในพรสวรรค์ของตนเองมาก และหากเราไม่มีโอกาสได้ฝ่าด่านเคราะห์เลย ฐานะจ้าวมณีสวรรค์ของพวกเราก็ถือว่าสูญเปล่าแล้ว ผู้ติดตามงั้นหรือ? เหอะ ข้าไม่สนแล้ว! อย่างไรก็เป็นความผิดของข้าเองที่พ่ายแพ้ให้กับเจ้า” เมื่อพูดจบ เขาก็ตบหน้าตัวเองอย่างแรงจนแก้มเริ่มบวมเป่ง

เมื่อมองเห็นท่าทางของพวกเขาทั้งสองคน โจวเหว่ยชิงก็ยิ้มออกมา เดิมทีเขาไม่ได้ชอบพอคนทั้งสองเท่าไหร่นัก แต่เมื่อมองไปยังพวกเขาในตอนนี้ เขากลับพบว่าเพื่อนร่วมกลุ่มเหล่านี้เป็นคนที่สามารถไว้ใจได้ อย่างน้อยความมุ่งมั่นที่จะทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นและนิสัยรักษาสัจจะของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมากทีเดียว

“หัวหน้าหลิน ด่านเคราะห์ระดับเทวะคืออะไรหรือ?” โจวเหว่ยชิงถามหลินเทียนอ้าว

หลินเทียนอ้าวชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าไม่รู้เกี่ยวกับด่านเคราะห์หรือ? สำหรับพวกเราชาวจ้าวมณีสวรรค์ นั่นเป็นอุปสรรคที่ยากที่สุด แทบจะไม่มีใครสามารถผ่านไปได้เลย ไม่ว่าจะทุ่มเทฝึกอย่างหนักแค่ไหนก็ตาม ที่เห็นได้ชัดคือจ้าวมณีสวรรค์กว่า 9 ใน 10 ส่วนไม่อาจทะลวงผ่านด่านเคราะห์นี้ไปได้ ด่านเคราะห์ระดับเทวะหมายถึงการทะลวงผ่านปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพขึ้นไปยังขั้นบรรลุวิถี จากผู้ที่ครอบครองมณีระดับเทวะ 9 ชุดไปถึงระดับ 10 ชุด จำนวนมณีนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อาจกล่าวได้ว่าจากมณีชุดแรกไปจนถึงชุดที่ 9 การที่ระดับพลังปราณของเราสามารถเพิ่มขึ้นได้นั้นเป็นไปตามกฏของดินฟ้า แต่เมื่อพวกเราครอบครองมณี 10 ชุดขึ้นไป เมื่อนั้นพลังของเราก็ถือได้ว่ากำลังขัดกับหลักการของจักรวาลอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ ด่านเคราะห์จึงถือว่าเป็นสิ่งที่ทะลวงผ่านได้ยากที่สุด อาจกล่าวได้ว่าผู้ที่ผ่านด่านเคราะห์ไปได้ก็คือผู้ที่ก้าวขาข้างหนึ่งขึ้นสู่สรวงสวรรค์แล้ว คนผู้นั้นจะมีพลังมหาศาลราวกับสั่นสะเทือนโลกทั้งใบได้เลยทีเดียว ไม่เพียงแต่อายุขัยจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า แต่พลังของพวกเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้นมากเช่นกัน ส่วนผู้ที่ไม่อาจทะลวงผ่านด่านเคราะห์นี้ไปได้ก็จะต้องติดอยู่ที่ระดับเทวะตลอดไป”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

สี่น้อยอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุด แต่กลับไม่รู้เรื่องพื้นฐานเช่นนี้เลยหรือ?” เขาอดจะรู้สึกไม่ได้ว่าความพ่ายแพ้ของตนเองนั้นเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งตัดสินใจยอมเป็นผู้ติดตามของโจวเหว่ยชิงก็ตาม

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “รุ่นพี่ทั้ง 2 เป็นบุคคลที่มีนิสัยเถรตรงและรักษาสัจจะ ข้าเคารพพวกท่านในเรื่องนั้นจริงๆ แต่ข้าก็ไม่ต้องการกลับคำพูดของตัวเองเช่นกัน ตามที่เราเดิมพันกันไว้คือท่านทั้งคู่จะเป็นผู้ติดตามตลอดชีวิตของข้า แต่ทว่าพวกเราก็ไม่ได้พูดถึงตราประทับเสียหน่อย หากพวกท่านทั้งคู่ยังคงยืนยันที่จะติดตามข้า เช่นนั้นทั้ง 2 คนก็สามารถติดตามข้าได้นานเท่าที่ต้องการ หากเปลี่ยนใจเมื่อใด พวกท่านก็สามารถจากไปได้ทุกเมื่อ ในฐานะผู้ติดตามของข้าและปิงเอ๋อร์ ท่านจะไม่ถูกบังคับให้ต้องทำสิ่งใดเพราะอำนาจของตราประทับ วิธีนี้พวกท่านจะไม่ถูกจำกัดเสรีภาพของตนเอง เช่นนี้สำหรับพวกเรา นั่นไม่ใช่สถานการณ์ที่มีแต่ได้กับได้หรอกหรือ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง สีหน้าของขี้เมาเป่าและสี่น้อยก็ดีขึ้นทันตาเห็น นี่เป็นแผนการประนีประนอมที่ให้ผลดีมากเลยทีเดียว ทั้งทำให้พวกเขาไม่ผิดคำสาบานและไม่ถูกจำกัดเสรีภาพมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ ท่าทางที่พวกเขามีต่อโจวเหว่ยชิงจึงดูเป็นมิตรและอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น

ในทางกลับกัน หลินเทียนอ้าวกลับมีสีหน้าหม่นหมองขณะที่เขามองไปที่โจวเหว่ยชิงพลางคิดกับตัวเอง ทำไมข้าถึงไม่ได้รับการปฎิบัติเช่นนี้ด้วยล่ะ?

เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าตนสำคัญมากในใจของโจวเหว่ยชิง หากได้ร่วมมือกันต่อสู้ ไม่ต้องพูดถึงความสามารถที่เข้ากันได้อย่างยอดเยี่ยมของพวกเขาและระดับการป้องกันที่ทรงพลังของหลินเทียนอ้าวในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เพียงแค่ความรู้สึกส่วนตัวของโจวเหว่ยชิงก็ทำให้หลินเทียนอ้าวสำคัญกับเขามากแล้ว เพราะไม่ว่าโจวเหว่ยชิงจะทรงพลังเพียงใด เขาก็ยังเป็นเจ้าอ้วนน้อยที่กลัวตายคนเดิมอยู่ดี อย่าลืมความปรารถนาเดิมของเขาที่ต้องการจะมีโล่ที่ไม่มีวันแตกหัก ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์เช่นนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อมีหลินเทียนอ้าวอยู่เคียงข้างเขา นั่นก็เท่ากับว่าโจวเหว่ยชิงมีโล่ที่มีชีวิตอยู่ข้างกาย ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ได้เห็นพลังของหลินเทียนอ้าวในวันนั้น แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะรู้ว่าเขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์และเถรตรง แต่เขาก็ยังต้องการประทับตราให้กับอีกฝ่าย นั่นเป็นเพราะการมีอยู่ของหลินเทียนอ้าวจำเป็นมากสำหรับเขา

ขี้เมาเป่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าวว่า “เนื่องจากน้องโจวเป็นคนใจกว้าง ดังนั้นเราจะทำอย่างที่เจ้าว่าก็แล้วกัน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องกังวลไป แม้ว่าจะไม่มีตราประทับ ข้าก็จะยังเชื่อฟังคำสั่งของเจ้า”

สี่น้อยรีบเอ่ยออกมาว่า “ข้าก็เหมือนกัน โอ้ ใช่แล้ว ตำแหน่งในกลุ่มหลักของข้าก็มอบให้เจ้าด้วย”

โจวเหว่ยชิงโบกมือและกล่าวว่า “ไม่ เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก ก่อนหน้านี้ข้าสามารถเอาชนะท่านได้เพราะโชคช่วย ไม่ใช่ว่าข้ามีพลังมากกว่าท่านเสียหน่อย รุ่นพี่สี่น้อย ท่านรู้ไหมว่าทำไมข้าถึงคิดวางเดิมพันกับท่าน?”

“ทำไมรึ?” สี่น้อยถามอย่างกังวล นั่นเป็นอีกเรื่องที่เขายังไม่อาจเข้าใจได้

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “หึ จากลักษณะรูปร่างของท่าน ข้าก็เดาได้อย่างง่ายดายว่าความสามารถของท่านจะเกี่ยวข้องกับความเร็ว การคาดเดาของข้าคือท่านน่าจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทว่องไวขั้นสุดยอดที่มีมณียุทธ์เสริมความว่องไวและมณีธาตุลม ก็เหมือนกับที่พลังป้องกันของหัวหน้าหลินเป็นขั้วตรงข้ามโดยตรงกับพลังของคนอย่างข้านั่นแหละ ความสามารถของข้าสวนทางกับความสามารถของท่านโดยตรง ข้าไม่มีทักษะประเภทโจมตีมากนักเนื่องจากพลังสายหลักของข้าคือทักษะประเภทควบคุม เมื่อรวมกับความจริงที่ว่าข้าเป็นปรมาจารย์นักธนู ด้วยธนูศาสตรามณียุทธ์ที่ทรงพลังของข้า ข้าจึงมั่นใจอย่างมากว่าจะเอาชนะท่านได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเราวางเดิมพันกันด้วยจำนวนกระบวนท่าเช่นนี้ แน่นอนว่าท่านต้องมีแนวโน้มจะไม่โจมตีข้าและเลือกที่จะรักษาระยะห่างระหว่างเราเอาไว้ นั่นทำให้ข้ามีพื้นที่มากพอจะส่งธนูออกไปได้แรงยิ่งขึ้น อาจกล่าวได้ว่าการที่ท่านพ่ายแพ้ให้แก่ข้านั้นเป็นเพราะความโชคดีที่ความสามารถของข้าบังเอิญเป็นขั้วตรงข้ามกับท่าน เช่นเดียวกับที่ท่านโชคร้ายมาพบกับข้านั่นแหละ ดังนั้นตำแหน่งในกลุ่มหลักนี้จึงควรเป็นของท่าน หากในระหว่างการประลองมณีสวรรค์ กลุ่มของพวกเราพบคู่ต่อสู้บางคนที่ข้าสามารถตอบโต้ได้ ข้าก็จะออกไปจำกัดคนพวกนั้นให้ก็แล้วกัน”

สี่น้อยจ้องมองเขาด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูกก่อนจะพูดอย่างเศร้าๆ ว่า “ข้าเกลียดนักธนู…”

โจวเหว่ยชิงเปิดปากหัวเราะอย่างมีความสุข แน่นอนว่าเขาไม่ได้บอกสี่น้อยว่าเขามีทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาและเขาก็สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังมีขาขวาปีศาจที่สามารถร่นระยะห่างระหว่างพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแค่นี้ ทักษะควบคุมของเขาก็ไม่ใช่ความสามารถที่ได้รับจากธนูราชันย์ แต่เป็นการใช้ทักษะกักเก็บของเขาเองจริงๆ แต่ไม่ว่าเขาจะประทับใจคนเหล่านี้มากเพียงใด เขาก็จะไม่เปิดเผยความลับของเขาออกมาอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนที่มีเย่เป่าเปาอยู่ด้วยเหมือนตอนนี้

ขณะที่สายฟ้าแลบแปลบปลาบ อสนีบาตหลายสายก็กระหน่ำฟาดฟันลงมาเหนือท้องฟ้า เนื่องจากสี่น้อยมั่นใจในทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาของตนมาก เขาจึงไม่สามารถตอบสนองสายฟ้าเหล่านี้ได้ทันเวลา หลังจากถูกหนวดสีดำพันธนาการเอาไว้ จู่ๆ ทั่วทั้งร่างของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีฟ้าอันเป็นผลมาจากทักษะสายฟ้าของโจวเหว่ยชิง กระแสไฟฟ้าแล่นผ่านทั่วร่างกายจนทำให้ผมตั้งโด่เด่ อีกทั้งยังมีควันสีขาวลอยโขมงขึ้นมาจากลำตัว ราวกับว่าเขาเพิ่งจะถูกทอดจนไหม้เกรียม

ในเวลาเดียวกัน ลูกศรดอกที่ 2 ของโจวเหว่ยชิงก็พุ่งมาหาเขาอีกระลอก คราวนี้สี่น้อยไม่อาจขยับตัวตอบสนองได้เพราะเขากำลังถูกทักษะของโจวเหว่ยชิงควบคุมร่างเอาไว้ เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงทำได้เพียงปลดปล่อยทักษะป้องกันออกมา เกราะที่ดูวิจิตรงดงามพลันปรากฏขึ้นที่หน้าอกของเขาทันที ชั้นแสงสีเงินส่องสว่างออกมารอบๆ ตัวเขา ในเวลาเดียวกันเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการของหนวดสีดำ

แน่นอนว่าลูกศรที่ส่งตรงมาจากธนูราชันย์นั้นก็มีประสิทธิภาพในการเจาะทะลวงอยู่แล้ว เมื่อเพิ่มความสามารถในการระเบิดทำลายล้างเข้าไปด้วย ชั้นแสงสีเงินที่ก่อตัวขึ้นรอบๆ ร่างของสี่น้อยก็พลันถูกกระแทกจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆทันที สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือหลังจากนั้นร่างกายของเขาดูเหมือนจะแข็งทื่อไปในทันที เกราะและปีกที่อยู่ด้านหลังของเขาก็พลันสลายหายไปในเวลาเดียวกัน ไม่นานเขาก็ทิ้งตัวดิ่งลงจากท้องฟ้า

สี่น้อยบินขึ้นไปที่ความสูงเกือบ 100 หลา ถ้าเขาร่วงลงมากระแทกพื้นจริงๆ เขาจะต้องไม่รอดชีวิตอย่างแน่นอน

ลูกศรทั้ง 2 ดอกของโจวเหว่ยชิงนั้นอาจดูค่อนข้างเรียบง่าย แต่ในความจริงแล้วมีแผนการลับๆมากมายซ่อนอยู่เบื้องหลัง เมื่อสี่น้อยบินขึ้นไปในอากาศ โจวเหว่ยชิงก็เดาได้แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องมีทักษะที่ใช้สำหรับหลบหนีหรือหลบหลีกแน่นอน ด้วยเหตุนี้ ลูกศรดอกแรกของเขาจึงฝังทักษะผลกระทบวงกว้าง (AOE) ลงไปด้วย 2 ชนิด

แน่นอนว่าหนึ่งในทักษะที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างคือทักษะสัมผัสมืด ส่วนอีกทักษะหนึ่งคือทักษะโจมตีวงกว้างเพียงชนิดเดียวของเขา นั่นก็คือทักษะอสนีบาตพันสาย ทั้ง 2 ทักษะไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่จุดแข็งของพวกมันคือขอบเขตการใช้งานที่กว้างมาก

ตามที่คาดไว้ สี่น้อยมีทักษะการหลบหลีกและนั่นก็ยังเป็นทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาที่โจวเหว่ยชิงโปรดปราน อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาก็ยังไม่อาจพาเขาออกจากจากขอบเขตการใช้งานของทักษะสัมผัสมืดได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกจับตัวและพันธนาการเอาไว้และเสี้ยววินาทีต่อมาทักษะอสนีบาตพันสายก็มาถึงตัวเขาทันที ถึงแม้ว่าทักษะนี้จะไม่มีพลังเพียงพอที่จะทำร้ายเขา แต่มันก็ยังสามารถทำให้เขามึนงงไปได้ชั่วขณะ ฉับพลันนั้นเขาจึงไม่สามารถควบคุมพลังปราณสวรรค์ภายในร่างกายได้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ

แน่นอนว่าช่วงเวลาสั้นๆ นั้นก็เพียงพอให้ลูกศรดอกที่ 2 ของ โจวเหว่ยชิงพุ่งมาถึงตัวเขาแล้ว ทักษะเพียงแค่ 2 ชนิดก็มากเกินพอจะทำให้สี่น้อยไม่สามารถหลบหลีกการโจมตีระลอกต่อไปได้แล้ว อีกทั้งยังบังคับให้เขาต้องอยู่นิ่งๆ คอยรับการโจมตีอย่างไร้ทางเลือกอีกด้วย ในเวลานั้นไม่ว่าเขาจะเรียกใช้ทักษะป้องกันอย่างไร ทุกสิ่งก็ยังคงไร้ความหมายอยู่ดี ลูกศรดอกที่ 2 ของโจวเหว่ยชิงได้รับการเสริมพลังด้วยทักษะสมบูรณ์ 2 ชนิด นั่นก็คือทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์และทักษะสายฟ้าเขย่าสวรรค์ ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์จะทำให้โจวเหว่ยชิงมั่นใจได้ว่าสี่น้อยจะยังถูกควบคุมอยู่ หากว่าเขาสามารถหลุดพ้นจากทักษะสัมผัสมืดได้ ในขณะที่ทักษะสายฟ้าเขย่าสวรรค์จะทำลายปีกและโล่ศาสตรามณียุทธ์ที่เขาสวมอยู่ในทันที มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ปีก แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีปีกเป็นของตัวเอง ไม่ว่าสี่น้อยจะทรงพลังเพียงใด เขาก็ย่อมหมดหนทางหากถูกปล่อยให้ลอยเคว้างคว้างอยู่กลางอากาศ แผนการอันชาญฉลาดเช่นการบินขึ้นไปบนท้องฟ้านั้นยอดเยี่ยมมาก แต่สุดท้ายสิ่งนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่นำหายนะมาสู่ตนเองจนได้

หลินเทียนอ้าวถอนหายใจก่อนที่จะขยับตัวออกไปข้างหน้า เพียงพริบตาเดียวเขาก็สามารถรับร่างของสี่น้อยที่เพิ่งหล่นลงมาจากอากาศเอาไว้ได้ เขาสะบัดมือขวาออกไปจับร่างของสี่น้อย รับแรงกระแทกแทนอีกฝ่ายและปกป้องเขาเอาไว้ด้วยพลังของตน

แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงไม่ได้พยายามจะหยุดยั้งเขาแต่อย่างใด มาถึงตอนนี้ ใครเป็นผู้ชนะก็ย่อมเห็นได้ชัดเจนแล้ว

ทุกคนจ้องมองไปที่ธนูราชันย์ในมือของโจวเหว่ยชิง นอกจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์และหลินเทียนอ้าวที่รู้ความจริงอยู่แล้ว พวกเขาที่เหลือต่างก็คิดไปในทางเดียวกันว่าพลังลูกศรมหัศจรรย์ทั้ง 2 ดอกที่โจวเหว่ยชิงยิงออกมาน่าจะเป็นผลมาจากศาสตรามณียุทธ์ชิ้นนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดคิดว่าสี่น้อยจะพ่ายแพ้ในเวลาอันรวดเร็ว…ด้วยการขยับตัวไม่ถึง 3 กระบวนท่าด้วยซ้ำ…หากจะพูดให้ถูกก็คือ เขาแพ้เพียง 2 กระบวนท่าเท่านั้น!

ตอนนี้ขากรรไกรของขี้เมาเป่าตกลงไปถึงพื้น ปากของเขาอ้ากว้างพอที่จะยัดลูกผิงกั่ว (แอปเปิ้ล) ลงไปได้หนึ่งลูกเลยทีเดียว อีกทั้งดวงตาของเขาก็แทบจะถลนออกมาจากเบ้า ด้านอู่หยาก็ขยี้ตาด้วยความตกตะลึงเช่นกัน เธอทำเช่นนั้นซ้ำๆราวกับหาวิธีทำให้ตัวเองมั่นใจว่าไม่ได้ฝันอยู่ สำหรับเซียวเอี๋ยน คิ้วของเขาขมวดมุ่นขณะกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับโจว เหว่ยชิงอย่างลึกล้ำ

ตอนนี้ผลจากทักษะต่างๆ บนตัวสี่น้อยก็ได้สิ้นฤทธิ์ไปหมดแล้ว แม้ว่าผมของเขาจะยังคงชี้โด่เด่เพราะพลังธาตุสายฟ้าจนก่อให้เกิดเป็นภาพที่ดูแปลกประหลาดไปเสียหน่อยก็ตาม

โจวเหว่ยชิงเก็บธนูราชันย์ของเขา ยิ้มน้อยๆ ขณะที่กล่าวว่า “ขอบคุณรุ่นพี่ที่หลีกทางให้ข้า คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าตัวข้าเองจะโชคดีขนาดนี้ พี่สี่น้อยรู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นนักธนู ท่านก็เลยบินขึ้นไปเป็นเป้ายิงให้ข้าได้แสดงฝีมือ ต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ”

หลินเทียนอ้าวช่วยประคองวางสี่น้อยไว้ที่พื้น อีกฝ่ายหันไปจ้องมองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาเลื่อนลอย ทันใดนั้นเขาก็ร้องออกมาด้วยความโกรธ “ข้าโดนหลอก! ข้ายอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้ไม่ได้!” ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเกินไป เขายังไม่ทันได้แสดงพลังที่แท้จริงของตนออกมาเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่รู้แน่ชัดว่าตนพ่ายแพ้ได้อย่างไร ฉะนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่าตนจะแพ้เดิมพันจริงๆ เพราะถึงอย่างไรสิ่งนี้ก็เกี่ยวข้องกับอิสรภาพตลอดชีวิตของเขาเชียวนะ!

ทว่าในขณะนั้นเอง จู่ๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำและทรงพลังก็ดังแว่วมาจากอาคารหลัก “เทียนอ้าว ทำไมพวกเจ้าถึงยังยืนอยู่ที่เดิมแทนที่จะรีบออกเดินทาง? เกิดการต่อสู้ขึ้นงั้นรึ?”

เสียงนั้นให้ความรู้สึกคล้ายกับวิญญาณที่จับต้องไม่ได้ ราวกับแว่วมาจากทุกทิศทุกทาง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตะโกน แต่ทุกคนก็ยังได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน อีกทั้งยังสามารถรับรู้ได้ว่ามันมาจากทิศเดียวกับอาคารหลัก แต่ก็ยังไม่สามารถบอกแหล่งที่มาที่แน่ชัดได้อยู่ดี

เมื่อได้ยินเสียงนั้น ความคิดหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมาในสมองของโจวเหว่ยชิงทันที ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆ จากนั้นเขาก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

“รุ่นพี่สี่น้อย เอาเป็นว่าเรื่องนี้พวกเราเพียงล้อเล่นกันเท่านั้น รีบออกเดินทางกันเถอะ ดูสิ อาจารย์ของพวกท่านกำลังจะโกรธแล้วนะ”

สี่น้อยชะงัก ส่วนขี้เมาเป่าก็กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง “ล้อเล่น? ล้อเล่นเรื่องอะไรเรอะ!?”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างเต็มที่และพูดว่า “ข้ากำลังจะบอกว่าการเดิมพันก่อนหน้านี้เป็นแค่เรื่องล้อเล่น พวกเรายังต้องเข้าร่วมการประลองมณีสวรรค์ จะปล่อยให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเราได้อย่างไร ถึงอย่างไรพวกเราก็ยังต้องทำงานร่วมกันในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ดี หัวหน้าหลิน เช่นนั้นพวกเราจะออกเดินทางกันได้หรือยัง?”

สายตาประหลาดใจทั้ง 7 จ้องมองไปยังโจวเหว่ยชิง ทุกคนพลันพร้อมใจกับปิดปากเงียบด้วยความตกใจ ท้ายที่สุดแล้วการเดิมพันครั้งนี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่าโจวเหว่ยชิงเป็นผู้ชนะ แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเลือกจะทิ้งขว้างผลประโยชน์ที่ตนควรจะได้ไปเสียดื้อๆ? ขี้เมาเป่าและสี่น้อยเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในบรรดานักเรียนของโรงเรียนเจ้ามณี พวกเขามีอายุเท่านี้แต่กลับปีนป่ายขึ้นไปถึงระดับปรมะขั้นแรกและขั้นกลางตามลำดับ เช่นนี้ใครจะยอมทำให้ตนเองพ่ายแพ้และกลายเป็นผู้ติดตามของคนอื่น? แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ครั้งนี้โจวเหว่ยชิงกลับทำสำเร็จจนได้!

โจวเหว่ยชิงยักไหล่และพูดว่า “ทำไมเจ้าถึงต้องมองข้าเช่นนั้นด้วย? ข้าก็แค่พูดความจริงออกมาเท่านั้น ตอนนี้ข้าเป็นแค่นักเรียนปี1 เพราะฉะนั้นข้าจะต้องการผู้ติดตามไปทำไม? ก่อนหน้านี้ข้าแค่คันไม้คันมืออยากทดสอบฝีมือกับรุ่นพี่ดูเท่านั้น อีกทั้งข้าก็โชคดีเกินไปจริงๆ นั่นแหละ ถึงอย่างไรในแง่ของพลังข้าก็อ่อนแอกว่ารุ่นพี่สี่น้อยอยู่แล้ว เอาล่ะ พวกเราจะจบเรื่องนี้ไว้ตรงนี้ แม้ว่าพวกเราจะให้คำสาบานกับมณี แต่ข้าก็สามารถถอนคำสาบานให้พวกท่านได้ หัวหน้าหลิน พวกเรารออะไรอยู่หรือ รีบไปเถอะ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง ขี้เมาเป่าและสี่น้อยต่างก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขาเป็นผู้โชคดีที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติ แม้ว่าสี่น้อยจะยังยืนกรานไม่ยอมรับและตะโกนบอกว่าเขาจะไม่อาจทนความอัปยศเช่นนี้ได้ แต่หัวใจของเขาก็ยังรู้สึกหนักอึ้งอยู่ไม่น้อย อย่างไรเขาก็รู้ว่าตนเองพ่ายแพ้จริงๆ และทั้งสองฝ่ายก็ได้สาบานเอาไว้แล้ว ด้วยความยุติธรรมของหลินเทียนอ้าวในฐานะผู้ตัดสิน เขารู้ดีว่าตนเองย่อมไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องกลายเป็นผู้ติดตามของโจวเหว่ยชิง ใครจะรู้ว่าจู่ๆโจวเหว่ยชิงจะยกเลิกการเดิมพันและปลดปล่อยพวกเขาจากคำสาบาน หลังจากรับรู้เช่นนั้น ทั้งสี่น้อยและขี้เมาเป่าต่างก็มีสีหน้าเก้อเขินและปิดปากเงียบสนิท

หลินเทียนอ้าวมองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะออกเดินทางกันเถอะ”

ขณะที่ทั้ง 8 คนมุ่งหน้าออกจากโรงเรียนเจ้ามณี ความคิดของแต่ละคนก็ยังคงจมอยู่กับเหตุการณ์ในช่วงไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ไม่มีใครเข้าใจว่าโจวเหว่ยชิงกำลังคิดอะไรอยู่

แต่ทว่าในใจของเขา โจวเหว่ยชิงกลับกำลังหัวเราะอย่างเยือกเย็น เหตุผลแท้จริงที่เขาเปลี่ยนใจก็เป็นเพราะเสียงที่เอ่ยถามพวกเขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน น้ำเสียงนั้นทำให้เขารู้สึกหนาวสั่น ไม่เพียงแต่ทำให้เขาตระหนักว่าคนๆ นั้นมีพลังสูงส่งอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เขายังต้องเป็นบุคคลที่โจวเหว่ยชิงไม่อาจรับมือได้อย่างแน่นอน และสิ่งนั้นเองก็ทำให้เขากลับมาฉุกคิดถึงสถานที่ที่ตนกำลังเหยียบอยู่ ณ ตอนนี้

ที่นี่คืออาณาจักรเฟยหลี่ และอยู่ใจกลางโรงเรียนเจ้ามณี! ในสถานที่แห่งนี้มีจ้าวมณีสวรรค์ที่โดดเด่นและทรงพลังที่สุดจากทั้งอาณาจักร ยิ่งไปกว่านั้นคือนายท่านเจ้าของสำนักกักเก็บทักษะ ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนเจ้ามณีที่ทรงพลังก็อยู่ที่นี่ด้วย!

เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ของพวกเขาเพิ่งจะดึงดูดความสนใจของบุคคลทรงอำนาจ ถ้าเขายืนกรานที่จะให้สี่น้อยและขี้เมาเป่าเป็นผู้ติดตามของเขา พวกเขาก็จะต้องติดแหง็กอยู่ในโรงเรียนไปอีกสักพัก หากอาจารย์คนใด หรือที่แย่กว่านั้นคือท่านผู้อำนวยการมาสอบสวนด้วยตัวเองถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาจะยังยอมให้โจวเหว่ยชิงดำเนินการต่อหรือ? หากต้องยอมให้นักเรียนที่โดดเด่นที่สุดในโรงเรียนของพวกเขากลายเป็นผู้ติดตามของคนอื่นจริงๆ ด้วยเกียรติอันสูงส่งของโรงเรียน ใครหน้าไหนจะยอม! อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วโจวเหว่ยชิงจะสามารถทำให้ทั้ง 2 คนกลายเป็นผู้ติดตามได้จริงๆ นั่นก็ยังอาจจะส่งผลกระทบต่อแผนการณ์ในอนาคตของเขาได้อยู่ดี ที่สำคัญที่สุดคือโจวเหว่ยชิงกลัวว่าสถานะผู้ติดตามของหลินเทียนอ้าวอาจจะถูกค้นพบเข้า ในใจของเขานั้น แม้จะมัดรวมสี่น้อยและขี้เมาเป่าเข้าด้วยกัน พวกเขาก็ยังไม่อาจเทียบเคียงหลินเทียนอ้าวได้เลยด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อยากสร้างสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกค้นพบและทำให้แผนต้องชะงักเพียงเพราะรับผู้ติดตามใหม่ 2 คน

เหตุผลอีกประการหนึ่งเกี่ยวข้องกับการประลองมณีสวรรค์ ถ้าสี่น้อยและขี้เมาเป่ากลายเป็นผู้ติดตามของเขาจริงๆ บางทีความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 8 คนอาจจะตึงเครียดจนส่งผลต่อความสามัคคีและการทำงานเป็นกลุ่ม ขี้เมาเป่าและสี่น้อยอาจได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจจนไม่อาจต่อสู้ได้เต็มกำลัง และแน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

แม้ว่าจ้าวมณีสวรรค์ 2 คนนี้จะทรงพลังและมีความสามารถมาก แต่ในความคิดของโจวเหว่ยชิง ความสำคัญของพวกเขาก็ยังถือว่าน้อยกว่าหยุนลี่มาก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงหลินเทียนอ้าวที่ทรงพลังกว่าหยุนลี่ นอกจากนี้ ไม่ว่าพลังของทั้งคู่จะน่าดึงดูดแค่ไหน เขาก็ไม่อยากเสี่ยงให้มีคนค้นพบไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขาอยู่ดี

ทักษะสัมผัสมืดและทักษะอสนีบาตพันสายเป็นทักษะที่ชัดเจนมากเกินไป นั่นอาจทำให้ผู้อื่นสามารถค้นพบได้ว่าเขามีทั้งทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุสายฟ้า หากเขายังคงอยู่ในพื้นที่ของโรงเรียนต่อไป ใครจะรู้ว่าเขาจะถูกตรวจสอบอะไรอีกบ้าง หากพวกเขารีบจากไปโดยเร็ว โจวเหว่ยชิงก็มั่นใจใว่าความลับของเขาจะยังคงถูกเก็บซ่อนไว้ได้เช่นเดิม อีกทั้งสี่น้อยและขี้เมาเป่าก็ยังจะรู้สึกติดค้างเขาด้วย

ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจสละโอกาสรับ 2 ผู้ติดตามที่ทรงพลังอย่างรวดเร็ว

ขณะที่พวกเขาทั้ง 8 คนออกเดินไปจากบริเวณสนามโรงเรียน ชายชราในชุดคลุมสีแดงก็เดินไปที่หน้าต่างชั้นบนของอาคารเรียนหลัก มองดูร่างของกลุ่มนักเรียนที่ค่อยๆ หายลับตาไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“ความผันผวนของพลังปราณสวรรค์ไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่นั่นคือทักษะธาตุมืดและสายฟ้าแน่นอน…เป็นทักษะธาตุที่หายากและมีประโยชน์จริงๆ ดูเหมือนว่าคราวนี้องค์หญิงไช่ไช่จะขุดเจอเพชรเม็ดงามเข้าเสียแล้ว สมาชิก 2 ใน 3 จากโรงเรียนทหารถึงกับมีทักษะธาตุที่หายากเช่นนี้ น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมกับโรงเรียนเจ้ามณีของเรา”

“เดิมพัน ข้าจะเดิมพันด้วย! พวกเราค่อยพูดคุยแบ่งผลประโยชน์กันภายหลัง ตอนนี้พวกเรามาวางเดิมพันกัน ก่อน” ขี้เมาเป่าเอ่ยอย่างไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้ หญิงงามเช่นซ่างกวนปิงเอ๋อร์และอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางอย่างโจวเหว่ยชิง…ในสายตาของเขาและสี่น้อย นี่ช่างเป็นผลกำไรที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง! ยิ่งไปกว่านั้น การที่สี่น้อยร่วมเดิมพันครั้งนี้ด้วยก็ทำเขามั่นใจว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาจะต้องชนะอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงไม่ลังเลที่จะตกลงเดิมพันทันที

ตอนนี้เย่เป่าเปาสังเกตเห็นบางอย่าง แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรออกมา แม้ว่าสี่น้อยและขี้เมาเป่าจะทรงพลังมากกว่าเขา แต่ในแง่ประสบการณ์ทางโลกและการมองคน พวกเขาก็ยังห่างชั้นจากเขามากนัก เย่เป่าเปาย่อมรู้ชัดแจ้งว่ายิ่งการเดิมพันมีความเสี่ยงมากเท่าไหร่ ผลกำไรก็จะยิ่งมากเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะเขาก็ยังคงเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง ภายในใจเขารู้สึกได้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิงมีอะไรบางอย่างซุกซ่อนเอาไว้ บางคนอาจแย้งได้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาจหุนหันพลันแล่นเกินไป แต่เนื่องจากโจวเหว่ยชิงไม่ได้เอ่ยปากแย้งการกระทำของเธอ เหตุผลของเขาจึงเป็นที่ชัดเจนโดยไม่ต้องเปิดปากพูดออกมาอีก อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเช่นนั้นเย่เป่าเปาก็ไม่ได้เข้าร่วมเดิมพันกับทั้งคู่ด้วย อย่างไรเงื่อนไขการเดิมพันก็เป็นถึงผู้ติดตามตลอดชีพ หากเขาร่วมเดิมพันด้วยก็คงจะเสียสติไปแล้ว! ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำเพียงแค่เฝ้าดูจากด้านข้าง เพราะไม่ว่าใครจะชนะการเดิมพันก็ไม่มีผลกับเขาอยู่แล้ว

เซียวเอี๋ยนมองไปที่ขี้เมาเป่าและพูดอย่างเคร่งขรึม “คิดให้ดีก่อนจะลงมือทำ”

อนิจจา ตอนนี้อาเป่าย่อมไม่คิดว่าพวกเขาจะแพ้พนันในครั้งนี้ เขาจึงหัวเราะอย่างเต็มที่และพูดว่า “ข้าเชื่อในตัวสี่น้อย ทั้งหมดแค่ 3 กระบวนท่าเท่านั้น แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถเอาชนะเขาได้ เจ้าก็สามารถวิ่งหนีเข้าได้อยู่ดี”

สี่น้อยพูดอย่างโกรธเคือง “หนีอย่างนั้นหรือ? คิดว่าเจ้านั้นจะสามารถเอาชนะข้าได้จริงๆหรือไง? ฮึ่ม พวกนั้นก็แค่พยายามหลอกให้เรากลัวเท่านั้น หากข้าหลงกลแผนการของพวกเขา ข้าจะยังกล้าเงยหน้ามองผู้อื่นได้อีกหรือ? หัวหน้า ท่านมาเป็นผู้ตัดสินเถิด ถ้าการเดิมพันจบลงและพวกเขาพยายามจะผิดคำพูด ท่านจะต้องยื่นมือเข้ามาทวงความยุติธรรมให้ข้าด้วย”

หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้วและพูดว่า “พวกเจ้าแน่ใจแล้วหรือ?”

สี่น้อยและขี้เมาเป่าพยักหน้าโดยไม่ลังเล หลินเทียนอ้าวจึงหันไปมองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาแฝงคำถาม

โจวเหว่ยชิงแสยะยิ้มและพูดว่า “หากภรรยาของข้าเสนอตัววางเดิมพันเช่นนี้แล้ว ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร? เข้ามาสิ” เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าทำไมซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถึงมั่นใจในตัวเขามากขนาดนี้

หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หากเป็นเช่นนั้น เจ้าทั้งคู่จงสาบานกับมณีพลังของตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีใครสามารถกลับคำได้หลังจบการประลอง”

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาทั้ง 4 จึงทำตามที่หลินเทียนอ้าวแนะนำ นั่นก็คือการสาบานกับมณีพลังของพวกเขา อาจกล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายมีความมั่นใจในตัวเองมาก ในขณะนี้จึงไม่มีใครยอมถอยเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้สนามในโรงเรียนเจ้ามณีนั้นกำลังเงียบสงบมาก ส่วนคนอื่นๆ ก็ถอยร่นออกไปอยู่ด้านข้าง ในฐานะผู้ตัดสิน หลินเทียนอ้าวจึงยืนอยู่ใกล้ๆกับพวกเขา ไม่ใช่แค่คอยตัดสินการต่อสู้ แต่ยังเตรียมพร้อมที่จะกระโดดเข้าไปช่วยเมื่อเกิดเหตุร้ายแรงอีกด้วย

หากเป็นสถานการณ์ปกติ ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม หลินเทียนอ้าวอาจไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แย่งชิงตำแหน่งแบบนี้แน่นอน แต่ทว่าในฐานะผู้ติดตามตลอดชีวิตของโจวเหว่ยชิง เขาย่อมไม่อาจหยุดยั้งสิ่งที่โจวเหว่ยชิงต้องการจะทำได้จริงๆ

โจวเหว่ยชิงและสี่น้อยยืนห่างกันประมาณ 20 หลา ส่วนหลินเทียนอ้าวยืนอยู่ด้านข้างสนาม ตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งคู่พอดี ในตอนนี้ทั้งโจวเหว่ยชิงและสี่น้อยได้ปลดปล่อยมณีสวรรค์ของพวกเขาออกมาแล้วแม้ว่าทั้งคู่จะใช้แขนเสื้อคลุมมณีธาตุเอาไว้เพื่อไม่ให้คู่ต่อสู้เห็นทักษะธาตุของตนเองก็ตาม

หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าทั้งคู่พร้อมหรือยัง?” ไม่นานทั้งคู่พยักหน้าตอบรับ

หลินเทียนอ้าวตะโกนออกไป “ดี เอาล่ะ เริ่มได้!”

ทันทีที่เสียงตะโกนดังขึ้น สี่น้อยก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “เข้ามา!” กลิ่นอายที่ดูทรงพลังปะทุออกมาจากตัวเขา คลื่นพลังปราณสวรรค์พลันระเบิดออกเป็นม่านแสงสีขาวเข้มข้น ร่างกายของเขาพุ่งทะยานออกไปทันทีราวกับเป็นตัวหมัดที่กระโจนออกไปด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจก็คือสี่น้อยผู้ที่ดูเหมือนจะเกลียดชังโจวเหว่ยชิงและอยากจะต่อยตีอีกฝ่ายสักหมัดกลับกระโดดถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขากระโดดถอยหลังนั้น แสงสีเขียวสว่าง 2 สายก็พลันสาดส่องออกมาหลอมรวมกันกลายเป็นปีกสีทองบนหลังของเขา และเมื่อเขากระพือปีกอย่างรวดเร็ว ปีกคู่นั้นก็สามารถพาเขาบินถอยหลังกลับไปในอากาศได้อย่างน่าอัศจรรย์

“บัดซบ! เจ้านั่นไร้ยางอายเกินไปแล้ว!” แม้เย่เป่าเปาจะมีนิสัยเยือกเย็น แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาอย่างเหลืออด สำหรับขี้เมาเป่าที่ยืนอยู่ข้างๆ เขากลับเหยียดยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “จัดการสี่น้อยใน 3 กระบวนท่างั้นรึ? แม้แต่หัวหน้ายังไม่อาจทำได้ด้วยซ้ำ จุดแข็งของสี่น้อยคือความสามารถในการหลบหลีก เขาเป็นคนเดียวในหมู่พวกเราที่สามารถบินได้ชั่วขณะหนึ่ง หากเขาอยู่กลางอากาศเช่นนี้ ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเจ้าเด็กมณี 3 ชุดตัวเล็กๆ อย่างเขาจะสามารถเอา ชนะสี่น้อยใน 3 กระบวนท่าได้อย่างไร”

เย่เป่าเปาหันไปมองไปทางซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่เขากลับต้องประหลาดใจที่เห็นว่าเธอไม่ได้ดูกังวลอะไรเลย ในทางตรงกันข้าม ใบหน้าของเธอกลับประดับไปด้วยรอยยิ้มที่ดูมั่นอกมั่นใจ

ปีกคู่ของสี่น้อยไม่ใช่ศาสตรามณียุทธ์ชิ้นเดียว แต่อุปกรณ์คู่ 2 ชิ้น ทั้งยังเป็นชุดศาสตรามณียุทธ์ที่หายากมากอีกด้วย เมื่อรวมกับพลังปราณสวรรค์และการฝึกฝนใช้งานเป็นเวลานานๆ ประโยชน์ของมันคือก็ทำให้เขาสามารถโบยบินไปในอากาศได้อย่างสะดวกสบาย ปีกคู่นั้นไม่เพียงแต่ทำให้เขาสามารถบินได้ แต่ยังทำให้เขาสามารถหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวกลางอากาศ ทั้งยังสามารถใช้เร่งความเร็วได้ เขาสามารถใช้มันควบคู่ไปกับทักษะกักเก็บอื่นๆ ของเขา ก่อเกิดเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาไม่ได้คิดที่จะต่อสู้กับโจวเหว่ยชิงโดยตรง

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะดูเหมือนสี่น้อยและขี้เมาเป่าอารมณ์ร้อนและหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ทำให้พวกเขากล้ากระโดดเข้าร่วมการเดิมพันที่ท้าทายเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริงทั้ง 2 คนกลับเฉลียวฉลาดมาก 3 กระบวนท่างั้นรึ? ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีทักษะพิเศษอะไรก็ตาม ตราบใดที่ไม่สามารถสัมผัสตัวสี่น้อยได้ เขาจะเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างไร? แท้จริงแล้วนั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิดไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น สี่น้อยก็ใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบด้านความเร็วของหยกหินมังกรเพื่อกระโดดหนี เมื่อใช้ปีกของเขาเข้าช่วยอีกแรง เขาก็สามารถสร้างระยะห่างระหว่างพวกเขาได้เกือบ 50 หลาทันที แน่นอนว่านั่นเป็นระยะทางที่ทักษะกักเก็บส่วนใหญ่ไม่สามารถเปิดใช้งานได้

เมื่อสี่น้อยกระโจนถอยหลังออกไป โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นสี่น้อยลอยขึ้นไปในอากาศด้วยปีกคู่นั้น เขาก็พลันหัวเราะออกมา โจวเหว่ยชิงดูไม่รีบร้อนเลยแม้แต่น้อย วินาทีนั้นเขายกมือขวาขึ้นมาโบกอย่างใจเย็น ส่วนผู้ตัดสินอย่างหลินเทียนอ้าวก็ค่อยๆ หลับตาลง ทันทีที่สี่น้อยกระโดดถอยหลังและบินขึ้นไปในอากาศ หลินเทียนอ้าวก็รู้ว่าผลแพ้ชนะได้ถูกตัดสินแล้ว ถ้าสี่น้อยเลือกที่จะพุ่งไปข้างหน้าและต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับโจวเหว่ยชิง เขาก็อาจยังมีโอกาสชนะเดิมพันครั้งนี้อยู่บ้าง แต่เมื่อเขาเลือกที่จะหลบหนี นั่นก็ถือว่าเขาตกสู่อุ้งมือของโจวเหว่ยชิงเสียแล้ว จงอย่าลืมว่าเขาเป็นนักธนู! ไม่ว่าสี่น้อยจะบินเร็วแค่ไหน ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้เขาก็ย่อมไม่มีวันบินหนีออกไปจากระยะยิงของโจวเหว่ยชิงได้ นอกจากนี้ ศาสตรามณียุทธ์ของโจวเหว่ยชิงยังมีหลุมบรรจุมณีถึง 2 ช่อง!

ไอหมอกเย็นยะเยือกค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ชั่วขณะนั้นธนูราชันย์ก็พลันปรากฏในมือของโจวเหว่ยชิง หลังจากเห็นภาพนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของขี้เมาเป่าก็หายไปอย่างช้าๆ ทั้งเขาและสี่น้อยต่างประเมินความสามารถทั้งหมดที่เป็นไปได้ของ โจวเหว่ยชิง แต่พวกเขากลับมองข้ามความจริงที่ว่าเขาอาจเป็นนักธนู!

สายธนูถูกโจวเหว่ยชิงง้างขึ้นจนสุดสาย เขาจ้องมองไปยังสี่น้อยที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ในเวลาเดียวกันนั้นสี่น้อยก็เห็นธนูในมือของเขาเช่นกัน จู่ๆความหวาดกลัวก็ตรงเข้าเกาะกุมหัวใจของเขาทันที แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นนักเรียนผู้ทรงพลังคนหนึ่งในโรงเรียนเจ้ามณี ไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์แบบไหน เขาก็จะไม่เผยท่าทีตื่นตระหนกเด็ดขาด โจวเหว่ยชิงเป็นนักธนูแล้วอย่างไร? เขาก็แค่ต้องหลบหลีกลูกศรของเขาให้ได้ 3 ดอก ด้วยเหตุนี้ ท้ายที่สุดเขาก็จะยังชนะได้อยู่ดี

ลูกศรพุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศราวสายฟ้าฟาด ผู้ชมทั้งหมดเพิ่งมองเห็นอากาศสั่นสะเทือนได้เพียงเล็กน้อย ลูกศรที่ยิงจากธนูราชันย์ก็ไปถึงตัวสี่น้อยแล้ว

แม้ว่าในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านั้นสี่น้อยจะบินฉีกออกไปได้ไกลมากแล้ว แต่เขาก็ยังไปไม่ถึง 100 หลา ในระยะใกล้เช่นนี้ การพยายามหลบหลีกลูกศรจากธนูราชันย์ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย!

อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเองสี่น้อยก็ได้พิสูจน์ให้ผู้ชมคนอื่นๆ เห็นแล้วว่าแม้บางสิ่งจะดูยากเย็น แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ท่ามกลางแสงสีเงินเจิดจ้า จู่ๆ ร่างของเขาก็หายไปวับไปกลางอากาศ

เย่เป่าเปาและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ “ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา!”

ชั่ววินาทีนี้เอง สี่น้อยก็ได้เปิดเผยมณีธาตุของเขาออกมาเป็นครั้งแรก แท้จริงแล้วมณีธาตุของเขาไม่ใช่ธาตุลมอย่างที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์คาดเดาเอาไว้ก่อนหน้า แต่เป็นทักษะธาตุมิติ! เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงยกธนูราชันย์ขึ้นมา สี่น้อยก็คิดแผนการได้ทันที เขาใช้ทักษะอย่างไม่ลังเลและสามารถหลบลูกศรดอกแรกได้อย่างหวุดหวิด

ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตานั้นสามารถส่งเขาออกไปได้ 10 หลา เห็นได้ชัดว่าทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาของสี่น้อยมีประสิทธิภาพมากกว่าโจวเหว่ยชิงเนื่องจากระดับพลังปราณของเขาเหนือกว่าอีกฝ่าย

ณ เวลานั้น สี่น้อยพลันรู้สึกลำพองใจขึ้นมา 3 กระบวนท่างั้นรึ? ถึงจะเป็น 30 กระบวนท่า เขาก็ยังไม่แพ้เลยด้วยซ้ำ! ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้มีเพียงทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาเท่านั้น แต่ยังมีทักษะโจมตีธาตุมิติที่ทรงพลังยิ่งกว่า หึ! ไม่ว่าลูกศรของเจ้าจะเร็วหรือทรงพลังแค่ไหน ข้าก็จะไม่พ่ายแพ้ให้แก่เจ้า มณี 3 ชุดกับมณี 4 ชุดอย่างนั้นรึ เห็นได้ชัดว่านี่คือความแตกต่างของพลัง!

อนิจจา ในขณะที่เขากำลังหลงชื่นชมตัวเองอยู่นั้น ผู้ชมด้านล่างก็ต้องเบิกตาขึ้นมาอย่างตกตะลึงทันที เหตุผลก็เพราะพวกเขาเห็นลูกศรของโจวเหว่ยชิงสามารถหยุดลงกลางอากาศได้เต็มสองตา และจริงๆ แล้วมันก็หยุดตรงจุดที่สี่น้อยลอยอยู่ก่อนหน้านี้ราวจับวาง คาดเดาได้อีกอย่างว่าลูกศรดอกนั้นต้องมีจุดประสงค์ที่จะหยุดตรงนั้นอยู่ก่อนแล้ว

มีเพียงซ่างกวนปิงเอ๋อร์เท่านั้นรู้แน่ชัดว่านี่เป็นวิธียิงธนูประเภทหนึ่งเพื่อควบคุมระยะของลูกศรที่ยิงออกไป อีกทั้งนี่ยังเป็นทักษะที่ทั้งคู่สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างง่ายดาย

ในช่วงเวลาต่อมา สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจอย่างแท้จริงคือแสงสีดำจำนวน 12 สายที่มีลักษณะคล้ายหนวดปลาหมึก ดูแล้วแต่ละเส้นมีความยาวเกือบ 35 หลา สี่น้อยเพิ่งจะแสยะยิ้มกว้างออกมา ทว่าในพริบตาเดียวรอยยิ้มของเขาก็พลันแข็งค้างเนื่องจากหนวดสีดำที่ไม่ทราบที่มากำลังเกี่ยวรัดอยู่รอบๆ ร่างกายและปีกของเขา

แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแค่นั้น เมื่อหนวดสีดำถูกปลดปล่อยออกมา จู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นตามมาทันที ไม่นานพื้นที่ทั้งหมดในเส้นผ่านศูนย์กลาง 100 หลาก็สว่างวาบขึ้นเป็นแสงสีฟ้าที่น่าตื่นตระหนก

หลินเทียนอ้าวชะงัก มองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างค้นหา ดวงตาของเขาฉายแววลังเล ในบรรดาผู้คนทั้งหมดในสนาม ทุกคนอาจประเมินโจวเหว่ยชิงต่ำเกินไปได้ แต่เขาย่อมเป็นคนสุดท้ายที่จะทำเช่นนั้น แม้ว่าในแง่ของพลังโดยรวมหลินเทียนอ้าวจะเหนือกว่าโจวเหว่ยชิงอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังรู้ว่าโจวเหว่ยชิงย่อมไม่อาจเอาชนะเขาได้ แต่อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพราะหลินเทียนอ้าวรู้ว่าพลังป้องกันขั้นสุดยอดของเขาใช้ได้ผลกับโจวเหว่ยชิง อาจกล่าวได้ว่าพลังของเขาบังเอิญต้านทานการโจมตีที่ทรงพลังและทักษะธาตุมากมายของเขาได้พอดี หากไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ทรงพลังของโจวเหว่ยชิง ทั้งทักษะควบคุมที่แข็งแกร่งและทักษะที่หลากหลายของเขา จ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 5 ชุดธรรมดาๆ ก็อาจไม่สามารถเอาชนะเพื่อนคนนี้ได้ ยิ่งหากโจวเหว่ยชิงมีมณี 5 ชุดเมื่อไหร่ หลินเทียนอ้าวก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ กระทั่งการเสมอกันก็ยังอาจเป็นเรื่องยาก ในขณะที่เขากำลังคิดวุ่นวายถึงเรื่องนี้ หลินเทียนอ้าวก็ตระหนักได้ว่าบางทีการที่โจวเหว่ยชิงเข้าร่วมกับพวกเขาก็อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป ทักษะที่หลากหลายของเขาน่าจะกลายเป็นประโยชน์สำหรับคนทั้งกลุ่มมาก

“เจ้าหนูน้อย มีมณีแค่ 3 ชุดแต่ยังกล้าฝันที่จะแย่งชิงตำแหน่งในทีมหลัก? ช่างน่าขันเสียจริง!” ก่อนที่หลินเทียนอ้าวจะอ้าปากพูด สี่น้อยก็พูดแทรกออกมาก่อนอย่างเย้ยหยัน

เย่เป่าเปาไม่ได้พยายามที่จะหยุดโจวเหว่ยชิง ตรงกันข้าม เขากลับเลือกที่จะมองอีกฝ่ายจากด้านข้างอย่างเยือกเย็น ข่าวลือเกี่ยวกับโจวเหว่ยชิงส่วนใหญ่มาจากคำบอกเล่าของคนอื่นๆ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นพลังของโจวเหว่ยชิงเป็นการส่วนตัวมาก่อน อย่างไรก็ดี เนื่องจากโจวเหว่ยชิงเต็มใจที่จะก้าวไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเอง เย่เป่าเปาจึงมีความสุขที่ได้ทอดสายตามองเขาต่อปากต่อคำกับสี่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขารู้สึกขุ่นเคืองกับทัศนคติของฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน

โจวเหว่ยชิงมองไปที่สี่น้อยและยิ้มกว้างให้เขา “นั่นหมายความว่าที่ว่างในกลุ่มหลักขึ้นอยู่กับพลังในการต่อสู้? ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาลองประมือกันดีหรือไม่? ที่นี่ก็มีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร ถ้าหากเจ้าแพ้ พวกเราจะสับเปลี่ยนตำแหน่งตัวจริงตัวสำรองกัน เจ้าว่าเป็นอย่างไร?”

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงพูดเช่นนั้น สี่น้อยก็หัวเราะร่วนออกมา แม้แต่เพื่อนตัวใหญ่ที่หลินเทียนอ้าวเรียกว่าขี้เมาเป่ารวมถึงอู่หยาก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน ทั้งสองคนรู้ความแข็งแกร่งของสี่น้อยดี ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 3 ชุดที่สามารถล้มจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 4 ชุดได้…ในสายตาของพวกเขา โจวเหว่ยชิงเป็นแค่คนโง่เง่าที่มั่นใจในตัวเองมากเกินไปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เซียวเอี๋ยนยังคงนิ่งเฉยขณะที่หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้วแน่น

เพียงพริบตาเดียว สี่น้อยก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าโจวเหว่ยชิงในระยะใกล้เพียงไม่ถึง 1 ฉื่อ เขาเอ่ยขึ้นมาว่า “ได้ เจ้าเด็กเหลือขอ ถ้าข้าแพ้ข้าจะให้เจ้าสลับมาอยู่ตำแหน่งของข้า แต่ถ้าเจ้าแพ้ล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ถ้าข้าแพ้ ข้าจะมอบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่สร้างโดยปรมาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ให้กับเจ้า เช่นนี้เป็นอย่างไร?” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เขาก็ยกมือขึ้นจับสร้อยมิติของตน กล่องไม้กล่องหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือของเขา

โจวเหว่ยชิงเปิดกล่องออกมา เผยให้เห็นม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่อยู่ภายใน “นี่คือกล่องคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์ที่มีม้วนคัมภีร์อยู่ 99 แผ่น อาวุธชิ้นนี้เรียกว่าธนูราชันย์ มันถูกสร้างขึ้นสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งโดยเฉพาะ และแม้ว่ามันจะขาดไป 1 แผ่น แต่อัตราความสำเร็จก็ใกล้เคียงกับของเดิมมาก อย่างไรศาสตรามณียุทธ์ที่มาพร้อมกับหลุมบรรจุมณีนั้นหายากมาก ข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดถึงมูลค่าของมันใช่ไหม?”

ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าโจวเหว่ยชิงจะวางเดิมพันครั้งใหญ่เพียงเพื่อตำแหน่งในกลุ่มหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และในสายตาของพวกเขา โอกาสที่ว่าก็ดูจะสำเร็จได้ยากมากเช่นกัน อย่างไรม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์ดังกล่าวก็มีมูลค่าตามท้องตลาดอย่างน้อย 500,000 เหรียญทองหรืออาจสูงกว่านั้นขึ้นไปอีก

สี่น้อยหันไปมองหลินเทียนอ้าวด้วยสายตาสงสัย แม้ว่าธนูราชันย์ของโจวเหว่ยชิงจะไม่ได้มีประโยชน์กับเขาโดยตรง แต่ม้วนคัมภีร์ดังกล่าวก็มีมูลค่ามหาศาล ไม่ว่าจะขายเป็นเงินหรือแลกเปลี่ยนกับม้วนคัมภีร์ที่เขาสามารถใช้ได้ก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่โจวเหว่ยชิงหยิบมันออกมา ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยความสุขสม แต่เขาก็ยังคงเคารพหลินเทียนอ้าวเป็นอย่างมาก เมื่ออีกฝ่ายส่งสายตาห้ามปรามออกมา เขาก็เพียงแสดงท่าทางไม่เห็นด้วยกับหัวหน้าของตน

แม้หลินเทียนอ้าวจะไม่เข้าใจว่าทำไมโจวเหว่ยชิงถึงต้องทำเช่นนี้ แต่เขาก็พอจะเดาได้ ประการแรกคือการสร้างชื่อเสียง ประการต่อมาก็คือเป็นสมาชิกทีมหลักและสามารถเข้าร่วมการประลองได้จริงๆ เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่ของโจวเหว่ยชิง ในฐานะผู้ติดตามของเขา หลินเทียนอ้าวจะยังทำอะไรได้อีก

“เนื่องจากน้องโจวต้องการจะต่อสู้ ดังนั้นข้าจึงอนุญาตให้เจ้าทั้ง 2 คนก็ต่อสู้กันได้ แต่อย่ารุนแรงจนถึงขั้นเจ็บหนักล่ะ โปรดยั้งมือเอาไว้ด้วย ส่วนผลเดิมพันจะเป็นไปตามที่เจ้าทั้ง 2 คนตกลงกัน”

หลังจากหลินเทียนอ้าวกล่าวออกมา ใบหน้าของสี่น้อยก็สดใสขึ้นทันที ในสายตาของเขา โจวเหว่ยชิงที่มีมณี 3 ชุดก็เหมือนกับมดตัวจ้อย อย่างไรการที่เขาสามารถเป็นตัวแทนของโรงเรียนเจ้ามณีเข้าสู่การประลองที่สำคัญเช่นนี้ได้ก็ต้องผ่านแบบทดสอบและความยากลำบากมามากมาย เขาต่อสู้กับจ้าวมณีระดับ 4 ชุดคนอื่นๆเพื่อที่จะครอบครองตำแหน่งตัวจริงนี้ สี่น้อยมั่นใจมากว่าแม้เขาจะต้องเผชิญหน้ากับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุดคนใดก็ตาม เขาก็จะยังคงประคองตัวเองไหว…นับประสาอะไรกับคู่ต่อสู้ที่มีมณี 3 ชุดเช่นโจวเหว่ยชิง

ขี้เมาเป่าเอ่ยออกมาด้วยท่าทางสบายๆ “ข้าเดิมพันว่า…10 กระบวนท่า ใครจะเอาด้วยบ้าง?”

เซียวเอี๋ยนมองไปที่เขาและพูดอย่างเฉยเมย “8 กระบวนท่า”

อู่หยาเม้มริมฝีปากของเธอแล้วพูดว่า “รุ่นพี่ ท่านมีความมั่นใจในตัวสี่น้อยต่ำเกินไปแล้ว ข้าคิดว่า 5 กระบวนท่าก็เพียงพอ

เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขาทั้ง 3 คน การแสดงออกของเย่เป่าเปาก็เปลี่ยนไปทันที คนเหล่านี้ดูถูกพวกเขาอย่างแท้จริง…เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเดิมพันกันว่าสี่น้อยจะต้องใช้กี่กระบวนท่าเพื่อเอาชนะโจวเหว่ยชิง

“ข้าจะพนันกับพวกเจ้า” ในขณะนั้น น้ำเสียงที่มีเสน่ห์ก็ดังขึ้นเมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก้าวออกมาพร้อมกับใบหน้าที่เย็นชา แม้ว่าปกติแล้วเธอจะเป็นคนอ่อนโยนและใจดี แต่เธอก็จะไม่ยอมถอยเมื่อมีคนพยายามกลั่นแกล้งเจ้าอ้วนน้อยของเธอ

โจวเหว่ยชิงเฝ้ามองอย่างเงียบๆ ดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างไร้กังวลขณะที่สี่น้อยยิ้มเยาะอย่างเย็นชา

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หากมองไปยังซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ย่อมเกิดความรู้สึกตาพร่าขึ้นมาเหมือนๆ กัน ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งหมดยกเว่นอู่หยาต่างก็มุ่งความไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กันทั้งนั้น บางทีพวกเขาอาจแค่ยั่วยุเย่เป่าเปาและโจวเหว่ยชิงเพื่อโอ้อวดตัวเองต่อหน้าเธอเท่านั้น เมื่อเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก้าวออกมาไปข้างหน้าด้วย พวกเขา 2-3 คนก็ลอบยิ้มออกมาเสียไม่ได้

ขี้เมาเป่ายิ้มกว้างและกล่าวว่า “คนสวย เจ้าคิดจะเดิมพันกับพวกเราอย่างไร? ทำไมเจ้าถึงปกป้องเจ้าเด็กนี่ถึงขนาดนี้ เขาคงไม่มีความสามารถพอจะเป็นคนรักของเจ้าหรอกใช่ไหม?”

สายตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่หวั่นไหวขณะที่เธอพูดว่า “เขาเป็นคู่หมั้นของข้า”

ทันทีที่เธอพูดแบบนั้น ทุกคนที่อยู่รอบๆก็ชะงักไปทันที จากรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียวก็บอกได้อยู่แล้วว่าโจวเหว่ยชิงไม่เหมาะสมกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ พวกเขาจึงไม่คาดคิดว่าเธอจะตอบเช่นนี้

โจวเหว่ยชิงรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ใบหน้าของเขาฉายแววภาคภูมิใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดเกี่ยวกับพวกเขาเช่นนี้ในที่สาธารณะ

“อ๊าาาา ดอกไม้งามกลับจมปลักอยู่ในขี้โคลนจริงๆ” ขี้เมาเป่ากล่าวอย่างแสร้งทำเป็นเสียใจ เซียวเอี๋ยนไม่ได้เปิดปากพูดสิ่งใด แต่สายตาของเขากลับดูแปลกประหลาดไปเช่นกัน สำหรับอู่หยานั้นเธอดูค่อนข้างสับสน มองสลับไปที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ราวกับว่าเรื่องระหว่างทั้งสองคนเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

เสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เยือกเย็นมากขึ้นราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของขี้เมาเป่า “3 กระบวนท่า ข้าพนันได้เลยว่าอ้วนน้อยจะเอาชนะสี่น้อยของพวกเจ้าได้ใน 3 กระบวนท่า แต่มูลค่าการเดิมพันของข้านั้นยิ่งใหญ่มากเช่นกัน…พวกเจ้ากล้ายอมรับการเดิมพันหรือไม่?”

ทันทีที่เธอพูดเช่นนั้น ขี้เมาเป่าและคนอื่นๆ ก็ชะงักไปทันที แม้พวกเขาจะรู้สึกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังพูดเรื่องไร้สาระ แต่ขณะที่พูดเธอก็มีบรรยากาศที่ดูสง่าผ่าเผย อีกทั้งความมั่นใจในตัวเธอทำให้พวกเขาถึงกับลังเลไปเล็กน้อย

เซียวเอี๋ยนเปิดปากออกมาในที่สุด “เจ้าต้องการเดิมพันอะไร?” เสียงของเขาทุ้มต่ำ ให้ความรู้สึกค่อนข้างแปลกประหลาด

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดต่ออย่างเย็นชา “ถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะสี่น้อยได้ใน 3 กระบวนท่า เราทั้งคู่ยินดีที่จะเป็นผู้ติดตามตลอดชีพของเจ้า ในทางตรงกันข้าม หากสี่น้อยแพ้ การเดิมพันของเจ้าก็คือเป็นผู้ติดตามตลอดชีพของพวกข้า ใครยินดีจะเดิมพันกับข้าบ้าง?”

เมื่อได้ยินคำพูดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ดวงตาของทั้งโจวเหว่ยชิงและหลินเทียนอ้าวก็แทบจะกลิ้งหลุดออกมาจากเบ้า โจวเหว่ยชิงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเรียนรู้การกระทำของเขาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับหลินเทียนอ้าว ความคิดของเขาซับซ้อนกว่านั้นมาก ในตอนแรกเขารู้สึกว่าสาวงามคนที่มักจะติดตามโจวเหว่ยชิงไปทุกที่นั้นเป็นเด็กผู้หญิงที่อ่อนโยนและไร้เดียงสามาก แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าวลี ‘คนที่นอนกับหมาก็ต้องติดหมัดไปด้วย’ นั้นเป็นเรื่องจริง พวกเขากำลังใช้กลอุบายแบบเดียวกันอีกครั้ง และครั้งนี้การเดิมพันของพวกเขาก็ดูชอบธรรมกว่ามาก ผู้หญิงคนนี้เหนือชั้นกว่าโจวเหว่ยชิงอย่างแท้จริง! เขาไม่รู้สึกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังเสี่ยงเดิมพันอยู่เลยด้วยซ้ำ อย่างไรไม่กี่วันที่ผ่านมาสิ่งเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับเขาเช่นกัน ทั้งๆ ที่เขาก็คิดว่าตัวเองกำชัยชนะไว้ในมือแล้วด้วยซ้ำ อนิจจา ผลลัพธ์สุดท้ายก็ชัดเจนอยู่แล้ว สามีภรรยาคู่นี้จะไม่ลงมือทำอะไรที่พวกเขาไม่มั่นใจเด็ดขาด หลินเทียนอ้าวรู้ชัดเกี่ยวกับเกี่ยวกับความสามารถของสี่น้อย และแม้ว่าเขาจะทรงพลังมากเพียงใด แต่เขาก็ยังห่างชั้นจากหลินเทียนอ้าวมากนัก หากเป็นเช่นนี้ ขนาดตัวเขาเองยังถูกโจวเหว่ยชิงหลอก สี่น้อยจะเอาชนะอีกฝ่ายไปได้อย่างไร?

แน่นอนว่าหลินเทียนอ้าวไม่ได้พยายามส่งสัญญาณเตือนพี่น้องในกลุ่มของเขา นั่นไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนเฉยเมยหรือไม่ใส่ใจเพื่อนพ้อง แต่เพราะเขาเป็นผู้ติดตามของโจวเหว่ยชิงอยู่ต่างหาก ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องวางผลประโยชน์ของโจวเหว่ยชิงไว้เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก พูดตรงไปตรงมาก็คือเขาไม่ใช่หลินเทียนอ้าวในอดีตอีกต่อไป ตอนนี้เขาเป็นคนใหม่ที่มีเจ้านายเป็นของตัวเองแล้ว

“ข้าจะเดิมพันกับเจ้า!” ก่อนที่ใครจะได้อ้าปากพูด สี่น้อยก็วิ่งเข้าหาเธออย่างรีบร้อนและตะโกนออกมา ไม่เคยมีใครกล้าดูถูกเขาขนาดนี้มาก่อน แล้วนับประสาอะไรกับหญิงงามคนหนึ่งกันเล่า 3 กระบวนท่างั้นรึ? เธอพูดว่าเจ้าเด็กเหลือขอที่มีมณีเพียง 3 ชุดจะใช้เพียง 3 กระบวนท่าเพื่อจัดการเขา? นั่นเป็นการดูถูกเหยียดหยามขั้นสูงสุดและเขาไม่มีทางทนต่อความอัปยศเช่นนี้ได้!

เมื่อมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ สี่น้อยก็กล่าวว่า “ถ้าข้าชนะ ข้าไม่ต้องการเจ้าเด็กนั่น ข้าต้องการให้เจ้าเป็นผู้ติดตามของข้าเพียงคนเดียว”

“เดี๋ยวก่อน! สี่น้อย เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้นะ ข้าเป็นคนคิดการเดิมพันนี้ขึ้นมาก่อน ถ้าเจ้าได้หญิงงามไปครอง แล้วข้าจะเสียเวลาคิดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม? ใครจะไปอยากได้เจ้าเด็กเหลือขอนั่นกัน!” ขี้เมาเป่ากล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเย่เป่าเปาและโจวเหว่ยชิงที่เฝ้าสังเกตอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีสงบนิ่งก็ตระหนักว่าทั้งอู่หยาและเซียวเอี๋ยนกำลังปิดปากเงียบโดยไม่มีท่าทีว่าพวกเขาจะเข้าร่วมด้วยแม้แต่น้อย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเฉยชาว่า “แม้จะยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ แต่อ้วนน้อยเป็นถึงอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง ถึงระดับพลังปราณของเจ้าจะสูงกว่าเขา แต่ในโลกของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ สถานะของเจ้าก็ยังห่างไกลจากเขามาก”

เมื่อได้ยินคำว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง ดวงตาของขี้เมาเป่าก็สว่างวาบขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเจ้าเด็กคนนี้อายุน้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ หากเขาสามารถขึ้นเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วอนาคตของเขาล่ะจะเป็นอย่างไร? บางทีเขาอาจจะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์หรือสูงกว่านั้นก็ ได้!

ถ้าเขาได้ผู้ติดตามเช่นนี้มาอยู่ใต้อาณัติ เขาจะต้องได้รับผลประโยชน์มหาศาลแน่!

หลินเทียนอ้าวถอนหายใจ เขารู้ดีว่าในขณะนี้ทั้งขี้เมาเป่าและสี่น้อยต่างก็ตกหลุมพรางของอีกฝ่ายแล้ว เช่นเดียวกับตัวเขาเองในอดีต พวกเขามองแค่ผลประโยชน์ในอนาคตเท่านั้น ไม่ได้มองอันตรายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเดิมพันนี้เลยแม้แต่น้อย

ทั้ง 5 คนแต่งกายด้วยชุดรัดรูปสีเขียวเข้ม ในหมู่พวกเขา คนที่อยู่ตรงกลางด้านหน้าสุดของกลุ่มมีแถบสีทองคาดอยู่รอบๆ ชุดคลุมในขณะที่คนอื่นๆ เป็นแถบสีเงิน บริเวณหน้าอกด้านซ้ายของพวกเขามีสัญลักษณ์ดาบคู่สีทองขนาดเล็กเท่าไข่ไก่ประดับอยู่ เครื่องแต่งกายเหล่านั้นทำให้พวกเขาดูองอาจและสง่างาม

ในบรรดาคนทั้ง 5 คนที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดคือคนที่อยู่ทางซ้าย คนผู้นั้นสูงเกือบ 2 เมตร มีลาดไหล่กว้าง ลักษณะดูหนักแน่นทรงพลัง อีกทั้งมือขนาดใหญ่ทั้งสองข้างก็ยังโดดเด่นมาก ปัญหาเพียงอย่างเดียวคือยักษ์ใหญ่ผู้นี้เป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวในบรรดากลุ่มคนทั้ง 5!

หน้าตาของนักเรียนหญิงคนนี้ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร ในความเป็นจริงใบหน้าของเธอกลับตรงกันข้ามกับรูปร่างภายนอกด้วยซ้ำ เธอมีดวงตากลมโตคู่หนึ่ง ใบหน้ารูปไข่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยนพร้อมด้วยรูปลักษณ์ที่ดูมีเสน่ห์ อย่างไรก็ตาม เมื่อหันไปมองร่างกายที่ใหญ่โตของเธอ นั่นจึงกลายเป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่าตกใจไปเสียหน่อย รูปร่างนั้นไม่อาจเรียกได้ว่ามีเสน่ห์ยั่วยวน บางทีคำว่าสาวน้อยผู้แข็งแกร่งอาจฟังดูยุติธรรมมากกว่า

แน่นอนว่านักเรียนหญิงคนนี้เป็นคนที่ดึงดูดความสนใจของทั้ง 3 ไปได้มากที่สุด แต่สายตาของโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่เธอเป็นเวลานานนัก พวกเขารีบหันหน้าหนีและมองคนที่อยู่ตรงกลางทันที นั่นเป็นเพราะนี่คือบุคคลที่พวกเขารู้จัก! เขาคือหลินเทียนอ้าว จ้าวมณีสวรรค์ประเภทป้องกันขั้นสุดยอดที่มีมณี 5 ชุดพร้อมกับชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้น คนที่เพิ่งเดิมพันกับโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่…และพ่ายแพ้!

“ทำไมเป็นเขาล่ะ?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงออกมาด้วยความประหลาดใจ

โจวเหว่ยชิงหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็วและขยับกายเข้าหาเธอ ไม่นานหญิงสาวก็สงบลงและปิดปากเงียบ

เย่เป่าเปามองพวกเขาอย่างอยากรู้อยากเห็นและพูดว่า “เจ้ารู้จักพวกเขา? ทั้ง 5 คนนี้น่าจะเป็นสมาชิกหลักในกลุ่มนักรบอาณาจักรเรา”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ข้าเคยเห็นคนที่อยู่ตรงกลางมาก่อนแล้ว เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มหรือ?”

ขณะนี้หลินเทียนอ้าวได้นำอีก 4 คนเดินมาหาพวกเขาแล้ว หากโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์จำเขาได้ แน่นอนว่าหลินเทียนอ้าวก็ต้องจำพวกเขาได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงจ้องมองทั้ง 2 คนด้วยความงุนงงเล็กน้อย เมื่อทั้งสองฝ่ายขยับเข้าใกล้กันมากยิ่งขึ้น มีเพียงนักเรียนหญิงคนเดียวเท่านั้นที่มองพวกเขาอย่างสนอกสนใจ ส่วนอีก 3 คนที่เหลือดูเบื่อหน่ายและไม่ได้ใส่ใจพวกเขาเท่าไหร่นัก

เมื่อหลินเทียนอ้าวหยุดเดิน เย่เป่าเปาก็มุ่งหน้าเข้าไปทักทายเขา “สวัสดี ข้าชื่อเย่เป่าเปา พวกเรา 3 คนเป็นตัวแทนจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่และจะเข้าร่วมการประลองมณีสวรรค์กับพวกท่าน ได้โปรดดูแลพวกเราด้วย”

หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและยื่นมือขวาไปหาเย่เป่าเปาขณะที่เขาพูดว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก”

โจวเหว่ยชิงยิ้มให้เขาและพูดว่า “การประลองมณีสวรรค์คือธุระที่เจ้าต้องไปจัดการเป็นเวลา 3 เดือนงั้นหรือ?”

หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและกล่าวว่า “ท่านเป็นนักเรียนของโรงเรียนทหารเฟยหลี่จริงหรือ?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “อันที่จริงข้าเป็นหัวหน้าห้องของห้องเรียนเอกสามัญชั้นปีที่ 1 ชื่อโจวเหว่ยชิง สวัสดีทุกๆ คน”

ปากของหลินเทียนอ้าวกระตุกเล็กน้อยขณะที่เขาคิดกับตัวเอง ไม่เพียงแต่มาจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่ แต่ยังเป็นเพียงนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งเท่านั้น? ด้วยความสามารถและระดับพลังปราณเช่นนี้ ทำไมเขาถึงไม่เข้าร่วมกับโรงเรียนเจ้ามณี! อนิจจา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่ายแพ้ก็คือพ่ายแพ้ เขาไม่อาจทำอะไรได้แล้ว

นักเรียนร่างใหญ่อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างสงสัย “หัวหน้า ท่านรู้จักเขาหรือ?”

หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและกำลังจะเปิดปาก แต่โจวเหว่ยชิงกลับรีบพูดแทรกขึ้นว่า “ข้าโชคดีที่ได้รู้จักกับหัวหน้าหลินในช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่วันในศูนย์การค้า” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เขาก็ส่งสัญญาณบางอย่างให้หลินเทียนอ้าวอย่างรวดเร็วด้วย

แม้หลินเทียนอ้าวจะไม่รู้ว่าทำไมโจวเหว่ยชิงถึงต้องการปกปิดความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่เขาก็ยินดีที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของอีกฝ่าย ท้ายที่สุดแล้วการประลองมณีสวรรค์ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเขาและเขาไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบใดๆ กับการแข่งขันในครั้งนี้

หลินเทียนอ้าวกล่าวว่า “ข้าจะแนะนำทุกคนให้รู้จัก” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เขาก็ชี้ไปที่ ‘หญิงงามร่างยักษ์’ และพูดว่า “นี่คืออู่หยา อายุ 21 ปี และยังเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 1 คนเดียวของเราในกลุ่ม นางเพิ่งเข้าร่วมกับโรงเรียนของเราในปีนี้และมีมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งที่ทรงพลังมาก เจ้ามณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุด มณี 3 ชุด”

อู่หยา (แปลว่าอีกา)? เด็กผู้หญิงมีชื่อเช่นนี้ด้วยหรือ? โจวเหว่ยชิงรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะชอบหญิงงาม แต่ด้วยขนาดร่างกายที่ใหญ่โตของเธอ เธอจึงไม่ใช่ประเภทที่เขาชอบสักเท่าไหร่

อู่หยายิ้มและพูดว่า “สวัสดีทุกคน” เสียงของเธอทุ้มกว่าเด็กผู้หญิงทั่วไป ทว่าก็เป็นโทนเสียงที่มีเอกลักษณ์มาก

จากนั้นหลินเทียนอ้าวก็ชี้ไปที่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ อู่หยาซึ่งเป็นเด็กผู้ชายตัวผอมที่มีรูปร่างแตกต่างกับเธออย่างมาก เขาสูงเพียงแค่ 1.5 เมตรเท่านั้น “เราทุกคนเรียกเขาว่าเจ้าสี่น้อย เจ้าสามารถเรียกเขาแบบนั้นได้เช่นกัน เขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรก มณี 4 ดวง”

เจ้าสี่น้อยไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่แสยะยิ้มขณะจ้องมองไปยังอีกฝ่าย ทันใดนั้นทั้ง 3 คนก็รู้สึกสั่นสะท้านราวกับถูกงูรัด

จากนั้นหลินเทียนอ้าวก็ชี้ไปยังเพื่อนตัวใหญ่ที่ถามคำถามเขาก่อนหน้านี้ “นี่คืออาเป่า เราทุกคนเรียกเขาว่าขี้เมาเป่า นอกจากความหลงใหลต่อสุรารสเลิศของเขาแล้ว เขาก็ไม่มีข้อบกพร่องอื่นๆ อีก จ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลาง มณี 5 ชุด”

คนต่อมาคือนักเรียนคนสุดท้ายที่ไม่มีคุณสมบัติโดดเด่นใดๆ หน้าตาของเขาดูธรรมดา รูปร่างก็ธรรมดาอีกทั้งดวงตาของเขาก็ดูไร้อารมณ์มาก เขาก็ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนท่อนไม้ท่อนหนึ่ง “เซียวเอี๋ยน จ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลาง มณี 5 ชุด”

ในที่สุดก็ถึงตาเขาแนะนำตนเอง “ข้าชื่อหลินเทียนอ้าว และข้าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนักรบเฟยหลี่ในการประลองนี้”

โจวเหว่ยชิงรับฟังเขาอย่างเงียบๆ ในขณะเดียวกันก็สังเกตท่าทีของทั้ง 5 คนที่อยู่ตรงหน้าเขาไปด้วย เขาพบว่านอกจากหลินเทียนอ้าวแล้ว คนที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงอันตรายคือเซียวเอี๋ยน แม้ว่าเขาจะดูไร้อารมณ์ แต่เขากลับให้ความรู้สึกราวกับว่าสามารถกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมได้ คนแบบนี้อาจดูธรรมดามาก แต่ทว่ากลับเป็นคนที่อันตรายที่สุด

หลินเทียนอ้าวหรี่ตาพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม ทันใดนั้นก็ราวกับมีแสงเจิดจ้าสว่างไสวออกมาจากตัวของพวกเขา “หากไม่เป็นการโอ้อวดมากเกินไป อาจกล่าวได้ว่าพวกเราเป็นกลุ่มนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดที่เคยลงสนามประลองมาแล้ว เป้าหมายของพวกเรานั้นง่ายมาก การเข้าสู่ 4 อันดับแรก”

หากก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงและเย่เป่าเปาสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของสมาชิกในกลุ่มหลัก หลังจากได้เห็นทั้ง 5 คนและฟังหลินเทียนอ้าวแนะนำตัวแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าทั้ง 5 คนนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่มีอะไรให้ต้องพูดให้มากความเกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ชุดอีกแล้ว สำหรับคนที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี การมาถึงระดับเช่นนี้ได้ขณะที่อายุยังน้อยแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีพลังและความสามารถมากแค่ไหน สำหรับเจ้าสี่น้อยที่มีมณี 4 ชุด มองจากท่าทางของเขาแล้ว เขาอาจจะมีมณียุทธ์ประเภทว่องไวหรือความเร็วที่มีพรสวรรค์สูงมาก สำหรับอู่หยา การที่เธอสามารถเป็นตัวแทนของโรงเรียนเจ้ามณีในขณะที่มีมณีเพียง 3 ดวงก็บ่งบอกแล้วว่าเธอจะต้องมีความพิเศษบางอย่างเช่นกัน

ในฐานะหัวหน้าของสมาชิกกลุ่มโรงเรียนทหารเฟยหลี่ เย่เป่าเปารีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเช่นกัน พวกเรามาจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่ และข้าจะแนะนำตัวสั้นๆ นี่คือโจวเหว่ยชิง จ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุด มณี 3 ชุด ส่วนนี่คือซ่างกวนปิงเอ๋อร์…เอ่อ…แม่นางปิงเอ๋อร์ ข้าเกรงว่าข้าจะไม่รู้ระดับพลังปราณของเจ้า”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยิ้มและพูดว่า ข้าก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดที่มีมณี 3 ชุดเช่นกัน”

เย่เป่าเปาพยักหน้าและกล่าวว่า “สำหรับตัวข้า ข้าคือเย่เป่าเปา จ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรกที่มีมณี 4 ชุด อีก 3 เดือนต่อจากนี้พวกเราจะติดตามพวกท่านไปเข้าร่วมการประลองมณีสวรรค์ ได้โปรดช่วยดูแลพวกเราด้วย”

นักเรียนร่างผอมแห้งนามว่าเจ้าสี่น้อยเบ้ปากอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องสรรหาคำพูดสวยหรูให้มากความ พวกเจ้าเป็นแค่ตัวสำรอง ส่วนใหญ่ก็มาที่นี่เพียงเพื่อชมดูการต่อสู้เท่านั้น ไม่ใช่เข้ามาร่วมกลุ่มกับพวกเราเสียหน่อย จงรู้ฐานะของตัวเองและอย่าทำให้พวกเราเดือดร้อนก็แล้วกัน”

แสงเยียบเย็นผุดขึ้นมาในดวงตาของเย่เป่าเปาขณะที่สายตาของเขาแข็งกระด้างขึ้น เขาเป็นผู้นำของนักเรียนชนชั้นสูงและยังเป็นหลานชายของเสนาบดีอาณาจักรเฟยหลี่ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เคยถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน เขาพยายามทำตัวสุภาพและอดทนอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่คำพูดของสี่น้อยก็ยั่วยุเขาจนหน้ามืดเช่นกัน หากเขายังฝืนอดทนต่อไป เขาก็คงจะไม่ใช่เย่เป่าเปา ผู้นำคนต่อไปของตระกูลเย่แล้ว

“พวกเรารู้ฐานะของตัวเองดีและก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อพยายามต่อสู้กับท่านหรือฉกฉวยผลประโยชน์จากชื่อเสียงของพวกท่านแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม โปรดจำไว้ว่าเรามาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนกองทัพอาณาจักรเฟยหลี่เช่นกัน บางทีความสามารถในการต่อสู้ของเราอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าพวกท่าน แต่ในฐานะทหาร ถ้าท่านยังดูถูกพวกเราต่อไปเช่นนี้ พวกเราก็คงจะต้องกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับพวกท่านเสียแล้ว”

เย่เป่าเปากล่าว 2-3 คำสุดท้ายอย่างเฉียบขาดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง กลิ่นอายของขุนนางผู้สูงศักดิ์แผ่กระจายออกมาทันที

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงเห็นเย่เป่าเปามีท่าทางช่นนี้ เขาพยักหน้าให้กับตัวเอง เย่เป่าเปาคนนี้ไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยง่ายๆ แค่แรงกดดันจากกลิ่นอายของเขาเพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนได้แล้ว

การแสดงออกของสี่น้อยเปลี่ยนไปทันที “หึ ศัตรูคู่อาฆาตงั้นรึ ข้าเองก็อยากเห็น…” ขณะที่กำลังจะพูดต่อ เขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยประกายเย็นเหยียบในดวงตาของหลินเทียนอ้าว

หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือตัวสำรอง นับจากนี้เป็นต้นไปพวกเราก็จะเป็นกลุ่มเดียวกันและเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกันแล้ว เราจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายในครั้งนี้ให้ได้ ข้าจะไม่ยอมให้การทะเลาะวิวาทใดๆ สร้างปัญหากับกลุ่มอย่างแน่นอน”

สี่น้อยมองไปที่เย่เป่าเปาอีกครั้ง ทว่าดวงตาของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความรังเกียจ

ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็พูดแทรกออกมาอย่างเฉื่อยชา เขาหาวหวอดขณะเดินไปที่ด้านข้างของเย่เป่าเปา ขณะนี้รูปลักษณ์ของเขาไม่มีอะไรน่ายกย่องเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะอาบน้ำและผลัดเปลี่ยนชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้านแล้ว แต่รูปลักษณ์ที่ผอมซูบไร้เรี่ยวแรงและรอยคล้ำรอบดวงตาของเขาก็เป็นสิ่งไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้ เขาแทบไม่ได้นอนในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเลยด้วยซ้ำ จิตวิญญาณจึงทรุดโทรม อีกทั้งพลังของเขาก็เหลือน้อยเต็มที่

“หัวหน้าหลิน ก่อนจะออกเดินทางข้ามีคำถามจะถามท่าน” โจวเหว่ยชิงบิดตัวอย่างเกียจคร้านขณะที่เขาหันไปถามหลินเทียนอ้าว

หลินเทียนอ้าวจ้องมองอีกฝ่าย หลังจากพ่ายแพ้ให้แก่โจวเหว่ยชิงเขาก็อารมณ์ไม่ดีมา 2-3 วันแล้ว แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจจะกลับไปแก้ไขอะไรได้ อย่างไรเขาก็ถูกประทับตราไปเสียแล้ว อีกทั้งยังไม่มีทางทำลายมันได้ การเข้าร่วมการประลองมณีสวรรค์นี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นความปรารถนาสุดท้ายของเขาก่อนที่จะต้องไปเข้าร่วมกับโจวเหว่ยชิงเพื่อรักษาสัญญาของตนเอง ใครจะรู้ว่าเขาจะได้พบกับเด็กเจ้าเล่ห์ผู้นี้อีกครั้ง เขาค่อนข้างขยาดแผนการชั่วร้ายของโจวเหว่ยชิง กลัวว่าเขาจะต้องการทำลายโอกาสในการประลองของพวกเขาในครั้งนี้ เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง เขาก็ถามขึ้นอย่างเคร่งขรึมทันที “คำถามอะไรหรือ?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ข้าแค่อยากถามว่าการกำหนดสมาชิกในทีมหลักและการเปลี่ยนตัวสมาชิกนั้นขึ้นอยู่กับพลังและความแข็งแกร่งหรือไม่? หากสมาชิกในทีมหลักอ่อนแอกว่าตัวสำรอง…ควรมีการเปลี่ยนตำแหน่งกันหรือไม่?”

หม่าฉุนตบหน้าอกพลางพูดว่า “ไม่มีปัญหา พวกเราหาที่พักเองได้อยู่แล้ว หัวหน้า ดูข้าสิ ข้าจงรักภักดีมากขนาดนี้ ท่านจะเริ่มสร้างชุดศาสตรามณียุทธ์ 6 ชิ้นของข้าได้เมื่อไหร่ล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงจ้องมองเขาอย่างขุ่นเคืองและพูดว่า “เจ้าจงมีสมาธิกับการฝึกปราณเสียก่อน มาคิดดูแล้ว อันที่จริงข้าก็มีแผนการสำหรับเจ้าเช่นกัน ทว่าตอนนี้ข้ายังไม่อาจสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ประเภทนั้นขึ้นมาได้ เจ้าคงต้องรออย่างน้อย 1 ปีสำหรับสิ่งนั้น อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่อาจทนรอได้นานขนาดนั้น ข้าก็อาจสร้างชุดศาสตรามณียุทธ์ 6 ชิ้นให้เจ้าได้…และอาจจะดีกว่าสำหรับเจ้าด้วย หากเจ้ารอไม่ไหว ข้าก็จะเริ่มสร้างอย่างอื่นให้เจ้าแทน”

เมื่อเขาพูดถึงเรื่องนี้ โจวเหว่ยชิงก็นึกไปถึงหลินเทียนอ้าวโดยไม่ต้องสงสัย หม่าฉุนมีมณียุทธ์ที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับหลินเทียนอ้าว ทั้งคู่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทการป้องกันแบบบริสุทธิ์ หากหม่าฉุนสามารถเดินตามรอยเท้าของหลินเทียนอ้าวได้ นี่อาจเป็นประโยชน์สำหรับเขามาก

หม่าฉุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “หัวหน้า ข้าเชื่อใจท่าน ข้าจะรอ”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างเต็มที่ก่อนจะตบไหล่เขาพลางพูดว่า “อืม บางที…รอให้ข้ากลับจากการประลองมณีสวรรค์แล้วข้าจะหาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันให้กับเจ้าโดยเฉพาะ” เมื่อถึงเวลานั้น หลินเทียนอ้าวก็น่าจะกลับมาหลังจากจัดการธุระของเขาแล้วเช่นกัน

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังจะไปทานอาหารเย็นและกลับไปที่หอพักเพื่อเริ่มสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ทันใดนั้นเขาก็ถูกเหล่ารุ่นพี่หัวโล้นขวางทางเอาไว้อีกครั้ง

ดวงตาของหม่าฉุนและโข่วรุ่ยเผยแววระมัดระวังออกมา แต่โจวเหว่ยชิงเพียงยิ้มจางๆ และพูดว่า “รุ่นพี่ซ่างหลาง ข้าก็คิดไว้แล้วว่าถึงเวลาที่ท่านจะมาตามหาข้าเสียที หม่าฉุน โข่วรุ่ย พวกเจ้าทั้ง 2 คนไปกินข้าวก่อน ส่วนพวกเขาข้าจัดการได้”

ซ่างหลางกล่าวว่า “โจวเหว่ยชิง พวกเราไปหาที่คุยกันเงียบๆ เถอะ”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและนำซ่างหลางไปอีกทาง ทั้งคู่เดินไปที่มุมหนึ่งใกล้บันได

“เอาล่ะ เจ้าตัดสินใจอย่างไร?” โจวเหว่ยชิงยิ้มและเอ่ยออกมา

ซ่างหลางสูดหายใจเข้าลึกและมองไปที่โจวเหว่ยชิงอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามออกมา “ให้โอกาสพวกเราเหมือนเพื่อนร่วมชั้นของเจ้าไม่ได้จริงๆ หรือ?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ตัวข้าไม่ได้ทำการกุศล นอกจากนี้เจ้าควรรู้ว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทุกคนมีขีดจำกัดของตนเอง เพราะเจ้าเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนที่ข้าไว้หน้าเป็นพิเศษ ข้าจึงไม่กำหนดกฏเกณฑ์อะไรมากนัก เพราะถึงอย่างไรเจ้าแต่ละคนก็มีสิ่งที่ตนต้องยึดมั่นเอาไว้”

ซ่างหลางถอนหายใจและพูดว่า “เจ้าพูดถูก โลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาเปล่าๆ ข้าได้ปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมชั้นแล้ว ในบรรดาพวกเรา 44 คนรวมทั้งตัวข้า แต่เดิมมีเพียง 3 คนเท่านั้นที่เต็มใจจะเป็นผู้ติดตามของเจ้า อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ห้องเรียนของเจ้าต่อยตีกับห้องชนชั้นสูงพวกนั้นแล้ว ตอนนี้ก็มีพวกเรา 16 คนเต็มใจจะเป็นผู้ติดตามของเจ้า”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับการประลองมณีสวรรค์หรือไม่?”

ซ่างหลางชะงัก ไม่คาดคิดว่า โจวเหว่ยชิงจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหันในเวลานี้ “อืม แน่นอนว่าข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ในอีก 2 วัน ข้าจะเป็นตัวแทนของโรงเรียนเข้าร่วมการประลองมณีสวรรค์ในฐานะสมาชิกตัวสำรอง ข้าจะกลับมาในอีกประมาณ 3 เดือนข้างหน้า เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบให้คำตอบกับข้า ปล่อยให้เพื่อนร่วมชั้นของเจ้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากยิ่งขึ้นอีก เมื่อข้ากลับมา นั่นจะเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขา ในเวลานั้นเจ้าสามารถพาทุกคนที่ต้องการติดตามข้ามาหาข้าได้ทันที” เขาต้องจากไปในไม่ช้าจึงไม่เหลือเวลาและพละกำลังมากพอจะประทับตราให้พวกเขาทั้งหมด อย่างไรเขาก็ไม่รีบร้อนทำสิ่งนี้อยู่แล้ว โจวเหว่ยชิงสามารถรอจนกว่าตนเองจะกลับมาจากการประลองได้

หลังจากได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงจะเข้าร่วมการประลองมณีสวรรค์ ซ่างหลางก็ผงะไป เดิมทีเขาคิดว่าโจวเหว่ยชิงเป็นเพียงคนที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดเกี่ยวกับเขาคือสถานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นมากกว่าแค่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทั่วๆ ไป…อย่างน้อยความสัมพันธ์ของเขากับโรงเรียนก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว! หลังจากต่อยตีกับพวกนักเรียนชนชั้นสูง เขาไม่เพียงทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากบทลงโทษไปได้อย่างง่ายดาย แต่เขายังสามารถเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปเข้าร่วมการประลองเช่นนี้ได้อีกด้วย นี่เป็นเกียรติสูงสุดที่ไม่ใช่ว่าใครจะรับมาได้ง่ายๆ โดยปกติแล้วสิ่งนี้เป็นโอกาสอันมีค่าสำหรับรุ่นพี่ปี 4 เท่านั้น!

“ข้าทราบแล้ว ข้าจะแจ้งให้ทุกคนทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอให้เดินทางปลอดภัยและประสบความสำเร็จดั่งที่หวัง” ซ่างหลางยื่นมือไปทางโจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงจับมือเขาและพูดว่า “อย่าลืมฝึกฝนให้หนักก็แล้วกัน ส่วนตัวข้าคิดว่าการเป็นตัวสำรองนั้นไม่คุ้มค่าสักนิด เป้าหมายของข้าคือพยายามเป็นสมาชิกในกลุ่มหลักและนำเพื่อนจากโรงเรียนเจ้ามณีชิงตำแหน่ง 4 อันดับแรกและเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์ให้ได้! ฮ่าๆๆๆ…” ขณะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง โจวเหว่ยชิงก็หันหลังและเดินจากไป

เมื่อมองไปยังร่างของโจวเหว่ยชิงที่หายลับไปจากสายตา ซ่างหลางก็รู้สึกสังหรณ์อะไรแปลกๆ…เด็กคนนี้อาจไม่ได้พูดเกินจริงด้วยซ้ำ โจวเหว่ยชิงให้เวลาเขาอีก 2-3 เดือน แต่ซ่างหลางรู้ดีว่าหากเวลานั้นอีกฝ่ายสามารถเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์ได้จริงๆ มาตรฐานสำหรับรับผู้ติดตามของเขาก็คงจะสูงขึ้นมาก เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าเขาและเพื่อนร่วมชั้นจะเต็มใจติดตามโจวเหว่ยชิงหรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือโจวเหว่ยชิงจะยอมรับพวกเขาเป็นผู้ติดตามหรือไม่ต่างหาก

ซ่างหลางถอนหายใจเบาๆ เขาพลันรู้สึกว่าสิ่งที่โจวเหว่ยชิงพูดออกมานั้นถูกต้องที่สุด แทนที่จะกรุ่นคิดให้วุ่นวาย เขาควรตั้งใจฝึกปราณอย่างหนัก เพราะไม่ว่าอย่างไร ท้ายที่สุดความแข็งแกร่งก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเสมอ

หลังจากกินอาหารเย็นแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้รีบร้อนกลับไปที่หอพัก เขากระโดดข้ามกำแพงแล้วมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างลับๆ แทน เป้าหมายของเขานั้นง่ายมาก เพื่อนำหยุนลี่เข้ามาที่โรงเรียนด้วยกัน

หลังจากได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ หยุนลี่ก็ไม่ได้ประท้วงอะไรออกมาอีก คืนก่อนหน้านี้ทั้งเขาและโจวเหว่ยชิงยังคุยกันไม่จบและเขาก็ดีใจมากที่ได้ติดตามโจวเหว่ยชิงเข้ามาในโรงเรียน เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองจึงมุ่งหน้ากลับไปที่โรงเรียนและลักลอบเข้าไปข้างในโรงเรียนด้วยกัน

โจวเหว่ยชิงอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันให้หยุนลี่ฟังอย่างรวดเร็วจนหยุนลี่อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? สร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ให้กลุ่มคนจำนวนมาก…โดยไม่คิดเงิน?! เจ้าทำไปเพื่ออะไรกันแน่?”

โจวเหว่ยชิงถอนหายใจและพูดว่า “ข้าจะพูดอย่างไม่ปิดบังเจ้า ทั้งตัวข้าและซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ อาณาจักรของเราทั้งเล็กและอ่อนแอ…และวิธีเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้ก็คือการรวบรวมกลุ่มคนที่มีความสามารถจำนวนมากเข้ามาเป็นพวก เพื่อนร่วมห้องเอกสามัญของข้าเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ มีความสามารถอันโดดเด่น! พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นจ้าวมณีเท่านั้น แต่ยังมีความเข้าใจที่ดีเยี่ยมในยุทธวิธีทางการทหาร แผนของข้าคือหาทางนำพวกเขามาเป็นผู้ติดตาม ก็อย่างที่โบราณว่าไว้ เมื่อได้รับความกรุณาก็ต้องอย่าลืมตอบแทนบุญคุณ หาก 1 ใน 3 ของพวกเขาเต็มใจติดตามข้าด้วยใจจริง การลงทุนของข้าก็คือว่าได้รับผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมแล้ว”

หยุนลี่ยักไหล่และพูดว่า “ข้าเป็นแค่ผู้ติดตามของเจ้า ถ้าเจ้าต้องการลงทุนเช่นนี้ ข้าก็จะทำตามที่เจ้าบอก หากเจ้าขอให้ข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็อยู่ที่นี่ในฐานะอาจารย์ แต่อย่างไรก็ตาม ข้าจะไม่สอนอะไรและจะยังคงค้นคว้าเกี่ยวกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ต่อไปอีกด้วย”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “ไม่มีปัญหา เหตุผลที่ข้าขอให้เจ้าเข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้ ส่วนใหญ่ก็เพื่อช่วยปกป้องเพื่อนร่วมห้องของข้าและไม่ปล่อยให้พวกเขาถูกนักเรียนชนชั้นสูงรังแก มาเถอะ พวกเรามาคุยเกี่ยวกับแบบร่างที่ดีที่สุดสำหรับศาสตรามณียุทธ์ของพวกเขากันดีกว่า”

หยุนลี่พยักหน้า แน่นอนว่าเขาสนใจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์อยู่แล้ว

หลังจากการพูดคุยกันเป็นเวลายาวนาน ความจริงก็ปรากฏขึ้นว่าที่แท้ประสบการณ์ของหยุนลี่นั้นเหนือชั้นและหลากหลายกว่าโจวเหว่ยชิงมากนัก โดยเฉพาะในแง่ของการออกแบบร่างม้วนคัมภีร์ หลังจากได้รับข้อมูลที่ได้รับจากนักเรียนสามัญชน ทั้งคู่ก็ช่วยกันวิเคราะห์และพยายามคิดหาสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน จากนั้นก็เริ่มออกแบบม้วนคัมภีร์ประเภทต่างๆ พวกเขาใช้เวลาทั้งคืนไปกับการพูดคุยและออกแบบม้วนคัมภีร์ โจวเหว่ยชิงได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายจากหยุนลี่ โดยเฉพาะความรู้ขั้นพื้นฐานในการออกแบบม้วนคัมภีร์ให้เสร็จสมบูรณ์ แน่นอนว่านั่นเป็นประสบการณ์ที่มีค่าอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันหยุนลี่ก็ได้เรียนรู้จากโจวเหว่ยชิงเช่นกัน ด้วยแนวคิดแปลกประหลาดของเขาที่ดูเหมือนจะพลิกแพลงไปมาหลายตลบ รวมถึงวิธีการสร้างม้วนคัมภีร์ที่เป็นเอกลักษณ์จากนิกายของโจวเหว่ยชิง เพียงช่วงเวลาระยะสั้นๆ ทั้ง 2 คนก็ได้รับประโยชน์จากการทำงานในคืนนั้นอย่างมาก

ในอีก 2 วันถัดมา โจวเหว่ยชิงก็โดดเรียนโดยใช้เหตุผลเกี่ยวกับการประลองมณีสวรรค์เป็นข้ออ้าง นอกจากจะพาหยุนลี่ไปพบไช่ไช่เพื่อยืนยันการจ้างงานในตำแหน่งอาจารย์ผู้ช่วยแล้ว เขายังพากันแวะออกไปรับประทานอาหารอีกด้วย ทั้งเขาและหยุนลี่พักผ่อนเพียงแค่ 4 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น และโดยปกติเวลาที่พักก็มักจะถูกนำใช้ไปกับการฝึกปราณนั่นเอง ส่วนเวลาที่เหลือของพวกเขาต่างก็หมดไปกับการออกแบบและสร้างม้วนคัมภีร์

ในแง่ของการออกแบบ โจวเหว่ยชิงยังถือว่าห่างชั้นกับหยุนลี่มากนัก แต่เมื่อมาถึงกระบวนการสร้างม้วนคัมภีร์ขึ้นมาจริงๆ แม้จะมีหยุนลี่อีก 10 คนก็ไม่อาจเทียบเคียงโจวเหว่ยชิงได้ ในช่วงเวลาสั้นๆ 3 วันนี้ หยุนลี่สามารถสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางขึ้นมาได้เพียง 3 ชุด ในขณะที่โจวเหว่ยชิงทำเสร็จไปแล้ว 27 ชุด ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในแง่จำนวนม้วนคัมภีร์ที่เพื่อนร่วมห้องทั้งหมดต้องการเท่านั้น แต่ยังสามารถเหลือสำรองไว้สำหรับขายอีกด้วย!

โจวเหว่ยชิงทิ้งม้วนคัมภีร์เหล่านั้นไว้กับหยุนลี่เพื่อให้เขานำไปขายและซื้อวัตถุดิบที่ต้องการในขณะที่เขาไม่อยู่

เมื่อโจวเหว่ยชิงเหยียบเข้าสู่ห้องเรียนเอกสามัญอีกครั้ง เขาเกือบจะถูกเพื่อนๆ ไล่ออกจากห้อง…เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของเขาเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้

เสื้อผ้าของเขาสกปรกมอมแมมไปหมด หลายจุดเปรอะเปื้อนไปด้วยหมึกศาสตรามณียุทธ์ซึ่งแทบจะไม่สามารถซักออกได้ ผมของเขายุ่งเหยิง มีแม้กระทั่งมีหนวดเครางอกออกมาจนทั่ว ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ไม่ได้อาบน้ำมา 3 วันจะมีกลิ่นหอมได้อย่างไร? ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในระดับที่ถุงเท้าของเขาสามารถนำไปแปะติดกับผนังได้ แต่มันก็เป็นภาพที่เห็นแล้ว …เอ่อ

“อ้วนน้อย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เพิกเฉยต่อความสกปรกของโจวเหว่ยชิงและถามด้วยหัวใจที่เจ็บปวด คนอื่นๆอาจมองเห็นแค่เสื้อผ้าและทรงผมของเขา แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับเห็นชัดว่าใน 3 วันนี้น้ำหนักของโจว เหว่ยชิงลดลงไปอย่างมาก

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาเลย! ไม่กี่วันนี้ข้าเพียงแค่สร้างม้วนคัมภีร์มากเกินไปเท่านั้น อย่าจ้องข้าแบบนั้นสิ ทั้งหมดไม่ใช่เพราะพวกเจ้าทุกคนหรอกหรือไง? มาๆ ได้เวลาแจกม้วนคัมภีร์ของแต่ละคนแล้ว!” ไม่กี่วันนี้เขาได้สร้างม้วนคัมภีร์ไปเป็นจำนวนมากและความเชี่ยวชาญของเขาก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน หลังจากได้เรียนรู้ร่วมกันกับหยุนลี่ เมื่อรวมกับทักษะธาตุกาลเวลาอันทรงพลังของเขา โจวเหว่ยชิงก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเขาพัฒนาความสามารถขึ้นอย่างมาก ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางของเขาเกือบจะมีพลังบางอย่างเทียบเท่ากับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของอัตราความสำเร็จซึ่งเพิ่มขึ้นจากปกติ 3 ใน 1,000 ส่วนเป็นเกือบ 7-8 ใน 1,000 ส่วน ทันทีที่เขาพัฒนาขึ้นไปอีกเล็กน้อย เขาก็จะทะลุไปเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงได้แล้ว!

เมื่อได้ยินว่าถึงเวลาแจกจ่ายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ดวงตาของนักเรียนทุกคนก็เปล่งประกายแสงเจิดจ้าขึ้นมาทันที คราวนี้โจวเหว่ยชิงแจกม้วนคัมภีร์เกือบ 20 ชุด นอกจากจ้าวมณีธาตุเพียงไม่กี่คนแล้วก็มีซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หยางเจ๋อชีและหม่าฉุน จ้าวมณีสวรรค์ทั้ง 3 ที่ไม่ได้รับม้วนคัมภีร์ในครั้งนี้ด้วย

หยางเจ๋อชีและหม่าฉุนไม่ได้ตั้งคำถามกับเขา ทั้งสองคนเดาได้อย่างง่ายดายว่าที่โจวเหว่ยชิงไม่ได้มอบม้วนคัมภีร์ให้แก่พวกเขาในตอนนี้เพราะในอนาคตอีกฝ่ายมีแผนจะสร้างม้วนคัมภีร์ที่แข็งแกร่งกว่านี้ให้พวกเขา…และนั่นก็อาจจะเป็นชุดศาสตรามณียุทธ์ทั้งชุด!

หมิงฮัวมาถึงเวลาเดียวกับที่โจวเหว่ยชิงกำลังแจกม้วนคัมภีร์ เมื่อมองเห็นรอยยิ้มกว้างขวางของเขาขณะที่มอบม้วนคัมภีร์ให้กับนักเรียนจ้าวมณียุทธ์ หมิงฮัวก็รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่กำลังเกาะกุมหัวใจของเธอ เธอสามารถมองเห็นความคลั่งไคล้ในสายตาของเหล่านักเรียนเมื่อพวกเขาได้รับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ นั่นไม่ใช่ความคลั่งไคล้ที่มีต่อม้วนคัมภีร์ในมือของพวกเขา แต่เป็นความคลั่งไคล้ที่มีต่อโจวเหว่ยชิง หัวหน้าห้องของพวกเขา! อย่างไรเสียพวกเขาทั้งหมดก็เป็นเพียงสามัญชน! นี่จึงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาทุกคนมีม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เป็นของตัวเอง เช่นเดียวกับครั้งแรกของเด็กผู้หญิงที่เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดสำหรับเธอ หัวหน้าห้องคนนี้…โจวเหว่ยชิงได้ประทับตราของตนเองไว้ในหัวใจของเพื่อนร่วมห้องเอาไว้แล้ว…ตราประทับที่ไม่อาจทำลายได้!

เมื่อพูดถึงจุดนี้ ไช่ไช่ก็หยุดพักชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจและเริ่มพูดต่อ “เริ่มแรกทุกอาณาจักรก็มีโอกาสที่จะเป็น 4 อันดับแรกและได้แผ่นป้ายมาครองเท่าๆ กัน อนิจจา เมื่อเวลาผ่านไป มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 แห่งก็ตระหนักได้ว่าการเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์นั้นสำคัญเพียงใด ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกกระดากอายเกินกว่าจะใช้กลุ่มของตัวเองโดยตรง แต่พวกเขาก็เริ่มร่วมมือกับอาณาจักรในพื้นที่ของตน แม้กระทั่งช่วยดูแลจ้าวมณีสวรรค์รุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเพื่อฝึกซ้อมสำหรับการประลองที่จะมาถึง ด้วยวิธีการดังกล่าว พวกเขาจึงได้ครอบครองแผ่นป้ายมณีสวรรค์สมดั่งปรารถนา ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือยอดเขาปีศาจทิศตะวันตก เนื่องจากทักษะธาตุปีศาจของพวกเขา พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ซ่อนตัวในเงามืดและไม่กล้าเข้าไปในเกาะมณีสวรรค์โดยตรง ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าในการประลองมณีสวรรค์ทุกครั้ง มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 ก็ยึดครอง 3 อันดับแรกไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับอาณาจักรต่างๆ ก็เหลืออันดับสุดท้ายไว้ให้แย่งชิงกัน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มของอาณาจักรจ้งเทียนที่ทรงพลังอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่ในช่วง 70 ปีที่ผ่านมา อาณาจักรเฟยหลี่ของเราไม่เคยได้รับป้ายมณีสวรรค์เลยแม้แต่ชิ้นเดียว แม้ว่าเราจะพยายามหาซื้อในราคาสูงก็ยังไม่อาจทำได้สำเร็จ”

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจึงพูดอย่างลังเลว่า “ท่านผู้อำนวยการ ท่านกำลังจะบอกให้ข้าเข้าร่วมการแข่งขันมณีสวรรค์ครั้งนี้หรือ?”

ไช่ไช่ขบริมฝีปากก่อนจะพูดว่า “เจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 3 ชุด โดยธรรมชาติแล้วย่อมไม่สามารถเข้าร่วมในฐานะตัวจริงได้ แต่อย่างไรเจ้ายังสามารถเป็นตัวสำรองได้ ข้าเองมีอำนาจตัดสินใจในเรื่องนั้นเช่นกัน สมาชิกในกลุ่มของแต่ละอาณาจักรถูกจำกัดจำนวนไว้ที่ 8 คนโดยมีตัวจริง 5 คนและตัวสำรอง 3 คน แน่นอนว่าตัวจริงในกลุ่มหลักทั้ง 5 คนย่อมมาจากโรงเรียนเจ้ามณี ในขณะที่ตัวสำรอง 3 คนจะถูกคัดเลือกจากโรงเรียนทหารของพวกเรา เหตุผลที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การช่วยเหลือกลุ่มหลัก แต่เพื่อให้นักเรียนที่โดดเด่นของเราได้รับประสบการณ์อันมีค่า ตำแหน่งสมาชิกสำรองทั้ง 3 ที่นี้เป็นที่ต้องการอย่างมาก และในครั้งนี้เจ้าโชคดีมากที่ได้ผลประโยชน์ไป จริงๆ แล้วเป็นไปได้ยากมากที่เราจะสามารถเข้าไปในเกาะมณีสวรรค์ได้ แต่เพียงแค่ได้เป็นสักขีพยานและสัมผัสกับจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังในการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ สิ่งนี้จะช่วยเจ้าได้มากเกี่ยวกับการฝึกปราณอนาคต ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสดีสำหรับเจ้าในการซ่อนตัว เมื่อถึงเวลาที่เจ้ากลับมา สถานะของเจ้าในฐานะผู้เข้าร่วมการประลองมณีสวรรค์ แม้จะเป็นตัวสำรอง แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะปกป้องตัวเองจากคนอื่นๆ”

เมื่อมองไปที่ไช่ไช่ การแสดงออกของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจที่ตนไม่ให้ความเคารพท่านผู้อำนวยการคนนี้ เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอาจารย์ใหญ่ที่เพิ่งพบหน้ากันเพียง 2 ครั้งสั้นๆ จะให้ความช่วยเหลือเขามากมายและวางแผนทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของเขาเช่นนี้ เพื่อให้เขาสามารถเข้าร่วมการแข่งขันมณีสวรรค์ เพื่อเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ในระดับยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเขาแค่ต้องไปเป็นตัวสำรองเท่านั้น อย่างไรก็แทบจะไม่ต้องต่อสู้ด้วยซ้ำ แน่นอนว่าด้วยเหตุผลนี้เขาจึงจะไม่เป็นอันตรายใดๆ โอกาสดังกล่าวมีค่าอย่างยิ่งสำหรับโรงเรียนทหารเฟยหลี่ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ได้มอบโอกาสนี้ให้กับเขาซึ่งเป็นเพียงนักเรียนสามัญชั้นปีที่ 1

“ท่านผู้อำนวยการ ขอบคุณมากขอรับ” โจวเหว่ยชิงคำนับไช่ไช่ด้วยความจริงใจ

ในที่สุดริมฝีปากของไช่ไช่ก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ เธอกล่าวว่า “เป็นเรื่องดีที่เจ้าเข้าใจความพยายามของข้า คราวนี้สิ่งตัวสำรองทั้ง 3 คนที่เราจะส่งไปคือเจ้า คนรักตัวน้อยของเจ้า และเย่เป่าเปา อย่างไรทุกคนในโรงเรียนก็รู้เรื่องของเจ้าและซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว ดังนั้นจะปลอดภัยกว่าหากให้นางไปกับเจ้า เมื่อพวกเจ้ากลับมาแล้ว ทั้งคู่จะต้องเรียนพิเศษเพิ่มเติมเพื่อตามชั้นเรียนให้ทัน จำไว้ว่าเย่เป่าเปาจะเป็นผู้นำกลุ่มเล็กๆ ของเจ้าเพราะเขามีอำนาจมากที่สุดในบรรดานักเรียนของเรา นอกจากนี้เจ้าควรควบคุมตัวเองให้ดี อย่าหาเรื่องปะทะกับสมาชิกหลักจากโรงเรียนเจ้ามณีและทำให้โรงเรียนของเราเสียหน้า เข้าใจหรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “จริงๆ แล้วข้าไม่ใช่คนที่ชอบก่อปัญหา ตราบใดที่ไม่มีใครมาก่อกวนข้าก่อน ข้าก็จะไม่มีเรื่องกับเขาเช่นกัน”

ไช่ไช่แค่นเสียงในลำคอและพูดว่า “หยุดพูดเรื่องไร้สาระของเจ้าได้แล้ว คิดว่าข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าเลยหรือ? เอาล่ะ ออกไปได้แล้ว ทุกคนจะเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันมณีสวรรค์หลังจากนี้อีก 3 วัน ส่วนในช่วง 3 วันต่อจากนี้ เจ้าทั้งคู่ควรอยู่แต่ในโรงเรียนและอย่าออกไปนอกพื้นที่โรงเรียนเชียวล่ะ อีก 3 วันพวกเจ้าจะถูกส่งไปยังโรงเรียนเจ้ามณี”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว ขณะกำลังจะจากไป จู่ๆ เขาก็นึกบางอย่างได้ เขาจึงหยุดเดินและพูดว่า “ท่านผู้อำนวยการ โรงเรียนของเราจะรับอาจารย์เพิ่มหรือไม่?”

“หืม?” ไช่ไช่มองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างสงสัย “เจ้าจะแนะนำอาจารย์ให้กับโรงเรียนของเรางั้นหรือ? คนผู้นั้นต้องมีความสามารถพิเศษเฉพาะด้านถึงจะมีโอกาสเข้าสอนในโรงเรียนของเราได้”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “แล้วอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงนับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะด้านหรือไม่?”

ดวงตาของไช่ไช่ลุกวาวขณะที่เธอกล่าวว่า “เจ้าจะแนะนำเพื่อนอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงให้โรงเรียนของเราหรือ?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “รุ่นพี่ของข้าเพิ่งจะมาถึงเมืองเฟยหลี่และจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักพัก เนื่องจากช่วงนี้เขาไม่มีอะไรทำสักเท่าไหร่ หากโรงเรียนต้องการอาจารย์ เขาก็อาจสมัครเป็นอาจารย์ผู้ช่วยหรืออะไรก็ได้”

ไช่ไช่มองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างมีนัยยะ ความสง่างามและความงามอันสูงส่งของเธอทำให้เขาถึงกับตาพร่าเป็นครั้งที่ 2 ของวัน “เจ้าพยายามจะใช้บ๊วยตอบแทนลูกท้อหรือ? [1]”

โจวเหว่ยชิงเกาศีรษะและพูดว่า “อืม…ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก อย่างไรเมื่อข้าจากไปแล้ว ห้องเรียนเอกสามัญของข้าก็ต้องมีคนช่วยดูแล อาจารย์หมิงฮัวอาจจะทำคนเดียวไม่ไหว ถ้าห้องเรียนของข้ามีอาจารย์ผู้ช่วยได้อีกคนก็ไม่น่ามีปัญหา นอกจากนี้ ข้าสัญญากับเพื่อนร่วมชั้นของข้าว่าจะช่วยสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ให้พวกเขาด้วย”

ไช่ไช่หัวเราะและพูดว่า “เอาล่ะๆ อย่างน้อยเจ้าก็ซื่อสัตย์กับข้า ได้ ข้ายอมรับเรื่องนี้ กลับไปขอเขาให้มารายงานตัวกับข้าโดยตรงเมื่อมาถึงที่โรงเรียนก็แล้วกัน”

“ต้องขอบคุณท่านผู้อำนวยการไช่ไช่มากที่ตอบรับคำขอของข้า” โจวเหว่ยชิงโค้งคำนับอย่างสุภาพอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานผู้อำนวยการไป เมื่อพูดคุยกับคนเฉลียวฉลาดอย่างไช่ไช่ การพูดความจริงทุกครั้งจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ามาก อย่างไรโจวเหว่ยชิงเองก็เป็นคนฉลาดเช่นกัน เขารู้ว่าไช่ไช่สามารถอ่านการกระทำของเขาออก ดังนั้นแทนที่จะพยายามปกปิดสิ่งต่างๆ เขาจึงต้องบอกความจริงเพื่อทำให้อีกฝ่ายประทับใจแทน

หลังจากออกจากห้องผู้อำนวยการ โจวเหว่ยชิงหายก็สูดหายใจเข้าลึก แววตาคาดหวังปรากฏขึ้นมาทันที ตอนนี้เขาเพียงแค่กำลังให้ความสนใจการประลองมณีสวรรค์มากเกินไปเท่านั้น

จู่ๆ เขาก็นึกคำถามที่อยากจะถามไช่ไช่เพิ่มเติม เขาจึงรีบหันกลับไปผลักประตูเพื่อเข้าไปข้างในอีกครั้ง ชัวพริบตานั้นเขาเพิ่งจะคิดคำถามขึ้นมาได้จึงไม่ได้เคาะประตูขออนุญาตใดๆ จู่ๆ ก็พรวดพราดเข้าไปในห้องทันที

ทันทีที่เขาโผล่เข้ามาในห้อง โจวเหว่ยชิงก็ต้องตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง ด้านไช่ไช่เองก็ตกใจไม่แพ้กัน

ในขณะนั้นท่านผู้อำนวยการไช่ไช่สวมเพียงกางเกงในซึ่งปกปิดได้เฉพาะส่วนลับของเธอเท่านั้น ผิวขาวราวกับหิมะและสัดส่วนยั่วยวนของเธอเปิดเผยต่อหน้าโจวเหว่ยชิงเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะต้นขาที่โจวเหว่ยชิงแนบกอดเอาไว้ก่อนหน้านี้กำลังขึ้นริ้วสีแดงอ่อนๆ อย่างน่ารักน่าชัง

*พรูด* เลือดกำเดา 2 สายไหลออกมาจากรูจมูกของโจวเหว่ยชิงทันที คราวนี้เขาไม่สามารถแก้ตัวใดๆ ได้ แม้กระทั่งน้ำลายก็ยังไหลออกมาด้วย

“ออกไป!” เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของไช่ไช่ดังขึ้น ไม่นานโจวเหว่ยชิงก็วิ่งแจ้นออกจากห้องนั้นด้วยความเร็วดุจสายฟ้า

เหตุผลทั้งหมดก็เริ่มจากการที่ไช่ไช่เป็นคนพิถีพิถันมากเกินไป ก่อนหน้านี้เสื้อคลุมของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของโจวเหว่ยชิง ดังนั้นทันทีที่เขาจากไป เธอก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องรีบผลัดเปลี่ยนเป็นชุดใหม่อย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วโจวเหว่ยชิงจะกลับเข้ามาข้างในห้องอีกครั้งโดยไม่เคาะประตูให้สัญญาณ ต่อมาจึงต้องเกิดฉากน่าอับอายเช่นนี้ขึ้น

ขณะที่โจวเหว่ยชิงผลุนผลันออกไปจากห้อง เขาก็ไม่ได้วิ่งไปไหนไกล แต่กลับตะโกนเข้ามาจากนอกประตู “ท่านผู้อำนวยการ ข้าผิดไปแล้ว! ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ!”

“ไอ้คนสารเลว กลับมาที่นี่เดี๋ยวนี้!” ในชั้นนี้มีห้องทำงานเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโรงเรียนอยู่เป็นจำนวนมาก หลังจากไช่ไช่สวมเสื้อคลุมใหม่เสร็จเรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว เธอก็ได้ยินเขาตะโกนเข้ามาจากด้านนอก นั่นทำให้เธอโกรธมากจนเกือบจะเป็นลม ทว่าเธอก็ยังเดินออกไปเรียกเขากลับเข้ามา

เมื่อโจวเหว่ยชิงกลับเข้าไปในห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการอีกครั้ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ในความรู้สึกของเขา เธอดูเหมือนภูเขาไฟที่กำลังเดือดและใกล้จะปะทุเต็มที่

ตอนนี้ไช่ไช่สวมชุดคลุมใหม่ที่ดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเธอกลับดูน่าเกลียดมาก แม้แต่ผมของเธอก็ยังยุ่งเหยิงเล็กน้อย นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอรีบร้อนขนาดไหน

“เจ้าเด็กเหลือขอ! ไม่รู้จักวิธีเคาะประตูหรือไง?” ไช่ไช่กำหมัดแน่น ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยรู้สึกอยากทุบตีใครมากขนาดนี้มาก่อน

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ท่านผู้อำนวยการ ข้าผิดไปแล้ว จู่ๆ ข้าก็นึกคำถามสำคัญที่จะถามท่านขึ้นมาได้ ข้าจึงบังเอิญโผล่เข้ามาโดยไม่ทันได้คิดให้ดีก่อน…คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า…”

“หุบปาก! ถ้าเจ้ากล้าพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมา!” ไช่ไช่ร้องออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว แม้แต่ความสง่างามและความสุขุมของเธอก็ยังถูกโจวเหว่ยชิงทำลายลงจนได้ ตอนนี้เธอจึงหายใจออกอย่างยากลำบากเพราะความโกรธ

“พูดมา เจ้าอยากถามอะไร? ถามมาเร็วๆ แล้วรีบไปให้พ้น” ในที่สุดไช่ไช่ก็สงบสติอารมณ์ลงได้ เมื่อมองไปยังท่าทางที่ไร้เดียงสาของโจวเหว่ยชิง ในที่สุดเธอก็ระงับความโกรธของตนเอง ด้วยสถานะของเธอ เธอจะทุบตีโจวเหว่ยชิงเช่นนั้นได้อย่างไร?

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า“ ข้า…ข้าแค่อยากจะถามว่าถ้าพวกเราติด 4 อันดับแรกในการประลองครั้งนี้ พวกเราจะสามารถใช้ป้ายมณีสวรรค์ที่รับมาได้หรือไม่?”

“ฮึ่ม พวกเจ้ามีเพียงไม่กี่คน คิดว่าจะได้ป้ายมณีสวรรค์มาจริงๆ? ฝันกลางวันอยู่หรือไร! ทว่าหากเจ้าทำได้จริงๆ ข้าก็จะอนุญาตให้เจ้าใช้ส่วนของตนเองได้”

“ขอบคุณท่านผู้อำนวยการ ข้าจะออกไปจริงๆ แล้ว” หากต้องเผชิญหน้ากับภูเขาไฟที่อาจปะทุได้ทุกเมื่อ วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือคือรีบหนีไปโดยเร็ว โจวเหว่ยชิงได้คำตอบที่เขาต้องการแล้ว เขาจึงรีบวิ่งแจ้นออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองไปยังประตูที่ปิดลง ไช่ไช่ก็รู้สึกถึงระดับความโกรธของตนได้อย่างถนัดนี่ จะเป็นอย่างไรถ้าพวกเขาติด 4 อันดับแรกและได้รับป้ายมณีสวรรค์จริงๆ? เธอรู้ว่าป้ายเหล่านี้มีความสำคัญต่ออาณาจักรมากเพียงใด ทว่าไม่นานคิ้วที่ขมวดมุ่นของเธอก็คลายลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ป้ายมณีสวรรค์มาครอง แม้ว่าอาณาจักรจะมีนักเรียนที่มีความสามารถสูงส่งและได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจากโรงเรียนเจ้ามณี แต่พวกเขาก็ยังห่างไกลจากความสามารถของผู้ที่มาจาก 4 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะติด 4 อันดับแรก ส่วนโจวเหว่ยชิงและตัวสำรองคนอื่นๆ ก็คงออกไปต่อสู้ไม่ได้เช่นกัน ไอ้เจ้าเด็กสารเลวนั่น กล้าดียังไงมาสัมผัสตัวข้า กระทั่งใช้สายตาโลมเลีย ข้า!

ขณะที่คิดมาถึงจุดนี้ ไช่ไช่ก็หน้าแดงเถือก เธอสะบัดมือฟาดฟันอากาศอย่างหนักราวกับว่านั่นคือโจวเหว่ยชิง

เมื่อโจวเหว่ยชิงกลับมาที่ชั้นเรียน เขาก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าคาบเรียนแรกยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับจำได้ว่าบทเรียนนี้มีหมิงฮัวเป็นผู้สอน

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้หมิงฮัวก็ยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ของตนเองด้านหลังแท่นพูดและนักเรียนทุกคนต่างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

“เอ๊ะ? วันนี้พวกเราไม่มีการเรียนการสอนหรือ?” โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย

หมิงฮัวเหลือบมองเขาและพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่กลับมา พวกเขาจะมีสมาธิเรียนได้อย่างไร? แล้วเรื่องของเจ้าล่ะเป็นอย่างไร?”

………………………………………………………..

[1] 投桃报李 ใช้บ๊วยตอบแทนลูกท้อ หมายความว่าทำความดีหวังผลตอบแทน, แลกเปลี่ยนผลประโยชน์

โจวเหว่ยชิงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับคำเตือน แต่ไม่ใช่ว่าท่านผู้อำนวยการของเราเป็นถึงองค์หญิงหรอกหรือ? ขุนนางเหล่านี้กล้าทำตัวหยิ่งยโสกับนางได้อย่างไร?”

เย่เป่าเปาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในขณะที่เขาพูดว่า “ศิษย์น้อง เจ้าเป็นคนฉลาด แต่จะพูดเช่นนั้นได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าฝ่าบาทหรือท่านผู้อำนวยการของพวกเราจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง คนเหล่านี้ก็คงจะไม่แค่รอเจ้าอยู่ด้านนอกประตูโรงเรียน อย่างน้อยพวกเขาก็คงจะบุกเข้าไปข้างในเพื่อตามหาเจ้าเป็นแน่ ทว่าแม้จะเป็นท่านผู้อำนวยการ หากต้องเผชิญหน้ากับขุนนางจำนวนมากเช่นนี้ อย่างไรก็ยังยากที่จะทนต่อแรงกดดันดังกล่าวได้ ศิษย์น้อง เจ้าต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อมล่ะ แม้ข้าจะยังเชื่อว่าโรงเรียนสามารถรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้ก็เถอะ เพราะถึงอย่างไรโรงเรียนก็ได้ประกาศเจตนารมณ์ของตนเองไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าจะเปลี่ยนใจกะทันหันได้”

โจวเหว่ยชิงแค่นเสียงตอบ “ขอบคุณศิษย์พี่ที่นำข่าวมาแจ้งให้ข้าทราบ ข้าจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้อย่างแน่นอน”

เย่เป่าเปาโบกมือและกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มาเตือนเรื่องนี้กับเจ้าเพียงเพราะต้องการให้เจ้าติดหนี้บุญคุณข้า เจ้าคิดว่าสามัญชนคนหนึ่งมีค่าพอให้ข้าต้องออกโรงนำข่าวมาบอกด้วยตนเองหรือ? ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อให้เจ้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ ในสายตาของข้า ข้าคิดว่าเจ้าเป็นบุคคลอันตรายประเภทหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนาคตของเจ้า คิดแล้วก็ดูท่าว่าน่าจะอันตรายมากเกินไป ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับบางคนที่อันตรายเช่นนี้…ดังนั้นข้าจึงทำได้แค่พยายามเป็นเพื่อนกับเจ้า”

ดวงตาของพวกเขาสบเข้าด้วยกัน โจวเหว่ยชิงยิ้มและพยักหน้าให้อีกฝ่าย เขายื่นมือขวาออกไปและกล่าวว่า “เช่นนั้นจากนี้ไปพวกเราเป็นเพื่อนกัน ทว่าหลักการเดิมของข้าก็จะไม่โอนเอนเด็ดขาด ท่านอย่าได้คิดว่าจะนำนักเรียนสามัญชนในห้องของข้าไปอยู่ใต้อาณัติได้”

เย่เป่าเปาหัวเราะและพูดว่า “อย่างไรพวกเราก็เป็นเพื่อนกัน หากนักเรียนสามัญชนเหล่านั้นอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้า เช่นนั้นจะแตกต่างอันใดกับอยู่ใต้อาณัติของข้าด้วยเล่า? ได้ยินมาว่าเจ้าประกาศตัวจะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงภายใน 4 ปีข้างหน้าให้ได้ เช่นนี้ข้าก็จะตั้งตารอเลยทีเดียว! ในอนาคตหากเจ้าจะขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ก็อย่าลืมข้าด้วยแล้วกัน ข้าจะให้ราคาที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน มาสิ ข้าจะพาเจ้าเข้าไปทางด้านข้าง คนเหล่านี้เป็นพวกโง่เง่าอย่างแท้จริง ทำราวกับว่าการปิดกั้นประตูทางเข้าหลักจะมีประโยชน์อะไรมากมาย คิดว่าเราไม่สามารถกระโดดข้ามกำแพงไปได้งั้นรึ”

หากจะให้พูดตามตรง โจวเหว่ยชิงไม่อยากจะเป็นเพื่อนกับเย่เป่าเปาเลยจริงๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลานี้ นั่นเป็นเพราะเขาไม่สามารถอ่านใจบุคคลนี้ได้ อีกทั้งยังรู้สึกว่าเขาอันตรายพอๆ กับหมิงฮัว อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หลังจากเข้าเรียนในโรงเรียนทหารเฟยหลี่มาได้เพียงไม่กี่วัน เขาก็สร้างศัตรูเอาไว้มากมาย หากเผลอสร้างศัตรูขึ้นมาอีกโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เขาก็คงจะเป็นไอ้งั่งคนหนึ่งแล้ว นอกจากนี้อีกฝ่ายยังยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาอย่างเป็นมิตรก่อนด้วย

หลังจากเดินอ้อมประตูทางเข้าหลักมาได้ ทั้ง 3 คนก็คิดจะเข้าไปข้างในโรงเรียนโดยใช้กำแพงทางด้านข้าง ต้องบอกก่อนว่ากำแพงของโรงเรียนทหารเฟยหลี่นั้นสูงมากจริงๆ เพราะมันมีความสูงเกือบ 6 เมตร อีกทั้งยังมีเหล็กแหลมๆ กั้นอยู่ด้านบนเช่นกัน การกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางเช่นนี้จึงเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับคนธรรมดามาก แต่สำหรับจ้าวมณีที่ทรงพลังเช่นพวกเขา แน่นอนว่าย่อมไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรมากนัก

เย่เป่าเปาชี้ไปด้านบน ยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “กระโดดข้ามตรงนี้ไปกันเถอะ” เมื่อพูดเช่นนั้น เขาก็ยกมือขวาขึ้น แสงสีฟ้าก็ส่องสว่างออกมาจากฝ่ามือของเขา ทันใดนั้นแท่งน้ำแข็งก็ก่อตัวขึ้นมา เกิดเป็นภาพน่าทึ่งเมื่อแท่งน้ำแข็งนั้นขยายขึ้นสูงจนกลายเป็นเสาน้ำแข็งขนาดใหญ่ นำพาร่างของเย่เป่าเปาขึ้นไปด้านบนด้วยกัน ในเวลาไม่กี่นาที มันก็ขยายขึ้นสูงเกินกำแพง 6 เมตร เย่เป่าเปาเดินเหยียบไปบนแท่งน้ำแข็งนั้นอย่างรวดเร็วและทิ้งตัวข้ามกำแพงไป

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์แลกเปลี่ยนสายตากันด้วยความประหลาดใจ ทั้งสองคนรู้สึกได้ว่าขณะที่เย่เป่าเปาสร้างเสาน้ำแข็งขึ้นมา เขาไม่ได้ใช้ทักษะใดๆ เลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามณีธาตุของเขาคือธาตุน้ำและเขาก็ใช้น้ำสร้างน้ำแข็งด้วยพลังปราณสวรรค์ของเขา พลังควบคุมที่แข็งแกร่งและปริมาณพลังปราณสวรรค์ของเขาค่อนข้างน่าประทับใจ จากสิ่งนี้เห็นได้ชัดว่าเขาน่าจะมีระดับพลังปราณที่สูงกว่าพวกเขา บางทีอาจจะใกล้เคียงกับหมิงฮัวซึ่งเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 4 ชุดด้วยซ้ำ ส่วนเหตุผลที่เขาน่าจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ก็เพราะว่ามีเพียงจ้าวมณีสวรรค์เท่านั้นที่มีธาตุบริสุทธ์เพียงพอจะเปลี่ยนน้ำเป็นน้ำแข็งได้ง่ายๆ

โจวเหว่ยชิงยกเอวบอบบางของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขึ้นอุ้มและใช้เท้าขวากระแทกพื้นเสียงดัง *ปัง* จากนั้นทั้ง 2 ก็ทะยานขึ้นเหนือกำแพง 6 ฟุตก่อนจะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งได้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้ เย่เป่าเปาจึงเห็นว่าโจวเหว่ยชิงจึงใช้เพียงแค่ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพียงอย่างเดียวเพื่อกระโดดข้ามกำแพง ทั้งยังสามารถแบกคนอื่นไปได้อีกด้วย ส่วนโจวเหว่ยชิงนั้น เขาต้องการแสดงพลังให้เย่เป่าเปาเห็นเล็กน้อย แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพราะพลังขาขวาปีศาจ แต่เนื่องจากเย่เป่าเปาได้แสดงพลังของตนออกมาให้เขาเห็นแล้ว โจวเหว่ยชิงจะปกปิดซ่อนเร้นพลังของตนเองต่อไปได้อย่างไร หากจะเป็นเพื่อนกับคนอย่างเย่เป่าเปา เขาจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเท่าเทียมกัน มิฉะนั้นมิตรภาพก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้

“ศิษย์น้องมีทักษะเยี่ยมยอดจริงๆ” เย่เป่าเปากล่าวชมเขาด้วยความประหลาดใจขณะที่จ้องมองอีกฝ่าย แม้จะไม่ได้มองขณะโจวเหว่ยชิงกระโดดข้ามมาอีกฝั่ง แต่เขาก็ยังสามารถเดาได้จากร่องรอยในอากาศว่าโจวเหว่ยชิงไม่ได้ใช้พลังปราณสวรรค์เลย

“รุ่นพี่เองก็ทรงพลังมากเช่นกัน แม้ท่านจะอยู่ในโรงเรียนเจ้ามณี ข้าก็ยังเชื่อว่าท่านจะยังเป็นอันดับต้นๆ ของที่นั่น” อย่างไรการสรรเสริญเยินยอก็ไม่ต้องเสียเงิน ดังนั้นใครจะไม่อยากชมเชยผู้อื่นเพื่อเอาอกเอาใจบ้าง? อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนจะมีทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมเช่นโจวเหว่ยชิง เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถทำให้น้ำเสียงของตนฟังดูจริงใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา จ้าวมณีก็ส่ายหัวอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ศิษย์น้อง โรงเรียนเจ้ามณีไม่ได้กระจอกอย่างที่เจ้าคิด หากพูดอย่างไม่รักษาน้ำใจแล้วล่ะก็ ในโรงเรียนของเรานั้น มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถแข่งขันกับข้าได้ อย่างไรก็ตาม หากจะเปรียบเทียบกับโรงเรียนเจ้ามณี พลังของข้าก็ยังยากที่จะเบียดเข้าไปใน 50 อันดับแรกจากจำนวนนักเรียนร้อยกว่าคนด้วยซ้ำ ผู้อำนวยการโรงเรียนเจ้ามณีเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรของเรา พลังของเขาทะลวงผ่านระดับเทวะขึ้นไปแล้ว ทั้งยังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชาที่มีมณี 10 ชุดเพียงคนเดียวในอาณาจักรของเรา โรงเรียนของพวกเขามุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการใช้พลังต่อสู้ พวกเขามีประสบการณ์ในการต่อสู้มากมายในขณะที่โรงเรียนทหารของเรามุ่งเน้นไปที่ความรู้ทางด้านทหาร เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วพวกเราจะเปรียบเทียบกับพวกเขาได้อย่างไร ความจริงแล้วข้าอาจจะไม่สามารถเอาชนะนักเรียนจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 3 ชุดของพวกเขาได้เลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงไปแม้แต่น้อย”

“จ้าวมณีสวรรค์ระดับราชา?” ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็สูดหายใจเข้าลึกเมื่อได้ยินคำนั้น การเลื่อนระดับมณีสวรรค์จาก 9 ชุดเป็น 10 ชุดอาจฟังดูง่าย แต่แท้จริงแล้วมันไม่ง่ายดายเช่นนั้น จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะนั้นถือว่าหายากมากแล้ว แต่ทั้งอาณาจักรเฟยหลี่ก็อาจพบได้มากกว่า 20 คน อย่างไรก็ตาม ที่นี่มีจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชาเพียงคนเดียวเท่านั้น และนั่นก็เป็นระดับพลังที่เหนือขึ้นไปอีกขั้น เพื่อให้สามารถมองเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน อาจพูดได้ว่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชาขั้นแรกเพียงคนเดียวก็สามารถฆ่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะระดับสูง 10 คนได้อย่างง่ายดาย

เย่เป่าเปายิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ศิษย์น้องไม่จำเป็นต้องแปลกใจไปหรอก ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนจ้าวมณียังมีสถานะอื่นอีกด้วย เขาเป็นนายท่านเจ้าของสำนักกักเก็บทักษะในอาณาจักรเฟยหลี่และยังเป็นอัครมหาเสนาบดีของอาณาจักรอีกด้วย ตอนนี้ระดับพลังปราณของเขาคือระดับราชาขั้นกลางแล้ว”

เมื่อจ้าวมณีสวรรค์ผู้หนึ่งเลื่อนขั้นขึ้นไปถึงระดับราชา ขั้นพลังต่างๆ อย่างเช่นขั้นแรก ขั้นกลาง และขั้นสูงจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนมณีอีกต่อไป แต่เป็นไปตามระดับพลังปราณสวรรค์ของเขาต่างหาก จากสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียวก็บอกแล้วได้ว่าการเพิ่มระดับพลังปราณ ณ เวลานั้นยากเพียงใด

โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึกและพูดว่า “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าโรงเรียนเจ้ามณีจะทรงพลังและมีภูมิหลังยิ่งใหญ่เช่นนี้”

เย่เป่าเปายิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ไม่ว่าจ้าวมณีสวรรค์จะทรงพลังเพียงใด พวกเขาก็อยู่ตัวคนเดียว ฉะนั้นพวกเขาจะเทียบกับพวกเรา คนที่จะกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตได้อย่างไร? ไม่ว่าแต่ละคนจะมีพลังมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถต่อสู้กับคนทั้งกองทัพได้อยู่ดี เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็มีพลังปราณสวรรค์ในปริมาณที่จำกัด ท้ายที่สุดพลังก็ต้องหมดลงอยู่ดี”

“เอาล่ะ ข้าพูดมากพอแล้ว ศิษย์น้อง ข้าคงต้องกลับไปที่ชั้นเรียนก่อน หากเจ้ามีปัญหาอะไรก็สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ แต่ในอีกไม่กี่วันนี้ข้าอาจจะต้องจากไปสักพัก ถ้าเป็นไปได้ ช่วงนี้ข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าเพิ่งออกไปนอกโรงเรียนและอยู่ในหอพักไปสักพักเพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง ด้วยฐานะองค์หญิงของท่านผู้อำนวยการ คงจะไม่มีใครกล้าเข้ามาสร้างปัญหาในโรงเรียนแน่นอน ทว่าหลังจากการต่อสู้เมื่อวานนี้ ห้องเรียนเอกสามัญของเจ้าก็มีชื่อเสียงใหญ่โตแล้ว ดังนั้นจึงมีแนวโน้มว่าพวกเขาอาจจะก่อปัญหามากขึ้นก็ได้”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ตราบใดที่รุ่นพี่ไม่มาหาเรื่องข้า ข้าจะต้องหวาดกลัวใครอีก”

เย่เป่าเปาหัวเราะและโบกมือให้โจวเหว่ยชิงก่อนจะเดินจากไป

เมื่อโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาถึงห้องเรียน พวกเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าบรรยากาศภายในห้องนั้นค่อนข้างตึงเครียด

ห้องเรียนเงียบสงบมากเกินไป ส่วนหมิงฮัวนั้นมาถึงก่อนแล้ว เธอนั่งอยู่ที่ด้านหน้าห้องพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อโจวเหว่ยชิงเข้ามาในห้อง ทุกคนก็หันมามองเขา นักเรียนบางคนถึงกับลุกขึ้นยืน

“หัวหน้า ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?” น้ำเสียงแสดงความกังวลดังเล็ดลอดออกมาหลายเสียงทันที

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปหมด? นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น จะมีอะไรเกิดขึ้นกับข้าได้อย่างไร?”

หมิงฮัวกล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าสร้างปัญหาให้กับตระกูลขุนนางมากกว่า 10 ตระกูล ขุนนางขั้นที่ 1 จำนวน 2 คน ขุนนางขั้นที่ 2 จำนวน 6 คน ขุนนางขั้นที่ 3 จำนวน 9 คน ส่วนที่เหลือเป็นขุนนางขั้นที่ 4 นั่นยังถือเป็นเรื่องเล็กน้อยอีกหรือ? แม้แต่ท่านผู้อำนวยการก็ยังต้องหัวหมุนกับการจัดการพวกเขา เจ้าจะก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไร?”

เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งยืนขึ้นอย่างกะทันหันและร้องออกมาว่า “หัวหน้าห้อง พวกเราทุกคนก็เป็นผู้ลงมือในเหตุการณ์เมื่อวานนี้เช่นกัน ให้ตายเถอะ! ตั้งแต่เด็กๆ ข้ายังไม่เคยสัมผัสความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อน ถ้าโรงเรียนลงโทษท่าน ให้นับข้าเข้าไปด้วยก็แล้วกัน ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ร่วมกับท่านเอง!”

ทันทีที่เขาพูดเช่นนั้น นักเรียนสามัญชนทุกคนก็ส่งเสียงโวยวายออกมาเช่นเดียวกัน ไม่นานก็เกิดความปั่นป่วนขึ้นทั่วชั้นเรียน

“ใช่แล้ว! หัวหน้า! พวกเราจะรับผิดชอบเรื่องนี้ร่วมกัน! ไม่ใช่ท่านเคยพูดหรือว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน หนึ่งสู่เหล่า เรารวมเป็นหนึ่ง!”

เมื่อเห็นสีหน้ากระตือรือร้นของเพื่อนร่วมชั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกอบอุ่นในใจ เขารู้ทันทีว่าความพยายามในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาของตนไม่ได้สูญเปล่า ไม่เพียงแต่ได้รับการยอมรับจากพวกเขาเท่านั้น จิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาก็ถูกจุดประกายขึ้นมาด้วย นี่คือผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดที่เขาคาดหวังเอาไว้เลยทีเดียว

แม้แต่หมิงฮัวก็ยังจ้องไปที่นักเรียนทั้งห้องด้วยความตกตะลึง อย่างไรเธอก็เคยผ่านช่วงเวลาแห่งการเป็นนักเรียนมาก่อน แต่เธอไม่เคยเห็นห้องเรียนที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวและทุกคนยังเคารพรักในตัวบุคคลหนึ่งมากมายขนาดนี้ นี่เพิ่งจะเปิดเทอมได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่? หากสิ่งนี้ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ นักเรียนสามัญชนเหล่านี้จะถึงขั้นเต็มใจสละชีพเพื่อเขาหรือไม่?

หมิงฮัวตระหนักได้ทันทีว่าสายตาของบิดานั้นเฉียบคมมากจริงๆ โจวเหว่ยชิงไม่ใช่แค่คนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกที่มีความสามารถสูงส่งเท่านั้น เขายังมีทักษะผู้นำที่แปลกประหลาดจนเธอไม่อาจอธิบายได้ นั่นแตกต่างจากความเป็นผู้นำของพี่ใหญ่ของเธอ โจวเหว่ยชิงเป็นผู้นำประเภทที่อาจทำให้ผู้ติดตามของเขาบ้าคลั่งและคลั่งไคล้ บางทีก็อาจชักนำพวกพ้องไปในทางที่ ‘ไม่ดี’ ได้ หมิงฮัวไม่สามารถบรรยายความรู้สึกนี้ออกมาได้ แต่เธอรู้สึกชัดเจนว่ามันเหมือนกับที่บิดาของเธอเคยพูดเอาไว้ พวกเขาไม่อาจมีปัญหากับโจวเหว่ยชิงได้อีกต่อไปเพราะนั่นจะทำให้เขากลายเป็นศัตรูกับนิกายของพวกเขาไปด้วย

“เอาล่ะ เอาล่ะ ทุกคนเงียบหน่อย” โจวเหว่ยชิงยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ เขากล่าวต่อด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “พูดกันพอแล้ว เมื่อวานนี้ท่านผู้อำนวยการของเราได้ประกาศคำตัดสินออกมาแล้ว ดังนั้นจึงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆอีก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น ข้าก็ไม่ต้องการให้พวกเจ้ามาช่วยข้ารับผิดชอบ เพราะท้ายที่สุดนั่นคือสิ่งที่หัวหน้าห้องต้องรับผิดชอบ คิดว่าพวกเจ้าเรียกข้าว่าหัวหน้าเพื่ออะไร? หัวหน้าจะต้องคอยแบกรับแรงกดดันทั้งหมดอยู่ แล้ว!”

ภายใต้ผลของทักษะสัมผัสมืด ประสาทสัมผัสของโจวเหว่ยชิงจึงเพิ่มขึ้นถึงขีดสุด ความจริงแล้วการเข้าใกล้เป้าหมายมากเกินไปอาจไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนักธนู เพียงเพื่อประสิทธิภาพในการโจมตี ทักษะการยิงธนูของโจวเหว่ยชิงจึงต้องอาศัยระยะทางพอสมควร หากไม่มีระยะโจมตีที่เพียงพอ ก็จะไม่มีเวลาและระยะทางมากพอจะใช้ประโยชน์จากพลังโจมตีและการเปลี่ยนแปลงทิศทางอย่างกะทันหัน อย่างไรก็ตาม ในแง่ของพลังดั้งเดิม ระยะใกล้มักจะให้ผลสูงสุดเสมอ

เป็นอีกครั้งที่สายง้างของธนูราชันย์ถูกดึงขึ้นไปสู่จุดสูงสุด เสียงที่ได้ยินก็ยิ่งดังขึ้นเมื่อมันปะทะเข้ากับโล่ของหลินเทียนอ่าว แม้แต่โล่ป้องกันที่ทรงพลังของเขาก็ยังสั่นเล็กสะเทือนไปน้อย ทว่าผลที่เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียวก็คือแสงสีเหลืองรอบๆ โล่กลับสว่างไสวขึ้น

“เป็นลูกศรที่ดี!” คนที่ร้องอุทานไม่ใช่หลินเทียนอ่าว แต่เป็นชายเสื้อแดงที่ยืนอยู่ด้านข้างเพื่อเฝ้าดูการต่อสู้

ด้วยวิธีการง้างสายธนูแบบบิดเป็นเกลียวเช่นนี้ ใครก็ตามที่มีสายตาดีย่อมมองเห็นได้ชัดเจนว่าลูกศรเหล่านั้นทรงพลังเพียงใด ด้วยพื้นฐานความแข็งแกร่งของโจวเหว่ยชิง เมื่อรวมกับพลังระเบิดทำลายล้าง 2 เท่าของธนูราชันย์และวิธียิงธนูที่ไม่เหมือนใคร พลังของมันก็แทบจะเทียบได้กับพลังโจมตีเต็มรูปแบบของหยุนลี่ก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่านี่คือพลังที่แท้จริงของนักธนู

หยุนลี่ลอบเข้าไปทางด้านหลังของหลินเทียนอ่าว ไม่นานเขาก็ลงมือ กระโดดเข้าไปด้านหลังราวกับแมวย่องเบา บิดข้อมืออีกครั้ง เดือยแหลมพลันปรากฏขึ้นในมือของเขา ทักษะปืนใหญ่บีบอัดธาตุมิติถูกนำมาใช้อีก โดยครั้งนี้พุ่งเป้าไปยังจุดตายด้านหลังของหลินเทียนอ่าว

ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้หยุดกระหน่ำยิง ลูกศรดอกแล้วดอกเล่าพุ่งเข้าหาหลินเทียนอ่าวอย่างต่อเนื่อง ก่อตัวเป็นเส้นสายคล้ายดาวหางพุ่งเข้าหาเขา

ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ หลินเทียนอ่าวย่อมไม่สามารถขยับโล่กลับไปปกป้องแผ่นหลังของตนได้ ตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดของเขาคือข้อจำกัดในการใช้มือข้างเดียวและการที่ไม่สามารถขยับตัวได้ นั่นทำให้เขาไม่สามารถใช้พลังอื่นๆ ของตนได้เลย เนื่องจากจุดสนใจหลักของเขาอยู่ด้านหน้า เขาจึงเลือกที่จะไม่ขยับโล่เพราะรู้สึกว่าลูกศรของโจวเหว่ยชิงก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่กว่าการโจมตีของหยุนหลี่

แสงสีเหลืองสว่างขึ้นก่อตัวเป็นชั้นแสงหนาๆ พุ่งออกมาจากร่างของหลินเทียนอ่าวก่อนที่การโจมตีของหยุนลี่จะมาถึง ทำให้ร่างกายของเขาราวกับเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

ม่านพลังเกราะสีเหลืองคล้ายสร้างมาจากดินดูเหมือนจะตรงเข้าปกคลุมร่างกายของหลินเทียนอ่าว แม้แต่โล่ในมือของเขาก็ถูกชั้นหินเหล่านั้นเคลือบเอาไว้ อีกทั้งม่านพลังนั้นก็ดูเหมือนจะห่อหุ้มทั่วทั้งร่างของเขาจนมิด

เกิดเสียงปะทะที่ดังกึกก้อง ศาสตรามณียุทธ์เดือยแหลมได้กระแทกเข้ากับชุดเกราะสีเหลืองรอบๆ ตัวหลินเทียนอ่าวอย่างรุนแรงจนทำให้มันสลายกลายเป็นแสงสีเหลืองจางๆ ไปในพริบตา อย่างไรก็ตาม ส่วนที่แตกร้าวนั้นเป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ และหลินเทียนอ่าวก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างไม่ไหวติง

“ชุดเกราะหิน!” หยุนลี่คำรามออกมาเบาๆ

ทักษะชุดเกราะหินนี้ดูค่อนข้างคุ้นเคย แต่ก็ยังเหนือชั้นกว่าทักษะผิวหนังหุ้มหินที่หม่าฉุนเคยใช้ในอดีตมาก ทักษะผิวหนังหุ้มหินเป็นเพียงทักษะระดับ 4 ดาวและจะได้รับเองเมื่อมีมณี 3 ดวงขึ้นไป ในทางกลับกัน ทักษะชุดเกราะหินเป็นทักษะระดับ 9 ดาวและเป็นหนึ่งในทักษะป้องกันชั้นยอดของธาตุดิน สำหรับจ้าวมณีสวรรค์อย่างหลินเทียนอ่าวที่มีมณี 5 ดวง เมื่อรวมกับพลังป้องกันและความทนทานตามธรรมชาติของเขา สิ่งนี้ทำให้ร่างกายของเขาดูราวกับเป็นป้อมปราการแห่งหนึ่ง!

สิ่งที่ทำให้หยุนลี่หดหู่ที่สุดคือเขาสามารถบอกได้ว่าทักษะชุดเกราะหินดั้งเดิมไม่ควรแข็งแกร่งขนาดนี้ อย่างไรเขาก็ใช้พละกำลังของตนอย่างเต็มที่พร้อมกับทักษะหลายๆ ชนิดหลอมรวมเข้าด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือทักษะทั้งหมดถูกใช้พร้อมกับอาวุธศาสตรามณียุทธ์ของเขา ทว่าทักษะชุดเกราะหินนี้ได้ถูกปลดปล่อยผ่านโล่ประสานทั้ง 5 ชิ้นของเขาออกมาเขาไม่รู้ว่าหลุมบรรจุมณีของอีกฝ่ายสามารถเพิ่มพลังได้มากแค่ไหน แต่มั่นใจว่าพวกมันเพิ่มพลังได้มากกว่าทักษะบีบอัดพลัง 2 เท่าของเขาแน่นอน

กล่าวได้ว่าแม้หลินเทียนอ่าวจะเพิ่งปล่อยให้หยุนลี่โจมตีใส่ตน แต่เขาก็ยังไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับอีกฝ่ายได้เลย!

ให้ตายเถอะ! เจ้านี่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ชุดจริงๆ หรือ!? แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะก็ไม่น่าจะทน ทานได้ขนาดนี้!

เมื่อมาถึงจุดนี้ หยุนลี่ก็ตัดสินใจหยุดการโจมตีและจ้องมองไปที่หลินเทียนอ่าวอย่างแน่วแน่ เขาเริ่มฟื้นฟูพลังปราณ เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีเต็มรูปแบบอีกระรอก ขณะรอโจวเหว่ยชิงให้สัญญาณ เขาก็ประกบอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย คิดในใจว่าอย่างน้อยก็ต้องดึงความสนใจของหลินเทียนอ่าวมาบางส่วนให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับการปลดปล่อยทักษะชุดเกราะหินที่ทรงพลังออกมาจากชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้นเช่นนี้ หลินเทียนอ่าวย่อมต้องเผาผลาญพลังปราณสวรรค์ไปค่อนข้างมากแน่นอน

ธนูราชันย์ในมือของโจวเหว่ยชิงยังคงกระหน่ำยิงออกมาอย่างบ้าคลั่ง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองว่าเขายิงธนูออกไปอย่างไร สิ่งเดียวที่สามารถรับรู้ได้คือเสียงกระทบกันระหว่างลูกศรและโล่กับแสงที่ส่องสว่างออกมาจากโล่ของหลินเทียนอ่าวขณะลูกศรพุ่งเข้าปะทะ ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ไม่ได้ทำให้พลังปรานสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงถูกใช้ไปมากนักเพราะเขาใช้พลังปราณเพียงแค่คงสภาพธนูราชันย์เอาไว้เท่านั้น ส่วนที่เหลือย่อมขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งทางกายภาพในการยิงธนูของเขา การใช้วิธีการยิงธนูแบบบิดเกลียวเป็นท่าไม้ตายดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งของเขา ในขณะที่โจวเหว่ยชิงใช้วิธีการยิงเช่นนั้น ธนูราชันย์ของเขาก็หมุนคว้างอย่างต่อเนื่องราวกับโล่ลวงตา

ในขณะที่หลินเทียนอ่าวป้องกันลูกศรต่อเนื่องของโจวเหว่ยชิง เขาก็อดรู้สึกประหลาดใจกับตัวเองไม่ได้ ตอนนี้เขามีความปรารถนาที่จะชนะการเดิมพันนี้มากกว่าเดิม เดิมทีเป้าหมายของเขาคือหยุนลี่เท่านั้น แต่ตอนนี้เขาพบว่าเด็กหนุ่มที่มีมณี 3 ชุดตรงหน้าเขานั้นน่าสนใจยิ่งกว่า ในแง่ของการประลองฝีมือระหว่างอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์  เขาก็เคยเสมอ  หยุนลี่มาก่อน อีกทั้งความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็เหนือกว่ามาก! แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นว่าวิธีการยิงธนูแบบบิดสายธนูนั้นเป็นอย่างไร แต่เขาก็รู้สึกถึงพลังโจมตีที่ตนกำลังรับมืออยู่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอัตราความเร็วในการยิงของโจว เหว่ยชิง หากเขาได้หนุ่มน้อยคนนี้มาเป็นผู้ติดตามของเขา มันก็จะคล้ายกับการมีปืนใหญ่ที่ยิงได้ต่อเนื่องอยู่ข้างตัวในสนามรบ แม้ว่าการป้องกันของหลินเทียนอ่าวจะทรงพลังอย่างมาก แต่ความสามารถในการโจมตีของเขา โดยเฉพาะในแง่ของการโจมตีระยะไกลนั้นมีข้อจำกัดมาก ทว่าทักษะการยิงธนูของโจวเหว่ยชิงนั้นเรียกได้ว่าสามารถเผชิญหน้ากับศัตรูกว่าร้อยคนด้วยตัวคนเดียวได้สบายๆ หากมีพลังของอีกฝ่ายรวมกับความสามารถในการป้องกันของเขา นั่นจะทำให้โจวเหว่ยชิงสามารถสร้างความเสียหายให้ศัตรูได้เต็มที่โดยไม่ต้องคอยพะวงหน้าพะวงหลัง

ในความคิดของหลินเทียนอ่าว เขาถึงขั้นกรุ่นคิดไปแล้วว่าตนและโจวเหว่ยชิงจะต่อสู้ร่วมกันอย่างไรในสนามรบ แม้ว่าการยิงธนูของโจวเหว่ยชิงจะทรงพลังอย่างมาก แต่พลังทำลายล้างของมันก็ยังบกพร่องไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับขาขวาของปีศาจของเขา ดังนั้นลูกศรเหล่านั้นจึงไม่สามารถทะลุผ่านโล่ของเขาได้ง่ายๆ

หากเดาว่าหลินเทียนอ่าวจะต้องใช้พลังปราณสวรรค์ไปจนหมด แน่นอนว่าทุกคนย่อมคิดผิด มีเพียงหลินเทียนอ่าวที่ล่วงรู้ความลับนี้ อย่างไรชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้นก็ควรต้องเผาผลาญพลังปราณสวรรค์ไปเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือทุกครั้งที่มีการเพิ่มจำนวนมณีเข้าไปในโล่ประสานศาสตรามณียุทธ์ โล่นั้นจะได้รับคุณสมบัติพิเศษและหนึ่งในคุณสมบัติที่เพิ่มเข้ามาคือความสามารถในการลดปริมาณพลังปราณสวรรค์ที่ต้องใช้ สิ่งนี้จะช่วยลดการใช้พลังปราณของเขาได้เป็นจำนวนมากและยังทำให้เขาสามารถคงสภาพป้องกันสูงสุดไว้ได้นานขึ้นอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เวลาเดียวกันเขาก็สามารถนำพลังโจมตีบางส่วนของคู่ต่อสู้มาใช้เป็นพลังของตัวเองได้ เช่นนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงเวลาหนึ่งก้านธูปเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าจะเป็นเวลา 2 ชั่วโมงเต็ม เขาก็ยังคงรักษาสภาพที่ดีที่สุดของตัวเองเอาไว้ได้

สำหรับหยุนลี่ เว้นแต่เขาจะใช้การโจมตีเต็มรูปแบบอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นแค่ชุดเกราะหินก็เพียงพอแล้วที่จะปิดกั้นการโจมตีของเขา ด้วยสภาพปัจจุบันของหยุนลี่ เขาน่าจะปลดปล่อยพลังโจมตีเต็มรูปแบบได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลินเทียนอ่าวได้วางแผนเอาไว้แล้ว เมื่อหยุนลี่ใช้การโจมตีเต็มรูปแบบ แม้ว่าเขาจะต้องแบกรับความเสียหายบางส่วน เขาก็จะยังคงยืนอยู่ที่เดิมได้โดยไม่ขยับ นอกจากนี้ ทักษะที่ใส่ไว้ในโล่ก็ไม่ได้มีแค่ทักษะชุดเกราะหินเท่านั้น ในบรรดาทักษะทั้งหมด 5 ชนิดของเขา มีทักษะสนับสนุน 2 ทักษะและทักษะป้องกันอีก 3 ทักษะ

ถึงตอนนี้ธูปในมือของชายชุดแดงได้ถูกเผาไหม้ไปแล้วกว่า 1 ใน 3 ส่วน นั่นหมายความว่าการประลองใช้เวลาไปเกือบจะครึ่งทางแล้ว โจวเหว่ยชิงยังคงระดมยิงธนูต่อไป เนื่องจากธนูราชันย์หมุนคว้างอยู่ตลอดเวลา หลินเทียนอ่าวจึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของโจวเหว่ยชิงได้ถนัดนัก

ความจริงแล้วสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ก็คือสาเหตุที่โจวเหว่ยชิงยังคงยิงธนูออกไปอย่างต่อเนื่องเป็นเพราะเขากำลังพยายามคิดหาหนทางอยู่นั่นเอง ด้วยไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขา เขาย่อมมีจำนวนทักษะมากกว่าคนส่วนใหญ่อยู่แล้ว นอกจากนี้บนธนูราชันย์ยังมีหลุมบรรจุมณีอีก 2 ช่องไว้สำหรับใช้ทักษะอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ ในการจัดการศัตรู เขาจึงสามารถประยุกต์ใช้แผนการได้มากมาย ดังนั้นเขาจึงพยายามคิดหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อเอาชนะหลินเทียนอ่าวให้ได้

ทันใดนั้น ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็สว่างวาบขึ้นเมื่อเขาเกิดความคิดบางอย่าง ทันใดนั้นลูกศรดอกถัดไปของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

ขณะที่ลูกศรดอกนั้นพุ่งทะยานออกไป มันก็ถูกรายล้อมไปด้วยแสงสีเงินที่ดูงดงาม แสงเยียบเย็นวาบผ่านเข้ามาในดวงตาชายเสื้อคลุมสีแดงทันทีเมื่อได้เห็นลูกศรดอกนั้น ทว่าฝ่ายหลินเทียนอ่าวกลับไม่ทันได้สังเกตเห็นเพราะเขาต้องใช้โล่ป้องกันการโจมตีทั้งหมด ขนาดของโล่จึงส่งผลต่อการมองเห็นของเขาด้วย นอกเหนือจากรับรู้ความเร็วในการยิงลูกศรของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ไม่มีเวลาและแรงมากพอจะสังเกตการกระทำของโจวเหว่ยชิงอย่างใกล้ชิดอีก

เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อลูกศรกระแทกเข้าที่โล่อีกครั้ง

ความแข็งแกร่งและพลังของมันไม่แตกต่างจากลูกศรก่อนหน้านี้ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือแสงสีเงินที่อยู่บนตัวลูกศร

เมื่อแสงสีเงินพวยพุ่งออกมา หลินเทียนอ่าวก็พลันรู้สึกว่าร่างกายของเขาถูกรัดแน่นขึ้นพร้อมกับมีแสงสีเงินขยับปกคลุมไปทั่วร่าง หลังจากแทรกซึมผ่านโล่เข้ามาได้ แสงสีเงินก็เจือจางลงไปมาก หลินเทียนอ่าวใช้แขนขยับโล่ขึ้นเล็กน้อย ทำให้แสงสีเงินที่กักขังเขาเอาไว้แตกสลายหายไปในอากาศทันที

‘ให้ผลน้อยลงประมาณครึ่งหนึ่ง’ ประกายแวววาวปรากฏขึ้นในดวงตาของโจวเหว่ยชิงขณะที่เขาสังเกตและประมาณผลที่เห็น

ลูกศรก่อนหน้าถูกผสานเข้ากับทักษะมิติกักขัง ความตั้งใจของเขาคือทดสอบประสิทธิภาพทักษะควบคุมและทักษะสนับสนุนของหลินเทียนอ่าว

เห็นได้ชัดว่าการโจมตีโดยตรงจากด้านหน้านั้นไม่มีทักษะใดหรือแม้แต่การผสมผสานทักษะใดๆ ของโจวเหว่ยชิงจะสามารถทำลายการป้องกันของหลินเทียนอ่าวได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนที่ระดับพลังปราณของพวกเขาแตกต่างกันมากเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโล่ของหลินเทียนอ่าวจะทรงพลังเพียงใด มันก็ยังไม่สามารถลบล้างผลของทักษะควบคุมหรือทักษะสนับสนุนทั้งหมดได้ จากการทดสอบของโจวเหว่ยชิง เขาพบว่าโล่สามารถต่อต้านทักษะสนับสนุนหรือทักษะควบคุมได้เกือบครึ่งหนึ่ง นั่นเป็นพลังที่น่ากลัวอย่างแท้จริง ด้วยระดับพลังปราณที่แตกต่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ทักษะควบคุมส่วนใหญ่ของโจวเหว่ยชิงจึงใช้ไม่ค่อยได้ผลนัก ถึงกระนั้น โจวเหว่ยชิงก็ยังมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับบนใบหน้าของเขา

ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการป้องกันถาวร แม้ว่าหลินเทียนอ่าวจะมีพลังป้องกันที่น่าทึ่ง แต่โล่ก็ต้องอยู่ใกล้ตัวเขามาก ดังนั้นจึงยังมีบางอย่างที่โจวเหว่ยชิงสามารถใช้ประโยชน์ได้

“หยุนลี่ โจมตีเดี๋ยวนี้!” โจวเหว่ยชิงตะโกนออกมา เมื่อคิดแผนขึ้นมาแล้ว เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป

ก่อนหน้านี้ เมื่อหยุนลี่เห็นร่างกายของหลินเทียนอ่าววูบวาบไปด้วยแสงสีเงิน ดวงตาของเขาก็เจิดจ้าขึ้นเช่นกัน ในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เขาเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าธนูของโจวเหว่ยชิงมีหลุมบรรจุมณี ทว่าเขาก็ต้องรู้สึกผิดหวังอย่างรวดเร็วเนื่องจากลูกศรของโจวเหว่ยชิงดันมีทักษะมิติกักขังที่ค่อนข้างไร้ประโยชน์

………………………………………

ทักษะมิติกักขังเป็นทักษะที่ทรงพลังและมีระดับดาวสูง แต่ทว่าการใช้งานของมันก็ค่อนข้างจำกัดและใช้ได้กับสถานการณ์เฉพาะเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ทักษะต่อสู้ที่ผู้คนนิยมกักเก็บเอาไว้ หากนำไปใช้อย่างไม่เหมาะสมก็จะไม่ก่อให้เกิดผลใดๆ หรืออาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้ ตัวอย่างก็เช่นการใช้ทักษะนี้กับหลินเทียนอ้าวเพราะทักษะเช่นนี้รังแต่จะทำให้พลังป้องกันของเขาเพิ่มขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของโจวเหว่ยชิง หยุนลี่ก็รู้ว่าโจวเหว่ยชิงพบโอกาสเหมาะแล้ว อย่างที่โบราณเคยกล่าวเอาไว้ เมื่อมีโอกาสก็ต้องรีบคว้า ไม่เช่นนั้นก็ต้องเสียมันไปตลอดกาล แม้จะยังกังวลอยู่บ้าง แต่หยุนลี่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เพื่อที่จะไม่ต้อง ‘พ่ายแพ้’ เป็นครั้งที่ 2 เขาจึงต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่ โจมตีสุดกำลังเพื่อชีวิตของเขา

ร่างของหยุนลี่กระโจนขึ้นไปในอากาศพลางร้องตะโกนออกมา แสงสีเงินเข้มข้นปกคลุมร่างของเขาขณะที่มณีธาตุไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวทองทั้ง 4 สว่างวาบขึ้นพร้อมกัน ทักษะธาตุมิติทั้ง 4 ถูกส่งไปยังศาสตรามณียุทธ์เดือยแหลมในมือของเขาอีกครั้ง ในการโจมตีครั้งสุดท้ายนี้ เขาพุ่งเข้าหาขาซ้ายของหลินเทียนอ้าวด้วยกำลังสุดแรง

หลังจากตะโกนส่งสัญญาณ โจวเหว่ยชิงก็หยุดยิงลูกศร ตั้งสมาธิหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์และปลดปล่อยมันออกไป ไพฑูรย์ตาแมวสองสีทั้ง 2 ดวงกลิ้งลงไปในหลุมบรรจุมณีบนธนูราชันย์ มือซ้ายของเขาจับคันธนูไว้แน่น

เสียงตะโกนของโจวเหว่ยชิงไม่เพียงแต่ให้สัญญาณหยุนลี่ แต่ยังช่วยเตือนหลินเทียนอ้าวล่วงหน้าอีกด้วย เขาหรี่ตาลงและปลดปล่อยทักษะทั้งหมดบนโล่ออกมาเพิ่มการป้องกันในทันที ไม่เพียงแต่ปกป้องร่างกายของเขาเท่านั้น แต่ยังเพิ่มพลังให้โล่อีกด้วย แม้ไม่ใช้สายตามอง เขาก็สัมผัสถึงพลังมหาศาลที่ก่อตัวขึ้นด้านหลังเขาได้และรู้ดีว่าหยุนลี่กำลังจะปลดปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้ายออกมา นอกจากนี้เขายังตระหนักได้ชัดเจนว่าหากตนสามารถรับการโจมตีครั้งนี้เอาไว้ได้ สำหรับการต่อสู้ที่เหลือ หยุนลี่ก็จะกลายเป็นบุคคลไร้ประโยชน์ทันที ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาคิดว่าคุ้มค่าหากนำพลังปรานออกมาใช้ให้มากเท่าที่จำเป็น

ในที่สุดธนูราชันย์ก็ยิงลูกศรออกไป ทันทีที่โจวเหว่ยชิงปล่อยสายธนู ชายในชุดคลุมสีแดงด้านข้างก็ยกมือขึ้นปิดหูเพราะได้ยินเสียงหวีดหวิวดังเสียดหูขึ้นมา ในเวลาต่อมาเขาพลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงในศีรษะ ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลายเป็นภาพพร่าเลือนไปในทันที

โจวเหว่ยชิงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าความช่วยเหลือของเทียนเอ๋อร์จะไม่ใช่การสนับสนุนเขาต่อสู้กับหลินเทียนอ้าว ทว่าเป็นการดึงดูดความสนใจของผู้ชมและผู้ตัดสินอย่างชายชุดแดงคนนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าชายคนนั้นจะไม่ล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับไพฑูรย์ตาแมวสองสีและทักษะอันทรงพลังมากมายของโจวเหว่ยชิง

คราวนี้ลูกศรที่พุ่งออกมากลายเป็นสีดำสนิทที่ดูแปลกประหลาด ทว่าก็ยังมีเส้นแสงสีฟ้าสดใสที่บิดวนเป็นเกลียวอยู่รอบๆ ลูกศรสีดำดอกนั้นด้วย

เนื่องจากพวกเขาอยู่ใกล้กันมากเกินไป การหลบหลีกสิ่งนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงการหลบหลีก แม้แต่จะมองเห็นลูกศร หลินเทียนอ้าวก็ยังมองไม่ทันด้วยซ้ำ

เสียงระเบิดครั้งใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง พลังระเบิดทำลายล้าง 2 เท่าที่เกิดจากทักษะการยิงธนูที่แปลกประหลาดและพลังของธนูราชันย์ปะทะเข้าใส่โล่ยักษ์นั้นอีกครั้งในลักษณะที่ไม่ต่างจากลูกศรดอกอื่นๆ ก่อนหน้านี้ เป็นอีกครั้งที่แรงระเบิดของลูกศรถูกโล่ของหลินเทียนอ้าวป้องกันเอาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง ทว่าในช่วงเวลาถัดมา การแสดงออกของหลินเทียนอ้าวก็ต้องแปรเปลี่ยนไป

ในเวลาเดียวกันกับที่เขาปล่อยลูกศรออกไป เท้าขวาของโจวเหว่ยชิงก็กระแทกลงกับพื้นและดีดส่งร่างของเขาพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าด้วย ทักษะพายุสลาตันถูกเปิดใช้งานพร้อมกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นเพราะขาขวาปีศาจ นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงสามารถเข้าถึงตัวของหลินเทียนอ้าวได้ทันที

หยุนลี่ซึ่งขณะนี้อยู่ด้านหลังของหลินเทียนอ้าวพลันรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าร่างที่แต่เดิมถูกปกคลุมไปด้วยเกราะหินสีเหลืองของหลินเทียนอ้าวมีแสงสีฟ้าสดใสเรืองรองออกมาด้วย ไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่และชุดเกราะหินทั้งหมดก็แตกสลายไปทันที

ไม่เพียงแค่นั้น แสงสีดำเข้มข้นสายหนึ่งก็ตรงเข้าปกคลุมร่างกายของหลินเทียนอ้าว สัญลักษณ์สีดำที่ดูแปลกประหลาดและน่าขนลุกพลันปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา

คำสาป นี่คือทักษะคำสาป หยุนลี่สามารถแยกแยะสัญลักษณ์สีดำที่อยู่เหนือศีรษะของหลินเทียนอ้าวได้ทันที

หลังจากพ่ายแพ้ให้โจวเหว่ยชิงขณะอยู่ในร้าน 77 ก่อนหน้านี้ หยุนลี่รู้ว่าอีกฝ่ายมีทักษะธาตุมืดเพราะโจวเหว่ยชิงได้ใช้พิธีเลือด ตราประทับธาตุมืดกับตนมาก่อน อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าโจวเหว่ยชิงจะมีหนึ่งในทักษะหายากของทักษะธาตุมืดอย่างทักษะคำสาป

จริงๆ แล้วทักษะคำสาปเป็นทักษะประเภทหนึ่งที่จัดอยู่ในทักษะธาตุมืด โดยทั่วไปเป็นทักษะสนับสนุนแบบย้อนกลับหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าทักษะลดพลัง[1] ปกติแล้วทักษะสนับสนุนจะถูกใช้เพื่อเพิ่มพลังให้กับผู้ใช้หรือกลุ่มของผู้ใช้ แต่ทักษะคำสาปจะทำให้ศัตรูอ่อนแอลง ประเภท จำนวน ระยะเวลา และระดับพลังที่ลดลง ทั้งหมดนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าทักษะคำสาปนั้นทรงพลังเพียงใด สัญลักษณ์สีดำเหนือศีรษะของหลินเทียนอ้าวมีเส้นสีแดงปรากฏอยู่ 3 เส้น เห็นได้ชัดว่าทักษะคำสาปเฉพาะนี้ทำให้ทักษะทั้ง 3 ชนิดของหลินเทียนอ้าวอ่อนแอลง ทักษะเช่นนี้อย่างน้อยก็น่าจะเป็นทักษะธาตุมืดระดับ 9 ดาวที่ทรงพลัง

หยุนลี่ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ทักษะป้องกันของหลินเทียนอ้าวจึงหายไปอย่างกะทันหัน แต่ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งที่สำคัญคือตอนนี้มันเป็นประโยชน์ต่อการโจมตีของเขามาก ไม่ว่าหลินเทียนอ้าวจะแข็งแกร่งหรือทรงพลังเพียงใด หากเขาไม่มีทักษะป้องกันคอยช่วยเหลือและไม่ได้สกัดการโจมตีที่ทรงพลังของหยุนลี่เอาไว้ เขาจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่นอน

เนื่องจากธนูราชันย์มีหลุมบรรจุมณี 2 ช่อง ลูกศรที่โจวเหว่ยชิงยิงออกไปจึงมี 2 ทักษะของเขารวมอยู่ในนั้น ทั้ง    2 ทักษะนี้เป็นทักษะใหม่ที่เขาเพิ่งจะกักเก็บไว้เมื่อมาถึงเมืองเฟยหลี่

ทักษะคำสาปก็เป็นทักษะสนับสนุนประเภทหนึ่ง

สิ่งที่หยุนลี่คิดนั้นแม่นยำอย่างแท้จริง ทักษะธาตุมืดที่เขาใช้คือทักษะคำสาปและชื่อของมันคือ ‘คำสาปลงทัณฑ์’ พลังอันน่าเกรงขามของมันคือการทำให้พลังป้องกันของฝ่ายตรงข้ามลดลง จากนั้นก็โจมตีใส่ และสุดท้ายก็เพิ่มความเจ็บปวดให้ฝ่ายตรงข้าม อย่างไรก็ตาม ทักษะนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด ยิ่งระดับสูงขึ้น ระยะเวลาใช้งานก็ยิ่งสั้นลง ทว่าผล ลัพธ์ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ในระดับแรกจะอยู่ได้ 12 วินาที และจะทำให้ทักษะทั้ง 3 มีพลังลดลง 1 ใน 10 ส่วน ในระดับนี้เห็นได้ชัดว่านอกจากระยะใช้งานที่ยาวนานแล้ว ผลของมันก็ค่อนข้างไร้ประโยชน์ไปเสียหน่อย ทว่ายิ่งระดับพลังปราณเพิ่มขึ้น พลังของคำสาปก็จะเพิ่มขึ้นระดับละ 1 ใน 10 ส่วนด้วย แม้ระยะเวลาใช้งานจะสั้นลงระดับละ 1 วินาทีก็ตาม ด้วยระดับมณีจำนวน 3 ชุด ทักษะคำสาปลงทัณฑ์ของโจวเหว่ยชิงจึงสามารถทำให้พลังป้องกันของหลินเทียนอ้าวอ่อนแอลง 1 ใน 10 ส่วน  โจมตีใส่อีกฝ่ายได้เพิ่มขึ้น 3 ใน 10 ส่วน และเพิ่มความเจ็บปวดให้อีกฝ่ายได้ 3 ใน 10 ส่วน มีผลทั้งหมด 10 วินาที! นี่ถือเป็นทักษะที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ในอนาคตหากโจวเหว่ยชิงกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 12 ชุด ทักษะนี้อาจทำให้พลังการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามถึงขั้นติดลบ แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็เพียงพอให้เขาใช้ทักษะอื่นๆ จัดการอีกฝ่ายจนได้รับบาดเจ็บหนักได้

ทักษะคำสาปลงทัณฑ์นั้นหายากยิ่งกว่าทักษะที่โจวเหว่ยชิงกักเก็บมาจากจักรพรรดิสีเงินด้วยซ้ำ เขาโชคดีมากเพราะในสถานการณ์ปกติมีโอกาสน้อยกว่า 1 ใน 10,000 ส่วนที่จะกักเก็บทักษะนี้มาได้

สำหรับทักษะที่สลายพลังป้องกันของหลินเทียนอ้าว มันเป็นอีกหนึ่งทักษะสนับสนุนที่ทรงพลัง นั่นคือทักษะธาตุสายฟ้า ‘สายฟ้าเขย่าสวรรค์’

ในสายตาของคนส่วนใหญ่  ทักษะสายฟ้าเขย่าสวรรค์เป็นอีกหนึ่งทักษะที่มักถูกมองว่าไร้ประโยชน์แม้จะมีพลังมากก็ตาม ทักษะนี้ไม่มีความสามารถในด้านการโจมตีหรือสร้างความเสียหายใดๆ ให้ศัตรู ความสามารถเพียงอย่างเดียวของมันก็คือ เพื่อสลายทักษะต่างๆ ใช้ได้เฉพาะกับทักษะกักเก็บเท่านั้นและยังคล้ายคลึงกับทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ที่จะไม่มีวัน “พัฒนาขึ้น” นั่นหมายความว่ามันจะคงอยู่เป็นเวลา 3 วินาทีเสมอไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ในระดับใดก็ตาม แต่แน่นอนว่ามันก็เป็นอีกหนึ่งทักษะสมบูรณ์ที่ให้ผลคล้ายกับทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ นั่นก็คือมันสามารถทำให้ทุกทักษะสลายหายไปได้อย่างไม่มีข้อยกเว้น

หากจ้าวมณีคนใดถูกโจมตีด้วยทักษะสายฟ้าเขย่าสวรรค์ ทักษะใดๆ ที่อยู่ระหว่างการใช้งานหรือกำลังจะนำออกมาใช้ก็จะถูกทำให้สลายไปทันที

มี 2 เหตุผลที่ทำให้จ้าวมณีหลายคนคิดว่าทักษะนี้เป็นทักษะเฉพาะและค่อนข้างไร้ประโยชน์ ประการแรกคือทักษะนี้จะถูกเปิดใช้งานก็ต่อเมื่อผู้ใช้สัมผัสร่างกายของคู่ต่อสู้เท่านั้น อย่างที่สองคือแม้ว่ามันจะสามารถขัดจังหวะการใช้ทักษะของอีกฝ่ายได้ แต่ก็จะไม่ส่งผลใดๆ หากอีกฝ่ายปลดปล่อยทักษะนั้นออกไปจากร่างแล้ว ตัวอย่างเช่นถ้ามีคนปลดปล่อยทักษะบอลอัคคีออกไปกลางอากาศแล้ว แม้จะใช้ทักษะสายฟ้าเขย่าสวรรค์กับเขา บอลอัคคีก็จะไม่สลายหายไปอยู่ดี นอกจากนี้ ทักษะนี้ก็ยังไม่สามารถใช้ควบคุมฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย

เนื่องจากจ้าวมณีทักษะธาตุสายฟ้านั้นหายากมากและส่วนใหญ่ก็ขึ้นชื่อในด้านพลังโจมตีที่สร้างความเสียหายให้ฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นหลายคนจึงไม่เลือกกักเก็บทักษะที่ใช้ได้เพียงกับสถานการณ์เฉพาะเช่นนี้ มันจึงได้รับการจัดระดับที่ 4 ดาวเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วจ้าวมณีทุกคนก็มีพื้นที่จำกัดในการกักเก็บทักษะ ดังนั้นใครจะยอมเลือกทักษะที่มีประโยชน์เฉพาะในบางสถานการณ์เช่นนี้บ้าง? มีเพียงคนอย่างโจวเหว่ยชิงที่มีพื้นที่ให้กักเก็บทักษะมากกว่าจ้าวมณีทั่วไปถึง 4 เท่าเท่านั้นที่สามารถทำได้

ในความเป็นจริงแล้ว ทักษะนี้ก็ให้ผลเช่นเดียวกับทักษะมิติกักขัง แม้ว่าทักษะสายฟ้าเขย่าสวรรค์จะเป็นทักษะที่ใช้ในสถานการณ์เฉพาะ แต่เมื่อนำมาใช้อย่างเหมาะสม มันก็อาจให้ผลที่น่าอัศจรรย์ราวกับพรจากเทพเจ้า และตอนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสถานการณ์ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ การที่ทักษะนี้ช่วยสลายทักษะป้องกันทั้ง 3 ของหลินเทียนอ้าว รวมถึงทักษะชุดเกราะหินในจังหวะเวลาที่เหมาะสม แม้ว่าโล่ของหลินเทียนอ้าวจะสามารถทำให้ทักษะสนับสนุนส่วนใหญ่อ่อนพลังลงได้ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถทำให้ทักษะสมบูรณ์นี้อ่อนพลังลงได้! ด้วยความช่วยเหลือจากธนูราชันย์ โจวเหว่ยชิงจึงสามารถใช้ประโยชน์จากทักษะนี้ได้โดยไม่ต้องเข้าไปต่อสู้ระยะประชิด

ด้วยการใช้ทักษะทั้ง 2 โจมตีใส่หลินเทียนอ้าวพร้อมกัน  แม้ว่ามันจะไม่สามารถทำลายโล่ของเขาได้ แต่ก็ช่วยลดพลังป้องกันทางกายภาพของเขาลงอย่างมาก

โจวเหว่ยชิงยังคงทะยานอยู่กลางอากาศ พริบตานั้นเขาก็ปล่อยลูกศรออกไปอีก 1 ดอก ครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งทักษะที่น่าทึ่ง ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์

หลินเทียนอ้าวรู้สึกถึงการลงทัณฑ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในทันที ในขณะที่เขากำลังจะหมุนโล่กลับไปต้านรับ ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ก็มาถึงแล้ว หลินเทียนอ้าวพลันรู้สึกว่าร่างกายของเขาเชื่องช้าลง การหมุนของโล่ก็ช้าจนอาจเรียกว่าคลานได้

ในเวลาเดียวกันหยุนลี่ก็สอดมือไปด้านหลังของหลินเทียนอ้าว เดือยแหลมที่ส่องประกายแวววาวพลันพุ่งออกไปที่ขาของเขา

ในที่สุดช่วงเวลาสำคัญก็มาถึง ถ้าหลินเทียนอ้าวรับการโจมตีเต็มรูปแบบของหยุนลี่โดยไม่มีสิ่งใดป้องกัน เขาต้องแพ้การเดิมพันครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงต้องงัดท่าไม้ตายสุดท้ายออกมา โล่ในมือของเขาเปล่งประกายเจิดจ้าอีกครั้งและชั้นแสงหนาทึบก็ก่อตัวกลายเป็นเกราะปกคลุมแผ่นหลังของเขาทันที

เกิดเสียงระเบิดดังออกมาอีกครั้งขณะที่ร่างของหยุนลี่กระเด็นถอยหลัง เขาถูกดีดกลับออกไปอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงที่ดังเสียดแทงแก้วหู ม่านแสงสีเหลืองที่ปิดกั้นการโจมตีของหยุนลี่พลันออกแตกเป็นเสี่ยงๆ เช่นกัน ขาของหลินเทียนอ้าวได้รับบาดเจ็บอย่างชัดเจน เห็นเป็นรอยแผลลึกลากยาว แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลินเทียนอ้าวก็ยังไม่ได้ขยับออกจากที่เลยแม้แต่น้อย

หลินเทียนอ้าวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เกราะแสงสีเหลืองนั้นเป็นท่าไม้ตายสุดท้ายของเขาและเป็นพลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดของโล่ชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 5 ชิ้น มันถูกเรียกว่า ‘เกราะลวงตา’ โดยพื้นฐานแล้วเป็นภาพลวงตาที่สร้างขึ้นมาจากโล่ของจริงในมือของเขา สามารถปรากฏขึ้นในตำแหน่งใกล้ๆ ได้ตามความต้องการ เกราะลวงตานั้นมีพลังป้องกัน 1 ใน 5 ของโล่ที่แท้จริง ทุกครั้งที่เขาประสานโล่ ทักษะนี้จะนำออกมาใช้ได้เพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ ทักษะนี้ยังเผาผลาญพลังปรานสวรรค์ของเขาไปจำนวนมหาศาล เขาจะใช้มันช่วยชีวิตตนเองในช่วงเวลาที่สิ้นหวังที่สุดเท่านั้น และคราวนี้มันก็ได้ช่วยเขาเอาไว้อีกครั้ง

………………………………………………….

[1] ทักษะลดพลัง [ทักษะดีบัฟ (debuff)] ทักษะที่ลดความสามารถหรือติดสถานะต่างๆให้แก่ศัตรู

ตามที่คาด เขามีท่าไม้ตายซ่อนอยู่ โจวเหว่ยชิงซึ่งยังอยู่กลางอากาศยิ้มออกมา

ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะยิงทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ออกไป เขาได้ใช้เท้าซ้ายถือคันธนูและยิงลูกศรด้วยมือซ้ายของเขา ขณะหลินเทียนอ้าวหันไปปิดกั้นการโจมตีของหยุนลี่ แสงสีทองเข้มข้นปรากฏขึ้นรอบๆ ร่างของโจวเหว่ยชิง ฉับพลันนั้นค้อนคู่ในตำนานก็ปรากฏในมือของเขา

จากมุมมองของหลินเทียนอ้าว การทำงานประสานระหว่างโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่คือการใช้ทักษะควบคุมที่ทรงพลังของโจวเหว่ยชิง และการโจมตีครั้งสุดท้ายของหยุนลี่เพื่อให้เขาขยับเท้าหนี

หลังจากสกัดกั้นการโจมตีของหยุนลี่ได้ แม้ว่าหลินเทียนอ้าวจะได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็มีความสุขมาก ในใจคล้ายกับว่าตนชนะการเดิมพันครั้งนี้แล้ว โจวเหว่ยชิงใช้ทักษะหลายอย่างติดต่อกัน ตอนนี้เขาก็น่าจะไม่มีแผนอื่นเหลืออยู่แล้ว แต่เนื่องจากโล่ของเขาปิดกั้นการมองเห็นของเขา อีกทั้งหยุนลี่ยังทำให้เขาเสียสมาธิ ดังนั้นเขาจึงไม่สังเกตเห็นค้อนคู่ที่ปรากฏขึ้นในมือโจวเหว่ยชิง

ภายหลังเมื่อหลินเทียนอ้าวตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาไม่อาจตอบสนองได้ทันเวลา ทักษะสายฟ้าเขย่าสวรรค์ยังคงทำงานอยู่ในวินาทีสุดท้าย เขาจึงไม่สามารถใช้ทักษะกักเก็บได้ ส่วนทักษะคำสาปพิพากษายังคงเปิดใช้งานอยู่ ทักษะเกราะลวงตาก็ถูกใช้ไปแล้ว ยิ่งไปหว่านั้นคือทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ก็เพิ่งอยู่ในวินาทีที่ 2 ของเวลาใช้งาน นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่หลินเทียนอ้าวอ่อนกำลังที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งหมดนี่เป็นผลมาจากแผนการซับซ้อนและทักษะมากมายของโจวเหว่ยชิง

อันที่จริงหยุนลี่ถือเป็นการโจมตีหลักของแผนในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงคาดไว้แล้วว่าหลินเทียนอ้าวจะต้องมีไพ่ลับซุกซ่อนเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ การโจมตีของหยุนลี่จึงเป็นการดึงให้หลินเทียนอ้าวใช้ท่าไม้ตายสุดท้ายออกมามากกว่า ในแผนของเขาการโจมตีปิดฉากย่อมต้องเป็นตัวเขาเอง นั่นคือการโจมตีที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างความเสียหายให้กับจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะมาก่อน

แสงจากทักษะพายุสลาตันโชติช่วงขึ้นรอบๆ ตัวของโจวเหว่ยชิง พลังของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ค้อนคู่ถูกนำออกมาแล้ว ทักษะกระชากมิติสีเงิน (ทักษะที่ผสมผสานระหว่างทักษะคู่ของจักรพรรดิสีเงิน) ก็ถูกใช้ไปกับค้อนด้วย ขณะนี้ทักษะสนับสนุนของโจวเหว่ยชิง และประสิทธิภาพในการโจมตีนั้นเหนือกว่าหยุนลี่ด้วยซ้ำ

*ตู้มมมมมมม*

พื้นที่สนามประลองใต้ดินทั้งหมดพลันสั่นสะเทือน ในความเป็นจริงก็คือพื้นดินของศูนย์การค้าได้สั่นสะเทือนขณะที่ค้อนทั้ง 2 กระแทกลงมา

การโจมตีของโจวเหว่ยชิงไม่ได้เล็งเป้าไปที่หลินเทียนอ้าว แม้อีกฝ่ายจะถูกลดพลังลงและเขาก็ยังมีทักษะสนับสนุนอยู่มากมาย แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำลายโล่ยักษ์ของหลินเทียนอ้าวได้ อย่างไรโล่นั้นก็เป็นชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้นและทรงพลังมากเกินไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำลายโล่ได้ แต่เขาก็สามารถทำลายพื้นได้! พื้นนี้ทำจากโลหะผสมไทเทเนียมแล้วยังไงล่ะ! ด้วยเหตุนี้ทักษะกระชากมิติสีเงินในค้อนคู่ที่ได้รับแรงหนุนจากทักษะพายุสลาตันจึงกระแทกลงบนพื้นอย่างโหดเหี้ยม ครั้งนี้ผู้ที่ถูกต้อนจนมุมครั้งนี้ไม่ใช่กลุ่มของโจวเหว่ยชิง แต่เป็นหลินเทียนอ้าวต่างหาก อีกฝ่ายมีพลังและทักษะมากมาย แต่ไม่อาจนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงเพราะข้อจำกัดของการเดิมพัน แต่ยังรวมถึงทักษะควบคุมและทักษะลดพลังจำนวนมากที่โจวเหว่ยชิงมีด้วย

เกิดเสียงปริร้าวของโลหะดังขึ้นกึกก้อง แรงสั่นสะเทือนบนพื้นทำให้หลินเทียนอ้าวไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ฉับพลันนั้นเขาก็ถูกคลื่นกระแทกขนาดใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวซัดใส่จนลอยออกจากที่มั่นและกระเด็นออกไปอย่างหมดสภาพ เสียงระเบิดดังมากจนเหมือนมีผึ้งนับแสนตัวกำลังบินวนส่งเสียงหึ่งๆ ผลที่ตามมาคือห้องที่เกิดเหตุกลายเป็นซากปรักหักพังไปทั้งหมด

โดยธรรมชาติแล้วพื้นทั้งหมดย่อมไม่อาจทำมาจากโลหะผสมไททาเนียมได้ทั้งหมด แรงระเบิดของโจวเหว่ยชิงได้กระแทกผ่านชั้นโลหะผสมไททาเนียมหนา 1 ฉื่อลึกลงไปยังพื้นหินด้านล่าง พลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวของทักษะกระชากมิติสีเงินที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพกระแทกลึกลงไปเป็นระยะทางกว่า 15 หลา ทำลายพื้นโลหะผสมไทเทเนียมและพื้นหินที่อยู่ลึกลงไปด้านล่างจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย แม้จะมีโลหะผสมไทเทเนียมช่วยดูดซับความเสียหายเอาไว้เป็นจำนวนมาก ใจกลางสนามประลองก็ยังยุบเป็นหลุมลึกลงไปถึง 3 เมตร

แม้แต่โจวเหว่ยชิงเองก็ยังต้องสั่นไหวเพราะแรงสะท้อนของพลังโจมตีลูกนั้น แต่เพราะเขาเป็นเจ้าของค้อนคู่ในตำนาน พวกมันจึงช่วยสกัดกั้นแรงดีดสะท้อนกลับและกระจายคลื่นกระแทกได้มาก ทว่าหลังจากที่ทุกอย่างสงบลง โจว เหว่ยชิงก็ต้องตกอยู่ในสภาพที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นท่า

หลินเทียนอ้าวไถลตัวลงจากกำแพง ร่างกายสั่นเทาและมึนงง คิดในใจได้เพียงอย่างเดียว การโจมตีเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะใช้เปิดใช้พลังป้องกันอย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ เขาก็ยังสงสัยว่าตนจะสามารถรับการโจมตีนี้โดยไม่เคลื่อนไหวได้หรือ?

หยุนลี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างริมฝีปากกระตุก เสียงที่ดังวิ้งอยู่ในแก้วหูทำให้เขารู้สึกอยากตาย เขาแค่อยากถามโจว เหว่ยชิงคำถามเดียว เจ้าเป็นมนุษย์จริงๆ หรือ?

นี่เป็นการโจมตีจากจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 3 ดวงจริงๆ? อย่างไรก็ตาม แม้จะตกใจ ทว่าหยุนลี่ก็ยังเต็มไปด้วยความสุขสมเพราะเขาสามารถจดจำค้อนคู่ในมือของโจวเหว่ยชิงได้ นั่นคือชิ้นส่วนแรกจากแบบร่างระดับเทพเจ้าที่เขาเห็นในการเดิมพันครั้งก่อนหน้านี้! โจวเหว่ยชิงสามารถหลอมรวมชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานได้จริงๆ! นั่นเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก!

ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทุกคนกำลังตกตะลึง ไม่ใช่แค่หยุนลี่ หลินเทียนอ้าวเองก็มีความคิดแบบเดียวกันเกิดขึ้น ‘ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่พ่ายแพ้ให้กับบุคคลเช่นนี้!’ พวกเขาประเมินโจวเหว่ยชิงต่ำไปอย่างแท้จริง…ความสามารถของเขาจะเทียบกับจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 3 ดวงทั่วๆ ไปได้อย่างไร?

ตอนนี้ชายชุดแดงเพิ่งตื่นขึ้นจากสภาพมึนงง เมื่อเขาสังเกตเห็นหลุมขนาดใหญ่ที่พื้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ขณะนี้ธูปในมือของเขาก็หายไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่ามันหล่นหายไปที่ใด เนื่องจากสภาวะมึนงงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เขาจึงไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่เป็นอย่างไรบ้าง แต่เขาก็สามารถบอกผลลัพธ์ได้เพราะเห็นได้ชัดว่าโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ชนะการเดิมพันในครั้งนี้

โจวเหว่ยชิงทรุดฮวบลงที่พื้นทันที เขาหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ตอนนี้ศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดของเขาได้หายไปแล้ว

แม้จะได้รับชัยชนะ แต่เขาก็ใช้พลังปรานและจิตวิญญาณทั้งหมดไปกับการโจมตีต่อเนื่องในครั้งนี้แล้ว สมาธิของเขาจดจ่อไปกับการทำตามแผนแต่ละขั้น โจวเหว่ยชิงแน่ใจว่าถ้าหลินเทียนอ้าวสามารถเคลื่อนไหวหรือใช้มือทั้งสองข้างได้ เขาและหยุนลี่อาจต้องพ่ายแพ้ในที่สุด ตัวเขาเองอาจมีพลังเหนือกว่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 3 ดวง แต่หลินเทียนอ้าวคนนี้ก็มีพลังเหนือกว่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ดวงเช่นกัน

เมื่อคนที่เก่งจน ‘น่ารังเกียจ’ พบเจอกับอีกคนที่ทรงพลังจน ‘น่ารังเกียจ’ ผลสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะ ‘น่ารังเกียจ’ มากกว่ากัน อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงที่รักของเรากับไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขาก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายไปได้อย่างหืดขึ้นคอ ไม่ว่าจะยากลำบากขนาดไหน พวกเขาก็ยังชนะการเดิมพันในครั้งนี้มาได้!

ในขณะนั้น จู่ๆก็มีเสียงดังจากด้านนอกพร้อมกับเสียงฝีเท้าจำนวนมากวิ่งเข้าหาพวกเขา ประตูสนามประลองถูกเปิดออกดังโครม จากนั้นชายชุดแดงประมาณ 7-8 คนก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาเหล่านั้นเข้ามาในห้อง หัวคิ้วของโจวเหว่ยชิง หลินเทียนอ้าว และหยุนลี่ก็ตั้งขึ้นด้วยความประหลาดใจ คนเหล่านี้ล้วนมีรัศมีทรงพลัง ผู้ที่อ่อนแอที่สุดยังมีพลังเทียบเท่าหลินเทียนอ้าวด้วยซ้ำ

กล่าวคือพวกเขาทั้งหมดเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุดขึ้นไป!

แม้แต่อาณาจักรขนาดใหญ่อย่างอาณาจักรเฟยหลี่ก็มีจ้าวมณีสวรรค์ไม่เกิน 500 คนและสำหรับผู้ที่มีมณีมาก กว่า 5 ชุดขึ้นไปก็ไม่อาจมีมากกว่า 100 คนได้ การที่มีพวกเขาจำนวนมากถึง 7-8 คนมาปรากฏตัวที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางคนยังอยู่ในระดับที่สูงกว่านั้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าสนามประลองใต้ดินที่นี่มีอำนาจสูงส่งเพียงใด

ชายชุดแดงทุกคนล้วนสวมหน้ากากปกปิดตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ ในบรรดากลุ่มคนที่พุ่งพรวดเข้ามาในห้อง คนที่ดูเหมือนผู้นำนั้นมีแถบสีทอง 3 เส้นที่แขนเสื้อบ่งบอกถึงยศและอำนาจท่ามกลางชายชุดแดงคนอื่นๆ ทันทีที่พวกเขาเข้ามาข้างใน ทั้งหมดก็เห็นหลุมขนาดใหญ่ที่พื้น ใบหน้าของทุกคนจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ชายที่เป็นหัวหน้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”

“เรียนนายท่าน นี่เป็นผลมาจากการต่อสู้ของพวกเขา” ชายชุดแดงที่ดูแลห้องหมายเลข 7 รีบก้าวไปข้างหน้าและกล่าวด้วยความเคารพ

สายตาของนายท่านผู้นั้นกวาดมองทั้ง 3 คน ขณะจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าในตอนนั้นโจวเหว่ยชิงเพิ่งลุกขึ้นยืนจึงไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีของเขา

นายท่านเจ้าของสนามประลองกล่าวอย่างเคร่งขรึม “การต่อสู้และการเดิมพันจบลงหรือยัง?”

“ขอรับ การเดิมพันสิ้นสุดลงแล้ว”

นายท่านเจ้าของสนามเอ่ยต่ออย่างเย็นชา “ให้พวกเขาจ่ายค่าเสียหาย 100,000 เหรียญทอง มิฉะนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากที่นี่”

“ขอรับ” หลังจากพูดจบ นายท่านเจ้าของสนามประลองก็จากไปพร้อมกับชายชุดแดงคนอื่นๆ ด้านโจวเหว่ยชิงและ 2 คนที่เหลือ พวกเขาฟื้นพลังคืนมาได้เล็กน้อยแล้ว ตอนนี้ทั้งหมดจึงเดินไปที่ประตู

ชายชุดคลุมสีแดงคนเดิมเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในห้อง การแสดงออกบนใบหน้าของเขาจึงดูน่าเกลียดมาก นี่เป็นห้องที่เขาดูแลอยู่ ด้วยสภาพความเสียหายที่ร้ายแรงขนาดนี้ ต้องใช้เวลาซ่อมแซมอีกนานแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ความเจ็บปวดและความมึนงงที่เขาเป็นก่อนหน้านี้ก็ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีจริงๆ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็รู้ว่ามันต้องมีความเกี่ยวข้องกับทั้ง 3 คนที่อยู่ตรงหน้าเขาแน่นอน น่าเสียดายที่เขาพลาดชมการต่อสู้ 3 วินาทีสุดท้ายที่น่าตื่นเต้นที่สุด

“ข้าจะจ่าย ข้าจะจ่ายเอง” โจวเหว่ยชิงยิ้มแย้มพลางหยิบบัตรสมาชิกออกมา ตอนนี้เขารู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ แค่สามารถนำหยุนลี่ซึ่งเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงมาเป็นผู้ติดตามของเขาได้ก็ทำให้เขามีความสุขมากอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้หลินเทียนอ้าวกลับเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ด้วยพลังป้องกันของหลินเทียนอ้าว หากมีเขาเป็นผู้คุ้มกัน แม้ว่าเขาจะเจอหมิงอู๋อีกครั้ง พวกเขาก็จะสามารถป้องกันตัวเองได้ชั่วขณะหนึ่ง เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกพึงพอใจมาก

เขาจ้องมองไปยังหลินเทียนอ้าว รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาทำให้แผ่นหลังหลินเทียนอ้าวสั่นสะท้าน ฉับพลันนั้นหลินเทียนอ้าวก็เริ่มสงสัยในรสนิยมทางเพศของโจวเหว่ยชิง…

หลังจากจ่ายเงิน 100,000 เหรียญทองเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวเหว่ยชิงก็หันกลับไปมองหลินเทียนอ้าวด้วยรอยยิ้มกว้าง แม้ว่าหลังจากนั้นจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาก็ตาม

หลินเทียนอ้าวจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเพื่อนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่…โดยธรรมชาติแล้วโจวเหว่ยชิงย่อมกลัวว่าหลินเทียนอ้าวจะกลับคำจึงคิดใช้กฏของสนามประลองกดดันให้เขายอมรับความพ่ายแพ้

“ข้าแพ้แล้ว อย่างไรข้าก็รักษาคำพูดเสมอ เอาสิ” หลินเทียนอ้าวถอนหายใจเหยียดยาวขณะที่เขายอมรับความพ่ายแพ้ของตนเอง เขาไม่ได้รู้สึกสูญเสียหรือขัดแย้งกับตนเองเช่นเดียวกับหยุนลี่ ไม่ว่าเขาจะเสียใจแค่ไหน เขาก็เป็นคนท้าประลองอีกฝ่ายเอง พ่ายแพ้ก็คือพ่ายแพ้ มันเป็นความผิดของเขาเองที่โลภมาก! หลินเทียนอ้าวคิดในใจ เขารู้ว่าโจวเหว่ยชิงมีทักษะธาตุมืดและน่าจะมีตราประทับธาตุมืดของตัวเอง

………………………………

“ข้าแพ้แล้ว…ข้าตั้งใจวางเดิมพันเองแต่แรก เพราะฉะนั้นข้าจึงพร้อมที่จะพ่ายแพ้เช่นกัน มาสิ” หลินเทียนอ้าวพูดซ้ำอีกครั้ง

เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ของเขา โจวเหว่ยชิงก็ยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เขาหมุนตัวจากไปโดยไม่รอให้ทั้งสองคนได้เอ่ยอะไรอีก

เมื่อทั้งสามคนออกมาจากสนามประลองใต้ดินได้แล้ว หลินเทียนอ้าวก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ท่านไม่มีทักษะตราประทับธาตุมืดหรือ?”

โจวเหว่ยชิงหยุดและพูดว่า “แน่นอนว่าข้ามี”

หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้ว และถามอย่างสงสัย “แล้วทำไมก่อนหน้านี้ท่านไม่ใช้ทักษะนั้นกับข้าล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะเต็มเสียงและกล่าวว่า “อย่าได้รีบร้อนไป พวกเราจะกลับไปที่ร้านหมายเลข 77 ก่อน ไม่จำเป็นต้องเร่งทำเช่นนั้นในห้องของสนามประลอง”

ดวงตาของหลินเทียนอ้าวเผยประกายแวววาวขณะที่เอ่ยว่า “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะกลับคำหรือ? สัญญาผูกมัดของสนามประลองใต้ดินนั้นทรงพลังมาก แต่หากเราออกไปข้างนอกแล้วต่อมาข้าต้องการหลบหนี พวกเขาก็คงจะไล่ตามข้าไม่ทัน”

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ ข้าไม่กลัวหรอก ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนั้น ถ้าเจ้าหนีไปจริงๆ ข้าก็คงต้องโทษสายตาตัวเองที่มองคนผิดไป”

หยุนลี่ที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “งั้นเจ้าจะบอกว่าข้าเป็นคนเช่นนั้นงั้นรึ? เห็นเจ้าดูกังวลมากเหลือเกินตอนประทับตราข้า”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “ก็นิดหน่อย อย่างไรข้าก็ไม่มั่นใจในตัวเจ้ามากเท่าหลินเทียนอ้าวหรอก อีกทั้งตอนนั้นพวกเราทั้งคู่ยังอยู่ในห้องปิด การประทับตราจึงสะดวกกว่าที่นี่มาก ตอนนี้เราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ทำไมต้องสนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนั้นด้วยล่ะ?!”

หยุนลี่หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็หันไปมองหลินเทียนอ้าวที่ยืนอยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มกว้างและพูดอย่างติดตลกว่า “อย่างน้อยตอนนี้ก็มีคนที่ต้องทนทุกข์ทรมาณไปกับข้าแล้ว ตอนนี้ข้าจึงรู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ”

หลินเทียนอ้าวเอ่ยด้วยความโมโห “ให้ตายสิ! นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร…?”

หยุนลี่ยิ้มและกล่าวว่า “เฮ้…เจ้ายักษ์ โมโหไปก็ไร้ประโยชน์ แม้ว่าข้าจะไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งเท่ากับเจ้า แต่ในแง่ของความเร็ว เจ้าก็สู้ข้าไม่ได้หรอกนะ คิดว่าข้าจะกลัวเจ้างั้นเรอะ? ตอนนี้พวกเราเป็นพี่น้องที่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว เราทั้ง 2 คนถูกเจ้าจิ้งจอกน้อยหลอกมาที่นี่ เฮ้อ แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องยอมรับว่าเจ้ามีพลังมากกว่าข้ามาก ถ้าแม้แต่เจ้าก็ยังแพ้ให้กับเจ้าเด็กกลิ้งกลอกผู้นี้ ทำไมข้าจะต้องรู้สึกผิดกับตัวเองอีก? ฮ่าๆๆๆ…”

จากนั้นหลินเทียนอ้าวก็ตระหนักถึงบางอย่างได้ทันที เขาโพล่งถามอย่างสงสัย “เจ้ากำลังจะบอกว่าตนเองแพ้การเดิมพันก่อนหน้านี้ ในการประลองสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระหว่างเจ้ากับเขาน่ะหรือ? แถมยังโดนเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ประทับตราไปแล้วด้วย?”

หยุนลี่แค่นเสียงตอบอย่างฉุนเฉียว “ใช่…เจ้าเด็กนี่เจ้าเล่ห์เกินไปจริงๆ”

“เฮ้ยๆๆ…ข้าแค่จะบอกว่า…เจ้าทั้ง 2 คนน่ะ…มีปัญหาอะไรกับเด็กเหลือขออย่างข้าคนนี้งั้นรึ!! อย่างไรข้าก็เป็นเจ้านายของพวกเจ้าแล้วนะ! อย่างน้อยก็ให้ความเคารพเจ้านายของเจ้าบ้าง” โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากสอดบทสนทนาของคนทั้งคู่

หยุนลี่และหลินเทียนอ้าวประสานเสียงพร้อมกัน “เคารพก้นข้าน่ะสิ!”

เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของพวกเขา โจวเหว่ยชิงก็คร้านจะใส่ใจ เขาหัวเราะออกมาและพูดว่า “หึๆ…เฮ้ออออ คนบางคนเพิ่งจะสูญเสียอิสรภาพไปตลอดชีวิตนี่นะ…ข้าเข้าใจดีว่าต้องให้เวลาปรับตัวกันบ้าง ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา พี่ใหญ่คนนี้ใจดีมาก เจ้าทุกคนสามารถทำตัวสบายๆต่อไปได้เช่นเดิม ฮ่าๆ…มาเถอะ กลับไปที่ร้านหมายเลข 77 เพื่อซื้อของและประทับตราให้พี่หลินในห้องที่เป็นส่วนตัวกว่านี้ ฮ่าๆๆๆ”

ฝ่ายซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่รออยู่ที่ร้านหมายเลข 77 เธอจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างบริเวณเส้นทางที่ทั้ง 3 คนหายไปก่อนหน้านี้อย่างใจจดใจจ่อ

ในที่สุดร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา เมื่อเธอเห็นสภาพยุ่งเหยิงและสะบักสะบอมของเขาเป็นครั้งแรก เธอก็รู้สึกตกใจมาก ทว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มพอใจบนใบหน้าของเขา เธอจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง

ฉินเฟิงก็รู้ข่าวการมาถึงของพวกเขาอย่างรวดเร็วจากพนักงานภายในร้าน เขารีบร้อนลงไปข้างล่างเพื่อต้อนรับพวกเขาร่วมกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์

“อาจารย์โจว การเดิมพันของท่าน…?” ฉินเฟิงถามอย่างสงสัย

โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและพูดว่า “อ่า…เสมอ…เสมอกันอีกครั้งยังไงล่ะ…ฮ่าๆๆๆๆ” เขามีความสุขมากเกินไปจนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างชื่นมื่น

เป็นอีกครั้งที่หยุนลี่และหลินเทียนอ้าวมีความคิดเดียวกัน…ในชีวิตของข้าไม่เคยอยากต่อยคนเท่านี้มาก่อน…

“พี่ใหญ่ฉิน พวกเราคงต้องขอยืมห้องของท่านอีกครั้ง พวกเรา 3 คนมีบางเรื่องที่ต้องพูดคุยกัน ท่านสะดวกหรือ ไม่?” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ฉินเฟิงเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว “แน่นอนว่าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เชิญด้านนี้” ตอนนี้เขามีข้อสงสัยมากมายเพราะการเสมอในครั้งที่ 2 นี้ดูง่ายดายเกินไปหน่อย อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้จักหลินเทียนอ้าวและไม่รู้ว่าเขาทรงพลังแค่ไหน ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อให้มากความ

หยุนลี่หยุดชะงัก เขาหันไปหาโจวเหว่ยชิงและพูดว่า “พวกเจ้าไปกันเถิด ข้าจะไม่เข้าไปกับพวกเจ้าทั้ง 2 คนหรอก ข้ายังต้องไปกล่าวลาพี่โจวฉางซี” เขากลัวว่าถ้าได้เห็นพิธีประทับตราอีกครั้ง ความทรงจำเลวร้ายจะผุดขึ้นมาและเขาจะต้องกลับไปรู้สึกหดหู่อีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าชมในครั้งนี้

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “เอาล่ะ เชิญตามสบาย เช่นนั้นก็เจอกันหลังจากนี้ พี่ฉิน ข้ามีอีกอย่างต้องรบกวน ข้าต้องการซื้อสินค้าตามรายการพวกนี้ ท่านช่วยจัดเตรียมให้ข้าหน่อยได้หรือไม่? ข้าจะจ่ายเงินให้ท่านหลังจากพวกเราพูดคุยกันเสร็จแล้ว ขอบคุณมาก” เขาหยิบรายการสินค้าที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา เนื่องจากเขากำลังอารมณ์ดี เขาจึงไม่ได้ซักถามเรื่องราคาจากอีกฝ่าย

โจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และหลินเทียนอ้าวมุ่งหน้าไปยังห้องๆ หนึ่งที่ดูเงียบสงบ หลินเทียนอ้าวเป็นคนเที่ยงธรรมและไม่ได้พยายามผิดคพูดของตนเช่นเดียวกับที่โจวเหว่ยชิงคาดเอาไว้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดในหัวใจ แต่เขาก็ไม่พยายามขัดขืนและอนุญาตให้โจวเหว่ยชิงใช้พิธีเลือด ตราประทับธาตุมืดกับตนโดยดี ด้วยเหตุนี้ จ้าวมณีสวรรค์ที่มีพลังป้องกันอันน่าเกรงขามจึงกลายเป็นผู้ติดตามของโจวเหว่ยชิงไปอีกหนึ่งคน

“พี่หลิน ในอนาคตท่านสามารถเรียกชื่อข้าตรงๆ ได้เลย วันนี้ข้าโชคดีเกินไปจริงๆ แต่ว่าท่านก็เป็นคนที่คิดการเดิมพันครั้งนี้ขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้นจะโทษข้าก็ไม่ได้ บอกตามตรงว่าท่านมีระดับพลังปราณสูงกว่าข้ามาก ถ้าวันหนึ่งระดับของท่านสูงกว่าข้าไป 12 ระดับ ผนึกระหว่างพวกเราก็จะสลายไปเองทันที”

หลังจากประทับตราเสร็จสิ้น โจวเหว่ยชิงก็ยังคงยิ้มแย้มพูดคุยกับหลินเทียนอ้าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

หลินเทียนอ้าวถอนหายใจเหยียดยาวและพูดว่า “วันนี้ความโลภของข้าสร้างหายนะให้ตนเองอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่าท่านทั้งคู่เป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีความสามารถมาก ข้าจึงเกิดความคิดที่จะชักนำให้พวกท่านคนใดคนหนึ่งมาเป็นผู้ติดตามของข้า ทั้งหมดเป็นเพราะหวังว่าในอนาคตท่านจะช่วยสร้างชุดโล่ประสานศาสตรามณียุทธ์ของข้าให้สมบูรณ์ได้ อนิจจา ใครจะรู้ว่านอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว ข้ายังต้องสูญเสียอิสรภาพของตัวเองไปแทน แท้จริงแล้วข้าไม่ได้พ่ายแพ้ให้กับท่าน แต่ข้าพ่ายแพ้ให้กับความประมาทของตัวเอง ไม่ต้องกังวลไป อย่างไรข้าก็พ่ายแพ้ให้ท่านไปแล้ว ในอนาคตข้าก็คือคนของท่าน”

ปากของโจวเหว่ยชิงกระตุก เขาอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า คำว่า “เจ้าเป็นคนของข้า” นี้หมายถึงอะไรกันแน่?! อย่าทำให้มันฟังดู…สองแง่สองง่ามจะได้ไหมหา!? อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าหลินเทียนอ้าวกำลังอารมณ์ไม่ดี เขาจึงไม่ได้พยายามจะล้ออีกฝ่ายเล่นและพยักหน้าให้เขาแทน

“เจ้านาย ข้าอยากจะขอร้องบางอย่าง” หลินเทียนอ้าวกล่าวพร้อมกับก้มหน้าลง ยกมือวางไว้บนหน้าอกในท่าโค้งคำนับ

โจวเหว่ยชิงรีบกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว “ไม่มีปัญหาอยู่แล้วพี่หลิน ท่านสามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้เลย ตอนนี้พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ท่านสามารถพูดคุยกับข้าเหมือนพี่น้องได้”

หลินเทียนอ้าวส่ายหัวและพูดว่า “ข้าแพ้การเดิมพันแล้ว ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงเป็นผู้ติดตามของท่าน ส่วนท่านก็คือเจ้านายของข้า ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง เจ้านาย ข้ามีธุระสำคัญที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น ขอเวลาข้า 3 เดือนได้หรือไม่? หลังจาก 3 เดือนนี้ผ่านพ้นไป ข้าจะกลับมาอยู่เคียงข้างท่านและเป็นผู้ติดตามตลอดชีพของท่านแน่นอน”

โจวเหว่ยชิงรู้สึกอยากจะปฏิเสธคำขอของอีกฝ่ายจริงๆ แม้ว่าเขาจะมาอยู่เมืองเฟยหลี่ได้ไม่นาน แต่เขาก็ถูกหลายคนจ้องคุกคามชีวิตเสียแล้ว เมื่อมีจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังอยู่เคียงข้างคอยปกป้องเขา นั่นย่อมช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัยกว่าเดิมมาก ทว่าในท้ายที่สุดเขาก็พยักหน้ายอมรับ อย่างไรหลินเทียนอ้าวก็เพิ่งสูญเสียอิสรภาพของเขาไปทั้งชีวิต โจว เหว่ยชิงจะไม่ให้เขาได้สะสางปัญหาของตนเองก่อนได้อย่างไร? ดังนั้นเขาจึงจัดแจงบอกเวลาและสถานที่เพื่อนัดพบหลินเทียนอ้าวในอีกสามเดือนข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

หลินเทียนอ้าวมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาลึกล้ำก่อนจะกล่าวคำอำลาและเดินจากไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังมองเห็นสายตาแสดงความซาบซึ้งได้อย่างชัดเจน

เวลา 3 เดือนไม่นานก็ผ่านพ้นไปแล้ว อย่างมากข้าก็แค่พยายามไม่ทำตัวโดดเด่นในช่วง 3 เดือนต่อจากนี้ โจว เหว่ยชิงคิดกับตนเอง

ร้านหมายเลข 77 ของฉินเฟิงเปิดทำการมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว เขาจึงมีสินค้ามากมายสำรองเอาไว้ แม้ว่าร้านของเขาจะขาดของบางอย่างที่โจวเหว่ยชิงต้องการ แต่ก็ยังมีร้านค้าอื่นๆ อีกมากมายให้เขาไปเลือกหาของมาให้ ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง เขาก็เตรียมสินค้าที่บันทึกไว้ในรายการสินค้าของโจวเหว่ยชิงเสร็จเรียบร้อย

“เจ้ามีธุระส่วนตัวที่ต้องทำอีกหรือไม่? ถ้ามี ข้าก็จะให้เวลาเจ้าไปสะสางให้เสร็จสิ้น” เมื่อเห็นหยุนลี่กลับมายังร้านหมายเลข 77 โจวเหว่ยชิงก็ถามเขาหลังจากพูดคุยกันได้สั้นๆ

หยุนลี่ส่ายหัวและพูดว่า “ตอนนี้ข้าอยู่ตัวคนเดียวบนโลก ข้ากำพร้าตั้งแต่อายุยังน้อย และได้อาจารย์ช่วยเลี้ยงดูข้ามาจนเติบใหญ่ 2 ปีก่อนอาจารย์ของข้าเสียชีวิตลง ตอนนี้ข้าจึงไม่เหลือคนอื่นอีกแล้ว เพราะฉะนั้นข้าจึงสามารถติดตามเจ้าไปได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย” ในขณะที่เขาพูดอย่างนั้น เขาก็แอบขยับเข้าไปใกล้โจวเหว่ยชิงและกระซิบข้างหู “หลังจากนี้ให้ข้าตรวจดูค้อนคู่ในตำนานของเจ้าด้วย ข้าก็อยากจะค้นคว้าเกี่ยวกับพวกมันเหมือนกัน”

ก่อนหน้านี้เมื่อเขาได้เห็นโจวเหว่ยชิงควงค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนาน ในใจของเขาพลันรู้สึกคันยิบๆ ท้ายที่สุดแล้วสำหรับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์จะมีอะไรน่าสนใจไปกว่าศาสตรามณียุทธ์ที่ทรงพลังและหายากเช่นนี้อีก? แม้แต่ความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียอิสรภาพก็ยังลดลงไปมากเพราะความปรารถนาที่จะตรวจสอบค้อนคู่ชิ้นนั้น

“ไม่มีปัญหา ข้าจะให้เจ้าลูบคลำพวกมันภายหลังแน่นอน” โจวเหว่ยชิงเอ่ยปากรับคำอย่างง่ายดาย ในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เขาย่อมเข้าใจว่าตอนนี้อีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร นอกจากนี้ เขายังอยากจะหารือและแลกเปลี่ยนความรู้กับหยุนลี่อีกด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากฮูเหยียนเอ้าป๋อ แต่หลายสิ่งนั้นก็ยากที่จะจดจำ เขายังคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสามารถตกตระกอนความรู้ทั้งหมดได้อย่างเต็มที่ เห็นได้ชัดว่าหยุนลี่มีประสบการณ์มากกว่าเขา อีกทั้งความรู้ของอีกฝ่ายก็ยังมาจากคนละสำนักกับโจวเหว่ยชิง การแลกเปลี่ยนความรู้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 ฝ่ายและโจวเหว่ยชิงก็จะสามารถเลื่อนระดับเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงได้เร็วกว่าเดิมมาก

“พี่ฉิน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมเป็นเท่าไหร่หรือ?” โจวเหว่ยชิงเก็บวัตถุดิบต่างๆ ที่ฉินเฟิงเตรียมไว้ใส่แหวนมิติ จากนั้นก็ไม่ลืมถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ฉินเฟิงลังเลสักพักก่อนจะกัดฟันพูดว่า “น้องชาย ข้าคิดเพียง 260,000 เหรียญทองสำหรับเจ้า”

โจวเหว่ยชิงชะงักและพูดว่า “แพงมาก!” เขามีเงินเพียง 450,000 เหรียญทองและใส่เงินไว้ในบัตรสมาชิกทั้งหมด 400,000 เหรียญทอง ก่อนหน้านี้เขาได้จ่ายค่าซ่อมแซมสนามประลองไปแล้ว 100,000 เหรียญทอง และหากต้องจ่ายเงินอีก 260,000 เหรียญทอง อาจกล่าวได้ว่าเขาใกล้ถังแตกแล้ว

หยุนลี่มองไปที่ใบหน้าเศร้าสร้อยของโจวเหว่ยชิงและสะกิดบอกเขาด้วยความเดือดดาล “หยุดพูดเหมือนพวกไม่รู้ความได้แล้ว! รู้ไว้เสียด้วยว่าเถ้าแก่ฉินให้ราคาที่น่าอัศจรรย์กับเจ้าแล้ว สินค้าที่เจ้าต้องการมีราคาตามท้องตลาดประมาณ 400,000 เหรียญทอง นี่อาจเป็นไปได้ว่าเถ้าแก่ฉินขายของให้เจ้าในราคาทุนด้วยซ้ำ รีบๆ จ่ายเงินเร็วเข้า”

โจวเหว่ยชิงยิ้มแย้มและกล่าวอย่างร้อนรน “ฮ่าๆ…ขออภัยด้วยขอรับพี่ฉิน…ข้าไม่รู้ราคาสินค้าตามท้องตลาดมากนัก โปรดรับเงินจากข้าด้วย” เขาส่งทั้งบัตรสมาชิกของเขาและของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ให้อีกฝ่ายเพื่อจ่ายเงินค่าสินค้า

ฉินเฟิงหัวเราะและพูดว่า “อาจารย์โจว อาจารย์หยุน ในอนาคตหากท่านทั้งคู่ต้องการสิ่งใด ท่านสามารถมุ่งหน้ามาหาข้าที่ร้านนี้ได้ แม้จะไม่กล้าบอกว่าข้ามีสินค้าทุกอย่าง แต่อย่างน้อยสิ่งของจำเป็นทั่วไปข้าก็ต้องมีครบแน่นอน อีกทั้งข้าก็ยังยินดีขายให้ท่านในราคาทุนอีกด้วย” อันที่จริงเขาไม่ได้เงินสักเหรียญจากโจวเหว่ยชิง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเดิมพันและการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีพรสวรรค์ทั้ง 2 คนนี้ได้ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายมาที่ร้านของเขา ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าเวลานี้จะดึกดื่นมากแล้ว แต่ร้านของเขาก็ยังมีลูกค้าจำนวนมากอยู่ในร้าน อีกทั้งยังมีคำสั่งซื้อมากมายในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา การที่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีความสามารถโดดเด่นมาเลือกซื้อสินค้าจากร้านของเขา นั่นให้ผลลัพธ์ดีกว่าการโฆษณาป่าวประกาศใดๆ ด้วยซ้ำ

พวกเขาเอ่ยลาฉินเฟิง จากนั้นโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็พาหยุนลี่กลับไปที่บ้านของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าบ้านของพวกเขาค่อนข้างใหญ่โต ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาในการหาห้องพักให้หยุนลี่

ทันทีที่พวกเขามาถึงบ้าน โจวเหว่ยชิงก็สัมผัสได้ว่าหมิงฮัวยังไม่ได้กลับมา ทว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก เขาย่อมสุขใจมากกว่าหากนิกายปีศาจสวรรค์ไม่มาตามราวีเขา วันนี้เสียดายเพียงอย่างเดียวคือแม้เขาจะได้ยินเสียงของเทียนเอ๋อร์อีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้มองเห็นความงามที่น่าอัศจรรย์นั้นอีกหน สิ่งนั้นทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจมาก

หยุนลี่ไม่ได้สนใจเรื่องที่พักอาศัยของเขามากนักและไม่แม้แต่จะตรวจสอบห้องพักของตนด้วยซ้ำ เขารีบพุ่งเข้าไปในห้องของโจวเหว่ยชิงอย่างไม่ลังเลด้วยสีหน้าตื่นเต้น ทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็รีบร้อนตรวจสอบค้อนคู่ของโจวเหว่ยชิงอีกหน

แม้แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่เห็นท่าทางกระตือรือร้นของเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักกับตัวเอง เธอหันไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมเครื่องดื่มให้พวกเขาเพราะรู้ดีว่าพวกเขาจะต้องอยู่ในนั้นอีกนาน หลังจากนั้นเธอก็มุ่งหน้ากลับไปที่ห้องของตนเองเพื่อเริ่มฝึกปราณต่อ

ท่ามกลางประกายแสงสีทองเข้ม โจวเหว่ยชิงปลดปล่อยค้อนคู่ซึ่งเป็นอาวุธชิ้นแรกในชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานของเขาอีกครั้ง เมื่อหยุนลี่เริ่มตรวจสอบสภาพของพวกมันใกล้ๆ สายตาของเขาก็ระยิบระยับด้วยความหลงใหล

“ข้าไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสามารถต่อกรกับหลินเทียนอ้าวผู้น่าเกรงขามคนนั้นได้ มันน่าทึ่งมาก…สวยงามมากเหลือเกิน…ชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานนี้คู่ควรกับคำว่าตำนานจริงๆ! จะว่าไปแล้ว เจ้าทำอย่างไรถึงหลอมรวมสิ่งนี้ได้สำเร็จ? หรือว่านิกายของเจ้าสามารถสร้างชุดศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดนี้ขึ้นมาได้จริงๆ? แม้อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าจะสร้างม้วนคัมภีร์เช่นนี้ขึ้นมาได้ แต่ก็น่าจะต้องใช้ถึง 10 แผ่นเพื่อรับประกันความสำเร็จไม่ใช่หรือ?”

โจวเหว่ยชิงเอ่ยตอบอย่างสงสัย “ทำไมข้าได้ยินมาจากอาจารย์ว่าไม่ใช่แค่ 10 แผ่น?! อย่างไรก็ตาม นิกายของข้ามีเพียงแผ่นเดียว และข้าก็โชคดีมากเพราะหลอมรวมสำเร็จภายในครั้งเดียวนี่แหละ”

หยุนลี่จ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิงราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาด “บัดซบ!…เจ้าคนน่ารังเกียจ…น่ารังเกียจเกินไปแล้ว! ข้าช่างโชคร้ายเหลือเกิน ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่น่ารังเกียจทั้ง 2 นับจากนี้เป็นต้นไปทุกๆวัน อ้า…ชีวิตของข้าช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว!” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนฝึกฝนมาอย่างหนักเป็นเวลาหลายปีเพียงเพื่อจะกลายมาเป็นข้ารับใช้ของคนอื่น วางเดิมพันและสูญเสียอิสรภาพของตัวเองไปง่ายๆ เช่นนี้…เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าสร้อยเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นดวงตาแสดงความเศร้าโศกของหยุนลี่ โจวเหว่ยชิงก็หัวเราะและพูดว่า “ก็อย่างที่พูดไป เจ้าโดนข้าหลอกจริงๆ นั่นแหละ แต่นั่นก็เป็นเพราะความทะนงตัวของเจ้าเองมิใช่หรือ เฮ้อ โชคร้ายสำหรับหลินเทียนอ้าวจริงๆ เขาเป็นคนเสนอตัวให้ข้าเองด้วยซ้ำ พลังป้องกันของเขาเหนือมนุษย์เกินไป! นี่ยังไม่พูดถึงพลังป้องกันของเขา แค่ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวก็น่าสะพรึงกลัวแล้ว…แปลกจริงๆ…เขาไม่ใช่จ้าวมณีที่มีมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่ง ทว่าพละกำลังของเขากลับดูแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อมาก”

หยุนลี่กรุ่นคิดสักพักก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึม “เหว่ยชิง ถ้าข้าเดาไม่ผิด ข้าคิดว่าพี่หลินมีสายเลือดชนเผ่าคนเถื่อน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมีพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ยิ่งเขามีชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ นั่นย่อมเป็นการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาถูกเงื่อนไขการเดิมพันจำกัดความสามารถเอาไว้ แม้ว่าเจ้าจะมีไพฑูรย์ตาแมวสองสีที่เหนือมนุษย์พอๆ กันและให้พวกเราทั้ง 2 คนโจมตีเขาพร้อมๆ กัน ข้าก็ยังคิดว่าเราอาจจะเอา ชนะเขาไม่ได้ แม้ว่าค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนานของเจ้าจะทรงพลังอย่างมาก แต่มันก็มีเพียงชิ้นเดียว หากไม่มีการเสริมพลังจากทักษะอื่นๆ แม้ว่าเจ้าจะใช้พลังเต็มที่ เจ้าก็ยังไม่สามารถทำร้ายเขาได้อยู่ดี นอกจากนี้พลังปรานสวรรค์ของเขาก็ยังเหลืออยู่เต็มเปี่ยม ทั้งยังมีมณียุทธ์ประเภทความทรหดอีก ด้วยเหตุนั้น พลังของเขาจึงสามารถคงอยู่ได้นานกว่าพวกเรา หากต้องต่อสู้กันจริงๆ เราต้องพ่ายแพ้ให้แก่เขาอย่างแน่นอน”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “สู้จริงๆ งั้นหรือ? ทำไมข้าต้องต่อสู้กับเขาด้วยล่ะ? ถ้าข้าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าตัวเองวิ่งเร็วกว่าเขา ทุกคนย่อมมีจุดอ่อนของตัวเองกันทั้งนั้น เหตุผลที่เขาเลือกเดิมพันกับพวกเราก็เพราะพลังป้องกันของเขา เขามั่นใจในเรื่องพละกำลังของตนเอง แต่ไม่มีความมั่นใจในเรื่องความเร็ว อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นพลังที่แท้จริงของชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ ทั้งยังถูกใช้ไปกับการป้องกันอีกด้วย…ข้าชักจะสงสัยว่าแล้วว่าหากใช้กับอาวุธต่อสู้ ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร…”

ในขณะที่เขาพูดถึงจุดนี้ ทั้งคู่ก็สบตากันและอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านโดยไม่ตั้งใจ หยุนลี่กล่าวอย่างจริงจัง “เหว่ย ชิง ดูเหมือนว่าเราควรค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ และอาจจะออกแบบชุดประสานศาสตรามณียุทธ์สักหลายๆ ชุด นี่อาจจะเป็นแหล่งรายได้ที่ดีสำหรับเราก็ได้”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงสว่างวาบขึ้นทันที เขาฟาดมือลงบนหน้าขาของตัวเองอย่างกะทันหันขณะที่ร้องอุทานว่า “ถูกต้อง! เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก นอกจากนี้เรายังมีหลินเทียนอ้าว เพื่อนที่น่ารังเกียจคนนั้นเป็นตัวอย่างชั้นดี ฮ่าๆๆๆๆๆ”

“เจ้ายังมีหน้าเรียกเขาว่าคนน่ารังเกียจ? ไม่ใช่เจ้าก็น่ารังเกียจเหมือนกันหรอกเรอะ? หากระดับพลังปราณของเจ้าเทียบเท่ากับเขาในปัจจุบัน พลังโดยรวมของเจ้าอาจน่ากลัวกว่าเขาด้วยซ้ำ เฮ้ เดี๋ยว อย่าเพิ่งเก็บค้อนของเจ้านะ ให้ข้าตรวจดูก่อน…”

เมื่ออาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ 2 คนสุมหัวอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาทำให้ไม่ต้องปกปิดความลับใดๆ ต่อกัน นั่นทำให้พวกเขาใช้เวลายามค่ำคืนไปกับการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างยาวนานจนไม่ยอมหลับใหล

เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่ก็เดินออกจากห้องด้วยสภาพดวงตาหมีแพนด้า

หยุนลี่มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่เขากล่าวว่า “เจ้านาย ข้าจะไปหาอะไรกินแล้วเข้านอน ข้ามีแผนสำหรับแบบร่างใหม่แล้ว เมื่อท่านกลับจากโรงเรียน เราก็สามารถหารือกันต่อได้” เมื่อพูดจบ เขาก็มุ่งหน้าไปทางห้องครัว

หลังจากสนทนากันทั้งคืน หยุนลี่ก็เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของโจวเหว่ยชิงได้ชัดเจนขึ้นมาก หลังจากที่โจว เหว่ยชิงถูกบังคับให้ยอมช่วยเขาหาวัตถุดิบสำหรับชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานของเขา หยุนลี่ก็เริ่มเรียกเขาว่าเจ้านาย อย่างไรนั่นก็เป็นความจริงอยู่แล้ว อีกทั้งการเรียกเขาว่าเจ้านายก็ไม่ได้เสียหายอะไรเพราะโจวเหว่ยชิงก็ยินดีที่จะช่วยเหลือเขาเช่นกัน หลังจากพูดคุยกันทั้งคืน พวกเขาก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น อย่างน้อยพวกเขาก็มีเป้าหมายคล้ายคลึงกัน นั่นก็คือการสร้างชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานให้สำเร็จและสวมใส่พวกมันในอนาคต

“อ้วนน้อย!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซึ่งเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้วมองมาที่เขาด้วยสายตาตักเตือน

ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร โจวเหว่ยชิงก็รีบพูดแทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งชุดนักเรียนที่ซักจนหอมสะอาดให้เขาผลัดเปลี่ยน เมื่อเธอมองไปยังใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเขา เธอก็รู้สึกขุ่นมัวในใจ ขณะสัมผัสใบหน้าของเขาเบาๆ เธอก็เอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึม “อ้วนน้อย ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรา แต่การรีบร้อนทำสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ตอนนี้เจ้าทำได้ดีมากอยู่แล้ว สัญญากับข้าได้ไหมว่าในอนาคตเจ้าจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนี้อีก? ข้าไม่ต้องการให้เจ้าใช้อนาคตและชีวิตตัวเองเป็นของเดิมพันอีกแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าพบคนที่มีไม้ตายซุกซ่อนอยู่อีกชั้น? คนที่มีพลังอำนาจมากกว่าเจ้า?”

โจวเหว่ยชิงกอดเธอไว้ในอ้อมแขน รู้สึกถึงความอบอุ่นและกลิ่นหอมจางๆ จากเส้นผมของอีกฝ่าย เขาเอ่ยออกมาเบาๆ “เมื่อวานข้าก็หุนหันพลันแล่นเกินไปจริงๆ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว เจ้าพอใจหรือยัง?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าและพูดว่า “อย่าหักโหมมากเกินไปจนไม่ยอมหลับยอมนอน ข้าไม่อยากเห็นเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและกระซิบเข้าที่หูของเธอเบาๆ “อยากให้ข้านอนหลับสบายก็ง่ายๆ…หากสามารถนอนกอดปิงเอ๋อร์คนงามของข้าเข้านอนได้ทุกคืน ใครจะอยากอยู่ทำงานต่อถึงเช้า!”

“ฮึ่ม! ข้ากำลังจริงจังอยู่นะ หยุดล้อเล่นได้แล้ว ไปกินอาหารเช้าของเจ้าซะ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงอีกครั้ง เธอดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมกอดของเขา ก่อนจะหันหลังกลับและมุ่งหน้าเข้าไปในครัว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โจวเหว่ยชิงคาดไม่ถึงก็คือเธอไม่โวยวายกับการถูกสัมผัสเนื้อตัวมากเท่าเดิมแล้ว อย่างน้อยอาการต่อต้านก็ค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ เพราะถึงอย่างไรเธอก็คิดว่าเขาเป็นสามีของเธอแล้วนั่นเอง

หลังอาหารเช้า โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะหาววอดออกมา หลังจากจดจ่อกับการเรียนรู้มาตลอดทั้งคืน เขาก็เหน็ดเหนื่อยมาก หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเร็วๆ ในที่สุดสมองของเขาก็แจ่มใสขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังโรงเรียน เขาก็ลอบมองห้องของหยุนหลี่อย่างอิจฉา อย่างน้อยเจ้านั่นก็สามารถนอนหลับพักผ่อนได้! อ๊าาาา วันนี้ข้ากลับต้องทนทุกข์ทรมานในชั้นเรียน!

โจวเหว่ยชิงจับมือเล็กๆ ที่อ่อนนุ่มของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนด้วยกัน อย่างไรโจว เหว่ยชิงก็ได้ประกาศความสัมพันธ์ของพวกเขาไปแล้ว อีกทั้งซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยอมรับและไม่ได้เขินอายอะไรขนาดนั้นอีก

ไม่นานประตูของโรงเรียนก็อยู่ในระยะสายตาของพวกเขา แต่ทว่าจู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะมีรถม้ามากมายกำลังจอดเทียบอยู่หน้าโรงเรียนของพวกเขา ฝูงชนจำนวนมากกำลังยืนออกันอยู่หน้าประตูเพื่อเมียงมองไปยังรถม้าเหล่านั้น จากสิ่งที่พวกเขาเห็น บริเวณนั้นมีรถม้ามากกว่า 10 คันและผู้คนเกือบ 200 คนยืนอยู่รอบๆ หลายคนยังให้บรรยากาศคล้ายพวกขุนนางที่สง่างามและสูงส่ง

“อะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นหรือ? ทำไมถึงมีคนอยู่ที่นี่เยอะแยะขนาดนี้?” โจวเหว่ยชิงหยุดอยู่กับที่ด้วยความลังเลและเอ่ยถามเสียงดัง

ในขณะนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เธอลังเลว่าจะตอบรับคำขอของอ้วนน้อยดีหรือไม่ ถ้าเธอไม่ยอมให้เขาใกล้ชิดสนิทสนมด้วย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาไม่อาจยับยั้งชั่งใจตนเองได้? นอกจากนี้ยังมีหมิงฮัวผู้งดงามเปี่ยมเสน่ห์อยู่ในบ้านกับพวกเขาด้วย…

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง เธอก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาสับสน เมื่อเห็นเหตุการณ์บริเวณหน้าโรงเรียน เธอก็รู้สึกตกใจขึ้นมาเช่นกัน “แม้ในวันลงทะเบียนเรียน รถม้าก็ยังมีไม่มากเท่านี้!”

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นใกล้ๆ พวกเขา “ศิษย์น้อง จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า” โจวเหว่ยชิงหันไปตามเสียง ไม่นานก็เห็นเย่เป่าเปาเดินมาจากระยะไกลๆในชุดเครื่องแบบชนชั้นสูง วันนี้เขาอยู่คนเดียวโดยไม่มีลูกน้องเดินตามเป็นพรวน เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์หล่อเหลาและไร้พิษสงของเขา โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่ายากที่จะจินตนาการว่าคนผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้นำนักเรียนชนชั้นสูงในโรงเรียนของพวกเขา

“เป็นเพราะข้า? รุ่นพี่ รถม้าเหล่านั้นเกี่ยวอะไรกับข้างั้นหรือ?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย สัญชาติญาณระแวดระวังค่อยๆเพิ่มระดับขึ้นในใจของเขา เย่เป่าเปาคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมอารมณ์และการแสดงออกทางสีหน้าของตนเอง มันจึงยากที่จะอ่านใจเขาได้ การที่เขาเป็นถึงผู้นำนักเรียนชนชั้นสูง โดยธรรมชาติแล้วจะเป็นคนที่รับมือง่ายๆ ได้อย่างไร

เย่เป่าเปากล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์น้อง เจ้าลืมไปแล้ว? เจ้าคิดหรือว่าการที่ห้องเรียนสามัญชนของเจ้าลงมือกับนักเรียนชนชั้นสูงจำนวนมากเมื่อวานนี้จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ตามมาเลย? พูดอีกอย่างคือ พวกเจ้าทุบตีพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม! นักเรียนชั้นปีที่ 2 เกือบครึ่งหนึ่งกระดูกหักเเละยังมีหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากทีเดียว”

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “เรื่องนั้นท่านไม่สามารถตำหนิพวกเราได้ อย่างไรโรงเรียนก็ลงโทษทั้ง 2 ฝ่ายอย่างยุติธรรมแล้ว ท่านจะโทษอะไรข้าได้อีก?”

เย่เป่าเปาหัวเราะอย่างเต็มที่และพูดว่า “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าทำได้อย่างไร แต่เจ้าก็เป็นบุคคลสำคัญที่โรงเรียนต้องเก็บรักษาเอาไว้ โรงเรียนจึงไม่ได้ตามราวีเจ้าหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่เจ้าอย่าลืมว่าที่นี่คือเมืองเฟยหลี่และขุนนางหลายคนก็อาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน สำหรับพวกเขา เจ้ายังคงเป็นผู้ยุยงให้นักเรียนคนอื่นแข็งข้อกับนักเรียนชนชั้นสูง เมื่อเจ้าทุบตีพวกเด็กๆ คนเฒ่าคนแก่ก็จะต้องปรากฏตัวขึ้นเพื่อทวงความยุติธรรมให้บุตรหลาน ทุกคนที่ประตูกำลังรอเจ้าอยู่ ภายในรถม้ามีคนจำนวนมากที่ถูกทุบตีเมื่อวานนี้ พวกเขากำลังรอชี้นิ้วว่าเป็นเจ้า แม้ว่าโรงเรียนจะไม่ดำเนินการกับเจ้า แต่เจ้าคิดว่าพวกขุนนางจะปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปเงียบๆ หรือ?

เสียงของชายเสื้อแดงผู้นั้นค่อนข้างแปลกประหลาด ฟังดูเหมือนเสียงของอมนุษย์ที่ถูกบีบจนทุ้มต่ำเกินความเป็นจริง หลังจากนิ่งฟังสักพัก โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้ในที่สุดว่านี่เป็นเจตนาของเขา เมื่อทำเช่นนี้ควบคู่ไปกับการสวมหน้า กากผ้า ทั้งหมดจึงสามารถช่วยปิดบังตัวตนของเขาเอาไว้ได้อย่างเต็มที่ เห็นได้ชัดว่าบุคคลนี้มีอีกตัวตนอยู่ภายนอกสนามประลอง มิฉะนั้นเขาคงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เพื่อซ่อนเร้นตนเอง โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสนามประลองใต้ดินแห่งนี้มากขึ้นไปอีก

แน่นอนว่าความอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนการลงมือตรวจสอบจริงๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โจวเหว่ยชิงไม่โง่เง่าถึงขนาดพยายามสอดรู้สอดเห็นเรื่องของสถานที่ลึกลับที่สามารถจบชีวิตของจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงได้อย่างง่ายดายเช่นนี้แน่นอน อย่างน้อยสำหรับเขาในตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหาทางทำให้ตนจะชนะการเดิมพันที่กำลังจะมาถึงนี้ให้ได้

หลังเอาชนะหยุนหลี่และได้อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ผู้นี้มาเป็นผู้ติดตาม หากเขาแพ้การต่อสู้ครั้งนี้ นั่นจะทำให้ทุกอย่างที่เขาทำมาทั้งหมดสูญเปล่าไปทั้งหมด แม้กระทั่งสูญเสียอิสรภาพของตนเองไปอีกด้วย

“ใช่ เราต้องการทำสัญญา…” หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“เอาล่ะ ได้โปรดลงชื่อ…” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น ชายชุดแดงก็หยิบกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะข้างๆพวกเขา หลินเทียนอ้าวเดินไปข้างหน้าและเขียนข้อตกลงบนกระดาษอย่างรวดเร็วตามที่พวกเขาพูดคุยกันไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากตรวจสอบแล้ว โจวเหว่ยชิง หยุนลี่ และหลินเทียนอ้าวต่างก็ลงนามบนกระดาษพร้อมกัน

หลังจากตรวจสอบสัญญาแล้ว ชายชุดแดงก็เก็บกระดาษและพูดว่า “ตอนนี้พวกท่านสามารถเริ่มการต่อสู้ได้เลย”

จากนั้นโจวเหว่ยชิงก็เริ่มตรวจสอบพื้นที่สำหรับการต่อสู้

สนามประลองเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งกว้างขวางโอ่อ่า มีแสงสว่างสาดส่องมาจากทุกทิศทุกทางของสนามแม้ว่าจะมองไม่เห็นแหล่งกำเนิดแสงก็ตาม บนสนามรูปวงกลมมีคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่ค่อนข้างมาก บนผนังและพื้นมีแสงสะท้อนจากโลหะแวววาวออกมาเล็กน้อย

ห้องทรงกลมนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 เมตร เมื่อมันกลายเป็นพื้นที่ต่อสู้จึงถือว่ามีขนาดมหึมามาก

หลินเทียนอ้าวเดินไปที่ใจกลางห้อง ทันทีที่เขาเข้าไปยืนอยู่ตรงนั้นพลางยืดเส้นยืดสาย กลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ขณะนี้ดูเหมือนว่าร่างของเขาจะกลมกลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของห้องนี้ไปได้อย่างสิ้นเชิง ราวกับเป็นรูปปั้นหินแกะสลัก ไม่ใช่มนุษย์คนหนึ่ง ดวงตาของเขาทอแสงประกายเจิดจ้าขึ้นมาจากภายใน

“เชิญ” หลินเทียนอ้าวร้องบอกพวกเขาทั้งสองคนเบาๆ มองเห็นกล้ามเนื้อที่นูนออกมาชัดเจนภายใต้เสื้อคลุมของเขา ความแข็งแกร่งและพลังที่น่าทึ่งของอีกฝ่ายแทบจะทำให้ฝั่งตรงข้ามหายใจไม่เต็มปอด

หยุนลี่มองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาแฝงคำถาม โจวเหว่ยชิงเลิกคิ้วและพูดว่า “เจ้าทดสอบการป้องกันของเขาก่อน”

ในขณะนั้นชายชุดแดงก็กล่าวอย่างเย็นชา “เมื่อพวกท่านทั้งคู่เริ่มการโจมตี เวลาสำหรับการเดิมพันก็จะเริ่มนับทันที เวลาที่กำหนดคือหนึ่งก้านธูป” ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น ธูปก็ปรากฏขึ้นมาในมือเจ้าตัวทันที

หยุนลี่สูดหายใจเข้าลึกและก้าวไปข้างหน้า มณีสวรรค์ของเขาพลันปรากฏขึ้นรอบข้อมือพร้อมกับส่องแสงเป็นประกายแวววาว ไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวทองและหยกหินมังกรเรืองรองขึ้นมาตามลำดับ เขาใช้เท้าขวากระแทกพื้นส่งให้ทั้งร่างพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าราวกับลูกศรที่ยิงจากคันธนู เนื่องจากความเร็วขณะทะยานตัดผ่านอากาศ เสียงลมหวีดร้องโหยหวนจึงเกิดขึ้นขณะที่เขาโผเข้าใส่หลินเทียนอ้าว

“ย่าห์….” หลินเทียนอ้าวตะโกนเบาๆ ขณะที่เขายกมือซ้ายขึ้น หยกเหลือง 5 ดวงส่องแสงเรืองรองออกมาทันที หยกเหลืองคือมณียุทธ์ประเภทเพิ่มความอึดหรือการป้องกัน ในวินาทีนั้น จู่ๆ มณีดวงแรกก็ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นศาสตรามณียุทธ์ชิ้นแรกของเขา

มันเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่โจวเหว่ยชิงต้องการมาโดยตลอด

โล่ของหลินเทียนอ้าวมีรูปร่างเป็นวงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางเกือบ 1 ฟุต 5 นิ้ว โล่นี้ไม่ได้รับการตกแต่งหรือมีรูปแบบที่ซับซ้อนใดๆ ตรงกลางของโล่มีหลุมบรรจุมณีอยู่เพียงหลุมเดียว

มณียุทธ์ของหยุนลี่คือหยกหินมังกรที่มีคุณสมบัติเพิ่มความว่องไว เมื่อเขาปรากฏตัวต่อหน้าหลินเทียนอ้าว มณีดวงแรกของเขาพลันส่องแสงเจิดจ้าขึ้นมา ทันใดนั้นกำปั้นขวาก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีเงินซึ่งมีความหนาเกือบหนึ่งฟุต ด้วยความได้เปรียบด้านความเร็ว ในขณะที่หยุนลี่กำลังจะไปถึงตัวหลินเทียนอ้าว เขาก็หายตัวไปทันที ไม่นานก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเหนือศีรษะของหลินเทียนอ้าว หมัดของเขากำลังจะพุ่งกระแทกเข้าใส่ศีรษะอีกฝ่ายอย่างจัง

ตอนนี้โจวเหว่ยชิงไม่ใช่พวกหน้าใหม่เหมือนเมื่อหลายปีก่อนแล้ว มองเพียงปราดเดียว เขาก็จดจำทักษะธาตุมิติที่หยุนลี่ใช้ได้ทันที

แสงสีเงินที่เรืองรองอยู่รอบๆ หมัดขวาของเขาเป็นทักษะที่เรียกว่าทักษะปืนใหญ่บีบอัดธาตุมิติ ทักษะนี้เป็นทักษะโจมตีที่ทรงพลังมาก ในแง่ของการสร้างความเสียหายให้เป้าหมาย มันอาจแข็งแกร่งกว่าทักษะระดับ 7 ดาวด้วยซ้ำ ข้อเสียเปรียบเพียงอย่างเดียวก็คือต้องใช้ในการต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น แต่เมื่อรวมกับคุณสมบัติด้านความเร็วและความคล่องตัวที่หยุนลี่ได้รับจากมณียุทธ์ของเขา นั่นย่อมเป็นการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นการเลือกใช้ทักษะดังกล่าวจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับหยุนลี่

พลังปราณสวรรค์ระดับมณี 4 ชุดถูกใส่เข้าไปพร้อมกับการโจมตีของทักษะปืนใหญ่บีบอัดธาตุมิติด้วย แม้แต่ก้อนหินหนัก 1,000 จินก็อาจกลายเป็นเศษผงได้อย่างง่ายดายด้วยแรงระเบิดครั้งนี้ การใช้ทักษะนี้เป็นการบีบอัดอากาศทั้งหมดจากบรรยากาศรอบๆ ในเสี้ยววินาที สร้างแรงระเบิดขนาดใหญ่รวมถึงคลื่นกระแทกติดต่อกัน ทั้งหมดนั้นก่อให้เกิดพลังทำลายล้างอย่างรุนแรง

แม้ว่าน้ำเสียงของหลินเทียนอ้าวก่อนหน้านี้จะไม่ได้ฟังดูหยิ่งผยองนัก แต่เงื่อนไขของเขาที่อนุญาตให้โจวเหว่ยชิงและหยุนหลี่โจมตีพร้อมกันโดยที่ไม่ยอมตอบโต้ก็ทำให้หยุนลี่รู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างแท้จริง โดยเฉพาะหลังจากพ่ายแพ้ให้กับโจวเหว่ยชิงก่อนหน้านี้และยังหลงเหลือความเกรี้ยวกราดอยู่ข้างใน ด้วยเหตุนี้เขาจึงทุ่มเทใช้พละกำลังทั้งหมดของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ในการโจมตีครั้งนี้

นอกเหนือจากการกรุ่นคิดสั้นๆ เกี่ยวกับการโจมตีของหยุนลี่แล้ว ความสนใจส่วนใหญ่ของโจวเหว่ยชิงก็มุ่งไปที่หลินเทียนอ้าวเพียงผู้เดียว

เมื่อหยุนลี่พุ่งไปยังด้านหน้าของอีกฝ่าย หลินเทียนอ้าวก็ได้ยกมือซ้ายไพล่ไปไว้ด้านหลังแล้ว นั่นเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าเขาจะไม่ใช้มือข้างนั้นในการต่อสู้ แต่แน่นอนว่าการไม่ใช้มือข้างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สามารถใช้ทักษะธาตุใดๆ ได้

เมื่อเผชิญหน้ากับความเร็วและการเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหันของหยุนลี่ หลินเทียนอ้าวก็มีวิธีการที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาในการจัดการกับมัน เขายกแขนขวาขึ้น โล่กลมชิ้นนั้นจึงถูกยกขึ้นเหนือศีรษะอย่างรวดเร็วในเวลาเดียว กัน โจวเหว่ยชิงสามารถมองเห็นแสงสีเหลืองเข้มข้นที่สาดส่องออกมาจากโล่ได้อย่างชัดเจน ตรงกลางหลุมบรรจุมณียังปรากฏเพชรสีทองอร่ามฝังอยู่หนึ่งดวง นั่นคือมณีธาตุประเภทเพชร ทักษะธาตุดิน

*ปัง* ปืนใหญ่บีบอัดธาตุมิติกระแทกเข้าที่โล่อย่างรุนแรง จากนั้นร่างของหยุนลี่ก็ถูกส่งให้ลอยละลิ่วกลับไปทางเดิมเพราะแรงต้านจากโล่ของอีกฝ่าย สำหรับหลินเทียนอ้าว เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเคลื่อนไหว สีหน้าท่าทางของเขายังคงไร้การเปลี่ยนแปลง

ชายชุดแดงที่ดูแลห้องหมายเลข 7 จุดธูปในมือของเขาแล้ว การเดิมพันจึงได้เริ่มขึ้นด้วยการปะทะกันครั้งแรกของพวกเขาทั้งคู่นั่นเอง

ร่างของหยุนลี่พลิกตัวกลางอากาศขณะที่เขาถูกส่งให้กระเด็นกลับขึ้นไปบนเพดาน เขาใช้การเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเพื่อปรับทิศทาง หยกหินมังกรดวงแรกบนมือขวาของเขาพลันสว่างไสวขึ้นชั่วขณะ วินาทีนั้นเดือยแหลมชิ้นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในอุ้งมือของเขา เห็นได้ชัดว่านั่นคือศาสตรามณียุทธ์ชิ้นแรกของหยุนลี่

เมื่อดูมาจนถึงตอนนี้ โจวเหว่ยชิงก็อดจะขมวดคิ้วไม่ได้ หลังจากมองเห็นอาวุธของหยุนลี่ โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักถึงปัญหาของพวกเขาได้ทันที

หยุนลี่อยู่ในสถานะเดียวกันกับเขา ทั้ง 2 คนมีแบบร่างในตำนาน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่หยุนลี่จะไม่วางแผนหลอมรวมเข้ากับชุดศาสตรามณียุทธ์ตำนานของเขา! นั่นหมายความว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่หยุนลี่จะยอมหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์กับมณีทั้ง 4 ดวงของตนทั้งหมด อย่างมากก็หลอมรวมเพียงแค่ 2 ชิ้นเท่านั้น อย่างไรเขาก็ต้องสำรองโอกาสเหล่านั้นไว้สำหรับชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานที่ยังสร้างไม่สำเร็จ นี่เป็นปัญหาเดียวกับโจวเหว่ยชิง มณีดวงที่ 3 ของเขาก็ยังไม่ได้หลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ใดๆ เช่นกัน

หยุนลี่พุ่งทะยานออกไปเป็นครั้งที่ 2 อย่างรวดเร็ว คราวนี้เขาเร่งความเร็วให้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวทอง 3 ใน 4 ดวงของเขาพลันส่องสว่างเจิดจ้าขึ้น แสงสีเงินหนาทึบตรงเข้าห่อหุ้มทั้งร่างของเขาเอาไว้ทันที

ชั่วพริบตานั้นเดือยแหลมในมือของหยุนลี่เปลี่ยนเป็นสีเงินเช่นกัน อากาศรอบตัวของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่เขาเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุดสีหน้าของหลินเทียนอ้าวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาร้องออกมาว่า “บีบอัดพลัง 2 เท่า!”

แท้จริงแล้วหยุนลี่กำลังใช้ทักษะธาตุมิติ 3 ชนิดซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘ทักษะบีบอัดพลัง 2 เท่า’ โดยปกติแล้วทักษะปืนใหญ่บีบอัดธาตุมิติจะต้องถูกนำมาใช้อีกครั้ง แต่คราวนี้มันถูกใช้ร่วมกับทักษะสนับสนุนธาตุมิติอันทรงพลังอย่างทักษะบีบอัด  2 เท่า ทั้งหมดหลอมรวมกันกลายเป็นเดือยแหลมในมือของเขา ไม่เพียงแค่นั้น ทักษะที่ 3 ที่หยุนหลี่นำออกมาใช้ยังเป็น ‘ทักษะเร่งระเบิดธาตุมิติ’

‘ทักษะเร่งระเบิดธาตุมิติ’ เป็นทักษะสนับสนุนที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ทักษะนี้ใช้แรงกระแทกแบบลูกโซ่เพื่อเร่งความเร็วในการระเบิด ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้ใช้ได้เกือบ 3 ใน 10 ส่วน ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นทักษะที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ใช้สำหรับการโจมตีเท่านั้น  แต่ยังรวมถึงการใช้สำหรับหลบหนีด้วย

อย่างไรก็ตาม หยุนลี่ก็เป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีเพียง 4 ชุดและกักเก็บทักษะธาตุมิติไว้เพียง 4 ทักษะ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การที่เขาเลือกทักษะสนับสนุนทั้ง 2 ออกมาใช้แสดงให้เห็นว่าทักษะเหล่านี้ทรงพลังและมีประโยชน์เพียงใด ขณะเห็นอีกฝ่ายนำทักษะทั้ง 2 ออกมาใช้ร่วมกัน โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย

ทั้งทักษะบีบอัดพลัง 2 เท่าและทักษะเร่งระเบิดธาตุมิติเป็นทักษะระดับ 7 ดาวที่ทรงพลังมาก ด้วยคุณสมบัติของทักษะสนับสนุนทั้ง 2 ชนิดนี้ การโจมตีของหยุนลี่อาจกล่าวได้ว่าขยายขีดความสามารถขึ้นไปจนทะลุขีดจำกัดสูงสุดที่เป็นไปได้แล้ว การเดิมพันเพิ่งเริ่มต้น แต่เขากลับแสดงพลังทั้งหมดของตนออกมาอย่างเต็มที่ ไม่ยอมยั้งมือเอาไว้แม้แต่น้อย ความตั้งใจของเขาคือการจบการต่อสู้ครั้งนี้ให้เร็วที่สุด ส่วนอีกนัยหนึ่งก็คือลงมือให้เร็วที่สุดโดยไม่ให้หลินเทียนอ้าวทันตั้งตัว

“ดี!” หลินเทียนอ้าวตะโกนเสียงดังลั่น ทว่าครั้งนี้เขาก็ยังคงใช้มือข้างเดียวรับการโจมตี เท้าทั้งสองข้างยังคงยืนอยู่บนพื้นได้อย่างมั่นคง แต่โล่กลมในมือของเขากลับเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จู่ๆ โล่นั้นก็มีแสงสว่างเจิดจ้าออกมา

ภายใต้แสงสีเหลืองเจิดจ้าจากมณีทั้ง 2 ดวง โล่กลมที่แต่เดิมมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ฟุต 5 นิ้วก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปโดยสิ้นเชิง  มันกลายเป็นโล่รูปสามเหลี่ยมที่มีความกว้างประมาณ 2 ฟุตและสูง 5 ฟุต

เมื่อเห็นภาพดังกล่าว ไม่เพียงแต่หยุนลี่ที่อยู่ในระหว่างการโจมตีเท่านั้น แม้แต่โจวเหว่ยชิงที่เฝ้ามองจากด้านข้างก็ยังต้องรู้สึกประหลาดใจ ทั้งคู่เป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ พวกเขาย่อมรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร

แสงสีเหลือง 2 ดวงที่หลอมรวมเข้ากับโล่กลมนั้นมีต้นกำเนิดมาจากมือขวาของหลินเทียนอ้าว นั่นเป็นมณียุทธ์ของเขา หมายความว่าเขาเพิ่งเรียกใช้ศาสตรามณียุทธ์อีก 2 ชิ้น ทว่าทั้ง 2 ชิ้นนั้นกลับไม่ใช่อุปกรณ์ที่นำมาใช้กับร่างกายของเขาเพราะมันถูกนำมาใช้กับโล่กลมดั้งเดิมในมือของเขาต่างหาก! อุปกรณ์ทั้ง 3 ชิ้นได้หลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นโล่ชิ้นเดียวที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร!

………………………

ชุดประสานศาสตรามณียุทธ์! วลีดังกล่าวปรากฏขึ้นในใจของทั้งโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่

ชุดศาสตรามณียุทธ์และชุดประสานศาสตรามณียุทธ์อาจฟังดูเหมือนกันโดยแทบไม่มีความแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย แต่ความจริงแล้วทั้งคู่แตกต่างกันอย่างมาก ชุดศาสตรามณียุทธ์ชนิดแรกคือชุดเกราะเต็มรูปแบบซึ่งประกอบไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ มากมาย รวมถึงอาวุธเพื่อให้กำเนิดชุดอุปกรณ์ที่เข้าพวกกันขึ้นมา ส่วนชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ชนิดหลังนี้ มันกลับสามารถหลอมรวมกันกลายเป็นอุปกรณ์ชิ้นเดียวได้ด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนใคร กล่าวคือหลังจากประสานชิ้นส่วนทั้งหมดแล้ว ผู้ใช้จะได้อุปกรณ์เพียงชิ้นเดียว! ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่หลินเทียนอ้าวประสานเข้าด้วยกันจึงเป็นโล่ในมือของเขานั่นเอง

มณียุทธ์มีเนื้อที่จำกัดเมื่อหลอมรวมกลายเป็นอุปกรณ์ ยกตัวอย่างเช่นค้อนคู่ขนาดใหญ่ของโจวเหว่ยชิง พวกมันเป็นศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า ดังนั้นขนาดของพวกมันจึงใหญ่กว่าศาสตรามณียุทธ์ทั่วไปมาก ถึงกระนั้น พวกมันก็ยังต้องเป็นค้อนที่มีน้ำหนัก 1 ชิ้นและค้อนที่ไม่มีน้ำหนัก 1 ชิ้น ไม่สามารถเป็นค้อนที่มีน้ำหนักทั้ง 2 ชิ้นได้! อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นการออกแบบที่อัจฉริยะมาก การใช้ค้อนจริงและค้อนปลอมสามารถเพิ่มพลังให้ชุดศาสตรามณียุทธ์ทั้งชุดโดยรวมได้

ชุดประสานศาสตรามณียุทธ์เป็นชุดศาสตรามณียุทธ์ชนิดหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นให้มีพลังถึงขีดสูงสุดที่เป็นไปได้ นั่นเป็นการเสียสละมณียุทธ์จำนวนมากเพียงเพื่อเพิ่มพลังให้อุปกรณ์ชิ้นเดียว อย่างไรก็ตาม เท่าที่โจวเหว่ยชิงและหยุนลี่รู้ อุปกรณ์ประเภทนี้มักจะถูกใช้เป็นอาวุธมากกว่า สำหรับการใช้งานในลักษณะที่หลินเทียนอ้าวทำ ใช้มณียุทธ์ 3 ดวงเพื่อสร้างโล่นั้น พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน ท้ายที่สุดแล้วแม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ที่ไปจนถึงระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก็สามารถมีศาสตรามณียุทธ์ได้เพียง 12 ชิ้นเท่านั้น ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากสิ่งนี้แล้ว ใครจะไม่อยากมีชุดศาสตรามณียุทธ์ชนิดเต็มรูปแบบกัน!

นอกเหนือจากความจริงที่ว่ามันเป็นเรื่องสุดโต่งแล้ว สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้ชุดประสานศาสตรามณียุทธ์หายากมากก็สืบเนื่องมาจากความยากลำบากในการสร้างม้วนคัมภีร์นั่นเอง ม้วนคัมภีร์เหล่านี้สร้างได้ยากกว่าม้วนคัมภีร์แบบปกติมาก อย่างไรการประสานศาสตรามณียุทธ์หลายๆ ชิ้นให้เป็นชิ้นเดียวก็ซับซ้อนมากกว่า ยิ่งศาสตรามณียุทธ์ต้องประสานเข้าด้วยกันมากเท่าไหร่ การสร้างพวกมันขึ้นมาก็ยิ่งซับซ้อนและยากลำบากมากขึ้นเท่านั้น โดยปกติแล้วของพวกนี้จะประสานกันเพียง 2 ชิ้นเท่านั้น  อย่างน้อยในประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยมีใครประสานอุปกรณ์มากกว่า 5 ชิ้นมาก่อน  แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังไม่ต้องการเสียเงินไปกับอุปกรณ์เพียงชิ้นเดียวมากเกินไป  นั่นยังไม่ได้รวมถึงความยากลำบากในการสร้างม้วนคัมภีร์อีกด้วย  แม้แต่ชุดประสาน 3 ชิ้นก็ยังต้องใช้อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์สร้างขึ้นมา ส่วนชุดประสาน 5 ชิ้นก็ต้องใช้อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะสร้างให้เสร็จสมบูรณ์

แน่นอนว่าภายใต้การเสาะแสวงหาอย่างสุดขั้วเช่นนี้ ชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ย่อมต้องมีพลังอย่างมาก และตอนนี้ก็เป็นอีกครั้งที่พลังดังกล่าวปรากฏขึ้น

เมื่อเห็นหลินเทียนอ้าวใช้ชุดประสาน 3 ชิ้น การแสดงออกของหยุนลี่ก็เปลี่ยนไปทันที สำหรับโล่ดังกล่าว เมื่อนำศาสตรามณียุทธ์ 3 ชิ้นหลอมรวมกัน พลังของมันย่อมไม่ได้เพิ่มขึ้นในสัดส่วนง่ายๆ เหมือน 1+1+1 แต่เป็นการเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณต่างหาก นอกจากนี้ ชุดประสานยังทำให้โล่มีหลุมบรรจุมณีเพิ่มขึ้นเป็น 3 ช่อง จากสิ่งนี้ ทุกคนย่อมสามารถจินตนาการถึงพลังป้องกันอันน่าสะพรึงกลัวของโล่นี้ได้ทันที

ตอนนี้แม้ว่าหยุนลี่จะใช้พละกำลังทั้งหมดของเขาโจมตีออกไป เขาก็ไม่มีความมั่นใจแล้วว่าจะฝ่าพลังป้องกันของโล่หลินเทียนอ้าวไปได้

ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ เมื่อถูกต้อนจนหลังชิดกำแพง หยุนลี่จึงได้แสดงความสามารถอันน่าทึ่งในการต่อสู้ออกมา ขณะร่างกายกำลังลอยอยู่กลางอากาศ เขาก็สามารถบิดตัวบังคับเปลี่ยนทิศทางของทักษะเร่งระเบิดธาตุมิติได้ พลังที่แต่เดิมจะโจมตีไปยังหน้าอกของคู่ต่อสู้ถูกดึงกลับไปในระยะเพียงไม่กี่นิ้วก่อนถึงตัวอีกฝ่าย นั่นทำให้เขาต้องร่อนตัวลงเหยียบพื้นด้านล่าง วินาทีนั้นเดือยแหลมในมือของเขาก็พุ่งเข้าหาขาของหลินเทียนอ้าวแทน

ไม่ใช่เดิมพันกันว่าห้ามขยับเท้าหรอกหรือ? ดี งั้นข้าจะโจมตีเท้าของเจ้าด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ด้านล่างของโล่เป็นจุดล่อแหลม เจ้าจึงไม่น่าจะป้องกันตัวได้ง่ายดายขนาดนั้น!

นอกจากนี้ ในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะปะทะกัน มณีธาตุดวงที่ 4 ของหยุนหลี่ก็สว่างขึ้นทันที  วินาทีนั้นเดือยแหลมสีเงินบริสุทธิ์ก็เปล่งแสงลวงตาออกมา เมื่อเงาลวงตาสีเงินนั้นพุ่งทะยานออกไปจากเดือยแหลม ทันทีที่มันสัมผัสโดนอากาศก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิททันที

“ทักษะเฉือนมิติ…” โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกประหลาดใจ ทักษะเฉือนมิติเป็นทักษะระดับ 8 ดาวในบรรดาทักษะธาตุมิติ แน่นอนว่าแข็งแกร่งกว่าทักษะปืนใหญ่บีบอัดธาตุมิติมากทีเดียว หลังจากพิจารณาดูแล้ว มันเป็นทักษะที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับทักษะกระชากมิติของโจวเหว่ยชิง แต่ทักษะเฉือนมิติจะคงอยู่เพียงเสี้ยววินาทีในขณะที่ ทักษะกระชากมิติจะอยู่กลางอากาศได้ชั่วขณะหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะกระชากมิติยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายเช่นพลังดึงดูดและพลังป้องกัน

ถึงกระนั้น พลังโจมตีของทักษะเฉือนมิติก็น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ นี่สามารถนับเป็นท่าไม้ตายที่แท้จริงของหยุนลี่ได้เลยทีเดียว

จ้าวมณีสวรรค์คือใครน่ะหรือ? จ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังอย่างแท้จริงสามารถปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเขาออกมาได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

การโจมตีของหยุนหลี่มีพลังเพิ่มขึ้นเพราะทักษะสนับสนุนทั้ง 2 ชนิดของเขา เมื่อรวมกับพลังของทักษะปืนใหญ่บีบอัดธาตุมิติ ตอนนี้ทักษะเฉือนมิติจึงมีพลังเหนือไปอีกขั้น ในการรับมือกับการโจมตีดังกล่าว ไม่ใช่แค่จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ชุด บางทีแม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ธรรมดาระดับ 6 ชุดก็ยังต้องคิดหนัก

เมื่อเผชิญหน้ากับหยุนลี่ที่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้กะทันหัน การแสดงออกของหลินเทียนอ้าวก็ดูจริงจังขึ้นมาในทันที ทว่าเขากลับขยับเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

หยกเหลืองดวงที่ 4 ของเขาเปล่งประกายแสงสีเหลืองสุกใสขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะหลอมรวมเข้าไปในโล่ของเขา เห็นได้ชัดว่ามันกำลังขยายใหญ่ขึ้นอีกระดับ! เกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วห้องเพราะโล่ของอีกฝ่ายกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ปิดกั้นทักษะเฉือนมิติเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ชุดประสาน 4 ชิ้น! หัวใจของโจวเหว่ยชิงสั่นสะท้านด้วยความตกใจ ในเวลาเดียวกัน เสียงระเบิดขนาดใหญ่ก็ปะทุขึ้นขณะที่พลังโจมตีของหยุนลี่กระแทกเข้าใส่โล่ของหลินเทียนอ้าวอย่างโหดเหี้ยม

โล่ที่ถูกขยายขนาดเพิ่ม ตอนนี้กลายเป็นหอคอยโล่ขนาดมหึมา แม้ว่ามันจะยังคงเป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีมุมแหลมชี้ลงไปด้านล่าง แต่ขณะนี้มุมแหลมนั้นกลับถูกปักลึกลงไปในพื้นเหล็กด้านล่าง

ในขณะที่พลังปรานสวรรค์ธาตุมิติของหยุนลี่โหมกระหน่ำใส่อีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง เสียงคล้ายบางอย่างปริร้าวก็ดังขึ้นบาดหูพร้อมกับคลื่นกระแทกที่มีพลังรุนแรงสาดซัดออกมา พลังนั้นทำให้โจวเหว่ยชิงถึงกับเซถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนที่จะกลับมายืนตรงได้อีกครั้ง แม้แต่ชายชุดแดงที่เฝ้าห้องก็มีแสงวาบผ่านในดวงตา อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ อย่างให้ การยอมรับ

เสียงร้องโอดครวญดังขึ้นภายในห้อง หยุนหลี่ถูกพลังของอีกฝ่ายกระแทกกลับไป คราวนี้เขาถูกเหวี่ยงกลับอย่างโหดเหี้ยมจนเกือบถูกอัดกระแทกผนังห้อง ทว่าเขาก็สามารถกอบกู้สถานการณ์ของตนเองได้ทันเวลา

เดือยแหลมในมือของหยุนลี่หายไปแล้ว โจวเหว่ยชิงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามือขวาของเขากำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง พลังปราณสวรรค์รอบๆ ตัวของอีกฝ่ายดูเหมือนกำลังใกล้จะสลายหายไป ใบหน้าของเขาแดงก่ำ หยุนลี่ร้องครวญครางออกมาเล็กน้อยก่อนจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด

การโจมตีของหยุนลี่ครั้งนี้ใช้พลังทั้งหมดของเขาโดยไม่ได้ยั้งแรงเอาไว้เลย นั่นจึงเป็นผลให้เขาได้รับผลกระทบจากแรงดีดสะท้อนกลับครั้งใหญ่ ในขณะที่ร่างกายของเขาล้มลงกระแทกพื้น เขาก็ต้องหอบหายใจอย่างหนักหน่วง

แม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะใช้เวลาเพียงแค่ 10 วินาทีตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าหยุนลี่ก็ได้ใช้พลังปรานสวรรค์ของตนไปแล้วมากกว่าครึ่งหนึ่ง อีกทั้งยังใช้ทักษะทั้งหมดของตนออกไปแล้วด้วย

สำหรับหลินเทียนอ้าว เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเคลื่อนไหว เช่นเดียวกับขุนเขาที่ตั้งตระหง่านอย่างมั่นคง ตรงหน้าเขามีโล่หอคอยที่เป็นชุดประสาน 4 ชิ้นตั้งอยู่อย่าง มั่นคงไร้รอยข่วน แสงสีเหลืองส่องประจายเจิดจ้าออกมาจากโล่ชิ้นนั้นและดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจใดๆเลยแม้แต่น้อย เท้าของเขายังคงไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว การโจมตีของหยุนหลี่นั้นทรงพลังอย่างแท้จริง แต่ก็ไม่สามารถแม้แต่จะทำให้ร่างของเขาสั่นคลอนได้

เช่นเดียวกับที่โจวเหว่ยชิงเคยพูดเอาไว้ หลินเทียนอ้าวมีความเชี่ยวชาญในด้านการป้องกันและไม่ถนัดด้านโจมตี ดังนั้นเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ เขาก็สามารถใช้พลังมากกว่า 8 ใน 10 ของตนไปกับการตั้งรับได้แล้ว

ริมฝีปากของโจวเหว่ยชิงกระตุกอย่างไม่รู้ตัวขณะบ่นกับตัวเองในใจ บ้าเอ้ย! พลังป้องกันนั่นน่ากลัวเกินไปแล้ว!

เขาเฝ้าสังเกตการโจมตีของหยุนหลี่อย่างใกล้ชิดและสามารถเอ่ยปากได้ว่าการโจมตีของเขาทรงพลังเพียงใด แต่ทั้งหมดนั่นกลับกลายเป็นของไร้ประโยชน์ การโจมตีของเขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าหยุนลี่เล็กน้อย แต่มันจะสามารถทะลวงผ่านโล่หอคอย ชุดประสาน 4 ชิ้นของหลินเทียนอ้าวไปได้หรือ? เมื่อพิจารณาถึงระดับพลังปราณของเขา เขาจะสามารถทำลายโล่ในมือเดียวนั่นได้หรือไม่?

ทั้งอิจฉา ทั้งริษยา ทั้งเกลียด! ถ้าข้ามีโล่แบบนี้ได้จะดีสักแค่ไหนกัน! โจวเหว่ยชิงอดคิดในใจไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การปะทะกันระหว่างหยุนลี่และหลินเทียนอ้าวก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปซะทีเดียว อย่างน้อยที่สุดมันก็ทำให้โจวเหว่ยชิงตระหนักถึงบางสิ่งที่สำคัญมาก นั่นคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลินเทียนอ้าว

แม้ว่าหลินเทียนอ้าวผู้นี้จะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทการป้องกันแบบบริสุทธิ์ แต่มณียุทธ์ของเขาเป็นประเภทเพิ่มความอึดและมณีธาตุของเขาเป็นธาตุดิน อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเขามีความแข็งแกร่งผิดธรรมชาติไปบ้าง ดูแล้วเหนือกว่าคนปกติมากเกินไปเสียหน่อย ไม่ต้องคิดให้มากความ โจวเหว่ยชิงก็สัมผัสถึงน้ำหนักอันน่าสะพรึงกลัวของโล่หอคอยชิ้นนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าเมื่ออยู่ในมือของหลินเทียนอ้าว มันกลับดูเหมือนสิ่งของไร้น้ำหนัก จากสิ่งนี้ย่อมเห็นได้ว่าหลินเทียนอ้าวนั้นแข็งแกร่งเพียงใด แม้ว่ามณียุทธ์ของเขาจะไม่ได้เป็นประเภทเพิ่มความแข็งแกร่งก็ตาม

ไม่น่าแปลกอีกฝ่ายมั่นใจในการต่อสู้และการเดิมพันครั้งนี้มาก เขามีความสามารถและมีสิทธิ์คิดเช่นนั้นได้แน่นอน! ด้วยพลังป้องกันเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะต่อสู้กับจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะอย่างหมิงอู๋ เขาก็จะสามารถป้องกันตัวเองได้หลายครั้ง

ขณะที่หยุนหลี่กำลังหอบหนัก เขาก็มองไปที่โจวเหว่ยชิงราวกับจะพูดว่าตนทำดีที่สุดแล้ว ส่วนตอนนี้จะเอาอย่างไรดี?

เมื่อมองไปยังก้านธูปที่กำลังเผาไหม้ โจวเหว่ยชิงก็เห็นว่ามันเพิ่งจะมอดลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยังมีเวลาอีกมาก หลินเทียนอ้าวก็ไม่ได้เร่งรีบเช่นกัน เพราะอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกพอสมควร เนื่องจากในสายตาของเขา หยุนลี่ดูจะเป็นภัยคุกคามมากกว่าโจวเหว่ยชิง เขาจึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่หยุนลี่จะกู้คืนพลังปรานสวรรค์ที่ถูกใช้ไปทั้งหมดคืนมาในระยะเวลาสั้นๆ

โจวเหว่ยชิงอุทานด้วยสีหน้ายกย่องแกมอิจฉา “พี่หลิน ข้าอิจฉาโล่ของท่านมาก! อ่า ในอดีตข้าก็อยากจะหลอมรวมโล่เป็นศาสตรามณียุทธ์ชิ้นแรกของข้าเช่นกัน อนิจจาภรรยาของข้ากลับไม่ยอมให้ข้าทำเช่นนั้น โล่นั้นดีมากทีเดียว เมื่อมีโล่นั้น ใครจะยังต้องการชุดเกราะอีก! หากใช้อย่างเหมาะสมย่อมสามารถป้องกันการโจมตีได้ทุกประเภท ในความเป็นจริงยังสามารถใช้เป็นอาวุธได้อีกเช่นกัน อืม…พี่หลิน ให้ข้าเดานะ เป็นไปได้ไหมว่ามณียุทธ์ดวงสุดท้ายของท่านก็เป็นส่วนหนึ่งของชุดประสานศาสตรามณียุทธ์นี้ด้วย”

ขณะพูดอย่างนั้น เขาก็เดินไปตรงหน้าของหลินเทียนอ้าวทันที

หลินเทียนอ้าวยกยิ้มอย่างเฉยเมยและกล่าวว่า “น้องชายผู้นี้มีสายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก ใช่แล้ว ความสามารถทั้งหมดของข้ารวมกันอยู่ที่โล่ ก็อย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ มันสามารถเป็นได้ทั้งอาวุธโจมตีและอาวุธป้องกัน เอาล่ะ พวกท่านทดสอบมามากพอแล้ว ทำไมไม่ลองโจมตีพร้อมกันดูล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะเต็มเสียงและพูดว่า “พี่ชายหลิน ทำไมท่านไม่ให้ข้าลองทดสอบความแข็งแกร่งของท่านดูก่อนล่ะ?” ในขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็ปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมาทันที ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเผยประกายแวววาวขณะที่มือทั้งสองข้างผลักเข้าที่โล่ของหลินเทียนอ้าว กล้ามเนื้อของเขาขยายใหญ่ขึ้นทันทีเมื่อต้องรองรับแรงปะทะที่ทรงพลังอย่างกะทันหัน

………………………………

“เอ๊ะ?” ทันทีที่โจวเหว่ยชิงใช้แรงกดลงไปที่โล่ หลินเทียนอ้าวก็ต้องประหลาดใจทันที แต่เดิมเขาดูถูกหนุ่มน้อยผู้นี้เพราะอีกฝ่ายมีมณีเพียง 3 ชุด อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งอันบริสุทธิ์ของโจวเหว่ยชิงก็ทำให้เขาประหลาดใจมาก ไม่นานก็ตกอยู่ในความเครียดขึ้งทันที มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ว่าน้ำหนักที่แท้จริงของโล่หอคอย ชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ 4 ชิ้นนี้…ทั้งหมดหนักเกือบ 6,000 จิน! จ้าวมณีสวรรค์ธรรมดาๆ ที่มีมณี 3 ชุด แม้แต่คนที่มีมณียุทธ์เพิ่มความแข็ง แกร่งก็ไม่อาจสั่นคลอนมันได้ แต่ถึงกระนั้น แรงผลักของโจวเหว่ยชิงกลับทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างเห็นได้ชัด ราวกับกำลังพบเจอคลื่นลมรุนแรงในทะเลปั่นป่วน

“ดี ดีมาก หนุ่มน้อย ความแข็งแกร่งของเจ้าช่างน่าประทับใจ” หลินเทียนอ้าวยิ้มจางๆ ลดมือลงเล็กน้อย โจวเหว่ยชิงสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าโล่ที่อยู่ตรงหน้าเขาตั้งอยู่อย่างมั่นคงมาก เหมือนกับร่างของหลินเทียนอ้าว หนักแน่นไม่ไหวเอนราวกับขุนเขาที่ตั้งตระหง่าน ทันใดนั้นเขาก็ถอนกำลังและแรงกดบนโล่ก็หายไปทันที

หลินเทียนอ้าวยืนอยู่ที่เดิมด้วยรอยยิ้มไม่รู้สึกรู้สา ราวกับมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าตนสามารถรับมือกับทุกอย่างที่โจวเหว่ยชิงควักออกมาโยนใส่ได้แน่นอน

ทันใดนั้นแสงเย็นยะเยือกและแววตาอำมหิตก็พลันฉายชัดในดวงตาของโจวเหว่ยชิง ขาขวาของเขาสะบัดออกมาทันทีราวกับฟาดแส้

*เคร้งงง* เสียงสะท้อนขนาดใหญ่ดังเสียดหูขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้ทั้งหยุนหลี่และชายชุดแดงถึงกับผงะตกใจ ทั้งคู่ไม่คาดคิดว่าลูกเตะกะทันหันของโจวเหว่ยชิงจะฟาดใส่โล่ด้วยพลังรุนแรงเช่นนี้ ราวกับเท้าข้างนั้นคือค้อนขนาดมหึมา กระทั่งสามารถทำให้เกิดเสียงน่ากลัวเช่นนี้ออกมาได้

คนที่ตะลึงที่สุดคือหลินเทียนอ้าวเอง ก่อนหน้านี้เมื่อเผชิญหน้ากับพลังโจมตีเต็มรูปแบบของหยุนลี่ เขาไม่ได้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย แต่คราวนี้เพียงแค่ลูกเตะง่ายๆ ของโจวเหว่ยชิง เขาถึงกับต้องซวนเซไปเล็กน้อย โล่หอคอยถึงกับหล่นกระแทกพื้นจนเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นมา

พื้นที่เขายืนอยู่ราวกับกำลังคร่ำครวญอยู่ข้างใต้ พื้นสนามประลองทำมาจากโลหะผสมไทเทเนียม แต่ด้วยแรงกระแทกและน้ำหนักโล่ของหลินเทียนอ้าว พื้นข้างใต้กลับปริแตกออกเป็นช่องยาว 1 ฉื่อ เพียงแค่นั้นก็สามารถจินตนาการได้ว่าลูกเตะของโจวเหว่ยชิงนั้นทรงพลังเพียงใด

อันที่จริงโจวเหว่ยชิงได้ปลดปล่อยพลังระเบิดทำลายล้างของขาขวาปีศาจออกมาอย่างเต็มรูปแบบด้วย พลังโจมตีระยะสั้นของมันมีผลเทียบเท่ากับพลังของค้อนคู่ในตำนานของเขาด้วยซ้ำ! การโจมตีกะทันหันของโจวเหว่ยชิงเป็นการโจมตีที่ซุกซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้  เขาได้ผสมพลังปราณสวรรค์จำนวนมหาศาลเข้าไปพร้อมกับลูกเตะนั้นด้วย สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างดูน่าประหลาดใจยิ่งขึ้นคือแม้แต่โล่และพลังป้องกันที่บ้าคลั่งของหลินเทียนอ้าวก็เกือบจะถูกดีดสะท้อนกลับไปด้วยการโจมตีโดยตรงเพียงครั้งเดียวของเขา

เมื่อไม่กี่ปีก่อน หลังจากโจวเหว่ยชิงกลืนไข่มุกรัตติกาลเข้าไป อาจกล่าวได้ว่านั่นเป็นแก่นพลังของอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม อสูรสวรรค์ตนนั้นไม่ได้อยู่ในจักรวาลแห่งนี้ มันมาจากจักรวาลที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง มันถูกโจมตีโดยศัตรูที่ทรงพลังซึ่งไม่สามารถเอาชนะได้ ในช่วงสุดท้ายมันจึงฉีกมิติเปิดช่องว่างและหลบหนีไปพร้อมกับแก่นพลังของมัน ทว่าน่าเสียดายที่มันกลับถูกโจวเหว่ยชิงกลืนกินและให้ประโยชน์กับเขาแทน ร่างกายของอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังตนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่ง มันจึงทรงพลังเป็นอย่างมาก ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างก็คือหางของมัน และขาขวาปีศาจของโจวเหว่ยชิงก็ได้สืบทอดพลังของหางนั้นมาอย่างแท้จริง

ร่างกายทุกส่วนของโจวเหว่ยชิงถูกบ่มเพาะขึ้นมาจากไข่มุกสีรัตติกาลจนเต็มไปด้วยพละกำลังและแรงกายที่แข็งแกร่ง แต่ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้ขณะอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่างเท่านั้น ทว่าข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือขาขวาปีศาจของเขา เมื่อโจวเหว่ยชิงเติบโตขึ้น พลังการโจมตีของมันจึงทวีความน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

แรงปะทะที่รุนแรงทำให้ร่างของโจวเหว่ยชิงหมุนคว้าง แต่ขาขวาของเขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ ทั้งยังสามารถฟาดออกไปอีกครั้งได้ในทันทีอีกด้วย

อาจกล่าวได้ว่าหลินเทียนอ้าวเป็นคนแรกรับการโจมตีเต็มรูปแบบของขาขวาปีศาจแล้วยังคงไม่ได้รับความเสียหายใดๆ มีกระสอบทรายที่ดีเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงจะไม่อยากทดลองใช้ขาขวาอย่างเต็มกำลังได้อย่างไร?

ขณะนี้หยุนลี่กำลังจ้องมองไปที่ฉากตรงหน้าราวกับคนโง่ แม้ว่าคุณสมบัติของเขาจะไม่ใช่ความแข็งแกร่ง แต่เขาก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าลูกเตะง่ายๆ ของโจวเหว่ยชิงจะสามารถบรรลุในสิ่งที่เขาไม่อาจทำได้ แม้ว่าเขาจะทุ่มเต็มกำลังแล้วก็ตาม เด็กเจ้าเล่ห์คนนั้นยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่!?

ในทางกลับกัน หลินเทียนอ้าวกลับตกใจยิ่งกว่าหยุนลี่ เขารู้ได้ทันทีว่าตนประเมินโจวเหว่ยชิงต่ำเกินไปมากจึงไม่ได้ใช้พลังถือโล่อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เขายังโชคดีที่พื้นซึ่งยึดโล่เอาไว้ทำจากโลหะผสมไทเทเนียม ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น บางทีเขาอาจจะถูกผลักจนกระเด็นออกไปพร้อมกับโล่ของเขาและแพ้การเดิมพันไปแล้ว

แม้จะประหลาดใจ เขาก็ต้องรีบหันกลับไปจดจ่อกับการต่อสู้ตรงหน้าทันที แสงสีเหลืองเจิดจ้าพวยพุ่งออกมาอีกครั้งที่มือขวาของเขา หยกเหลืองดวงที่ 5 โผล่ขึ้นมาหลอมรวมเข้ากับโล่อีกครั้ง เมื่อโล่กลายเป็นชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้น น้ำหนักที่มากขึ้นก็ทำให้มันจมลึกลงไปในพื้นข้างใต้ ในเวลาเดียวกัน มณีธาตุทั้ง 5 ดวงของเขาก็ฝังตัวเองลงในหลุมบรรจุมณีบนโล่เรียบร้อยแล้ว

แรงปะทะที่กะทันหันเช่นนี้ทำให้หลินเทียนอ้าวต้องหมุนไปอยู่ในท่าที่ไม่สบายตัวนัก ตอนนี้เขาจึงจะไม่ยอมทำผิดพลาดซ้ำอีก อย่างไรการเดิมพันครั้งนี้คืออิสรภาพตลอดชีวิตของเขา! ตอนนี้ธูปได้เผาไหม้ไปแล้วกว่า 1 ใน 5 ส่วน เขาคิดอย่างแน่วแน่ว่าจะใช้กำลังทั้งหมดเพื่อปกป้องตัวเองจากทั้งคนทั้ง 2 ให้ได้ เขาไม่อาจแพ้ได้เช่นกัน!

เสียงของหนักๆ กระทบกันดังก้องขึ้นอีกครั้งเมื่อลูกเตะที่ 2 ของโจวเหว่ยชิงกระแทกเข้าใส่โล่ อนิจจา คราวนี้เขาถูกโยนกลับไปอีกฝั่งเช่นเดียวกับหยุนลี่ แม้ว่าเขาจะสามารถต้านแรงปะทะได้ได้ดีกว่า แต่ก็ยังต้องหมุนคว้างกลางอากาศไปหลายครั้งก่อนจะกลับมายืนได้อย่างมั่นคง

“ให้ตาย!” เมื่อมองไปยังโล่ใหม่ในมือของหลินเทียนอ้าว โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งในใจ น่าอิจฉาเกินไปแล้ว! เขาหันศีรษะไปมองไปที่หยุนลี่ก่อนจะพบว่าสีหน้าของหยุนหลี่ดูน่าเกลียดมากเช่นกัน

ชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้นเช่นนั้นต้องถูกสร้างขึ้นโดยอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะเป็นอย่างน้อย ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะก็ยังต้องทุ่มเทใช้สมาธิทั้งหมดไปกับมันอย่างน้อย 5 ปี นั่นยังไม่รวมถึงวัตถุดิบล้ำค่ามากมายที่ต้องใช้เพื่อสร้างชุดประสานดังกล่าวขึ้นมาอีกด้วย

โล่ที่หนักเป็นพิเศษในมือของหลินเทียนอ้าวมีความกว้างประมาณ 2 เมตรและสูง 2.2 เมตร มันกำลังส่องประกายแสงสีเหลืองสดใส มีลวดลายแปลกๆสลักอยู่บนตัวโล่คล้ายลวดลายบนกระดองเต่า ตอนนี้หลุมบรรจุมณีทั้ง 5 ได้บรรจุมณีเอาไว้จนเต็มครบทุกช่อง เว้นระยะห่างเท่าๆ กันบริเวณรอบๆ โล่ ทักษะทั้งหมดของเขาย่อมเป็นทักษะป้องกันที่จงใจกักเก็บมาเพื่อใช้ร่วมกับโล่นี้อย่างไม่ต้องสงสัย พลังป้องกันเช่นนี้น่าอิจฉาเกินไป โจวเหว่ยชิงไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงอย่างหมิงอู๋จะสามารถทำลายโล่นี้ได้หรือไม่

สิ่งนี้ไม่ใช่แค่โล่เพียงอย่างเดียว แม้แต่หลินเทียนอ้าวเองก็เปล่งแสงออกมาคล้ายกับโล่ ราวกับว่าเขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับโล่ของตน นี่ย่อมต้องเป็นสถานะที่แข็งแกร่งที่สุดของหลินเทียนอ้าวแน่นอน เพราะแม้แต่พลังขั้นสูงสุดของขาขวาปีศาจก็ยังต้องกระเด็นออกมา

ตอนนี้หยุนลี่ฟื้นคืนพลังมาได้เล็กน้อยแล้ว เขาจึงเดินไปหาโจวเหว่ยชิงพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ตอนนี้จะทำอย่างไร? อย่าบอกนะว่าวันนี้ข้าจะแพ้พนันเป็นครั้งที่สอง?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “ยังมีเวลาอีกมาก ไม่ต้องกังวลไป” ในขณะเดียวกันสมองของเขาก็ทำงานอย่างหนัก พยายามหาหนทางที่เป็นไปได้ทั้งหมด สาเหตุที่เขาใจเย็นไม่ใช่เพราะนิสัยของเขาเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะสัญญาที่เทียนเอ๋อร์มีต่อเขาด้วย อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับพลังป้องกันที่ทรงอานุภาพเช่นนี้ ทั้งเขาและหยุนหลี่ต่างก็ต้องปวดหัวกับการพยายามทำลายมันอยู่แล้ว

หลินเทียนอ้าวมีความสุขที่ได้ยืนรอขณะที่อีกฝ่ายยังไม่ได้ลงมือ เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เพื่อเตรียมตัว เวลาหนึ่งก้านธูปไม่ถือว่านาน แต่ก็ไม่ถือว่าสั้นเช่นกัน

“โล่ของเขาป้องกันได้เพียงด้านเดียว เรามาเริ่มการโจมตีจากด้านหน้าและด้านหลังพร้อมกันเถอะ” ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม

ดวงตาของหยุนลี่พลันสว่างวาบขึ้นเช่นกัน เขาพยักหน้าเห็นด้วย ในขณะที่กำลังจะหันไปลงมือ เขาก็ได้ยินเสียงโจวเหว่ยชิงพูดอยู่ในหูของเขาเงียบๆ “เจ้าเริ่มการโจมตีก่อน ทำให้ดูรุนแรงมากที่สุดแต่อย่าใช้พลังปรานสวรรค์มากเกินไป เมื่อข้าให้สัญญาณด้วยเสียงตะโกน เราทั้งคู่จะลงมือพร้อมกัน เมื่อถึงเวลานั้น ข้าต้องการให้เจ้าใช้การโจมตีเต็มรูปแบบอีกครั้งเหมือนรอบก่อน เป้าหมายของเจ้าคือขาซ้ายของเขา”

หยุนลี่พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อบอกว่าเข้าใจ ไม่นานเขาก็เดินอ้อมไปด้านหลังหลินเทียนอ้าวอย่างรวดเร็ว ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มน้อยๆ และพูดออกมาว่า “เจ้าควรทำแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วนะ เอาสิ เข้ามาได้เลย!”

ท่าทางผ่อนคลายและมั่นอกมั่นใจของเขาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อโจวเหว่ยชิงมากนัก โจวเหว่ยชิงยกมือซ้ายขึ้นมา จากนั้นธนูราชันย์ก็ปรากฏขึ้นในมือท่ามกลางหมอกน้ำแข็งหนาทึบ

เพื่อให้มั่นใจว่าตนจะได้รับชัยชนะในครั้งนี้ โจวเหว่ยชิงรู้ดีว่าเขาจำเป็นต้องนำอาวุธทุกชิ้นในคลังออกมา อย่างไรทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็คือการยิงธนู ความจริงแล้วทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของโจวเหว่ยชิงนั้นยังขาดประสิทธิภาพอยู่มากเมื่อเทียบกับทักษะการยิงธนูของเขา มีเพียงความจริงที่ว่าเขามีจำนวนทักษะมากกว่าจ้าวมณีสวรรค์ทั่วไปมากและทักษะหลายชนิดมีระดับดาวค่อนข้างสูง นั่นทำให้เขาสามารถกระโดดเข้าร่วมในการต่อสู้ระยะประชิดได้บ้างในบางครั้ง อย่างไรเขาก็เคยใช้เวลา 2 ปีไปกับการเรียนรู้ฝึกฝนกับสมาชิกในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ซึ่งมีความสามารถที่หลากหลายมาก ดังนั้นการฝึกฝน 2 ปีที่นั่นจึงช่วยหล่อหลอมให้เขากลายเป็นนักธนูที่ทรงพลังเช่นกัน

ธนูราชันย์ในมือโจวเหว่ยชิงเข้าสู่สภาวะแปลกประหลาด แม้แต่หลินเทียนอ้าวที่อยู่อีกด้านก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของโจวเหว่ยชิง

เช่นเดียวกับที่หลินเทียนอ้าวกลายเป็นหนึ่งเดียวกับโล่ของเขา โจวเหว่ยชิงในปัจจุบันก็ให้ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับคันธนูของเขา ธนูราชันย์ขนาดใหญ่นั้นดูราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมือ ราวกับดวงตาของแขน ในขณะที่แววตาของเขาเปลี่ยนไปเป็นคมกริบและแน่วแน่

ลูกศรแหวกอากาศออกไปทันที ดูเหมือนว่าสายธนูจะสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อย ในชั่วพริบตาถัดมาเสียงระเบิดครั้งใหญ่ก็ดังขึ้นเมื่อลูกศรกระทบเข้ากับโล่ของหลินเทียนอ้าว เกือบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ได้ยินเสียงลูกศรแหวกอากาศออกไปด้วยซ้ำ

ระ เร็วมาก! หลินเทียนอ้าวรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง แม้ว่าแรงระเบิดของธนูราชันย์จะยังไม่สามารถเขย่าโล่ของเขาให้ขยับได้ แต่เขาก็มองไม่ทันด้วยซ้ำว่าโจวเหว่ยชิงง้างธนูและปล่อยลูกศรเมื่อใด คนๆ นี้เป็นนักธนูอย่างนั้นหรือ? ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ หลินเทียนอ้าวก็รู้สึกถึงลางร้าย เป็นอีกครั้งที่เขาพลันตระหนักได้ว่าตนประเมินเด็กน้อยผู้มีมณี 3 ดวงคนนี้ต่ำเกินไป

สนามประลองใต้ดินแห่งนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างเพียง 30 หลา นับว่ามีขนาดใหญ่มากสำหรับการต่อสู้ระยะประชิด แต่ก็นับว่าเป็นระยะทางที่สั้นมากสำหรับนักธนู โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธนูที่มีระยะโจมตีและพลังมหาศาลเช่นธนูราชันย์ อย่างไรก็ตาม หากเป็นการต่อสู้ธรรมดา ระยะทางสั้นๆเช่นนี้อาจเป็นอันตรายต่อนักธนูได้เนื่องจากคู่ต่อสู้จะสามารถเข้าถึงตัวเขาได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่ระหว่างการเดิมพันและหลินเทียนอ้าวก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนไหว อีกทั้งยังยอมให้โจวเหว่ยชิงและหยุนลี่โจมตีได้ตามที่พวกเขาพอใจในขณะที่ตนยืนอยู่กลางห้อง แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะยืนอยู่บริเวณริมห้อง ห่างจากเขาเพียงไม่กี่สิบหลา แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ ภายใต้ระยะดังกล่าว แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงก็ไม่สามารถหลบหลีกลูกศรดังกล่าวได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยิงด้วยธนูราชันย์ ระยะประมาณ 12 หลายังช่วยให้ลูกศรสามารถพุ่งทะยานออกไปได้มากพอจะเร่งความเร็วได้ดี อย่างน้อยก็มากถึง 8 ใน 10 ของพลังทั้งหมด นอกจากนี้ธนูราชันย์ของโจวเหว่ยชิงยังมีหลุมบรรจุมณีถึง 2 ช่อง ไม่ว่าโล่นั้นจะทรงพลังแค่ไหน มันก็ไม่ใช่ชุดเกราะอยู่ดี ดังนั้นมันจึงไม่สามารถป้องกันร่างกายของเขาได้ทุกส่วน หลังจากได้สัมผัสกับลูกเตะที่ทรงพลังของโจวเหว่ยชิงก่อนหน้านี้ หลินเทียนอ้าวก็ไม่กล้าดูถูกเขาอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครในห้องสังเกตเห็นแสงสีดำสลัวซึ่งเล็ดลอดออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของโจวเหว่ยชิง มันคือทักษะสัมผัสมืด แต่ครั้งนี้มันไม่ได้ถูกใช้เพื่อผูกมัดเหยื่อ แต่ใช้เพื่อปรับปรุงประสาทสัมผัสของเขาต่างหาก

…………………………

โจวเหว่ยชิงมองไปที่หลินเทียนอ้าวและยิ้มน้อยๆ ก่อนจะวางมือบนไหล่ของหยุนลี่และพูดด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอโทษด้วย พวกเราขอปฏิเสธการเดิมพัน”

หลินเทียนอ้าวชะงักก่อนจะพูดว่า “ปฏิเสธ? ทำไมกัน? เงื่อนไขของข้าไม่ดีพอหรือ? เมื่อพวกท่านโจมตีใส่ข้า ข้าก็จะไม่ตอบโต้อันใดเลยนะ”

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและพูดว่า “พี่หลิน เป็นเพราะท่านมองไม่ออก หรือเพราะท่านอาจคิดจะปฏิบัติต่อพวกเราเหมือนพวกคนโง่เขลา ท่านเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทการป้องกันขั้นสุดยอด…ดังนั้นท่านจะมีพลังโจมตีมากแค่ไหนกันเชียว? แน่นอนว่าท่านสามารถเอ่ยปากได้ว่าท่านจะไม่ตอบโต้การโจมตีของพวกเราเพราะพลังมากกว่า 9 ใน 10 ส่วนของท่านนำไปใช้กับการป้องกันหมดแล้ว ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วท่านสามารถแสร้งทำเป็นคนใจกว้างในเรื่องนั้นได้ ระดับพลังปราณของเราต่ำกว่าท่านและท่านก็ยังเป็นประเภทการป้องกันขั้นสุดยอดอีกด้วย ถ้าพวกเราไม่สามารถทำให้ท่านขยับได้ เราจะต้องตกเป็นทาสของท่านไปตลอดชีวิต การเดิมพันเช่นนี้ข้าไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะได้ หยุนลี่ กลับไปที่ร้านกันเถอะ ข้ายังมีของที่ต้องซื้ออีก”

ไม่ว่าจะเป็นหลินเทียนอ้าวหรือหยุนลี่ ไม่มีใครคาดคิดว่าโจวเหว่ยชิงจะปฏิเสธการเดิมพันอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้ แม้แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และฉินเฟิงก็ยังมึนงงไปเล็กน้อย เพราะอย่างไรก่อนหน้านี้ขณะโจวเหว่ยชิงได้วางเดิมพันกับหยุนลี่ก็ไม่มีใครคิดว่าเขาจะชนะเช่นกัน แต่โจวเหว่ยชิงกลับยืนยันที่จะทำเช่นนั้น ทว่าในตอนนี้ มีการวางเดิมพันที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้มากกว่า เขากลับหลีกเลี่ยงไม่ยอมต่อสู้? เวลานี้จึงไม่มีใครเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ในทางกลับกัน สายตาที่โจวชางซีใช้มองโจวเหว่ยชิงกลับเปลี่ยนไปทันที เขาพยักหน้าให้กับตัวเองพลางคิดว่า ช่างเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดหลักแหลมเสียจริงๆ บางทีการเดิมพันระหว่างเขากับหยุนหลี่อาจไม่ได้ลงเอยด้วยการเสมอกันก็เป็นได้

เมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงกำลังจะพาหยุนลี่ออกไป หลินเทียนอ้าวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนรน “เดี๋ยวก่อน เช่นนั้นท่านต้องการวางเงื่อนไขอย่างไรในการเดิมพันกับข้า?”

โจวเหว่ยชิงเปิดปากหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่เขากำลังจะตอบว่า ‘ข้าไม่เดิมพันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม’ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นแทรกในความคิดอย่างกะทันหัน ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านด้วยความตกใจจนเผลอกลืนคำพูดที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นเข้าไปทันที

“เดิมพันกับเขา ข้าจะช่วยเจ้าอย่างลับๆ เจ้าต้องชนะแน่นอน คนๆนี้จะเป็นประโยชน์กับเจ้ามาก ข้าคือเทียนเอ๋อร์” เสียงนั้นดังออกมาจากหูของโจวเหว่ยชิง เขาไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่เขาสามารถบอกได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือหญิงสาวลึกลับในชุดขาว ‘เทียนเอ๋อร์’ ผู้ที่ช่วยเหลือเขาจากหมิงอู๋เมื่อวันก่อนแน่นอน

อาจบอกได้ว่าความทรงจำของโจวเหว่ยชิงเกี่ยวกับเทียนเอ๋อร์คนนี้ค่อนข้างเลือนลางมาก เกือบจะเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นภาพลวงตาในจินตนาการของเขาเอง ในที่สุดเขาก็สามารถยืนยันการมีอยู่ของเธอได้เสียที

“อืม…เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะเดิมพันในครั้งนี้…” โจวเหว่ยชิงไม่มีความคิดอะไรอยู่ในสมองเลยเพราะเพิ่งได้รับคำสั่งของเทียนเอ๋อร์เมื่อสักครู่นี้เอง อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนที่ขบคิดได้รวดเร็วอยู่เสมอ ขณะชะงักไปชั่วขณะ ความคิดหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมาในใจทันที “เงื่อนไขของข้าคือท่านต้องใช้เพียงมือเดียวในการต่อสู้กับพวกเรา นอกจากนี้เราทั้งสองคนสามารถโจมตีท่านได้ในเวลาเดียวกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง ไม่ใช่แค่ฉินเฟิงและหยุนลี่ แม้แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยังรู้สึกว่าเขาขอมากเกินไป แม้ว่าหลินเทียนอ้าวคนนี้จะมีจำนวนมณีมากกว่าฉินเฟิง 1 ชุด แต่ทั้งคู่ก็จะต่อสู้กับเขาแบบ 2 ต่อ 1 โดยที่เขาไม่แม้แต่จะตอบโต้อยู่แล้ว ทว่าถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องการให้อีกฝ่ายใช้เพียงมือเดียว?

อย่างไรหลินเทียนอ้าวก็เดิมพันกับพวกเขาว่าเท้าของเขาจะไม่ขยับไปจากพื้น กล่าวคือในการต่อสู้เขาจะไม่สามารถใช้เท้าเป็นอาวุธได้ด้วยซ้ำ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การใช้มือเดียวต่อสู้นั้นแทบจะไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย

หยุนหลี่หลับตาลงและสูดหายใจเฮือกใหญ่ ทำไมข้าถึงพ่ายแพ้ให้กับบุคคนไร้ยางอายเช่นนี้! ชื่อเสียงดีงามของข้าพังพินาศไปหมดแล้ว!

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ด้านหลินเทียนอ้าวที่ได้ยินคำขอของโจวเหว่ยชิงก็ครุ่นคิดเพียงชั่วขณะก่อนจะพยักหน้าตกลง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เอาล่ะ ข้าตอบรับคำขอของท่าน”

“เอ๊ะ?” โจวฉางซีร้องออกมา ทุกคนจับจ้องไปที่หลินเทียนอ้าวด้วยความตกใจ แม้แต่โจวเหว่ยชิงเองก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะยอมรับเงื่อนไขของตน ความคิดเดิมของเขาคือถ้าหลินเทียนอ้าวผู้นี้ไม่เห็นด้วย เขาก็จะใช้เงื่อนไขเดิม เพราะถึงอย่างไรการที่เทียนเอ๋อร์ออกปากจะช่วยเขาอย่างลับๆ ก็ทำให้เขาก็มั่นใจในชัยชนะของตนเองอยู่แล้ว สาวงามเทียนเอ๋อร์นั้นมาจากภูเขาเทพหิมะและมีไพฑูรย์ตาแมวสองสีถึง 6 ชุด สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังเช่นนี้ ไม่ว่าหลินเทียนอ้าวจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ไม่น่าจะต่อกรกับเธอได้ เห็นได้ชัดจากการที่เธอถึงกับทำให้หมิงอู๋หวาดกลัวจนยอมแพ้ไป! อย่างไรก็ตาม หลินเทียนอ้าวกลับทำให้เขาประหลาดใจด้วยการตอบตกลงเงื่อนไขของเขา

เมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา หยุนลี่เพิ่งก่นด่าว่าโจวเหว่ยชิงนั้นไร้ยางอายเพียงใด ทว่าตอนนี้หัวใจของเขากลับเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว อย่างไรเขายังเป็นคนฉลาดเฉลียวอยู่บ้าง เมื่อเห็นหลินเทียนอ้าวตอบรับเงื่อนไขที่อุกอาจของโจวเหว่ยชิง เขาก็สงบลงทันที หยุนหลี่ตระหนักว่าบางทีจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลางผู้นี้ไม่ได้อาจไม่ใช่หมูในอวยที่เคี้ยวได้ง่ายๆ อย่างที่ตนคิด

“ไปที่สนามประลองใต้ดินกันเถอะ เมื่ออยู่ที่นั่นก็จะไม่มีใครสามารถกลับคำพูดได้แล้ว เพราะหากหลังการประลองสิ้นสุดและท่านทั้งสองต้องการจะหลบหนี ข้าย่อมไม่อาจไล่ตามทันแน่” หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเฉยเมย

โจวเหว่ยชิงมองไปที่หยุนลี่อย่างสงสัย “สนามประลองใต้ดินนี้คืออะไรหรือ?”

หยุนลี่กล่าวว่า “มีสนามประลองอยู่ใต้ศูนย์การค้าของเรา เป็นสนามที่จ้าวมณีมักจะใช้เพื่อจัดอันดับความสามารถของตนเอง นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่วางเดิมพัน จ้าวมณีหลายคนชอบไปที่นั่นเพื่อดื่มด่ำกับการพนัน สนามประลองใต้ดินแห่งนี้เป็นความลับจากอาณาจักรเฟยหลี่ สิ่งเดียวที่เรามั่นใจได้ก็คือมีกฏเกณฑ์ให้ยึดถืออย่างเคร่งครัด ทั้งสองฝ่ายจะต้องเซ็นสัญญาก่อนเริ่มการต่อสู้ใดๆ สามารถใช้อะไรก็ได้เป็นของเดิมพัน จะเป็นสิ่งของหรือแม้แต่ชีวิตของตนเองก็ได้ ทันทีที่การต่อสู้สิ้นสุดลง สัญญาตามที่ทั้งสองฝ่ายได้เดิมพันกันไว้จะต้องถูกตัดสิน มิฉะนั้นนายท่านเจ้าของสนามประลองจะดำเนินการให้แทนในนามของเจ้า มีข่าวลือว่าครั้งหนึ่งเคยมีจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงเคยพยายามบิดเบือนคำพูดของตนและไม่ให้เกียรติการเดิมพันในครั้งนั้น วันรุ่งขึ้นศพของเขาถูกแขวนไว้ที่ประตูด้านทิศตะวันออก”

“ให้ตายเถอะ ช่างเป็นสถานที่ๆ ดีจริงๆ” ดวงตาของโจวเว่ยชิงมีแสงวาบผ่านขณะกรุ่นคิดกับตัวเองว่า แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงก็ไม่สามารถหลบหนีไปจากที่นั่นได้ แสดงว่าเจ้าของสนามประลองใต้ดินแห่งนั้นทรงพลังเพียงใด อย่างไรก็ตาม หากเป็นเช่นนั้นเทียนเอ๋อร์จะสามารถช่วยเหลือเขาได้หรือ? ถ้าทำไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาแพ้?

เสียงของเทียนเอ๋อร์ดังออกมาอีกครั้งพร้อมกับน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม ราวกับว่าเธอสามารถอ่านใจเขาได้ “ไม่ต้องกังวล ทำตามน้ำไป”

โจวเหว่ยชิงไม่ได้พยายามจะพูดคุยกับเทียนเอ๋อร์ แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่าย นั่นกลับทำให้เขามั่นใจมากขึ้น ด้วยระดับพลังปราณและอำนาจของเธอ หากเธอต้องการให้เขาตายหรือเป็นทาสของตนเอง เธอก็สามารถทำเช่นนั้นได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากช่วยเขาจากหมิงอู๋ ทำไมเธอจะต้องลำบากลำบนช่วยเขาแก้ปัญหามากมายเช่นนี้ด้วย?

“เช่นนั้นได้โปรดนำทางพวกเราไป” โจวเหว่ยชิงตอบหลินเทียนอ้าวอย่างสุภาพ

หลินเทียนอ้าววิ่งนำไปด้านหน้า ส่วนโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ก็ทะยานตามหลังเขาไป ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังคิดจะไล่ตามพวกเขา เธอก็ถูกฉินเฟิงหยุดเอาไว้ก่อน

“สาวน้อย ข้าเกรงว่าเจ้าคงต้องรอพวกเขาที่นี่ กฎของสนามประลองใต้ดินนั้นไม่อนุญาตให้มีผู้ชม มีเพียงผู้ที่อยู่ระหว่างเดิมพันเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปข้างในได้ ด้วยข้อได้เปรียบที่เอื้ออำนวยเช่นนั้น ข้าเชื่อว่าน้องชายโจวและท่านหยุนลี่น่าจะชนะการเดิมพันได้อย่างไร้ปัญหา”

โจวเหว่ยชิงหันกลับมาพยักหน้าให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอจึงหยุดชะงักและเม้มปากใส่เขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ราวกับมีบางอย่างจะพูดกับเขา

ทำไมเจ้าถึงชอบทำให้ข้ากังวลอยู่เรื่อย!

ขณะที่หลินเทียนอ้าวนำพวกเขาทั้ง 2 คนวิ่งลึกเข้าไปยังใจกลางศูนย์การค้า เขาก็วางท่าสงบเยือกเย็นไปตลอดทาง หยุนลี่ขมวดคิ้ว ท้ายที่สุดทั้ง 3 คนก็เดินทางไปด้วยกันอย่างกระอักกระอ่วน

ไม่ช้าหลินเทียนอ้าวก็หยุดอยู่ตรงหน้าอาคารทรงกลมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ไม่ต้องบอกโจวเหว่ยชิงก็รู้ว่าพวกเขามาถึงที่หมายแล้ว อาคารนั้นมีชั้นเดียวและดูเหมือนจะค่อนข้างอึมครึม ยกเว้นอักษรสีแดงสดใสขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ด้านหน้า: สนามประลองใต้ดิน

ประตูนั้นเปิดออกกว้าง ดูราวกับปากสัตว์ร้ายที่อ้าออกเตรียมเขมือบกินคน หลินเทียนอ้าวเคลื่อนไหวนำหน้าโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่เข้าไปข้างในโดยมีคนทั้งคู่ตามไปติดๆ

หลังจากเข้ามาข้างในได้แล้ว โจวเหว่ยชิงก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย บนพื้นใต้ฝ่าเท้าล้วนเป็นสีดำสนิท แต่ผนังและเพดานกลับเป็นสีแดงเลือด บรรยากาศข้างในดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความวังเวงน่าขนลุก หลังจากเพ่งความสนใจไปยังอีกฝั่งเล็กน้อย เขาก็สังเกตเห็นบันไดที่ทอดยาวลงไปข้างล่าง

ที่หน้าบันไดมีโต๊ะสีแดงตั้งอยู่ ชายชราตาเดียวกำลังนั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะตัวนั้น ชายผู้นั้นดูอ่อนแอราวกับคนที่แทบจะสิ้นลมได้ทุกเมื่อ

หลินเทียนอ้าวก้าวไปข้างหน้าชายชราผู้นั้น โค้งคำนับเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “เราต้องการต่อสู้และวางเดิมพัน”

ชายชราพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รู้กฎแล้ว กรุณาชำระเงิน”

หลินเทียนอ้าวไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เขาหยิบบัตรสมาชิกสีฟ้าเหมือนที่โจวเหว่ยชิงมีส่งให้ชายชรา อีกฝ่ายรูดบัตรนั้นกับสิ่งของที่ดูแปลกประหลาดก่อนที่จะคืนบัตรพร้อมกับแผ่นป้ายให้หลินเทียนอ้าว อีกฝ่ายโบกมือให้ทั้ง 2 คนเดินตามเขาเข้าไปข้างใน

หยุนลี่อธิบายกับโจวเหว่ยชิงอย่างรวดเร็ว “ค่าธรรมเนียมคือ 10,000 เหรียญทองสำหรับการใช้สนาม 1 ครั้ง ไม่สามารถต่อรองได้ เนื่องจากระดับพลังที่สูงส่งของเจ้าหน้าที่ในสนามประลองใต้ดินและความมั่นใจที่พวกเขามอบให้ในการวางเดิมพัน ค่าธรรมเนียมจึงไม่ถือว่าสูง”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองเดินตามหลินเทียนอ้าวลงบันไดไปใต้ดิน

ตอนแรกข้างในนั้นมืดสนิท แต่เมื่อพวกเขาเดินต่อไปสักพัก หลังจากผ่านทางโค้ง 2 ครั้งทางเดินก็ค่อยๆ สว่างขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้แต่บนกำแพงที่มีแสงสว่างส่องถึงก็ยังเต็มไปด้วยสีแดงเลือด เมื่อเดินต่อไปอีก ความรู้สึกน่าขนลุกก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากที่พวกเขาลงบันไดมาลึกมากกว่า 30 เมตร ในที่สุดทางเดินก็ปรากฏขึ้น หลินเทียนอ้าวมองไปยังหมายเลขบนแผ่นป้ายโลหะในมือและเดินต่อไปข้างใน เขาเคลื่อนไหวค่อนข้างเร็วและเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่นี่

เห็นได้ชัดว่าตลอดทั้งสองด้านของผนังทางเดินมีประตูบานใหญ่ติดตั้งอยู่ อีกทั้งประตูแต่ละบานก็ยังมีหมายเลขกำกับเอาไว้ ข้างหลังประตูเหล่านั้นน่าจะมีสนามประลองส่วนตัวซ่อนอยู่

หลินเทียนอ้าวหยุดอยู่ตรงหน้าประตูหมายเลข 7 เมื่ออีกฝ่ายผลักเปิดประตู พวกเขาก็ก้าวเข้าไปข้างในด้วยกัน

ตรงกันข้ามกับบริเวณทางเดินที่มีแสงไฟสลัวๆ ด้านนอก ภายในห้องขนาดใหญ่ด้านในมีแสงสว่างเจิดจ้าจนตาพร่า โจวเหว่ยชิงจึงต้องหรี่ตาลงอย่างไม่เต็มใจไปชั่วขณะ

ภายในเป็นห้องทรงกลมขนาดใหญ่ มีชายสวมเสื้อคลุมสีแดงยืนเงียบๆอยู่หลังประตู ใบหน้าของเขาถูกปกปิดด้วยหน้ากากผ้าซึ่งซ่อนรูปโฉมที่แท้จริงของอีกฝ่ายเอาไว้ เมื่อเห็นทั้ง 3 คนเดินเข้ามา ชายคนนั้นก็พูดอย่างเคร่งขรึม “ท่านต้องการทำสัญญาการเดิมพันก่อนเริ่มการต่อสู้หรือไม่?”

…………………………………

เมื่อได้ยินคำพูดขอโจวเหว่ยชิง ฉินเฟิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อย ในสายตาของเขาและคนอื่นๆ การที่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์กลายเป็นผู้ติดตามของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์อีกคนย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

สิ่งเดียวที่อยู่ภายในใจหยุนลี่ตอนนี้คือร่องรอยแห่งความเศร้าเสียใจ ช่างเจ้าเล่ห์นัก! ปลิ้นปล้อนจริงๆ! เฮ้อ…ข้าสงสัยนักว่าอนาคตของข้าจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของเขา…

หลังจากตอบคำถามของฉินเฟิง โจวเหว่ยชิงก็จับมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และเแลกเปลี่ยนสายตาซึ่งกันและกัน  โจวเหว่ยชิงยักคิ้วใส่เธอด้วยท่าทางติดตลก ด้านซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่ปฎิเสธ ยิ้มให้สามีในอนาคตของเธอด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงได้ใช้พลังปรานสวรรค์เพื่อสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นให้เธอฟังแล้ว นี่เป็นการส่งข้อความลับที่พวกเขาฝึกฝนมาจากหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์

ในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง การที่เขาสามารถเอาชนะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงได้ย่อมเป็นสิ่งที่ควรภาคภูมิใจมากมิใช่หรือ? ผู้ชายที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้จึงดึงดูดสายตาของผู้หญิงได้ไม่ยากอยู่แล้ว

เมื่อทั้ง 4 คนเดินลงบันไดไปด้านล่าง ท้องฟ้าข้างนอกก็มืดลงแล้ว อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ภายในศูนย์การค้าก็ได้เปิดไฟให้แสงสว่างเพราะที่นี่มักจะมีผู้คนหนาแน่นในช่วงเวลากลางคืนอยู่แล้ว ตอนนี้บริเวณโดยรอบจึงมีผู้รอชมมากกว่าร้อยคน

เมื่อเห็นทั้ง 4 คนเดินออกมาจากข้างในร้าน ฝูงชนก็เริ่มตั้งคำถามทันที ทุกคนต่างสงสัยเกี่ยวกับผู้ชนะในการประลองครั้งนี้เพราะท้ายที่สุดนั่นจะเป็นตัวกำหนดว่าควรจะติดตามอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนไหนดี!

“พี่ใหญ่ฉิน ท่านสามารถประกาศผลได้เลย” โจวเหว่ยชิงมีความสุขที่ได้แสร้งเป็นคนดีและปล่อยให้ฉินเฟิงรักษาเกียรติของตนเองต่อไปได้ ในเวลาเดียวกันเขากระซิบกับหยุนลี่ว่า “หยุดทำสีหน้าขมขื่นแบบนั้นเถอะ คนอื่นจะเชื่อได้อย่างไรถ้าเจ้ามัวแต่ทำหน้าอย่างนั้น”

หยุนลี่จ้องมองอีกฝ่ายตาเขม็ง ริมฝีปากของเขากำลังจะขยับเพื่อเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดเขาก็สามารถยิ้มออกมาได้

ฉินเฟิงกล่าวเสียงดัง “ ร้านค้าหมายเลข 77 ของเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่อายุน้อยและมีความสามารถทั้ง 2 คนนี้ หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนานได้สิ้นสุดลง ในที่สุดเราก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขามีความสามารถเท่าเทียมกันและทั้งคู่ก็ชื่นชมซึ่งกันและกันมาก การแข่งขันสิ้นสุดลงแล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายคือการเสมอกัน ข้าเชื่อว่าจากการประลองรอบแรก ทุกคนย่อมเห็นแล้วว่าอาจารย์ทั้ง 2 มีความสามารถแค่ไหน หากท่านใดสนใจจะเป็นผู้ติดตามของพวกเขาก็รีบเข้ามาเถิด! โอกาสดีๆ เช่นนี้ย่อมไม่รอคอยใคร!”

ขณะที่จ้าวมณีหลายคนกำลังมีท่าทีสนใจ หยุนหลี่กลับพูดแทรกขึ้นมากะทันหัน “นั่นไม่จำเป็นแล้ว ข้าเหนื่อยล้ากับการแข่งขันในวันนี้มาก นอกจากนี้ หลังจากได้ประลองกับอาจารย์โจว ข้าก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมาย ดังนั้นข้าจึงจะกลับไปทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักสักระยะหนึ่งและจะไม่รับผู้ติดตามในตอนนี้”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “เอาล่ะ นั่นคือทั้งหมดสำหรับวันนี้ เมื่อพวกเราพร้อมที่จะรับผู้ติดตามอีกครั้ง เราจะกลับมาที่นี่เพื่อแจ้งให้ทุกคนทราบ” โลภมากไม่ใช่เรื่องดี อีกทั้งวันนี้เขาก็ค้าขายได้กำไรมามากพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังมีนักเรียนสามัญชนอีกทั้งห้องให้ต้องคอยสนับสนุนค่าใช้จ่ายของพวกเขา วันนี้แค่ได้รับผู้ติดตามเช่นหยุนลี่ โจวเหว่ยชิงก็พึงพอใจมากแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนรับผู้ติดตามเพิ่มอีก หลังได้ประลองกับหยุนลี่ในครั้งนี้ โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้ เมื่อระดับพลังปราณของเขาสูงขึ้นและระดับขั้นในอาชีพอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ของเขาสูงขึ้น เขาจะสามารถดึงดูดผู้ติดตามที่แข็งแกร่งขึ้นได้เองโดยธรรมชาติ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนลงมือ

ด้วยความคิดเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจที่จะไม่ดำเนินการใดๆ ต่อ

เสียงถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยดังออกมาจากฝูงชนโดยรอบ ไม่นานพวกเขาก็เริ่มกระจายตัวหายไปจากบริเวณนั้น แน่นอนว่าเสียงถอนหายใจนั้นจะเกิดจากการที่ศึกครั้งนี้ไม่มีผู้ชนะหรือเพราะทั้ง 2 คนไม่ยอมรับผู้ติดตามอีก จะอย่างไหนก็มีเพียงคนในฝูงชนเท่านั้นที่รู้

“คำนับอาจารย์โจว ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน ข้าชื่อโจวฉางซี พวกเราต้องมีบรรพบุรุษร่วมกันแน่! ข้าเป็นเถ้าแก่ร้านค้าหมายเลข 76” เมื่อเห็นว่าการประลองครั้งนี้จบลงที่ทั้งสองฝ่ายเสมอกัน โจวฉางซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเนื่องจากเขากลัวว่าหยุนลี่อาจเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

โจวเหว่ยชิงยิ้มและกล่าวว่า “ยินดีที่ได้รู้จักเถ้าแก่โจว”

จากนั้นโจวฉางซีก็หันไปหาหยุนลี่และพูดว่า “น้องหยุน ถ้าเจ้าต้องการห้องพักที่เงียบสงบไว้ฟื้นฟูพลังปราณ เจ้าสามารถไปที่ร้านของข้าได้”

หยุนลี่ส่ายหัวและพูดว่า “นั่นไม่จำเป็น ข้ากลายเป็นสหายที่ดีกับเหว่ยชิงแล้ว พวกเราจะไปแลกเปลี่ยนคำแนะนำและฝึกปรือการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ร่วมกัน” เขากลายเป็นผู้ติดตามของโจวเหว่ยชิงไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องไปอยู่กับโจวเหว่ยชิง แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าโจวเหว่ยชิงที่พยายามซุกซ่อนความจริงนั้นดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ต้องการเปิดเผยให้โลกภายนอกรับรู้ว่าเขาพ่ายแพ้เช่นกัน โดยเฉพาะการพ่ายแพ้ให้แก่บุคคลที่มีระดับพลังปราณและระดับขั้นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ต่ำกว่าตัวเองเช่นนี้ นั่นย่อมกลายเป็นความอัปยศอดสูครั้งใหญ่หลวงของเขา

ในความเป็นจริง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ยังคงเป็นไพฑูรย์ตาแมวสองสีที่เปล่งประกายแสงสีแดงกุหลาบออกมา เช่นเดียวกับที่โจวเหว่ยชิงพูดก่อนหน้านี้ พ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่ายย่อมไม่ใช่สิ่งที่น่าละอายใจ นอกจากนี้เขายังดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ตนได้ต่อต้านความคิดชั่วร้ายที่จะกลับคำพูดของตัวเองไว้ได้สำเร็จ อย่างไรเขาก็รู้ดีว่าตนย่อมไม่มีโอกาสเอาชนะจ้าวมณีสวรรค์ที่มีไพฑูรย์ตาแมวสองสีในตำนานแน่นอน

เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนลี่ โจวฉางซีค่อนข้างแปลกใจ ทว่าเขากลับไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะถึงอย่างไร ท้ายที่สุดเขาก็เป็นเพื่อนกับหยุนลี่ ไม่ใช่เจ้านายของเขา

เมื่อเห็นใบหน้าที่มืดมนของหยุนลี่ โจวเหว่ยชิงก็ยกยิ้มขึ้นน้อยๆ ในขณะที่เขากำลังจะบอกฉินเฟิงว่าตนต้องการจะซื้อหาอะไรบ้าง น้ำเสียงที่ค่อนข้างแปลกประหลาดก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

“เป็นไปได้หรือไม่ที่ข้าจะเดิมพันกับอาจารย์ทั้งสอง?” เหตุผลที่คิดว่าน้ำเสียงนั้นแปลกคงเป็นเพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนโลหะที่หนาและแข็ง ก่อนที่จะเห็นคนพูด น้ำเสียงของเขาก็ทำให้ทุกคนประทับใจไปก่อนแล้ว

โจวเหว่ยชิงและหยุนลี่หันไปตามทิศทางของเสียงนั้นก่อนจะพบชายร่างใหญ่อยู่ตรงหน้าพวกเขา

ชายคนนี้สูงยิ่งกว่าโจวเหว่ยชิงที่สูงถึง 1.9 เมตร ไหล่ของเขากว้างมากเสียจนเกินขนาดร่างกายของมนุษย์ โจวเหว่ยชิงถูกชื่นชมว่ามีรูปร่างที่ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับชายคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา โจวเหว่ยชิงกลับดูเหมือนจะบอบ บางกว่าอีกฝ่ายมาก บนไหล่ของเขาแทบจะมองเห็นกล้ามเนื้อปูดขึ้นมา ราวกับว่ามีในนั้นมีลูกโลหะฝังอยู่ข้างใน

เขามีดวงตากลมโตและหน้าผากได้รูป เคราและหนวดที่ยาวปกคลุมใบหน้านั้นช่วยปกปิดอายุที่แท้จริงของอีกฝ่ายเอาไว้ บนศีรษะมีเส้นผมสีแดงสั้นปกคลุมอยู่ ทั้งหมดรวมกันทำให้ชายผู้นี้ดูดุดันน่ากลัว อย่างไรก็ตาม เขามีดวงตาสีฟ้าเข้มที่ดูสงบนิ่งเหมือนสายน้ำ แม้จะยืนอยู่ที่นั่น เขาก็ดูเหมือนขุนเขาขนาดย่อมๆ ที่ตั้งตระหง่านไม่เคลื่อนไหว

เมื่อมองไปที่คนๆ นี้ โจวเหว่ยชิง หยุนลี่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และฉินเฟิงต่างก็เผยให้เห็นสีหน้าแววตาสับสน มีเพียงโจวชางซีเท่านั้นที่มีแววตาที่ค่อนข้างประหลาดใจ เขาขมวดคิ้วขณะที่แสงเยียบเย็นผุดวาบขึ้นมาในดวงตา แม้ว่าหลังจากนั้นมันจะหายไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของเขาก็ตาม

“ท่านเป็นใคร?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

ชายผู้ไว้หนวดเครากล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลัง “ข้าชื่อหลินเทียนอ้าว เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลางที่มีทักษะธาตุดินและมณียุทธ์ประเภทป้องกัน ข้าต้องการเดิมพันกับท่านคุณชายทั้ง 2 คน”

ระดับปรมะขั้นกลาง…จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ดวง! จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีประเภทการป้องกันแบบบริสุทธิ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับโจวเหว่ยชิงเนื่องจากหม่าฉุนเองก็มีคุณสมบัตินั้นเช่นกัน แต่ทว่าหม่าฉุนมีมณีเพียงชุดเดียวในขณะที่ชายตรงหน้ามีถึง 5 ชุด พลังของพวกเขาย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

หยุนลี่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่โจวเหว่ยชิงกลับรีบพูดแทรกขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก “ท่านต้องการเดิมพันอะไรกับเรา?”

หลินเทียนอ้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มงวดจริงจัง “ข้าต้องการเดิมพันคล้ายกับที่ท่านทั้ง 2 เคยทำก่อนหน้านี้ ถ้าข้าชนะ ข้าจะให้ท่านทั้ง 2 เป็นผู้ติดตามตลอดชีพของข้า ถ้าท่านชนะ ข้าจะติดตามท่านทั้ง 2 คนไปตลอดชีวิต ด้วยระดับพลังปราณในปัจจุบันของท่านทั้งคู่ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ติดตามที่มีความสามารถเช่นข้า นอกจากนี้ ข้ายังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทขั้นสุดยอด”

จ้าวมณีสวรรค์ประเภท ‘ขั้นสุดยอด’ ที่อีกฝ่ายอ้างถึงคือผู้ที่มีมณียุทธ์และมณีธาตุประเภทที่คล้ายคลึงและส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทำให้จ้าวมณีผู้นั้นได้รับประโยชน์ขั้นสูงสุด ตัวอย่างเช่นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกพิจารณาว่าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความเร็วและความว่องไวขั้นสุดยอด ส่วนหลินเทียนอ้าวคนนี้ย่อมเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทการป้องกันขั้นสุดยอด

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “ข้าเดาว่าท่านต้องการเดิมพันในแง่ของความแข็งแกร่งในการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม เราทั้งคู่ต่างก็เป็นเพียงเจ้ามณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดและจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรก ทำไมเราถึงต้องเดิมพันกับจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลางเช่นท่านด้วย? ท่านไม่คิดว่าการเดิมพันของตนเองเป็นเรื่องตลกเกินไปหน่อยหรือ?”

หลินเทียนอ้าวไม่หวั่นไหวเพราะคำพูดถากถางของโจวเหว่ยชิง ดวงตาของเขายังคงสงบนิ่งและเคร่งขรึม “เนื่องจากนี่เป็นการเดิมพัน ฉะนั้นแน่นอนว่าต้องมีความยุติธรรม ที่ท่านพูดมาก็ถูก ถ้าเป็นเพียงแค่การต่อสู้ธรรมดาๆ นั่นย่อมไม่ยุติธรรมสำหรับพวกท่าน แม้ว่าทั้ง 2 คนจะเข้าต่อสู้กับข้าพร้อมๆ กัน พวกท่านก็ยังไม่อาจล้มข้าลงได้ ทว่ารายละเอียดการเดิมพันของข้ามีดังนี้ ข้าจะยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่โจมตีพวกท่านกลับ ท่านทั้งสองสามารถโจมตีข้าได้ทุกวิถีทางที่ต้องการในเวลาหนึ่งก้านธูป หากพวกท่านสามารถทำให้ข้าขยับเท้าได้ ชัยชนะก็จะตกเป็นของท่านทันที”

ทันทีที่เขาพูดเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาแบบแปลกๆ ส่วนดวงตาของหยุนลี่ก็มีแววขุ่นเคือง แม้แต่ฉินเฟิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มีสีหน้าตกใจ มีเพียงโจวฉางซีเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

สีหน้าประหลาดใจของโจวเหว่ยชิงนั้นมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง แน่นอนว่าหลินเทียนอ้าวผู้นี้ได้มอบเงื่อนไขที่ดีอย่างยิ่งจนยากที่ใครจะปฏิเสธลง

ให้ทั้งสองคนโจมตีอย่างต่อเนื่องตลอดหนึ่งก้านธูปงั้นรึ?…คิดวางเงื่อนไขเดิมพันเช่นนี้ได้ เขาต้องมั่นใจในพลังป้องกันของตนเองมากแค่ไหนกันเชียว! อย่างไรทั้ง 2 คนก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติ ทักษะการโจมตีธาตุมิตินั้นสามารถสร้างความเสียหายให้ฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้มณียุทธ์ของเขาเองก็มีคุณสมบัติเพิ่มความแข็งแกร่ง หากบอกว่าพวกเขาเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ นั่นอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาไม่เชื่อว่าตนกับหยุนลี่จะถึงขั้นทำให้อีกฝ่ายขยับตัวไม่ได้

“เจ้าดูถูกพวกเราเกินไปหรือเปล่า?” หยุนลี่ร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเฉยชา “นี่เป็นเพียงการเดิมพันของข้า ขึ้นอยู่กับท่านทั้งคู่แล้วว่าจะยอมรับหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามในพวกท่านทั้งคู่ หากมีข้าเป็นผู้ติดตาม ในอนาคตเมื่อออกล่าอสูรสวรรค์เพื่อกักเก็บทักษะ ข้าย่อมช่วยเหลือได้มากทีเดียว นอกจากนี้ เมื่อความแข็งแกร่งและระดับพลังปราณของข้าเพิ่มขึ้น การป้องกันของข้าก็จะทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตข้าอาจรับการโจมตีของมังกรก็เป็นได้”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หยุนลี่ก็เกือบจะพยักหน้าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็หยุดตัวเองเอาไว้เพราะสายตาของโจวเหว่ยชิง ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าตนไม่ได้เป็นอิสระอีกต่อไป นั่นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในดวงตาของเขาก็ยังไม่ได้มอดดับไป เขามองไปยังโจวเหว่ยชิงด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นด้วยกับการเดิมพันในครั้งนี้ เพราะถึงอย่างไรเสียหยุนลี่ก็ไม่เชื่อว่าตนจะพ่ายแพ้

………………………………

หลังจากร้องไห้ได้สักพัก ในที่สุดหยุนลี่ก็เงียบเสียงลง ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นโจวเหว่ยชิงนั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม มองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เฮ้อ แพ้ก็คือแพ้ ไปหาที่เหมาะๆ เพื่อประทับตรากันเถอะ” หยุนลี่พูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกก่อนจะเก็บแบบร่างของตัวเองกลับไป

โจวเหว่ยชิงยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “พี่หยุนลี่ ข้ารู้ว่าท่านสับสนและโกรธเคืองอยู่ในใจ บางทีอาจจะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่หลังจากนี้ข้าจะให้โอกาสท่านอีก 2 ครั้งเพื่อหลบหนีชะตากรรมของตนเอง หากท่านสามารถบรรลุบางข้อได้ ข้าจะยกเลิกข้อตกลงของเราและทำลายตราประทับทิ้ง…”

หยุนลี่ชะงักไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวังขณะที่เอ่ยถาม “เจ้าต้องการอะไรอีก? ข้าสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างให้เจ้าไปหมดแล้ว นั่นยังไม่พออีกหรือ?”

โจวเหว่ยชิงยักไหล่และพูดว่า “ก็อย่างที่ท่านว่า หลังจากนี้ อย่างไรท่านก็ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างให้ข้าอยู่แล้ว ดังนั้นท่านจะยังเหลืออะไรเสียอีกเล่า? สิ่งที่ข้าอยากจะบอกก็คือหลังจากประทับตราแล้ว หากท่านสามารถทำให้ระดับพลังปราณของตนเพิ่มขึ้นมากกว่าข้าได้ 12 ระดับ ข้าจะทำลายตราประทับทันที ส่วนอีกทางหนึ่งคือหากท่านสามารถไปถึงระดับเทพเจ้าได้ก่อนข้า ข้าจะทำลายตราประทับเช่นกัน สัญญาเช่นนี้ฟังดูเป็นอย่างไรบ้าง?”

สายตาระแวดระวังของหยุนลี่เปลี่ยนไปเป็นประหลาดใจ เขาเผลอจ้องโจวเหว่ยชิงอยู่ชั่วขณะ “…ทำไม? เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น การเดิมพันของข้ากับเจ้าคือการเป็นผู้ติดตามตลอดชีพของอีกฝ่าย อย่างไรข้าก็ยอมรับการพ่ายแพ้ของตัวเองไปแล้ว ข้าย่อมไม่กลับคำ…”

โจวเหว่ยชิงลุกขึ้นยืนและเดินไปหาหยุนลี่ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีขณะที่เอ่ยว่า “สิ่งที่ข้าต้องการคือผู้ติดตามที่มีความสามารถโดดเด่นและผู้ที่อาจกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าได้ ข้าไม่ต้องการคนที่สูญเสียจิตวิญญาณความมุ่งมั่นไปเพียงเพราะเขาแพ้การเดิมพัน เป็นเศษสวะที่ยอมอ่อนข้อให้กับโชคชะตา ถ้าข้าไม่ให้ความหวังท่านเลย ท่านจะเคี่ยวกรำตนเองอย่างหนักต่อไปได้อย่างไร? แต่ก็อย่าได้คิดว่าเงื่อนไขทั้ง 2 ข้อนี้เป็นเรื่องง่ายเชียวล่ะ”

หยุนลี่รู้สึกมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดว่า “แม้เจ้าจะอายุน้อยกว่าข้ามาก แต่สติปัญญาและวิสัยทัศน์ของเจ้ากลับเหนือกว่าข้านัก ได้ ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า การจะมีระดับพลังปราณเหนือกว่าเจ้าไป 12 ระดับนั้นอาจเหนือบ่ากว่าแรงข้าไปเสียหน่อย แต่ข้าจะทุ่มเทฝึกฝนให้หนักและกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าก่อนหน้าเจ้าให้ได้อย่างแน่นอน! อย่าลืมว่าข้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงแล้ว ตอนนี้ข้าก้าวขานำหน้าเจ้าอยู่หนึ่งก้าว ดังนั้นข้อได้เปรียบจึงตกเป็นของข้า”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “ข้าหวังว่าท่านจะสามารถขึ้นเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าได้โดยเร็วที่สุด ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าท่านจะไม่ใช่ผู้ติดตามของข้าแล้ว แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ข้า โจวเหว่ยชิง ขอสาบานด้วยมณีของข้า ถ้าในอนาคตหยุนลี่กลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าก่อนข้า ข้าก็จะปลดผนึกตราประทับให้เขา ถ้าข้าผิดคำพูดของตัวเอง ขอให้มณีของข้าระเบิดและทำลายล้างตัวเอง…”

อารมณ์ของหยุนลี่ค่อยๆ สงบลง สายตาของเขาแน่วแน่ขึ้น เขาตัดสินใจแล้วว่าจะฝึกฝนอย่างหนักเพื่อไปให้ถึงระดับเทพเจ้าก่อนโจวเหว่ยชิง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อหวนคืนสู่อิสรภาพของตนเอง

โจวเหว่ยชิงยกมือซ้ายขึ้น ยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “เอาล่ะ ข้าได้ให้สัญญากับท่านแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่ท่านจะต้องทำส่วนของตนเองบ้าง ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มประทับตรากันเลย ข้าต้องการความร่วมมือจากท่านอย่างเต็มที่”

“ประทับตรา?” หยุนลี่จ้องไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยความตกตะลึง “เจ้ากำลังบอกว่าสามารถประทับตราข้าได้ด้วยตัวเอง? กำลังบอกว่าตนเองมีทักษะกักเก็บที่ใช้สำหรับประทับตรางั้นหรือ? นั่นเป็นไปไม่ได้! แม้จะมีข่าวลือว่าทักษะธาตุมิติของเรามีทักษะที่สามารถประทับตราได้ แต่นั่นก็หายากมาก นอกจากนี้ทักษะกักเก็บของพวกเราแต่ละคนก็มีความสำคัญมาก นอกเหนือจากทักษะธาตุมืดที่ส่วนใหญ่สามารถประทับตราได้แล้ว ใครจะยอมเสียโอกาสไม่กักเก็บทักษะชนิดอื่นแทนล่ะ?

โจวเหว่ยชิงยิ้มจางๆ พลางโบกมือซ้ายไปข้างหน้าหยุนลี่และพูดอย่างระมัดระวัง “ดูให้ชัดๆ เจ้าไม่ต้องเสียใจไปหรอกที่พ่ายแพ้ให้แก่คนเช่นข้า”

ในขณะที่พูดเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็หมุนเวียนพลังปรานสวรรค์ออกมาทันที แสงสีดำมืดส่องออกมาจากแหวนปกปิดตัวตนที่มือซ้าย เปล่งประกายอยู่เหนือมณีธาตุของเขา ทันใดนั้นพวกมันก็เปลี่ยนกลับสู่ร่างเดิม แม้ว่าจะยังคงเป็นไพฑูรย์ตาแมว แต่ในห้องที่มีแสงสลัวเช่นนี้มณีของเขากลับเปลี่ยนเป็นสีแดงกุหลาบของไพฑูรย์ตาแมวสองสี

“นี่มัน…นี่มันอะไร?”

แสงสีดำส่องสว่างอยู่เหนือมือซ้ายของโจวเหว่ยชิง  นิ้วชี้ของเขากลายเป็นสีดำในขณะที่ปลายนิ้วมีแสงสีแดงเลือดเรืองรองออกมาจากภายใน

“…ไพฑูรย์ตาแมวสองสี?” จู่ๆ หยุนลี่ก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองโจวเหว่ยชิงด้วยความตกใจ

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่แล้ว มาสิ มาให้ข้าประทับตราให้เสร็จสมบูรณ์ นี่คือทักษะ ‘พิธีเลือด ตราประทับธาตุมืด’ ตอนนี้ท่านก็เชื่อได้แล้วว่าถ้าพลังปรานสวรรค์ของท่านเหนือกว่าข้าไป 12 ระดับ ตราประทับนี้ก็จะสลายไปเอง”

หลังจากมาถึงเมืองเฟยหลี่ โจวเหว่ยชิงก็ได้กักเก็บทักษะธาตุมืดที่ 2 ของเขาจากสำนักกักเก็บทักษะ เขาเลือกที่จะกักเก็บพิธีเลือด ตราประทับธาตุมืดนี้ นี่คือหนึ่งในทักษะธาตุมืดที่เจาะจงทำให้เป้าหมายกลายเป็นคนรับใช้หรือทาสโดยเฉพาะ เมื่อผู้ประทับตราเสียชีวิตลง ทาสรับใช้ที่ถูกประทับตราก็จะตกตายไปด้วยกัน สิ่งเดียวที่จะหลีกหนีจากสิ่งนั้นได้ก็คือสิ่งที่โจวเหว่ยชิงสัญญากับหยุนลี่ สัญญารอง

พิธีเลือด ตราประทับธาตุมืดไม่ใช่ตราประทับที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาทักษะปิดผนึกธาตุมืด แต่ทักษะนี้กลับเป็นทักษะหนึ่งที่ให้ผลผูกมัดแข็งแกร่งที่สุด หากทาสรับใช้ไม่ยอมเชื่อฟังเจ้านาย แค่เจ้านายส่งความคิดออกไปก็อาจสร้างความเจ็บปวดเหนือพรรณนาให้กับทาสรับใช้ได้ นี่จึงถือว่าเป็นหนึ่งในทักษะปิดผนึกที่โหดเหี้ยมที่สุด ในเวลาเดียวกันมันก็ยังเป็นหนึ่งในตราประทับธาตุมืดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมาก

หยุนหลี่พยักหน้าให้อย่างทื่อๆ พลางหลับตาลง ในช่วงเวลาต่อมา มือซ้ายของโจวเหว่ยชิงก็เอื้อมไปที่หน้าผากของเขาแล้วกดนิ้วชี้ลงที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของหยุนลี่

วินาทีนั้นม่านแสงสีแดงเลือดก็แผ่ออกมาปกคลุมทั้งคู่เอาไว้ แม้ว่าตราประทับนี้จะทรงพลังเป็นอย่างมาก แต่ก็มีข้อจำกัดที่รุนแรงมากเช่นกัน บุคคลที่ถูกประทับตราจะต้องยอมรับการประทับตราด้วยเจตจำนงเสรีของตนเอง หากเกิดการต่อต้านในขณะที่กำลังร่ายพลัง นั่นจะทำลายผลของทักษะนี้ทันที

เมื่อม่านแสงสีแดงเลือดค่อยๆก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นหมอกหนา ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็เกิดประกายสีแดงวาบผ่านไปด้วย นอกจากนี้แสงสีแดงเลือดจากนิ้วของเขาก็พลันเจิดจ้าขึ้นเช่นกัน

หยุนลี่คำรามออกมาโดยไม่รู้ตัว ร่างทั้งร่างของเขากระตุกอย่างรุนแรงขณะแสงสีแดงเข้มค่อยๆ ซึมหายเข้าไปในร่างกายของเขา แสงเข้มข้นเหล่านั้นเลือนหายไปจากร่างของโจวเหว่ยชิงและซึมเข้าสู่ร่างของหยุนลี่ช้าๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงใช้พิธีเลือด ตราประทับธาตุมืด เขารู้สึกราวกับว่าพลังปราณสวรรค์มากกว่า 1 ใน 3 ของตนเพิ่งถูกระบายออกไปจากร่าง แสดงให้เห็นว่าตราประทับนี้ต้องใช้พลังปราณสวรรค์ไปมากเพียงใด เมื่อแสงสีแดงเข้มข้นทะลักเข้าสู่ร่างกายของหยุนลี่ทั้งหมดแล้ว โจวเหว่ยชิงก็พลันรู้สึกถึงจุดเชื่อมโยงบางอย่างภายในจิตใจของเขาอย่างคลุมเครือ ราวกับนั่นคือเชือกที่เชื่อมโยงจิตของเขากับชีวิตของหยุนลี่

แม้ว่าตราประทับนี้จะไม่ได้ทำให้พวกเขาสื่อสารกันทางจิตได้ แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังรู้สึกถึงชีวิตอันเปราะบางของ หยุนลี่ในกำมือของตนได้…นี่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของผู้ประทับตราในพิธีเลือด

โจวเหว่ยชิงยกมือซ้ายขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นเลือดหยดเล็กๆ บนปลายนิ้วชี้ของเขา นั่นคือเลือดของหยุนลี่และยังเป็นสื่อกลางสำหรับพิธีเลือด ในขณะที่หยดเลือดค่อยๆซึมหายเข้าไปในมือของโจวเหว่ยชิงและเลือนหายเข้าไปในร่างกายของเขา สัญลักษณ์แปลกๆ ที่มีสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของหยุนลี่

กลิ่นอายความมืดภายในห้องค่อยๆสลายหายไปอย่างช้าๆ ในที่สุดหยุนลี่ก็ลืมตาขึ้น ร่างกายของเขาไม่สั่นเทาอีกต่อไป ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม แม้กระทั่งสัญลักษณ์สีแดงเข้มที่สลักลงไปในผิวหนังของเขาก็ถูกซ่อนเอาไว้จากสายตาผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ทั้งเขาและโจวเหว่ยชิงต่างก็รู้ดีว่าสิ่งนี้จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต เว้นแต่เขาจะสามารถบรรลุเงื่อนไขที่เขา และโจวเหว่ยชิงได้ทำเอาไว้ร่วมกัน เช่นนั้นมันก็จะสลายหายไปเอง

หยุนลี่ลุกขึ้นยืน แม้ว่าเขาจะยังไม่คุ้นชินนัก แต่ก็ยังหันไปหาโจวเหว่ยชิงและโค้งคำนับอย่างเคารพ “นายท่าน…”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “เจ้าเป็นคนแรกที่ข้าใช้พิธีเลือด ตราประทับธาตุมืดด้วย ข้าไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่านายท่าน เจ้าสามารถเรียกข้าด้วยชื่อได้ ข้าไม่เคยคิดจะปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนทาสหรือคนรับใช้ ข้าหวังว่าเราจะเป็นสหายกันมากกว่า พวกเราสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเรียนรู้เกี่ยวกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ร่วมกันได้”

หยุนหลี่ส่งเสียงในลำคอและพูดว่า “สหาย? ถ้าเจ้าอยากเป็นสหายกับข้า ทำไมถึงต้องใช้การเดิมพันมาเล่นงานข้าเช่นนี้!? หึ! ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้ามีหน้าที่จัดหาอาหาร เครื่องดื่ม ที่พัก และค่าใช้จ่ายทั้งหมดของข้า รวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับวัตถุดิบในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูง เจ้าก็ต้องจ่ายด้วยเช่น   กัน…”

โจวเหว่ยชิงชะงักเล็กน้อยก่อนจะพูดอย่างเคืองๆ “ทำไมฟังดูเหมือนข้ากลายเป็นคนที่ถูกกดขี่รังแกแทนล่ะ…”

“โอ้ใช่แล้ว หยุนลี่ เมื่อเราออกไปแล้วอย่าบอกใครว่าเจ้าพ่ายแพ้ให้แก่ข้า เพียงแค่บอกว่าเราเสมอกันและไม่ได้มีใครกลายเป็นผู้ติดตามของอีกฝ่าย”

หยุนลี่ถามอย่างสงสัย “ ทำไมล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงแสยะยิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่อยากทำตัวโดดเด่น เข้าใจหรือไม่? ถ้ามีข่าวลือออกไปว่าเจ้ากลายเป็นผู้ติดตามของข้า ชีวิตข้าต่อจากนี้คงจะไม่มีช่วงเวลาที่สงบสุขอีกเลย…

“หา! เจ้าเนี่ยนะไม่อยากทำตัวโดดเด่น? ท้าให้ข้าประลองด้วยต่อหน้าผู้คนจำนวนมากเช่นนี้ เจ้าจะไม่ทำตัวโดดเด่นได้อย่างไร?” หยุนเล่อถึงกับพูดไม่ออก

โจวเหว่ยชิงตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “ถ้าข้าไม่ทำเช่นนั้น แล้วจะล่อให้เจ้าติดเบ็ดได้อย่างไร! ความจริงแล้วข้าเป็นคนชอบเก็บเนื้อเก็บตัวมาก ฮิๆ! ไปกันเถอะ ข้าแน่ใจว่าทุกคนกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว”

ตั้งแต่เขาเข้ามาในเมืองเฟยหลี่ นอกจากช่วงเวลาที่ได้กลับมาพบกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อีกครั้ง นี่อาจเป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตของโจวเหว่ยชิงอีกวันเลยก็ว่าได้ ขณะนี้เมื่อรวมตัวเขาเข้าไปอีกคน อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ก็มีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เพิ่มขึ้นเป็น 2 คนแล้ว! นอกจากนี้ทั้ง 2 คนยังเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์และครอบครองชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานอีกด้วย!

ด้านนอกประตู ฉินเฟิงรู้สึกสับสนเล็กน้อยว่าทำไมซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่เคยวิตกกังวลถึงดูผ่อนคลายขึ้นมาก ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก ทั้งโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ก็เดินออกมาจากภายใน

ฉินเฟิงถามอย่างสงสัย “อาจารย์ทั้งสอง การต่อสู้ของพวกท่านจบลงแล้วหรือ? ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้ชนะ?”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและกล่าวว่า “อาจารย์หยุนหลี่นั้นเก่งกาจมาก ข้าพยายามแทบตายกว่าจะลากการประลองในรอบที่ 2 ให้เสมอกัน เฮ้อ น่าเสียดายที่ข้าแพ้ในรอบที่ 3 ดังนั้นผลการประลองของพวกเราจึงถือว่าเสมอกันทั้งหมด ดูเหมือนว่าแม้แต่สวรรค์ก็ไม่ต้องการให้เรากลายเป็นผู้ติดตามของกันและกัน เฮ้อ พวกเราจะทำเช่นไรดี?”

………………………

หยุนลี่ประหลาดใจมากที่โจวเหว่ยชิงซึ่งเป็นเพียงอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางยังคงตรวจสอบแบบร่างของเขาอยู่ ด้วยสีหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยความหลงใหล ดูเหมือนว่าเขาจะไม่หยุดดูในเร็วๆ นี้ด้วยซ้ำ

พลังจิตวิญญาณของเจ้าเด็กนี่ยิ่งใหญ่กว่าข้าอีกหรือ? หยุนลี่รู้สึกตกใจอย่างแท้จริง เขามั่นใจในพลังจิตวิญญาณของตัวเองมาก ถึงแม้เขาจะยังไปไม่ถึงระดับปรมาจารย์ แต่เขาก็อยู่ไม่ไกลจากระดับนั้นเท่าไหร่แล้ว แน่นอนว่าประสบการณ์ 16 ปีของเขาในโลกอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ย่อมไม่ได้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์

อนิจจา เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าโจวเหว่ยชิงต้องได้รับการสนับสนุนจากพลังวิญญาณของเจ้าแมวอ้วนเพื่อให้ตนเองสามารถทนได้นานขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หยุนลี่เฝ้ามองเขาอยู่สักพัก โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ว่าไอเย็นภายในจิตวิญญาณของตนนั้นค่อยๆ เลือนหายไป เขาจึงตื่นขึ้นจากภวังค์ทันที

“เอ๊ะ?” มีเพียงโจวเหว่ยชิงเท่านั้นที่มองไปรอบๆ อย่างพร่ามัว ราวกับเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่

“น้องโจว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หยุนลี่เห็นว่าเขารู้สึกตัวแล้วจึงถามอย่างรีบร้อน

การแสดงออกของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยความชื่นชม เขายกนิ้วให้อีกฝ่ายขณะกล่าวว่า “เป็นผลงานที่ไม่มีใครเทียบได้จริงๆ! ถ้าข้าเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานชุดแรกที่มีไว้สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความว่องไว” อันที่จริงแบบร่างของหยุนลี่เป็นชิ้นส่วนแรกของชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานที่เหมาะกับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณียุทธ์ประเภทความว่องไวเช่นหยุนลี่หรือซ่างกวนปิงเอ๋อร์

หยุนลี่พยักหน้าและกล่าวว่า “น้องโจวมีสายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก แบบร่างของเจ้าก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ไม่มีใครเทียบได้! นอกจากนี้ยังเป็นชิ้นส่วนแรกของชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานเช่นกัน! ดูเหมือนว่านี่คือการจับคู่ให้พวกเรามาพบกันโดยแท้จริง  ในบรรดาอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทั้งหลาย ข้ากล้าพูดได้เลยว่าผู้ที่ครอบครองแบบร่างชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานนั้นมีน้อยกว่า 10 คนแน่! คาดไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะได้พบเจอกันเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่น้องโจวมั่นใจในการเดิมพันครั้งนี้มาก”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างเบิกบานใจและกล่าวว่า “แน่นอน! แต่โชคของข้าก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก แม้ว่าแบบร่างของเราจะเป็นชิ้นส่วนแรกของชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนาน แต่ก็ยังต้องดูว่าชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานชุดใดมีคุณภาพสูงกว่ากัน”

หยุนลี่ชะงักไปก่อนจะพูดว่า “เราจะเปรียบเทียบได้อย่างไร? เว้นเสียแต่ว่าเราจะสามารถสร้างพวกมันขึ้นมาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเราก็คงจะไม่มีวิธีเปรียบเทียบได้อย่างแท้จริง อย่างไรแบบร่างทั้ง 2 ก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ข้าอาจแย้งได้ว่าข้ามีข้อได้เปรียบของความเร็วในขณะที่เจ้าอาจเถียงได้ว่าของตัวเองได้เปรียบในเรื่องความแข็งแกร่ง”

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและพูดว่า “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าเอ่ยถึง ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่พี่หยุนลี่ลืมไป นั่นก็คือปริมาณ อีกวิธีหนึ่งที่ใช้กำหนดคุณภาพของชุดศาสตรามณียุทธ์ก็คือจำนวนศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดในชุดนั้น ยิ่งชุดศาสตรามณียุทธ์นั้นถูกสร้างขึ้นมาจากม้วนคัมภีร์จำนวนมากเท่าไหร่ ตามธรรมชาติแล้วพลังของมันย่อมแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น ข้าพูดถูกหรือไม่?”

ทันใดนั้นความหวาดกลัวก็ตรงเข้าเกาะกุมหัวใจของหยุนลี่ “เจ้าพูดถูก นั่นเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม ชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าในตำนานก็มีทั้งหมด 9 ชิ้น…เป็นไปได้ไหมว่าของเจ้า…อาจแตกต่างออกไป?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “หึๆ…ข้าต้องขอโทษเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย” ในขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็โบกมือรอบสร้อยมิติและนำแบบร่างทั้งหมดของตนออกมาวางไว้บนโต๊ะ

หยุนลี่กวาดสายตามองไปที่แบบร่างเหล่านั้นก่อนจะแสดงท่าทีตกตะลึง “สะ…สิบ…สิบชิ้น?”

ใบหน้าของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจขณะที่กล่าวว่า “ในอดีตเมื่ออาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกายของข้าออกแบบชุดศาสตรามณียุทธ์นี้ขึ้นมา ยังไม่ทันได้ลองสร้างม้วนคัมภีร์จริง เขาก็ต้องล่วงลับไปก่อนแล้วเพราะใช้พลังจิตวิญญาณมากเกินไประหว่างการสร้างแบบร่างนี้ เขาเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพระเจ้าที่น่ายกย่องที่สุด ชุดศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 10 ชิ้นนี้ก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่พิเศษไม่เหมือนใครเช่นกัน การสร้างมันขึ้นมาได้ย่อมต้องผ่านความยากลำบากมามาก นี่จึงควรถูกจัดให้อยู่บนจุดสูงสุดของชุดศาสตรามณียุทธ์ที่เคยถูกสร้างขึ้นมา! ดังนั้นเพียงแค่เปรียบเทียบคุณภาพของแบบร่างเพียงอย่างเดียว ข้าก็กลัวว่าชัยชนะจะกลายเป็นของข้าไปเสียแล้ว”

เมื่อโจวเหว่ยชิงเห็นว่าการออกแบบที่หยุนลี่นำออกมานั้นเป็นชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานเช่นกัน เขาก็ต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ ทว่าไม่นานเขาก็สงบลงได้อย่างรวดเร็ว  อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารอบนี้จะลงเอยด้วยการเสมอกัน เขาก็ยังถือว่าไม่แพ้หยุนลี่อยู่ดีเพราะสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เขาคำนวณไว้ก่อนหน้านี้คือการเสมอกันอยู่แล้ว  หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้ ในที่สุดเขาก็นึกถึงสิ่งที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อเคยบอกเขาไว้ในอดีต แม้ว่าชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานของเขาจะไม่เคยถูกสร้างจนสำเร็จมาก่อน แต่มันก็เป็นเพียงชุดพิเศษที่มีชุดเดียวบนโลก! แบบร่างนี้ได้ใช้เลือดเนื้อ จิตวิญญาณและพลังชีวิตของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าหล่อหลอมขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่เคยมีชุดศาสตรามณียุทธ์ 10 ชิ้นมาก่อนบนโลก!

ชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานหมายถึงชุดศาสตรามณียุทธ์ที่ออกแบบโดยอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าอย่างน้อย 8 ชิ้น โดยปกติแล้วทั้งหมดจะมี 9 ชิ้น ทว่าอย่าดูถูกความแตกต่างที่เพิ่มขึ้นมา 1 ชิ้นเด็ดขาด การเพิ่มชิ้นส่วนพิเศษเข้าไป 1 ชิ้นนี่แหละที่ทำให้ผู้ก่อตั้งนิกายของโจวเหว่ยชิงต้องใช้พลังปรานและจิตวิญญาณไปทั้งหมดจนถึงขั้นเสียชีวิต จากสิ่งนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่ากว่าจะสร้างชุดศาสตรามณียุทธ์ชุดนี้ขึ้นมาได้นั้นยากเย็นแค่ไหน

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง สีหน้าของหยุนลี่ก็ดูน่าเกลียดขึ้นทันที ดวงตาของเขาพลันมืดมนและปรากฏความไม่สบายใจ ในขณะนี้การประลองของพวกเขาสิ้นสุดลงแล้ว ทว่าสำหรับคนอย่างเขา คนที่มีอาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกายเป็นอาจารย์ระดับเทพเจ้าจะเต็มใจเป็นผู้ติดตามของโจวเหว่ยชิงได้อย่างไร? นั่นคงเป็นความอัปยศอดสูที่เขาไม่อาจชำระล้างออกไปได้เสียแล้ว นอกจากนี้ยังไม่มีทางหนีรอดไปได้อีกด้วย ผู้ติดตามตลอดชีพ นั่นหมายถึงการถูกประทับตราไปตลอดชีวิต เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของเขาก็เจ็บปวดราวกับถูกงูพิษนับพันรัดเอาไว้แน่น ใบหน้าของเขาค่อยๆ มืดครึ้มขึ้นจนดูน่ากลัว เขากำหมัดแน่น เมื่อจ้องมองไปยังแบบร่างทั้ง 10 ชิ้นบนโต๊ะ เขาก็ต้องต่อสู้กับจิตใจตนเองอย่างหนักหน่วง

ฆ่ามัน! ฆ่ามันซะ! มีเสียงร้องตะโกนอยู่ในใจของหยุนลี่ หากเขาฆ่าโจวเหว่ยชิง ไม่เพียงแต่เขาจะรอดพ้นเงื่อนไขการเดิมพันในครั้งนี้ แต่เขายังจะได้รับแบบร่างชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานที่ดูน่าเหลือเชื่อนี้ไปด้วย นั่นเป็นชุดที่มีถึง 10 ชิ้น! อย่างมากเขาก็แค่หนีออกจากอาณาจักรเฟยหลี่ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ด้วยทักษะและพรสวรรค์ของเขา อาณาจักรอื่นย่อมต้องอ้าแขนรับเขาแน่

ปีศาจร้ายในใจกำลังถือกำเนิดขึ้นมาและตรงเข้าต่อสู้กับศีลธรรมและจริยธรรมในใจของหยุนลี่อย่างโหดเหี้ยม ทันทีที่มันสามารถฉีกกระชากความดีในตัวเขาออกมาได้ เขาจะลงมือกับโจวเหว่ยชิงทันที ในสายตาของหยุนลี่ ด้วยระดับมณี 4 ดวงของเขา การฆ่าโจวเหว่ยชิงผู้ครอบครองมณี 3 ดวงย่อมง่ายดายมาก ทั้งสองคนเป็นจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติและตัวเขาเองก็มีมณียุทธ์ประเภทความว่องไว หลังจากฆ่าเขาแล้วก็เป็นเรื่องง่ายที่จะหลบหนีออกไป

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความคิดเช่นนี้หยุนลี่ก็ยังไม่ขยับตัว ในขณะที่เขากำลังต่อสู้กับตัวเองในส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจอยู่นั้น ร่างกายของเขาก็พลันสั่นสะท้าน ดวงตาเผยให้เห็นรังสีกระหายเลือด ทว่าเขาก็ยังไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวใดๆ

แม้ว่าเขาจะหยิ่งในศักดิ์ศรี แต่เขาก็ไม่เคยกลับคำของตนเอง! แม้จะไม่เต็มใจ แม้จะมีความรู้สึกสับสนไม่มั่นคง แต่เขาก็ยังไม่อยากจะกลายเป็นบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าทรยศ คนไม่ซื่อสัตย์ หรือคนที่ผู้อื่นดูถูกเหยียดหยาม อย่างไรก็มีฝูงชนข้างนอกจำนวนมากที่เห็นการเดิมพันครั้งนี้แล้ว เขาจะกลับคำพูดของตนได้อย่างไร? ที่สำคัญกว่านั้น แม้ว่าเขาจะกลับคำจริงๆ แต่นั่นก็จะทิ้งบาดแผลไว้ในใจของเขาตลอดกาล ด้วยบาดแผลนั้น เขาย่อมไม่มีทางไปถึงจุดสูงสุดในโลกอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้เลย…จุดสูงสุดที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด…นั่นก็คือการเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า

โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เขาไม่ได้พยายามบังคับหรือโน้มน้าวหยุนลี่แต่อย่างใด เพียงแค่ยืนรอการตัดสินใจของเขาอย่างเงียบๆ แม้จะมีตราประทับที่ใช้ควบคุมอีกฝ่ายได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ อย่างไรเสียระหว่างผู้ติดตามที่เต็มใจและผู้ติดตามที่ทำหน้าที่เพียงภายนอกแต่แอบคิดกบฏในใจนั้นก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก สิ่งที่โจวเหว่ยชิงต้องการคือผู้ติดตามที่ทำงานให้เขาอย่างเต็มกำลังด้วยหัวใจ

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกกังวลใจมากเช่นกัน นั่นไม่ได้เกิดจากความกลัวว่าหยุนลี่จะโจมตีเขา จากการคาดการณ์ของโจวเหว่ยชิง แม้ว่าหยุนลี่จะมีมณี 4 ดวง แต่เขาก็มีศาสตรามณียุทธ์เพียง 2 ชิ้นเท่านั้น แม้แต่   หมิงฮัวที่มีชุดศาสตรามณียุทธ์ 4 ชิ้นก็ยังสู้โจวเหว่ยชิงไม่ได้ แล้วหยุนลี่จะเป็นข้อยกเว้นได้อย่างไร! หากพวกเขาต้องต่อสู้อย่างแท้จริง โจวเหว่ยชิงมั่นใจมากว่าจะเอาชนะหรือแม้แต่ฆ่าอีกฝ่ายทิ้งได้

“ข้าแพ้แล้ว” ในที่สุดทั้ง 3 คำก็หลุดออกมาจากปากของหยุนลี่ด้วยความยากลำบากและขมขื่น หลังจากพูดคำเหล่านั้น เขาก็ล้มพับลงไปที่เก้าอี้นวมด้านหลังเหมือนลูกโป่งที่ถูกเจาะจนแฟบ ดวงตาของเขาปิดลงขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างไม่อาจควบคุมได้

“เป็นความทะนงตัวของข้าที่กลับมาทำร้ายตนเอง อาจารย์ ข้าทำให้ท่านขายหน้าแล้ว ข้าแพ้แล้ว…แพ้ให้กับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีพลังปราณและระดับต่ำกว่าข้า” จู่ๆ หยุนลี่ก็ร้องไห้ออกมา ร่างกายของเขาสั่นสะท้านเนื่อง จากสูญเสียการควบคุมตนเองไปแล้ว

เมื่อเทียบกับเสียงร้องไห้ของหยุนลี่ ฝั่งโจวเหว่ยชิงกลับยิ้มอย่างผ่อนคลาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงตระหนักได้ว่าตอนนี้เขามีผู้ติดตามคนแรกแล้ว นี่เป็นสหายที่เขาสามารถไว้ใจได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่โจวเหว่ยชิงเองก็ยังไม่มั่นใจว่าตนจะตัดสินใจแบบเดียวกันเพราะเขาอาจกลับคำพูดของตัวเองก็ได้ แต่ถึงกระนั้นหยุนลี่ก็ยังตัดสินใจทำตามที่พูดอย่างยากลำบาก เพราะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้เขียนสัญญาหรือทำพันธะอะไรไว้แต่แรกเลยด้วยซ้ำ หากเขาต้องการหนีจริงๆ โจวเหว่ยชิงก็ไม่อาจหยุดเขาไว้ได้อยู่แล้ว

โจวเหว่ยชิงนั่งลงเงียบๆ และค่อยๆ เก็บแบบร่างของตัวเอง

เขาไม่ได้รีบร้อนอะไรจึงปล่อยให้หยุนลี่ร้องไห้ออกมาให้หมด ท้ายที่สุดแล้วเพื่อนที่น่าสงสารคนนี้ก็เพิ่งจะสูญเสียอิสรภาพของตนเองไปตลอดชีวิต เขาจะไม่ให้อีกฝ่ายได้มีเวลาระบายได้อย่างไร?

ขณะนี้โจวเหว่ยชิงที่รักของเรากำลังยิ้มกริ่มอยู่ในใจ แม้ว่าจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ในที่สุดเขาก็สามารถทำให้อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงมาเป็นผู้ติดตามของตนเองได้แล้ว! ความโชคดีเช่นนี้อาจไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 แน่นอน อย่างน้อยก็ก่อนที่เขาจะมีพลังมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ฉินเฟิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างนอกต่างตกใจกับเสียงร้องไห้ที่ดังมาจากภายในห้อง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์บอกได้ทันทีว่าเสียงร้องไห้นั้นไม่ใช่ของโจวเหว่ยชิง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอหยุดวิตกกังวลแม้แต่น้อย

“สาวน้อย ใจเย็นๆ ก่อน ตอนนี้พวกเรายังเข้าไปไม่ได้” ฉินเฟิงรีบหยุดอีกฝ่ายไม่ให้พยายามวิ่งเข้าไปข้างใน อย่างไรเขาก็พูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนพวกเขาในห้องนั้น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก แต่ในขณะนั้นจู่ๆ เสียงนุ่มๆ ก็ดังลอดเข้ามาในหูของเธอ เธอชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นไม่นานก็เงียบเสียงลง ใบหน้าซีดเซียวและหวาดกลัวของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงอมชมพูอีกครั้ง ทั้งยังมีรอยยิ้มจางๆ ติดอยู่บนริมฝีปากอีกด้วย

………………………………

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างนิ่งเฉยว่า “ถ้าเช่นนั้น เราจะเปรียบเทียบคุณภาพของแบบร่างของทั้ง 2 ฝั่งแทน ของใครมีคุณภาพสูงกว่า ฝ่ายนั้นจะเป็นผู้ชนะ”

หยุนลี่พยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ แต่ข้าไม่ต้องการให้คนอื่นนอกจากพวกเราเห็นแบบร่างของข้า และข้าก็เชื่อว่าเจ้าน่าจะคิดเช่นเดียวกัน ไปหาสถานที่เงียบๆ ประลองกันดีกว่า”

“ร้านหมายเลข 77 ของเรามีห้องที่เงียบสงบอยู่ เชิญอาจารย์ทั้งสองเข้าไปที่นั่นเพื่อจะได้ไม่ถูกสิ่งภายนอก รบกวน”

ปฏิกิริยาของฉินเฟิงนั้นรวดเร็วมาก เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงได้รับชัยชนะในรอบก่อนหน้า หัวใจของเขาเต้นเร็วอย่างบ้าคลั่ง คิดกับตัวเองว่าโชคดีจริงๆ ที่ไปบังเอิญพบกับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีพรสวรรค์สูงส่งเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องทำให้โจวเหว่ยชิงเป็นลูกค้าของเขาให้ได้! ฉินเฟิงสาบานกับตัวเองว่าหากโจวเหว่ยชิงต้องการสิ่งใดในอนาคต เขาจะขายให้อีกฝ่ายในราคาทุน! ตราบใดที่เขาสามารถรั้งให้ผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้เป็นแขกผู้มีเกียรติของร้านได้ นั่นจะสามารถดึงดูดลูกค้าได้อีกมากมายและธุรกิจของเขาจะได้รับการสนับสนุนจากผู้คน ในอนาคตเมื่อโจวเหว่ยชิงกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า ร้านค้าของเขาก็จะถือว่ามีความสัมพันธ์กับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นหลังบ้านของเขาด้วยซ้ำ!

ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ต้องการสถานที่เงียบๆ เพื่อใช้ในการประลอง เขาจึงรีบเสนอห้องให้พวกเขาตัดหน้าโจวฉางซีที่คิดจะทำเช่นเดียวกัน

โจวฉางซีเต็มไปด้วยความเสียใจ จ้องมองไปที่ฉินเฟิงด้วยความโกรธแค้น อนิจจา ไม่ว่ายังไงเขาก็ถือว่าเป็นคนที่มีหน้ามีตาผู้หนึ่ง จึงรีบควบคุมตัวเองไม่ให้เผลอระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความโกรธ ท้ายที่สุดแล้วเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากหยุนลี่ เขาก็ไม่ใช่คนที่เล่นด้วยง่ายๆ อยู่แล้ว

โจวเหว่ยชิงขยับตัวก่อน เขาเชิญหยุนลี่ให้เดินนำไป หยุนลี่พยักหน้าและกล่าวว่า “เชิญ” ทั้งคู่จึงเดินตามฉินเฟิงเข้าไปยังร้านหมายเลข 77

หลังจากที่ทั้งคู่หายไปจากประตูร้านแล้ว ฝูงชนที่อยู่รอบๆ ก็พากันพึมพำอย่างโกรธเกรี้ยว พวกเขาไม่กล้าทำให้ โจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ลำบากใจ แต่พวกเขาต้องการเป็นสักขีพยานในการแข่งขันอย่างแท้จริง ทั้งยังอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 2 คนกังวลจนต้องปกปิดเป็นความลับเช่นนี้ บางคนถึงขั้นพยายามจะตามเข้าไป แต่กลับถูกพนักงานของร้าน 77 ขัดขวางเอาไว้เสียก่อน

“ข้าต้องขอโทษทุกๆ ท่านด้วย แต่เถ้าแก่ร้านของเราได้สั่งเอาไว้ หากท่านต้องการจะซื้อสินค้าใดๆ โปรดรอจนกว่าอาจารย์ทั้ง 2 จะประลองกันเสร็จสิ้น”

มีเพียงฉินเฟิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เท่านั้นที่ติดตามทั้งคู่เข้าไป แม้แต่โจวฉางซีก็ถูกขัดขวางเอาไว้ที่ด้านนอก

หลังจากเข้ามาในร้าน ทั้ง 2 คนก็ไม่มีอารมณ์ที่จะชื่นชมสินค้ามากมายที่อยู่ภายในร้านเช่นกัน พวกเขาติดตามฉินเฟิงไปยังชั้นที่ 2 ของร้านและมุ่งหน้าไปยังห้องที่ลึกที่สุด หลังจากที่ฉินเฟิงพาพวกเขาไปที่นั่น เขาก็เอ่ยว่า “เชิญท่านอาจารย์ทั้งสองเข้าไปข้างใน นี่เป็นห้องพักผ่อนส่วนตัวของข้า ดังนั้นพวกท่านจะไม่ถูกรบกวนแน่นอน ข้าจะอยู่ข้างนอกเพื่อคอยเฝ้ายามให้เอง” เขารู้สถานะของตนเองดีจึงไม่พยายามหาเรื่องเข้าไปดูการประลองด้วย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เองก็หยุดอยู่ข้างนอกประตูเช่นกัน แม้หัวใจจะยังคงเต้นเร็วด้วยความตื่นตระหนก แต่ตอนนี้เธอก็มั่นใจในตัวของโจวเหว่ยชิงเต็มที่ ใบหน้างดงามแดงระเรื่อด้วยอารมณ์ที่แปรปรวนก่อนหน้า เธอยังไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่เลยด้วยซ้ำ หากโจวเหว่ยชิงชนะการเดิมพันนี้อย่างแท้จริง อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของพวกเขาก็จะมีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงอีกคนร่วมกับโจวเหว่ยชิง…และคนๆ นั้นยังเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงที่อายุน้อยที่สุดของอาณาจักรเฟยหลี่!

หลังจากเข้ามาในห้อง ทั้งโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอุทานเบาๆ อย่างชื่นชม ห้องนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก กะจากสายตาประมาณ 50 ตารางเมตรเท่านั้น  แต่มันกลับได้รับการออกแบบและตกแต่งมาอย่างประณีต บนพื้นทั้งหมดมีพรมถูกปูเอาไว้ แม้จะไม่ได้ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด แต่จากที่พวกเขาสัมผัสด้วยตัวเอง นี่ต้องเป็นพรมที่สร้างจากขนของอสูรสวรรค์ทั้งผืน! การใช้ขนของอสูรสวรรค์เป็นพรมนั้นเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยมากทีเดียว! แม้แต่ขนสัตว์ที่ราคาที่ถูกที่สุดก็ยังราคาแพงมากอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นตัวพรมยังทำมาจากอสูรสวรรค์ชนิดเดียวกันและมีสีเดียวกันทั้งผืน

นอกเหนือจากนั้น ข้างในห้องยังมีเก้าอี้นวมบุด้วยหนังสีขาวที่ดูโอ่อ่าและสง่างาม ลึกเข้าไปข้างในห้องมีเตียงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ นี่คือเครื่องเรือนหลักของห้องนี้ ทางด้านซ้ายมีตู้ที่ถูกแกะสลักไว้เป็นลวดลายสลับซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ตกแต่งห้องที่ดูวิจิตรงดงามอีกมากมาย บนเพดานยังมีแก่นพลังของอสูรสวรรค์ระดับปรมะติดอยู่คอยให้แสงสว่าง!

หยุนลี่เหยียดริมฝีปากและพึมพำกับตัวเอง “เถ้าแก่ร้านฉินคนนี้รู้วิธีหาความสำราญให้ตัวเองจริงๆ”

โจวเหว่ยชิงไม่ชักช้า เขารีบนั่งลงบนเก้าอี้นวมและพูดว่า “พี่ชายหยุนลี่ เราเริ่มกันเลยดีไหม?”

การแสดงออกของหยุนลี่ดูเคร่งขรึมขึ้น เขาหันไปหาโจวเหว่ยชิงและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จากที่ได้ยินคนอื่นเรียก เจ้าชื่อโจวเหว่ยชิงใช่ไหม? น้องโจว หลังจากการประลองในวันนี้ ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ ข้าอยากจะขอให้เจ้าเก็บเนื้อหาในครั้งนี้ไว้เป็นความลับ แบบร่างที่ข้ากำลังจะนำออกมานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง พวกเราเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ด้วยกันทั้งคู่ ข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็ย่อมรู้ว่าข้ารู้สึกอย่างไร  แน่นอนว่าที่ข้าพูดไปเมื่อสักครู่ ข้าก็จะปฏิบัติตามเช่นกัน  ข้าจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับแบบร่างที่เจ้านำออกมาแน่นอน”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “ ตกลง”

หยุนลี่นั่งลงบนเก้าอี้นวมและหันหน้าไปทางโจวเหว่ยชิง อย่างไรการตรวจสอบแบบร่างใหม่ให้ถี่ถ้วนก็ต้องอาศัยพลังจิตวิญญาณสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแบบร่างระดับสูงที่ซับซ้อนและไม่สามารถสร้างได้ในเวลาอันสั้น

แสงสว่างเจิดจ้าขึ้นรอบๆ ข้อมือของหยุนลี่ จากนั้นกระดาษศาสตรามณียุทธ์ที่ดูเก่าแก่ก็ปรากฏขึ้น โจวเหว่ยชิงโบกมือไปที่สร้อยมิติของเขาและหยิบกระดาษแบบร่างออกมาเช่นกัน

พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตาและส่งมอบแบบร่างให้อีกฝ่ายพร้อมๆ กัน ในขณะที่รับแบบร่างของอีกฝ่ายมาถือไว้ในมือ ความรู้สึกเชื่อมโยงและชื่นชมซึ่งกันและกันก็ผุดขึ้นมา แน่นอนว่าการชื่นชมเป็นสิ่งหนึ่ง การเดิมพันก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ทั้งคู่ย่อมต้องการให้อีกฝ่ายเป็นผู้ติดตามของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งคู่เป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากและยังไม่เคยมีผู้ใดรับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เป็นผู้ติดตามมาก่อนก็ตาม เนื่องจากปกติแล้วผู้ติดตามมักเป็นจ้าวมณีที่ทรงพลังนั่นเอง

สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่แบบร่างในมือของตนเอง ชั่วพริบตาต่อมา ภาพที่น่าขบขันก็ปรากฏขึ้นเมื่อทั้งคู่ได้กระทำในสิ่งเดียวกัน มือของทั้งสองคนสั่นเทา อีกทั้งยังทำสีหน้าราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เห็น

เรื่องราวเป็นเหมือนโจวเหว่ยชิงได้คาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ หยุนลี่ได้ส่งแบบร่างระดับเทพเจ้าให้เขา มันจะเป็นชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานหรือไม่ เขาจะบอกได้ก็ต่อเมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมเท่านั้น

หยุนลี่เองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าโจวเหว่ยชิงจะนำแบบร่างเช่นนี้ออกมา เป็นอีกครั้งที่ทั้ง 2 คนเงยหน้าขึ้นและมองหน้ากัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไร  แต่ก็สามารถมองเห็นแววตาที่ตึงเครียดและจริงจังของกันและกันได้ทันที

เนื่องจากแบบร่างในมือของทั้งสองเป็นแบบร่างระดับเทพเจ้า สิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับต่อมาคือการเปรียบเทียบคุณภาพ ในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาตัดสินเพราะพวกเขาย่อมรู้อยู่แก่ใจ

ทั้งคู่ก้มลงไปมองเบื้องล่าง คราวนี้มุ่งความสนใจไปที่แบบร่างในมือ พวกเขากำลังเคร่งเครียดมาก เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นการประลองที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งคู่โดยเฉพาะหยุนลี่ เนื่องจากการสูญเสียครั้งนี้หมายความว่าเขาจะกลายเป็นผู้ติดตามตลอดชีพของโจวเหว่ยชิงและสูญเสียอิสรภาพของเขาไปโดยสิ้นเชิง ด้วยพยานจำนวนมากที่อยู่ด้านนอก และศักดิ์ศรีของเขาในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เขาย่อมไม่สามารถกลับคำพูดของตัวเองได้ ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามให้ดีที่สุดเท่านั้น ตราบใดที่เขาสามารถนำพาการประลองไปสู่รอบที่ 3 ได้ เขาก็มั่นใจว่าตนจะสามารถคว้าชัยชนะไปได้อย่างแน่นอน

แบบร่างระดับเทพเจ้านั้นซับซ้อนเกินไป และแบบร่างระดับดังกล่าวก็มีพลังจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ภายในเช่นกัน

สถานการณ์ของหยุนลี่นั้นดีกว่าเล็กน้อยเนื่องจากเขามีมณี 4 ดวง ทั้งยังเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูง เนื่องจากการประลองรอบที่แล้วเขาไม่ได้สร้างม้วนคัมภีร์จนครบทั้งกล่อง ดังนั้นหลังจากมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงสามารถใช้สมาธิจดจ่อกับแบบร่างในมือได้

ทว่าโจวเหว่ยชิงกลับประสบปัญหาบางอย่าง เขาเพิ่งเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้ไม่นานนัก ในแง่ของการฝึกฝนจิตวิญญาณ เมื่อเทียบกับหยุนลี่แล้วเขาย่อมอ่อนแอกว่า เมื่อเขามองไปที่แบบร่างระดับเทพเจ้าในมือของตน เขาก็พลันรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาทันที ลมปราณตีกลับจนแน่นหน้าอกไปหมด นั่นทำให้เขาแทบจะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ดวงตาสามารถมองเห็นแค่ดาวลอยคว้าง ไม่อาจเพ่งมองแบบร่างได้อย่างชัดเจน

ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า “วางแผนขึ้นอยู่ที่คน แต่ผลสำเร็จขึ้นอยู่ที่โชคชะตา”  โจวเหว่ยชิงย่อมไม่เคยคาดคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น หากเขาไม่สามารถตรวจสอบแบบร่างได้ เขาจะเปรียบเทียบคุณภาพของมันได้อย่างไร? ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา เขาจึงพยายามบังคับตัวเองให้มีสมาธิและจดจ่ออยู่กับมัน ทว่าก็ยังไม่สามารถบังคับพลังจิตวิญญาณของตนได้ง่ายๆ เช่นนั้น ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกเสียดแน่นหน้าอกเพิ่มขึ้นเท่านั้น ถ้าเขาพยายามฝืนทำต่อไป เขาอาจจะต้องเจอปัญหาใหญ่แน่

ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ว่าแมวอ้วนที่อยู่ในอ้อมอกของเขากำลังดิ้นขลุกขลัก ในชั่วพริบตาต่อมา ไอเย็นสายหนึ่งก็ไหลวาบเข้ามาในร่างของเขา ทันใดนั้นความเจ็บปวดที่เสียดแทงเข้ามาในจิตวิญญาณที่สับสนก็ทำให้เขาแทบร้องโหยหวนออกมา ทว่าขณะที่ความเจ็บปวดกำลังวิ่งพล่านไปมานั้นเอง ไอเย็นสายนั้นก็แผ่ซ่านไปทั่วจิตวิญญาณของเขาเช่นกัน นั่นทำให้เขาสะดุ้งตื่นและดวงตาของเขาก็พลันสว่างวาบขึ้น

แบบร่างที่ดูพร่ามัวและทำให้เขาเวียนหัวเมื่อสักครู่นี้กลับแจ่มชัดขึ้นมาทันตาเห็น ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็สามารถตรวจสอบแบบร่างในมือได้อย่างเต็มที่

โจวเหว่ยชิงรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาลูบแมวอ้วนอย่างมีความสุขพลางคิดกับตัวเองในใจว่า อ่า ดีจังที่มีเจ้าแมวอ้วนอยู่ด้วย!

หลังจากเหตุการณ์สั้นๆ นั้นผ่านไป ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ทั้งคู่จดจ่อสมาธิทั้งหมดไปที่แบบร่างในมือ สีหน้าของพวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อกวาดตามองไปเรื่อยๆ แม้ว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นบ่อยที่สุดคือท่าทางชื่นชมและยกย่องก็ตาม บางครั้งพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเพื่อลบล้างความคิดชื่นชมนั้นออกไป

เป็นครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงตระหนักว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจมากเพียงใดจากการสำรวจแบบร่างระดับเทพเจ้า ราวกับว่านั่นคือประตูอีกบานที่ได้เปิดไปสู่โลกใบใหม่ทั้งหมด เขาจมอยู่กับการตรวจสอบแบบร่างอย่างรวดเร็ว ราวกับลืมไปว่าตนกำลังอยู่ระหว่างการเดิมพันครั้งสำคัญ

เมื่อท้องฟ้าข้างนอกมืดลง ไม่นานก็ถึงเวลาเย็น ขณะนี้โจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ใช้เวลา ไปแล้ว 2 ชั่วโมงเต็มในห้อง

โจวฉางซีไม่สามารถเข้าไปในร้านหมายเลข 77 ได้ แต่เขาก็เป็นคนฉลาดที่รีบลงมือทำเช่นกัน เมื่อเห็นท้องฟ้ามืดลง เขาก็รีบให้พนักงานเตรียมอาหารและเครื่องดื่มให้กับฝูงชนที่รอคอยอยู่ข้างนอกทันที

แม้ว่าพวกเขาจะมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างใน แต่ก็ไม่มีใครยอมจากไปเพราะทุกคนย่อมต้องการทราบผลการประลองครั้งสุดท้าย

ภายในห้องนอน

“เฮ้อ” ในที่สุดหยุนลี่ก็ถอนหายใจออกมา เขาพยายามบังคับให้สายตาของตัวเองละออกจากแบบร่างในมือ พลังจิตวิญญาณของเขาถูกใช้ไปจนเกือบหมด หากเขายังฝืนตรวจสอบต่อไป นั่นอาจจะทำให้จิตวิญญานของเขาเสียหายได้

……………………………

แทบไม่มีใครสังเกตเห็นขณะแสงสีทองที่เปล่งประกายขึ้น และหายไปอย่างรวดเร็วรอบๆ มือของโจวเหว่ยชิง ผู้ชมโดยรอบต่างก็มุ่งความสนใจไปที่หยุนลี่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่าและจับจ้องไปยังการเคลื่อนไหวที่แสนลื่นไหลของเขาขณะที่อีกฝ่ายบรรจงสร้างม้วนคัมภีร์

มีเพียงฉินเฟิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เท่านั้นที่สังเกตเห็นว่าโจวเหว่ยชิงสร้างม้วนคัมภีร์แผนที่ 2 สำเร็จแล้ว โดยเฉพาะความแตกต่างของความเร็วระหว่างครั้งแรกและครั้งที่สองนั้นรวดเร็วมากจนดูไม่ทัน ทั้งสองคนได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างตกตะลึง  สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบสนองใดๆ แสงสีทองก็สว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง คัมภีร์ม้วนที่ 3 ของโจวเหว่ยชิงก็เสร็จสมบูรณ์อีกครั้งแล้ว!

ในแง่ของท่วงท่าที่งดงามดึงดูดสายตา การกระทำของโจวเหว่ยชิงนั้นเทียบไม่ได้กับหยุนลี่ที่พลิ้วไหวดุจสายน้ำเพราะท่วงท่าของเขาค่อนข้างแข็งกระด้างและเหมือนเครื่องจักร อย่างไรก็ตาม หากเปรียบด้านความเร็ว เขาก็ได้ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เหนือกว่าหยุนลี่มาก การสร้างม้วนคัมภีร์ดูเหมือนจะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังจิตวิญญาณใดๆ ไม่เพียงแต่ช่วยถนุถนอมจิตวิญญาณของเขาเอาไว้ แต่ยังทำให้กระบวนการทั้งหมดรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

มือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์รีบพุ่งไปปิดปากของตัวเองเอาไว้อย่างตกตะลึงในขณะที่ตาของฉินเฟิงเกือบถลนออกมาจากเบ้า ในเวลานี้เขารู้สึกได้ทันทีว่าคำพูดที่ฟังดูหยิ่งยโสบนแผ่นป้ายของโจวเหว่ยชิงนั้นไม่ได้โอ้อวดเกินไปแม้แต่น้อย

โจวเหว่ยชิงในตอนนี้เป็นเหมือนเครื่องจักรผลิตม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ด้วยซ้ำ ใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึก ดวงตาหรี่ลงอย่างมีสมาธิ มือขยับในจังหวะที่สม่ำเสมอ ขณะที่กระดาษศาสตรามณียุทธ์แผ่นแล้วแผ่นเล่าเสร็จสมบูรณ์ ประกายแสงสีทองที่บ่งบอกถึงความสำเร็จก็ส่องสว่างขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแสงสีทองนั้นกะพริบถี่เกินไป ไม่ช้าเขาก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมบางส่วนได้ เมื่อทุกคนจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิงมากยิ่งขึ้น ดวงตาของพวกเขาก็ต้องถูกตรึงอยู่ที่อีกฝ่าย แม้กระทั่งเถ้าแก่ร้านหมายเลข 76 อย่างโจวฉางซีก็ไม่มีข้อยกเว้น

หยุนลี่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ทั้งร่างกายจิตใจและจิตวิญญาณของเขาจมอยู่กับกระบวนการสร้างม้วนคัมภีร์ ในแต่ละครั้งที่ทำสำเร็จ  เขาก็รู้สึกว่าตัวเองยิ่งเชี่ยวชาญมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงไม่รับรู้สิ่งอื่นรอบๆ ตัวแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งสร้างม้วนคัมภีร์แผ่นที่ 25 เสร็จสิ้น ในใจเขายังคิดว่าตนควรจะเริ่มมองหาอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนอื่นๆ มาแข่งขันในลักษณะนี้อีก ภายใต้ความเครียดและความกดดันเช่นนี้ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าทักษะของเขาพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยปกติแล้วสิ่งนี้จะต้องเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์เป็นเวลานานๆ เท่านั้น แน่นอนแม้ว่าเขาจะหาคนอื่นๆ มาประลองกับเขา แต่เขาก็จะไม่วางเดิมพันที่หนักหน่วงเช่นนี้อีก

หลังจากสร้างม้วนคัมภีร์แผ่นที่ 25 เสร็จสิ้นและวางไว้ที่ด้านข้าง หยุนลี่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อย ในความคิดของเขา โจวเหว่ยชิงน่าจะช้ากว่าเขามาก เขาจึงไม่รู้สึกเร่งรีบใดๆ เขาจึงเงยหน้าขึ้นไปหาโจวชางซีและพูดว่า “พี่โจว ขอน้ำหน่อยได้ไหม?”

อนิจจา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าบรรยากาศรอบๆ ตัวของเขาแปลกออกไป ยิ่งไปกว่านั้น โจวฉางซีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กลับดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขาด้วยซ้ำ  สายตาของเถ้าแก่ร้านจับจ้องไปที่ฝั่งตรงข้ามตาไม่กระพริบ ไม่ใช่แค่โจวชางซีเท่านั้น ทุกคนรอบข้างต่างก็จ้องมองไปที่อีกฝ่ายอย่างสับสนและตกตะลึง สีหน้าของหลายคนเผยให้เห็นถึงบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อ

หัวใจของหยุนหลี่พลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมากะทันหัน เขารีบหันไปมองอีกฝั่งเช่นกัน เมื่อทำเช่นนั้นก็บังเอิญเห็นแสงสีทองที่กำลังวูบวาบอยู่พอดี ทันเห็นโจวเหว่ยชิงวางม้วนคัมภีร์ที่เสร็จสมบูรณ์ไว้ที่ด้านข้าง ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเห็นกองม้วนคัมภีร์ที่ทำเสร็จสมบูรณ์แล้ววางอยู่ที่นั่นอย่างชัดเจน พวกมันมีจำนวนมากกว่าม้วนคัมภีร์ที่เขาทำสำเร็จถึง 2 เท่า!

เป็นไปไม่ได้! นั่นเป็นความคิดแรกที่ปรากฏในใจของเขา เขาเกือบจะลุกกระแทกโต๊ะและเดินออกไปหาเรื่องอีกฝ่าย แต่ก็ต้องหยุดความคิดเอาไว้อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงกำลังสร้างม้วนคัมภีร์แผ่นต่อไป

นั่นเป็นการเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนเครื่องจักรและไม่มีอะไรน่ายกย่อง แต่สิ่งที่ทำให้กรามของหยุนหลี่แทบจะตกลงไปที่พื้นก็คือความเร็วของอีกฝ่าย เพียง 10 อึดใจ แสงสีทองก็สว่างวาบขึ้นมารอบๆ กระดาษศาสตรามณียุทธ์อีกครั้ง และด้วยเหตุนั้นม้วนคัมภีร์อีกแผ่นก็เสร็จสมบูรณ์ขึ้นมา

ในตอนนี้หยุนลี่ไม่คิดแม้แต่จะสร้างม้วนคัมภีร์ของตัวเองอีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืนและเดินปรี่ไปทางด้านข้างของโจวเหว่ยชิง เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความเร็วของโจวเหว่ยชิงจะไปถึงจุดสุดยอดเช่นนี้ได้จริงๆ แม้ว่าพวกเขาจะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง แต่หยุนลี่ก็มั่นใจว่าแม้แต่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะก็ไม่สามารถสร้างม้วนคัมภีร์ขึ้นมาด้วยความเร็วเช่นนี้ได้! สิ่งนี้พลิกคว่ำความรู้ทั้งหมดของเขาเกี่ยวกับการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์…ความรู้และประสบการณ์ที่เขาหมกมุ่นอยู่กับตัวเองมามากว่า 16 ปี!

การสร้างสรรค์ของโจวเหว่ยชิงยังคงดำเนินต่อไป ครั้งนี้หยุนหลี่จึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน การเคลื่อนไหวของโจวเหว่ยชิงเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังสามารถชะลอการเคลื่อนไหวในพื้นที่ๆ จำเป็นได้ แม้ว่าฝีแปรงของเขาจะไม่ได้ให้ความรู้สึกลื่นไหล แต่อย่างน้อยมันก็ประสบความสำเร็จในโลกแห่งความเป็นจริง! ไม่นานม้วนคัมภีร์อีกแผ่นก็เสร็จสมบูรณ์

แม้จะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ความจริงก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว หยุนลี่ใช้พลังวิญญาณไปมาก ตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่าสมองเริ่มมึนงง เขาหวังให้ตอนนี้ตัวเองกำลังฝันไป แต่ความจริงก็ปรากฏชัดเจนต่อหน้าเขา ทันใดนั้นเขาก็คิดว่าบางทีการเห็นด้วยกับการเดิมพันในครั้งนี้อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเขา

เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ด้วยวิธีแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าจะให้บรรยายเพียงคำเดียวก็คือ ‘บ้า’ ไปแล้ว!

โดยธรรมชาติแล้ววิธีการสร้างม้วนคัมภีร์ของโจวเหว่ยชิงไม่ได้อาศัยพลังจิตวิญญาณมากนัก เขาจึงรู้ว่าหยุนลี่มายืนอยู่ข้างๆเขาแล้ว ขณะสร้างม้วนคัมภีร์ไปได้ครึ่งทาง เขาก็ยังสามารถเงยหน้าขึ้นมองและส่งยิ้มให้อีกฝ่ายได้

ม้วนคัมภีร์ 6 แผ่นต่อ 1 นาทีคือขีดจำกัดสูงสุดของโจวเหว่ยชิง ตั้งแต่ม้วนคัมภีร์แผ่นแรกจนแผ่นสุดท้าย เขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ

โจวเหว่ยชิงวางพู่กันลง และสังเกตเห็นความเงียบที่โรยตัวอยู่รอบด้าน หลังจากเก็บม้วนคัมภีร์ที่เสร็จสมบูรณ์และวางพวกมันซ้อนทับกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว  เขาก็มองไปที่หยุนลี่อีกครั้งพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ “เป็นอย่างไรบ้างพี่หยุนลี่? ท่านทำส่วนของท่านเสร็จแล้วหรือ?”

หยุนลี่ไม่แม้แต่จะกลับไปยังที่นั่งของเขา ท้ายที่สุดเขาก็สร้างได้เพียง 25 แผ่นเท่านั้น ในขณะนี้ใบหน้าของเขาซีดเซียวลงอย่างน่ากลัว มองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น ส่วนมือของเขาก็กำขึ้นเป็นหมัด ทว่าหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา

“ข้าแพ้แล้ว แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าทำไมหรือข้าพ่ายแพ้ได้อย่างไร แต่ข้าก็คงต้องยอมรับมัน ช่วยบอกข้าได้ไหมว่าเจ้าทำได้อย่างไร? ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาในโลกอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ ข้าไม่เคยเห็นหรือได้ยินว่ามีใครสามารถม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ได้ด้วยความเร็วเช่นนี้มาก่อน นั่นอยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์พื้นฐานของโลกใบนี้แล้ว”

โจวเหว่ยชิงยิ้มจางๆ และพูดว่า “ข้ากลัวว่าบางครั้งกฏเกณฑ์พื้นฐานก็อาจไม่ถูกต้องเสมอไป ถ้าข้าบอกท่านว่านี่เป็นพรสวรรค์โดยกำเนิดของข้า ท่านจะเชื่อหรือไม่?”

หยุนลี่กล่าวโดยไม่ลังเลว่า “ข้าเชื่อเจ้า ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินผู้คนบนโลกต่ำเกินไป ข้าต้องขอโทษเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้ป้ายของเจ้าพัง ข้าต้องยอมรับว่าเจ้ามีศักยภาพที่จะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าในอนาคตอย่างแท้จริง”

ขณะที่หยุนหลี่กำลังกล่าวเช่นนั้น จู่ๆ ก็เกิดความโกลาหลในฝูงชนโดยรอบ ตอนนี้ผู้ชมต่างก็กำลังตกตะลึง สาย ตาที่พวกเขาใช้มองโจวเหว่ยชิงจึงเปลี่ยนไปกะทันหัน แต่เดิมการประลองครั้งนี้มีคนมุงดูแทบจะไม่ถึง 20-30 คน ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ผู้ชมกลับเพิ่มจำนวนเป็นเกือบ 60 คน! นี่ถือว่าเป็นจำนวนที่มากประมาณหนึ่งเลยทีเดียวเพราะคนที่สามารถเข้าสู่ศูนย์การค้าได้ส่วนใหญ่มักจะเป็นจ้าวมณีที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการเป็นสมาชิกแล้ว! ภายใต้สถานการณ์ปกติ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผู้คนมารวมตัวกันอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่งมากมายขนาดนี้ ทว่ากลับไม่มีใครรู้สึกว่านี่เป็นการเสียเวลา ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้เห็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 2 คนเท่านั้น นี่ยังเป็นโอกาสยากที่จะได้เห็นพวกเขาสร้างม้วนคัมภีร์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังได้เห็นการถือกำเนิดขึ้นของปาฏิหาริย์!

เมื่อคำพูด ‘ระดับเทพเจ้า’ หลุดออกมาจากปากของหยุนลี่ จ้าวมณีอายุน้อยๆ บางคนก็กระตือรือร้นอยากจะลงทะเบียนกับโจวเหว่ยชิงทันที หากพวกเขาสามารถเป็นผู้ติดตามของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าได้ นั่นจะถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แน่นอนว่าทั่วทั้งดินแดนไร้ขอบเขต ความภาคภูมิใจนี้ย่อมให้ความรู้สึกเหมือนกันหมดไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนลี่ โจวเหว่ยชิงก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและกล่าวว่า “ ขอบคุณพี่ชายหยุนลี่ ทว่าการสูญเสียความมั่นใจก่อนการต่อสู้ก็ไม่ใช่สัญญาณที่ดี เดิมพันของเราคือการเป็นผู้ติดตามตลอดชีวิต พี่หยุนลี่ ถ้าท่านสูญเสียความมั่นใจไปในตอนนี้ ท่านก็ถือว่าแพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง”

หยุนลี่สูดหายใจเข้าลึกและหลับตาลง เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในนั้นก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “ก่อนจะได้รู้ผลลัพธ์สุดท้าย ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าใครจะชนะ เอาเถอะ มาดูกันว่าหัวข้อการประลองที่ 2 ของเจ้าคืออะไร”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ดี สถานะของพวกเราอาจเปลี่ยนได้ตลอดเวลาหลังจากการประลองครั้งนี้จบลง สำหรับการแข่งขันครั้งที่สองจะเป็นความสามารถในการสร้างสรรค์ของเรา แต่ละคนจะต้องนำแบบร่างที่เชื่อว่าสร้างยากที่สุดออกมา เราจะสร้างม้วนคัมภีร์จากแบบร่างของฝ่ายตรงข้ามและใช้สิ่งนั้นเป็นตัวตัดสิน เราไม่จำเป็นต้องทำสำเร็จ แต่คนที่ทำได้ใกล้เคียงที่สุดจะเป็นผู้ชนะ”

ดวงตาของหยุนหลี่หรี่ลงและเขากล่าวว่า “เจ้าต้องการประลองโดยใช้ฝีมือของอาจารย์พวกเรางั้นหรือ? ”ทันทีที่โจวเหว่ยชิงกล่าวหัวข้อการประลองขึ้นมา หยุนลี่ก็เข้าใจความหมายพื้นฐานทันที อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทุกคนมีแบบร่างบางชิ้นที่พวกเขายังไม่สามารถสร้างได้ ส่วนใหญ่ได้รับมาจากอาจารย์ โรงเรียน หรือนิกายของพวกเขาอีกทอดหนึ่ง โดยปกติแล้วนั่นก็เป็นสิ่งที่พวกเขากำลังพยายามสร้างอยู่เช่นกัน ดังนั้นเมื่อหยุนลี่กล่าวถึงการประลองฝีมือของอาจารย์ของพวกเขา นั่นหมายถึงการเปรียบเทียบว่าใครมีแบบร่างที่มีคุณภาพสูงกว่ากัน ยิ่งแบบร่างนั้นมีระดับละคุณภาพสูงเท่าใด การสร้างมันขึ้นมาก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น บางทีอาจจะไม่สามารถผสมหมึกศาสตรามณียุทธ์ได้เลยด้วยซ้ำ ในกรณีนี้ เขาย่อมมีโอกาสชนะอีกฝ่ายมากกว่า

หยุนลี่หายใจเข้าลึก ดวงตาของเขามีประกายแสงวาบผ่าน ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกวูบโหวงในใจเพราะเห็นความมั่นใจเต็มเปี่ยมภายในดวงตาของหยุนลี่ หืมม…หรือว่าคนผู้นี้จะมีแบบร่างชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานเช่นกัน?   โจวเหว่ยชิงคิดกับตนเอง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็อาจจะต้องตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว! เพราะถึงอย่างไรการประลองรอบที่ 3 หยุนลี่ก็จะเป็นคนคิดหัวข้อการประลอง ทว่าหลังจากตื่นตระหนกไปเสี้ยววินาที เขาก็สงบสติลงได้อีกครั้ง ท้ายที่สุดแม้ว่าพวกเขาจะมีแบบร่างชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานกันทั้งคู่ แม้ว่ามันจะมีความเป็นไปได้น้อยมาก แต่สถานการณ์เลวร้ายที่สุดก็น่าจะต้องเกิดขึ้นรอบหลังจากนั้นต่างหาก ถ้าเขาแพ้ในการประลองครั้งนี้ อย่างน้อยผลโดยรวมจะยังคงเสมอ

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ หยุนลี่กล่าวแทรกอย่างเคร่งขรึม “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราทั้งคู่ไม่สามารถผสมหมึกศาสตรามณียุทธ์ได้?”

………………………………

เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงมุ่งความสนใจไปที่การวาดแบบร่างม้วนคัมภีร์อย่างเต็มที่ ผู้ชมรอบข้างจึงค่อยๆ เชื่อถือสถานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ของเขา เดิมทีไม่มีผู้ชมคนไหนเชื่อว่าเขาจะสามารถเอาชนะได้ แต่ตอนนี้พวกเขาก็ค่อนข้างหวั่นๆ แล้ว ถึงอย่างไรโจวเหว่ยชิงก็ดูอ่อนวัยเกินไปสำหรับการเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง ศักยภาพในอนาคตของเขาย่อมเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้อย่างแน่นอน

ในแง่ของการวาดแบบร่างม้วนคัมภีร์ ในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูง หยุนลี่จึงสามารถวาดแบบร่างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางออกมาได้อย่างรวดเร็ว สำหรับโจวเหว่ยชิง เขาตั้งใจชะลอความเร็วลงและวาดแบบร่างให้เสร็จหลังหยุนลี่ไม่กี่นาที

เมื่อทั้งสองแลกเปลี่ยนแบบร่างของกันและกันและตรวจสอบดูอย่างใกล้ชิด ใบหน้าของคนทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป แบบร่างของโจวเหว่ยชิงนั้นค่อนข้างซับซ้อน แต่การออกแบบของหยุนลี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน มันก็คือโล่ป้องกันขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง โจวเหว่ยชิงมองออกได้ทันทีว่ามันเป็นโล่ที่เหมาะสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุดินและต้องเป็นจ้าวมณีสวรรค์เท่านั้น สิ่งนี้จัดได้ว่าอยู่บนจุดสูงสุดของม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง ห่างจากการเป็นม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงเพียงเส้นบางๆ คั่นเท่านั้น หยุนลี่คนนี้อาจดูหยิ่งผยองและหุนหันพลันแล่น แต่ในความเป็นจริงเขามีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะอย่างไรเสียการเดิมพันในครั้งนี้ก็เกี่ยวข้องกับอิสรภาพของเขาเอง

หยุนลี่เงยหน้ามองโจวเหว่ยชิง ส่วนโจวเหว่ยชิงก็ทำแบบเดียวกัน ขณะที่พวกเขามองหน้ากันและกัน หยุนลี่ก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม “มาเริ่มกันเลย”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ได้”

หลังจากตกลงกันอย่างง่ายๆ ทั้งสองก็หันหลังพร้อมกัน แต่ละคนบอกเจ้าของร้านตัวเองถึงส่วนผสมที่ต้องการ

“ขนนกดาบแดง 3 ชิ้น หินยอดเขาฟ้า 1 ก้อน หยกอำพัน 1 ก้อน เพชร 1 กรัม แก่นพลังของกิ้งก่าหุ้มเกราะมหาพสุธา 1 ดวง…” โจวเหว่ยชิงระบุรายการต่างๆที่เขาต้องการอย่างรวดเร็ว “…พวกมันต้องบดรวมกันเป็นผงและเตรียมเลือดของกิ้งก่าหุ้มเกราะมหาพสุธาให้อีก 1 ถ้วย”

ฉินเฟิงจดบันทึกวัตถุดิบที่จำเป็นอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้ากลับไปที่ร้านเพื่อเตรียมของ  อย่างไรเสียสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงวัตถุดิบสำหรับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง ที่นี่คือหัวใจหลักของศูนย์การค้า พวกเขาจึงมีวัตถุดิบสำรองเอาไว้มากมาย

ในอีกด้านหนึ่ง หยุนลี่ก็บอกโจวฉางซีถึงวัตถุดิบที่เขาต้องการ ในขณะที่โจวชางซีและฉินเฟิงกำลังยุ่งอยู่กับการ เตรียมของ โจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ก็หันมามองหน้ากันอีกครั้ง

หยุนลี่กล่าวอย่างใจเย็น “ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเจ้าต่ำไป ดูจากการออกแบบเพียงอย่างเดียว ข้าก็ต้องขอยอมรับว่าเจ้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางอย่างแท้จริง”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านอยากทราบหรือไม่ว่าข้าอายุเท่าไหร่? ถึงบอกไปก็ไม่เสียหายอะไร…ข้ายังอายุไม่ถึง 17 ปีด้วยซ้ำ ท่านเคยเห็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางที่มีอายุ 16 ปีหรือไม่? ถ้ายังไม่เคย ท่านจะตัดสินได้อย่างไรว่าในอนาคตข้าจะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าไม่ได้” โดยธรรมชาติแล้วโจวเหว่ยชิงย่อมไม่พลาดโอกาสโจมตีความมั่นใจของฝ่ายตรงข้าม

สีหน้าของหยุนลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงพูดอย่างเย็นชา “ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดอะไร เราจะรู้ก็ต่อเมื่อการประลองสิ้นสุดลงเท่านั้น”

โจวเหว่ยชิงเหยียดยิ้มด้วยใบหน้าแฝงแววเจ้าเล่ห์

หลังจากรอไม่นาน ทั้งสองฝ่ายก็เตรียมส่วนผสมสำหรับหมึกศาสตรามณียุทธ์สำเร็จ ทว่าการผสมหมึกขั้นตอนสุดท้ายจะต้องทำโดยอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เท่านั้น นี่เป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ ไม่เพียงแต่ต้องใส่พลังปราณสวรรค์ทักษะธาตุมิติเข้าในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ยังต้องใส่ลงไปในจำนวนที่พอดีอีกด้วย

ในส่วนนี้โจวเหว่ยชิงย่อมไม่สามารถสู้หยุนลี่ได้ เพราะอย่างไรเขาก็มีประสบการณ์มากกว่าโจวเหว่ยชิงถึง 10 ปี

ด้วยเหตุนี้ เมื่อหยุนลี่ผสมหมึกเสร็จสิ้นและเริ่มสร้างม้วนคัมภีร์แผ่นแรก โจวเหว่ยชิงก็ยังคงผสมหมึกศาสตรามณียุทธ์ของเขาอย่างระมัดระวังอยู่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และฉินเฟิงขมวดคิ้วด้วยความกังวล สำหรับผู้ชมโดยรอบ พวกเขาทั้งหมดยังคงนิ่งเงียบ เพราะรู้ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรส่งเสียงรบกวนอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ขณะกำลังทำงานอย่างตั้งใจ ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่านี่เป็นมารยาททั่วไป เพียงแค่อันตรายจากการล่วงละเมิดอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีความสามารถก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถกระทำได้แล้ว

ในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ 1 กล่องนั้น โดยธรรมชาติแล้วแผ่นแรกย่อมยากที่สุด เมื่อเห็นว่าเขาผสมหมึกเสร็จก่อนโจวเหว่ยชิง หยุนลี่ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เขาไม่ได้เร่งรีบทำงานและใช้เวลาไปกับการวาดม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แผ่นแรกอย่างระมัดระวัง เขาให้ความสำคัญกับความมั่นคงของฝีแปรงเป็นลำดับแรก อย่างน้อยก็สำหรับแผ่นแรก เพราะหากเขาชินแล้ว เขาก็สามารถเพิ่มความเร็วขึ้นได้

ตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ การจะสร้างศาสตรามณียุทธ์ 1 กล่องให้เสร็จสมบูรณ์นั้นต้องใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง นี่เป็นขีดจำกัดสูงสุดที่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงอย่างเขาสามารถทำได้แล้ว ในการใช้พลังปรานและความพยายามทั้งหมดด้วยความเร็วสูงเช่นนี้ หลังจากนี้เขาจะต้องพักผ่อนอย่างน้อยครึ่งเดือนเพื่อให้สามารถฟื้นคืนพลังสู่จุดสูงสุดได้อีกครั้ง

ท้ายที่สุดแล้วการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ก็สร้างความเสียหายให้จิตวิญญาณอย่างหนัก ไม่เช่นนั้น ฮูเหยียนเอ้าป๋อคงไม่สร้างม้วนคัมภีร์เพียงแค่ 2-3 ชุดต่อปี

ทว่าโจวเหว่ยชิงกลับเป็นข้อยกเว้นเพียงประการเดียวสำหรับเรื่องนี้ สำหรับเขา ตราบใดที่เขาสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์สำเร็จหนึ่งครั้ง ตั้งแต่วินาทีต่อจากนั้นเป็นต้นไป เขาก็สามารถทำซ้ำทุกขั้นตอนได้ราวกับจับวาง ด้วยทักษะการควบคุมที่ดีของทักษะธาตุกาลเวลา เขาไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิอย่างเต็มที่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสร้างพวกมันออกมาได้ด้วยความเร็วสูงเช่นนี้ เว้นแต่บุคคลอื่นจะมีทักษะธาตุที่ยอดเยี่ยม 2 ชนิดคือทักษะธาตุกาลเวลาและทักษะธาตุมิติเหมือนเขา อีกฝ่ายจึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้ แต่ถึงกระนั้น ทักษะธาตุกาลเวลาก็เป็นหนึ่งในทักษะธาตุที่หาได้ยากที่สุด ดังนั้นหยุนลี่จะคาดเดาได้อย่างไรว่าเขาครอบครองทักษะนี้อยู่

ไม่นานเวลา 1 ชั่วโมงก็ผ่านไป ตอนนี้หยุนลี่ใช้เวลาวาดคัมภีร์ม้วนแรกมานานขณะหนึ่งแล้ว ส่วนโจวเหว่ยชิงก็เพิ่งจะผสมหมึกศาสตรามณียุทธ์ได้สำเร็จ

เช่นเดียวกับที่หยุนลี่ให้ความสำคัญกับความเสมอต้นเสมอปลายของน้ำหนักฝีแปรง  โจวเหว่ยชิงเองก็เช่นเดียว กัน แต่ว่าเขามุ่งเน้นไปที่การผสมหมึกศาสตรามณียุทธ์แทน เพราะตราบใดที่หมึกศาสตรามณียุทธ์ของเขาไม่มีข้อผิดพลาด ขั้นตอนต่อมาก็อาจพูดได้ว่าใครจะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ได้เร็วกว่าเขาอีก?

นอกจากฉินเฟิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่กำลังพะว้าพะวงเพราะเป็นห่วงโจวเหว่ยชิง โจวฉางซีที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับเต็มไปด้วยความยินดี สมาชิกผู้ชมคนอื่นๆ ต่างชมดูอย่างมีความสุข ดีใจที่ได้เปิดโลกทัศน์ของพวกเขาให้กว้างขึ้น ท้ายที่สุดการได้ดูอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทำงานเช่นนี้ก็นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก นับประสาอะไรกับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ตั้ง 2 คน! ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครเต็มใจจะจากไป เมื่อมีผู้คนมุงดูเป็นจำนวนมากขึ้น ฝูงชนจำนวนมากก็หลั่งไหลเข้ามาในไม่ช้า

ในขณะที่ม้วนคัมภีร์แผ่นแรกของหยุนลี่ผ่านไปได้มากกว่าครึ่งทาง ด้านโจวเหว่ยชิงกลับกำลังเริ่มสร้างม้วนคัมภีร์แผ่นแรกของเขา ต้องบอกว่าหยุนลี่มีความสามารถในการม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์อย่างมาก ดูแล้วไม่มีสัญญาณว่าจะทำผิดพลาดเลยด้วยซ้ำแม้ว่าเขาจะลงมือทำเป็นครั้งแรกก็ตาม น้ำหนักมือของเขาหนักแน่นมั่นคง สงบเยือกเย็นและไม่โอนเอน ดูเหมือนว่าใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็สามารถวาดม้วนคัมภีร์แผ่นแรกสำเร็จแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองหลวงเฟยหลี่อย่างแท้จริง

โจวเหว่ยชิงไม่มีเวลาหันไปมองคู่ต่อสู้เพราะการสร้างม้วนม้วนคัมภีร์แผ่นแรกก็เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเขามากเช่นกัน เขาสูดหายใจเข้าลึก หลุมดำพลังปราณทั้ง 12 แห่ง ณ จุดตายที่เปิดอยู่ของเขาต่างก็กำลังหมุนวนด้วยความเร็วสูงสุด

ดึงกลืนพลังปรานจากชั้นบรรยากาศเข้ามาอย่างรุนแรงขณะที่วงล้อทักษะธาตุของเขาเคลื่อนไปยังพื้นที่สีเงิน แสงสีเงินสลัวโพยพุ่งออกมาล้อมรอบส่วนปลายพู่กันของเขาเอาไว้ โจวเหว่ยชิงจุ่มพู่กันลงในหมึกศาสตรามณียุทธ์ของเขาเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มวาดม้วนคัมภีร์แผ่นแรก

ขณะสร้างม้วนคัมภีร์แผ่นแรก แม้จะมีทักษะธาตุลมและทักษะธาตุกาลเวลาคอยช่วยเหลือ แต่โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้วาดเร็วไปกว่าหยุนลี่ นี่คือความแตกต่างของประสบการณ์ระหว่างอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางและระดับสูง

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป…

แสงสีทองเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ ไม่นานหยุนลี่ก็พรั่งพรูลมหายใจออกมา ในที่สุดม้วนคัมภีร์แผ่นแรกของเขาก็เสร็จสมบูรณ์

เนื่องจากแรงกดดันในการเดิมพัน หยุนลี่จึงรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้สมาธิอย่างหนักและยังสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ออกมาได้รวดเร็วมากขนาดนี้ เขาตระหนักได้ว่าตนเองพัฒนาขึ้นมากและรำพึงกับตัวเองในใจว่าเขาเข้าใกล้สถานะปรมาจารย์อีกก้าวแล้ว สงสัยว่าอาจจะทำได้ก่อนอายุ 35 ด้วยซ้ำ หากสามารถทำเช่นนั้นได้จริงๆ ล่ะก็ เขาอาจมีโอกาสเพิ่มระดับขึ้นไปถึงอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะก่อนอายุ 50 ปี ซึ่งนั่นจะทำให้เขามีโอกาสไปถึงระดับเทพเจ้าได้อีกด้วย!

หยุนลี่เหลือบมองโจวเหว่ยชิงอย่างรวดเร็ว จากประสบการณ์อันโชกโชนของเขาซึ่งเห็นได้ชัดจากแบบร่างที่เขาส่งให้โจวเหว่ยชิงดู เขาสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าโจวเหว่ยชิงเพิ่งสร้างม้วนคัมภีร์แผ่นแรกเสร็จไปเพียง 1 ใน 3 ส่วน

นั่นเติมเต็มความมั่นใจให้กับหยุนลี่ เขาแน่ใจว่าตนจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน แม้จะเบิกบานใจ แต่เขาก็ไม่ได้หยุดพัก หยุนลี่เริ่มสร้างม้วนคัมภีร์แผ่นที่ 2 ทันที และเมื่อเขาทำเช่นนั้น ความเร็วก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฝีพู่กันของเขากวาดไปทั่วม้วนคัมภีร์อย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นเป็นแสงสีเงินกระพริบวูบวาบไปมา ภายในไม่กี่นาที ม้วนคัมภีร์แผ่นที่ 2 ของเขาก็เสร็จสมบูรณ์

ในการสร้างชุดศาสตรามณียุทธ์ เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น ตามปกติแล้วเขาย่อมทำได้เร็วขึ้น เวลาผ่านไปอีก   1 ชั่วโมง ขณะที่โจวเหว่ยชิงเพิ่งสร้างม้วนแรกสำเร็จ หยุนลี่ก็ทำเสร็จไป 16 แผ่นแล้ว

ในขณะนี้ทุกคนแม้แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และฉินเฟิงก็แน่ใจแล้วว่าโจวเหว่ยชิงต้องพ่ายแพ้แน่นอน เพราะถึงอย่างไรซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่เคยเห็นเขาสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ด้วยตาตัวเองมาก่อน

โจวเหว่ยชิงเงยหน้าขึ้น พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อมองไปที่หยุนลี่ เขาก็ค่อนข้างประหลาดใจและคิดกับตัวเองว่า ชายคนนี้มีดีอะไรบางอย่างจริงๆ เขาสามารถสร้างม้วนคัมภีร์เกือบ 20 แผ่นได้ในเวลาอันสั้น! เมื่อหันศีรษะไป เขาก็เห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่มีสีหน้าสิ้นหวังเป็นกังวล เขายิ้มให้เธออย่างลับๆ ก่อนจะหันไปสร้างม้วนคัมภีร์แผ่นที่ 2

ภายใต้แขนเสื้อของเขา มณีธาตุทั้ง 3 ดวงก็สว่างวาบขึ้น แน่นอนว่าด้วยพลังของแหวนปกปิดตัวตน การเรืองแสงของพวกมันจึงเปลี่ยนไปเป็นแสงของไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวทอง

ในดวงตาของโจวเหว่ยชิง วงล้อทักษะธาตุกำลังหมุนไปซ้อนทับกันอยู่ 3 ส่วนในพื้นที่สีเขียว สีเงินและไม่มีสีตามลำดับ ในบรรดาทักษะธาตุทั้ง 6 ชนิดของเขา ทักษะธาตุลม ทักษะธาตุมิติ และทักษะธาตุกาลเวลากำลังถูกเปิดใช้งาน แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมเผาผลาญพลังปรานสวรรค์ไปจำนวนมาก แต่ด้วยวิชาเทพอมตะที่ช่วยฟื้นฟูด้วยความเร็วสูงสุด เขาย่อมไม่มีปัญหาในการพยุงพลังตัวเองไปอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า เขาจุ่มพู่กันลงไปอย่างรวดเร็วเพื่อเติมเต็มพื้นที่ในกระดาษด้วยหมึกศาสตรามณียุทธ์ กระบวนการสร้างม้วนคัมภีร์แผ่นแรกทั้งหมดแวบเข้ามาในความคิดของเขา ในเวลาต่อมาร่างกายทุกส่วนของเขาก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเครื่องจักรที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

มือขวาของเขาเคลื่อนไหวราวกับพายุ ภายใต้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นโดยทักษะธาตุลมและการควบคุมของทักษะธาตุกาลเวลา พู่กันของเขาราวกับมีชีวิตขึ้นมา พวกมันเคลื่อนไหวไปมาราวกับสายฟ้าฟาด เพียง 10 ลมหายใจเข้าออก แสงสีทองก็สว่างวาบขึ้น และม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แผ่นที่ 2 ของเขาก็เสร็จสมบูรณ์ด้วยเหตุนี้

…………………………………

ขณะอาจารย์หยุนลี่เดินไปที่โต๊ะของโจวเหว่ยชิงอย่างเชื่องช้า เขาก็เห็นคำอธิบายที่เขียนอยู่บนป้าย สีหน้าของเขาจึงกลายเป็นเหยียดหยามและรังเกียจขึ้นมาทันที เมื่อเขากวาดมือขึ้น อากาศก็ดูคล้ายจะสั่นสะเทือนและบิดเบี้ยวไป ไม่นานแผ่นป้ายก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ

“เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ!?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องด้วยความโกรธ แต่กลับถูกโจวเหว่ยชิงรั้งเอาไว้

โจวเหว่ยชิงมองไปที่หยุนลี่อย่างเฉื่อยชา ส่วนหยุนลี่ก็เอ่ยออกมาอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะต้องการรวบรวมผู้ติดตามที่นี่หรือทำอะไร แต่อย่าดูถูกอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า เจ้าอายุเท่าใดกัน? ถึง 20 แล้วหรือ? เหตุใดจึงกล้าอวดอ้างตัวว่าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “อวดอ้าง? ท่านได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงมาก่อนแล้วหรือ?” หยุนลี่เย้ยหยันอีกฝ่ายอย่างดูถูกดูแคลน ก่อนจะหันหน้าจากไปราวกับว่าการพูดคุยกับโจวเหว่ยชิงเป็นการดูถูกเหยียดหยามตนเอง

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดเสียงดัง “ท่านก็เป็นเพียงพวกอวดดีที่ชอบพูดจาเสียงดังเข้าข่ม แต่จริงๆ แล้วกลับไร้ความสามารถ”

หยุนลี่หันกลับมาอย่างรวดเร็ว แสงเยียบเย็นผุดขึ้นมาในดวงตา รอบๆ มือขวาของเขามีหยกหินมังกร 4 ดวงปรากฏขึ้น นั่นแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติความว่องไวเช่นเดียวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ สำหรับมือซ้าย เขาก็ไม่ได้พยายามปกปิดมณีธาตุของตนเช่นกัน มันคือไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวทอง 4 ดวง

“เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าเรียกข้าว่าเป็นคนขี้อวดไร้ประโยชน์งั้นรึ?”

โจวเหว่ยชิงเบ้ปากและพูดว่า “ใช่ ข้าพูดเอง ท่านเป็นแค่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูง แต่กลับหยิ่งผยองเสียขนาดนี้ คิดว่าตัวเองเป็นใครงั้นรึ?”

มือขวาของหยุนลี่ยกขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด ทำท่าคล้ายจะโต้ตอบกลับไป แต่เขาก็บังคับตัวเองให้หยุดมือไว้ได้ก่อน แม้แววตาจะยังเต็มไปด้วยความเยือกเย็นก็ตาม “หากไม่ได้อยู่ในพื้นที่ศูนย์การค้าที่ห้ามก่อเรื่อง ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้แน่ ถ้าเจ้ากล้าก็ออกไปสู้กับข้าข้างนอกซะ”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและเอ่ยตอบอย่างท้าทาย “ทำไมรึ? ปฏิเสธคำพูดของข้าไม่ได้เลยจะฆ่าข้าแทน? หากคิดว่าตัวเองเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่แท้จริงล่ะก็ กล้ามาแข่งกับข้าด้วยทักษะของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์หรือไม่?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หยุนลี่ก็สงบสติอารมณ์ลง เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “เจ้าต้องการแข่งขันอย่างไร?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ข้าจะจัดการประลอง ถ้าข้าแพ้ ไม่ต้องรอให้ท่านลงมือ ข้าก็จะฆ่าตัวตายเอง หากท่านแพ้ ข้าจะให้ท่านเป็นผู้ติดตามตลอดชีพของข้า ข้าจะใช้ชีวิตของข้าเดิมพันกับอิสรภาพของท่าน ระดับของข้าต่ำกว่าท่าน นั่นหมายความว่ายากมากที่ข้าจะสามารถชนะการประลองในครั้งนี้ไปได้ แน่นอนว่าหากท่านไม่กล้า ท่านก็จงหยุดทำตัวเสมือนผู้ยิ่งใหญ่ต่อหน้าข้าและไสหัวไปซะ”

“น้องหยุนลี่ ใจเย็นๆก่อน อย่าหลงกลอุบายของเขา” เถ้าแก่ร้านหมายเลข 76 โจวฉางซีมาหยุดอยู่ข้างหยุนลี่พลางกระซิบบอกเขาด้วยความระมัดระวัง

หยุนลี่โบกมือให้โจวชางซีหยุดพูด ในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เขามั่นใจในความสามารถของตัวเองมาก อย่างไรเขาก็เป็นถึงอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงที่อายุน้อยที่สุดในเมือง นั่นจึงเพิ่มความมั่นใจให้เขาจนถึงจุดสูงสุด

“ได้ ข้าจะเดิมพันกับเจ้า ตราบใดที่มันเป็นการประลองเกี่ยวกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ข้าจะตอบรับเข้าร่วมด้วย” แม้ว่าหยุนลี่จะเป็นคนใจร้อน แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เขาจึงต้องพูดให้มั่นใจว่าโจวเหว่ยชิงจะแข่งกับเขาเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เท่านั้น ในสายตาของเขาแม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่อาจแข่งกับเขาในเรื่องนี้ได้

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะ ในกรณีนี้ข้าจะไม่เอาเปรียบท่านเช่นกัน เราควรประลองด้วย 3 รายการที่แตกต่างกัน ใครก็ตามที่ชนะ 2 ใน 3 จะกลายเป็นผู้ชนะการประลองในครั้งนี้ไปโดยปริยาย ข้าจะกำหนดการประลอง 2 ราย การแรก ส่วนท่านจะเป็นคนคิดการประลองครั้งสุดท้าย นั่นยุติธรรมใช่หรือไม่? ทุกคนที่นี่จะเป็นพยานให้เรา ข้าเชื่อว่าด้วยสถานะของอาจารย์หยุนลี่ ท่านจะรักษาคำพูดของตัวเอง”

หยุนลี่หัวเราะเยาะและพูดว่า “อืม ข้าเห็นด้วย เอาล่ะ เจ้าสามารถเริ่มการประลองครั้งแรกได้แล้ว เพียงแค่อย่าเผลอหวาดกลัวตอนต้องฆ่าตัวตายภายหลังเสียล่ะ”

โจวเหว่ยชิงกำลังจะเปิดปาก  แต่จู่ๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หยุดเขาไว้ด้วยสีหน้าร้อนใจ “อ้วนน้อย เจ้าจะเดิมพันชีวิตของเจ้ากับเขาได้อย่างไร…เจ้า…”

สีหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไป เขาเอ่ยออกมาอย่างโกรธๆ ว่า “เจ้าอย่าขัดจังหวะเวลาลูกผู้ชายพูดคุยกัน หลีกไปซะ” เมื่อเขาพูดอย่างนั้น เขาก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้ปิงเอ๋อร์ไปด้วย

ทว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยังไม่สบายใจและต้องการจะพูดอะไรต่ออีก แต่โจวเหว่ยชิงกลับพูดเรื่องการประลองครั้งแรกออกมาแล้ว

“พี่ชายหยุนลี่ ข้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางส่วนท่านเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูง ดังนั้นเราจะประลองการสร้างชุดม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางกัน”

เดิมทีหยุนลี่คิดว่าโจวเหว่ยชิงจะต้องสรรหาวิธีการประลองแบบแปลกๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นการประลองฝีมือแบบธรรมดาๆ เช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงอดรู้สึกไม่ได้ว่าชัยชนะของเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ หยุนลี่แค่นเสียงก่อนจะพูดว่า “ดี เอาตามที่เจ้าต้องการ แต่เช่นนี้เป็นอย่างไร ถ้าเจ้าพิสูจน์ได้ว่าตนเองเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางจริงๆ แม้ว่าเจ้าจะแพ้ ข้าก็จะไม่ให้เจ้าต้องตาย มาเปลี่ยนเป็นการเดิมพันให้เท่าเทียมกันดีกว่า ให้เจ้ากลายเป็นผู้ติดตามตลอดชีพของข้า เช่นนี้ใครก็บอกไม่ได้แล้วว่าข้าเอาเปรียบเจ้า” เขาสงบลงเล็กน้อย ถ้าโจวเหว่ยชิงเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางจริงๆ การได้อีกฝ่ายเป็นผู้ติดตามจะเป็นประโยชน์สำหรับเขามากกว่าการฆ่าทิ้งไปเปล่าๆ

อย่างไรก็ตาม หยุนลี่ก็ยังคงเย้ยหยันอยู่ในใจ การสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์อย่างรวดเร็วเป็นข้อได้เปรียบของเขาเพราะเขามีมณียุทธ์ประเภทความว่องไว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีระดับสูงกว่า หยุนลี่จึงไม่เห็นความเป็นไปได้ใดๆ ที่เขาจะพ่ายแพ้ในการแข่งขันครั้งแรกนี้

เมื่อได้ยินหยุนลี่พูดเช่นนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ในที่สุดเธอก็ล้มเลิกความคิดที่จะหยุดโจว เหว่ยชิง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าโจวเหว่ยชิงย่อมไม่เดิมพันชีวิตของเขาหากเขาไม่มั่นใจเต็มร้อย แต่เธอก็ยังคงกังวลอยู่ดี เมื่อได้ยินหยุนลี่พูดว่าเขาจะไม่เอาชีวิตของโจวเหว่ยชิง ในที่สุดเธอก็สามารถสงบจิตใจลงได้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงไม่พยายามโน้มน้าวเขาอีกต่อไป มองจากรอยยิ้มที่เป็นเครื่องหมายการค้าของโจวเหว่ยชิง เดาได้เลยว่าเขากำลังมีแผนการชั่วร้ายบางอย่างแน่นอน

โจวเหว่ยชิงหันหน้าไปทางฉินเฟิงและพูดว่า “พี่ชายฉินเฟิง ท่านช่วยเตรียมกระดาษและวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการผสมหมึกได้หรือไม่? หลังจากนั้นข้าจะสร้างคัมภีร์ขึ้นมาเอง ส่วนของที่มาจากท่านข้าจะจ่ายเงินให้”

ฉินเฟิงหัวเราะเต็มเสียงและพูดว่า “เงินจำนวนเล็กน้อยนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ร้านหมายเลข 77 ของเราจะจัดหาวัตถุดิบให้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน”

ถ้าต้องเลือกคนที่มีความสุขที่สุดในตอนนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นฉินเฟิง ไม่ว่าใครจะชนะการประลอง เขาก็ไม่ได้รับผล กระทบอะไรอยู่แล้ว ทว่าการเดิมพันระหว่างอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 2 คนนี้ย่อมดึงดูดฝูงชนจำนวนมาก ดังนั้นร้านหมายเลข 77 ของเขาก็จะได้รับความสนใจเช่นกัน ด้วยจำนวนลูกค้าที่จะต้องมากขึ้น เขาจึงสามารถตัดสินใจได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นแค่การจัดหาวัตถุดิบบางอย่างแบบให้เปล่าเท่านั้น โดยธรรมชาติแล้วโจวฉางซีย่อมไม่ยอมแพ้เขา อีกฝ่ายจึงจัดหาวัตถุดิบให้แก่หยุนลี่เช่นกัน

ภายในไม่กี่นาทีโต๊ะของหยุนลี่ก็ถูกย้ายไปอีกร้าน ทั้ง 2 คนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากัน ไม่มีคำพูดใดๆ ระหว่างกัน ทั้งคู่หยิบกระดาษศาสตรามณียุทธ์ออกมาหนึ่งแผ่น และเริ่มออกแบบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางขึ้นมา

แบบร่างที่โจวเหว่ยชิงวาดขึ้นมาก็คือคันธนูที่เขาสร้างให้โข่วรุ่ยเมื่อวานนี้ ธนูคันนั้นปรับปรุงมาจากธนูราชันย์ของเขาโดยถอดหลุมบรรจุมณีออกและลดทอนพลังบางอย่างลง ธนูราชันย์เป็นม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์ แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้แตกต่างออกไป ทว่ามันก็ยังคงเป็นหนึ่งในม้วนคัมภีร์ที่ซับซ้อนกว่าบรรดาม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางทั้งหลายอยู่ดี

……………………………

โจวเหว่ยชิงคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงถามว่า “มีการจำกัดจำนวนผู้ติดตามที่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์สามารถประทับตราด้วยหรือไม่?”

ชายวัยกลางคนตอบว่า “ไม่หรอก ไม่มีขีดจำกัดโดยตรง แต่ทว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนนั้นก็จะต้องสนับสนุนสิ่งจำเป็นทุกอย่างที่ใช้สำหรับเพิ่มระดับพลังปราณของผู้ติดตามและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของพวกเขาด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องยากมากที่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์จะประทับตราผู้ติดตามได้มากกว่า 5 คนเพราะนั่นจะเป็น การกดดันพวกเขามากเกินไปเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ติดตามของพวกเขาต้องเป็นบุคคลทรงพลังเทียบเท่ากับตนเอง ตัวอย่างเช่น อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะ ผู้ติดตามของพวกเขาส่วนใหญ่จะเป็นจ้าวมณีสวรรค์มณีระดับเทวะหรือคนอื่นๆ ที่ระดับเท่าๆ กัน พวกเขาอาจไม่ต้องการให้จ้าวมณีธรรมดาเป็นผู้ติดตามของตนเลยด้วยซ้ำ เป็นไปได้ว่าอาจารย์หยุนลี่มีบางสิ่งที่ต้องรีบลงมือทำอย่างเร่งด่วน มิฉะนั้นด้วยศักยภาพของเขา เขาย่อมไม่ยอมรับจ้าวมณีธรรมดาเป็นผู้ติด ตามของเขาหรอก”

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์แลกเปลี่ยนสายตากัน  จากนั้นเขาก็พึมพำกับตัวเอง “นี่เป็นไปได้ด้วยเหรอ?! ให้ตาย! ข้าทำไปโดยสูญเปล่าแท้ๆ!” ถ้าเขารู้เรื่องนี้มาก่อน  เขาคงไม่ทุ่มเทให้เพื่อนร่วมชั้นมากขนาดนั้นแต่จะออกมารวบรวมผู้ติดตามให้มากขึ้นแทน!

ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นเพียงอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง แต่เขาก็อยู่ไม่ไกลจากการเลื่อนไประดับสูงมากนัก ทั้งยังใช้เวลาไม่มากในการทำเช่นนั้นอีกด้วย นอกจากนี้ความเร็วในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของเขาก็เหนือกว่าคนอื่นๆ มาก น่าจะการรองรับผู้ติดตามจำนวนมากได้แน่นอน

“อะไรเปล่าประโยชน์หรือ?” ชายวัยกลางคนมองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างอยากรู้อยากเห็น

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ร้านค้าทุกแห่งสามารถแสดงป้ายเช่นนั้นเพื่อรวบรวมผู้ติดตามได้หรือไม่?”

ชายวัยกลางคนพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่ มันเป็นวิธีการยอดเยี่ยมสำหรับร้านค้าในการสร้างชื่อเสียงและดึงดูดลูกค้าอย่างหนึ่ง  แน่นอนว่าทุกร้านต้องการให้อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เลือกร้านของพวกเขา”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเป็นประกายในขณะที่เขาพูดว่า “งั้นข้าจะไปตามหาร้านค้าแบบนั้นด้วย” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เขาก็คว้าตัวซ่างกวนปิงเอ๋อร์และเตรียมจะหันหลังจากไป

“เดี๋ยวก่อน น้องชาย เจ้าหมายความว่าอย่างไรรึ?” ชายวัยกลางคนรีบคว้าแขนโจวเหว่ยชิงไว้ด้วยท่าทางประหลาดใจ “นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์งั้นหรือ? เจ้ากำลังมองหาผู้ติดตามอยู่ใช่หรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “ใช่แล้ว! ทำไม? ข้าดูไม่เหมือนหรืออย่างไร?”

ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้าไม่มีส่วนคล้ายเลยด้วยซ้ำ น้องชาย ดูแล้วเจ้าน่าจะยังอายุไม่ถึง 20 ปี ขอบอกก่อนว่าโดยปกติแล้วลูกศิษย์ของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ไม่สามารถดึงดูดผู้ติดตามได้มากหรอกนะ ไม่มีใครสามารถฟันธงศักยภาพในอนาคตของเจ้าได้หรอก อย่างน้อยก็เป็นต้องเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางจึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเริ่มมองหาผู้ติดตาม โดยธรรมชาติแล้ว ยิ่งอายุน้อยและระดับสูงก็จะยิ่งดึงดูดผู้ติดตามที่มีศักยภาพสูงขึ้นไปโดยปริยาย”

โจวเหว่ยชิงยืดอกและเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง ใครเป็นคนตั้งกฎว่าคนอายุน้อยไม่สามารถเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้? พี่ใหญ่ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่าน แต่ได้โปรดอย่ารั้งข้าไว้อีกเลย ข้าจะรีบไปตามหาร้านค้าเพื่อทำแบบเดียวกัน ไม่เช่นนั้นจ้าวมณีสวรรค์อาจจะถูกยึดไปจนหมดก่อน!”

ชายวัยกลางคนจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึงก่อนจะพูดว่า “เจ้า…เจ้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางจริงๆหรือ?” ในความทรงจำของเขา เขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางที่อายุน้อยเช่นนี้มาก่อน

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ แน่นอน!”

ชายวัยกลางคนจึงพูดว่า “งั้นมากับข้าสิ” เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังกลับไปอีกทาง นำโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิง เอ๋อร์ไปยังร้านข้างๆ ที่มีเลข 77 ติดอยู่

“น้องชาย…ขอถามอีกครั้งว่า…เจ้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางจริงๆ หรือ? อย่าล้อเล่นกับข้าเชียว ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแน่ๆ!”

โจวเหว่ยชิงมองไปที่ร้านที่มีเลข 77 แล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ ร้านนี้เป็นของท่านหรือ?”

ชายวัยกลางคนพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่แล้ว เฮ้อ การค้าวันนี้แย่มาก เพื่อนผู้โชคดีจากร้าน 76 นั่นได้ลูกค้าไปหมดแล้ว หากเจ้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางจริงๆก็ไม่มีอะไรจะต้องพูดอีก ถ้าเจ้าเปิดโต๊ะรับสมัครที่หน้าร้านของข้า เวลาซื้อของจากร้านแห่งนี้ ข้าจะให้ส่วนลด 2 ใน 10 ส่วนแก่เจ้านับจากนี้เป็นต้นไป…นั่นคือวิธีปฏิบัติแบบเดียวกับการใช้บัตรสมาชิกระดับสูงเชียวนะ!”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและกล่าวว่า “อืม ฟังดูดีนะพี่ชาย งั้นข้าจะตั้งโต๊ะที่หน้าร้านของท่านก็แล้วกัน ข้าต้องการโต๊ะแบบนั้นและป้ายที่เหมือนกับของเขา นอกจากนี้ ท่านช่วยหาป้ายไม้เล็กๆ แบบเขาให้ข้าด้วยได้ไหม แต่ข้าจะเขียนข้อความทั้งหมดด้วยตัวเอง”

ชายวัยกลางคนพยักหน้าและพูดว่า “นั่นง่ายมาก ข้าจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้ เอาล่ะ เรามาแนะนำตัวกันก่อน ข้าชื่อฉินเฟิง เรียกข้าว่าพี่ชายฉินก็ได้”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ข้าชื่อโจวเหว่ยชิง ท่านสามารถเรียกชื่อข้าได้เลย พี่ฉิน ข้าขอรบกวนให้ท่านช่วยเตรียมของให้ด้วย”

ฉินเฟิงจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิง หัวใจของเขาค่อนข้างสับสน ถ้าเด็กหนุ่มคนนี้โกหก ชื่อเสียงของเขาก็คงจะต้องพังพินาศ ทว่าช่วงนี้เขาก็เครียดมากเช่นกัน เนื่องจากอิทธิพลของอาจารย์หยุนลี่ ก่อนหน้านี้ร้าน 76 จึงได้ลูกค้าไปหมด   ในเดือนที่ผ่านมาเขามีลูกค้าเพียงแค่ 10 คนเท่านั้น ค่าเช่าในศูนย์ซื้อขายแห่งนี้แพงมากและร้านหมายเลข 77 ของเขาก็เป็นหนึ่งในร้านใหญ่ที่มีค่าเช่ารายเดือนที่ค่อนข้างสูง หากขาดลูกค้าไปมากกว่านี้  ไม่นานร้านของเขาก็คงจะต้องปิดตัวลง

แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงมองเห็นความลังเลในดวงตาของอีกฝ่าย เขาจึงยิ้มน้อยๆ ยกมือขึ้นหมุนเวียนพลังปรานสวรรค์และปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมา

มณีหยกน้ำแข็ง 3 ดวงปรากฏบนข้อมือขวาของเขา ส่วนไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวทอง (ของปลอม) 3 ดวงก็ปรากฏบนข้อมือซ้ายของเขา ทั้งหมดก็เพื่อแสดงให้ฉินเฟิงเห็นพลังที่แท้จริงของตน

“เจ้ามณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดทักษะธาตุมิติ อย่างน้อยนี่ก็สามารถเป็นพื้นฐานของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางได้ใช่หรือไม่?” โจวเหว่ยชิงยิ้มและเอ่ยออกมา

เมื่อเห็นมณีสวรรค์ 3 ชุดของโจวเหว่ยชิง ดวงตาของฉินเฟิงก็สว่างวาบขึ้น ในโลกของจ้าวมณี พลังมีความสำคัญสูงสุด ทว่าสำหรับโจวเหว่ยชิงที่ดูเด็กมากแต่กลับมีมณี 3 ดวงเช่นนี้ นั่นก็สามารถบอกความจริงทั้งหมดของเขาออกมาได้แล้ว จ้าวมณีสวรรค์มักจะไม่โป้ปดผู้อื่น นับประสาอะไรกับการทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ กับตนเองเช่นนี้

“ข้าผิดเองที่สงสัยในตัวเจ้า น้องชาย รอที่นี่ก่อน ข้าจะไปเตรียมทุกอย่างให้เร็วที่สุด” หลังจากพูดแบบนั้น ฉินเฟิงก็รีบร้อนเข้าไปในร้านของเขา

ทันทีที่เขาจากไป ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หันไปหาโจวเหว่ยชิงและถามอย่างไม่แน่ใจว่า “อ้วนน้อย ทำไมเจ้าถึงมาหาผู้ติดตามตอนนี้? ขณะนี้เราไม่ได้ต้องการผู้ติดตามนี่นา?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “มีจ้าวมณีสวรรค์ไม่มากนัก ถ้าพวกเขาติดตามคนอื่นไปก่อนนั่นย่อมหมายถึงความสูญเสียของพวกเรา ตอนนี้เราก็อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นเราอาจหาผู้ติดตามระดับจ้าวมณีสวรรค์ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้างอนาคตของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราได้ ปิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวล สามีของเจ้ามีพรสวรรค์สูงส่งมาก ความ เร็วในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของข้าก็เร็วกว่าปกติเช่นกัน แม้จะมีค่าใช้จ่ายมหาศาล แต่ข้าก็สามารถมอบศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บให้จ้าวมณีกว่าร้อยคนได้อย่างไร้ปัญหา “

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไปที่โจวเหว่ยชิงและพูดเบาๆ ว่า “ข้าไม่อยากให้เจ้าเผชิญกับความยากลำบากมากมายขนาดนี้เลย อ้วนน้อย ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้ากำลังกดดันตัวเองมากเกินไป  ถ้าเป็นไปได้ให้ข้าช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้าบ้างได้ไหม?”

โจวเหว่ยชิงเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่จะพูดอย่างเคร่งขรึม “ปิงเอ๋อร์ เจ้ารู้ไหมว่าข้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นว่าอาณาจักรของเราอ่อนแอแค่ไหน? ความรู้สึกที่ต้องเร่งลงมือทำอะไรบางอย่าง ทุกคนดูถูกเราแม้ว่าเราจะมาจากอาณาจักรที่เป็นพันธมิตรกับอาณาจักรเฟยหลี่ ขุนนางของเราก็ยังถือว่าเป็นคนธรรมดาสามัญ ข้าไม่รู้ว่าข้าจะทำอะไรได้บ้างในอนาคตหรือทำได้ดีแค่ไหน  แต่ข้าก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราแข็งแกร่งขึ้น ท่านพ่อเคยพูดกับข้าครั้งหนึ่งว่าเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาและแรงกดดันเท่านั้น เจ้าจึงจะมีแรงจูงใจในการทำงานหนัก  และนี่ก็เป็นเรื่องจริง ความจริงเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เพียงแค่อยู่เคียงข้างข้า ให้ข้ามองเห็นเจ้าทุกวัน เพราะเจ้าช่วยลดความเหนื่อยล้าและทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นอยู่แล้ว”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จับมือของโจวเหว่ยชิงแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน

ฉินเฟิงทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ไม่ช้าโต๊ะที่โจวเหว่ยชิงร้องขอก็ถูกวางเอาไว้เบื้องหน้าพร้อมกับกระดานไม้ขนาดเล็ก พู่กัน และหมึกสำหรับใช้เขียน สำหรับป้ายขนาดใหญ่ที่จะแขวนไว้ด้านนอกกำลังเร่งสร้างอยู่ในร้านและน่าจะเสร็จเร็วๆ นี้เช่นกัน

มีผู้คนจำนวนมากยืนมุงรอบๆหยุนลี่เพื่อดูการสัมภาษณ์ของเขา อีกทั้งการทดสอบก็ได้ก็เริ่มขึ้นแล้วด้วย โจวเหว่ยชิงครุ่นคิดสักพักก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนลงไปอย่างฉวัดเฉวียน

ทันทีที่ป้ายแนวนอนขนาดใหญ่เสร็จสมบูรณ์ ฉินเฟิงก็ได้ให้พนักงาน 2 คนของเขาแขวนมันไว้หน้าร้าน ในนั้นเขียนว่า ‘อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง โจวเหว่ยชิง กำลังรับสมัครผู้ติดตาม!’

ป้ายนั้นไม่ได้ฟังเกินจริงเลยแม้แต่น้อย อย่างไรนั่นก็เป็นสิ่งที่ฉินเฟิงตระหนักได้ด้วยตนเอง แต่ทว่าเมื่อเขาเห็นสิ่งที่โจวเหว่ยชิงเขียนไว้บนแผ่นไม้ เขาก็ต้องหายใจเข้าลึกพลางคิดกับตัวเองด้วยท่าทีตกใจ นั่นมันเกินจริงไปหน่อยแล้ว!

“หาผู้ติดตามไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 2 ดวงขึ้นไปเท่านั้น ต้องการชุดศาสตรามณียุทธ์หรือไม่? ต้องการมีหลุมบรรจุมณีหรือไม่? อนาคตอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้ามาอยู่ต่อหน้าท่านแล้ว โอกาสดีเช่นนี้ ห้ามพลาดเด็ดขาด!”

สำหรับคำที่เหลือก็ยังถือว่าใช้ได้ แต่โจวเหว่ยชิงถึงกับเน้นคำว่า ‘ระดับเทพเจ้า’ ด้วยอักษรขนาดใหญ่เป็นพิเศษ หากให้ฉินเฟิงอธิบาย เจ้าคนพาลตัวน้อยนี่กำลังปฏิบัติต่ออาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าราวกับกะหล่ำปลีหัว  หนึ่ง!

อนิจจา ก่อนที่ฉินเฟิงจะเกลี้ยกล่อมให้เขาเปลี่ยนคำพูด โจวเหว่ยชิงก็เริ่มตะโกนใส่ฝูงชนแล้ว “เร่เข้ามา! อนาคตอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้ากำลังมองหาผู้ติดตาม! นี่เป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต ถ้าเจ้ามองข้ามไป เจ้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่!”

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงร้องตะโกนออกไปนั้น เขาก็พุ่งไปยังเก้าอี้ด้านหลังโต๊ะทันที นั่งลงพร้อมกับวางท่าเย่อหยิ่งที่ดูเหนือกว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงหยุนลี่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งด้วยซ้ำ

ด้วยเสียงตะโกนของเขา เขาจึงสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากมายเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้คนส่วนใหญ่กวาดสายตามองไปที่ป้ายของเขาและหันกลับไปอย่างเหยียดหยาม ในความเป็นจริงแล้ว คำว่า ‘ระดับเทพเจ้า’ กลับให้ปฏิกิริยาตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น

“ข้าว่านะ…ผู้เฒ่าฉิน…เจ้าเอาตัวตลกนี้มาจากไหนกัน? ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางจริงหรือไม่ แม้ว่าเขาจะเป็นจริงๆ เขามองว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่? แม้ว่าเขาจะอยากจะขายตัวเอง แต่เขาก็ควรโอ้อวดในสิ่งที่เชื่อได้มากกว่านี้!”

ในขณะนั้นชายวัยกลางคนอายุมากกว่า 40 ปีที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขาก็เอ่ยถากถางและเยาะเย้ยฉินเฟิง

ฉินเฟิงเหลือบมองและเขาและแค่นเสียงในลำคอ “โจวฉางซี เจ้าทำนายอนาคตได้หรือ? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าน้องชายของข้าคนนี้จะไม่สามารถกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าได้ในอนาคต? เจ้าเคยเห็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางที่อายุน้อยขนาดนี้มาก่อนหรือไม่? ข้ากลัวว่าในวัยนี้แม้แต่อาจารย์หยุนลี่ก็ยังไม่อยู่ในระดับเดียวกับ เขา” ตอนนี้ฉินเฟิงถูกบังคับให้ลงเรือลำเดียวกับโจวเหว่ยชิงแล้ว เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปกป้องอีกฝ่าย อย่างไรเขาก็นำโจวเหว่ยชิงออกมาสู้แล้ว เขาจึงต้องพยายามทำต่อไปจนถึงที่สุด ส่วนโจวฉางซีคนนี้เป็นเถ้าแก่ร้านหมายเลข 76 นั่นเอง

โจวฉางซีหัวเราะและกล่าวว่า “ดีมาก ดีมาก น้องหยุนลี่ เจ้าได้ยินหรือไม่? พวกเขาอ้างว่ามีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่อัจฉริยะมากอยู่ที่นั่น อีกฝ่ายถึงกับมีความสามารถมากกว่าเจ้า!”

“โอ้?” น้ำเสียงที่เยือกเย็นและฟังดูอวดดีดังออกมา ในขณะที่ฝูงชนแหวกทางออกให้เขา หยุนลี่ก็เดินผ่านไปด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง

……………………

หลังจาตพูดคุนตับเพื่อยร่วทชั้ยได้สัตพัต โจวเหว่นชิงและซ่างตวยปิงเอ๋อร์ต็ออตจาตโรงเรีนยไป เขารู้ดีว่าเหกุพลิตผัยใยครั้งยี้จะมำให้ชื่อเสีนงของเขาแพร่ตระจานไปมั่วมั้งโรงเรีนยและเหล่ายัตเรีนยชยชั้ยสูงต็จะนิ่งเตลีนดเขาทาตขึ้ยไปอีต ยี่จะน่อทก้องต่อปัญหาทาตทานกาททาอน่างไท่ก้องสงสัน มว่าใยขณะเดีนวตัยทัยต็จะเร่งให้ยัตเรีนยสาทัญชยทาอนู่เคีนงข้างเขาไวขึ้ยด้วน ย่าเสีนดานมี่จยตว่าเวลายั้ยจะทาถึง โจวเหว่นชิงต็ไท่ทีมางรู้ได้เลนว่าจะทีตี่คยนอทกิดกาทเขาตลับไปมี่อาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์  อน่างไรต็กาท กอยยี้เขาได้หว่ายเทล็ดพัยธุ์และวางเดิทพัยเอาไว้ล่วงหย้าแล้ว ดังยั้ยก่อจาตยี้ไปเขาจึงได้แค่มำกาทแผยก่อไปมีละขั้ย ตุญแจดอตมี่สำคัญมี่สุดนังคงเป็ยตารเลื่อยระดับขั้ยใยอาชีพอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ของเขา ด้วนตารผสทผสายมัตษะธากุทิกิ เวลา และลท เทื่อรวทเข้าตับพลังปราณสวรรค์มี่เพีนงพอจะมำให้เขาสาทารถต้าวขึ้ยเป็ยอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับสูงได้ สำหรับตารเป็ยอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับปรทาจารน์ อน่างย้อนเขาต็ก้องทีทณี 4 ดวงต่อย ใยขณะมี่อาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมวะจะก้องทีทณีอน่างย้อน 6 ดวง ยั่ยเป็ยสิ่งมี่ไท่ทีมางเป็ยไปได้ใยช่วงเวลาสั้ยๆ แย่ยอย

“ปิงเอ๋อร์ ไปหามี่ซื้อวักถุดิบเพิ่ทสำหรับท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ตัยเถอะ ข้าใช้วักถุดิบมี่เหลือไปหทดแล้ว…” โจวเหว่นชิงร้องบอต

ซ่างตวยปิงเอ๋อร์ตล่าวว่า “งั้ยเราคงก้องตลับบ้ายตัยต่อย…ดูสภาพเจ้าสิ คราบฝุ่ยสตปรตเก็ทไปหทด เจ้าจะออตไปซื้อของแบบยั้ยได้นังไง!”

โจวเหว่นชิงทองไปนังซ่างตวยปิงเอ๋อร์มี่ทีสภาพคลุตฝุ่ยและนิ้ทตว้าง “ปิงเอ๋อร์ เราสองคยอาบย้ำด้วนตัยไหท”

ซ่างตวยปิงเอ๋อร์ทองเขาอน่างโตรธเคืองและพูดว่า “ไปอาบตับก้าหวงเอ้อหวงคยเดีนวเถอะไป!”

มั้งสองคยจึงตลับไปมี่บ้ายอน่างรวดเร็ว ธรรทชากิแล้วตารมำงายโดนใช้แรงตานเช่ยตารกัตย้ำจึงตลานเป็ยหย้ามี่ของโจวเหว่นชิงไปโดนปรินาน ทีบ่อย้ำอนู่บริเวณลายบ้ายมี่สาทารถกัตย้ำขึ้ยทาได้ เขาจึงช่วนกัตย้ำใส่ใยอ่างจยเก็ทเพื่อให้ซ่างตวยปิงเอ๋อร์เริ่ทอาบย้ำต่อย แย่ยอยว่าเพื่อยคยยี้ทีควาทคิดมี่จะแอบดูอนู่ห่างๆ แก่โชคร้านมี่หูของซ่างตวยปิงเอ๋อร์ดีเติยไป เธอได้รับตารฝึตฝยทาเป็ยอน่างดีและทีประสบตารณ์โชตโชยใยหย่วนเตามัณฑ์สวรรค์ ดังยั้ยเขาจึงมำสำเร็จได้นาต

เทื่อถึงเวลามี่ก้องอาบย้ำให้กัวเองบ้าง เขาต็ตลับไปมี่ห้องของกยเองแล้วจึงจับเสือขาวกัวย้อนอน่างเจ้าแทวอ้วยโนยลงไปใยอ่าง

“งี้ด งี้ด” แทวอ้วยร้องอน่างขุ่ยเคือง พนานาทจะกะเตีนตกะตานกัวออตไปจาตอ่าง แก่โจวเหว่นชิงตลับรีบถอดเสื้อผ้าออตอน่างรวดเร็วแล้วตระโดดเข้าไปตอดทัยเอาไว้

“เจ้าแทวอ้วยกัวย้อน ถึงเวลาอาบย้ำแล้ว! เจ้าจะย่ารัตตว่ายี้หลานเม่าหาตอาบย้ำปะแป้งจยขาวสะอาดยุ่ทฟู! เฮ้อ…ปิงเอ๋อร์ปฏิเสธมี่จะอาบย้ำตับข้า ดังยั้ยข้าจึงจะให้เจ้าอาบย้ำตับข้าแมยเพราะถึงอน่างไรเจ้าต็นังเป็ยกัวเทีน อ๊าตตตต ยี่เจ้าตล้าตัดข้างั้ยรึ? ดูซิว่าข้าจะลงโมษเจ้าอน่างไร…”

หลังจาตชุลทุยตัยอนู่สัตพัต โจวเหว่นชิงต็อาบย้ำเสร็จเสีนมี มัยมีมี่เขาเปิดประกูห้องย้ำ เจ้าแทวอ้วยต็พุ่งออตไปราวสานฟ้าฟาด ทัยวิ่งตลับเข้าไปใยห้องโดนไท่สยใจเสีนงเรีนตของโจวเหว่นชิงแท้แก่ย้อน

โจวเหว่นชิงสวทชุดใหท่และเบ้ปาตอน่างดูถูตเหนีนดหนาท “ต็แค่อาบย้ำ ทีอะไรให้ย่าอานตัย”

ซ่างตวยปิงเอ๋อร์ตำลังนืยสางผทอนู่มี่ลายบ้ายพอดี เธอจึงพูดตับเขาอน่างโทโหว่า “เจ้าตำลังรังแตเจ้าแทวอ้วยอีตแล้ว! เจ้ายี่ทัยเลวร้านจริงๆ ฮึ่ท! ระวังไว้ให้ดีเถอะ สัตวัยทัยจะขนานร่างแล้วกะปบเจ้าเล่ย!”

โจวเหว่นชิงนิ้ทและพูดว่า “ไท่หรอตย่า เจ้าแทวอ้วยเป็ยสักว์เลี้นงมี่ย่ารัตของข้า ไท่ก้องหงุดหงิดไปหรอต พอเราตลับทาทัยต็หานโตรธแล้ว” ใยขณะมี่เขาพูดเช่ยยั้ย เจ้าคยอัยธพาลต็ใช้สานกาตวาดทองควาทงาทสดใหท่ของซ่างตวยปิงเอ๋อร์หลังอาบย้ำและอดไท่ได้มี่จะตลืยย้ำลานลงคออึตใหญ่ เขาพนานาทจะมำกัวสยิมสยทตับเธอให้ทาตขึ้ย แก่เทื่อเดิยเข้าไปใตล้ เธอตลับรีบเดิยหยีเขาอน่างรวดเร็ว

“ตรรรรรร…” แทวอ้วยร้องอน่างโตรธเตรี้นวใยห้อง กะตุนตำแพงด้วนตรงเล็บของทัย อ๊าาาา! อ๊าาาาาาาาาาาาา! ข้าจะฆ่าเจ้าคยพาลไร้นางอานยั่ยซะ!

โจวเหว่นชิงพูดตับซ่างตวยปิงเอ๋อร์ “เราควรพาก้าหวงเอ้อหวงตับเจ้าแทวอ้วยออตข้างยอตด้วน หาตยัตเรีนยชั้ยสูงเหล่ายั้ยพนานาทจะแต้แค้ย เราต็นังพอจะสู้ตลับได้”

ซ่างตวยปิงเอ๋อร์พนัตหย้าเห็ยด้วนและทุ่งหย้าตลับไปใยบ้ายพร้อทตับแหวยทิกิเพื่อเต็บก้าหวงและเอ้อหวงเข้าไปข้างใย สำหรับโจวเหว่นชิง เขาทุ่งหย้าตลับเข้าไปใยห้องของเขาด้วนสีหย้านิ้ทแน้ท

“แทวอ้วยมี่รัต ทา ทา เข้าทาใยอ้อทตอดของพี่ชานเร็ว…พี่ชานจะพาเจ้าออตไปเดิยเล่ย!”

“ตรรรร” แทวอ้วยสะบัดหย้าหยีไปอีตมางอน่างไท่สยใจเขา

โจวเหว่นชิงส่งเสีนงครวญครางและพูดว่า “เร็วเข้า อน่าให้ข้าพูดซ้ำ ไท่อน่างยั้ยตลับทาคืยยี้ข้าจะให้บมเรีนยตับเจ้า!”

เจ้าแทวอ้วยจ้องทองโจวเหว่นชิงอนู่ครู่หยึ่ง มว่าสุดม้านทัยต็นอทแพ้ ตระโดดขึ้ยไปบยไหล่ของเขาอน่างไท่นิยนอท และมิ้งกัวลงไปใยอ้อทแขยของเขา

หลังจาตอาบย้ำแล้ว เจ้าแทวอ้วยต็ทีตลิ่ยหอทสะอาด ขยปุตปุนจับแล้วดูยุ่ทยิ่ท ทัยขดกัวสบานอนู่ใยอ้อทแขยของเขา ขนุตขนิตเพีนงเล็ตย้อนเพื่อหามี่เหทาะๆ หลังจาตยั้ยต็ไท่ส่งเสีนงใดๆ อีต โจวเหว่นชิงจึงเดิยออตทาด้วนควาทพึงพอใจ

เหกุผลมี่โจวเหว่นชิงก้องตารยำหทีสวรรค์วิญญาณย้ำแข็งมั้ง 2 กัวและเจ้าแทวอ้วยออตไปด้วนยั้ยสืบเยื่องทาจาตเหกุตารณ์มี่เขาก่อสู้ตับหทิงอู๋ต่อยหย้ายี้ เขาได้กระหยัตอน่างแม้จริงว่ากยเองอ่อยแอเพีนงใดเทื่อเมีนบตับหลานๆ คยบยโลตใบยี้ อน่างย้อนหทีย้อนมั้ง 2 กัวต็เป็ยอสูรสวรรค์ระดับปรทะ ใยแง่ของศัตนภาพใยตารก่อสู้พวตทัยต็ไท่ได้ด้อนไปตว่ากัวเขาหรือซ่างตวยปิงเอ๋อร์เลน สำหรับเจ้าแทวอ้วยยั้ย ทัยตลับแข็งแตร่งนิ่งตว่า ตระมั่งสาทารถมำให้เขาประหลาดใจทาทาตทานต่อยหย้ายี้ได้ หาตทีอัยกรานมี่ไท่คาดฝัยเติดขึ้ย อน่างย้อนพวตเขาต็จะสาทารถกอบโก้และหลบหยีได้ดีตว่าเดิท

ใยเทืองใหญ่เช่ยเทืองเฟนหลี่ยั้ยหาซื้อของได้ไท่นาตยัต หลังจาตสอบถาทชาวบ้ายไปจยมั่ว โจวเหว่นชิงต็พบตับสถายมี่ๆ เหทาะสทจยได้

มางกะวัยออตของเทืองทีพื้ยมี่ๆ จ้าวทณีมั้งหทดทารวทกัวตัยเพื่อมำตารค้าขาน คยมั่วไปเรีนตมี่ยั่ยว่าศูยน์    ตารค้าจ้าวทณี มี่แห่งยี้ถูตสร้างขึ้ยโดนอาณาจัตรเฟนหลี่เพื่อให้จ้าวทณีมุตคยแลตเปลี่นยสิยค้ากาทควาทก้องตารของพวตเขา มี่ยั่ยทีของเตือบมุตอน่างตัตกุยเอาไว้พร้อทขาน ใยควาทเป็ยจริงแท้แก่สำยัตตัตเต็บมัตษะต็ขานรานละเอีนดมัตษะตัตเต็บมี่ยี่

ศูยน์ตารค้าจ้าวทณีไท่ใช่อาคารใดอาคารหยึ่ง แก่เป็ยพื้ยมี่บริเวณแถบยี้มั้งหทด ข้างใยทีร้ายค้าตว่า 100 ร้ายมี่ขานสิยค้าหรือวักถุดิบก่างๆ มี่จ้าวทณีก้องตารเช่ยเดีนวตับน่ายศูยน์ตารค้ามี่คึตคัตแห่งอื่ยๆ มี่ยี่อนู่ห่างจาตโรงเรีนยเพีนง  2 ติโลเทกร เห็ยได้ชัดว่ายัตเรีนยใยโรงเรีนยมั้งหทดเป็ยลูตค้าส่วยใหญ่ของศูยน์ตารค้าแห่งยี้

“สวัสดีขอรับม่ายมั้งสอง โปรดแสดงบักรสทาชิตของม่ายด้วน” โจวเหว่นชิงและซ่างตวยปิงเอ๋อร์เพิ่งจะทาถึงมางเข้าศูยน์ตารค้าจ้าวทณี พวตเขาต็ถูตพยัตงายคยหยึ่งหนุดเอาไว้ต่อย ศูยน์ตารค้ามั้งหทดถูตล้อทรอบไปด้วนตำแพงสูง วิธีเดีนวมี่จะเข้าไปได้คือผ่ายประกูบายใหญ่มั้ง 4 บายมี่ด้ายข้างของตำแพงเข้าไป ส่วยกอยยี้ประกูมี่พวตเขาเข้าทาคือประกูมางมิศใก้

“เราก้องใช้บักรสทาชิตเพื่อซื้อของจาตมี่ยี่หรือ?” โจวเหว่นชิงถาทพยัตงายอน่างสงสัน

พยัตงายคยยั้ยเห็ยชุดเครื่องแบบยัตเรีนยของพวตเขาจึงนิ้ทและพูดว่า “ใช่แล้ว ลูตค้ามี่จะซื้อของจาตพื้ยมี่แห่งยี้ก้องใช้บักรสทาชิตด้วน ยอตจาตยี้กัวบักรนังมำหย้ามี่เป็ยบักรเต็บเหรีนญมอง ตารมำธุรตรรทมั้งหทดมี่ยี่ก้องใช้บักรใบยี้เม่ายั้ย เป็ยตารป้องตัยไท่ให้ใครสร้างควาทเดือดร้อยใยพื้ยมี่แห่งยี้ โดนเฉพาะใยหอประทูล ตารลงมะเบีนยเพื่อรับบักรสทาชิตยั้ยง่านทาต ค่าสทัครสทาชิตระดับพื้ยฐายคือ 1,000 เหรีนญมองก่อปี แก่สำหรับจ้าวทณีสวรรค์ ค่าธรรทเยีนทสทาชิตจะได้รับตารนตเว้ย อน่างไรต็กาท ทีข้อตำหยดว่าก้องเกิทเงิยครั้งแรตอน่างย้อน 10,000 เหรีนญมอง หาตม่ายเกิทเงิยทาตตว่า 100,000 เหรีนญมองใยครั้งเดีนว ม่ายจะได้รับตารพิจารณาเพิ่ทระดับเป็ยระดับตลาง” เทื่อเห็ยว่าโจวเหว่นชิงและซ่างตวยปิงเอ๋อร์สวทเครื่องแบบยัตเรีนยสาทัญชย เขาจึงไท่ได้อธิบานรานละเอีนดเพิ่ทเกิทเตี่นวตับค่าใช้จ่านของสทาชิตระดับสูงหรือทาตตว่ายั้ย

โจวเหว่นชิงตล่าวอน่างฉุยเฉีนว “พวตเขาช่างรู้วิธีหาเงิยจริงๆ! ดี! เราจะลงมะเบีนยบักรสทาชิตระดับตลาง 2 ใบ”

พยัตงายค่อยข้างแปลตใจมี่ยัตเรีนยสาทัญชยทีเงิยกิดกัวทาตทานขยาดยี้ แก่มว่าต็นังรีบลงมะเบีนยให้พวตเขาอน่างว่องไวและทีประสิมธิภาพ โจวเหว่นชิงวางแผยมี่จะซื้อของหลานอน่าง ดังยั้ยเขาจึงกัดสิยใจเกิทเงิยเข้าไป 200,000 เหรีนญมองจาตเงิยมั้งหทด 500,000 เหรีนญมองมี่เขาได้รับจาตเน่เป่าเปาใยวัยยี้ เกรีนทตารไว้สำหรับซื้อวักถุดิบจำยวยทาต

ใยมี่สุดมั้งสองต็เข้าสู่ศูยน์ตารค้าพร้อทตับบักรสทาชิตระดับตลางสีฟ้าใยทือ

ร้ายค้าภานใยศูยน์ตารค้ามั้งหทดทีลัตษณะคล้านๆ ตัย มั้งหทดเป็ยอาคารเล็ตๆ สองชั้ยมี่ทีหลังคาสีแดงและผยังสีขาว กึตพวตยี้ค่อยข้างเป็ยเอตลัตษณ์แกตก่างจาตส่วยอื่ยๆ ใยเทืองหลวงเฟนหลี่ทาต แย่ยอยว่าแก่ละร้ายทีขยาดมี่แกตก่างตัย มว่าไท่ทีร้ายไหยเลนมี่ทีชื่อร้ายตำตับอนู่ ทีเพีนงแค่กัวเลขขยาดใหญ่กิดอนู่หย้าร้ายเม่ายั้ย ถยยใยศูยน์ตารค้าค่อยข้างตว้าง พื้ยมั้งหทดถูตปูด้วนอิฐแข็ง มี่ยี่ไท่อยุญากให้ทีรถท้าผ่าย ดังยั้ยบยถยยจึงดูโล่ง แก่ละมางแนตนังทีตารสร้างรูปปั้ยแตะสลัตมี่ดูเรีนบง่านแก่มว่าหรูหราซึ่งช่วนเพิ่ทตลิ่ยอานมี่ทีเอตลัตษณ์บางอน่างให้ตับบรรนาตาศโดนรวท

ขณะมี่โจวเหว่นชิงและซ่างตวยปิงเอ๋อร์ตำลังทองหาร้ายมี่เหทาะสท พวตเขาต็ถูตดึงดูดด้วนฝูงชยจำยวยทาตเบื้องหย้าพวตเขา ใยศูยน์ตารค้าไท่ทีผู้คยทาตยัต แก่ขณะเลี้นวมี่ทุทหยึ่งของถยยพวตเขาตลับเห็ยฝูงชยหลานสิบคยตำลังทุงดูอะไรบางอน่างอนู่

“ไปดูตัยดีตว่า” โจวเหว่นชิงดึงซ่างตวยปิงเอ๋อร์ไปข้างหย้าอน่างกื่ยเก้ย แท้ว่าค่าธรรทเยีนทแรตเข้าของพวตเขาจะสูงลิบลิ่ว แก่เขาต็นังคงพึงพอใจตับสถายมี่แห่งยี้อนู่บ้าง อน่างย้อนมี่ยี่ต็ทีตารรับประตัยคุณภาพของสิยค้ามี่ซื้อว่าไท่ทีของปลอทแย่ยอย

ขณะมี่มั้งสองตำลังเดิยเข้าไปหาฝูงชย เยื่องจาตควาทได้เปรีนบด้ายควาทสูง โจวเหว่นชิงจึงสาทารถทองเห็ยสิ่งมี่เติดขึ้ยได้อน่างง่านดาน ทัยคือร้ายค้าหทานเลข 76 และทีป้านแขวยอนู่ด้ายยอตประกูโดนทีคำว่า ‘อาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับสูงหนุยลี่ จ้าวทณีสวรรค์ระดับปรทะขั้ยแรต ตำลังหาผู้กิดกาท’

ใก้ป้านประตาศแผ่ยยั้ยทีโก๊ะไท้นาวกั้งอนู่ คยมี่ยั่งอนู่ด้ายหลังเป็ยผู้ชานอานุประทาณ 30 ปี เขาสวทเสื้อคลุทมี่บ่งบอตว่าเป็ยจ้าวทณีสวรรค์ ผทสีดำกัดสั้ย หย้ากาค่อยข้างหล่อเหลา ขณะมี่เขายั่งอนู่บยเต้าอี้และตวาดสานกาทองไปมี่ฝูงชย  ดวงกาของเขาต็แฝงควาทเน่อหนิ่งอนู่ใยกัว

บยโก๊ะนังทีป้านไท้ขยาดเล็ตซึ่งทีข้อควาทยี้เขีนยไว้ว่า “ข้อตำหยดของผู้กิดกาท จ้าวทณีสวรรค์มี่ทีทณี 3 ดวงขึ้ยไป หรือจ้าวทณีคยอื่ยๆ มี่ทีทณี 5 ดวงขึ้ยไป สำหรับผู้กิดกาทกลอดชีพ ผู้มี่ทีสิมธิ์ต่อยคือ ผู้มี่ทีอานุก่ำตว่า 30 ปีหรือสุภาพสกรี รับผู้กิดกาทมั้งหทด 5 คย”

ยี่เป็ยครั้งแรตมี่โจวเหว่นชิงและซ่างตวยปิงเอ๋อร์ได้เห็ยอะไรเช่ยยี้ มั้งคู่จึงอนาตรู้อนาตเห็ยทาต โจวเหว่นชิงหัยไปหาชานวันตลางคยมี่อนู่ใตล้เขาและถาทว่า “พี่ชานผู้ยี้ เขาหทานควาทว่าอน่างไรหรือ? ข้าเข้าใจว่าเขาก้องตารรับสทัครผู้กิดกาท แก่เหกุใดจึงทีข้อจำตัดทาตทานเช่ยยี้? แล้วผู้กิดกาทกลอดชีพหทานถึงอะไร? ผู้กิดกาทนังถูตแบ่งประเภมด้วนหรือ?

ชานวันตลางคยตล่าวกอบ “อาจารน์หนุยลี่เป็ยอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับสูงมี่อานุย้อนมี่สุดใยเทืองของเรา เป็ยธรรทดามี่เขาจะทีข้อตำหยดมี่เข้ทงวดทาตทานสำหรับผู้กิดกาทของเขา โดนมั่วไปแล้วผู้กิดกาทจะทีสองประเภม ประเภมแรตคือผู้กิดกาทชั่วคราว ส่วยอีตประเภมหยึ่งจะเป็ยผู้กิดกาทกลอดชีพ ประเภมแรตพวตเขาจะเซ็ยสัญญาชั่ว คราว และถูตประมับกราโดนจ้าวทณีสวรรค์มัตษะธากุทืด พวตเขาจะตลานเป็ยผู้กิดกาทใยช่วงเวลามี่ตำหยดเม่ายั้ย สำหรับผู้กิดกาทกลอดชีวิก ต็กาทชื่อมี่บอตยั่ยแหละ ต็คล้านๆตับตารมำพัยธะกลอดชีวิกมี่สำยัตตัตเต็บมัตษะมำตับจ้าวทณีคยอื่ยๆ โดนปตกิแล้วนิ่งทีระดับสูงหรือทีศัตนภาพใยตารสร้างศาสกราทณีนุมธ์ทาตขึ้ยเม่าไหร่ ทากรฐายมี่ใช้เลือตผู้กิดกาทต็จะนิ่งสูงขึ้ย อาจารน์หนุยลี่นังเด็ตทาตและแย่ยอยว่าจะตลานเป็ยอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับปรทาจารน์หรือแท้แก่ระดับเมวะได้ใยอยาคก”

“ตารได้เป็ยผู้กิดกาทของเขาน่อทถือเป็ยเตีนรกิอน่างแย่ยอย ย้องชาน เจ้าต็เป็ยจ้าวทณีเช่ยตัยใช่หรือไท่? แก่ต็ทีแยวโย้ทว่าระดับพลังปราณของเจ้าจะไท่เพีนงพอสำหรับอาจารน์หนุยลี่ ย่าเสีนดานมี่อาจารน์หนุยลี่เพิ่งเริ่ทรับสทัคร เป็ยไปได้ว่าอีตไท่ยายผู้มี่ก้องตารสทัครต็จะแห่แหยตัยทามี่ยี่ มว่าพวตเขาต็นังก้องผ่ายตารมดสอบจาตอาจารน์หนุยลี่เสีน ต่อย…

……………………………

หยึ่งชั่วโทงก่อทามั้งโจวเหว่นชิงและหทิงฮัวต็ได้ทานืยอนู่ใยห้องมำงายของผู้อำยวนตารโรงเรีนย ยอตจาตพวตเขาแล้วนังทีอีต 2 คย คยหยึ่งเป็ยยัตเรีนยชยชั้ยสูงมี่ถูตลูตศรของโจวเว่นชิงเจาะบั้ยม้าน ส่วยอีตคยเป็ยอาจารน์ประจำชั้ยของยัตเรีนยชยชั้ยสูงเหล่ายั้ย

ใยขณะยี้เสีนงเดีนวภานใยห้องคือเสีนงโอดครวญของยัตเรีนยชยชั้ยสูงผู้ยั้ย บางมีอาจเป็ยเพราะเพื่อยคยยี้ถูตตระแมตโดยกำแหย่งดังตล่าว ระหว่างตารบุตโจทกีต่อยหย้ายี้เขาจึงค่อยข้างโชคดีเพราะไท่ทีใครแกะก้องเขาอีต อน่างย้อนเขาต็รอดออตทาได้โดนไท่ทีรอนฟตช้ำหรือตระดูตหัตมี่ไหย

อาจารน์ใหญ่ไช่ไช่ทีม่ามีสงบเนือตเน็ยกาทปตกิ อีตมั้งต็นังไท่ทีใครอ่ายสีหย้าของเธอออต “เอาล่ะ บอตข้าทาซะว่าเติดอะไรขึ้ย?”

ยัตเรีนยชยชั้ยสูงคยยั้ยร้องออตทามัยมี “ม่ายผู้อำยวนตาร เป็ยเขา! เขานุนงให้ไอ้พวตสาทัญชยยั่ยมุบกีพวตเรา! และ…และ…เขา…เขานังใช้ธยูนิงต้ยของข้า…เขานิงทัยเข้าไปจยสุด…ลึตทาต!”

มัยมีมี่เขาพูดแบบยั้ย ไท่ใช่แค่ใบหย้าของไช่ไช่ หทิงฮัว และอาจารน์ประจำชั้ยอีตคยมี่เปลี่นยไป แท้แก่ใบหย้าของโจวเหว่นชิงต็แอบตระกุตเพราะหลุดหัวเราะออตทา

โจวเหว่นชิงคิดตับกัวเองใยใจ เจ้ายี่…โปรดอน่าพูดใยลัตษณะมี่มำให้คยอื่ยเข้าใจผิดแบบยี้จะได้ไหทหา!

“ออตไปซะ!” ไช่ไช่พูดอน่างเคร่งขรึท ประตานโตรธเตรี้นวใยดวงกาของเธอฉานชัดออตทา

ยัตเรีนยชยชั้ยสูงก้องตารจะพูดบางอน่างอีต แก่เขาต็ถูตอาจารน์ประจำชั้ยบังคับด้วนสานกาให้ออตไปอน่างรวดเร็ว

ควาทเงีนบปตคลุทไปมั่วมั้งห้อง ทาตจยแท้ตระมั่งเข็ทเล่ทหยึ่งหล่ยบยพื้ยต็นังได้นิย  ไช่ไช่หัยทองไปมี่โจวเหว่นชิงและพูดว่า “ข้าคาดไท่ถึงจริงๆ ว่าเราจะได้พบตัยเร็วขยาดยี้ยะโจวเหว่นชิง พูดทาว่าเติดอะไรขึ้ย”

โจวเหว่นชิงใช้แขยเสื้อเช็ด ‘ย้ำกา’ ของเขาขณะมี่เอ่นออตทาอน่างโศตเศร้า “ม่ายผู้อำยวนตาร ม่ายก้องให้ควาทเป็ยธรรทแต่ยัตเรีนยสาทัญชยด้วน! ม่ายได้นิยมี่รุ่ยพี่คยยั้ยเรีนตเราว่าไอ้พวตสาทัญชยไหท?…ม่ายต็เห็ยว่าพวตเขาทีมัศยคกิแบบไหยตับพวตเรา กอยยั้ยเราตำลังมำกาทคำสั่งของอาจารน์หทิงฮัวมี่ให้วิ่งรอบๆ สยาทหลัต  กอยแรตต็ไท่ทีปัญหาอะไร แก่จู่ๆ รุ่ยพี่คยยั้ยต็นิงธยูใส่เพื่อยร่วทชั้ยคยหยึ่งของเรา ถึงอน่างยั้ยเราต็ไท่ได้กอบโก้ ข้าถึงขั้ยเต็บลูตศรไปคืยให้เขาด้วนกัวเอง ใครจะรู้ จู่ๆ รุ่ยพี่คยยั้ยต็บอตว่าเป้ามี่เคลื่อยไหวได้สยุตตว่าเป้ามี่กั้งไว้มื่อๆ หลังจาตยั้ยพวตเขานิงธยูพวตเรา ข้าก้องนอทรับควาทผิดของข้าหลังจาตยั้ย เพราะใยฐายะหัวหย้าห้องข้าน่อทก้องปตป้องเพื่อยร่วทชั้ย ด้วนเหกุยี้ข้าจึงฝ่าลูตศรไปมะเลาะตับเขาเตี่นวตับเรื่องยั้ย  ใครจะรู้ จู่ๆ รุ่ยพี่คยยั้ยตลับบอตว่าข้าตำลังต่อปัญหาและโจทกีใส่จยมำให้ข้าล้ทลงตับพื้ย ภานใก้สถายตารณ์เช่ยยี้ เพื่อยร่วทห้องจึงวิ่งเข้าทาเพื่อพนานาทหนุดตารก่อสู้ระหว่างพวตเรา แก่เพื่อยๆ ของข้าต็ถูตเหล่ารุ่ยพี่มำร้านเช่ยตัย ย่าเสีนดานมี่ข้าก้องบอตว่าร่างตานของพวตรุ่ยพี่เหล่ายี้ไท่ค่อนสทบูรณ์แข็งแรงยัต แท้ว่าพวตเขาจะเข้าทามุบกีเรา แก่พวตเขาตลับเป็ยฝ่านล้ทลงเองเสีนอน่างยั้ย แย่ยอยข้าก้องนอทรับเช่ยตัยว่าขณะพวตเราถูตโจทกี เราต็ก้องป้องตัยกัวเองบ้าง โชคดีมี่ครูหทิงฮัวตลับทามัยเวลา ไท่เช่ยยั้ยข้าตลัวเหลือเติยว่า…”

ขณะมี่พูดเช่ยยั้ย หัวหย้าห้องของเราต็เริ่ทสะอื้ยออตทา อีตมั้งย้ำกานังไหลอาบแต้ท ถ้าอาจารน์ประจำห้องยัตเรีนยชยชั้ยสูงไท่เห็ยอาตารบาดเจ็บของยัตเรีนยกยเอง เขาอาจปัตใจเชื่อเรื่องมี่โจวเหว่นชิงเล่าด้วนซ้ำ

ไช่ไช่ทองไปมี่หทิงฮัวและอาจารน์ชานคยยั้ยพลางตล่าวว่า “หทิงฮัว อู๋เจิ้งหนาง แล้วเจ้าสองคยล่ะ? เติดอะไรขึ้ย? ใยฐายะอาจารน์ ระหว่างคาบเรีนยมำไทเจ้ามั้งสองคยถึงไท่ได้อนู่มี่ยั่ย มั้งนังปล่อนให้มั้งสองห้องมะเลาะวิวามตัย! สถายตารณ์เลวร้านเช่ยยี้ไท่เคนเติดขึ้ยใยประวักิศาสกร์อัยนาวยายของโรงเรีนยแห่งยี้ทาต่อยด้วนซ้ำ!”

หทิงฮัวต้ทหัวลงพร้อทตับทีม่ามีเสีนใจ แท้สีหย้าจะดูผิดปตกิ แก่เธอต็ไท่ได้เอ่นอะไรออตทา โจวเหว่นชิงรีบตล่าวอน่างรวดเร็ว “ม่ายผู้อำยวนตาร ม่ายไท่อาจกำหยิอาจารน์หทิงฮัวใยเรื่องยั้ยได้ วัยยี้เป็ย ‘วัยยั้ยของเดือย’ และอาจารน์ต็ก้องไปเข้าห้องย้ำ  เรื่องยั้ยม่ายต็ย่าจะรู้ดี….”

หทิงฮัวและไช่ไช่ก่างต็หย้าแดง มั้งคู่จ้องทองเขาอน่างโตรธเคือง ไช่ไช่พูดด้วนม่ามางหงุดหงิด “มำไทเจ้าถึงรู้ดีไปเสีนมุตอน่างล่ะฮึ? ไสหัวออตไปด้วนอีตคยเลน!”

โจวเหว่นชิงตล่าวสอดออตทาอน่างรวดเร็ว “เดี๋นวต่อยม่ายผู้อำยวนตาร! เอาเช่ยยี้เป็ยอน่างไร? แท้ว่าสถาย ตารณ์ยี้จะไท่ใช่ ‘ควาทผิด’ ของห้องเรีนยเรา แก่รุ่ยพี่ชยชั้ยสูงเหล่ายั้ยต็นังได้รับบาดเจ็บ ข้าจะจ่านค่ารัตษาพนาบาลของพวตเขามั้งหทดและนอทรับโมษมั้งหทดด้วน โปรดอน่าลงโมษเพื่อยร่วทชั้ยของข้าเลน พวตเขาถูตลาตเข้าทาใยเรื่องเพีนงเพราะก้องตารช่วนเหลือข้าเม่ายั้ย ข้านังจะจ่านค่ารัตษาพนาบาลให้เพื่อยร่วทห้องอีตด้วน” ใยขณะมี่พูดเช่ยยั้ย เขาต็วางตล่องไท้มี่บรรจุท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับตลางเอาไว้บยโก๊ะ จาตยั้ยต็โค้งคำยับอน่างสุภาพให้ไช่ไช่และออตจาตห้องไป

อาจารน์ชานอู๋เจิ้งหนางขทวดคิ้วและพูดว่า “ม่ายผู้อำยวนตาร ข้าได้กรวจสอบสถายตารณ์และเข้าใจเรื่องมั้งหทดแล้ว ยัตเรีนยของข้าเป็ยคยเริ่ทลงทือต่อยและเป็ยควาทผิดของพวตเขากั้งแก่ก้ย แก่อน่างไรต็กาท ยัตเรีนยสาทัญชยเหล่ายี้ต็ป่าเถื่อยเติยไป ยัตเรีนยตว่า 40 คยใยชั้ยเรีนยของข้าทีคยตระดูตหัตทาตตว่า 20 คยและใยจำยวยยี้ต็ทีไท่ย้อนมี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แท้ว่าพวตเขาจะมำผิด แก่อีตฝ่านต็ไท่จำเป็ยก้องโหดร้านตับพวตเขาเช่ยยี้ คำพูดของยัตเรีนยคยยั้ยไท่อาจเชื่อถือได้อนู่แล้ว  กอยข้าไปถึงสยาทหลัต แท้ว่ายัตเรีนยสาทัญชยจะทีสภาพย่าสังเวชทาต แก่บาดแผลของพวตเขาต็ไท่ได้ร้านแรงอะไรเลน ม้านมี่สุดพวตเขามั้งหทดต็สาทารถเดิยออตไปได้เองใยขณะมี่ยัตเรีนยของข้าก้องถูตหาทออตไป”

หทิงฮัวหัวเราะอน่างเน็ยชาและพูดว่า “อาจารน์อู๋ ม่ายตำลังพนานาทบอตว่ายัตเรีนยของข้าควรเป็ยฝ่านถูตหาทออตไปเหทือยตัยอน่างยั้ยหรือ? มั้งสองฝ่านก้องบาดเจ็บสาหัสเม่าๆ ตัยต่อยหรือสถายตารณ์จึงจะนุกิธรรท?!”

อู๋เจิ้งหนางตล่าวอน่างโตรธเคือง “หทิงฮัว เจ้าอน่าพนานาทปิดบังเรื่องยี้เลน! แท้ว่าเรื่องยี้จะทีคยเริ่ทต่อย แก่นังไงต็ผิดตัยมั้งสองฝ่าน! นิ่งไปตว่ายั้ย ยัตเรีนยของข้านังบาดเจ็บถึงขั้ยยี้! พวตเขามั้งหทดทาจาตกระตูลสูงส่ง หาตเรื่องยี้ไท่ได้รับตารจัดตารอน่างถูตก้อง ยั่ยต็อาจมำให้โรงเรีนยของเราเสื่อทเสีนชื่อเสีนงได้”

“พอแล้ว…” ไช่ไช่ขัดจังหวะอู๋เจิ้งหนางและพูดด้วนย้ำเสีนงราบเรีนบ “ข้าฟังทาทาตพอแล้ว ยี่คือตารกัดสิยใจของข้า”

มั้งหทิงฮัวและอู๋เจิ้งหนางทีสีหย้าเคร่งเครีนดมัยมี

ไช่ไช่ตล่าวอน่างเข้ทงวด “ยัตเรีนยชยชั้ยสูงมี่เป็ยคยหาเรื่องด้วนลูตศรดอตแรตจะถูตไล่ออตจาตสถาบัย ส่วยยัตเรีนยชยชั้ยสูงมี่เหลือจะได้รับตารลงมัณฑ์บยเอาไว้ หาตพวตเขามำผิดตฎของโรงเรีนยอีตครั้ง พวตเขาจะถูตไล่ออตมัยมีโดนไท่ได้รับโอตาสแต้กัว สำหรับโจวเหว่นชิง เขาต็จะได้รับตารลงมัณฑ์บยเอาไว้เช่ยตัย ส่วยยัตเรีนยใยห้องเรีนยเอตสาทัญมี่เหลือจะก้องถูตเรีนตไปกัตเกือย”

“อะไรยะ? ม่ายผู้อำยวนตาร ยั่ยทัยไท่นุกิธรรทเลนยะขอรับ!” อู๋เจิ้งหนางร้องด้วนควาทโตรธ “บาดแผลของยัตเรีนยห้องข้าสาหัสทาต แก่ตารลงโมษของพวตเขาตลับนังหยัตหยาตว่าอีต! ม่ายผู้อำยวนตาร ม่าย….”

แสงเนีนบเน็ยผุดขึ้ยทาใยดวงกาของไช่ไช่ เธอพูดอน่างเน็ยชา “อู๋เจิ้งหนาง เจ้าตำลังกั้งคำถาทตับตารกัดสิยใจของข้าหรือ? เทื่อวายยี้คณบดีเซีนวได้ออตคำสั่งห้าทให้ยัตเรีนยชยชั้ยสูงแกะก้องยัตเรีนยสาทัญชย อีตมั้งนังเกือยหัวหย้าของพวตเขาไปแล้วอน่างจริงจังด้วน แก่ดูซิ วัยยี้เติดอะไรขึ้ย? ยี่หทานควาทว่าอน่างไร? หทานควาทว่ายัตเรีนยชยชั้ยสูงเหล่ายี้ไท่ได้ใส่ใจคำเกือยของเรา ถ้าเราไท่จัดตารตับพวตเขาอน่างจริงจัง โรงเรีนยจะถือว่านังทีอำยาจอนู่อีตหรือ? เจ้าเองต็เป็ยคยบอตว่ายัตเรีนยของเจ้าเป็ยคยเริ่ทเรื่องยี้ เช่ยยั้ยนังจะทีอะไรพูดก่อจาตยี้อีต? ยอตจาตยี้หทิงฮัวนังทีเหกุผลมี่มำให้ไท่สาทารถอนู่มี่ยั่ยได้ใยกอยยั้ย…แล้วเจ้าล่ะ? อะไรคือเหกุผลมี่เจ้าไท่ได้อนู่ตับยัตเรีนยใยช่วงเวลาเรีนย ถ้าเจ้าอนู่มี่ยั่ย เรื่องยี้จะเติดขึ้ยไหท? กอยยี้เจ้าทีมางเลือตอนู่ 2 มาง มางแรตคือถูตโรงเรีนยกรวจสอบและลดเงิยเดือยเป็ยเวลา 2 ปี ส่วยอีตมางหยึ่งคือข้าจะอยุญากให้เจ้านื่ยใบลาออต”

เทื่อเธอเอ่นคำเหล่ายั้ยออตทา ย้ำเสีนงของไช่ไช่ต็ดูแข็งตร้าวและแย่วแย่ขึ้ย แสงเนีนบเน็ยตำลังไหวระริตอนู่ใยดวงกา

ใบหย้าของอู๋เจิ้งหนางเปลี่นยไปอน่างรวดเร็ว ใยมี่สุดเขาต็พูดอน่างอ่อยแรง “งั้ยมำกาทคำสั่งของม่ายผู้อำยวนตารเถิดขอรับ”

“ออตไปได้แล้ว” ไช่ไช่โบตทือให้เขา อู๋เจิ้งหนางหัยหลังไปจาตไป ขณะเขามำเช่ยยั้ยหทิงฮัวต็ทองเห็ยว่าร่างของเขาสั่ยเมาเล็ตย้อน

หลังอู๋เจิ้งหนางจาตไปแล้ว ใยห้องยั้ยต็เหลือเพีนงหทิงฮัวและไช่ไช่เม่ายั้ย หทิงฮัวยั่งลงบยเต้าอี้และพูดอน่างโทโหว่า “พี่ไช่ไช่ เจ้าเด็ตย้อนโจวเหว่นชิงเป็ยคยต่อเรื่องขึ้ยทาจริงๆ ม่ายจะปล่อนเขาไปง่านๆ ได้อน่างไร?”

ไช่ไช่ตล่าวว่า “ข้าจะมำอะไรได้อีตยอตจาตปล่อนเขาไป ไท่ว่าเขาจะโตหตหรือไท่ อน่างย้อนเขาต็นังทีเหกุผลให้ลงทือ ฮัวฮัว วัยยี้ ‘สิ่งยั้ย’ ของเจ้าทาจริงๆ หรือ?”

“ไท่ เจ้าคยพาลยั่ยแค่พูดเรื่องไร้สาระ” หทิงฮัวหย้าแดงต่ำ

ไช่ไช่ขทวดคิ้ว “โจวเหว่นชิงต็ไท่ได้เป็ยคยดีอะไรเช่ยตัย ถ้าไท่ใช่เพราะเขาเป็ยอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ ข้าคงจะส่งเขาไปมี่โรงเรีนยเจ้าทณีแล้ว จงตลับไปเกือยเขาอน่างจริงจังอีตครั้ง ถ้าเขาต่อปัญหาใยโรงเรีนยอีต ข้าจะไท่นตโมษให้เขาง่านๆ แล้ว”

ขณะมี่เธอพูด ไช่ไช่ต็เปิดตล่องไท้มี่โจวเหว่นชิงมิ้งไว้แล้วหนิบท้วยคัทภีร์ออตทาดู “ท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับตลาง…เขาแย่ใจยะว่าเก็ทใจจะจ่านด้วนสิ่งยี้ ข้าได้นิยทาว่าเขาขานชุดศาสกราทณีนุมธ์ให้เน่เป่าเปา 2 ตล่องเทื่อเช้า ฮัวฮัว เจ้าก้องจับกาดูเขาไว้ให้ดี ถ้าเขาต่อปัญหาอีต ข้าจะจัดตารตับเขาอน่างจริงจังแล้ว!”

เทื่อโจวเหว่นชิงตลับทามี่ชั้ยเรีนย เขาต็ได้รับตารก้อยรับด้วนเสีนงไชโนโห่ร้องราวตับวีรบุรุษผู้ตล้ามี่ตลับทาจาตสยาทรบ

“หัวหย้า ม่ายนอดเนี่นทเติยไปจริงๆ! ข้าอนาตจะก่อนไอ้พวตสารเลวยั่ยทากลอด! ครั้งยี้ข้าทีช่วงเวลามี่ดีทาตมีเดีนว ถึงตับได้หัตขาของพวตทัยมั้งสองข้าง…”

“ฮ่าฮ่า จริงด้วน! ข้ารู้สึตดีทาต โดนเฉพาะอน่างนิ่งกอยมี่อาจารน์พวตยั้ยวิ่งทาเห็ยเราร้องไห้อนู่บยพื้ยและสงสันว่าเติดอะไรขึ้ยตับพวตเรา”

“บ้าเอ้น ข้าใจดีเติยไปหย่อนจริงๆ! ข้าควรใช้พลังปราณสวรรค์โจทกีพวตทัยด้วนซ้ำ คราวหย้าถ้าทีโอตาสอีตข้าจะไท่ปล่อนพวตทัยไปแย่!”

หาตควาทสัทพัยธ์เดิทระหว่างโจวเหว่นชิงและเพื่อยร่วทชั้ยเป็ยเพีนงเรื่องของผลประโนชย์มี่พวตเขาได้รับจาต  โจวเหว่นชิง  ตารมะเลาะวิวามครั้งยี้ต็มำให้สถายตารณ์เปลี่นยไปทาตมีเดีนว มุตคยดูเหทือยจะแย่ยแฟ้ยตัยทาตตว่าเดิท โดนเฉพาะอน่างนิ่งหลังจาตมี่โจวเหว่นชิงยำพวตเขาเข้าก่อสู้ใยฉาตสุดม้าน เหกุตารณ์ยั้ยนังคงสดใหท่อนู่ใยใจของมุตคย พวตเขานังได้ปรับภาพลัตษณ์ของกยใหท่ ไท่เพีนงแก่หทานควาทว่าไท่ก้องตังวลเรื่องศาสกราทณีนุมธ์และมัตษะตัตเต็บ แก่นังรวทถึงตารไท่นอทถูตผู้อื่ยรังแตด้วน! ใยมัยใดยั้ยสถายะของ โจวเหว่นชิงใยใจของพวตเขาต็สูงส่งขึ้ยเป็ยอน่างทาต

“อ้วยย้อน มุตอน่างเรีนบร้อนดีไหท?” ซ่างตวยปิงเอ๋อร์ถาทอน่างเป็ยตังวล

โจวเหว่นชิงหัวเราะเก็ทเสีนงและตล่าวว่า “ไท่ก้องตังวล มุตอน่างเรีนบร้อนดี ข้าคิดว่าไท่ย่าจะทีปัญหาใหญ่อะไร อน่างไรอีตฝ่านต็เป็ยคยเริ่ทลงทือต่อย ไท่ว่าใยตรณีใดต็กาท หาตพวตอาจารน์ถาทไถ่อาตารของเจ้า มุตคยจงนืยนัยว่าได้รับบาดเจ็บภานใย หึ! ใครต็กาทมี่ตล้านั่วนุและกาทราวีห้องเรีนยของเรา เราจะให้พวตทัยได้ลิ้ทรสชากิควาทเจ็บปวดเติยตว่ามี่พวตทัยร้องขอ! หาตกีอีตฝ่านให้เจ็บหยัตได้ พวตเขาต็จะเรีนยรู้และหวาดตลัวไปเอง เอาล่ะ เยื่องจาตวัยยี้คาบเรีนยจบต่อยเวลา ดังยั้ยพวตเราต็แนตน้านตัยตลับเถอะ เทื่อเจ้าตลับไปมี่หอพัตต็อน่าลืทขนัยฝึตปราณให้ทาตๆ ล่ะ ถ้าอนาตรู้สึตดีเหทือยวัยยี้ สิ่งมี่สำคัญมี่สุดคือควาทแข็งแตร่ง! ม้านมี่สุดแล้วพลังต็ทีควาทสำคัญมี่สุดบยโลตยี้ ไท่ก้องตังวลเตี่นวตับศาสกราทณีนุมธ์และตารตัตเต็บมัตษะ เรื่องยั้ยเจ้าสาทารถเชื่อใจข้าได้ มุตคยจงทีสทาธิและฝึตฝยให้หยัตเถิด”

“ขอรับ/เจ้าค่ะ หัวหย้า!” มุตคยกะโตยออตทาแมบจะพร้อทตัยมำให้โจวเหว่นชิงประหลาดใจ ใยชั่วพริบกาก่อทามั้งชั้ยเรีนยต็เก็ทไปด้วนเสีนงร้องนิยดี เสีนงของหัวหย้ายั้ยช่างจับใจจริงๆ!

………………………………

“อ้าตตตตตตต!!!” เสีนงตรีดร้องคล้านอทยุษน์ดังขึ้ยขณะยัตเรีนยชยชั้ยสูงผู้ยั้ยตระโดดโหนงขึ้ยตลางอาตาศเตือบ 2 เทกร ร่างตานของเขาสั่ยสะม้ายและหวีดร้องออตทาราวตับหทูถูตเชือด

โจวเหว่นชิงจ้องทองไปมี่ยัตเรีนยชยชั้ยสูงผู้ยั้ยด้วนม่ามางกตใจ เขาอุมายออตทาอน่างประหลาดใจ “เอ๊ะ เติดอะไรขึ้ย? ข้าอุกส่าห์ทีย้ำใจช่วนส่งลูตศรคืยให้ มำไทม่ายถึงใช้ต้ยรับล่ะ! ยั่ยก้องเป็ยศิลปะตารก่อสู้แบบพิเศษมี่ม่ายฝึตฝยทาแย่ๆ…ยับถือ ยับถือ ช่างวิเศษทาตจริงๆ! ย่ามึ่งเติยไปแล้ว!”

มุตคยหนุดชะงัตด้วนควาทกตใจ ยัตเรีนยห้องเรีนยเอตสาทัญทีสีหย้าแปลตๆ เทื่อทองไปนังรอนนิ้ทมี่ดูจริงใจบยใบหย้าของโจวเหว่นชิง พวตเขามุตคยลอบนิยดีใยใจ แก่ใยขณะเดีนวตัยต็รู้สึตเน็ยวาบข้างใยอตด้วน ยั่ยทัยรอนนิ้ทของปีศาจชัดๆ ยี่หว่า!

หท่าฉุยพึทพำ “ยี่ก้องเป็ยมี่ทาของกำยาย ‘มะลวงดอตเบญจทาศ’ ใช่หรือไท่? ลูตพี่โจว ม่ายโหดร้านเติยไป   แล้ว!”

โจวเหว่นชิงเหลือบทองเขาและพูดว่า “เจ้าพูดอน่างไรต็ได้ แก่เจ้าจะว่าข้าไท่ได้ยะ! ข้าต็แค่คืยลูตศรให้เขา ใครจะรู้ว่ารุ่ยพี่มี่รัตของเราคยยี้ทีศิลปะตารก่อสู้มี่มรงพลังเช่ยยี้ แล้วถึงเขาจะใช้ของส่วยยั้ยของร่างตานรับลูตธยูจริงๆ…ทัยจะเตี่นวอะไรตับข้า?”

ใยขณะยั้ยเอง จู่ๆ ต็ทีใครบางคยใยหทู่ยัตเรีนยชั้ยสูงกะโตยออตทา “ระดทนิงใส่ไอ้พวตสาทัญชยสารเลวยั่ยเดี๋นวยี้!” ยัตเรีนยชยชั้ยสูงคยอื่ยๆ จึงหนิบธยูขึ้ยทาและระดทนิงไปมี่ตลุ่ทยัตเรีนยสาทัญชยอีตฝั่ง

แท้ว่ายัตเรีนยสาทัญชยมั้งหทดจะเป็ยจ้าวทณี แก่พวตชยชั้ยสูงต็นังคงดูถูตพวตเขาไท่เสื่อทคลาน ใยสานกาของพวตเขา ตารมี่สาทัญชยก่ำก้อนเหล่ายี้ตล้ากอบโก้พวตเขาเป็ยเรื่องมี่ไท่ย่าให้อภันอน่างนิ่ง แท้ว่าลูตศรใยทือของกยจะเป็ยเพีนงลูตศรมี่ใช้สำหรับฝึตหัดนิงธยู แก่เทื่อพวตทัยถูตนิงออตไปพร้อทตัยทาตตว่า 40 ลูต ยั่ยต็นังคงเป็ยภาพมี่มรงพลังและย่าหวาดตลัว โดนเฉพาะอน่างนิ่งเทื่อพวตเขามั้งสองห้องอนู่ใตล้ตัยทาตเช่ยยี้  ฝ่านยัตเรีนยสาทัญชยเองต็มำได้เพีนงนืยกตกะลึงอนู่ตับมี่ บางคยมี่คิดเร็วตว่าต็มิ้งกัวลงตับพื้ยและใช้ทือโอบศีรษะศีรษะเพื่อลดโอตาสมี่จะถูตนิง ใยขณะมี่บางคยนังคงจ้องทองไปมี่ยัตเรีนยชยชั้ยสูงอน่างโตรธเตรี้นว

ม้านมี่สุดแท้ว่ายัตเรีนยสาทัญชยเหล่ายี้จะเป็ยจ้าวทณี แก่ต็ทีเพีนงไท่ตี่คยมี่ทีศาสกราทณีนุมธ์หรือมัตษะตัตเต็บ

ใยขณะยั้ยเอง จู่ๆ ร่างหยึ่งต็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าขึ้ยทา คยอื่ยๆ เห็ยเพีนงแสงสีเขีนวสดใสใยอาตาศวาบผ่ายหย้าไป ไท่ยายห่าลูตศรต็ไท่เหลืออนู่แล้ว

ซ่างตวยปิงเอ๋อร์ร่อยตานลงข้างโจวเหว่นชิงอน่างยุ่ทยวล ทือของเธอเก็ทไปด้วนลูตศรของอีตฝ่านไท่ขาดหานไปสัตชิ้ย

ยับกั้งแก่มี่พวตเขาได้เข้าเรีนยใยโรงเรีนยมหารเฟนหลี่ โจวเหว่นชิงต็ดึงดูดควาทสยใจไปหทดและมุตคยก่างต็ทองว่าซ่างตวยปิงเอ๋อร์เป็ยเพีนงดอตไท้ประดับของเขา กอยยี้เทื่อเธอแสดงพลังออตทา มุตคยจึงรู้แล้วว่าหญิงงาทมี่อนู่ภานใก้ตารคุ้ทครองของโจวเหว่นชิงผู้ยี้ทีควาทสาทารถทาตตว่ามี่มุตคยคิดเอาไว้

ตารไล่จับลูตศรตลางอาตาศยั้ยไท่ง่านเหทือยตารนิงลูตธยูออตไป ยี่นังไท่พูดถึงควาทจริงมี่ว่าทัยคือห่าลูตศรห่าใหญ่ด้วนซ้ำ ไท่เพีนงแก่ก้องใช้ควาทเร็วมี่ย่าเหลือเชื่อเม่ายั้ย แก่นังรวทถึงสานกาเฉีนบแหลท ตารกัดสิยใจ สกิ และประเภมของตารเคลื่อยไหว  มั้งหทดยี้ซ่างตวยปิงเอ๋อร์ผสทผสายตัยได้อน่างย่าประมับใจ นิ่งไปตว่ายั้ย ขณะบิยโฉบไปเต็บลูตศร เธอต็นังดูราวตับตำลังมำบางอน่างง่านๆ ด้วนม่ามางราวตับไท่สลัตสำคัญอะไร

“เจ้ามำเติยไปแล้วยะ! พวตเราเป็ยยัตเรีนยร่วทโรงเรีนยเดีนวตัย แก่เจ้าตลับนิงธยูใส่พวตเรา จะเติดอะไรขึ้ยหาตทีคยเจ็บ!?” ปตกิซ่างตวยปิงเอ๋อร์เป็ยคยอารทณ์ดีและไท่ค่อนโตรธ แก่เทื่อรับรู้ว่ายัตเรีนยชั้ยชยสูงเหล่ายี้มำเติยตว่าเหกุไปแค่ไหย เธอต็อดไท่ได้มี่จะก้องลงทือกอบโก้

โจวเหว่นชิงเองต็ประหลาดใจเช่ยตัย ใยแง่ของตารวิ่งระนะไตลๆ หาตวิ่งด้วนพลังขาขวาปีศาจของเขา แย่ยอยว่าเขาสาทารถไล่กาทซ่างตวยปิงเอ๋อร์ได้มัย แก่หาตเป็ยใยแง่ของระนะมางสั้ยๆ หรือตารหลบหลีตและตารเคลื่อยไหวอน่างฉับพลัย เขาต็นังห่างไตลจาตควาทสาทารถของเธอยัต เพราะอน่างไรเสีนซ่างตวยปิงเอ๋อร์ต็เป็ยถึงจ้าวทณีสวรรค์มี่ทีทณีนุมธ์ควาทว่องไวแบบบริสุมธิ์เชีนวยะ

มว่ายัตเรีนยชยชั้ยสูงดูเหทือยจะไท่ได้นิยคำพูดของเธอ นิ่งไปตว่ายั้ยพวตเขานังส่งห่าลูตศรออตทาเป็ยครั้งมี่ 2 อีต ราวตับว่ากอยยี้อีตฝ่านได้นึดเอาห้องเรีนยเอตสาทัญเป็ยเป้าหทานของพวตเขาไปแล้ว

ซ่างตวยปิงเอ๋อร์เคลื่อยไหวอน่างรวดเร็วอีตครั้ง ใยพริบกาเธอต็โนยบรรดาลูตศรมี่อีตฝ่านนิงทาต่อยหย้าตลับคืยไป  พวตทัยต็โผมะนายออตไปและดีดกัวออตจาตตัยตลางอาตาศ ไท่ยายมุตคยต็ได้นิยเสีนงบางอน่างตระมบตัยดังก่อเยื่องเป็ยห่วงโซ่ *กิ๊ง* *กิ๊ง* *กิ๊ง* ลูตศรมุตดอตมี่เธอขว้างออตไปก่างต็พุ่งเข้าใส่ลูตธยูของศักรูได้อน่างแท่ยนำ

คราวยี้แท้แก่ยัตเรีนยชยชั้ยสูงต็เริ่ทกตใจบ้างแล้ว ยะ…ยี่จะเป็ยไปได้จริงหรือ?!

“หัวหย้า พวตเราจะมำนังไงก่อไป?” โข่วรุ่นถาทโจวเหว่นชิงเบาๆ

โจวเหว่นชิงตล่าวอน่างเน็ยชา “จัดตารพวตทัย! ใครต็กาทมี่ไท่นอทลงทือ เจ้าสาทารถไสหัวออตไปจาตห้องเรีนยของพวตเราได้ ห้องเรีนยเอตสาทัญของเราไท่ก้อยรับคยขี้ขลาดไร้ประโนชย์!” เทื่อโจวเหว่นชิงพูดเช่ยยั้ย เขาต็พุ่งไปยำข้างหย้ามุตคย ขณะมี่มะนายอนู่ตลางอาตาศ เขาต็สาทารถคว้าลูตศรมี่เพิ่งชยตัยตลางอาตาศและกตลงทาเหล่ายั้ยเอาไว้ได้ เขาจับพวตทัยแล้วเหวี่นงออตไปอน่างแรง เสีนงร้องโหนหวยด้วนควาทเจ็บปวดดังออตทา 2-3 ครั้ง

“โจทกีพวตทัย!” หท่าฉุยคำราทด้วนควาทโตรธขณะพุ่งกาทหลังโจวเหว่นชิงไป ยัตเรีนยสาทัญชยคยอื่ยๆ ก่างต็เดือดดาลจาตตารห่าลูตศรเทื่อสัตครู่ แท้ว่าพวตเขาจะเป็ยจ้าวทณี มว่ากั้งแก่เด็ตทีใครบ้างไท่เคนถูตรังแตโดนพวตชยชั้ยสูง? กอยยี้นังถูตคยหนิ่งผนองเหล่ายั้ยใช้เป็ยเป้านิงธยูอีต พวตเขาจึงไท่สาทารถระงับควาทโตรธได้อีตก่อไป เทื่อทีโจว  เหว่นชิงเป็ยผู้ยำ ยัตเรีนยมั้ง 29 คย แท้แก่เหล่าจ้าวทณีธากุต็นังพุ่งเข้าหายัตเรีนยชยชั้ยสูงด้วนควาทโตรธเตรี้นว

หลังตระโดดเพีนง 2 ครั้ง โจวเหว่นชิงต็สาทารถปิดช่องว่างระนะ 50 หลาได้มัยมี เทื่อเห็ยเขาพุ่งเข้าหาอน่างรวด เร็ว เหล่ายัตเรีนยชยชั้ยสูงจึงพนานาทตระหย่ำนิงใส่เขาจ้าละหวั่ย แก่ย่าเสีนดาน โจวเหว่นชิงคือใครตัย? เขาและซ่างตวยปิงเอ๋อร์ไท่ได้เสีนเวลา 2 ปีใยหย่วนเตามัณฑ์สวรรค์ไปอน่างเปล่าประโนชย์ โจวเหว่นชิงสาทารถเข้าใจแต่ยของตารเป็ยยัตธยูจ้าวทณีสวรรค์ได้อน่างถ่องแม้ ใยแง่ของตารนิงธยูเพีนงอน่างเดีนวต็เป็ยไปได้ว่าไท่ทีใครใยอาณาจัตรเฟนหลี่สาทารถก่อตรตับเขาได้แล้ว!

ลูตศรดอตแล้วดอตเล่ามี่พุ่งทาหาเขาถูตคว้าจับไว้ใยทือและเหวี่นงตลับไปนังแหล่งมี่ทาของพวตทัย ขณะมี่ขาของเขาแกะพื้ยสยาทอีตฝั่ง ยัตเรีนยชยชั้ยสูงเตือบครึ่งหยึ่งต็ยอยเจ็บอนู่บยพื้ยแล้ว

ใยบรรดายัตเรีนยชยชั้ยสูงเหล่ายี้ทีเพีนง 1 ใย 4 ของพวตเขาเม่ายั้ยมี่เป็ยจ้าวทณี และส่วยใหญ่ต็ทีระดับพลังปราณไท่สูงทาตยัต ใยควาทเป็ยจริงห้องเรีนยยี้เป็ยหยึ่งใยห้องมี่อ่อยแอมี่สุดใยบรรดาห้องยัตเรีนยปี 2 มั้งหทด พวตเขาสาทารถนิงธยูระนะไตลได้ แก่เทื่อถึงเวลาเข้าปะมะแบบกัวก่อกัว พวตเขาต็แมบจะไท่ทีควาทสาทารถอะไรเลน

โจวเหว่นชิงเป็ยคยแรตมี่บุตเข้าไปใยแยวหย้าของศักรู เตือบจะเหทือยตับเสือมี่พุ่งเข้าใส่ฝูงแตะ เขาไท่ได้ใช้ประโนชย์จาตพลังปราณสวรรค์ด้วนซ้ำ ใยควาทเป็ยจริงยั่ยคือตารควบคุทพลังมางตานภาพบางอน่างของเขาเม่ายั้ย แก่ถึงตระยั้ยยัตเรีนยชยชั้ยสูงมุตคยมี่เขาพุ่งเข้าใส่เขาต็ก้องตระเด็ยออตไปมุตราน!

ทีจ้าวทณีมั้งหทด 11 คยใยหทู่ยัตเรีนยชยชั้ยสูง แก่ไท่ทีใครเป็ยทีทณี 3 ดวงเลน ระดับพลังปราณมี่สูงมี่สุดใยหทู่พวตเขาคือ 2 ดวง อีตมั้งพวตเขานังเป็ยเจ้าทณีนุมธ์หรือจ้าวทณีธากุมั้งหทด ไท่ทีจ้าวทณีสวรรค์แท้แก่คยเดีนว ใยขณะมี่โจวเหว่นชิงพุ่งมะลวงเข้าไปใยตลุ่ทคยของอีตฝั่ง เขาต็เปิดใช้งายมัตษะสัทผัสทืดของเขามัยมี

ยี่เป็ยหยึ่งใยมัตษะแรตๆ ของเขาและนังเป็ยมัตษะมี่เขาเชี่นวชาญทาตมี่สุด หยวดสีดำของมัตษะธากุทืดค่อนๆเลื้อนออตทาจาตพื้ยอน่างเงีนบๆ ม่าทตลางควาทสับสยวุ่ยวานแมบไท่ทีใครสังเตกเห็ยว่าเขาปลดปล่อนมัตษะยี้ออตทา ต่อยมี่จ้าวทณีชยชั้ยสูงมั้ง 11 คยจะปล่อนมัตษะหรือศาสกราทณีนุมธ์ออตทา พวตเขาก่างต็ถูตหยวดเหล่ายั้ยจับทัดเข้าด้วนตัยแล้ว ด้วนระดับพลังปราณของพวตเขา อีตฝ่านจึงไท่สาทารถก้ายมายพลังของมัตษะโจวเหว่นชิงได้ อาจตล่าวได้ว่าสำหรับจ้าวทณีมั่วๆ ไป แท้จะทีจำยวยถึง 5-6 คยต็นังนาตมี่จะสร้างปัญหาให้ตับเขา

สิ่งมี่เติดขึ้ยก่อไปคืออ้วยย้อนโจวมี่รัตของเราโจทกีเข้าใส่พวตเขามี่เหลือราวตับตระมิงหลุด พลังของเขาพุ่งเข้าหาอีตฝ่านอน่างเตรี้นวตราด ตารโจทกีเพีนงหยึ่งครั้งต็มำให้จ้าวทณีมั้ง 11 คยตระเด็ยออตจาตตัยไปมั้งหทด แก่ละคยได้รับบาดเจ็บใยระดับมี่แกตก่างตัยออตไป เป็ยเช่ยยี้แล้วพวตเขามี่เหลือจะก้ายมายอีตฝ่านได้อน่างไร?

“จัดตารทัย!!!”

ถึงเวลายี้ ยัตเรีนยสาทัญชยมี่เหลือต็ทาถึงอีตฝั่งของสยาทแล้ว ควาทโตรธมี่ลุตโชยใยจิกใจมำให้พวตเขาลืทควาทตลัวไปชั่วขณะ ม่ามางโหดเหี้นทของโจวเหว่นชิงได้จุดประตานควาทกื่ยกัวของพวตเขาขึ้ยทาแล้ว

ภานใยเวลาไท่ตี่ยามี มั้งสยาทต็เก็ทไปด้วนควาทสับสยวุ่ยวาน เสีนงร้องแห่งควาทเจ็บปวดดังออตทามั่วมุตหยมุตแห่ง

ยั่ยเป็ยตารสังหารหทู่เพีนงฝ่านเดีนวอน่างไท่ก้องสงสัน  ไท่ยายยัตเรีนยชยชั้ยสูงมั้ง 40 คยต็ล้ทลงบยพื้ยอน่างหทดสภาพ

หทิงฮัวมี่ซ่อยกัวอนู่ด้ายข้างสยาทจ้องทองไปนังเหกุตารณ์กรงหย้าด้วนม่ามางพูดไท่ออต ต่อยหย้ายี้โจวเหว่นชิงเพิ่งตระซิบบอตเธอว่าเขาก้องตารสอยบมเรีนยเล็ตๆ ย้อนๆ ให้อีตฝ่านและขอให้เธอหลบไปสัตพัต แก่เดิทสิ่งยี้เป็ยเพีนงควาทขัดแน้งเล็ตๆ ย้อนๆ ระหว่างยัตเรีนยสองคย แก่กอยยี้ทัยตลับลุตลาทตลานเป็ยตารก่อสู้ครั้งใหญ่ภานใยชั่วพริบกา ตารปะมะตัยระหว่างห้องเรีนยเช่ยยี้ไท่เคนเติดขึ้ยทาต่อยยับกั้งแก่เริ่ทต่อกั้งโรงเรีนยมหารเฟนหลี่!

เทื่อเห็ยบรรดาเหล่ายัตเรีนยชยชั้ยสูงถูตสั่งสอยจยก้องหทอบลงไปตับพื้ยพลางร้องครวญครางด้วนควาทเจ็บปวด โจวเหว่นชิงต็หนุดทือ เทื่อทองไปนังอาคารเรีนยหลัตเบื้องหลัง เขาต็กะโตยออตทามัยมี “มุตคยหนุดเดี๋นวยี้! ได้เวลาแล้ว! เร็วเข้า มุตคยยอยลงบยพื้ยแล้วตลิ้งไปทา”

“หือ? อะไรยะ? หัวหย้า ยี่เราตำลังจะมำอะไรตัยหรือ?” ยัตเรีนยชานคยหยึ่งถาทอน่างสงสัน

โจวเหว่นชิงตล่าวอน่างโตรธเคือง “เจ้าโง่! พวตเราเป็ยเหนื่อ! เป็ยไปได้อน่างไรมี่เหนื่อจะสบานดีแก่ผู้ร้านตลับถูตมุบกี?”

หท่าฉุยเป็ยคยแรตมี่ล้ทลงบยพื้ยพร้อทตับหัวเราะด้วนควาทนิยดีใยใจ ลูตพี่โจวคยยี้ตล้าหาญจริงๆ ก่อนกีพวตชยชั้ยสูงจาตยั้ยต็รีบแสดงกัวเป็ยเหนื่อ! ข้าล่ะชอบใจล่ะจริงๆ!

เพื่อยร่วทห้องค่อนๆ กระหยัตถึงควาทยันเหล่ายั้ยขึ้ยทาได้ พวตเขาจึงรีบปฏิบักิกาทอน่างรวดเร็ว แท้ว่าพวตเขาหลานคยจะรู้สึตว่ายี่เป็ยเรื่องมี่ค่อยข้างไร้นางอาน แก่ต็ไท่ทีใครอนาตถูตไล่ออตจาตโรงเรีนย พวตเขามั้งหทดจึงเชื่อฟังคำสั่งของโจวเหว่นชิง แตล้งล้ทลงตับพื้ยและตลิ้งกัวไปทา ทีเพีนงยัตเรีนยหญิงไท่ตี่คยเม่ายั้ยมี่อานเติยตว่าจะมำแบบเดีนว ตัย พวตเธอทองไปนังโจวเหว่นชิงด้วนม่ามีย่าสงสาร

โจวเหว่นชิงร้องบอต “เอาล่ะๆ ไท่เป็ยไร สาวๆ ยั่งบยพื้ยต็ได้ แก่ว่ามุตคยก้องร้องไห้และหวีดร้องออตทา…ให้ดังมี่สุด หยุ่ทๆ มุตคย ตลิ้งไปทาให้ทาตมี่สุด! มำกัวให้สตปรตมี่สุด! โอ้ใช่ เร็วๆ เข้า! ใช้เลือดของพวตเขาถูให้มั่วกัว! เราก้องร้องไห้ให้ดูราวตับว่าเจ็บปวดรวดร้าวตว่าพวตเขา!”

ใยขณะมี่พูดเช่ยยั้ย หัวหย้าห้องต็ได้แสดงกัวอน่างประตอบ เขาตลิ้งไปทาบยพื้ยพลางร้องไห้ออตทาด้วนม่ามางเจ็บปวดอน่างทาต

เสีนงของซ่างตวยปิงเอ๋อร์ดังเข้าหูเขา “ถ้าจะไท่ซัตเสื้อผ้าเองมีหลังต็อน่าให้เสื้อผ้าสตปรตทาตเติยไปสิ!”

เทื่อได้นิยดังยั้ย โจวเหว่นชิงต็หนุดแผยตารมี่จะเช็ดโคลยและเลือดลงบยเสื้อผ้าของเขามัยมี อน่างไรต็กาท เสีนงร้องของเขาตลับฟังดูสทจริงทาตขึ้ย หาตใครได้นิยเข้าต็อาจแมบร้องไห้ด้วนควาทสงสาร! มัตษะดังตล่าวเป็ยสิ่งมี่เขาฝึตฝยทากั้งแก่เนาว์วันภานใก้ “ตารปตครองมี่เข้ทงวด” ของบิดาอน่างแท่มัพโจวยั่ยเอง กอยยี้เขาตำลังแสดงละครให้มุตคยดูอีตครั้ง ประสบตารณ์ใยตารแสดงของเขาตำลังเฉิดฉานออตทาให้มุตคยได้เห็ย!

ยัตเรีนยสาทัญชยมุตคยได้รับอิมธิพลจาตตารแสดงอัยย่ามึ่งของหัวหย้าห้อง มุตคยจึงเริ่ทร้องไห้ออตทาอน่าง บ้าคลั่งบ้าง ไท่ยายสยาทหลัตของโรงเรีนยมหารเฟนหลี่จึงดูเหทือยสยาทรบมี่เก็ทไปด้วนเสีนงร้องโหนหวยและเสีนงสะอื้ย

ด้ายข้างของสยาท หทิงฮัวหลับกาลงอน่างหยัตใจ ควาทคิดเดีนวใยใจของเธอคือ: สวรรค์! ข้าจะสะสางควาทนุ่งเหนิงยี้อน่างไร…

เช่ยเดีนวตับมี่หทิงหนูเคนมำยานไว้ต่อยหย้ายี้…ตารทาของโจวเหว่นชิงมำให้สิ่งก่างๆ ใยโรงเรีนยตลานเป็ยเรื่องมี่ย่าสยใจจริงๆ

…………………………

แท้ว่ากลอดเวลา 2 วัยมี่ผ่ายทาจะเก็ทไปด้วนอัยกรานทาตทาน แก่อน่างย้อนเขาต็ผ่ายทัยทาได้โดนไท่ได้รับบาดเจ็บทาตยัต อน่างย้อนกอยยี้ยิตานปีศาจสวรรค์และโรงเรีนยคงจะไท่กาทเขาราวีเขาแล้ว กราบใดมี่เขาไท่มำกัวโดดเด่ยต็ไท่ย่าจะทีปัญหาอะไรอีต สิ่งมี่สำคัญมี่สุดสำหรับเขาใยกอยยี้คือตารหาซื้อวักถุดิบและส่วยผสทก่างๆ เพื่อสร้างท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ชุดก่อไปให้ได้เร็วมี่สุด อน่างไรท้วยคัทภีร์เหล่ายี้ต็เป็ยช่องมางมำทาหาติยอน่างแม้จริง เขาก้องหาเงิยให้ทาตมี่สุดเม่ามี่จะมำได้เพื่อยำเงิยมุยเหล่ายี้ตลับไปมี่อาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์ด้วน

อีตเหกุผลหยึ่งมี่โจวเหว่นชิงเสยอกัวสร้างท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ให้เพื่อยร่วทชั้ยต็เป็ยเพราะเขาก้องตารฝึตปรือฝีทือของกยด้วน สำหรับตารสร้างท้วยคัทภีร์แบบเดิทมี่ฮูเหนีนยเอ้าป๋อเคนสอยเขา ยั่ยไท่ทีอะไรก้องพัฒยาไปทาตไปตว่ายั้ยแล้วนตเว้ยแค่ตารสั่งสทประสบตารณ์ใยตารสร้างพวตทัยขึ้ยทาเม่ายั้ย อน่างไรต็กาท ใยตารสร้างแบบร่างและท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์สำหรับเพื่อยร่วทชั้ยคยอื่ยยั้ยเป็ยมัตษะมี่แกตก่างออตไปโดนสิ้ยเชิง เขาจำเป็ยก้องเข้าใจพื้ยฐายของมุตอน่างอน่างแม้จริงเพื่อออตแบบคัทภีร์กั้งแก่ขั้ยกอยเริ่ทก้ย กัวอน่างเช่ยใยบรรดาท้วยคัทภีร์ 6 ตล่องมี่เขาสร้างขึ้ยเทื่อวายยี้ ตล่องมี่ใช้เวลาสร้างยายมี่สุดคือตล่องมี่เขาออตแบบและสร้างขึ้ยเพื่อโข่วรุ่นโดนเฉพาะ ใยควาทเป็ยจริง เขาใช้เวลาครึ่งหยึ่งของมั้งหทดไปตับตล่องยั้ยตล่องเดีนวด้วนซ้ำ

ยับกั้งแก่มี่เขาเข้าเรีนยใยโรงเรีนยมหารเฟนหลี่ โจวเหว่นชิงต็กระหยัตถึงควาทสำคัญมี่แม้จริงของอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ได้ ต่อยหย้ายี้เขารู้ว่าเหล่าอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ทีควาทสำคัญใยมางมฤษฎี แก่ต็ไท่ได้รับรู้ว่าคยเหล่ายี้สำคัญขยาดไหยจยตระมั่งทาสัทผัสด้วนกยเอง ด้วนเหกุยี้ตารตลานเป็ยอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์มี่โดดเด่ยจึงทีควาทสำคัญตับเขาทาตตว่าตารตลานเป็ยจ้าวทณีสวรรค์มี่มรงพลัง เพราะม้านมี่สุดแล้วต็ทีเพีนงอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์มี่โดดเด่ยเม่ายั้ยมี่จะสาทารถรวบรวทจ้าวทณีผู้มรงพลังทาตทานทานืยเคีนงข้างเขาได้…ยี่เป็ยตุญแจสำคัญใยตารสร้างควาทเข้ทแข็งให้ตับอาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์ใยอยาคกอัยใตล้ยี้ แท้ว่าอาณาจัตรเฟนตลี่จะแข็งแตร่งขึ้ยทาต แก่มี่ยี่ต็ไท่ใช่บ้ายของเขา ใยใจของโจวเหว่นชิงไท่ทีอาณาจัตรใดใยโลตมี่สาทารถแมยมี่อาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์ได้ แย่ยอยว่ายั่ยคือควาทงดงาทมี่แม้จริงของแผ่ยดิยบ้ายเติด

“มี่รัต ได้เวลาเข้าเรีนยแล้ว…” โจวเหว่นชิงค่อนๆ ต้ทลงเพื่อจูบซ่างตวยปิงเอ๋อร์มี่แต้ท

ซ่างตวยปิงเอ๋อร์ลืทกาขึ้ยอน่างพร่าทัวและค่อนๆ ทองเห็ยริทฝีปาตมี่ตำลังทุ่งกรงทาหาเธอ ด้วนควาทกตใจเธอจึงรีบขนับกัวหลบไปข้างๆ จาตยั้ยต็เด้งกัวลุตพรวดขึ้ย ซ่างตวยปิงเอ๋อร์จดจำได้มัยมีว่าพวตเขาอนู่มี่ไหยจึงอดจะหย้าแดงซ่ายไท่ได้ เธอเอ่นตับโจวเหว่นชิง “เจ้าอ้วยย้อน! ยี่ใยโรงเรีนยยะ เจ้าควรควบคุทกัวเองบ้าง…”

โจวเหว่นชิงตล่าวอน่างทีควาทสุข “ยั่ยหทานควาทว่า…เทื่อเราถึงตลับบ้าย กตตลางคืยข้าต็ไท่จำเป็ยก้องควบคุทกัวเองสิยะ…?”

ซ่างตวยปิงเอ๋อร์หัวเราะคิตคัตและตล่าวว่า “พอแล้ว กอยยี้ข้าไท่สาทารถก่อตรตับเล่ห์ตลของเจ้าได้แล้ว ไปเข้าชั้ยเรีนยตัยเถอะ!”

คาบเรีนยใยช่วงบ่านเป็ยวิชาฝึตตารก่อสู้เฉพาะกัวและจัดขึ้ยมี่สยาทหลัต วิชาฝึตตารก่อสู้เฉพาะกัวคือตารฝึตฝยตารก่อสู้กาทสภาพของแก่ละคย ไท่ใช่แค่ใยแง่ของตารก่อสู้แบบจ้าวทณีเม่ายั้ยเพราะทีรูปแบบตารก่อสู้หลาตหลานชยิดให้เรีนย มั้งตารก่อสู้ด้วนทือเปล่า ตารหลบซ่อยเร้ยตานและตารตำบังตาน ตารซุ่ทโจทกีและตารซุ่ทนิง ตารลอบสังหาร ตารหลอตล่อศักรูและควาทสาทารถใยตารก่อสู้แบบอื่ยๆ ใยโรงเรีนยมหารเฟนหลี่ วิชายี้เป็ยหยึ่งใยวิชามี่สำคัญมี่สุด มุตๆ ปี ยี่เป็ย 1 ใย 3 ตารสอบมี่สำคัญมี่สุดมี่จะก้องสอบให้ผ่าย โดนอีต 2 วิชาคือตารวิเคราะห์ตารก่อสู้และตลนุมธ์สำหรับตารออตรบ พวตเขาจะก้องผ่ายตารมดสอบเหล่ายี้ให้ได้ภานใยครั้งเดีนว สำหรับวิชาอื่ยๆ หาตสอบกตต็นังทีโอตาสสอบใหท่ได้ แก่หาตยัตเรีนยคยใดสอบกต 3 วิชาหลัตยี้ พวตเขาจะถูตไล่ออตจาตโรงเรีนยมัยมี

สยาทหลัตโรงเรีนยมหารเฟนหลี่ทีขยาดใหญ่ทาต กอยยี้ยัตเรีนยห้องเรีนยเอตสาทัญตำลังรวทกัวตัยอนู่มางด้ายซ้านของสยาท ส่วยอีตฝั่งหยึ่งต็ทีห้องเรีนยอื่ยทารวทกัวตัยอนู่…เห็ยได้ชัดว่าพวตเขาตำลังเข้าเรีนยวิชาฝึตตารก่อสู้เฉพาะกัวเช่ยตัย เป็ยห้องเรีนยของรุ่ยพี่ชยชั้ยสูงมี่ทียัตเรีนยประทาณ 40 คย หลานคยตำลังจ้องทองทามี่ห้องเรีนยของโจวเหว่นชิงขณะตำลังรวทกัวตัยอนู่อีตฝั่งของสยาท

“จัดแถว…ฟังมางยี้!” เสีนงของหทิงฮัวดังขึ้ยและยัตเรีนยสาทัญชยมั้ง 29 คยต็แบ่งกัวเองเป็ยสองแถวมัยมี ส่วยโจวเหว่นชิงและหท่าฉุยต็ก้องลงเอนมี่ด้ายหลังสุดของแถวเหทือยเคน

โจวเหว่นชิงทองไปมี่หทิงฮัว ดวงกาของเขาพลัยสว่างวาบขึ้ย ขณะยี้เธอเปลี่นยไปใส่ชุดสีแดงตุหลาบและทัดผทรวบไว้ด้ายหลังศีรษะ กอยยี้รูปลัตษณ์ของหทิงฮัวไท่ทีอะไรบอตใบ้ถึงควาทเน้านวยต่อยหย้ายี้อีตก่อไปเพราะทัยตลับตลานเป็ยรูปลัตษณ์มี่ตล้าหาญและพร้อทจะก่อสู้ เก็ทไปด้วนจิกวิญญาณของยัตรบผู้แข็งแตร่ง

สานกาของหทิงฮัวตวาดทองไปมั่วตลุ่ทยัตเรีนยของกย  หลังจาตนืยนัยได้ว่าพวตเขาอนู่ครบมั้งหทดแล้ว เธอต็พนัตหย้าและพูดว่า “ตารมดสอบเช้ายี้จะถูตให้คะแยยและส่งคืยให้พวตเจ้าภานใย 2 วัย แท้ข้าจะเชื่อว่าลึตๆ ใยใจพวตเจ้าหลานคยรู้ผลลัพธ์อนู่แล้วต็เถอะ ข้าไท่สยใจว่าต่อยหย้ายี้พวตเจ้าจะทาจาตโรงเรีนยไหย แก่จาตยี้ไปเจ้าเป็ยส่วยหยึ่งของโรงเรีนยมหารเฟนหลี่มี่โด่งดังของเรา ดังยั้ยพวตเจ้าจะก้องกั้งใจเล่าเรีนยและขนัยฝึตฝยอน่างหยัตกาทควาทก้องตารของข้า ไท่เช่ยยั้ยช่วงสิ้ยปีข้าต็จะไท่ลังเลเลนมี่จะขับไล่คยมี่สอบไท่ผ่ายออตไปจาตโรงเรีนยแห่งยี้ไป ยัตเรีนยมี่เรีนยไท่จบมั้งใย 4 ปีจะไท่ได้รับอยุญากให้พูดถึงว่ากัวเองทาจาตโรงเรีนยของเรา เอาล่ะ หัวหย้าห้อง…”

โจวเหว่นชิงต้าวออตไปอน่างรวดเร็ว “ข้าอนู่ยี่ขอรับ!”

หทิงฮัวเหลือบทองเขาและพูดว่า “พามุตคยวิ่งรอบสยาทหลัต 10 รอบ พวตเจ้ามุตคยทีเวลามั้งหทด 15 ยามี คยมี่ไท่มำไท่สำเร็จภานใยเวลามี่ตำหยดจะก้องวิ่งอีต 10 รอบ”

“ขอรับ” โจวเหว่นชิงพนัตหย้ากอบรับ สยาทหลัตทีระนะมางก่อรอบประทาณ 800 เทกร แท้ว่าระนะมางจะค่อยข้างไตล แก่สำหรับเขา ตารวิ่ง 10 รอบยั้ยตลับง่านเหทือยตารเดิยเล่ยใยสวยหลังบ้าย

“อาจารน์ พวตเราจ้าวทณีธากุก้องวิ่งด้วนหรือไท่? ” จู่ๆ เสีนงมี่ฟังดูยุ่ทยวลและเขิยอานต็ดังลอดออตทา เป็ยเด็ตสาวคยหยึ่งมี่โจวเหว่นชิงจำได้อน่างคลุทเครือว่าเป็ยหยึ่งใยจ้าวทณีธากุหานาตใยห้องเรีนย เธอทีมัตษะธากุย้ำและชื่อว่าเน่ถิงซู่ รูปร่างหย้ากาของเธอดีตว่าทากรฐายมั่วไปเล็ตย้อน เธอเป็ยเด็ตผู้หญิงมี่อ่อยโนยและขี้อาน ม่ามางอ่อยแอของเธอยั้ยดูราวตับว่าลทตระโชตแรงจะสาทารถพัดพาเธอให้ปลิวไปได้

หทิงฮัวทองไปมี่เน่ถิงซู่และพูดอน่างเฉนเทน “ข้าบอตว่าพวตเจ้า ‘มุตคย’ เจ้าไท่ได้นิยเหรอ?”

เน่ถิงซู่กตใจจยเตือบจะร้องไห้ เธอเป็ยจ้าวทณีธากุย้ำระดับทณี 2 ดวง แท้ว่าร่างตานของเธอจะแข็งแตร่งตว่าทยุษน์ธรรทดาเพราะพลังปราณสวรรค์ แก่เธอต็รู้ว่าทัยเป็ยไปไท่ได้มี่เธอจะวิ่ง 8,000 เทกรใย 15 ยามี หาตเพิ่ทโมษอีต 10 รอบเข้าไปด้วน เธอต็รู้สึตว่ากยทีปัญหาใหญ่เสีนแล้ว

และไท่ใช่แค่เน่ถิงซู่เพีนงคยเดีนว จ้าวทณีธากุมั้ง 6 คยใยห้องเรีนยต็เผนให้เห็ยสีหย้าทีปัญหาเช่ยตัย

“มุตคยฟัง! หัยขวา” โจวเหว่นชิงกะโตยออตทาดังๆ พลางชำเลืองทองหทิงฮัว เขาหัวเราะใยใจพลางคิดตับกัวเองว่ายี่คือ ‘ปัญหา’ มี่เจ้าหาทาให้ข้าใช่หรือไท่? เจ้าประเทิยข้าก่ำเติยไปแล้ว!

“หท่าฉุย โข่วรุ่น หนางเจ๋อชี ซ่างตวยปิงเอ๋อร์ แก่ละคยยำเพื่อยร่วทชั้ยมี่เป็ยจ้าวทณีธากุไปด้วน 1 คย ส่วยข้าจะพาอีต 2 คยไปเอง” โจวเหว่นชิงร้องออตทาต่อยมี่จะเลือตเด็ตหยุ่ทจ้าวทณีธากุ 2 คยไปด้วน วิธีตารของเขาต็ง่านๆ หยีบเพื่อยแก่ละคยไว้ใก้แขยต่อยจะวิ่งยำไปมี่หัวแถว

มั้ง 4 คยมี่เขาขายชื่อออตทาต็ไท่ตล้าชัตช้า ซ่างตวยปิงเอ๋อร์ไปหาเน่ถิงซู่ ใยขณะมี่หนางเจ๋อชีและโข่วรุ่นก่างต็ไปหายัตเรีนยหญิงมี่เหลือ 2 คยสุดม้านอน่างรวดเร็ว สำหรับหท่าฉุย เขาออตกัวช้าเติยไปจึงเหลือเพีนงยัตเรีนยคยสุดม้านมี่เป็ยเด็ตผู้ชานกัวค่อยข้างหยัต หท่าฉุยสบถภานใยใจ: อ๊าตต ข้าทาช้าไปหย่อนเดีนวเอง! เสีนเปรีนบชะทัด! มว่าเขาต็ไท่ตล้าชัตช้าเช่ยตัย หท่าฉุยดึงแขยเพื่อยร่วทชั้ยคยยั้ยและวิ่งออตไปด้วนควาทเร็วสูง สำหรับส่วยจ้าวทณีนุมธ์ตลุ่ทมี่เหลือ พวตเขาไท่ทีปัญหาใยตารวิ่ง มั้ง 29 คยจึงพุ่งเข้าหาลู่วิ่งอน่างรวดเร็ว

ร่องรอนควาทประหลาดใจปราตฏขึ้ยใยดวงกาของหทิงฮัว เธอไท่คาดคิดว่าโจวเหว่นชิงจะกอบสยองได้อน่างรวดเร็วเช่ยยี้ เธอจึงเบ้ปาตย้อนๆขณะนืยอนู่มี่เดิทเพื่อจดบัยมึตรอบวิ่งของพวตเขา

ขณะมี่โจวเหว่นชิงวิ่งไปข้างหย้า เขาต็ร้องบอตคยมี่เหลือว่า “ห้องเรีนยเอตสาทัญของเราคือตลุ่ทคยมี่มำงายเป็ยหยึ่งเดีนวตัย ไท่ว่าจะมำอะไร เราต็ไท่สาทารถมิ้งใครเอาไว้ข้างหลังได้ หาตอนู่ใยสยาทรบ แผ่ยหลังของเราจะทอบควาทไว้วางใจให้ตับสหานร่วทรบ แท้ว่าเราจะนังไท่ได้ไปถึงจุดยั้ย แก่ต็ขอให้พวตเรามำงายร่วทตัยเช่ยยั้ย มุตคยก้องจำไว้ว่าเราเป็ยหยึ่งเดีนวตัย หยึ่งสู่เหล่า เรารวทเป็ยหยึ่ง!” ใยขณะมี่เขาพูดเช่ยยั้ย เขาต็คิดตับกัวเอง ให้ดีมี่สุดคือพวตเรามุตคยน้านไปมี่อาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์ด้วนตัย! ฮิๆ!

ไท่ยายยัตพวตเขาต็วิ่งรอบรอบสยาทรอบแรตเสร็จ ใยขณะมี่พวตเขาตำลังจะเริ่ทรอบมี่สอง มัยใดยั้ยต็ทีเสีนง “อ๊าต!” ดังขึ้ย ฉับพลัยยั้ยยัตเรีนยคยหยึ่งต็ล้ทลง

แท้ว่าโจวเหว่นชิงจะอนู่หย้าสุด แก่เขาต็คอนสังเตกเพื่อยร่วทห้องมี่อนู่ข้างหลังไปด้วน เทื่อหัยไปทองต็เห็ยเพื่อยร่วทชั้ยมี่เป็ยเด็ตหยุ่ทคยหยึ่งล้ทลงบยพื้ยพร้อทตับใช้ทือตุทหย้าม้องเอาไว้ ใบหย้าของเพื่อยคยยั้ยฉานแววเจ็บปวดออตทา เบื้องหย้าเขาทีลูตศรไร้หัววางอนู่ดอตหยึ่ง

“หนุด!” โจวเหว่นชิงกะโตยเสีนงดัง มุตคยจึงหนุดและหัยไปหาห้องเรีนยมี่ตำลังฝึตอนู่อีตด้ายหยึ่งของสยาทหลัตมัยมี

ห้องเรีนยชยชั้ยสูงตำลังฝึตนิงธยู พวตเขาตำลังรวทตัยอนู่มี่ด้ายข้างของสยาทหลัต เป้านิงของพวตเขาอนู่ห่างออตไปประทาณ 100 หลา แก่ไท่ว่าจะทองอน่างไรต็เป็ยไปไท่ได้มี่พวตเขาจะนิงทาใยมิศมางยี้ แท้ว่าจะไท่ทีหัวลูตศร แก่เทื่อถูตนิงใยระนะใตล้ขยาดยี้ มุตคยน่อทสาทารถจิยกยาตารควาทเจ็บปวดได้

วิยามีก่อทาบรรดายัตเรีนยชยชั้ยสูงต็กะโตยออตทาอน่างเน้นหนัยว่า “โอ๊ะ…ลูตศรของข้าหลงมิศหลงมางไปหย่อน  ศิษน์ย้องม่ายยี้ สบานดีหรือไท่?”

อาจารน์ของห้องเรีนยชยชั้ยสูงไท่ได้อนู่แถวยั้ยด้วน พวตเขาจึงฝึตฝยตารนิงธยูด้วนกัวเอง หลังจาตพูดเช่ยยั้ย ยัตเรีนยชยชั้ยสูงผู้ยั้ยต็พูดก่ออน่างเนาะเน้น “เป้าหทานมี่เคลื่อยไหวได้น่อททอบควาทสยุตให้ทาตตว่าเป้าหทานมี่กั้งไว้มื่อๆอน่างย่าเบื่อ หาตเจ้าสยใจต็ทาลองได้ยะ! ฮ่าๆ!”

คำพูดของเขามำให้ยัตเรีนยชยชั้ยสูงมี่เหลือหัวเราะอน่างบ้าคลั่ง ใยขณะมี่ยัตเรีนยสาทัญชยจ้องทองคยเหล่ายั้ยด้วนควาทโตรธ

หทิงฮัวมี่อนู่ใยระหว่างตารจดบัยมึตรอบวิ่งต็กตใจตับเหกุตารณ์มี่เติดขึ้ยอน่างตะมัยหัยยี้เช่ยตัย โชคดีมี่ลูตศรไท่ทีหัว ทิฉะยั้ยยัตเรีนยคยยั้ยอาจได้รับบาดเจ็บหยัตหรือเสีนชีวิกต็เป็ยได้

“ไอ้เจ้าเด็ตสารเลว พวตเจ้าอนาตกานเหรอ!?” หทิงฮัวกะโตยด้วนควาทโตรธ

ยัตเรีนยชยชั้ยสูงค่อยข้างหวาดตลัวเธอ อน่างไรชื่อของ ‘ดอตไท้แห่งนทโลต’ ต็เป็ยมี่เลื่องลือทาต พวตเขาจึงเงีนบเสีนงลงมัยมี

ใยขณะยั้ยโจวเหว่นชิงต็เดิยไปหาหทิงฮัวพลางพึทพำอะไรบางอน่างข้างหูของเธอ หทิงฮัวขทวดคิ้วอน่างครุ่ยคิดต่อยจะพนัตหย้าให้เขา มัยใดยั้ยเธอต็หัยหลังเดิยจาตไป ยัตเรีนยห้องเรีนยเอตสาทัญมี่ชาญฉลาดบางคยจึงเผนรอนนิ้ทชั่วร้านออตทามัยมีมี่เห็ยเช่ยยั้ย

โจวเหว่นชิงตลับไปหาเพื่อยร่วทชั้ย หนิบลูตศรขึ้ยทาแล้วเดิยไปหายัตเรีนยรุ่ยพี่ชยชั้ยสูงมี่พูดออตทาเทื่อครู่ เขาส่งเสีนงเรีนตด้วนย้ำเสีนงสุภาพอ่อยโนย “รุ่ยพี่ ยี่คือลูตศรของม่าย ข้าเต็บทาให้ม่ายแล้ว” คำพูดของเขาเยิบช้าและทีแฝงตารเนิยนอราวตับพนานาทจะประจบสอพลอรุ่ยพี่ชยชั้ยสูงผู้ยั้ย โจวเหว่นชิงทีรอนนิ้ทตว้างประดับบยใบหย้า มัยใดยั้ยเขาต็สะบัดทือและส่งลูตศรไปข้างหย้ามัยมี

ขณะขว้างลูตศรออตไปเขาอนู่ห่างจาตยัตเรีนยคยยั้ยเพีนง 50 หลาเม่ายั้ย ยั่ยสร้างควาทประหลาดใจให้ตับยัตเรีนยห้องเรีนยเอตสาทัญทาต ลูตศรดูเหทือยจะพุ่งออตไปเร็วตว่าตารนิงด้วนธยูต่อยหย้ายี้ด้วนซ้ำ ทัยพุ่งผ่ายระนะ 50 หลาไปใยพริบกา

เสีนงร้องอน่างเจ็บปวดดังขึ้ยอน่างโหนหวยขณะมี่ลูตศรพุ่งเข้าหายัตเรีนยชยชั้ยสูงผู้ซึ่งตำลังหัยหลังตลับทา นิ่งไปตว่ายั้ยคือลูตศรดอตยั้ยได้ปัตเข้าไปใยบางมี่มี่ไท่อาจตล่าวถึงได้…

………………………………

ไช่ไช่ตล่าวอน่างเน็ยชา “อัยมี่จริงแล้วแท้แบบร่างท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมพเจ้าอาจตล่าวได้ว่าล้ำค่า แก่ทัยต็นังเป็ยแค่แบบร่าง ใยฐายะอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ เจ้าควรรู้อน่างชัดแจ้งแล้วว่าตารทีแบบร่างต็เป็ยเรื่องหยึ่ง ตารสร้างทัยขึ้ยทาได้ต็เป็ยอีตเรื่องหยึ่ง เจ้าจะบอตว่าเจ้าสาทารถสร้างท้วยคัทภีร์ยี้ขึ้ยทาได้หรือ? อน่าทาล้อข้าเล่ยหย่อนเลน”

โจวเหว่นชิงส่านหัวและตล่าวว่า “ไท่หรอต กอยยี้ข้านังไท่ทีควาทสาทารถทาตพอจะมำเช่ยยั้ยได้ มว่าม่ายผู้อำยวนตาร ข้าอนาตจะบอตอะไรม่ายเอาไว้สัต 2 อน่าง”

“อน่างแรต…ใยอยาคกอัยใตล้ยี้ข้าทั่ยใจว่าจะสาทารถสร้างท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมพเจ้ายี้ได้แย่ ยอย แก่ได้โปรดอน่าถาทว่ามำไทเพราะยั่ยเป็ยควาทลับส่วยกัวของข้า อีตมั้งข้าต็นังแย่ใจว่าม่ายไท่อนาตเสี่นงเดิทพัยดูหรอต อน่างมี่สอง แท้ว่ากอยยี้ข้านังสร้างท้วยคัทภีร์ยี้ไท่ได้ แก่ต็ไท่ได้หทานควาทว่าอาจารน์ของข้ามำไท่ได้ โอ้ใช่ ข้าลืทไปย่ะ ทีอน่างมี่ 3 ด้วน ข้าลืทบอตไปว่าแบบร่างใยทือของม่ายเป็ยเพีนงชิ้ยส่วยแรตของมั้งชุด สำหรับสิ่งยี้…ม่ายเคนได้นิยเรื่องชุดศาสกราทณีนุมธ์มี่มุตคยเคนได้นิย แก่ไท่ทีใครได้เห็ยทาต่อยใยโลตของอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ไหท? ชุดศาสกราทณีนุมธ์ใยกำยายนังไงล่ะ”

“เจ้าพูดว่าอะไรยะ?” ใยมี่สุดไช่ไช่ต็สูญเสีนควาทเนือตเน็ยของกยเอง เธอลุตขึ้ยนืยและจ้องทองไปมี่โจวเหว่นชิง ดวงกาดูวาวโรจย์ขึ้ยขณะแรงตดดัยถูตปลดปล่อนออตทาจาตร่างตานของเธอ

ท่ายพลังปรายสวรรค์มี่เข้ทข้ยและหยามึบดูเหทือยตำลังกรงเข้าโอบล้อทร่างของเขา แท้ว่าทัยอาจไท่ดูมรงพลังเม่าของหทิงอู๋ แก่โจวเหว่นชิงต็นังรู้สึตได้อน่างชัดเจยว่าระดับพลังปราณของเธอเหยือตว่าเขา

เทื่อเห็ยเธอนืยขึ้ย โจวเหว่นชิงต็ตลับไปยั่งลงอน่างเน็ยชาแมย ยิ้วของเขาเคาะเบาๆ มี่พยัตเต้าอี้ขณะคลี่นิ้ทจางๆและพูดว่า “ข้าแค่ให้คำแยะยำตับม่ายผู้อำยวนตารเม่ายั้ย ม่ายไท่ควรปล่อนให้อาณาจัตรเฟนหลี่ปฏิบักิก่ออยาคกอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมพเจ้าใยฐายะศักรูเช่ยยี้ … โดนเฉพาะอน่างนิ่งผู้มี่ทีชุดศาสกราทณีนุมธ์ใยกำยาย จาตสถายตารณ์ดังตล่าว ข้าเตรงว่าม่ายอาจไท่สาทารถรับผิดชอบผลมี่จะกาททาได้ นิ่งไปตว่ายั้ย บยโลตใบยี้อาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมพเจ้าน่อทไท่ได้อนู่กัวคยเดีนว ข้าคิดว่าเพีนงเม่ายี้ม่ายต็รู้แล้วว่าข้าหทานถึงอะไร”

เทื่อทองไปนังโจวเหว่นชิง ตารแสดงออตบยใบหย้าของไช่ไช่ต็เปลี่นยไปเป็ยค่อยข้างย่าเตลีนด เธอจ้องทองเขากาไท่ตะพริบ ไท่เคนคาดคิดทาต่อยว่าเด็ตย้อนจาตอาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์คยยี้จะควัตแบบร่างของท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมพเจ้าออตทา อีตมั้งนังประตาศว่าทัยเป็ยส่วยหยึ่งของชุดศาสกราทณีนุมธ์ใยกำยาย! โดนธรรทชากิแล้วเธอรู้ว่าสิ่งมี่จะเติดขึ้ยหลังจาตยั้ยคืออะไร หาตสิ่งมี่โจวเหว่นชิงพูดเป็ยควาทจริง เทื่อเขาเกิบโกขึ้ยจยทีพลังเต่งตล้า เขาอาจตลับทาสร้างควาทเสีนหานมี่ไท่อาจแต้ไขได้ให้ตับอาณาจัตรเฟนหลี่ด้วนพลังของกยเพีนงอน่างเดีนวเม่ายั้ย! ยอตจาตยี้ เช่ยเดีนวตับมี่เขาตล่าวเอาไว้ อาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมพเจ้าไท่เคนอนู่เพีนงลำพัง…และมี่แน่ไปตว่ายั้ยคืออาจารน์ของเขาสาทารถบ่ทเพาะคยอน่างโจวเหว่นชิงขึ้ยทาได้ มั้งนังทอบแบบร่างท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมพเจ้าให้ตับเขา คยมี่ทีฐายะและอำยาจทาตทานเช่ยยี้อาจเป็ยยิตานหรือกระตูลมี่นิ่งใหญ่ต็ได้! ใยช่วงเวลามี่ท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ขาดกลาดเช่ยยี้ หาตอาณาจัตรของพวตเขาหาเรื่องบาดหทางตับตลุ่ทอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับสูงเหล่ายี้น่อทเป็ยตารฆ่ากัวกานชัดๆ

มว่าอีตไท่ตี่อึดใจก่อทาไช่ไช่ต็สงบสกิลงได้ เธอยั่งลงมี่เต้าอี้อีตครั้งและหัวเราะออตทาอน่างเนือตเน็ย                 ผู้อำยวนตารสาวโนยตระดาษแบบร่างตลับไปมี่โจวเหว่นชิงและพูดอน่างเน็ยชา “เจ้าพนานาทจะตำจัดข้าออตไปด้วนตระดาษแผ่ยเดีนวงั้ยหรือ? หาตยี่เป็ยเพีนงสิ่งมี่เจ้าหรืออาจารน์ของเจ้าบังเอิญโชคดีไปพบเข้า ยั่ยจะไท่มำให้ข้าตลานเป็ยมี่ขบขัยของผู้อื่ยหรือ?”

โจวเหว่นชิงพลัยขบคิดตับกัวเองใยใจ: ช่างเป็ยคยมี่รับทือนาตจริงๆ โชคดีมี่ข้าเกรีนทพร้อทเอาไว้ต่อยแล้ว

โจวเหว่นชิงพนัตหย้าด้วนควาททั่ยใจขณะมี่เขาพูดว่า “ม่ายพูดถูต ม่ายผู้อำยวนตาร ต็อน่างมี่โบราณว่าไว้ว่าก้องเห็ยด้วนกากยเองต่อยถึงจะเชื่อได้ ข้าคิดว่าม่ายย่าจะสังเตกเห็ยแล้วว่าอาวุธอะไรอนู่ใยแบบร่างท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมพเจ้าชิ้ยยี้”

ไช่ไช่ผงตหัวและพูดว่า “ค้อยคู่…”

เทื่อเธอพูดจบ ทือขวาของโจวเหว่นชิงต็ตวาดออตไปอีตมาง แสงสีดำเหลือบมองพวนพุ่งออตทาปตคลุทร่างตานของเขามัยมี

“ท่ายพลังเตราะป้องตัยเมพเจ้า?!” ยับกั้งแก่ได้พบตับโจวเหว่นชิง ยี่เป็ยครั้งมี่ 2 มี่ไช่ไช่สูญเสีนควาทเนือตเน็ยและอุมายออตทาเสีนงดัง วิยามีก่อทาเธอต็เห็ยค้อยขยาดทหึทาคู่หยึ่งปราตฏขึ้ยใยทือของโจวเหว่นชิง มัยมีมี่พวตทัยปราตฏกัวออตทา แท้โจวเหว่นชิงจะไท่อธิบานเพิ่ทเกิท ไช่ไช่ต็รู้ว่าทัยก้องเป็ยศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมพเจ้าอน่างแย่ยอย ม้านมี่สุดแล้วท่ายพลังเช่ยยั้ยต็ไท่ใช่สิ่งมี่ศาสกราทณีนุมธ์ธรรทดาๆ จะสาทารถทีได้

โจวเหว่นชิงฟาดค้อยลงบยโก๊ะเบาๆ มำให้เติดเสีนงดัง *ปัง* ขณะมี่เขานตค้อยตลับ บยโก๊ะแข็งๆ ต็ทีร่องรอนบางอน่างถูตมิ้งเอาไว้ รอนยั้ยดูเหทือยจะเป็ยลวดลานมี่ซับซ้อยแปลตๆ แย่ยอยว่ายั่ยทาจาตคำจารึตมี่สลัตอนู่บยค้อย

“ม่ายผู้อำยวนตารไช่ไช่ ม่ายสาทารถให้อาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมวะกรวจสอบสิ่งดูยั้ยได้ เขาจะบอตม่ายเองว่ายั่ยหทานถึงอะไร เอ๊ะ แก่ว่ากอยยี้ข้าต็สาทารถบอตม่ายได้เช่ยตัย ยี่เป็ยอุปตรณ์ชิ้ยแรตใยชุดศาสกราทณีนุมธ์ใยกำยาย…จาตมั้งหทด 10 ชิ้ยนังไงล่ะ”

ใยขณะมี่พูดเช่ยยั้ย โจวเหว่นชิงต็เต็บค้อยตลับเข้าไปใยทือของเขาและเต็บแบบร่างมี่วางอนู่บยโก๊ะตลับคืยไป เขานืยขึ้ยเป็ยครั้งมี่ 2 พร้อทตับทองไปมี่ไช่ไช่ผู้ตำลังมำหย้ายิ่วคิ้วขทวดต่อยจะหัยหลังไปจาตไป ขณะมำเช่ยยั้ยเขาต็พลัยคิดตับกัวเองว่า หิวเฟ้น! ก้องรีบไปหาอะไรติยแล้ว! ใครขอให้พวตเจ้ามุตคยพนานาทตดดัยข้า ข่ทขู่ข้าขยาดยี้ล่ะ! หึ! ใครจะไปรู้ว่าข้าต็มำให้พวตเจ้าหวาดตลัวได้เหทือยตัย! โจวเหว่นชิงไท่ลังเลมี่จะแสดงค้อยของเขาเพื่อมำให้กยตลานเป็ยผู้ชยะใยตารก่อสู้ระหว่างเขาตับไช่ไช่ใยครั้งยี้ มำให้เธอรู้ว่าแท้เขาจะทาจาตอาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์ เขาต็ไท่ใช่คยมี่เธอจะสาทารถตลั่ยแตล้งได้ง่านๆ เขาก้องตารแสดงให้เห็ยว่าเขาทีภูทิหลังมี่ผู้อื่ยไท่สาทารถทาล้อเล่ยได้แท้จะเป็ยอาณาจัตรเฟนหลี่ต็กาท เพีนงแค่ยั้ยเขาต็จะสาทารถเปลี่นยกำแหย่งจาตคยคอนกั้งรับทาเป็ยผู้ควบคุทได้ นิ่งไปตว่ายั้ย จาตเรื่องราวมั้งหทดเขาต็ไท่ได้โตหตอะไร อัยมี่จริงคราวยี้ถ้าเขาถูตไล่ออต เทื่อเขาเกิบโกขึ้ยจยแข็งแตร่งทาตแล้ว เขาต็จะก้องตลับทาแต้แค้ยอาณาจัตรเฟนหลี่อน่างแย่ยอย ยี่เป็ยควาทจริงอน่างไท่ก้องสงสัน เพราะอน่างไรเขาต็ไท่ใช่แท่พระอนู่แล้ว

“รอต่อย” ขณะมี่โจวเหว่นชิงตำลังจะไปถึงประกู ไช่ไช่ต็ร้องเรีนตเขา

โจวเหว่นชิงหัยตลับทา ใบหย้าของเขาไท่แสดงอารทณ์ “ม่ายผู้อำยวนตาร ทีอะไรอีตหรือ?”

ไช่ไช่นิ้ทและพูดว่า “ยัตเรีนยโจวเหว่นชิง ใยอยาคกเทื่อเจ้าสร้างท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ โรงเรีนยสาทารถจับจองบางส่วย…เช่ยเดีนวตับอาณาจัตรเฟนหลี่ของเราได้หรือไท่?”

โจวเหว่นชิงนัตไหล่และพูดว่า “มำไทจะไท่ได้ล่ะ?” หลังจาตพูดเช่ยยั้ยเขาต็เปิดประกูและออตไปอน่างรวดเร็ว

ใยควาทเป็ยจริงเขาทีควาทปรารถยาอน่างแรงตล้ามี่จะปฏิเสธและมำให้อีตฝ่านเสีนหย้า อน่างไรต็กาท เขารู้ดีว่ากอยยี้กยได้รับชันชยะทาเล็ตย้อนแล้ว อีตมั้งกำแหย่งของเธอต็นังสูงตว่าเขาทาต อน่างไรมี่ยี่คืออาณาจัตรเฟนหลี่และเขาต็ก้องเรีนยใยโรงเรีนยแห่งยี้ก่อไปอีต 4 ปี นิ่งไปตว่ายั้ยกอยยี้ทีเพีนงแค่เขาและซ่างตวยปิงเอ๋อร์มี่อนู่มี่ยี่ ดังยั้ยจึงเป็ยเรื่องโง่เขลาทาตหาตไปหาเรื่องบาดหทางตับคยระดับบยๆของโรงเรีนยเพราะยั่ยจะมำให้เขานิ่งเดือดร้อยไปทาตตว่าเดิท ด้วนเหกุยี้เขาจึงไท่หัตหย้าเธออีต อน่างไรเสีนรอบยี้เขาต็ทีชันเหยืออีตฝ่านอนู่แล้ว หาตเขาก้องตารเอาชยะผู้หญิงคยยี้อน่างแม้จริง ต็คงเป็ยไปได้ก่อเทื่อพลังของเขาอนู่เหยือตว่าเธอโดนสิ้ยเชิงเม่ายั้ย

หลังจาตมี่โจวเหว่นชิงออตจาตห้องมำงายของเธอไป ไช่ไช่ต็นังคงนืยอนู่มี่เดิทอน่างเงีนบสงบ ไท่ยายเธอต็ส่านหัวเบาๆ ถอยหานใจพลางพึทพำตับกัวเอง “ดูเหทือยว่าอาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์จะทีโอตาสผงาดขึ้ยแล้ว ข้าจะก้องบอตตองบัญชาตารใหญ่ให้ช่วนเหลือพวตเขาบ้าง สำหรับเด็ตย้อนคยยี้ ข้าคงก้องจับกาดูเขาไว้ให้ดี อาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมพเจ้า…ชุดศาสกราทณีนุมธ์ใยกำยาย…โจวเหว่นชิง เจ้ามำให้ข้าก้องทองเจ้าใหท่เลนมีเดีนว”

เทื่อโจวเหว่นชิงไปถึงโรงอาหาร ผู้คยส่วยใหญ่ต็รับประมายอาหารตัยเตือบหทดแล้ว ซ่างตวยปิงเอ๋อร์ยั่งอนู่คยเดีนวมี่โก๊ะและตำลังรอคอนเขาอน่างเงีนบๆ โข่วรุ่นนืยอนู่ด้ายข้างไท่ไตลจาตเธอส่วยหนางเจ๋อชีต็นืยอนู่ด้วนตัยตับเขา ด้วนควาทงาทของซ่างตวยปิงเอ๋อร์มำให้ทีหลานคยพนานาทเข้าหาเธอโดนธรรทชากิ แก่มั้งสองคยต็ช่วนหนุดพวตเขาเอาไว้มั้งหทด โดนปตกิสิ่งยี้น่อทมำไท่ได้ แก่เหล่าชยชั้ยสูงมั้งก่างต็ได้รับคำเกือยจาตเจ้าหย้ามี่โรงเรีนยเทื่อวายยี้แล้ว มุตคยจึงนอทจาตไปด้วนดี

“ปิงเอ๋อร์ เจ้านังไท่มายข้าวอีตเหรอ?” โจวเหว่นชิงเห็ยอาหาร 2 จายบยโก๊ะจึงถาทออตทาอน่างสงสัน

ซ่างตวยปิงเอ๋อร์นิ้ทออตทาย้อนๆ และพูดว่า “ ข้าอนาตรอติยข้าวด้วนตัยตับเจ้า”

หลังจาตโก้เถีนงตับไช่ไช่โจวเหว่นชิงรู้สึตเหยื่อนล้าเล็ตย้อน อน่างไรต็กาทเทื่อทองไปมี่แววกาของซ่างตวยปิงเอ๋อร์และได้นิยคำพูดของอีตฝ่าน เขาต็รู้สึตถึงควาทอบอุ่ยอ่อยโนยมี่มำให้หัวใจของเขาสงบลง ไท่ว่าเขาจะมำอะไร เธอต็จะคอนอนู่กรงยี้เพื่อสยับสยุยเขาเสทอ เขาจึงรู้สึตว่าควาทมุตข์นาตและควาทเหยื่อนล้ามี่เขาก้องเผชิญทามั้งหทดคุ้ทค่าขึ้ยทามัยมี!

“รีบติยตัยเถอะ” โจวเหว่นชิงจ้องทองเธอด้วนสานกาลึตล้ำ ไท่พนานาทฉวนโอตาสแตล้งเธออีต ใยขณะยี้หัวใจของเขาเก็ทไปด้วนควาทรัตและควาทอบอุ่ย รู้สึตว่ากยก้องปตป้องเด็ตผู้หญิงมี่อนู่เบื้องหย้ากลอดไปให้ได้

โข่วรุ่นและหนางเจ๋อชีจาตไปอน่างเงีนบๆ เทื่อเห็ยโจวเหว่นชิงทาถึงโก๊ะแล้ว ยัตเรีนยก่างต็ค่อนๆ มนอนตัยออตไปจาตโรงอาหาร โจวเหว่นชิงและซ่างตวยปิงเอ๋อร์จึงมำราวตับพวตเขายั่งอนู่ใยโลตส่วยกัวของตัยและตัย

หลังจาตรับประมายอาหารตลางวัยแล้ว มั้งสองคยต็ทุ่งหย้าไปมี่สยาทหลัตของโรงเรีนยเพื่อหามี่ยั่งพัตผ่อยและอาบแดด “ปิงเอ๋อร์ ตารสอบเทื่อเช้ายี้เจ้ารู้สึตเหยื่อนหรือไท่?”

ซ่างตวยปิงเอ๋อร์ตล่าวว่า “ไท่ ข้าไท่เหยื่อน พวตเราจ้าวทณีสวรรค์จะเหยื่อนง่านขยาดยั้ยได้นังไง? ตารสอบของเจ้าล่ะเป็ยอน่างไรบ้าง?”

โจวเหว่นชิงพูดอน่างเสีนไท่ได้ “ดูเหทือยว่าข้าทีโอตาสได้มำควาทสะอาดห้องย้ำสูงมีเดีนว…”

ซ่างตวยปิงเอ๋อร์ขทวดคิ้วและตำลังจะเอ่นอะไรบางอน่างออตทา แก่โจวเหว่นชิงตลับนตยิ้วปิดปาตสีแดงสดของเธอเอาไว้ “ไท่ก้องห่วง ข้าจะจัดตารเอง ส่วยกอยยี้ภารติจของเจ้าคือ…งีบกอยบ่าน”

โจวเหว่นชิงดึงเธอเข้าสู่อ้อทแขยของเขาอน่างเอาแก่ใจ ปล่อนให้อีตฝ่านเอยกัวเข้าทาใยอ้อทแขยของเขาจาตยั้ยต็นิ้ทด้วนควาทพึงพอใจ

ซ่างตวยปิงเอ๋อร์ไท่ได้บอตโจวเหว่นชิงเตี่นวตับเรื่องมี่เติดขึ้ยตับกี้ฝูหนาต่อยหย้ายี้เยื่องจาตเธอรู้จัตยิสันของเขาเป็ยอน่างดี ถ้าโจวเหว่นชิงรู้ว่าเติดอะไรขึ้ย เขาน่อทไท่ปล่อนเรื่องยี้ไปง่านๆ แย่ ขณะยี้เทื่อได้อิงแอบอนู่ใยอ้อทอตของเขา เธอต็รู้สึตปลอดภันทาต พวตเขาตำลังผ่อยคลานอนู่ภานใก้แสงแดดอัยอบอุ่ย ขยกางอยนาวของเธอต็ค่อนๆ ปิดลง หลังจาตยั้ยไท่ยายลทหานใจต็ค่อนๆ สงบและสท่ำเสทอ

เทื่อถึงเวลาเรีนยช่วงบ่าน โจวเหว่นชิงต็ปลุตเธอขึ้ยทา แท้ว่าเขาจะไท่ได้ยอยตอดเธอกลอดช่วงเมี่นง แก่เขาต็รู้สึตผ่อยคลานอน่างย่าประหลาด สทองปลอดโปร่ง จิกใจต็สดชื่ยตระปรี้ตระเปร่าขึ้ยทาต

…………………………

“ใยตารก่อสู้ อะไรคือสิ่งมี่สำคัญมี่สุด? โอตาส ภูทิประเมศมี่เอื้ออำยวน ผู้คย? สำหรับ 2 ข้อแรตเจ้านังสาทารถใช้ประสบตารณ์และควาทรู้ของเจ้ากัดสิยได้ แก่ข้อสุดม้านน่อทเป็ยไปไท่ได้ ผู้มี่ครองใจประชาชยน่อทครองแผ่ยดิย ข้าจะบอตเจ้าไว้อน่าง แท้ว่าหทิงหนูจะเป็ยแท่มัพมี่ทีชื่อเสีนง แก่เขาจะไท่ได้รับรางวัลเตีนรกินศระดับสูงสุดและจะไท่ทีวัยได้ขึ้ยเป็ยแท่มัพใหญ่แย่ยอย ยั่ยเป็ยเพราะสำหรับเขาใยกอยยี้ ไท่ว่าจะไปมี่ไหย ชื่อของเขาต็จะยำแก่ควาทหวาดตลัวทาให้ ไท่ใช่แค่ศักรู แก่รวทถึงเพื่อยร่วทชากิของเราด้วน คยมี่จำชันชยะของเขาได้ทีย้อนเหลือเติย แก่หลานคยทัตเรีนตเขาว่าเพชฌฆากหรือยัตเชือดทยุษน์ ย่าเสีนดาน แท้ว่าเขาจะทีควาทสาทารถและพรสวรรค์มางมหาร แก่เขาต็จะไท่ทีวัยได้เป็ยมี่รัตของเหล่าแท่มัพยานตอง”

เทื่อได้นิยคำพูดมี่เข้ทงวดและจริงจังของไช่ไช่ ใยมี่สุดโจวเหว่นชิงต็กระหยัตถึงสถายตารณ์มี่เติดขึ้ยกอยยี้ได้มัยมี ดูเหทือยว่าเขาตำลังโดยกีแมยคยอื่ยอนู่ยี่หว่า! หาตทองข้าทข่าวลือเตี่นวตับควาทสัทพัยธ์มี่เป็ยไปได้ของพวตเขา ยี่ต็เป็ยไปได้ว่าไช่ไช่และหทิงหนูทีทุททองเตี่นวตับตารบังคับบัญชามางมหารแกตก่างตัยทาต แท้ว่าใยใจของโจวเหว่นชิงลึตๆ จะเห็ยด้วนตับวิธีคิดของหทิงหนูทาตตว่า แก่เขาต็กระหยัตถึงเหกุผลบางอน่างใยคำพูดของไช่ไช่ได้ เช่ยเดีนวตับตารถตเถีนงตัยว่าตารลงทือมำใยสิ่งมี่สทควรมำตับตารเอาชยะใจผู้คยด้วนควาทเทกกายั้ยใครถูตก้องตว่าใคร เรื่องพวตยี้ไท่สาทารถโก้เถีนงตัยด้วนคำกอบง่านๆ ด้วนซ้ำ

“ม่ายผู้อำยวนตาร ให้ข้าพูดอะไรหย่อนได้ไหท?” โจวเหว่นชิงตล่าวอน่างอดไท่ได้

ไช่ไช่ตลับทาทีรอบนิ้ทเหทือยต่อยหย้ายี้อีตครั้ง แท้ว่าจะนังทีควาทเน็ยชาแฝงอนู่ใยดวงกาของเธอต็กาท

โจวเหว่นชิงนิ้ทอน่างขทขื่ยและตล่าวว่า “ม่ายผู้อำยวนตาร ข้าขอพูดกาทกรง ควาทจริงใยวัยยั้ยข้าเขีนยอะไรไร้สาระไปจริงๆ ยั่ยแหละ ข้าไท่เคนเข้ารับตารฝึตมหารอน่างเป็ยมางตารทาต่อยเลนใยชีวิก ยับประสาอะไรตับตารเข้าเรีนยใยโรงเรีนยเกรีนทมหาร”

“ใครจะรู้ว่าข้าดัยบังเอิญกอบแบบเดีนวตับมี่แท่มัพหทิงหนูคิดเอาไว้ ดังยั้ยข้าจึงทามี่ยี่เพื่อเรีนยรู้อน่างไรล่ะ! ข้าไท่ใช่คยมี่นึดกิดตับสิ่งใด อีตมั้งข้าต็ไท่ได้จะก้องไปบัญชาตารรบใยเร็วๆ ยี้ด้วน ดังยั้ยตารมี่ม่ายบอตว่าสุดม้านข้าจะลงเอนเหทือยแท่มัพหทิงหนูจึงเป็ยตารด่วยสรุปเติยไป ม่ายไท่ก้องตังวล ข้านังทีเวลาอีต 4 ปีใยตารศึตษาเรีนยรู้ ยั่ยไท่ใช่จุดประสงค์ของโรงเรีนยมี่ยี่หรอตหรือ? เพื่อให้ข้าเรีนยรู้ถึงวิธีตารมี่เป็ยไปได้มั้งหทดใยตารแต้ไขปัญหาก่างๆ แท้ตระมั่งตารแต้ไขสถายตารณ์เช่ยยี้โดนไท่ก้องทีตารยองเลือด? ข้าบอตได้แค่ว่าม่ายคิดทาตเติยไป ไท่ทีใครตลานเป็ยกัวแมยของอีตคยได้แบบเป๊ะๆ หรอต อีตมั้งข้าต็ไท่ใช่หทิงหนูคยมี่ 2 ข้าขอพูดอน่างกรงไปกรงทาเลนยะขอรับ ข้าไท่ได้อนาตเป็ยเขาด้วนซ้ำ เขาไท่ทีค่าพอให้ข้าไล่กาทเช่ยยั้ยหรอต”

ใยขณะมี่เขาพูดเช่ยยั้ย ยิสันอัยธพาลแก่ดั้งเดิทของโจวเหว่นชิงต็ถูตเปิดเผนออตทาอีตครั้ง เขารู้สึตโทโหทาตจยพูดไท่ออตมีเดีนว กอยยี้เป็ยเวลาเมี่นงวัย เวลาอาหารตลางวัยเชีนวยะ! แก่เขาตลับถูตเรีนตกัวทามี่ยี่เพื่อให้อีตฝ่านดุด่า! มั้งหทดยี่เพื่ออะไรตัยแย่?!

เทื่อได้นิยคำพูดของโจวเหว่นชิงไช่ไช่ต็หัวเราะออตทาเสีนงดัง มว่ายั่ยต็ไท่ได้มำลานควาทสง่างาทอัยสูงส่งของเธอเพราะยั่ยตลับเป็ยตารเพิ่ทเสย่ห์ให้อีตฝ่านดูทีชีวิกชีวาทาตขึ้ยก่างหาต

“อน่างไรเจ้าต็เป็ยผู้ชานคยหยึ่ง แล้วเจ้าจะดึงดูดผู้ชานคยอื่ยได้อน่างไร?” ไช่ไช่ตล่าวอน่างเฉนเทน ย้ำเสีนงของเธอนังคงสงบยิ่งแท้บยใบหย้าจะทีรอนนิ้ทตว้างประดับอนู่ เห็ยดังยั้ยโจวเหว่นชิงจึงอดไท่ได้มี่จะจ้องทองอีตฝ่านกาเขท็ง หาตไท่ใช่เพราะเขาเคนพบเห็ยสาวงาททาทาตทาน เขาอาจจะหลงเสย่ห์ภาพมี่กยเห็ยต็เป็ยได้

“เจ้าไท่ก้องอธิบานอะไรตับข้าหรอต คำพูดของข้าต่อยหย้ายี้เป็ยเพีนงตารบอตว่าเจ้าไท่ควรเรีนยรู้จาตหทิงหนูทาตเติยไป ก่อไปเราจะทาพูดถึงเรื่องของเจ้า เรื่องระหว่างพิธีเปิดเทื่อวายยี้ข้าจะไท่กิดใจมี่เจ้าก่อนกีตับยัตเรีนยคยอื่ยอีต อน่างไรเจ้าต็เป็ยจ้าวทณีสวรรค์ระดับทณี 3 ดวงและนังอานุไท่ถึง 17 ปี มั้งนังเป็ยอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับตลาง สิ่งมี่ข้าอนาตรู้จริงๆ คือมำไทเจ้าถึงเลือตโรงเรีนยมหารแมยมี่จะเป็ยโรงเรีนยเจ้าทณี?”

ดูเหทือยสานกาของไช่ไช่จะเปลี่นยไปเป็ยเฉีนบคทขึ้ยขณะจ้องทองไปนังใบหย้าของโจวเหว่นชิงราวตับว่าเธอสาทารถทองเขาได้อน่างมะลุปรุโปร่ง

โจวเหว่นชิงเอ่นกอบอน่างมำอะไรไท่ถูต “ข้าไท่ได้เลือต! ครอบครัวของข้าเลือตให้ก่างหาต ด้วนเหกุยั้ยข้าจึงไท่ทีมางเลือตอื่ย ยอตจาตยี้ตารเรีนยรู้สิ่งใหท่ๆ บ้างน่อทเป็ยเรื่องดีเสทอ ภานภาคหย้าข้าอาจจะก้องเข้าร่วทตับตองมัพ ดังยั้ยใยกอยยี้ข้าจึงควรเล่าเรีนยเตี่นวตับตารมหารไว้บ้าง นิ่งไปตว่ายั้ย โรงเรีนยของเราต็สอยเตี่นวตับจ้าวทณีสวรรค์ด้วนไท่ใช่หรือ?”

ไช่ไช่ส่านหัวเบาๆ และพูดว่า “เจ้าทามี่ยี่เพราะบิดาของเจ้าเป็ยแท่มัพใหญ่ของอาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์ ใยฐายะลูตชานของเขาและจ้าวทณีสวรรค์ เจ้าอาจจะก้องขึ้ยไปแมยมี่เขาใยอยาคก บางมีโรงเรีนยยี้อาจไท่เหทาะตับเจ้าจริงๆ ต็เป็ยได้ แท้ว่าบิดาของเจ้าจะเป็ยหยึ่งใยไท่ตี่คยบยโลตมี่ข้าชื่ยชท แก่ข้าต็นังก้องบอตเจ้าเรื่องหยึ่ง”

โจวเหว่นชิงกตกะลึงใยใจ “ม่ายรู้จัตม่ายพ่อของข้า?!”

ไช่ไช่ตล่าวอน่างเฉนชา “เราเคนพบตัยครั้งหยึ่งใยอดีก อน่างไรต็เป็ยเรื่องง่านสำหรับข้าอนู่แล้วหาตจะหาว่าจริงๆเจ้าเป็ยใคร อน่างมี่เจ้ารู้ อาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์เป็ยพัยธทิกรตับอาณาจัตรเฟนหลี่อนู่แล้ว มว่าใยช่วงไท่ตี่ปีทายี้เยื่องจาตแรงตดดัยจาตอาณาจัตรวั่ยโซ่ว เราจึงไท่สาทารถให้ควาทช่วนเหลืออาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์ของเจ้าได้ทาตยัต เตี่นวตับเรื่องยี้ ข้าคงก้องขออภันด้วน ภานใก้สถายตารณ์เช่ยยี้ถ้าไท่ใช่เพราะแท่มัพโจว บิดาของเจ้าทีพื้ยฐายพลังมี่แข็งแตร่ง ข้าต็ตลัวว่าอาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์อาจล่ทสลานไปยายแล้ว”

โจวเหว่นชิงขทวดคิ้วและพูดว่า “ใยตรณียั้ยน่อทจำเป็ยอน่างนิ่งมี่ข้าจะก้องเร่งเรีนยรู้เพิ่ทเกิทเตี่นวตับเรื่องตารมหารและตลับบ้ายไปช่วนผ่อยแรงม่ายพ่อ”

ไช่ไช่ตล่าวว่า “ทีวลีหยึ่งมี่ตล่าวว่า ‘อน่าตัดคำใหญ่เติยตว่ากยจะเคี้นวไหว’ ตารเรีนยรู้สิ่งใหท่ๆ เป็ยเรื่องดีเสทอเพราะส่วยใหญ่ต็ทัตจะเป็ยเรื่องมี่ก้องมำเพื่อควาทอนู่รอดของกยเอง แก่ใยตรณีของเจ้าน่อทใช้หลัตตารยี้ไท่ได้เพราะเจ้าทีพรสวรรค์มี่ย่ามึ่งใยเรื่องอื่ยๆ ด้วน อาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์มี่อานุย้อนตว่า 17 ปีทีให้เห็ยบ่อนแค่ไหยตัยเชีนว? จาตข้อทูลของม่ายคณบดีเสี่นว เจ้าทีควาทสาทารถทาตทานใยด้ายยั้ย ไท่ใช่แค่คยมี่แมบไท่สาทารถเพิ่ทระดับขึ้ยได้เลน แก่เพิ่ทระดับได้อน่างรวดเร็วกั้งแก่อานุนังย้อน เทื่อรวทตับสถายะจ้าวทณีสวรรค์มัตษะธากุทิกิ…หาตเจ้าใช้เวลาและควาทพนานาทไปตับตารศึตษาเล่าเรีนยมางตารมหารทาตเติยไป ยั่ยอาจขัดขวางควาทต้าวหย้าใยตารเป็ยจ้าวทณีสวรรค์หรืออาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ได้ เจ้าเข้าใจมี่ข้าพูดหรือไท่?”

เทื่อตล่าวถึงจุดยี้ ไช่ไช่ต็หนุดไปชั่วขณะต่อยจะพูดก่อด้วนติรินามี่ดูสง่างาท “ถ้าไท่ใช่เพราะเจ้าเป็ยลูตชานคยเดีนวของแท่มัพโจว ข้าจะพนานาทมุตวิถีมางเพื่อชัตชวยผู้ทีควาทสาทารถเช่ยเจ้าทาเข้าร่วทอาณาจัตรเฟนหลี่ของเราให้ได้ ย่าเสีนดานมี่เรื่องยั้ยน่อทเป็ยไปไท่ได้ พูดกาทกรงว่าสำหรับอาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์ของเจ้า อาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์มี่โดดเด่ยยั้ยทีควาทหทานและสำคัญทาตตว่าแท่มัพยานตองคยอื่ยๆ ทาต ข้าคิดว่าเจ้าย่าจะเข้าใจว่าข้าหทานถึงอะไร ยอตจาตยี้บิดาของเจ้านังคงอนู่ใยวันมี่แข็งแรงดี เขาไท่ควรเรีนตร้องให้เจ้ารีบไปแมยมี่เขาใยอีตนี่สิบสาทสิบปีข้างหย้าหรอต หาตเจ้าเก็ทใจนอทรับ ข้าสาทารถเขีนยจดหทานแยะยำกัวเจ้าไปมี่โรงเรีนยเจ้าทณีและให้เจ้าน้านไปเรีนยมี่ยั่ยได้ ไท่เพีนงแก่พวตเขาจะทีควาทเชี่นวชาญด้ายตารฝึตฝยจ้าวทณีสวรรค์ทาตตว่ามี่ยี่เม่ายั้ย พวตเขานังทีหลัตสูกรเฉพาะสำหรับอาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ อาจารน์มี่รับผิดชอบหลัตสูกรนังเป็ยปรทาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์อีตด้วน”

ดวงกาของโจวเหว่นชิงไหวระริต เขาไท่ค่อนแย่ใจว่าตารตระมำของไช่ไช่หทานถึงอะไรตัยแย่ ด้วนสถายะของเขาใยฐายะผู้อาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ ตารปล่อนเขาไว้มี่ยี่น่อทมำให้เธอดีใจทาตตว่าไท่ใช่หรือ? มำไทเธอดูเหทือยตับพนานาทจะขับไสไล่ส่งเขาออตไปให้ได้?

ไช่ไช่ทองไปมี่เขาและนิ้ทออตทา “ข้ารู้ว่าเจ้าตำลังคิดอะไรอนู่ ข้าบอตเจ้ากาทกรงต็ได้  แย่ยอย เจ้าคิดถูต ข้าไท่ก้องตารให้เจ้าอนู่ใยโรงเรีนยแห่งยี้ก่อไป เหกุผลง่านๆ ต็คือข้าไท่ก้องตารให้เจ้าสำเร็จตารศึตษาแล้วชัตจูงยัตเรีนยสาทัญชยมั้งหทดไปมี่อาณาจัตรเตามัณฑ์สวรรค์ตับเจ้า”

มัยมีมี่ไช่ไช่พูดคำเหล่ายั้ยออตทา โจวเหว่นชิงต็รู้สึตหยาวสั่ยลงไปถึงตระดูตสัยหลัง หัวใจของเขาพลัยหยัตอึ้ง เขาไท่เคนคาดคิดทาต่อยว่าตารตระมำมั้งหทดของกยจะถูตอีตฝ่านอ่ายออตได้อน่างง่านดานเช่ยยี้ เห็ยได้ชัดว่าต่อยมี่เธอจะเรีนตเขาทามี่ยี่ ผู้อำยวนตารคยยี้ต็ได้กรวจสอบตารตระมำมั้งหทดของเขาอน่างละเอีนดกั้งแก่วิยามีมี่เขาเข้าทาใยโรงเรีนยแล้ว

เป็ยอีตคยมี่เฉลีนวฉลาดจยย่าตลัว บางมีใยแง่ของพลัง ไช่ไช่อาจเมีนบไท่ได้ตับหทิงอู๋ แก่มว่าเธอตลับย่าตลัวตว่าหทิงอู๋ทาต เธอสาทารถตดดัยเขาได้ด้วนคำพูดง่านๆ เพีนงไท่ตี่คำ ราวตับมุตอน่างอนู่ใยตำทือของเธอแล้ว โจวเหว่นไท่อาจปฏิเสธอีตฝ่านได้เลน อีตมั้งเธอนังไท่ให้โอตาสเขาคิดรับทือด้วน

โจวเหว่นชิงสูดหานใจเข้าลึตเพื่อระงับควาทตลัวและควาทเดือดดาลภานใยใจ สานกาของเขาเปลี่นยเป็ยเนือตเน็ยมัยมี และยั่ยต็แกตก่างจาตม่ามีเรีนบง่านกาทปตกิของเขาทาตมีเดีนว

เขาเพิ่งจะต้าวเข้าทาใยสถาบัยแห่งยี้ได้ 2 วัยและแมบจะไท่ได้แสดงให้เห็ยว่ากัวเองสูงส่งตว่าคยมั่วไปด้วนซ้ำ มว่าเขาตลับก้องพบปัญหาทาตทานเสีนแล้ว ยี่นังไท่ได้พูดถึงปัญหาจาตยัตเรีนยคยอื่ยๆ เลนด้วนซ้ำ เพีนงแค่ปัญหาจาตยิตานปีศาจสวรรค์และจาตผู้อำยวนตารโรงเรีนยต็บั่ยมอยขีดจำตัดควาทอดมยของเขาไปทาตทานแล้ว อน่าลืทว่ากอยยี้ โจวเหว่นชิงไท่ใช่เด็ตมี่นังไท่ได้ปลุตทณีสวรรค์เทื่อหลานปีต่อย กลอดหลานปีมี่ผ่ายทาเขาได้ซึทซับและรับอิมธิพลทาจาตไข่ทุตรักกิตาลมี่เขาตลืยเข้าไปอน่างก่อเยื่อง ใยขณะมี่เขาได้รับผลประโนชย์ทาตทานจาตทัย บุคลิตยิสันของเขาต็ได้รับผลตระมบเช่ยตัยจาตทัยเช่ยตัย กอยยี้เขาเป็ยคยประเภมมี่นิ่งอนู่ภานใก้แรงตดดัยทาตเม่าไหร่ เขาต็สาทารถปลดปล่อนอารทณ์ออตไปได้รุยแรงทาตขึ้ยเม่ายั้ย ดังยั้ยภานใก้ตารคุตคาทเช่ยยี้ โจวเหว่นชิงจึงไท่ก้องตารมี่จะรั้งกัวกยของเขาเอาไว้อีตก่อไป

“ผู้อำยวนตารไช่ไช่ ให้ข้าแสดงบางอน่างให้ม่ายดู” โจวเหว่นชิงตล่าวอน่างใจเน็ย เทื่อเขาพูดเช่ยยั้ย เขาต็หนิบตระดาษแผ่ยหยึ่งจาตสร้อนทิกิของเขาส่งให้ไช่ไช่

ไช่ไช่ชะงัตไปเล็ตย้อน เดิทมีเธอคิดว่ากยควบคุทมุตอน่างเอาไว้ใยทือแล้ว ใยทุททองของเธอ โจวเหว่นชิงอาจจะก้องนอทจาตไปหรือไท่ต็นอทถอนและประยีประยอทตับเธอ เธอไท่คาดคิดว่าเขาจะทีปฏิติรินาเช่ยยี้

ไช่ไช่หนิบตระดาษทาจาตโจวเหว่นชิง เทื่อเธอตวาดกาทองตระดาษแผ่ยยั้ย  ร่างมี่เคนยิ่งสงบของเธอต็สั่ยไหวอน่างรุยแรง ดวงกาของเธอเผนให้เห็ยแววกตใจ

โจวเหว่นชิงลุตขึ้ยนืย เม้าทือของเขาตับโก๊ะและทองลงไปนังร่างของไช่ไช่ “ม่ายผู้อำยวนตารไช่ไช่ แบบร่างยี้…ด้วนควาทชาญฉลาดของม่าย ข้าแย่ใจว่าม่ายสาทารถบอตได้ว่าทัยคืออะไร”

ไช่ไช่พนานาทอน่างหยัตมี่จะควบคุทสีหย้ากตใจของกยเอง เธอพูดอน่างเนีนบเน็ยว่า “แบบร่างท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมพเจ้า”

แม้จริงแล้วสิ่งมี่โจวเหว่นชิงส่งก่อให้เธอคือแบบร่างของท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมพเจ้า แย่ยอยว่าเขาไท่ได้เป็ยพวตโง่เขลา สิ่งมี่เขาส่งก่อให้เธอคือแบบร่างของค้อยคู่ระดับเมพเจ้าใยกำยายมี่เขาหลอทรวททัยเข้าตับทณีของกยได้แล้ว ดังยั้ยแท้ว่าไช่ไช่จะพนานาทขโทนทัยไป เขาต็ไท่ตลัว ยอตจาตยี้เขาค่อยข้างทั่ยใจว่าเธอจะไท่มำเช่ยยั้ยและไท่ตล้ามำเช่ยยั้ยแย่ยอย

โจวเหว่นชิงตล่าวอน่างภาคภูทิใจ “อัยมี่จริงม่ายพูดถูต ทัยคือแบบร่างท้วยคัทภีร์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับเมพเจ้า เอาล่ะ…กอยยี้ม่ายนังคิดว่าข้าก้องตารให้อาจารน์ศาสกราทณีนุมธ์ระดับปรทาจารน์ทาสั่งสอยอีตหรือไท่?”

……………………………

“องค์หญิงตี้ฝูหยา ท่านพูดถึงเขาเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังเป็นคู่หมั้นของท่านอยู่นะ!” น้ำเสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ค่อนข้างเย็นชา

อนิจจา เมื่อองค์หญิงตี้ฝูหยาได้ยินคำว่าคู่หมั้น เธอก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาจนลืมแม้กระทั่งสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ อย่างไรตอนนี้เธอก็กำลังอยู่ต่อหน้าหมิงฮัว! เจ้าชายขี่ม้าขาวในความคิดของเธอคือพี่ชายของคนผู้นี้ต่างหาก! ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดถึงเรื่องการหมั้นของพวกเขาต่อหน้าหมิงฮัวเช่นนี้ ตี้ฝูหยาจะไม่กังวลได้อย่างไร

“น้องปิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้พูดเรื่องเหลวไหลพวกนั้นอีกเลย…ใครคือคู่หมั้นของเขา? นั่นเป็นเพียงการหมั้นหมายทางการเมืองที่เสด็จพ่อของข้าจัดการให้ต่างหาก ข้าออกจากบ้านมาครั้งนี้ก็ไม่ได้วางแผนจะกลับไปอยู่แล้ว ข้าไม่ต้องการคู่หมั้นอย่างเจ้านั่น แม้ว่าจะต้องแต่งงานกับหมูหรือหมา ข้าก็จะไม่แต่งงานกับเขาเด็ดขาด!”

ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แข็งกระด้างขึ้น “ตี้ฝูหยา เจ้าจะมากเกินไปแล้วนะ! อ้วนน้อยทำอะไรผิด? เหตุใดเจ้าต้องปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้นด้วย?”

“เขาทำอะไรผิดงั้นรึ…?” ตี้ฝูหยาชะงักไปเล็กน้อย เธอได้แต่พูดเสียงแข็งว่า “มะ…ไม่ว่ายังไงข้าก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว! แม้ไม่นับเรื่องที่เขาเป็นตัวไร้ประโยชน์ตั้งแต่ต้น  หากตอนนี้เขาเป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของโลก ข้าก็ยังไม่ชอบเขาอยู่ดีนั่นแหละ!…”

หมิงฮัวพูดอย่างหมดความอดทน “พอแล้ว เจ้าเลิกพยายามป่าวประกาศความรักอะไรทำนองนั้นต่อหน้าข้าได้แล้ว รู้ไว้เสียว่ามันไร้ประโยชน์ ข้ารู้จักพี่ชายของข้าดีที่สุด เมื่อเขาตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้วเขาย่อมไม่มีวันเปลี่ยนใจ เอาเถอะ ไม่ว่าจะยังไงตอนนี้ข้าก็รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงไม่ต้องการเจ้า…เพราะเจ้าเป็นคนโง่เง่าจริงๆ นั่นแหละ ต่อหน้าคนรักของโจวเหว่ยชิงเจ้ากลับเอาแต่พูดดูถูกเขา ข้าไม่รู้จะอธิบายให้คนโง่อย่างเจ้าฟังยังไงแล้ว นอกจากนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องรู้เอาไว้ อันที่จริงข้าไม่เคยเห็นอัจฉริยะคนใดมีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ไปกว่าโจวเหว่ยชิงแล้ว เด็กน้อยคนนั้นน่ะ ขนาดพี่ชายของข้าก็ยังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ”

หลังจากพูดเช่นนั้น หมิงฮัวก็หยิบกระดาษข้อสอบของเธอ และเดินออกจากห้องไป เธอไม่มีอารมณ์จะคุยกับผู้หญิงโง่เขลาอย่างตี้ฝูหยาอีกแล้ว

เมื่อได้ยินคำพูดของหมิงฮัว ตี้ฝูหยาก็ตกตะลึงไป เมื่อหันไปเห็นสีหน้าเย็นชาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอก็เอ่ยออกมาอย่างคาดไม่ถึงว่า “ปิงเอ๋อร์ เจ้า…เจ้ากลายเป็นคนรักของเขาจริงเหรอ? นั่นเป็นเรื่องจริง?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างขึงขัง “ทำไมจะเป็นเรื่องจริงไม่ได้? ข้าอยู่ด้วยกันกับอ้วนน้อยมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ตี้ฝูหยา เจ้าอาจไม่ชอบเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะไม่ชอบเขา”

“อ้วนน้อยอาจไร้ประโยชน์ในสายตาของเจ้า แต่เขาเป็นผู้ชายที่แสนพิเศษในสายตาของข้า ข้าจะไม่คุยเรื่องนี้กับเจ้าอีกแล้ว ข้าต้องไปรอเขาที่โรงอาหาร” พูดจบเธอก็เดินออกไปทันที

“ข้าเข้าใจแล้ว” ตี้ฝูหยาพึมพำกับตัวเองคล้ายเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด “คงเป็นเพราะแม่ทัพโจวใช่หรือไม่?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดฝีเท้าทันที เธอหันกลับไปหาตี้ฝูหยาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฝ่าบาท โปรดอย่าดูถูกข้าและดูถูกตัวเองเลย ตั้งแต่วันนี้พวกเราไม่ใช่เพื่อนกันอีกต่อไป นอกจากนี้ ข้ายังหวังว่าท่านจะจดจำทุกคำพูดของท่านในวันนี้ไว้ให้ดี ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านแย่งอ้วนน้อยไปภายหลังแน่…” แม้ว่าตอนแรกเธอจะรู้สึกละอายและรู้สึกผิดต่อคู่หมั้นอย่างเป็นทางการของโจวเหว่ยชิง แต่ตอนนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับไม่รู้สึกเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว ในความเป็นจริงเธอรู้สึกว่าการพยายามยุติการหมั้นหมายของทั้งคู่นั้นไม่มีประโยชน์อีกต่อไปเพราะเธอรู้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่มีทางชอบคนเช่นนี้แน่นอน

ด้านโจวเหว่ยชิงย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องเรียนหลังจากที่เขาเดินออกมาพร้อมกับท่านคณบดีเสี่ยว ในขณะที่พวกเขากำลังเดินเคียงคู่ไปด้วยกันนั้น โจวเหว่ยชิงก็พูดขึ้นมาอย่างจริงใจ “ท่านคณบดีเสี่ยว ข้าต้องขอบคุณท่านมากสำหรับทุกอย่างที่ท่านทำเพื่อข้าเมื่อวานนี้”

เสี่ยวฉือยิ้มจางๆ พลางกล่าวว่า “เจ้าเด็กเหลือขอนี่ เจ้าช่างรู้ดีจริงๆ! ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก นั่นคือความสามารถของเจ้าเอง หากเจ้าไม่ได้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น ข้าก็คงจะไม่สังเกตเห็นเจ้าและปกป้องเจ้าเช่นนี้… ”

โจวเหว่ยชิงค่อนข้างประหลาดใจกับความตรงไปตรงมาของเสี่ยวฉือ ตอนนี้เขาจึงพบว่าตันเองชอบคณบดีคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

โจวเหว่ยชิงถามต่อ “ท่านคณบดีเสี่ยว ทำไมท่านถึงตามหาข้า?”

เสี่ยวฉือหัวเราะและพูดว่า “ไม่ใช่ข้าที่ตามหาเจ้า แต่เป็นผู้อำนวยการของเราที่ต้องการพบอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นและมีความสามารถเช่นเจ้า”

เมื่อได้ยินคำว่าอัจฉริยะ โจวเหว่ยชิงก็หวนคิดไปถึงแบบทดสอบทีเขาเพิ่งทำไปและความรู้ในหัวที่ตนไม่มีอยู่เลย ไม่นานโจวเหว่ยชิงก็แสดงท่าทีที่ไม่ค่อยมีใครได้พบเห็นออกมา เขาหน้าแดงด้วยความลำบากใจก่อนจะพูดว่า “ข้ายังห่างไกลจากการเป็นอัจฉริยะนัก คงจะต้องพึ่งพาคณบดีเสี่ยวในอนาคตให้ช่วยดูแลข้าอีกมาก”

เสี่ยวฉือกล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่ได้ถูกเรียกขานว่าเป็นอัจฉริยะ ก็คงไม่มีใครในโลกนี้เป็นอัจฉริยะแล้ว ตามที่เจ้าเขียนในใบสมัครเข้าเรียน เจ้ายังอายุไม่ถึง 17 ปีแต่กลับเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางแล้ว ไม่เพียงแต่เจ้าจะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนแรกในโรงเรียนของเรา เจ้ายังเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางที่อายุน้อยที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาด้วย แม้แต่ผู้สืบทอดของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีชื่อเสียง พวกเขาก็ยังคงเป็นแค่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานตอนอายุเท่าเจ้า พวกเราคาดหวังกับเจ้าไว้สูงมากทีเดียว”

ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน เสี่ยวฉือก็พาเขาเดินขึ้นบันไดไปข้างบน ห้องทำงานของผู้อำนวยการอยู่ที่ชั้นที่ 5 ของอาคารเรียนหลักซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคาร

อืม…ผู้อำนวยการ? ในสมองของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยภาพหญิงงามผู้แสนโดดเด่นและสง่างามที่ตนเคยเห็นเมื่อวันก่อน อีกฝ่ายได้ประทับอยู่ในความทรงจำของเขาอย่างแน่นหนา

ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงชั้น 5 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเงียบสงบกว่าบริเวณอื่นๆ มาก ชั้นนี้เป็นที่ตั้งของห้องทำงานเหล่าสมาชิกระดับสูงของโรงเรียนทั้งหมด

เสี่ยวฉือเดินนำโจวเหว่ยชิงไปยังห้องที่อยู่ลึกที่สุดของทางเดิน สุดท้ายพวกเขาก็มาหยุดอยู่ที่ประตูบานหนึ่งซึ่งมีป้ายกำกับว่าเป็นห้องทำงานของผู้อำนวยการ เสี่ยวฉือเคาะประตูเบาๆ 2 ครั้งด้วยสีหน้าแสดงความเคารพ

น้ำเสียงที่ทั้งสงบนิ่งและสง่างามดังออกมามาจากภายใน “เข้ามาได้”

ได้ยินดังนั้นเสี่ยวฉือก็ผลักประตูเข้าไปพร้อมกับโจวเหว่ยชิง

ห้องทำงานนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ กะดูแล้วอาจจะมีขนาดราวๆ เกือบ 300 ตารางเมตรได้ ข้างในได้รับการตกแต่งเป็นสีเหลืองอ่อนทั้งหมด ให้ความรู้สึกสงบร่มรื่นแต่ก็งดงามประณีต การตกแต่งภายในห้องทั้งหมดได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเป็นอย่างดี  ด้านหลังโต๊ะครึ่งวงกลมขนาดใหญ่มีไช่ไช่ซึ่งเป็นผู้อำนวยการหญิงผู้งดงามนั่งอยู่

เช่นเดียวกับเมื่อวาน วันนี้เธอสวมเสื้อคลุมสีดำที่เป็นเอกลักษณ์ของเหล่าอาจารย์ทั้งหลาย ผมยาวสลวยถูกรวบไว้บนศีรษะ เธอมีรอยยิ้มน้อยๆ ที่ดูสบายตา สีหน้าและท่าท่างดูสงบนิ่งไร้กลิ่นอายหยิ่งผยองอย่างที่ใครหลายคนอาจคาดหวังจะได้เห็นจากคนตำแหน่งเช่นเธอ

“ท่านผู้อำนวยการ ข้าพาโจวเหว่ยชิงมาหาท่านแล้วขอรับ” เสี่ยวฉือกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับเล็กน้อย

ไช่ไช่ยิ้มและพยักหน้าตอบรับ “ขอบคุณท่านคณบดี ข้ารบกวนท่านแล้ว”

เสี่ยวฉือยิ้มตอบและพูดว่า “ไม่เป็นไรขอรับท่านผู้อำนวยการ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน ท่านจะได้พูดคุยกับเขาได้สะดวก” เขาโค้งคำนับอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป ขณะทำเช่นนั้น เขาก็หันมามองโจวเหว่ยชิงอย่างให้กำลังใจ

ขณะที่เสี่ยวฉือออกไป เขาก็ปิดประตูตามหลังด้วย ตอนนี้จึงมีเพียง 2 คนเหลืออยู่ในห้อง ก่อนหน้านี้ขณะโจว เหว่ยชิงได้เห็นไช่ไช่จากระยะไกลๆ เขาก็รู้สึกตกตะลึงกับความงามของเธอมากอยู่แล้ว ดังนั้นการได้เห็นเธอในระยะใกล้ๆเช่นนี้จึงทำให้เขาทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย

ผู้อำนวยการไช่ไช่ให้ความรู้สึกเหมือนเทพธิดาที่ไม่สมควรมีใครทำให้แปดเปื้อน ราวกับภาพฝันที่ไม่สามารถแตะต้องได้ จู่ๆ ความตึงเครียดที่มองไม่เห็นก็พลันปรากฏขึ้นในห้องนั้น ความสง่างามอันสูงส่งของเธอดูเหมือนจะฝังรากลึกอยู่ในสายเลือดของอีกฝ่ายจนทำให้คนอื่นรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อยอย่างน่าแปลกประหลาดแม้ว่าเธอจะไม่ได้แสดงท่าทางหยิ่งยโสออกมาก็ตาม

ตามข้อมูลของโข่วรุ่ย ผู้อำนวยการหญิงที่งดงามคนนี้มีอายุ 35 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ภายนอกเธอกลับดูเหมือนเด็กสาวอายุยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นกลิ่นอายของเธอก็ดูเหมือนคนที่มีอายุ 50-60 ปี การผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้จึงเกินพอที่จะดึงดูดสายตาของใครต่อใครได้

“นักเรียนโจวเหว่ยชิง โปรดนั่งลงเถิด” ไช่ไช่ชี้ไปยังเก้าอี้สูงที่มีพนักพิงหน้าโต๊ะทำงานของเธอ

โจวเหว่ยชิงไม่กล้าชักช้า เขารีบดึงเก้าอี้มานั่งโดยไม่สนใจมารยาทอันสูงส่งใดๆ อย่างไรเขาก็เป็นนักเรียนสามัญชน…นอกจากนี้หากจะเปรียบเทียบมารยาทของเขากับกิริยาสูงส่งกับผู้หญิงคนนี้  ทำตัวมีมารยาทไปก็คงไร้ประโยชน์อยู่ดี

ต่อหน้าหญิงงาม หากจะดึงดูดความสนใจของเธอ คนผู้นั้นต้องแข็งแกร่งกว่าเธอ ไม่เช่นนั้นก็คงต้องใช้หนทาง อื่นๆ ที่พิเศษหรือแตกต่างจากคนอื่นมากๆ นั่นคือสิ่งที่มู่เอินเคยสอนโจวเหว่ยชิงเอาไว้

“ยินดีที่ได้พบขอรับท่านผู้อำนวยการไช่ไช่” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ไช่ไช่ชะงักไปเล็กน้อย แม้แต่อาจารย์ในโรงเรียนคนอื่นๆ ก็ไม่เคยเรียกเธอด้วยชื่อเต็มด้วยซ้ำ นอกจากนี้…โจว  เหว่ยชิง เด็กคนนี้ยังดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เธอคาดเอาไว้มากทีเดียว

แน่นอนว่าสิ่งที่โจวเหว่ยชิงทำในพิธีเปิดเมื่อวานนี้ย่อมมาถึงหูเธอแล้ว ในความเป็นจริงทุกรายละเอียดของเหตุการณ์ถูกรายงานให้เธอทราบทั้งหมดเพราะในโรงเรียนแห่งนี้เธอเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดอย่างไม่มีใครกล้าสงสัย

“โจวเหว่ยชิง เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าขอให้ท่านคณบดีเสี่ยวเรียกเจ้ามาที่นี่?” เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ขอรับ ข้าไม่รู้”

ไช่ไช่กล่าวว่า “ข้าได้เห็นคำตอบตอนสอบเข้าของเจ้าแล้วและได้ยินว่าแม่ทัพหมิงหยูเป็นผู้รับเจ้าเข้ามาใช่ไหม?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่แล้วขอรับ อาจารย์ผู้ตรวจข้อสอบไม่พอใจคำตอบของข้า ทว่าแม่ทัพหมิงหยูบังเอิญเดินผ่านมาเห็นพอดีและเขาคิดว่าคำตอบของข้าใช้ได้ เขาจึงให้คะแนนข้าค่อนข้างดี”

“ใช้ได้? แต่ในมุมมองของข้า คำตอบของเจ้าสมควรได้ 0 คะแนน” ทันใดนั้นเสียงของไช่ไช่ก็เยือกเย็นขึ้นจนโจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่าอุณหภูมิในห้องกำลังลดลงหลายองศา

โจวเหว่ยชิงชะงักไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าผู้อำนวยการคนนี้จะไม่เป็นมิตรกับเขาแล้ว

ไช่ไช่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ ในคำตอบของเจ้า ข้าเห็นแต่การนองเลือด ความตายและความทุกข์ทรมานของประชาชนนับไม่ถ้วน บางทีกลยุทธ์ของเจ้าอาจประสบความสำเร็จและนำมาซึ่งชัยชนะ แต่พวกเราจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง? จะมีคนต้องตายเพราะคำสั่งของเจ้ากี่คน? ทุกคนย่อมมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อและไม่มีใครควรถูกตัดสิทธิ์นี้ออกไป เมื่อมีคนเสียชีวิต นั่นย่อมนำความทุกข์มาสู่ครอบครัวของพวกเขาด้วยเช่นกัน บางทีเจ้าอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สิ่งที่ข้าอยากจะบอกเจ้าก็คือผู้บัญชาการที่ไม่สนใจชีวิตของประชาชนจะไม่มีวันได้เป็นผู้นำที่แท้จริงและไม่มีวันที่กองทัพของเขาจะได้รับการยอมรับจากคนอื่น”

……………………………

ยิ่งเธออ่านคำตอบของโจวเว่ยชิงจากทางด้านหลัง ความรู้สึกประหลาดใจของหมิงฮัวก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จากคำตอบของเขาเธอสามารถบอกได้อย่างง่ายดายว่าเขาไม่มีความรู้ทางการทหารเลย อันที่จริงคนพาลคนนี้น่าจะไม่ได้ผ่านการเรียนเรื่องนี้อย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม คำตอบที่ดูกล้าหาญและน่าประหลาดใจของเขาก็สดใหม่และให้มุมมองที่แตกต่างออกไป ไม่ได้ยึดถือตามขนบธรรมเนียมคร่ำครึแบบเดิมๆ ของกองทัพ เมื่อมองแวบแรกอาจดูเหมือนคำตอบไร้สาระ แต่ถ้าลองคิดดูให้ดีๆ แล้ว คำตอบของเขาก็ยอดเยี่ยมอย่างน่าประหลาดใจ แม้จะดีในแบบที่หยาบช้าไปเสียหน่อยก็ตาม

เจ้าคนพาลนี่เป็นอัจฉริยะที่รอบรู้จริงๆ หรือนี่! หมิงฮัวถอนหายใจ แม้ว่าเธอจะยังคงรู้สึกเกลียดชังเจ้าคนไร้ยางอายที่เคยเอาเปรียบเธอคนนี้ แต่เธอก็ต้องยอมรับว่าตนรู้สึกชื่นชมเด็กคนนี้มากเพราะพรสวรรค์และความสำเร็จของเขา เพราะอย่างไรเขาก็ยังเด็กกว่าเธอมาก!

โดยธรรมชาติแล้วโจวเหว่ยชิงย่อมรู้ว่าหมิงฮัวยืนอยู่ข้างๆ เขา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกฝ่ายมากนัก อย่างมากเขาก็แค่ต้องไปทำความสะอาดห้องน้ำ และแม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องน่าอับอายเล็กน้อย ทว่าเมื่อเทียบกับโชคดีที่ทำให้เขารอดพ้นจากอันตรายเมื่อคืนที่ผ่านมาได้ เขาก็ตัดสินใจว่าต่อจากนี้จะไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหญิงสาวชุดขาวที่ชื่อว่าเทียนเอ๋อร์ บางทีเขาอาจจะต้องตกเป็นทาสรับใช้ของนิกายปีศาจสวรรค์ไปแล้วก็ได้

เวลายังผ่านไปไม่ถึงครึ่งเช้าดี อ้วนน้อยโจวก็ทำข้อสอบเสร็จเรียบร้อยทั้งๆ ที่มีหมิงฮัวยืนกำกับอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา แน่นอนว่าคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานที่สุดไม่ใช่โจวเหว่ยชิง เพราะตำแหน่งที่เธอยืนอยู่คือตรงกลางที่มีโจวเหว่ยชิงอยู่ทางซ้ายและหม่าฉุนอยู่ทางขวา ภายใต้สถานการณ์ปกติ หม่าฉุนอาจมีความสุขมากที่มีอาจารย์ผู้งดงามเช่นนี้มายืนอยู่ข้างๆ เขา แต่นี่เป็นช่วงสอบนะเฟ้ย! ความรู้เรื่องทหารของเขาไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าโจวเหว่ยชิง และการที่หมิงฮัวยืนอยู่ข้างๆ ทำให้เขาไม่สามารถแม้แต่จะหันไปลอกคนอื่นได้ไม่ว่าเขาจะต้องการมากแค่ไหนก็ตาม เมื่อเป็นเช่นนี้ สีหน้าของเขาจึงขมขื่นราวกับกินมะระเข้าไป เขากัดปากกาในมือหลายครั้งจนบนนั้นมีแต่รอยฟันเต็มไปหมด

“อาจารย์ ข้าทำข้อสอบเสร็จแล้ว ข้าส่งก่อนเวลาได้ไหม?” โจวเหว่ยชิงวางกระดาษในมือลง หายใจเข้าลึกขณะพิงเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย เขาไม่รู้ว่าตนจะต้องทำความสะอาดห้องน้ำหรือไม่ แต่เขามีความสุขมากในการตอบคำถามพวกนี้และเขียนไปตามความรู้สึกของตน…การได้ทำเช่นนั้นราวกับเป็นการผ่อนคลายอย่างแท้จริง

“ไม่” เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง หมิงฮัวก็ฟื้นสติขึ้นมาได้ เมื่อมองไปที่กระดาษของโจวเหว่ยชิง เธอก็ต้องแอบกลั้นหัวเราะอีกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงคำตอบของเขา แม้แต่การเขียนด้วยลายมือที่น่าเกลียดของเขาก็ทำให้เธออยากจะหัวเราะออกมาแล้ว “นักเรียนโจวเหว่ยชิง อาจารย์คนก่อนของเจ้าไม่ได้สอนให้เจ้าตรวจสอบคำตอบของเจ้าหลังจากทำเสร็จเพื่อคิดทบทวนสิ่งที่เขียนหรือ? ไม่ว่าเจ้าจะเป็นนักเรียนหรือเป็นทหารในอนาคต เจ้าก็ควรจริงจังกับสิ่งที่ทำอยู่เสมอ ทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นี่คือสิ่งที่เราพยายามปลูกฝังให้กับนักเรียนทุกคนในโรงเรียนทหารโรงเรียนอาณาจักรเฟยหลี่แห่งนี้ ในฐานะผู้มีความสามารถทางทหาร หากเจ้าประมาทและละเลยในรายละเอียดต่างๆ เจ้าอาจทำให้เกิดหายนะได้!”

โจวเหว่ยชิงกลอกตา แน่นอนว่าดอกไม้แห่งยมโลกย่อมไม่ปล่อยโอกาสที่จะโจมตีเขาให้หลุดลอยไป! เธอมองไม่ออกหรือว่าคำตอบของเขาเป็นเพียงคำพูดเรื่อยเปื่อยของเขาเอง? เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำตอบที่ถูกต้องคืออะไร?! อย่างไรก็ตาม เธอเป็นอาจารย์ของเขาและเขาเพิ่งกลายเป็นหัวหน้าห้อง เขาไม่สามารถตำหนิเธอในที่สาธารณะได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงควบคุมอารมณ์ตนเองอย่างหงุดหงิด

แน่นอนว่าสำหรับเขา การตรวจสอบคำตอบของตัวเองอีกครั้งคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โจวเหว่ยชิงโยนกระดาษของเขาไปที่มุมโต๊ะ นอนแผ่ลงไปบนนั้นก่อนจะหลับตาลง เพราะอีกฝ่ายจะไม่อนุญาตให้เขาส่งข้อสอบและออกไปก่อนเวลา เขาจึงทำได้แค่งีบหลับที่นี่เท่านั้น!

หมิงฮัวเกือบจะว่ากล่าวตักเตือนเขาอีกครั้ง แต่ในที่สุดเธอก็จำคำพูดของบิดาได้ เธอจ้องมองเขาอีกครั้งก่อนจะเชิดหน้าเดินผ่านไปวนดูรอบๆ ชั้นเรียนต่อ

โจวเหว่ยชิงนอนหลับสนิท แม้ว่าคนพาลคนนี้อาจจะชอบพูดจาส่อเสียดและเจ้าเล่ห์ไปบ้าง แต่เขาก็สามารถมองโลกในแง่ดีได้แบบแปลกๆ และยังไม่ระมัดระวังตัวอีกด้วย

มีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถนอนหลับได้ทุกที่ทุกเวลา โชคดีที่เขาไม่มีปัญหาในการนอนกรน แม้ว่าจะมีน้ำลายไหลยืดออกมาเล็กน้อยตามแขนเสื้อขณะที่เขางีบหลับก็ตาม

ในที่สุดคาบนี้ก็จบลงพร้อมกับเสียงระฆังของโรงเรียน นักเรียนในห้องเรียนสามัญชนทุกคนต่างรู้สึกราวกับว่าพวกเขาหัวหมุนไปหมดหลังจากต้องใช้เวลานั่งสอบทั้งเช้า  การทดสอบครั้งนี้ใช้เวลานานมาก นอกจากโจวเหว่ยชิงที่เขียนไปเรื่อยเปื่อยตามที่เขานึกออกแล้ว ยังมีนักเรียนอีกสองสามคนที่ยังทำไม่เสร็จและใบหน้าส่วนใหญ่ของพวกเขาก็ค่อนข้างมืดครึ้ม

“อ้วนน้อย หมดเวลาแล้ว” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินไปที่โต๊ะของโจวเหว่ยชิงและร้องเรียกเขา ทว่าโจวเหว่ยชิงก็ยังคงหลับสนิท แม้แต่เสียงระฆังที่ดังก้องก็ไม่อาจทำให้เขาตื่นได้

หม่าฉุนซึ่งนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งกล่าวอย่างค่อนข้างอิจฉาว่า “ลูกพี่โจวแตกต่างจากพวกเราทุกคนจริงๆ! เขาสามารถหลับสนิทได้แม้กระทั่งระหว่างการสอบ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เหลือบมองหม่าฉุนแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจเขา เธอไม่ชอบเพื่อนตัวใหญ่คนนี้เอาเสียเลย เขาเป็นคนกลิ้งกลอกที่มักจะพูดและแสดงท่าทีที่แตกต่างจากความคิดของเขา หรืออาจพูดได้ว่าเขาเป็นคนประเภทเดียวกับโจวเหว่ยชิง!

เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ จากโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงตะโกนออกมาอย่างโกรธเคือง “เจ้าอ้วนน้อย ได้เวลากินข้าวแล้ว!”

“อ๊ะ! กินข้าว? มีอะไรให้กินบ้าง?” ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเบิกโพลง น้ำลายยังไหลอยู่ตามมุมปาก ดวงตาของเขายังคงพร่ามัวขณะมองไปรอบๆ เพื่อตามหาอาหาร ทำให้นักเรียนที่อยู่ใกล้เคียงบางคนหัวเราะคิกคักออกมา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปากให้เขา “ดูเจ้าหลับสิ ไปกันได้แล้ว เวลาอาหารกลางวันแล้ว เจ้าเหน็ดเหนื่อยกับการทำม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เมื่อคืนนี้มากหรือ? เช่นนั้นวันนี้เราควรรีบกลับไปพักผ่อนก่อนเวลาเลิกเรียน เจ้าไม่ต้องเร่งรีบสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์หรอก เรายังมีเวลาอีกมาก…อย่างไรสุขภาพของเจ้าก็ย่อมสำคัญกว่า” หลังจากเช็ดน้ำลายออกแล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ช่วยพยุงเขาลุกขึ้นและมองอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นเขามีท่าทางดูร่าเริงแข็งแรงดี เธอก็ผ่อนคลายลงในที่สุด

โจวเหว่ยชิงยิ้มและกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา ตราบใดที่วิญญาณจิ้งจอกบางตัวไม่มาหาข้าในตอนกลางคืน ข้าจะมีปัญหาได้อย่างไร” ขณะที่พูดเช่นนี้ เขาก็พูดออกมาเสียงดังอย่างตั้งใจ หมิงฮัวซึ่งเกือบจะเก็บข้อสอบเสร็จพลันตัวแข็งทื่อ

ในขณะนั้นเองน้ำเสียงอันสง่างามดังออกมาจากด้านนอกประตู “โจวเหว่ยชิง”

“เอ๋?” โจวเหว่ยชิงร้องออกมาขณะที่เขามองไปทางต้นเสียง เขาเพียงเห็นประตูห้องเรียนเปิดอยู่และท่านคณบดีเซียวก็เดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับโบกมือให้โจวเหว่ยชิง “โปรดตามมาที่นี่สักครู่”

โจวเหว่ยชิงไม่กล้าชักช้า เขาหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์และพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ เจ้าไปกินข้าวในโรงอาหารก่อน ข้าจะตามไปหาเจ้าทีหลัง”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย โจวเหว่ยชิงจึงเดินตามคณบดีเซียวออกจากห้องเรียนไป

หม่าฉุนมองพวกเขาจากด้านข้างด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉา! ดูคนรักของเขาสิ เจ้านั่นหลับไประหว่างการทดสอบ แต่เธอก็ยังคงเป็นห่วงเขามากถึงขนาดเช็ดน้ำลายให้เขา อ๊า…ทั้งอิจฉา ทั้งริษยา ทั้งเกลียด! ทำไมข้าถึงหาผู้หญิงดีๆ แบบนั้นไม่ได้บ้างนะ

เมื่อโจวเหว่ยชิงตามคณบดีเซียวออกไป ผู้มาเยือนอีกคนก็มาถึงประตูห้องเรียนสามัญชนเช่นกัน คราวนี้ไม่ใช่อาจารย์ท่านอื่น แต่เป็นนักเรียนชนชั้นสูงคนหนึ่ง อันที่จริงก็คือหญิงสาวที่งดงามผู้หนึ่ง เด็กสาวผมแดงผู้นี้ตรงเข้าไปในห้องเรียนสามัญชน มุ่งหน้าไปหาหมิงฮัวและถามเธอเบาๆ “พี่หมิงฮัว ท่านพี่หมิงหยูอยู่ที่ไหนหรือ? ข้าไม่เห็นเขามาหลายวันแล้ว”

หมิงฮัวเหลือบมองเธออย่างเหลืออดและพูดว่า “พี่ชายของข้ากลับไปที่แนวหน้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังตามหาเขาอยู่อีก? เขาไม่ได้พูดกับเจ้าชัดเจนแล้วหรือ? เขาจะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับเจ้าอีกต่อไป จากนี้ไปอย่ารบกวนเขาอีก”

“ท่าน…ท่านคือองค์หญิงตี้ฝูหยา?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จำเส้นผมสีแดงของอีกฝ่ายได้ทันที แท้จริงแล้วเธอคือองค์หญิงตี้ฝูหยาแห่งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และยังเป็นคู่หมั้นของโจวเหว่ยชิงด้วย! ด้วยรูปลักษณ์ที่น่าสงสารของเธอขณะยืนอยู่ข้างๆ หมิงฮัว ทำให้ตอนนี้เธอดูไม่ค่อยเหมือนเจ้าหญิงเท่าไหร่นัก

เมื่อได้ยินใครบางคนเรียกชื่อของเธอ ตี้ฝูหยาก็รู้สึกประหลาดใจ เมื่อได้เห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความตกใจทันที “ปิงเอ๋อร์? เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ด้วยความงามและตำแหน่งอัจฉริยะรุ่นเยาว์ในอาณาจักร ตี้ฝูหยาจึงจำเธอได้เช่นกัน แม้ว่าเธอจะค่อนข้างหยิ่งผยองตามธรรมชาติ แต่ก็ชัดเจนว่าสถานะของเธอใน อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นเทียบไม่ได้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเธอจะมีนิสัยเย่อหยิ่งและหยาบคาย แต่เธอก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หรืออย่างน้อยก็เคยมีนั่นแหละ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ชี้ไปที่เครื่องแบบของเธอและพูดว่า “ข้ามาที่นี่กับโจวเหว่ยชิงเพื่อศึกษาเล่าเรียน! ก่อนหน้านี้เขาก็อยู่ที่นี่ เจ้าไม่เห็นเขาหรือ?” ขณะพูดเช่นนั้น เธอรู้สึกว่าตนเองตั้งแง่กับอีกฝ่ายมากขึ้น แม้โจวเหว่ยชิงจะบอกเธอก่อนหน้านี้ว่าตี้ฝูหยาอยู่ในโรงเรียนเดียวกันกับพวกเขา แต่การรู้ก็เป็นเรื่องหนึ่งและการได้เห็นจริงๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปัจจุบันเธอไม่ไว้ใจองค์หญิงตี้ฝูหยาเท่าไหร่นัก อย่างไรตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังถือว่าเป็นคู่หมั้นอย่างเป็นทางการของโจวเหว่ยชิง!

เมื่อได้ยินซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดถึงโจวเหว่ยชิง การแสดงออกของตี้ฝูหยาก็ดูน่าเกลียดขึ้นมาทันที เมื่อมองไปที่หมิงฮัว เธอก็เห็นใบหน้าของหมิงฮัวเปลี่ยนไปเป็นกังวล เธอจึงขมวดคิ้วและพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ เจ้าสนิทกับโจวเหว่ยชิงได้อย่างไร? เจ้านั่นไร้ยางอายและน่ารังเกียจมากนะ! ในอดีตเขายังเป็นเจ้าเศษสวะที่โด่งดังของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์อยู่เลย แม้ว่าตอนนี้มณีสวรรค์ของเขาจะตื่นขึ้นแล้ว แต่เขาก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าใดนัก อย่าหลงเชื่อใบหน้าซื่อๆ ของเจ้านั่นเชียว! เขาเป็นคนประเภทที่ทำตัวเหมาะสมเพียงฉากนอก แต่ข้างในเป็นพวกเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก หึ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเสด็จพ่อถึงชอบเขาขนาดนี้!”

เมื่อได้ยินคำพูดของตี้ฝูหยา ทั้งซ่างกวนปิงเอ๋อร์และหมิงฮัวต่างก็พูดไม่ออก หมิงฮัวมีสีหน้าแปลกๆ มองไปที่ตี้ฝูหยาราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นพวกโง่เง่า เธอคิดกับตัวเอง: แม้ว่าเจ้าจะไม่รู้ แต่เจ้าก็ไม่น่าจะไม่รู้ถึงขนาดนี้ได้! หากบอกว่าเขาเป็นพวกเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก ข้าเห็นด้วยอย่างเต็มที่! แต่ถ้าบอกว่าเขาเป็นเศษสวะ เช่นนั้นคนทั้งโลกก็คงเป็นเศษสวะ เช่นกัน! องค์หญิงผู้นี้ช่าง…โง่เง่าจริงๆ

ด้านซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับมีความคิดที่แตกต่างออกไป เมื่อตี้ฝูหยาเปิดปากครั้งแรกและเรียกโจวเหว่ยชิงว่าเจ้าคนไร้ยางอายและคนน่ารังเกียจ เธอก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยด้วยความโล่งใจ อย่างน้อยนั่นก็แสดงให้เห็นว่าโจวเหว่ยชิงไม่ได้โกหกเธอและตี้ฝูหยาก็ไม่ชอบเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่าขณะที่ตี้ฝูหยายังคงต่อว่าเขา สีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเจ้าอ้วนน้อยจะไม่มีอะไรดี แต่เขาก็ยังคงเป็นอ้วนน้อยของข้า! เจ้ากล้าด่าทอสามีข้าเช่นนั้นได้อย่างไร? ไม่น่าแปลกใจที่อ้วนน้อยไม่ต้องการเจ้า ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว!

…………………………………

ที่โจวเหว่ยชิงให้ม้วนคัมภีร์กับโข่วรุ่ยและแจกแจงรายละเอียดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนของเขาที่กำหนดมาให้นักเรียนที่เหลือได้ฟัง หากใช้โข่วรุ่ยเป็นตัวอย่าง จะไม่มีใครเคลือบแคลงใจอีกว่าโจวเหว่ยชิงอาจโกหกพวกเขา

ตอนนี้ข้างในของหม่าฉุนเต็มไปด้วยความเสียใจ เดิมทีเขามีโอกาสเป็นคนแรกด้วยซ้ำ! แม้ว่าเขาจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ แต่เขาก็เป็นสามัญชนโดยกำเนิดและสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดก็คือการถูกจำกัดเสรีภาพ ด้วยเหตุนี้เขาจึงพึ่งพาพลังของตัวเองมาโดยตลอด เขาทำงานอย่างหนักจนในที่สุดก็สามารถกักเก็บทักษะไว้ในมณีธาตุดวงแรกของเขาได้สำเร็จ แต่นั่นก็ทำให้เงินออมของเขาหมดไปเช่นกัน ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มีราคาแพงเกินไปและเขาไม่มีกำลังพอจะซื้อได้ แต่กระ นั้น โจวเหว่ยชิงก็เต็มใจที่จะมอบให้พวกเขาขณะที่อีกฝ่ายดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าในโรงเรียนแห่งนี้โดยไม่ประทับตราหรือจำกัดเสรีภาพของพวกเขา! นี่เป็นโอกาสดีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวบนโลก แต่เขากลับไม่ได้คว้าโอกาสนั้นไว้และยังทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองอีกด้วย เขากังวลแม้กระทั่งว่าศาสตรามณียุทธ์ของเขาในอนาคตอาจเกิดปัญหาก็เป็นได้

ขณะที่ฝูงชนกำลังจ้องมองโจวเหว่ยชิงอย่างตื่นเต้นและคลั่งไคล้ ประตูห้องเรียนก็เปิดออก หมิงฮัวเดินเข้ามาพร้อมกับถือแผ่นกระดาษกองโต

เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์อันเย้ายวนที่เธอมีเมื่อวานนี้ หมิงฮัวในวันนี้กลับดูจริงจังและเย็นชา เมื่อเธอสังเกตเห็นโจวเหว่ยชิง ร่างกายของเธอก็สั่นเทาเล็กน้อย แต่เธอก็ก้าวเดินต่อไปที่แท่นพูดหน้าชั้นเรียน

ใบหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมอีกครั้ง เขาหันไปหานักเรียนคนอื่นๆ และพูดว่า “เพื่อนร่วมห้องทุกคน ชั้นเรียนเริ่มแล้ว กลับไปที่นั่งของตัวเองเถอะ ไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการตามคำขอของทุกคนแน่ นั่นใช้เวลาไม่นานหรอก”

หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็เดินไปหาหมิงฮัว และหยิบกองกระดาษมาจากเธอ ทั้งหมดดูราวกับภาพสมบูรณ์แบบของชั้นเรียนในฝัน

ในตอนนั้นเขาอยู่ห่างจากหมิงฮัวเพียงไม่กี่ก้าว ปากของเขาก็กระตุกขึ้นเล็กน้อยขณะที่พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำซึ่งมีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน “ภรรยาน้อย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง!”

หมิงฮัวตัวแข็งทื่อทันที เธอตวัดสายตากลับไปจ้องมองโจวเหว่ยชิง ทันใดนั้นก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาอีกครั้ง คำสั่งของบิดาเมื่อคืนพลันเลือนไปจากสมอง  อีกทั้งความสงบเยือกเย็นตามปกติก็หายไปขณะจ้องอีกฝ่ายอย่างดุร้ายพลางพูดลอดไรฟันว่า “ถ้าเจ้าพูดอะไรไร้สาระอีก ข้ายอมทำลายชีวิตของตัวเองเพื่อฆ่าเจ้า”

โจวเหว่ยชิงไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะมีปฏิกิริยาที่รุนแรงเช่นนี้ เขายิ้มน้อยๆ และไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากวางกองกระดาษไว้บนแท่นพูดก่อนจะหันหลังกลับ

“หยุดก่อน หัวหน้าห้อง แจกกระดาษหนึ่งชุดต่อคนซิ เรากำลังจะมีการทดสอบ”

“การทดสอบ?” โจวเหว่ยชิงจ้องมองไปที่หมิงฮัวอย่างตกตะลึงและพึมพำกับตัวเอง “ทดสอบความรู้ทางการ  ทหาร?”

หมิงฮัวพูดอย่างเย็นชา “ที่นี่เป็นโรงเรียนทหาร เราจะทดสอบเรื่องอะไรได้อีก? ทุกๆ ปีก่อนเริ่มเรียนเราจะทดสอบนักเรียนก่อนเสมอ เราจำเป็นต้องทราบระดับความรู้พื้นฐานของพวกเจ้าก่อนจึงจะสามารถออกแบบแผนการสอนที่เหมาะสมได้ เจ้าสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนของเราแต่กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด?” เมื่อเห็นสีหน้าของโจว เหว่ยชิงเยือกเย็นขึ้นเพราะคำพูดของเธอ หมิงฮัวก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะคนๆ นี้ด้วยคำพูดอยู่แล้ว

ใบหน้าของโจวเหว่ยชิงกระตุกเล็กน้อย เขาพลันคิดกับตัวเองว่า บัดซบ! ข้าเพิ่งจะได้รับการยอมรับจากคนให้ห้อง ถ้าข้าได้คะแนนต่ำสุดในชั้น ข้าจะรักษาตำแหน่งหัวหน้าห้องได้อย่างไร! เมื่อมองไปที่หมิงฮัว เขาก็คิดเป็นครั้งแรกว่าอาจจะเป็นเรื่องดีหากมีสัมพันธ์ที่ดีกับเธอ เขายิ้มและกล่าวว่า “อาจารย์ผู้งดงาม ในฐานะหัวหน้าห้อง ข้าคิดว่าข้าควรช่วยท่านลดภาระงาน เอาเป็นว่าให้ข้าช่วยท่านสอดส่องดูแลการทดสอบนี้เป็นอย่างไร?”

หมิงฮัวแค่นเสียงและพูดว่า “หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว  ไปแจกกระดาษซะ” เมื่อพูดจบ เธอก็นั่งลงบนเก้าอี้หลังแท่นพูดโดยไม่สนใจโจวเหว่ยชิงอีก ตอนนี้ความกรุ่นโกรธในตัวเธอค่อยๆ จางหายไป พอเห็นสีหน้าเศร้าหมองของเขา เธอก็รู้ว่าตนจับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้แล้ว ฮึ่ม เจ้าเรียกข้าว่าภรรยาน้อยก่อนหน้านี้และตอนนี้เจ้ากลับพยายามจะเปลี่ยนคำเรียกเป็นอาจารย์ผู้งดงามงั้นรึ?! รอดูเถิด!

โจวเหว่ยชิงทำได้เพียงแจกกระดาษคำถามอย่างข่มขื่นก่อนจะกลับไปนั่งที่ของตัวเอง

หมิงฮัวกล่าวอย่างเข้มงวด “เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนมีแบบทดสอบอยู่ในมือ วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียน ตามตารางเรียนเวลานี้เป็นช่วงพบปะในชั้นเรียน ฉะนั้นตอนนี้ทุกคนแค่ต้องตอบคำถามในข้อสอบด้วยตัวเอง นี่คือแบบทดสอบความรู้ทางการทหารพื้นฐานของเจ้าและข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะจริงจังกับเรื่องนี้ ข้าจะจดคะแนนของพวกเจ้าทุกคนและ 2 คนที่มีคะแนนต่ำที่สุดจะต้องรับผิดชอบทำความสะอาดห้องเรียนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ นั่นรวมถึงห้องน้ำข้างห้องเรียนด้วย! เอาล่ะ ข้าพูดพอแล้ว เริ่มทำข้อสอบได้ หากใครกล้าโกง เจ้าจะได้รับ 0 คะแนน และหากมีคนได้ 0 คะแนนจำนวนมาก ข้าจะขยายเวลาการทำความสะอาดห้องเรียนออกไปให้มากกว่าหนึ่งสัปดาห์”

เมื่อได้ยินว่าจะมีการทดสอบ โจวเหว่ยชิงก็ไม่ใช่คนเดียวที่เป็นกังวล เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คนที่นั่งอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงในแถวหลังสุดอย่างหม่าฉุนตัวยักษ์เองก็มีสีหน้าเป็นกังวลแบบแปลกๆ เช่นกัน เขาคิ้วกระตุกเล็กน้อย

“ลูกพี่โจว” หม่าฉุนขยับเข้าใกล้โจวเหว่ยชิงและเอ่ยออกมาเบาๆ

ตอนนี้โจวเหว่ยชิงค่อนข้างมืดมน เขาจึงตอบอย่างอารมณ์เสีย “อะไร?”

หม่าฉุนกลืนน้ำลายอย่างประหม่า “ลูกพี่โจว ในอนาคตข้าจะถือว่าท่านเป็นเจ้านายของข้า ตกลงไหม ครั้งนี้ข้าจริงจัง และจะไม่กลับคำแน่นอน ท่านช่วยให้ข้าผ่านการทดสอบนี้ไปด้วยได้หรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงชะงักไป “เจ้าไม่ได้เคยได้เรียนเกี่ยวกับการทหารมาก่อนเลยหรือ?”

ศีรษะของหม่าฉุนห้อยต่ำลง “ในอดีตข้าเคยเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร แต่ในชั้นเรียนข้าก็แค่นั่งจีบหญิงหรือนอนหลับไปวันๆ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าควรตอบอะไรในแบบทดสอบพวกนี้! ข้าเข้าเรียนโรงเรียนนี้ได้เพราะข้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์  ข้าไม่ได้เข้าสอบวัดความรู้ทางการทหารด้วยซ้ำ”

โจวเหว่ยชิงมองและเขาอย่างจริงจังและพูดว่า “ขอโทษด้วยละกัน ข้าไม่อาจยอมรับเจ้าในฐานะผู้ติดตามได้เพราะข้าไม่สามารถช่วยเจ้าได้ ให้ตายเถอะ ถ้าเจ้ายังทำไม่ได้ แล้วคิดว่าข้าจะทำได้ไหมล่ะ? อย่างน้อยเจ้าก็เคยเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร ข้าไม่เคยได้เรียนอะไรหรูหราขนาดนั้นมาก่อนด้วยซ้ำ”

หม่าฉุนจ้องมองเขาพลางเบิกตากว้าง “อะไรนะ?! ลูกพี่ ท่าน…”

โจวเหว่ยชิงขมวดคิ้วและพูดว่า “ข้าไม่รู้อะไรสักอย่าง นั่นขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้วล่ะ” ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขาสังเกตเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้ามองมาที่เขาอย่างกังวล

แม้ว่าเขาจะทำข้อสอบไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากเสียหน้า โจวเหว่ยชิงยิ้มให้เธออย่างมั่นใจและไม่แสดงความกังวลของตัวเองออกมา

“การทดสอบได้เริ่มขึ้นแล้ว หากยังพูดคุยกันต่อ พวกเจ้าจะได้ 0 คะแนน” หมิงฮัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาทางพวกเขา ตอนนี้เธอดูคล้ายกับอาจารย์ผู้เคร่งขรึม สายตาดุร้ายและเฉียบคมของเธอกวาดมองไปทั่วชั้นเรียน นักเรียนทุกคนจึงรู้สึกราวกับว่าถูกอีกฝ่ายจ้องมองแบบตาไม่กระพริบ

นี่คือการทดสอบ…ได้แค่ไหนก็แค่นั้น โจวเหว่ยชิงคว้าปากกาบนโต๊ะและเริ่มเขียนอย่างหมดหนทาง แม้ว่าเขาจะไม่มีความรู้ทางด้านนี้โดยเฉพาะ แต่เขาก็ยังสามารถเขียนได้ตามที่ตนพอใจ เมื่อมองไปที่คำถาม เขาก็เริ่มลงมือเขียนอย่างรวดเร็วและตอบคำถามแต่ละข้อด้วยคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะคิดได้ ขณะที่เขากำลังตวัดปากกาเขียนคำตอบอย่างรวดเร็วนั้น ทุกคนในห้องต่างก็คิดว่าเขาช่างเป็นนักเรียนที่มีความรู้โดดเด่นเหลือเกิน

หมิงฮัวเดินไปหาโจวเหว่ยชิงอย่างคาดหวังว่าจะเห็นเขาทำข้อสอบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นเขาเขียนคำตอบลงในกระดาษอย่างมั่นใจและรวดเร็วโดยไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่าเขากำลังลอกคนอื่นอยู่นั้น เธอก็พลันชะงักไปเล็กน้อย

ท้ายที่สุดแล้วจากประสบการณ์ระหว่างเธอกับโจวเหว่ยชิง เธอก็พบว่าเขาสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้บ่อยๆ ใครจะรู้ว่าคนๆ นี้จะมีพรสวรรค์หรือความสามารถอื่นๆที่เธอไม่รู้ซ่อนอยู่อีกหรือไม่ บางทีเขาอาจมีความรู้ด้านการทหารเป็นอย่างดี…อะไรสามารถเป็นไปได้ทั้งหมด อย่างไรโจวเหว่ยชิงก็ถึงกับได้รับการยกย่องจากพี่ชายของเธอ ซึ่งปกติแล้วเขาเย่อหยิ่งเกินไปที่จะทำเช่นนั้นด้วยซ้ำ

ข้อสอบมี 8 หน้าและระยะเวลาในการทำข้อสอบคือทั้งครึ่งเช้า ยิ่งโจวเหว่ยชิงเขียนคำตอบลงไปมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจมากเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียนเกี่ยวกับการทหารอย่างเป็นทางการมาก่อน แต่หลังจากที่เขาใช้เวลา 2 ปีในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เขาก็ได้เรียนรู้และพัฒนาวิธีคิดกับวิธีจัดการกับสิ่งต่างๆ มามากมาย  เมื่อเห็นเขาเขียนคำตอบลงไปโดยไม่ลังเลใดๆ หม่าฉุนที่นั่งข้างๆ ก็จ้องมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ ขณะที่เห็นโจวเหว่ยชิงเริ่มลงมือเขียนคำตอบลงไปครั้งแรก หม่าฉุนก็คิดว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกตัวเอง แต่ด้วยความได้เปรียบด้านความสูง เขาจึงสามารถแอบดูกระดาษของโจวเหว่ยชิงได้ ทว่าเมื่อทำเช่นนั้น เขาก็ยิ่งสับสนเข้าไปกันใหญ่

ลูกพี่โจวคนนี้น่าประทับใจมากทีเดียว เขาไม่มีความรู้ทางการทหารโดยสิ้นเชิง แต่เขาก็ยังสามารถเขียนออกมาด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้ได้ นี่ข้าเพิ่งอ่านอะไรไป? โจวเหว่ยชิงเขียนตอบในข้อสอบว่า เขาจะมอบหญิงงามบรรณาการแก่ผู้บัญชาการฝ่ายตรงข้ามในคืนก่อนที่จะเริ่มสงคราม ทำให้อีกฝ่ายเหนื่อยล้ามากเกินไปจนไม่มีสมาธิในการสู้รบ นะ…นั่นมันกลศึกประเภทไหนกันแน่!? หม่าฉุนพูดไม่ออก…เขาทำได้แค่โค้งคำนับให้โจวเหว่ยชิงอยู่เงียบๆ ในใจ

ในท้ายที่สุดหมิงฮัวก็ยังคงยืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงด้วยท่าทางของผู้คุมสอบที่เข้มงวดและดุร้าย ทว่าดวงตาของเธอก็จับจ้องไปที่กระดาษคำตอบของเขาด้วย

เมื่อเธออ่านคำตอบของโจวเหว่ยชิงครั้งแรก หมิงฮัวก็แทบจะต้องหัวเราะออกมาเสียงดังๆ เจ้าคนไร้ยางอายนี้เขียนอะไรออกมา?! แม้แต่คำถามเกี่ยวกับความรู้ทางการทหารที่ง่ายที่สุด คำตอบที่เขาเขียนก็คือการยัดหัววัวเข้าปากม้า[1]  แต่ทว่าเขาก็ยังเขียนออกมาด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเขาเป็นนักเรียนดีเด่นผู้มีคะแนนสูงสุดในชั้นก็ไม่ปาน

อย่างไรก็ตาม ยิ่งเธออ่านคำตอบของเขามากเท่าไหร่ รอยยิ้มในดวงตาของเธอก็หายไปอย่างช้าๆ แทนที่ด้วยสี หน้าอันน่าสะพรึงกลัว

อันที่จริงโจวเหว่ยชิงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพื้นฐานทางการทหารเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังถึงขั้นที่ว่าเขาไม่รู้ความหมายของคำศัพท์ทางการทหารพวกนี้เลย อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการวิเคราะห์การต่อสู้และการจำลองการต่อสู้ในสนามรบ เขากลับเขียนได้อย่างน่าทึ่งและเหลือเชื่อมาก

ไม่ว่าจะเป็นบิดาหรือพี่ชายของเธอ พวกเขาล้วนแต่เป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรเฟยหลี่ โดยธรรมชาติแล้วเธอจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับโลกแห่งกองทหารและได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เธอเคยสัมผัสคลุกคลี ในความเป็นจริงความสามารถและความสำเร็จของหมิงฮัวในโลกแห่งกองทหารนั้นถูกจัดว่าสูงมาก อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเรื่องยากสำหรับผู้หญิงในโลกของทหาร เนื่องจากพี่ชายของเธอประสบความสำเร็จสูงมาก เมื่อรวมกับกฎของอาณาจักรเฟยหลี่เกี่ยวกับการรับราชการทหารภายในครอบครัว เธอจึงไม่ได้มีอาชีพเป็นทหารอีกต่อไป ถึงกระนั้นเธอก็มีสายตาที่เฉียบคมและแยกแยะได้ดีมากกว่าเมื่อเทียบกับอาจารย์มืออาชีพหลายๆ คนในโรงเรียน ในความเป็นจริงก่อนที่เธอจะกลายเป็นอาจารย์ ในช่วงที่เธออยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ หมิงฮัวก็เป็นถึงนักเรียนชั้นแนวหน้าในรุ่นของเธอ ผลการเรียนของเธอเหนือกว่าพี่ชายด้วยซ้ำ นั่นเป็นสาเหตุที่เธอถูกขอให้อยู่สอนที่นี่ต่อในฐานะอาจารย์

หมิงฮัวพบว่าโจวเหว่ยชิงเป็นมือใหม่ในด้านความรู้ทางการทหาร แต่ความเข้าใจในการใช้กลยุทธ์และยุทธวิธีต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสัยทัศน์ในภาพรวมของสนามรบนั้นแข็งแกร่งมาก สำหรับคำถามใหญ่ๆ 2-3 ข้อ เกี่ยวกับการวิเคราะห์การต่อสู้ กลยุทธ์ และการจำลองการต่อสู้ เขาสามารถทำความเข้าใจหัวใจหลักของแต่ละปัญหาได้อย่างถ่องแท้และค้นพบปัญหาที่แท้จริงได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งวิธีแก้ปัญหาของเขาก็ไม่เหมือนใครและไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในโลกของทหาร เป็นที่รู้กันดีว่าพี่ชายของเธอค่อนข้างโหดร้ายและบ้าคลั่ง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคำตอบของโจวเหว่ยชิง เขากลับกลายเป็นสุนัขเชื่องๆตัวหนึ่งเลยทีเดียว

……………………………………………………….

[1] หัววัวไม่ตรงกับปากม้า คือ ตอบไม่ตรงคำถามหรือเรื่องราวไม่สอดคล้องกัน

เย่เป่าเปาพยักหน้าเห็นด้วยและยิ้มอย่างมีความสุขขณะที่เขากล่าวว่า “ในกรณีนี้ข้าจะเลือกไป 2 กล่อง พูดตามตรง ศิษย์น้อง เจ้าควรขายที่เหลือให้กับโรงเรียนนะ อย่างน้อยพวกเขาก็ช่วยเหลือเจ้ามากทีเดียว! ข้าไม่เคยเห็นโรงเรียนทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่อเด็กนักเรียนคนหนึ่งมาก่อน

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ทำเรื่องใหญ่?”

เย่เป่าเปาพยักหน้าและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าศิษย์น้องจะยังไม่ได้ยินข่าวนี้สินะ เมื่อวานนี้หลังจากพิธีเปิดสิ้นสุดลง โรงเรียนก็เรียกตัวข้าและชนชั้นสูงคนอื่นๆ ที่มีผู้ติดตามเป็นนักเรียนสามัญชนมาเพื่อตำหนิและตักเตือนอย่างจริงจังว่าห้ามทำอะไรเจ้าเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นพวกเราจะโดนไล่ออกจากโรงเรียน เท่าที่ข้ารู้ สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนและพูดได้ว่าศิษย์น้องได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นแล้ว! นั่นแสดงให้เห็นว่าโรงเรียนให้ความสำคัญกับเจ้ามากเพียงใด”

เนื่องจากโจวเหว่ยเต็มใจรับข้อเสนอเพื่อสันติภาพของเขาและยินดีที่จะขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางให้กับเขา เย่เป่าเปาจึงต้องยื่นหมูยื่นแมวและแจ้งข่าวให้เขาทราบด้วย เขาย่อมแตกต่างจากเย่โหลวที่มีวิสัยทัศน์แคบๆ เพราะว่าเย่เป่าเปานั้นคิดถึงผลลัพธ์ระยะยาวมากกว่า หลังฟังคำอธิบายจากเย่โหลวเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานและถูกโรงเรียนเรียกพบทำเขารู้ว่าโจวเหว่ยชิง เด็กนักเรียนรุ่นน้องผู้นี้เป็นบุคคลที่ไม่สามารถแตะต้องได้ และคนที่กล้าทำเช่นนั้นจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ

ด้วยเหตุนั้น เขาจึงต้องพยายามแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ และพยายามทำให้โจวเหว่ยชิงคิดว่าตนเป็นพวกเดียวกันให้ได้ นั่นจะทำให้เขาได้รับประโยชน์สูงสุดจากสถานการณ์เช่นนี้ ความคิดนี้คล้ายคลึงกับหมิงอู๋มาก แต่เดิมเย่เป่าเปายังกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าโจวเหว่ยชิงผู้นี้ก็เป็นคนฉลาดเช่นกัน เพราะฉะนั้นเมื่อคนฉลาดสองคนต่อรองผลประโยชน์กัน เรื่องย่อมจบลงง่ายกว่า

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เป่าเปา โจวเหว่ยชิงก็ค่อนข้างประหลาดใจ แม้ว่าท่านคณบดีเซียวจะสัญญากับเขาว่าจะนำเรื่องนี้ไปพิจารณา แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะดำเนินการเพื่อเขาไปไกลถึงขนาดนี้ ถึงกับไปว่ากล่าวตักเตือนผู้นำนักเรียนชนชั้นสูงเหล่านี้ นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกติดค้างอีกฝ่ายมาก แน่นอนว่าต่อหน้าเย่เป่าเปา โจวเหว่ยชิงไม่ได้เปิดเผยความรู้สึกของเขาออกมา ทำเพียงแค่ยกยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “นั่นเป็นความเมตตาของอาจารย์จริงๆ ข้าเองก็รู้สึกลำบากใจกับการเอาใส่ใจที่มากมายขนาดนี้เช่นกัน”

เย่เป่าเปายิ้มตอบและกล่าวว่า “เอาล่ะ พวกเราไม่ควรอยู่ที่นี่นานจนขวางทางเข้าอาคารเรียน มาสรุปกันเถอะ จากม้วนคัมภีร์ทั้ง 5 กล่องนี้ ข้าจะเลือกไปก่อน 2 กล่อง ตอนนี้ราคาตามท้องตลาดของม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางอยู่ที่ประมาณ 150,000 – 200,000 เหรียญทอง เนื่องจากศิษย์น้องใจดีมากที่ให้ข้าได้เลือก ดังนั้นข้าจึงจะตอบแทนด้วยการมอบราคาที่ดีที่สุดให้เจ้า 450,000 เหรียญทองเป็นอย่างไร?”

450,000 เหรียญทองเป็นราคาที่ดีมากทีเดียว! เป็นความจริงที่ว่ายิ่งม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มีระดับสูงเท่าไร กำไรก็จะมากขึ้นเท่านั้น! แม้แต่โจวเหว่ยชิงก็ค่อนข้างตกใจกับราคาของมัน หากขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางทั้ง 2 กล่องนี้ไป นั่นจะทำให้เขามีรายได้มากกว่าการขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน 10 กล่องที่เขาขายให้กับสำนักกักเก็บทักษะไปก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ! นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับม้วนคัมภีร์ระดับพื้นฐานที่ต้องใช้ถึง 1,000 ใบต่อกล่อง ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางใช้เพียง 100 ใบต่อกล่องเท่านั้น แม้ว่าวัสดุที่ใช้จะมีค่าและราคาแพงกว่า แต่โดยรวมแล้วจำนวนเงินทุนที่ใช้ต่อกล่องก็ยังถูกกว่าม้วนคัมภีร์ระดับพื้นฐานไปเล็กน้อย

“ศิษย์พี่ ราคานั้นสูงเกินไปหน่อย ข้าว่า 400,000 เหรียญทองก็พอแล้ว” โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างเต็มที่และพูดด้วยท่าทีพึงพอใจ จำกัดศัตรูไปได้หนึ่งคนและยังได้รับเงินในเวลาเดียวกันด้วย เช่นนี้เขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไร

เย่เป่าเปากล่าวด้วยท่าทีอย่างจริงจัง “ไม่ ไม่ ข้าจะไม่ยอมให้ศิษย์น้องเสียประโยชน์เช่นกัน อย่างไรข้าก็ยังต้องการซื้อม้วนคัมภีร์จากเจ้าเพิ่มอีก ในอนาคตข้าหวังว่าเมื่อศิษย์น้องกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ เจ้าจะยังจำข้าได้ แม้ว่าราคาที่ข้าให้จะสูงกว่าท้องตลาด แต่ตอนนี้ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เหล่านี้มีน้อยและขาดแคลนมาก คนรวยหลายคนก็ยังไม่อาจหาซื้อได้แม้จะมีกำลังทรัพย์มากพอจะจ่ายก็ตาม ราคาเช่นนี้ถือว่าคุ้มค่าสำหรับข้าอย่างแน่นอน ศิษย์น้องไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวเกินไป”

ในขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็ขอให้นักเรียนชั้นสูงคนอื่นๆ ช่วยตนถือม้วนคัมภีร์ทั้ง 5 กล่องและเลือกหยิบออกมา 2 กล่อง จากในนั้น ไม่นานเขาก็คืนอีก3กล่องให้โจวเหว่ยชิงด้วยท่าทีอิดออดเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันเขายังส่งบัตรเก็บเหรียญทองให้โจวเหว่ยชิงด้วย

“บัตรเก็บเหรียญทองนี้สามารถใช้ได้ทุกที่ในอาณาจักรเฟยหลี่ ข้างในนั้นมี 500,000 เหรียญทอง ส่วนที่เกินไป 50,000 เหรียญทองศิษย์น้องไม่จำเป็นต้องคืนข้าหรอก ให้นับว่ามันเป็นเงินมัดจำสำหรับการซื้อขายของพวกเราใน อนาคต”

โจวเหว่ยชิงรับกล่องเก็บคัมภีร์ที่เหลือและบัตรเก็บเหรียญทองพลางหัวเราะและพูดว่า “เป็นเช่นนั้นข้าก็อาจจะช่วยเหลือได้ เมื่อม้วนคัมภีร์ชุดต่อไปของข้าเสร็จสมบูรณ์ หากมีสิ่งพิเศษใดๆ ข้าจะเก็บบางส่วนไว้สำหรับศิษย์พี่แน่นอน “

ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างมีความสุขก่อนที่เย่เป่าเปาจะพาลูกน้องของเขาเดินจากไป โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ที่เดิมและมองดูพวกเขาจากไปก่อนที่จะหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยืนข้างๆ แล้วถามเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ปิงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังคงโกรธอยู่เล็กน้อยจากเรื่องก่อนหน้านี้ เธอส่งเสียงหึในลำคอก่อนที่จะพูดว่า “ก็แค่พวกจอมปลอม 2 คน เจ้าทั้งสองกำลังแข่งกันว่าใครจะเล่นละครได้ดีมากกว่ากัน” เธอสามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าแม้โจวเหว่ยชิงและเย่เป่าเปากำลังพูดคุยกันอย่างสุภาพ แต่ทว่ากลับไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากเห็นโจวเหว่ยชิงจัดการกับเย่เป่าเปาได้อย่างง่ายดาย เธอก็รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย เดิมทีเธอคิดว่าแม้อ้วนน้อยของเธอจะมีฝีปากที่ฉลาดหลักแหลม แต่เขาก็ยังค่อนข้างไร้เดียงสา ตอนนี้เธอตระหนักได้แล้วว่าหลังจากเขาใช้เวลา 2 ปีในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เจ้าอ้วนน้อยของเธอเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ อนิจจา ดังที่ผู้คนเคยกล่าวไว้ว่าความรักทำให้คนตามืดบอด…เธอไม่ได้รู้สึกว่าโจวเหว่ยชิงเป็นคนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก แต่แค่เป็นคนเฉลียวฉลาดและแน่วแน่ ผู้ชายคนนี้มักทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยเสมอ ดังนั้นอย่างน้อยพวกเขาก็จะไม่ถูกเอาเปรียบได้ง่ายๆ

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “เจ้าพูดถูกแล้ว การละเล่นต่างๆ ก่อนหน้าควรจบลงได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเมื่อวานท่านคณบดีจะปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดีเช่นนี้ ดูเหมือนว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์จะเป็นสิ่งล้ำค่าที่หายากมากจากทั่วทั้งทวีป! ปิงเอ๋อร์ภรรยาที่รักของข้า ตอนนี้สามีของเจ้ากลายเป็นสมบัติน่าที่ดึงดูดแล้ว เจ้ารู้หรือไม่!”

“ไปได้แล้ว! ไม่งั้นพวกเราเข้าเรียนสายแน่ อย่าลืมว่าควรใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด ถ้าเป็นไปได้เราควรนำเงินกลับไปยังอาณาจักรของเราด้วย” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเคืองๆ ขณะที่เธอลากเขาเข้าไปข้างใน จากนั้นทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังห้องเรียนของพวกเขา

ตอนนี้เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่มาถึงแล้ว เมื่อทุกคนเห็นโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ พวกเขาก็ยิ้มแย้มออกมา ดวงตาของนักเรียนหญิง2-3คนสว่างวาบขึ้นขณะเห็นโจวเหว่ยชิง ทว่าสำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แม้เธอจะงดงามมาก แต่ก็ไม่มีนักเรียนคนใดกล้ามองเธอตรงๆ

โข่วรุ่ยเดินเข้าหาพวกเขาและเอ่ยทักทาย “หัวหน้า”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “เรียกชื่อข้าเถอะ ข้าไม่อยากให้พวกเราเป็นเหมือนกลุ่มผู้มีอิทธิพลอะไรทำนองนั้น”

โข่วรุ่ยส่ายหัวและพูดว่า “จะทำอย่างไรได้ ข้าบอกไปแล้วว่าจะติดตามท่าน ดังนั้นข้าจึงมีกฎบางอย่างที่ต้องปฏิบัติตาม หัวหน้า ท่านเพิ่งเข้ามาในโรงเรียนไม่กี่วัน แต่ท่านกลับมีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ท่านได้ยินข่าวนั้นหรือไม่? เมื่อวานนี้หลังจากพิธีเปิดโรงเรียนได้เรียกผู้นำนักเรียนชนชั้นสูงทุกคนไปว่ากล่าวตักเตือนให้พวกเขาลดท่าทีอวดเบ่งลงเล็กน้อย ที่สำคัญโรงเรียนยังเตือนพวกเขาไม่ให้ลงมือทำอะไรท่าน ในความเป็นจริงตอนนี้ไม่ใช่แค่โรงเรียนของเราเท่านั้น แม้แต่โรงเรียนชั้นนำอีก 2 แห่งก็ได้ยินชื่อของท่านแล้ว ‘นักเรียนปีหนึ่งที่เป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ในโรงเรียนทหารเฟยหลี่’ ”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการหาข้อมูลข่าวสารอย่างแท้จริง! เจ้ารวบรวมผลการลงทะเบียนทั้งหมดจากเพื่อนร่วมชั้นของเราเมื่อวานนี้เสร็จหรือยัง?”

โข่วรุ่ยหยิบกระดาษกองหนึ่งส่งให้โจวเหว่ยชิงแล้วพูดว่า “ทั้งหมดถูกลงทะเบียนและเรียงลำดับเรียบร้อยแล้ว มีนักเรียน 29 คนในชั้นเรียนของเรา นอกเหนือจากจ้าวมณีสวรรค์ทั้ง 4 คนแล้วมีจ้าวมณียุทธ์ 19 คนและจ้าวมณีธาตุ 6 คน ข้าได้บันทึกสถานะปัจจุบันทั้งหมดของพวกเขาโดยละเอียดในเอกสารเหล่านี้แล้ว หนึ่งแผ่นสำหรับนักเรียนหนึ่งคน”

โจวเหว่ยชิงเริ่มรู้สึกชื่นชอบโข่วรุ่ยมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายทำให้เขาประทับใจในช่วง 2 วันที่ผ่านมาเหลือเกิน แม้ว่าพรสวรรค์ในฐานะจ้าวมณีของเขาจะขาดไปเพียงเล็กน้อย แต่ในแง่ของการทำงานที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดให้เสร็จสิ้นนั้น ถือว่าเขาทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก ผู้ช่วยที่มีความสามารถเช่นนี้จะช่วยคลายความกดดันให้เขาได้อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่เขาบอกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ เขาไม่จำเป็นต้องมีความสามารถรอบด้าน เพียงแค่สามารถรวบรวมและนำคนที่มีความสามารถมาใช้งานได้ก็เพียงพอแล้ว เพราะหากเขาต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาก็คงต้องเหนื่อยแทบตายแน่

โจวเหว่ยชิงเลื่อนมือของเขาไปที่สร้อยมิติ จากนั้นกล่องไม้ที่มีม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา 1 กล่อง เขาส่งต่อให้โข่วรุ่ยพลางพูดว่า “นี่สำหรับเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่มีศาสตรามณียุทธ์ เมื่อเจ้ากลับไปที่หอพัก เจ้าก็สามารถหลอมรวมสิ่งนี้ได้”

“เอ๋?” โข่วรุ่ยชะงัก สายตาของเพื่อนร่วมชั้นทุกคนพลันถูกดึงไปที่พวกเขาทันที ท้ายที่สุดแล้วการกล่าวออกมาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่มันเกิดขึ้นจริงต่อหน้าพวกเขาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ยังคงค่อนข้างนิ่งเงียบ สิ่งสำคัญคือไม่เคยมีใครได้รับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์จากโจวเหว่ยชิงจริงๆ มาก่อน ทว่าตอนนี้โจวเหว่ยชิงกลับมอบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ให้กับโข่วรุ่ยด้วยมือตนเอง แม้กระทั่งหยางเจ๋อชีและหม่าฉุนก็จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาร้อนแรง นับประสาอะไรกับนักเรียนสามัญชนคนอื่นๆ ที่ไม่เคยเห็นม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มาก่อน

โจวเหว่ยชิงขยิบตาให้โข่วรุ่ย เขายิ้มขณะที่เอ่ยว่า “เจ้าเป็นคนแรกที่มาร่วมงานกับข้าและช่วยเหลือข้า ดังนั้นเจ้าควรเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัล ข้าครุ่นคิดอย่างหนักเกี่ยวกับสถานการณ์ของเจ้า…เจ้าเป็นมณียุทธ์ประเภทความคล่องตัวและการประสานงานซึ่งจริงๆ แล้วเป็นการผสมผสานที่ประเมินค่าไม่ได้ ปัญหาเดียวก็คือการขาดพลังโจมตี ในบรรดาศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมด สิ่งที่ทั้งเหมาะกับคุณสมบัติของเจ้าและยังมีพลังโจมตีที่รุนแรงควรเป็นธนูอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นข้าจึงออกแบบและสร้างคันธนูนี้ขึ้นมาสำหรับเจ้าโดยเฉพาะ ข้าเรียกมันว่า ‘ธนูทรราช’”

ในขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็เปิดกล่องและหยิบม้วนคัมภีร์ออกมาส่งให้โข่วรุ่ยดู

ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงก็ยกมือขวาขึ้น ท่ามกลางหมอกน้ำแข็งหนาทึบ ธนูราชันก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา

“ธนูทรราชนี้มีพื้นฐานมาจากธนูราชันของข้า แน่นอนว่ามันไม่มีหลุมบรรจุมณี อย่างไรก็มีเพียงจ้าวมณีสวรรค์เท่านั้นที่สามารถใช้หลุมบรรจุมณีได้ ข้ายังปรับแต่งเล็กน้อยตามลักษณะของเจ้าโดยการเปลี่ยนจากความสามารถด้านการเพิ่มความแข็งแกร่งดั้งเดิมไปเป็นความสามารถของมณีเจ้า ด้วยเหตุนี้ ความสามารถในการโจมตีของมันจึงอ่อนแอลงเล็กน้อย แต่เนื่องจากเดิมทีธนูราชันก็มีความสามารถในด้านพลังระเบิดทำลายล้างอยู่แล้ว ดังนั้นแค่พลังพื้นฐานของมันก็ช่วยให้เจ้ามีพลังโจมตีเพียงพอแล้ว ในขณะเดียวกันข้าก็เพิ่มความเร็วในการโจมตีเข้าไปด้วย หากใช้อย่างถูกต้องก็สามารถกลายเป็นศาสตรามณียุทธ์ที่ทรงพลังมากชิ้นหนึ่ง”

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิงสายตาของโข่วรุ่ยก็ดูบ้าคลั่งขึ้นมา มือของเขาถึงกับสั่นระริก เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าตนจะได้รับศาสตรามณียุทธ์มาอย่างง่ายดายเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ถึงกับออกแบบมาสำหรับเขาโดยเฉพาะ! ความรู้สึกซาบซึ้งท่วมท้นขึ้นมาในใจของเขา เมื่อเขารับกล่องไม้มา เขาก็ตื่นเต้นมากจนพูดไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้น ทั่วทั้งห้องยังตกอยู่ในความเงียบ

………………………

หลังจากการพูดคุยกับหมิงอู๋และหมิงฮัว โจวเหว่ยชิงก็เข้าใจสถานะของนิกายปีศาจสวรรค์ได้คร่าวๆ ทว่าสิ่งที่เรียกว่ายอดเขาสูงสุดทิศเหนือหรือภูเขาหิมะสวรรค์นั้นคืออะไรกันแน่?

เพราะเขากลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัย เช่นนั้นก็คงเป็นเพราะหญิงสาวในชุดขาวคนนั้นที่ช่วยเขาเอาไว้ เธอสามารถเอาชนะหมิงอู๋ผู้ที่มีมณี 9 ดวงด้วยพลังระดับมณี 6 ดวงของเธอได้อย่างไร? นอกจากนี้…ไพฑูรย์ตาแมวสองสี… มณีธาตุของเธอก็คือไพฑูรย์ตาแมวสองสีเช่นกัน!

โจวเหว่ยชิงครุ่นคิดไปถึงความงามอันแสนพิสุทธิ์ของหญิงสาวคนเมื่อคืนและกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว เขาพึมพำกับตัวเอง “ผู้หญิงชุดขาวคนนั้นดูเหมือนจะงดงามและเปล่งประกายเจิดจ้าเหลือเกิน เฮ้อ ข้ายังไม่ทันได้มองนางให้ชัดๆ เลย น่าเสียดาย…อืม…สงสัยจังว่าทำไมผู้หญิงจากภูเขาหิมะสวรรค์ถึงต้องการช่วยข้า”

เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าเจ้าแมวอ้วนที่นอนแผ่หราอยู่บนเก้าอี้พร้อมทั้งแอบฟังเขาไปด้วยนั้นจู่ๆ ก็กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย

หลังจากกรุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็ยักไหล่และยิ้มแย้มออกมา เขามีความมั่นใจเกี่ยวกับประเด็นสำคัญบางประการ เพราะฉะนั้นส่วนที่เหลือย่อมไม่ใช่ปัญหา เขาเชื่อว่าตนจะค่อยๆ คิดตกในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน

เรื่องมันก็ง่ายมาก เนื่องจากแม่นางเทียนเอ๋อร์จากภูเขาหิมะสวรรค์นำตัวเขาส่งกลับบ้านและไม่ได้บังคับพาเขาไป นั่นจึงเผยให้เห็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง นางต้องทำให้หมิงอู๋และหมิงฮัวเกรงกลัวจนยอมปล่อยพวกเขาทั้งคู่มา ดังนั้นจึงรับประกันได้ว่าพ่อลูกคู่นั้นจะไม่มาแก้แค้นเขาแน่ ไม่อย่างนั้นเธอจะช่วยชีวิตเขาเมื่อคืนเพื่อให้เขาโดนจับตัวกลับไปอีกครั้งทำไม?

เมื่อคิดตกแล้ว โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจที่จะไม่กังวลกับเรื่องนี้อีกต่อไป สำหรับสาเหตุที่หญิงสาวจากภูเขาหิมะสวรรค์ต้องการช่วยเหลือเขา เขาก็ไม่ได้พยายามคิดอะไรเพิ่มอีก เนื่องจากเธอไม่ได้เอ่ยอะไรกับเขา เขาจึงยินดีที่จะไม่พูดถึงมันอีก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความงามของเธอจะน่าตกตะลึง แต่เขาก็กลัวว่าเธออาจมีแรงจูงใจที่คล้ายคลึงกับนิกายปีศาจสวรรค์ หากเป็นเช่นนั้นก็เหมือนกับว่าเขาเพิ่งกระโดดออกจากกระทะร้อนๆ เพื่อไปเข้ากองไฟอีกกองน่ะสิ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้โจวเหว่ยชิงก็สามารถทำตัวราวกับว่าตนไม่รู้เรื่องอะไรเลยได้และเขาก็สามารถทำเช่นนั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วย

โจวเหว่ยชิงพลิกตัวออกจากที่นอน หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็เปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน ขณะเข้าไปในห้องนั่งเล่นกลางบ้านของพวกเขา อาหารเช้าร้อนๆ ก็วางไว้พร้อมสำหรับเขาแล้ว

บนโต๊ะมีอาหารเช้าง่ายๆ ไข่ 2-3 ฟอง โจ๊กชามโต หมั่นโถว ผักดอง และผลไม้หลายอย่าง

ขณะซ่างกวนปิงเอ๋อร์เพิ่งทำอาหารเสร็จเธอก็เห็นเขามุ่งหน้าเข้ามาแล้ว “เร็วๆ รีบกินให้หมด พวกเราจะได้ไปโรงเรียนด้วยกัน”

โจวเหว่ยชิงหายตัวไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เมื่อปรากฏตัวข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เขาก็คว้าตัวเธอเอาไว้กลางอากาศ ขณะที่หญิงสาวส่งเสียงร้องอย่างตกใจ เขาก็รีบจูบปิดปากเธออย่างรวดเร็ว

“อ้วนน้อย! ฮึ่ม!” โจวเหว่ยชิงประสบความสำเร็จในการเป็นโจรขโมยจูบ เขาไม่รอช้า รีบเผ่นหนีไปทันทีโดยไม่รอให้เธอแก้แค้นทัน เมื่อเห็นท่าทีฉุนเฉียวของหญิงสาวและอาหารเช้าบนโต๊ะ โจวเหว่ยชิงก็พลันรู้สึกพึงพอใจและอบอุ่นในหัวใจมาก

“อ้วนน้อย ถ้าเจ้ายังทำตัวแย่ๆ อีก ต่อไปข้าจะไม่ทำอาหารเช้าให้เจ้าแล้ว!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างพลางคว้าหมั่นโถวไว้และพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ที่รักของข้า เจ้าจะหักใจทำเช่นนั้นลงหรือ? นั่นก็แค่จูบ ถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับสามีภรรยาอยู่แล้ว!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จ้องมองอีกฝ่าย จากนั้นก็ทำท่าทีไม่สนใจเขา เธอนั่งลงและเริ่มกินอาหารด้วยตัวเอง

ในขณะที่พวกเขากินอาหาร โจวเหว่ยชิงก็พูดว่า “ปิงเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องบางอย่างจะเล่าให้เจ้าฟังเพื่อเป็นการไถ่โทษ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างสงสัยขณะที่เธอก้มหน้าลงกินอาหารต่อโดยไม่รู้ว่าเขากำลังจะพูดเรื่องอะไร

โจวเหว่ยชิงเล่นกับหมั่นโถวในมือพลางพูดว่า “หึๆ ครั้งหนึ่งเคยมีการละเล่นทายใจอยู่  ใช้ชายคนหนึ่งเป็นผู้ควบ คุมเกม ในขณะที่อีกสองคนเป็นผู้เล่นเกม ผู้คุมจะหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาให้ผู้เล่นคนใดคนหนึ่งมองเห็นและผู้เล่นจะต้องใช้การกระทำหรือคำพูดเพื่ออธิบายวัตถุนั้น แต่จะไม่สามารถพูดชื่อของวัตถุหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นได้ ผู้เล่นคนที่สองจะต้องเดาว่าวัตถุนั้นคืออะไรและถ้าเดาถูกพวกเขาก็จะชนะ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ให้ความสนใจเรื่องนี้มาก เธอตั้งใจฟังขณะที่กำลังกินไปด้วย

โจวเหว่ยชิงม้วนหมั่นโถวกลมๆ ในมือของเขาพลางยิ้มกว้างขณะที่กล่าวว่า “คราวนี้ผู้เล่นทั้งสองเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง ผู้คุมเอาหมั่นโถวออกมาให้ภรรยาดูและมันก็ขึ้นอยู่กับนางแล้วว่าจะบรรยายออกมาอย่างไร ภรรยาใช้มือลูบคลำเป็นวงกลมและพูดกับสามีว่า “มันเป็นลูกกลมๆ สีขาว และเจ้ากินมันเมื่อคืนนี้” ปิงเอ๋อร์ เจ้าเดาซิว่าสามีตอบถูกหรือไม่? “

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “เขาน่าจะเดาถูก ภรรยาเล่าไว้ชัดเจนแล้วนี่ สิ่งเดียวที่ตรงกับคำอธิบายก็คือหมั่นโถว”

จากนั้นโจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยใบหน้าตรงไปตรงมาว่า “ ไม่ สามีเดาผิด หลังจากได้ยินคำพูดของภรรยาเขาก็เดาว่า หน้าอก”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเธอก็พ่นโจ๊กออกมาเต็มปาก ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เมื่อมองไปยังโจวเหว่ยชิงที่กำลังนั่งบีบคลึงหมั่นโถวในมือขณะที่จ้องมองหน้าอกของเธอ เธอก็รู้ว่าคนพาลนี่กำลังแกล้งตนอยู่!

“หญิงงามบ้วนโจ๊กออกมาเช่นนี้ถือว่าไม่งามเลยนะ! เดี๋ยวก็สำลักหรอก ช้าลงหน่อยสิ” โจวเหว่ยชิงกล่าวขณะที่ยิ้มอย่างมีเลศนัยและเริ่มลงมือกินอาหารของตนบ้าง

หลังจากนั้นจวบจนกระทั่งเวลาที่ทั้ง 2 คนมาถึงทางเข้าโรงเรียนทหารเฟยหลี่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยังคงเม้มริมฝีปากแน่นและเพิกเฉยต่อโจวเหว่ยชิงแม้ว่าเขาจะหน้าด้านพอที่จะจับมือเธอไว้ตลอดทางก็ตาม

“ภรรยา ในที่สุดชั้นเรียนวันนี้ก็เริ่มแล้ว! เจ้าจะต้องตั้งใจเรียนให้ดีล่ะ!” โจวเหว่ยชิงจับมือของเธอและเดินผ่านประตูทางเข้าอย่างหึกเหิม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยายามดิ้นรนให้ตนเป็นอิสระแต่ก็ไม่สามารถสลัดมือเขาทิ้งได้

“ข้าต้องตั้งใจเรียนให้ดี? แล้วเจ้าล่ะ?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ ข้ามีหน้าที่แตกต่างกับเจ้า ข้าแค่ต้องเป็นคนที่อยู่หลังม่าน คอยควบคุมชักใยแม่ทัพนายกองที่มีความสามารถเท่านั้น” แม้ว่าภายนอกเขาจะดูผ่อนคลาย แต่ในความเป็นจริงแล้วเขารู้สึกตึงเครียดมาก อย่างไรหมิงฮัวก็เป็นอาจารย์ประจำชั้นของเขา และเขาก็ไม่อาจเดาได้ว่าเธอจะทำอะไรกับเขาบ้าง

ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ทั้งคู่ก็ก้าวเข้าไปในบริเวณโรงเรียนแล้ว ทว่าทันทีที่พวกเขาเข้าไปในอาคารเรียนหลัก พวกเขาก็ต้องหยุดชะงักกะทันหัน

เป็นกลุ่มนักเรียนหลายสิบคนที่ขวางทางทั้งคู่เอาไว้ พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นนักเรียนชนชั้นสูง ด้วยเครื่องแบบนักเรียนที่ดูยิ่งใหญ่พวกเขา ทุกคนจึงมีบรรยากาศที่ดูสูงส่งมาก

ผู้นำของพวกเขาเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 20 ปี และเมื่อมองไปที่อีกฝ่าย ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็เป็นประกายด้วยความประหลาดใจ

รูปร่างหน้าตาของเด็กหนุ่มคนนั้นค่อนข้างธรรมดา แน่นอนว่าเป็นประเภทที่อาจมองข้ามไปได้ถ้าเขาอยู่ในฝูงชนจำนวนมากๆ แต่ทว่านักเรียนชนชั้นสูงทุกคนต่างก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ สายตาของเขาค่อนข้างอ่อนโยนและดูไร้ที่ติ  ใบหน้าของเขาเป็นสีชมพูสุขภาพดี จากภายนอกดูเป็นคนร่าเริงแจ่มใส หากเป็นสถานการณ์อื่น เขาก็คงดูเหมือนคนที่อัธยาศัยดีและไม่เป็นภัยคุกคามใดๆ ผู้หนึ่ง

เย่โหลวที่หลบหนีไปจากที่เกิดเหตุในพิธีเปิดเมื่อวานก็กำลังยืนอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มคนนี้ด้วยท่าทางนอบน้อมพร้อมกับทำหน้าบึ้งไปด้วย

“เจ้าคือเด็กใหม่โจวเหว่ยชิง?” เด็กหนุ่มที่เป็นผู้นำคนนั้นมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เสียงของเขาสงบและเยือกเย็นคล้ายกับแววตาของเขา

โจวเหว่ยชิงเอียงศีรษะและตอบว่า “ใช่ ข้าชื่อโจวเหว่ยชิง ส่วนเจ้าคือใคร? แล้วมีธุระอะไรกับข้า?” หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน โจวเหว่ยชิงก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะลดความก้าวร้าวของเขาลงเสียหน่อย อย่างไรนี่ก็คือเมืองหลวงของอาณาจักรเฟยหลี่ มีขุมอำนาจมากมายที่เขาไม่สามารถรับมือได้ เขาได้สร้างชื่อของตนให้เป็นที่รู้จักแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาควรทำตัวให้สามารถอยู่รอดปลอดภัยต่อไปได้จะดีกว่า ท้ายที่สุดแล้วเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเพราะซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อยู่กับเขาด้วย

“ศิษย์น้องโจว อรุณสวัสดิ์ ข้าชื่อเย่เป่าเปา เป็นนักเรียนชั้นปีที่ 3 วันนี้ข้ามาหาเจ้าที่นี่โดยเฉพาะเพื่อขอโทษแทนน้องชายของข้าและการกระทำของเขาเมื่อวานนี้” ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขาก็โค้งคำนับให้โจวเหว่ยชิงเล็กน้อยเป็นการขอโทษ

เย่เป่าเปา?  ชื่อนี้ไม่คุ้นหูสำหรับโจวเหว่ยชิง แต่เขาน่าจะเป็นลูกพี่ที่เย่โหลวพูดถึงเมื่อวานนี้ โจวเหว่ยชิงคาดเดาได้ว่าเย่เป่าเปาคนนี้น่าจะเป็นหนึ่งในผู้นำของเหล่านักเรียนชนชั้นสูงทั้งหมด

“รุ่นพี่ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ อย่างไรสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตก็เป็นอดีตไปแล้ว” โจวเหว่ยชิงยิ้มแย้มและตอบกลับ ขณะนี้เขาไม่ได้แสดงท่าทีที่บ่งบอกถึงความเย่อหยิ่งและก้าวร้าวเหมือนเมื่อวานนี้เลย

เย่เป่าเปายิ้มน้อยๆ และพูดว่า “ ชื่อของข้าอาจจะแปลกไปสักหน่อยสำหรับเจ้า[1] แต่วันนี้ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อแค่มาขอโทษ แต่ยังอยากมาทำความรู้จักกับศิษย์น้องด้วย ท้ายที่สุดแล้วการกระทำของเจ้าในพิธีเปิดเมื่อวานนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจและน่าประทับใจมาก ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง ข้าจึงอยากบอกว่าหากในอนาคตศิษย์น้องต้องการขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ข้าก็ยินดีจ่ายเพิ่มให้ในราคาสูงกว่าท้องตลาด 2 ใน 10 ส่วน เอาตรงๆ คือเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า”

เย่เป่าเปาคนนี้ไม่ได้เล่นด้วยง่ายๆ เสียแล้ว! โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง “นั่นยอดเยี่ยมมาก ข้าเพิ่งจะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์สำหรับนำมาขายพอดี หากท่านสนใจก็สามารถเลือกซื้อได้เลย”

อย่างไรอีกฝ่ายก็มีเงิน ทำไมโจวเหว่ยชิงจะไม่ยอมขายล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าเขามาที่นี่เพื่อสร้างสันติภาพ โจวเหว่ยชิงที่จำเป็นต้องอยู่ในโรงเรียนนี้ต่อไปอีกนานจึงไม่จำเป็นต้องหาเรื่องยุ่งยากให้กับตัวเองด้วยการทะเลาะกับเย่เป่าเปาอย่างไร้เหตุผล สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเย่เป่าเปานั้นแตกต่างจากเย่โหลวอย่างมาก ราวกับสวรรค์กับนรกอย่างแท้จริง แม้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่เป็นคนดี แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนน่ารำคาญหรือพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น

หลังคิดได้เช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็เอื้อมมือไปที่สร้อยมิติของเขาและหยิบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางที่เขาสร้างขึ้นเมื่อวานออกมา

เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงหยิบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ออกมาทีละกล่อง เย่เป่าเปาก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปนาน จากการกระทำของโจวเหว่ยชิงเมื่อวานนี้ เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยอมลงให้เขามากขนาดนี้ ดูอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็น่าจะต้องเป็นศัตรูกันมากกว่า จริงๆ แล้วก็เป็นดั่งที่โจวเหว่ยชิงคาดการณ์เอาไว้นั่นแหละ เขามาที่นี่ในวันนี้เพื่อสร้างสันติภาพ แต่ก็ไม่คิดว่าโจวเหว่ยชิงจะเชื่อใจเขาง่ายดายขนาดนี้

เย่เป่าเปารับกล่องไม้ 5 กล่องจากมือของโจวเหว่ยชิงและเปิดกล่องหนึ่งออก กวาดตามองเพียงครั้งเดียว เขาก็แสดงสีหน้าทั้งประหลาดใจและพึงพอใจออกมา

“นี่คือม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง!”

…………………………………………………………….

[1] 泡泡 (เป่าเปา) แปลว่าฟองสบู่

หญิงสาวพูดอย่างเฉยเมย “เป็นเรื่องดีที่เจ้ายังรู้จักยอดเขาของเรา เจ้าทั้ง 2 คนไปได้แล้ว เขาได้รับการปกป้องจากพวกเรา” น้ำเสียงของเธอไพเราะน่าหลงใหล แต่ก็มีความเย็นชาแฝงอยู่ภายในหลายส่วน ความเยือกเย็นนั้นดูเหมือนจะสามารถแทรกซึมเข้าไปถึงไขกระดูกได้

หลังจากตกใจได้ไม่นาน หมิงอู๋ก็ฟื้นคืนสติกลับมาและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “แม่นางท่านนี้ ยอดเขาสูงสุดทิศเหนือและยอดเขาปีศาจทิศตะวันตกของเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางซึ่งกันและกัน ทั้งยังทำงานร่วมกันในบางครั้ง โปรดอย่าสอดมือเข้ามายุ่งกับธุระส่วนตัวของเรา…นั่นจะเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

หญิงสาวหัวเราะเยาะและพูดว่า “เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดเช่นนั้นกับข้า…บางทีถ้าอู๋สิงเทียนเป็นคนพูด เรื่องนี้อาจจะแตกต่างออกไปก็ได้”

หมิงฮัวพูดอย่างเย็นชา “จองหองเกินไปแล้ว เจ้าไม่อวดอ้างตนเกินไปหน่อยหรือ?” ตามที่โบราณกล่าวไว้ ผู้หญิงสวยๆมักจะอิจฉากันได้อย่างง่ายดาย หลังจากรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่พักหนึ่ง เธอก็จ้องมองไปที่หญิงสาวในชุดสีขาวด้วยความอิจฉาริษยา

อย่างไรก็ตาม เมื่อหมิงอู๋ได้ยินคำพูดของหญิงสาวผู้นี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนสีไปอย่างสิ้นเชิง เขาจึงถามออกไปอย่างรวดเร็วว่า “ข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่?”

เธอตอบอย่างเฉยเมย “ข้าชื่อเทียนเอ๋อร์…”

เมื่อได้ยินชื่อของอีกฝ่าย สีหน้าของหมิงอู๋ก็ดูน่าเกลียดขึ้นในพริบตา เขาขมวดคิ้วมุ่นขณะครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง

เทียนเอ๋อร์กล่าวต่ออย่างเฉยเมย “ภูเขาหิมะสวรรค์ของเราเฝ้าจับตาดูบุคคลนี้มานานแล้ว แม้ว่าระดับพลังปราณของเจ้าจะสูงกว่าข้า แต่ตอนนี้เจ้าได้รับบาดเจ็บหนัก แม้ว่าเจ้าทั้งคู่จะร่วมมือกัน พวกเจ้าก็ยังไม่สามารถเอาชนะข้าได้อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้ากล้าลงมือกับข้า…ยอดเขาปีศาจทิศตะวันตกของเจ้าก็จะได้หายไปแน่นอน”

ขณะที่พูดเช่นนั้น เธอก็ยกมือซ้ายขึ้นแล้วกวาดมือไปทางโจวเหว่ยชิง

เมื่ออยู่ในสภาพบาดเจ็บเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงจะหลีกเลี่ยงการโจมตีของหญิงชุดขาวได้อย่างไร ทว่าสิ่งเดียวที่เขาสัมผัสได้คือแสงสีทองวูบวาบ และความรู้สึกอบอุ่นที่ตรงเข้ามาห่อหุ้มร่างกายของเขา วินาทีต่อมาเด็กหนุ่มก็หมดสติไปทันที

“ทักษะธาตุเทวา!” เมื่อหมิงอู๋สังเกตเห็นแสงสีทองจากมือของเทียนเอ๋อร์ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ได้…พอก็พอ เนื่องจากเขาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของภูเขาหิมะสวรรค์ ข้าจึงไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป”

“แม่นางเทียนเอ๋อร์ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาจะไม่เปิดเผยเรื่องในวันนี้”

เทียนเอ๋อร์พยักศีรษะเล็กน้อยเป็นการยอมรับ หมิงอู๋มองไปที่โจวเหว่ยชิงอีกครั้งอย่างไม่เต็มใจก่อนจะคว้าตัวลูกสาวกระโดดขึ้นกลางอากาศและหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

เทียนเอ๋อร์เฝ้าดูพวกเขาจากไปอย่างสงบก่อนที่ดวงตาจะส่องแสงเจิดจ้าออกมา ไม่นานแสงสีเงินสว่างวาบขึ้นและนกตัวน้อยก็ปรากฏบนไหล่ของเธอ มันคือจักรพรรดิสีเงินที่หลบหนีออกมาจากวังกักเก็บทักษะนั่นเอง! หากก่อนหน้านี้หมิงอู๋ไม่แสดงความเคารพต่อภูเขาหิมะสวรรค์ เทียนเอ๋อร์ย่อมไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่

เมื่อหันไปหาโจวเหว่ยชิง  ความสงบนิ่งและความเฉยเมยในดวงตาของเธอก็หายไปทันที เธอยกขาเรียวยาวขึ้นเตะบั้นท้ายของเขาไป 2-3 ที อย่างโมโห ในที่สุดเธอก็บิดหูของเขาและพูดว่า “ฮึ่ม! เจ้าคนไร้ยางอายนี่ ถ้าข้ามาไม่ทันเวลา เจ้าก็คงจบสิ้นไปแล้ว พลังของเจ้ายังแข็งแกร่งไม่มากพอด้วยซ้ำ แต่ความสามารถในการสร้างปัญหานั้นกลับมีเหลือเฟืออย่างไม่น่าเชื่อเชียว แม้แต่กับนิกายปีศาจสวรรค์ เจ้าก็ยังชักนำปัญหามาได้! เจ้ายักษ์ทึ่ม!” เมื่อเธอพูดจบก็อดไม่ได้ที่จะเตะก้นเขาอีก 2 ครั้งก่อนจะหยุด

จักรพรรดิสีเงินมองดูการกระทำของเธออย่างสนอกสนใจ แต่เธอก็ส่ายหัวและพูดว่า “เจ้าเงินน้อย จงมุ่งหน้าไปยังภูเขาหิมะสวรรค์ นำป้ายของข้าไปเพื่อรับรองตัวเองด้วย กลิ่นอายของเจ้าเด่นชัดเกินไปและวังกักเก็บทักษะคงจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่ นี่คือดินแดนของพวกเขา หากพวกเขาพบเรา นั่นจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น เมื่อเจ้าไปถึงภูเขาหิมะสวรรค์ ท่านพ่อของข้าจะดูแลเจ้าเอง อย่างไรก็ตาม จำไว้ว่าเจ้าต้องไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์อีก เข้าใจหรือไม่?”

*จิ๊บ* *จิ๊บ* จักรพรรดิสีเงินร้องรับเบาๆ 2 ครั้งก่อนที่จะบินหายไปบนท้องฟ้า

หลังจากเฝ้าดูมักจากไป ในที่สุดเทียนเอ๋อร์ก็คว้าร่างของโจวเหว่ยชิงและหายตัวไปในความมืดเช่นกัน

อีกฝั่งหนึ่ง หมิงอู๋พาลูกสาวของเขากลับไปที่คฤหาสน์ด้วยใบหน้าที่มืดครึ้ม ทันทีที่พวกเขากลับไปถึงบ้านอย่างปลอดภัย หมิงอู๋ก็มุ่งเน้นความสนใจไปที่การรักษาไหล่ของตนทันที แม้ว่าเขาจะมีทักษะธาตุชีวิต แต่การที่กระดูกของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆก็ไม่ใช่สิ่งที่จะรักษาได้ง่ายๆ ดังนั้นการจัดการมันให้เร็วที่สุดก็สำคัญมากเช่นกัน ด้วยความช่วยเหลือของ   หมิงฮัว กระดูกจึงค่อยๆ ถูกประกอบกลับเข้าด้วยกัน ทว่าถึงกระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาฟื้นฟูและพักฟื้นอย่างน้อยครึ่งเดือนเพื่อให้บาดแผลหายสนิท

“ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ทำไมท่านถึงไม่ลงมือล่ะ? ผู้หญิงที่ชื่อเทียนเอ๋อร์นั่นเป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 6 ดวงเท่านั้น แม้ว่าท่านจะบาดเจ็บ แต่ท่านก็ยังมีพลังมากกว่านาง!” หลังจากช่วยบิดาทำแผล หมิงฮัวก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาอย่างสงสัย

หมิงอู๋ส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้มที่ขมขื่น เขากล่าวว่า “ถ้ามันง่ายดายเช่นนั้นก็คงจะดี ถ้ามันเป็นแค่เรื่องของพลัง แม้ว่าข้าจะบาดเจ็บ บางทีข้าก็ยังสามารถเอาชนะนางได้ แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะฆ่าหรือจับนาง ยอดเขาสูงสุดทิศเหนือ…ภูเขาหิมะสวรรค์…เจ้าคิดว่าพวกเขารับมือได้ง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือ? หากเราไม่ระวัง นั่นอาจจะนำความพินาศมาสู่นิกายของเราก็เป็นได้”

หมิงฮัวกล่าวอย่างสงสัย “พวกเขาคือยอดเขาสูงสุดทิศเหนือ แต่เราก็เป็นยอดเขาปีศาจทิศตะวันตกเช่นกัน พวกเราทั้งคู่ถือว่าเป็น 1 ใน 5 ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ในทวีปและถือได้ว่าเท่าเทียมกัน ทำไมพวกเราถึงต้องเกรงกลัวพวกเขาด้วย?”

หมิงอู๋กล่าวว่า “เท่าเทียม? บางทีอาจเท่าเทียมกันในแง่ของชื่อเสียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่รู้ความจริงแล้ว ในแง่ของพลังพวกเราไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย ยอดเขาปีศาจทิศบูรพาของเราอยู่ลำดับล่างสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 5 ในขณะที่ภูเขาหิมะสวรรค์อยู่บนยอดสุด ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นก็ถึงเวลาที่ข้าจะบอกความลับกับเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดอาณาจักรวั่นโซ่วจึงสามารถต่อสู้กับอาณาจักรอื่นๆ ในทวีปได้ด้วยตัวเอง? เป็นเพราะภูเขาหิมะสวรรค์ตั้งอยู่ที่นั่นและหนุนหลังพวกเขาอยู่ยังไงล่ะ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งไหนกล้าต่อสู้กับพวกเขาเลย”

“ก่อนหน้านี้หญิงสาวชื่อว่าเทียนเอ๋อร์ใช้ทักษะธาตุเทวาซึ่งเป็น 1 ใน 3 ทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่หายาก นอกจากนี้มณีธาตุของนางยังเป็นไพฑูรย์ตาแมวสองสี! และชื่อของนางยังมีคำว่า ‘เทียน’ อยู่ด้วย ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่านางมีสายเลือดของกษัตริย์ หรืออาจเป็นถึงลูกสาวของราชาหิมะสวรรค์! มีข่าวลือว่าเขามีลูกสาวเพียงคนเดียวและหากเราแตะต้องนาง… อย่าพูดถึงการทำร้ายนางเลย…แม้แต่แย่งโจวเหว่ยชิงไปจากนาง นั่นก็อาจสร้างปัญหาใหญ่และทำให้นิกายของเราถูกทำลายลงได้”

เมื่อฟังคำอธิบายของบิดา หมิงฮัวก็เข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง “ท่านพ่อ แต่ข้าไม่อยากจะยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆเช่นนี้ พวกเราเกือบจะทำสำเร็จแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้น ท่านก็เห็นว่าโจวเหว่ยชิงมีทักษะธาตุปีศาจและเป็นจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจรุ่นแรก…เขาควรจะเป็นของนิกายปีศาจสวรรค์!!”

หมิงอู๋พูดอย่างเฉยเมย “เจ้าอาจพูดถูก แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าสามารถบิดพลิ้วกับโจวเหว่ยชิงได้ก็ไม่ใช่เพราะข้ามีพลังมากกว่าเขาหรอกหรือ?”

“ในกรณีนี้ก็เหมือนกัน ความแตกต่างระหว่างภูเขาหิมะสวรรค์กับนิกายปีศาจสวรรค์ของเราก็เหมือนกับความแตกต่างระหว่างระดับพลังของข้ากับโจวเหว่ยชิง พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”

“เพียงเพราะเช่นนั้น…เราถึงต้องยอมแพ้อย่างนั้นหรือ?” หมิงฮัวนึกถึงเรื่องที่เขาทำก่อนหน้านี้ในอุโมงค์และกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ

หมิงอู๋ถอนหายใจและกล่าวว่า “พวกเราทำอะไรได้บ้าง? ตอนนี้มีเพียงแผนเดียวที่ข้าคิดออก เจ้าควรหาทางเข้าหาเขาและพยายามกลับไปอยู่เคียงข้างเขา…ถ้าเป็นไปได้…พยายามมีลูกกับเขา…อย่างน้อยเด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจรุ่นที่ 2 ซึ่งจะยังคงช่วยนิกายของเราได้มาก เจ้าหนุ่มคนนั้นมีความสามารถและอันตรายเกินไป เราได้ทำให้เขาขุ่นเคืองเข้าแล้ว และเพราะเราไม่อาจทำให้เขาเข้าร่วมกับเราได เราจึงต้องรักษาความสัมพันธ์กับเขาไม่ให้แย่ลงไปกว่านี เจ้าเป็นอาจารย์ของเขา ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะพยายามแก้ไขความสัมพันธ์ของพวกเจ้าอย่างไร แม้ว่าเขาจะไม่เข้าร่วมกับเรา  แต่เราก็ไม่อาจเป็นศัตรูกับเขาได้”

หมิงฮัวพูดอย่างไม่เต็มใจ “ ท่านพ่อ ข้าไม่ทำหรอก! มีอะไรดีๆ เกี่ยวกับเขาบ้าง? ท่านถึงกับต้องการให้ลูกสาวตัวเองถวายตัวให้… ”

หมิงอู๋ส่งเสียงฮึ่มในลำคอและพูดว่า “เจ้าเด็กโง่…ปกติเจ้าฉลาดมาก แต่เมื่อพูดถึงโจวเหว่ยชิง ทำไมเจ้าถึงซื่อบื้อได้ขนาดนี้ เจ้าไม่เห็นพรสวรรค์และความเฉลียวฉลาดของเขาหรือ? แม้ว่าเจ้าจะหาจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 3 ดวงมาอีกเป็นหมื่นๆคน พวกเขาทั้งหมดก็ไม่อาจทำร้ายข้าได้ แต่ทว่าเขากลับทำได้ ในการต่อสู้กับเขา ข้าได้เห็นว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยนั่นมีทั้งทักษะธาตุลม สายฟ้า มิติ และปีศาจเป็นอย่างน้อย มณีธาตุที่แท้จริงของเด็กนั่นควรเป็นไพฑูรย์ตาแมวสองสีอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้เขายังอาจมีทักษะธาตุอื่นๆ ที่พวกเราไม่รู้จักอยู่อีก ด้วยระดับพลังปราณของเขา เขากลับสามารถทำให้ข้าช้าลงได้เป็นเวลา 3 วินาที ทักษะที่น่าเหลือเชื่อเช่นนั้นคืออะไรกันแน่? นอกจากนี้ เมื่อดูจากทักษะทั้งหมดที่เขาใช้ ไม่มีชนิดไหนต่ำกว่าระดับ 8 ดาวด้วยซ้ำ! ยังไม่รวมความจริงที่ว่าเขามีชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า…อนาคตของเขามีอะไรอีกบ้างที่พวกเราบอกไม่ได้ ก่อนหน้านี้ข้าสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรที่เขาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ภูเขาหิมะสวรรค์เป็นผู้หนุนหลังที่แท้จริงของเขานั่นเอง ถ้าข้าเดาไม่ผิด ลูกสาวของราชาหิมะสวรรค์คนนั้นอาจจะตกหลุมรักเขา ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะคิดอย่างไรกับเขา  แต่ในโรงเรียนเจ้าควรทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับโจวเหว่ยชิง เข้าใจหรือไม่?”

หมิงฮัวหน้ามุ่ยอย่างไม่เต็มใจ ทว่าก็พยักยอมรับ ความรู้สึกที่แท้จริงของเธอที่มีต่อโจวเหว่ยชิงคืออะไร บางทีมีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้อยู่ลึกๆ ข้างใน

เมื่อโจวเหว่ยชิงตื่นจากการหลับใหล เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของตนอบอุ่นและเบาสบายมาก เมื่อเด็กหนุ่มลืมตาขึ้น เริ่มกระพริบตาและลุกขึ้นนั่ง เขาก็ประหลาดใจที่พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในห้องของตัวเองและกำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างเรียบร้อย

ในห้องเงียบสงบมาก แสงแรกของวันสาดส่องเข้ามาบ่งบอกว่ากำลังเป็นเวลารุ่งสาง เจ้าแมวอ้วนนอนหลับสนิทอย่างเกียจคร้านอยู่ที่เดิมและทุกอย่างดูปกติดีราวกับว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น…เมื่อคืนข้าฝันไปหรือ?” โจวเหว่ยชิงพึมพำกับตนเอง

ในขณะนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ “อ้วนน้อย ได้เวลาตื่นแล้ว วันนี้เป็นวันแรกที่เข้าเรียน เราไม่ควรไปสาย ข้าจะไปทำอาหารเช้าแล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดังลอดเข้ามาจากภายนอกทำให้หัวใจของเขาพลันอบอุ่นขึ้น

“เข้าใจแล้ว ข้าตื่นแล้ว” โจวเหว่ยชิงตอบกลับ

เมื่อรวบรวมพลังปรานเพื่อตรวจสอบสภาพของตัวเอง เขาก็พบว่าพลังปรานสวรรค์ของเขาเหลืออยู่เต็มเปี่ยม ทว่าโจวเหว่ยชิงก็มั่นใจเช่นกันว่าตนไม่ได้ฝันถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้และทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแน่นอน เขายังคงสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่เขาใส่ออกไปเมื่อคืนและมันก็ยังหลงเหลือกลิ่นหอมจางๆ ของหมิงฮัวอยู่

หญิงสาวชุดขาวคนนั้นเป็นใครกันแน่?! ยอดเขาสูงสุดทิศเหนือและยอดเขาปีศาจทิศตะวันตกคืออะไร? จากคำพูดของเทียนเอ๋อร์และหมิงอู๋ ยอดเขาปีศาจทิศตะวันตกน่าจะเป็นนิกายปีศาจสวรรค์ เห็นได้ชัดว่ากองกำลังหลักของนิกายปีศาจสวรรค์น่าจะอยู่ทางตะวันตกของทวีปซึ่งส่วนใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ของอาณาจักรป่ายต้าและอาณาจักรเฟยหลี่

…………………………

ในเวลาเดียวกัน ทักษะทั้ง 2 ก็ได้ผสมผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นทักษะคู่ของจักรพรรดิสีเงิน ทักษะเฉือนกระชากมิติ ซึ่งเป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรพรรดิสีเงิน!

แน่นอนว่าทักษะที่โจวเหว่ยชิงปลดปล่อยออกมาย่อมเทียบไม่ได้กับเจ้าของอย่างจักรพรรดิสีเงิน เพราะถ้าจักรพรรดิสีเงินเป็นผู้ใช้ทักษะนี้ด้วยตัวเองก็น่าจะสามารถทำร้ายหมิงอู๋ได้อย่างสาหัส หรือแม้แต่อาจจะสังหารเขาได้ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยค้อนของโจวเหว่ยชิงก็เพิ่มพลังให้กับทักษะนี้ไปมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพลังทำลายล้างดั้งเดิมของตัวค้อนเองเลยด้วยซ้ำ

แค่พลังที่ถูกใส่เพิ่มเข้ามาเพียงอย่างเดียว การโจมตีของโจวเหว่ยชิงครั้งนี้มีก็ประสิทธิภาพมากกว่าพลังปกติของเขาถึง 10 เท่า ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากดูดซับพลังของไข่มุกรัตติกาล พละกำลังของเด็กหนุ่มก็แข็งแกร่งกว่าจ้าวมณีสวรรค์ทั่วไปอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับพลังที่เพิ่มขึ้นมาอีก 10 เท่า! นอกจากนี้ทักษะเฉือนกระชากมิติที่น่าเกรงขามของจักรพรรดิสีเงินก็ยังได้รับการเสริมพลังด้วยค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนาน…การโจมตีครั้งนี้จึงมีอานุภาพร้ายแรงมากพอจะทำร้าย    หมิงอู๋ให้บาดเจ็บได้

ถึงกระนั้น หากไม่ใช่เพราะแผนการซับซ้อนของเขาส่งผลให้หมิงอู๋ประมาท และที่สำคัญที่สุดคือการปล่อยหมัดครั้งแรกของหมิงอู๋ การใช้พลังไปอย่างผิดพลาดจนเกือบจะทำร้ายตัวเอง หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็เป็นไปได้ว่าการโจมตีที่ทรงพลังนี้อาจถูกหมิงอู๋ขัดขวางเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย เพราะอย่างไรเสียความแตกต่างระหว่างระดับพลังปราณของคนทั้ง 2 ก็มากเกินไปอยู่ดี ทว่านั่นก็คือความงดงามที่แท้จริงของค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนานที่สามารถสับเปลี่ยนระหว่างของจริงและของปลอมได้ ขณะคนผู้หนึ่งถูกหลอกล่อให้ใช้พละกำลังของตนออกไปอย่างสูญเปล่า ค้อนอีกข้างก็จะโจมตีใส่พวกเขาอย่างรุนแรงแทน ในกรณีของหมิงอู๋ การสามารถฝืนขยับศีรษะให้หลบพ้นจากแรงปะทะได้เช่นนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นพลังที่แท้จริงของเขาเองที่ช่วยชีวิตตนเองเอาไว้

“ท่านพ่อ!!!” หมิงฮัวร้องเสียงหลง เธอรีบวิ่งเข้าไปในสนามต่อสู้ต่อหน้าของพวกเขา

โจวเหว่ยชิงไม่ได้พยายามที่จะหลบหนี เขารู้ชัดเจนว่าหนีไปก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังใช้พลังปราณสวรรค์ไปจนหมดแล้ว แม้แต่สถานะปีศาจกลายร่างของโจวเหว่ยชิงก็สลายไปเพราะไม่มีแรงเหลือเพียงพอจะคงรูปมันไว้ ลายเสือดำจึงค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ แค่นั้นก็สามารถบอกได้แล้วว่าเขาต้องแลกอะไรไปบ้างระหว่างการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ในแง่ของพลังงาน แต่ยังรวมถึงสภาพจิตใจด้วย

ความรู้สึกอ่อนเพลียอย่างรุนแรงตรงเข้าครอบงำจิตใจและร่างกายของเขา โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าข้างในจิตใจ เขาทรุดตัวลงกับพื้น แม้แต่จะรวบรวมกำลังลุกขึ้นก็ยังไม่อาจทำได้

ท้ายที่สุดเขาก็พ่ายแพ้เพราะพลังของพวกเขาแตกต่างกันมากเกินไป ขณะที่โจวเหว่ยชิงโจมตีใส่หมิงอู๋ครั้งสุดท้าย เขาก็รู้ได้ทันทีว่าการพยายามฆ่าหมิงอู๋นั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า เห็นได้ชัดว่าพลังการป้องกันของชุดศาสตรามณียุทธ์ 8 ชิ้นและพลังปราณสวรรค์ของอีกฝ่ายทรงอานุภาพมากเกินไป

ตอนนี้หัวใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เป็นเช่นนี้เองหรือ? นี่คือความแตกต่างระหว่างพลัง! เขาต้องถูกบังคับให้เข้าร่วมนิกายปีศาจสวรรค์ด้วยเหตุนี้เองหรือ?

*ตูม*! เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นร่างสีทองก็กระโจนขึ้นมาจากหลุมในสภาพมอมแมมไม่เรียบร้อย คนๆ นั้นคือหมิงอู๋ แต่ตอนนี้เขาดูไม่เหมือนกับคนก่อนหน้าที่เคยสุขุมและสงบเยือกเย็น แม้ว่าเขาจะยังคงสวมชุดศาสตรามณียุทธ์ แต่แสงของมันก็ริบหรี่ลงไปมาก เกราะไหล่ข้างขวาถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง บนนั้นปรากฏเป็นรอยแตกร้าวชัดเจนหลายจุด แขนขวาของเขาห้อยอยู่ด้านข้างอย่างไร้ประโยชน์ แม้ว่าการโจมตีครั้งก่อนหน้าของโจวเหว่ยชิงจะฆ่าเขาไม่สำเร็จ แต่ก็ยังสามารถทำลายกระดูกไหล่ของฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เพราะพลังที่แตกต่างกันมากเกินไป แม้ว่า  โจวเหว่ยชิงจะไม่ได้ฟาดโดนศีรษะของเขา การโจมตีครั้งนั้นก็อาจจะฆ่าเขาได้ด้วยซ้ำ

บัดนี้การแสดงออกบนใบหน้าของหมิงอู๋ดูน่าเกลียดมาก ท้ายที่สุดแล้ว ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 9 ดวงที่ต้องเผชิญหน้ากับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ดวง การที่เขาจะได้รับบาดเจ็บหนักนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

หมิงอู๋ยกมือซ้ายขึ้น แสงสีเขียวที่ดูนุ่มนวลแต่ทว่าเข้มข้นก็ตรงเข้าไปปกคลุมไหล่ขวาเพื่อทำการฟื้นฟู อย่างไรเสียมณีธาตุของเขาก็คือธาตุชีวิตและธาตุปีศาจ แต่ถึงแม้จะมีทักษะธาตุชีวิตที่ทรงพลังเช่นนี้ มันก็ไม่ง่ายที่จะรักษาอาการบาดเจ็บที่ไหล่ขวา ค้อนคู่ในตำนานได้บดกระดูกไหล่ของเขาจนแหลก นั่นจึงเป็นสาเหตุให้มันไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้ง่ายๆ

“เด็กน้อย เจ้าช่างโหดเหี้ยมมากจริงๆ ไหล่ขวาของข้าถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ เลยทีเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าข้าสามารถหลบได้ทัน สิ่งที่จะต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็คงเป็นศีรษะของข้าแล้ว” หมิงอู๋พูดกับโจวเหว่ยชิงอย่างเย็นชา

เมื่อเห็นบิดาของตนได้รับบาดเจ็บสาหัส ดวงตาของหมิงฮัวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ข้าจะฆ่าเจ้า!” เธอร้องออกมาด้วยความโกรธขณะพุ่งเข้าใส่โจวเหว่ยชิง

อย่างไรก็ตาม เธอถูกหมิงอู๋หยุดเอาไว้อย่างรวดเร็ว เขารั้งเธอไว้ด้วยมือซ้าย จากนั้นจู่ๆ เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงที่ร่างกายเหนื่อยล้าเต็มทีเริ่มประหลาดใจ

“ท่านยิ้มทำไม?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย

หมิงอู๋ยิ้มและกล่าวว่า “เพราะข้ามั่นใจในตัวเองมากเกินไปและประเมินเจ้าต่ำไป เดิมทีข้าคิดว่าสามารถกำจัดเจ้าได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้ทักษะกักเก็บหรือศาสตรามณียุทธ์ ทว่าข้าก็ไม่คาดคิดมาก่อนเช่นกันว่าเจ้าจะสามารถหลอกล่อข้าได้เช่นนี้ ที่เจ้าโจมตีข้า ข้าจะถือว่านั่นไม่เป็นไรเพราะข้าสามารถรักษาบาดแผลได้ แต่ถ้าข้าพลาดคนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเช่นเจ้าไป ข้าคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ข้าทำลายคำสัญญา ส่วนเจ้าก็ทำลายไหล่ของข้า งั้นก็ถือว่าเราหายกัน ข้าจะไม่สู้กับเจ้าต่อเพราะเราจะต้องได้กลายเป็นสหายกันในอนาคตแน่นอน เจ้าเป็นเด็กหนุ่มที่ชาญฉลาด ข้าไม่จำเป็นต้องพูดมากกว่านี้แล้ว”

แม้ว่าหมิงอู๋จะโกรธที่ไหล่ของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่เขาเป็นใครกัน? เขาเป็นหนึ่งในผู้ทรงพลังอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อครุ่นคิดเรื่องราวที่เกิดต่อจากนี้ อารมณ์ของเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้น ท้ายที่สุดแล้วยิ่งโจวเหว่ยชิงมีความสามารถมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งดีกับนิกายปีศาจสวรรค์ของเขามากเท่านั้น ไม่ว่าความสามารถของเขาจะน่าทึ่งแค่ไหน โจวเหว่ยชิงก็ยังคงต้องฝึกฝนอีกมากกว่าจะแข็งแกร่งเพียงพอ ก่อนหน้านี้ถ้าหมิงอู๋เอาจริงเอาจังอย่างเต็มที่ โจวเหว่ยชิงย่อมไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ขยับตัวทำอะไรด้วยซ้ำ เมื่อเขาผ่านพิธีสาบานตนของนิกายปีศาจสวรรค์แล้ว โจวเหว่ยชิงก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิกายของเขา หมิงอู๋พลันรู้สึกว่าบาดแผลของเขากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปในทันที นอกจากนี้ หากสามารถชักนำโจวเหว่ยชิงเข้าไปในนิกายได้ ตำแหน่งของเขาจะก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่เขาชื่นชมเกี่ยวกับโจวเหว่ยชิงมากที่สุดไม่ใช่แค่พรสวรรค์เท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นคือความเฉลียวฉลาดและจิตใจที่แน่วแน่ของเขา การที่เด็กหนุ่มสามารถทำร้ายหมิงอู๋ได้ย่อมเป็นผลมาจากการวางแผนที่เกือบสมบูรณ์แบบของโจวเหว่ยชิง ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงการโจมตีครั้งสุดท้าย หมิงอู๋ไม่รู้สึกผิดปกติหรือรู้สึกถึงอันตรายใดๆ เลยแม้แต่น้อย…การทำเช่นนี้ได้จะต้องใช้สติปัญญาวางแผนอย่างล้ำลึกแค่ไหนกัน?

ริมฝีปากของโจวเหว่ยชิงอ้ากว้างพลางหอบหายใจเข้าลึก หลุมดำพลังปราณทั้ง 12 แห่งของเขากำลังหมุนวนด้วยความเร็วสูงสุด พยายามที่จะกู้คืนพลังสู่ร่างกายให้มากที่สุด ตอนนี้เด็กหนุ่มจึงไม่ได้กำลังอารมณ์ดีอยู่อย่างแน่นอน

โจวเหว่ยชิงรู้สึกพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง เขาไม่เหลือแผนการณ์ใดๆ ต่อจากนี้แล้ว ความเหนื่อยล้าและความรู้สึกมึนงงกำลังเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ นาที เขาอยากจะพยายามหนีให้มากกว่านี้ แต่ทว่าจิตใจอยาก แต่ร่างกายกลับไม่ตอบสนอง เด็กหนุ่มคิดว่าตนทำเต็มที่แล้ว ถึงขั้นนำทุกอย่างที่มีออกมาใช้ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

ความโกรธเกรี้ยวในดวงตาของหมิงฮัวลดลงอย่างช้าๆ เมื่อฟังคำพูดของบิดา อีกทั้งความประหลาดใจก็เพิ่มขึ้นมาด้วยเช่นกัน จู่ๆ ภาพลักษณ์ของโจวเหว่ยชิงในความคิดของเธอก็เปลี่ยนไป ตอนนี้อีกฝ่ายดูแตกต่างออกไปมาก เขาไม่ได้ทำหน้าตาน่ารังเกียจอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มตอนนี้ราบเรียบไร้ความรู้สึก ดวงตาของเขาสงบนิ่ง แต่ประกายในนั้นดูมืดครึ้มลงมากกว่าปกติ ใบหน้าของโจวเหว่ยชิงซีดเซียว แสดงให้เห็นชัดเจนว่าตอนนี้เขากำลังอ่อนแอแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ในสภาพเช่นนี้ดูเหมือนว่าหน้ากากทั้งหมดของเขาถูกถอดออกไปแล้ว คล้ายกับว่าโจวเหว่ยชิงมีเสน่ห์แปลกๆ ที่ดึงดูดให้หมิงฮัวอยากเข้าหา

“ข้าไม่ได้แพ้ แต่ก็ยังแพ้อยู่ดี” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเฉยเมย มือของเขาทาบเข้ากับกำแพงเพื่อพยุงร่างของตนลุกขึ้น

หมิงอู๋มองโจวเหว่ยชิงด้วยความชื่นชมและพูดว่า “แน่นอนเจ้าไม่ได้แพ้ข้า ข้าคิดมาตลอดว่าลูกชายของข้าเป็นยอดคนอันดับต้นๆ ของเหล่าคนรุ่นเยาว์แล้ว แต่ตอนนี้เมื่อข้ามองเจ้า ข้าก็รู้ทันทีว่าคำโบราณพวกนั้นเป็นจริงแค่ไหน เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือสวรรค์ยังมีสวรรค์ หากวันหนึ่งเจ้ามีอำนาจมากกว่าข้า เจ้าย่อมสามารถฆ่าข้าเพื่อแก้แค้นในสิ่งที่ข้าทำกับเจ้าในวันนี้ได้ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็ปล่อยเจ้าไปไม่ได้ การปล่อยผู้มีความสามารถเช่นเจ้าไปถือว่าเป็นการละทิ้งอนาคตที่ยิ่งใหญ่ของนิกายของเรา”

“ย้อนกลับไปฟังคำพูดของท่านเองเถิด นิกายปีศาจสวรรค์คืออะไรกันแน่? คำพูดมากมายที่อ้างว่าตนไม่ได้ชั่วร้าย แต่ท้ายที่สุดการกระทำก็แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของตัวเอง” ทันใดนั้นน้ำเสียงเยือกเย็นก็ดังขึ้นในอากาศ ดูเหมือนจะไม่ชัดเจนและไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามันมาจากไหน

สีหน้าของหมิงอู๋เปลี่ยนไปทันที “นั่นใคร?!” เขาถามอย่างตื่นตระหนก ด้วยระดับพลังปราณของตน การที่เขาไม่สามารถตรวจพบบุคคลที่เข้าใกล้ได้นั้นน่าตกใจมาก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าบุคคลนี้จะรู้ว่าเขาเป็นใครและรู้ระดับพลังของเขา แต่ก็ยังกล้าจะสอดปากขึ้นมา นั่นแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายมั่นใจแค่ไหน

หลังจากที่เสียงนั้นเปล่งคำถามออกมา สายตาของพวกเขาทั้ง 3 ก็ถูกดึงไปยังบริเวณข้างถนนราวกับถูกแม่เหล็กดึงดูด

ในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด จู่ๆ ร่างที่เรืองรองไปด้วยแสงสีขาวระยิบระยับก็ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า แสงสีขาวนั้นดูบริสุทธิ์และเข้มข้นมาก ชุดสีขาว ผมสีขาว และรูปลักษณ์ที่งามพิสุทธิ์ ความขัดแย้งเพียงอย่างเดียวคือปอยผมสีน้ำเงินเข้มที่พาดอยู่ด้านข้างหน้าผากและดวงตาสีม่วงเข้มที่ส่องประกายระยิบระยับ ทำให้ภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตาเห็น

นี่คือหญิงสาวที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองด้วยความงุนงง หากเปรียบเทียบในด้านรูปลักษณ์ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาจเทียบกับอีกฝ่ายได้ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับดูเหมือนจะมีกลิ่นอายและให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เขาเคยพบสามารถเทียบเคียงอีกฝ่ายได้เลย

แม้แต่หมิงอู๋ที่มีพลังแข็งแกร่งและนิสัยสุขุมนุ่มลึกก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองหญิงสาวในชุดคลุมสีขาวผู้นี้ตาเขม็ง สำหรับหมิงฮัว เธอเกือบจะต้องรู้สึกอับอายกับรูปลักษณ์ของตัวเองเมื่อเปรียบเทียบกับอีกฝ่าย

ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขยับกายเลย แต่กลับสามารถมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาได้ ฉับพลันนั้น โจวเหว่ยชิงก็เหลือบไปเห็นหยกน้ำแข็ง 6 ดวงรอบข้อมือขวาของเธอ

จ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นสูงสุด!

นางเป็นใครกันแน่? เมื่อโจวเหว่ยชิงมองไปที่หญิงสาวชุดขาว เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับอีกฝ่ายอย่างน่าประหลาด แต่ทว่าเขาก็แน่ใจว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้มาก่อนแน่นอน อย่างไรก็ตาม จากคำพูดของเธอดูเหมือนว่าเธอมาที่นี่เพื่อช่วยเขา โจวเหว่ยจึงชิงปิดปากเงียบ ในสถานการณ์เช่นนี้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเขา โจวเหว่ยชิงกำลังรอดูว่าสิ่งต่างๆ จะเป็นเช่นไรต่อไป

นอกจากมณีหยกน้ำแข็ง 6 ดวงแล้ว หญิงสาวในชุดคลุมสีขาวก็ไม่ได้ปกปิดมณีธาตุที่ข้อมือซ้ายของเธอ จริงๆแล้วมณีธาตุที่กำลังหมุนวนอยู่รอบๆ ข้อมือข้างนั้นคือไพฑูรย์ตาแมวสองสีจำนวน 6 ดวงซึ่งเป็นสีแดงกุหลาบระยิบระยับในยามค่ำคืน…เธอมีมณีแบบเดียวกับโจวเหว่ยชิง!

“เจ้าเป็นใคร?” หมิงอู๋ถามอีกครั้งอย่างเคร่งขรึม

หญิงสาวในชุดขาวพูดอย่างเฉยเมยด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและเย็นชา “ยอดเขาสูงสุดทิศเหนือ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ใบหน้าของหมิงอู๋ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “ภูเขาหิมะสวรรค์?!”

…………………………………………

โจวเหว่ยชิงสามารถควบคุมสถานะปีศาจกลายร่างได้จริงๆ!? นี่เป็นเหตุผลแท้จริงที่ทำให้หมิงอู๋ตกใจจนสีหน้าเปลี่ยน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจรุ่นแรกที่อยู่ในสถานะปีศาจกลายร่างนั้นอันตรายมากแม้ระดับพลังปราณของพวกเขาจะต่ำกว่าคู่ต่อสู้ก็ตาม

เมื่อโจวเหว่ยชิงยกค้อนขนาดใหญ่ในมือขึ้นมา หมิงอู๋ก็พลันตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของเขา โจวเหว่ยชิงมีพลังปราณสวรรค์เพียงพอจะใช้ทักษะอื่นๆ ได้อีกมาก! ไม่เช่นนั้นเขาจะเรียกค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนานออกมาได้อย่างไร!?

ในขณะนี้ผลของทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์และทักษะโซ่ตรวนวายุกำลังเข้าสู่ช่วงวินาทีสุดท้ายแล้ว ทว่าเมื่อค้อนสีดำเหลือบทองฟาดลงเข้าหาร่างของหมิงอู๋ จู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าประหลาดใจขึ้นมา

แสงแปลกๆ ทั้ง 2 สีกำลังหมุนวนไปมา แสงสีเขียวและแสงสีเงินค่อยๆ หลอมรวมเข้าด้วยกันรอบๆ ค้อนยักษ์คู่นั้นทำให้พวกมันยิ่งสว่างเจิดจ้ามากขึ้นกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าโจวเหว่ยชิงเพิ่งจะใส่ทักษะกักเก็บบางอย่างลงไปในนั้นด้วย การโจมตีครั้งนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมานับตั้งแต่เขากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของตน ขณะที่ค้อนทั้ง 2 ฟาดลงไปหาหมิงอู๋ ร่างกายของโจวเหว่ยชิงก็เผาผลาญพลังปราณสวรรค์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดออกไปพร้อมกันด้วย

จู่ๆ หัวใจของหมิงอู๋ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว! ทว่าอย่างไรเขาก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะ 9 ดวงที่ทรงพลังผู้หนึ่ง แม้จะมีความกลัวอยู่ภายในจิตใจ เขาก็ยังรีบตอบสนองอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว คลื่นพลังปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพระเบิดออกมาจากร่างกายของเขากลายเป็นชุดเกราะสีทองอร่ามชุดหนึ่ง

ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนไหวหรือความเร็วในการใช้ทักษะของหมิงอู๋ช้าลง แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการปลดปล่อยพลังปราณสวรรค์หรือใช้ศาสตรามณียุทธ์ได้…แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะใช้ทักษะควบคุมถึง 2 ชนิดควบคู่กันก็ตาม

ชุดเกราะทองคำทั้งชุดที่หมิงอู๋สวมอยู่ทำจากศาสตรามณียุทธ์ 8 ชิ้น ตั้งแต่วันที่เขาสามารถปลุกมณีให้ตื่นขึ้นมาได้ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ ชุดศาสตรามณียุทธ์ชุดนี้ก็ถูกสร้างขึ้นเตรียมไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะแล้ว ทั้งหมวกเกราะ เกราะหุ้มหน้าอก เกราะไหล่ เข็มขัดเกราะ และเกราะหุ้มแขนขาทั้ง 4 ชิ้น เห็นได้ชัดว่า 8 ส่วนที่สำคัญที่สุดของร่างกายได้รับการปกป้องไว้แล้วทั้งหมดด้วยชุดเกราะนี่ อีกทั้งบนชุดเกราะสีทองยังมีสัญลักษณ์ดอกไม้แห่งยมโลกสีแดงสดปักอยู่ ทำให้มันดูมีชีวิตชีวามาก

ด้วยเหตุนี้ ไม่นานร่างของหมิงอู๋ประสานเข้ากับชุดศาสตรามณียุทธ์จนสำเร็จ สำหรับโจวเหว่ยชิงที่เป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เขาย่อมรับรู้ได้ถึงความสำคัญของชุดศาสตรามณียุทธ์ที่ครบชุดแล้ว ชุดศาสตรามณียุทธ์ 8 ชิ้นที่เป็นชุดเกราะเข้าชุดกันทั้งหมดเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องถูกสร้างขึ้นโดยอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะขึ้นไป อนิจจา ขณะนี้ไม่มีเวลาให้โจวเหว่ยชิงนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป เขาทำได้เพียงรวบรวมพลังทั้งหมดของตนเองเพื่อใช้ไปกับการโจมตีในครั้งนี้ ทันทีที่ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์สิ้นสุดลง ค้อนในมือซ้ายของเขาก็ฟาดลงบนศีรษะของหมิงอู๋อย่างแรงแล้ว

ทว่าความเร็วในการตอบสนองของหมิงอู๋นั้นมีมากเกินไป แม้ผลของทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์เพิ่งจะสิ้นสุดลง แต่เขาก็ยังสามารถรับมือกับโจวเหว่ยชิงและสกัดกั้นการโจมตีของอีกฝ่ายได้ทันเวลาพอดี!

เมื่อชุดศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดหลอมรวมเข้าด้วยกัน พลังปราณสวรรค์ที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างของหมิงอู๋ก็พลันเปลี่ยนไป พลังปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพที่เป็นสีขาวแต่ดั้งเดิมกลายเป็นสีทองอร่ามเหมือนสีของชุดเกราะ เช่นนี้เมื่อเขายกมือขึ้นเพื่อรับการโจมตีจากค้อนของโจวเหว่ยชิง แสงสีทองก็พลันเปล่งประกายออกมา ทั้งยังแฝงไปด้วยพลังและแรงกดดันที่น่ากลัว

ริมฝีปากของหมิงอู๋โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ เด็กน้อยคนนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ แต่เขากลับทำผิดพลาดไปเพียงเล็กน้อยในตอนท้าย ผลของทักษะนั้นสิ้นสุดลงก่อนที่ค้อนของโจวเหว่ยชิงจะทันได้ฟาดลงมาโดนเขาเพียงเสี้ยววินาที! ไม่เช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็อาจจะสร้างปัญหาใหญ่ให้เขาแล้ว

ที่จริงในสายตาของหมิงอู๋ โจวเหว่ยชิงพลาดที่ไม่โจมตีเขาก่อนทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์จะสิ้นสุดลง ทว่าเกือบจะทันทีที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นใบหน้าของเขา หมิงอู๋ก็ต้องตัวแข็งทื่ออีกครั้งด้วยความตกใจ

หมัดของเขาซึ่งส่งออกไปพร้อมกับม่านพลังสีทองเข้มข้นได้ปะทะเข้ากับค้อนในมือของโจวเหว่ยชิงแล้ว ทว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับเป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง! หมัดของเขาดันทะลุผ่านค้อนออกไป! เห็นได้ชัดว่าการโจมตีที่ทรงพลังของเขาวืดออกไปกลางอากาศ ในเวลาเดียวกันค้อนข้างขวาของโจวเหว่ยชิงก็สัมผัสเข้าที่ศีรษะของเขาแล้ว!

การปลดปล่อยพลังจำนวนมหาศาลออกไปและพบว่ามันไม่ไปถึงเป้าหมายเป็นสิ่งที่น่าตกละลึงมาก แม้แต่คนที่มีพลังสูงส่งเช่นหมิงอู๋ก็ไม่สามารถยอมรับได้ ส่งพลังโจมตีที่ยิ่งใหญ่ออกไปแต่ต้องกลายเป็นเรื่องสูญเปล่าเช่นนี้ หมิงอู๋ถึงกับเสียศูนย์ไปเล็กน้อย ร่างกายของเขาพลันแข็งทื่อและเคลื่อนไหวช้าลงในเสี้ยววินาที

โชคดีที่หมิงอู๋ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าโจวเหว่ยชิงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นการโจมตีในครั้งนี้จึงไม่ได้ใช้พลังของตนออกไปอย่างเต็มที่ แต่เป็นเพราะเหตุนั้น เขาจึงไม่ได้ทำให้ตัวเองบาดเจ็บไปด้วย อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังเสียการทรงตัว ค้อนในมือขวาของโจวเหว่ยชิงก็มาจ่ออยู่ที่ศีรษะของเขาแล้ว!

เรื่องก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงจะคำนวณผิดพลาดไปได้อย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เลวร้ายซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเขา นั่นเป็นแผนของเขาที่ใช้หลอกล่อหมิงอู๋ต่างหาก! ตั้งแต่ลูกศร 3 ดอกแรก การใช้ทักษะของเขา ไปจนถึงตอนสุดท้าย เป้าหมายของโจวเหว่ยชิงคือการทำให้หมิงอู๋เข้าใจผิดคิดว่าพลังปราณสวรรค์ของเขาไม่เหลือแล้ว จากนั้นก็นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดเช่นนี้

ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ นอกเหนือจากทักษะการยิงธนู สิ่งที่โจวเหว่ยชิงได้เรียนรู้มากที่สุดภายใต้การสั่งสอนของมู่เอินและสมาชิกคนอื่นๆ คือธรรมชาติของมนุษย์ รวมถึงปฏิกิริยาตอบสนองของผู้คนต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว

สาเหตุที่สมาชิกของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์กลายเป็นมือสังหารที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้ การที่พวกเขาสามารถกำจัดผู้ที่มีพลังมากกว่าตัวเองได้ก็เป็นเพราะเหตุผลนั้นนั่นเอง! มนุษย์ทุกคนมักมีสามัญสำนึกอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน รวมถึงมีวิธีการคิดที่คล้ายๆ กัน เพราะเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ โจวเหว่ยชิงจึงสามารถสร้างกับดักขึ้นมาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ลงมือทีละขั้นเพื่อชี้นำให้หมิงอู๋ก้าวไปสู่หลุมที่เขาขุดเอาไว้  สิ่งเดียวที่ผิดพลาดก็คือหมิงอู๋ไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดของเขาในการโจมตีครั้งก่อนและไม่ได้ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ ไม่เช่นนั้นโจวเหว่ยชิงก็คงจะมีโอกาสชนะมากยิ่งขึ้น

ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากระยะไกลๆ คนๆ นั้นคือหมิงฮัว เมื่อเธอปรากฏตัว สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกคือกำปั้นของหมิงอู๋ที่กำลังพุ่งผ่านค้อนของโจวเหว่ยชิงไป ส่วนค้อนในมืออีกข้างของโจวเหว่ยชิงก็กำลังฟาดเข้าที่ศีรษะของหมิงอู๋!

หมิงฮัวพลันรู้สึกว่าจิตใจของเธอว่างเปล่า เธอไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าบิดาของเธอที่อยู่ในระดับมณี 9 ดวงจะถูกจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ดวงบังคับให้ต้องใช้ชุดศาสตรามณียุทธ์ของเขา! และไม่เพียงแค่นั้น ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นฝ่ายตั้งรับเสียด้วย! เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?!

ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนว่าหมิงอู๋จะไม่สามารถหลบหนีพ้น เขาพลันระเบิดพลังทั้งหมดของจ้าวมณีสวรรค์มณีระดับเทวะออกมา

หมิงอู๋เค้นพลังทั้งหมดเพื่อให้เขาสามารถขยับศีรษะได้เล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็บังคับร่างของตนให้พยายามเบี่ยงตัวออก การที่พลังปราณสวรรค์ของเขาถูกใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์และร่างกายเสียการทรงตัวเช่นนี้ เขาแทบจะไม่สามารถบิดตัวหนีหรือยกไหล่ขึ้นรองรับแรงปะทะจากค้อนเพื่อหลีกเลี่ยงส่วนศีรษะที่เปราะบางของเขาได้

หากเป็นศาสตรามณียุทธ์ธรรมดาของคนอื่นๆที่กำลังจะปะทะเข้ากับชุดศาสตรามณียุทธ์ของเขา หมิงอู๋ก็คงไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม ณ จุดนี้ ศาสตรามณียุทธ์ของโจวเหว่ยชิงนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ค้อนในมือของเขาถูกสร้างขึ้นโดยอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า อีกทั้งเขาก็ยังอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่าง อย่าลืมว่ายังมีทักษะที่อีกฝ่ายใส่เข้าไปในค้อนนั้นด้วย! ในสถานการณ์เช่นนี้ หมิงอู๋จะไม่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเดิมพันกับมันแน่

*ปัง!* ค้อนอันแรกเป็นของปลอม แต่อันที่ 2 เป็นแรงปะทะที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ มันกระแทกเข้าที่ไหล่ของหมิงอู๋อย่างโหดเหี้ยม

หมิงฮัวอยู่ไกลเกินกว่าที่จะช่วยได้ เธอจึงทำได้เพียงแค่ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ ขณะมองไปที่ฉากน่าเหลือเชื่อตรงหน้า เธอก็ต้องตกตะลึงจนตาค้าง

เมื่อค้อนยักษ์ของโจวเหว่ยชิงกระแทกเข้าที่ไหล่ของหมิงอู๋ โล่แสงสีทองจากชุดเกราะศาสตรามณียุทธ์ของหมิงอู๋ก็ส่องประกายเจิดจ้าราวกับพยายามป้องกันพลังโจมตีจากค้อนยักษ์ของโจวเหว่ยชิง อนิจจา ค้อนยักษ์ที่มีสีเขียวสลับเงินนั้นกลับเปล่งแสงออกมาต่อสู้เช่นกัน ในพริบตานั้น จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังสนั่น ค้อนของเขาสามารถเจาะทะลวงผ่านเกราะป้องกันและกระแทกเข้าที่ไหล่ของหมิงอู๋ได้อย่างแรง!

ด้วยแรงระเบิดครั้งใหญ่นั้น ร่างของหมิงอู๋จึงถูกฝังลงไปในพื้นดิน ลึกลงไปในพื้นหินแข็งๆ ทำให้เกิดเป็นภาพคล้ายปล่องภูเขาไฟกว้างกว่า 10 เมตรบนถนน เศษหินกระจายออกไปทุกหนทุกแห่ง ส่วนชั้นแสงสีทองรอบๆ ร่างของ       หมิงอู๋ก็หรี่ลงจนเกือบจะมอดดับ

ทว่าในฐานะผู้ลงมือ สภาพของโจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้ดูดีไปกว่าอีกฝ่าย ขณะที่ค้อนของเขาฟาดเข้าใส่หมิงอู๋ แรงสะท้อนอันทรงพลังก็ส่งเขาลอยกลับไปอีกฝั่งทันที ฉับพลันนั้นค้อนของเขาก็หายไปกลางอากาศ โจวเหว่ยชิงไม่เหลือพลังปรานสำหรับคงรูปพวกมันอีกต่อไปแล้ว เขากระเด็นไปด้านหลังและกระแทกเข้ากับกำแพงเมืองอย่างจัง จากนั้นก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด

แม้จะมีวิชาเทพอมตะคอยสนับสนุน แต่ในการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวครั้งนี้ โจวเหว่ยชิงก็ถึงกับใช้พลังปราณสวรรค์ไปจนหมดเกลี้ยง ที่การโจมตีครั้งสุดท้ายของเขามีพลังทำลายล้างมหาศาลเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากแค่ค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อันดับแรกเขาใช้ทักษะพายุสลาตันที่กักเก็บจากหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งขณะที่พุ่งเข้าหาหมิงอู๋ แม้พลังหลักๆของมันคือการเพิ่มความเร็วของเป็น 2 เท่า แต่พลังรองของมันกลับเป็นการเพิ่มความแรงของการโจมตีครั้งต่อไปเป็น 2  เท่า! ก่อนหน้านี้หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ลำบากเป็นอย่างมากขณะเผชิญหน้ากับทักษะนี้เมื่อต่อสู้กับราชาหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งวัยผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจที่จะกักเก็บทักษะนี้จากเจ้าหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งตัวน้อยๆ ของเขา ทักษะการระเบิดความเร็วและความแข็งแกร่งอย่างฉับพลันเช่นนี้ หากใช้อย่างเหมาะสมก็อาจกลายเป็นหนึ่งในทักษะการสนับสนุนชั้นยอดได้

ในขณะเดียวกัน อารมณ์ปั่นป่วนที่มาจากการเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่รุนแรงจากหมิงอู๋ รวมถึงการเฝ้าครุ่นคิดถึงความเป็นความตายของตัวเขาและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซ้ำๆ ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็สามารถเปิดใช้สถานะปีศาจกลายร่างได้ นั่นทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า! ทว่านั่นก็ต้องแลกกับการที่พลังปราณสวรรค์ของเขาถูกใช้ไปจนหมดเช่นกัน

ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น แม้ว่าค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนานจะไม่มีหลุมบรรจุมณี แต่มันก็ยังสามารถทำให้พลังของทักษะกักเก็บในตัวจ้าวมณีสวรรค์เพิ่มขึ้นไปอีก 1 ระดับได้

สำหรับทักษะพายุสลาตันที่บรรจุอยู่ในค้อน พวกมันไม่ได้แค่เพิ่มความเร็ว แต่ยังเพิ่มความแข็งแกร่งด้วย แน่นอนว่าสถานะปีศาจกลายร่างไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้อีกแล้ว ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วพลังที่เหลือส่วนสุดท้ายของโจวเหว่ยชิงจึงถูกใช้ไปกับค้อนของเขาเพื่อปลดปล่อยทักษะ 2 ชนิดออกมา ทักษะทั้ง 2 ชนิดนี้มาจากจักรพรรดิสีเงิน หนึ่งคือทักษะกระชากมิติ ส่วนอีกทักษะหนึ่งคือทักษะสะบัดปีกเฉือน เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมค้อนของเขาจึงเปลี่ยนจากสีดำเหลือบทองเป็นสีเขียวผสมเงิน

…………………………

โจวเหว่ยชิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป ทว่าจากคำพูดของหมิงอู๋ สิ่งเดียวที่เขารู้คือหมิงอู๋จะไม่ฆ่าเขาอย่างแน่นอน

ไม่มีทางเลือกอื่นเลยหรือ? ใจของโจวเหว่ยชิงกำลังเต้นแรงอย่างดื้อรั้น เขาไม่อยากตายและไม่อาจตายได้ ความหวังและความฝันของผู้คนจำนวนมากตกอยู่บนบ่าของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากจะสูญเสียอิสรภาพไปเช่นนี้! หลังจากพยายามดิ้นรนหาทางรอดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เขาก็จะไม่ยอมไปกับหมิงอู๋แน่นอน แม้ว่าระดับพลังของพวกเขาจะห่างชั้นกันมาก แต่เขาก็จะต่อสู้เพื่ออิสรภาพของตนเอง!

เมื่อเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลเช่นนี้ ความกระหายเลือดและความเกรี้ยวกราดที่ถูกกดเอาไว้ในสายเลือดของเขาก็ถูกปลดปล่อยออกมา วินาทีนั้นดวงตาของโจวเหว่ยชิงพลันแข็งกร้าวขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

หากโจวเหว่ยชิงตะโกนด่าว่าเขาด้วยความโกรธ หมิงอู๋อาจจะรู้สึกดีขึ้น แต่เมื่ออีกฝ่ายทำเพียงจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ เช่นนี้จึงนับเป็นเรื่องทรมานอย่างหนึ่งสำหรับคนอย่างหมิงอู๋ อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่มีทางเลือกแล้ว พรสวรรค์และพลังแต่กำเนิดที่โจวเหว่ยชิงแสดงออกมาโดดเด่นเกินไป ด้วยนิสัยที่เป็นผู้ใหญ่เกินวัยและความแข็งแกร่งของเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาจะต้องกลายเป็นบุคคลที่ทรงพลังและกลายเป็นขุมอำนาจหนึ่งของโลกแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจรุ่นแรกก็มีความสำคัญต่อนิกายปีศาจสวรรค์มากเกินไป พวกเขาจึงต้องการให้เด็กหนุ่มสืบสายเลือดนี้ต่อไป นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่หมิงอู๋สัญญากับโจวเหว่ยชิงว่าจะมอบหญิงงามจากนิกายให้เขา เพราะท้ายที่สุดแล้วนิกายของพวกเขาก็ต้องการเด็กที่เกิดจากโจวเหว่ยชิงเช่นกัน ไม่ว่าจะมองอย่างไร นิกายปีศาจสวรรค์ก็ไม่อาจปล่อยเขาไปได้ง่ายๆ

ในชั่วพริบตานั้นธนูราชันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในมือของโจวเหว่ยชิง ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากหมิงอู๋เพียง 20 เมตร พลังปราณสวรรค์เข้มข้นของเขาถูกปลดปล่อยออกมา จากนั้นลูกศรโลหะผสมไททาเนียมก็พาดเข้าที่คันธนูและชี้ไปทาง   หมิงอู๋ ด้วยทักษะการยิงธนูของโจวเหว่ยชิง หากเป็นในระยะดังกล่าว แม้แต่หมิงอู๋ก็ยากที่จะหลบพ้น

“ถ้าท่านต้องการให้ข้ายอมจำนนแก่สำนักของท่าน ท่านก็คงจะต้องบังคับข้าด้วยพลังของตัวเองแล้วล่ะ” เสียงของโจวเหว่ยชิงมีกลิ่นอายธาตุปีศาจเจือปนอยู่ ด้วยพลังปรานสวรรค์ที่ไหลเวียนอยู่รอบๆ ร่างกาย ขาขวาของปีศาจของเขาพลันปกคลุมไปด้วยลวดลายของเสือดำ เลือดในกายเดือดพล่านด้วยรังสีสังหารเข้มข้น

มือซ้ายของโจวเหว่ยชิงถือธนูราชันเอาไว้ มณีธาตุทั้ง 2 ดวงของเขาค่อยๆ กลิ้งเข้าไปในหลุมบรรจุมณีอย่างเงียบๆ ก่อเกิดเป็นแสงสว่างวาบขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงหวีดแหลมเสียดหู ในวินาทีนั้นเองลูกศรของโจวเหว่ยชิงก็ถูกยิงออกไปและทะยานเข้าหาหมิงอู๋ราวกับสายฟ้าฟาด

ขณะนี้หมิงอู๋กำลังรู้สึกผิดต่อโจวเหว่ยชิงและไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าเขา สิ่งที่เขาต้องการคือจับโจวเหว่ยชิงกลับไปที่นิกายของตนให้ได้ สำหรับวิธีการโน้มน้าวให้เขายอมรับและเข้าร่วมนิกายนั้น เขาย่อมต้องคิดหาทางจัดการได้ในภายหลัง

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงหยิบธนูราชันออกมา หมิงอู๋ก็จับจ้องไปที่เขาอย่างตั้งใจ ด้วยระดับพลังปราณของเขา ภายในระยะ 1 กิโลเมตร โจวเหว่ยชิงย่อมไม่สามารถหลบหลีกประสาทสัมผัสของเขาได้ แม้โจวเหว่ยชิงจะมีทักษะที่สามารถทำให้ร่างของเขาชะงักได้อย่างน่าแปลกประหลาด แต่เขาก็คิดว่าตนสามารถจับตัวโจวเหว่ยชิงได้อยู่ดีไม่ว่าอีกฝ่ายจะวิ่งไปไกลแค่ไหนในช่วง 3 วินาทีนั้น หากไม่มีกติกาการเดิมพันที่โจวเหว่ยชิงกำหนดเอาไว้ก่อนหน้า ก็ไม่มีทางที่พลังปราณระดับมณี 3 ดวงของเขาจะสามารถต่อกรกับมณีทั้ง 9 ดวงของหมิงอู๋ได้

หมิงอู๋ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าว จากนั้นหมัดขวาของเขาก็พุ่งสวนออกไป การความเร็วในการตอบสนองของเขาเร็วเกินไป แม้ว่าทักษะธาตุและประเภทมณียุทธ์ของเขาจะไม่ใช่ความเร็วหรือความคล่องตัว แต่ด้วยระดับการฝึกฝนของเขา นั่นไม่ใช่สิ่งที่จ้าวมณีธรรมดาจะสามารถเปรียบเทียบได้

เมื่อแสงสีขาวปะทะเข้ากับลูกศรโลหะผสมไททาเนียม ลูกศรดอกนั้นก็สลายไปทันที แม้แต่พลังระเบิดทำลายล้าง 2 เท่าของโจวเหว่ยชิงก็ยังไม่เพียงพอจะทำลายพลังปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพของอีกฝ่ายที่ดูคล้ายของแข็งแต่แท้จริงเป็นภาพลวงตา แม้แต่เสียงปะทุของระเบิดลูกนั้นก็ยังถูกกักเอาไว้อย่างง่ายดายด้วยพลังของหมิงอู๋

ทว่าในช่วงเวลาต่อมาใบหน้าของหมิงอู๋ก็ต้องแข็งค้าง เหตุผลคือเมื่อหมัดของเขาปะทะเข้ากับลูกศรดอกนั้น เขากลับรู้สึกได้ถึงพลังโจมตีจากธาตุสายฟ้าซึ่งแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเขาอยู่ในขณะนี้ หากถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้ แม้จะเป็นคนระดับหมิงอู๋ ร่างของเขาก็ต้องชาหนึบไปชั่วขณะเพราะพลังของทักษะธาตุสายฟ้า ไม่นานแสงสีเงินก็ตามมาห่อหุ้มทั่วทั้งร่างของเขาอย่างรวดเร็ว มันคือทักษะมิติกักขัง!

อันที่จริงการยิงธนูครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นขีดสูงสุดของเขาแล้ว เขาไม่เพียงแต่ใช้ทักษะการยิงธนูที่เป็นเอกลักษณ์ของมู่เอิน แต่ยังใช้ธนูราชันและยังใส่มณีธาตุอีก 2 ดวงเข้าไปในหลุมบรรจุมณีเพื่อให้สามารถใช้ทักษะการควบคุมอีก 2 ชนิดได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากสร้างหลุมบรรจุมณีหลุมที่ 2 นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ทักษะ 2 ชนิดบนธนูราชันพร้อมกันในการต่อสู้จริง ผลลัพธ์ของมันย่อมต้องทรงพลังอย่างแน่นอน

ทักษะฝ่ามืออัสนีบาตระรอกแรกทำให้หมิงอู๋ตกใจและมึนงงไปในเสี้ยววินาที นั่นจึงเปิดโอกาสให้โจวเหว่ยชิงสามารถใช้ทักษะมิติกักขังกักร่างของหมิงอู๋เอาไว้ในเวลาเดียวกัน

แทบจะในทันทีหลังจากที่เขายิงลูกศรดอกแรกออกไป โจวเหว่ยชิงก็ไม่รอช้า ยิงดอกที่ 2 ตามไปทันทีราวกับสายฟ้าฟาด แน่นอนว่าดอกที่ 3 ก็ตามไปติดๆ ภายในครึ่งจังหวะต่อมา โจวเหว่ยชิงไม่ได้พยายามหนีด้วยซ้ำเพราะเขารู้ว่าไม่มีทางหนีรอดไปได้ หรือถึงแม้ว่าเขาจะสามารถหลบหนีไปได้ เขาก็ไม่ทำเช่นนั้นอยู่ดี เพราะหากเขาจากไปเช่นนี้ ด้าน  ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเป็นอย่างไร? ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำได้เพียงแค่พยายามต่อสู้อย่างเต็มที่ด้วยกำลังทั้งหมดที่มีเท่านั้น ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าความพยายามของตนอาจไร้ค่า แต่เขาก็จะยังคงพยายาม…ไม่ว่ามันจะเป็นโอกาสเพียงหนึ่งในหมื่น แต่เขาก็ยังจะพยายามจนกว่าจะตาย!

ในบันทึกของสำนักสวรรค์พิสดารบันทึกเอาไว้ว่าสมาชิกในสำนักเคยสังหารจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 10 ดวงมา ก่อน…แม้โจวเหว่ยชิงจะมีระดับพลังปราณต่ำกว่าสมาชิกคนอื่นๆ แต่พลังโดยรวมของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสมาชิกของสำนักสวรรค์พิสดารคนไหนเลย หากเขาสามารถฆ่าหมิงอู๋ได้ เขาก็จะสามารถพาซ่างกวนปิงเอ๋อร์หลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย

*ปัง!* ใช้เวลาไม่ถึงวินาที ทักษะมิติกักขังก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่การคำนวณของโจวเหว่ยชิงนั้นแทบจะไม่ผิดพลาด ในขณะที่หมิงอู๋ทำลายทักษะมิติกักขัง ลูกศรดอกที่ 2 ของเขาก็พุ่งเข้าหาอีกฝ่ายแล้ว

ลูกธนูที่ถูกเร่งความเร็วนั้นมีพลังทำลายล้างอย่างมหาศาลและหมิงอู๋ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้หมัดอีกข้างเข้าปะทะเพื่อทำลายมัน อย่างไรก็ตาม สีหน้าของหมิงอู๋ก็ต้องแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงอีกครั้ง

หน่วงเวลา…เป็นทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์แบบเดียวกับที่ทำให้เขาแพ้เดิมพันก่อนหน้านี้ที่ปะทะเข้ากับร่างของเขาอีกครั้ง ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์จากจ้าวมณีระดับ 3 ดวงนั้นมีผล 3 วินาที และอย่างที่ถังเซียนเคยกล่าวไว้ในอดีต ทักษะนี้ทรงพลังอย่างมาก ไม่ว่าระดับพลังระหว่างผู้ใช้กับศัตรูจะแตกต่างกันมากแค่ไหน ผลลัพธ์ของมันจะไม่เปลี่ยนแปลง!

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่มาพร้อมกับลูกศรดอกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังมีทักษะโซ่ตรวนวายุด้วย ลูกศรดอกที่ 2 นี้ซุกซ่อนทักษะการควบคุมเอาไว้ถึง 2 ชนิด! และที่สำคัญกว่านั้นคือทั้ง 2 ทักษะนี้เป็นทักษะที่แตกต่างจากทักษะที่ปรากฏในลูกศรดอกแรกโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้ทำให้หมิงอู๋ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย เด็กน้อยคนนี้มีทักษะกักเก็บกี่ชนิดกันแน่?! เขามีมณีธาตุกี่ชนิด?! ตอนนี้แม้แต่หมิงอู๋ก็ยังไม่อาจบอกได้

ด้วยผลของทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ หมิงอู๋จึงไม่สามารถต้านทานทักษะโซ่ตรวนวายุได้ พลังของทักษะนี้จึงส่งผลกับร่างกายของเขาอย่างเต็มที่ นั่นทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้อย่างสิ้นเชิง ทำได้แค่เพียงหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ให้มากขึ้นและปลดปล่อยมันออกมาเพื่อป้องกันร่างกายของตัวเองเอาไว้ หมิงอู๋จ้องเขม็งไปที่โจวเหว่ยชิง เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจะฉวยโอกาสนี้หลบหนีไปเป็นแน่

ทว่าในขณะที่หมิงอู๋กำลังหมุนเวียนพลังปรานสวรรค์ของตนอยู่นั้น ลูกศรดอกที่ 3 ก็มาถึงโดยที่เขาไม่ได้ทันตั้งตัว แต่เมื่อมองไปที่โจวเหว่ยชิง เขาก็พบว่าตอนนี้ใบหน้าของอีกฝ่ายกำลังซีดเผือก แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะมีทักษะกักเก็บมาก มายเนื่องจากมณีธาตุหลากหลายชนิดของเขา แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ทักษะธาตุเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาสั้นๆ ส่งผลให้เขาสูญเสียพลังปราณสวรรค์ไปมากทีเดียว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้โจวเหว่ยชิงไม่อาจสนใจเรื่องนั้นได้เพราะเขารู้ว่านี่คือโอกาสเพียงครั้งเดียวของเขา

ขณะที่ลูกศรดอกที่ 3 พุ่งเข้าหาหมิงอู๋ โจวเหว่ยชิงก็กระโจนออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยขาขวาของปีศาจ แทนที่จะหลบหนีไป เขากลับกำลังพุ่งเข้าหาหมิงอู๋!

*ปัง* เมื่อลูกศรดอกที่ 3 พุ่งเข้าใส่โล่พลังปราณสวรรค์ของหมิงอู๋ เสียงระเบิดขนาดใหญ่ก็ปะทุขึ้น ทว่านั่นกลับทำให้หมิงอู๋แค่ขมวดคิ้วเท่านั้น แม้ว่าจะใช้ทักษะการยิงธนูของมู่เอินควบคู่ไปกับพลังของธนูราชัน ลูกศรดอกนั้นก็ยังไม่สามารถเจาะทะลุผ่านโล่พลังปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพของหมิงอู๋ได้เพราะโล่พลังของเขากำลังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด

ลูกศรดอกที่ 3 นี้ไม่มีทักษะกักเก็บแฝงอยู่เลย มันถูกยิงออกมาโดยใช้ทักษะการยิงธนูของโจวเหว่ยชิงเพียงอย่างเดียว หมิงอู๋อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆ และคิดกับตัวเองว่า เด็กน้อย อย่างไรระดับพลังปราณของเจ้าก็ยังต่ำไปอยู่ดี! หลังจากใช้ทักษะหลายๆ ชนิดต่อเนื่องกันไม่หยุดหย่อน ในที่สุดเจ้าก็ไม่เหลือแรงจะสู้ต่อแล้ว! แต่ถึงแม้เจ้าจะพยายาม แล้วอย่างไรล่ะ? พลังของเจ้าก็ไม่เพียงพอจะทำร้ายข้าได้อยู่แล้ว!

ถึงตอนนี้ผลของทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์และทักษะโซ่ตรวนวายุได้ผ่านช่วงวินาทีแรกไปแล้ว ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงก็ตวัดขาพุ่งเข้ามาหาหมิงอู๋ และในช่วงเวลานั้นอีก1 วินาทีก็ผ่านไป

หมิงอู๋สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของโจวเหว่ยชิงกำลังสว่างไสวไปด้วยแสงสีเขียวจางๆ โจวเหว่ยชิงไม่โจมตีเขาด้วยทักษะธาตุมิติที่ทรงพลัง แต่กลับใช้ทักษะธาตุลม? ดูเหมือนว่าในตอนนี้พลังปราณสวรรค์ของเขาจะเหลือไม่เพียงพอเสียแล้ว เจ้าเด็กนี่โดดเด่นเกินไปจริงๆ…หากข้าจับเขาได้เมื่อไหร่ ในภายภาคหน้าข้าจะต้องปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดีแน่…หวังว่าในที่สุดเขาจะเชื่อฟังและยอมเข้าร่วมกับนิกายของเรา

ตอนนี้หมิงอู๋รู้สึกว่าสถานการณ์ทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาแล้ว เขาจึงหันไปกรุ่นคิดว่าเขาจะเริ่มโน้มน้าวโจวเหว่ยชิงได้อย่างไรแทน ทว่าในเวลาต่อมาสีหน้าของหมิงอู๋ก็ต้องเปลี่ยนไป

เมื่อแสงสีเขียวแผ่ออกมาโอบล้อมรอบร่างของโจวเหว่ยชิง ความเร็วในการพุ่งเข้าหาหมิงอู๋ก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นั่นคือทักษะที่โจวเหว่ยชิงปลดปล่อยออกมาอย่างแน่นอน ในเวลาเดียวกันร่างของเขาก็ไม่ได้พุ่งเข้าหาหมิงอู๋โดยตรง แต่กลับกระโดดขึ้นไปในอากาศแทน จู่ๆ แสงสีดำเหลือบทองก็ส่องประกายออกมาจากร่างกายของเขา ธนูราชันหายไปจากมือของโจวเหว่ยชิงในขณะที่ชั้นแสงนั้นเจิดจ้าขึ้นมาโอบล้อมร่างของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานค้อนคู่ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในมือของโจวเหว่ยชิง

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้สีหน้าของหมิงอู๋เปลี่ยนไป แต่เป็นเพราะตอนนี้ร่างของโจวเหว่ยชิงกำลังถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายของเสือดำ หน้าผากของเขายังมีคำว่า ‘ราชา’ สลักอยู่ อีกทั้งดวงตายังแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอย่างชัดเจน…ทั้งหมดนั้นบ่งบอกได้เพียงอย่างเดียวว่าเขากำลังเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง!

อันที่จริงโจวเหว่ยชิงเพิ่งปลดปล่อยทักษะธาตุลมจากมณีดวงที่ 2 ที่เขากักเก็บมาจากหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็ง ทักษะพายุสลาตัน ในขณะที่เขาใช้ทักษะนี้ ร่างกายของเขากลับเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างไปพร้อมๆ กัน! จู่ๆ ความแข็งแกร่ง พละกำลัง อัตราการดูดกลืนพลังปราณจากชั้นบรรยากาศและความว่องไวของเขาก็พลันเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติถึง 3 เท่า! ที่สำคัญที่สุดคือเขายังมีสติและสามารถควบคุมตัวเองได้ด้วย!

…………………………

นั่นเป็นไปได้อย่างไร? เขาอยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรเชียวนะ! ตอนนี้โจวเหว่ยชิงกำลังตื่นตระหนกมาก ร่างกายของเขากำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศทว่าก็ยังสามารถบิดตัวกลับไปมองได้ สิ่งที่เขาเห็นคือหมิงอู๋กำลังพุ่งเข้าหาเขาและแรงดึงดูดมหาศาลนั้นก็มาจากดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ของอีกฝ่าย

มันคือดอกไม้แห่งยมโลกที่คล้ายกับของหมิงฮัว แต่ดอกไม้ของหมิงอู๋กลับมีขนาดใหญ่กว่าและมีพลังมากกว่าหมิงฮัว 10 เท่า ไม่สิ อาจจะ 100 เท่า! โจวเหว่ยชิงไม่สามารถต้านทานแรงดูดนั้นได้ เขาถูกมันลากกลับไปหาอีกฝ่ายโดยไม่เต็มใจ ด้วยวิธีนี้ หมิงอู๋ก็จะสามารถจับตัวเขาได้ในไม่ช้าแน่นอน

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ต้องยอมเผยพลังทั้งหมดของเขาออกมา มือซ้ายของเขากวาดไปทางด้านหลัง จากนั้นเสียงฉีกขาดของอากาศก็ดังขึ้นพร้อมกับแสงสีเงินเจิดจ้า นั่นก็คือทักษะกระชากมิติ

แน่นอนว่าทักษะกระชากมิตินั้นทรงพลังอย่างมาก ด้วยพลังเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่สามารถรับมือกับพลังดูดกลืนที่แข็งแกร่งของดอกไม้แห่งยมโลกได้อย่างเต็มที่ แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถต้านทานพลังส่วนใหญ่เอาไว้ได้และทำให้โจว เหว่ยชิงสามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกครั้ง ในเวลาเดียวกันเขาใช้ทักษะธาตุมิติอีกชนิด นั่นก็คือทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาที่สามารถส่งร่างของเขาออกไปได้ไกลถึง 10 เมตร เนื่องจากเขามีมณี 3 ชุดแล้ว ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาของเขาจึงพัฒนาขึ้นจากระยะ 3 เมตรเป็น 10 เมตร อีกทั้งเวลาที่ใช้ฟื้นตัวก็น้อยลงเช่นกัน

เขาไม่เพียงแต่ปลดปล่อยทักษะทั้ง 2 ชนิดนี้ออกมา ขณะที่กำลังใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาอยู่ หยกน้ำแข็งดวงแรกของโจวเหว่ยชิงก็เปล่งแสงสว่างออกมาเช่นกัน  ท่ามกลางหมอกน้ำแข็งสีขาวที่ลอยวนอยู่รอบๆ ไม่นานธนูราชันก็ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นในมือของเขา

เหตุผลที่โจวเหว่ยชิงปลดปล่อยธนูราชันออกมาเป็นเพราะเขารู้ดีว่าการพยายามวิ่งหนีนั้นไม่มีประโยชน์ ความหวังเดียวของเขาคือพยายามขัดขวางหมิงอู๋ด้วยการโจมตีเพื่อมองหาโอกาสหลบหนี ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องงัดทั้งทักษะธาตุที่กักเก็บไว้และศาสตรามณียุทธ์ของตนออกมาใช้

ขาขวาของเขาสะบัดออกไปกลางอากาศจากนั้นก็เกิดเสียงระเบิดเปรี้ยงปร้างขึ้น  พริบตานั้นร่างของเขาก็พุ่งทะยานเข้าหากำแพงเมืองอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันเขาก็ง้างธนูราชันขึ้นจนสุดสาย ร่างกายบิดไปมากลางอากาศในขณะที่เขาหมุนคันธนูราชันในมือ สายธนูที่สร้างขึ้นมาจากพลังปรานสวรรค์บริสุทธิ์หมุนวนอยู่รอบๆ ลูกศรโลหะผสมไททาเนียมที่เขาพาดไว้กับสายธนู ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็ปล่อยสายธนูอย่างรวดเร็ว ลูกศรดอกนั้นพลันพุ่งออกไปพร้อมกับเสียงแหวกอากาศที่ดังสนั่นหวั่นไหว

ทักษะการยิงธนูที่โจวเหว่ยชิงใช้เป็นทักษะพิเศษของมู่เอิน นี่คือการหมุนสายธนูเป็นเกลียวขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มอานุภาพของลูกศรและเป็นรูปแบบการบังคับคันธนูที่เป็นเอกลักษณ์ที่ใช้เพื่อปลดปล่อยพลังโจมตีที่ทรงพลังที่สุดออกไปกับลูกศร

มู่เอินเป็นเพียงจ้าวมณียุทธ์ระดับมณี 6 ดวงเท่านั้น แต่เขาสามารถใช้ทักษะการยิงธนูเช่นนี้ทำร้ายอสูรสวรรค์ระดับเทวะให้บาดเจ็บหนักได้ ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่ารูปแบบการยิงธนูของเขาทรงพลังแค่ไหน นอกจากนี้ แม้ว่าพลังปรานสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงจะเทียบไม่ได้กับอาจารย์ของเขา แต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขากลับเหนือกว่ามู่เอินมานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีธนูราชันซึ่งเป็นศาสตรามณียุทธ์ที่ทรงพลังมาก มีเพียงจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถใช้ได้

ลูกศรที่ยิงออกไปโดยวิธีดังกล่าวให้ผลลัพธ์ร้ายกาจอยู่แล้ว ทว่าเมื่อเพิ่มพลังระเบิดทำลายล้างของธนูราชันเข้าไปด้วย นั่นจะทำให้ลูกศรดอกนี้มีพลังโจมตีมากกว่าปกติ หรือก็คือเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า!

ไม่ควรลืมว่าโจวเหว่ยชิงไม่ใช่จ้าวมณีสวรรค์ที่ถนัดต่อสู้ระยะประชิด แต่เขาเป็นนักธนู! แม้ว่าทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของเขาจะค่อนข้างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนาน แต่เขาก็ยังไม่ได้เชี่ยวชาญและไม่ได้ฝึกฝนการใช้งานพวกมันอย่างเต็มที่เหมือนคันธนูที่อยู่ในมือ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าเขาสามารถแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อใช้ธนู

สำหรับหมิงอู๋ การที่เขากล้าให้โจวเหว่ยชิงเริ่มวิ่งนำออกไปก่อนเช่นนี้ เขาเองย่อมมีความมั่นใจว่าจะจับตัวอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ด้วยระดับพลังปราณของเขา หากโจวเหว่ยชิงสามารถเข้าไปในเมืองได้โดยที่เขาไม่สามารถขัดขวางได้ นั่นก็คงจะกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับผู้อื่นแล้ว

หากสถานการณ์ปัจจุบันยังคงดำเนินไปเช่นนี้ ด้วยพลังการดึงดูดที่แข็งแกร่งของดอกไม้แห่งยมโลก อีกไม่กี่อึดใจโจวเหว่ยชิงคงจะต้องถูกดึงมาถึงตัวหมิงอู๋ในระยะ 30 เมตรแล้ว ทันทีที่เป็นเช่นนั้น หมิงอู๋ก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถกำราบโจวเหว่ยชิงได้อย่างอยู่หมัดและบดทำลายความคิดต่อต้านของอีกฝ่ายทิ้งไป

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังคิดว่าทุกอย่างนั้นช่างดำเนินไปได้ด้วยดี  การเปิดใช้ทักษะกระชากมิติอย่างกะทันหันของโจวเหว่ยชิงก็ทำให้เขาต้องประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินเรื่องนี้จากลูกสาวของเขามาก่อน แต่เมื่อได้ประสบกับตัวเอง เขาก็รู้สึกว่านี่มันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง! หมิงอู๋มีความรู้และประสบการณ์มากกว่าหมิงฮัว ดังนั้นเขาจดจำทักษะนี้ได้ แม้ว่าลูกสาวของเขาจะไม่รู้ก็ตาม

ทักษะกระชากมิติของจักรพรรดิสีเงิน!! นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?…ด้วยระดับพลังปราณของเจ้าเด็กเหลือขอนี่ เขาจะกักเก็บทักษะเช่นนี้จากจักรพรรดิสีเงินได้อย่างไร! ทันใดนั้นหมิงอู๋ก็ต้องรู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง  จักรพรรดิสีเงินคือสิ่งใดน่ะหรือ? มันก็คืออสูรสวรรค์ระดับราชา!!! หากพูดตามมุมมองของคนทั่วไปแล้ว  แม้แต่คนที่มีพลังและระดับพลังปราณสูงส่งเช่นหมิงอู๋ แม้เขาจะกลายไปเป็นจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุมิติ เขาก็ยังไม่มีความสามารถมากพอจะกักเก็บทักษะจากจักรพรรดิสีเงินได้อยู่ดี!

เหล่าอสูรสวรรค์นั้นมีการจัดระดับคล้ายกับจ้าวมณีสวรรค์และระยะห่างระหว่างระดับเทวะและระดับราชานั้นกว้างมาก ไม่ใช่แค่ปริมาณพลังที่เพิ่มขึ้น แต่ยังเป็นศักยภาพการต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การเพิ่มระดับในขั้นนี้จึงถือว่าเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมาก จากที่หมิงอู๋รู้ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีจ้าวมณีสวรรค์ที่มีระดับต่ำกว่าราชาคนไหนสามารถกักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับราชาได้! นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย!

ทว่าในเวลาเดียวกันหมิงอู๋ก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขาไม่ได้คิดผิด อีกทั้งนั่นก็ไม่ใช่ภาพลวงตา ทักษะที่โจวเหว่ยชิงใช้เป็นทักษะธาตุมิติของจักรพรรดิสีเงินจริงๆ! ในขณะเดียวกันเขาก็ทราบดีว่าสำนักกักเก็บทักษะเพิ่งจับจักรพรรดิสีเงินได้และต้องเสียเงินไปเป็นจำนวนมากในการทำเช่นนั้น

แม้ความรู้สึกตื่นตกใจและความสับสนจะทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง แต่การกระทำของหมิงอู๋ก็ไม่ได้ช้าลงแม้แต่น้อย แม้ว่าทักษะดอกไม้แห่งยมโลกจะถูกขัดขวางโดยทักษะกระชากมิติ แต่ด้วยระดับพลัง 9 ดวงของเขา เขาก็ยังมั่นใจว่าจะเอาชนะโจวเหว่ยชิงได้ก่อนที่เขาจะหนีไป

ในขณะนั้นเอง ธนูราชันของโจวเหว่ยชิงก็ส่งลูกศรออกมา จู่ๆ หมิงอู๋ก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อมองเห็นพลังในลูกศรที่กำลังพุ่งเข้าหาเขา หากตัดสินด้วยสายตา เขาก็ไม่กล้าปล่อยให้มันโจมตีใส่ร่างของเขาแน่นอน ไม่อย่างนั้น นั่นคงจะสร้างความเสียหายให้กับเขาอย่างหนักหน่วงเป็นแน่

ขณะที่เขากำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ หมิงอู๋ก็เคลื่อนมือขวาออกไปเพื่อใช้ป้องกันตนเอง เขาใช้นิ้วฟาดไปที่ลูกศรในเวลาที่เหมาะเจาะ ในเวลาเดียวกันแสงสีขาวก็ปะทุออกมาจากมือของเขาตรงจุดที่พลังของทั้งคู่ปะทะกัน ค่อยๆ ตรงเข้าไปโอบล้อมพลังระเบิดลูกใหญ่และป้องกันร่างของเขาจากแรงระเบิดเอาไว้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้ใช้ธนูราชันและทักษะการยิงธนูที่น่าทึ่งของเขา โจวเหว่ยชิงก็ยังไม่สามารถทำร้ายหมิงอู๋ได้ ทว่าจู่ๆ ก็มีบางอย่างแปลกประหลาดเกิดขึ้น ในพริบตานั้นร่างกายของหมิงอู๋กลับกำลังแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ! แม้ว่าร่างกายของเขาจะยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยแรงส่งก่อนหน้า แต่ความเร็วก็เปรียบได้กับการก้าวของหอยทากเมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้

เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร?! สีหน้าของหมิงอู๋เปลี่ยนไปเป็นครั้งแรก มีทั้งความตกใจ ความไม่เชื่อ และแม้แต่ความกลัวที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะรู้สึกประหลาดใจกับโจวเหว่ยชิงหลายครั้ง แต่นั่นก็ยังไม่ส่งผลต่อเขามากเช่นครั้งนี้ ขณะที่หมิงอู๋จัดการกับลูกศรระเบิดทำลายล้างก่อนหน้า เขาก็ได้ใช้พลังปราณสวรรค์ของเขาเพื่อสลายพลังที่อยู่ภายในลูกศรไปแล้ว ทว่าเมื่อมันระเบิดขึ้นมาจริงๆ ความแรงของมันกลับส่งผลประทบต่อความเร็วของเขาอย่างน่าตกใจ นั่นทำให้เขาเคลื่อนที่ได้ช้าลงมาก ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขากำลังหมุนเวียนพลังปรานสวรรค์ทั้งหมดของเขาอยู่ด้วย แม้กระทั่งใช้มณีธาตุชีวิตของเขาเข้าช่วย แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขอาการแข็งทื่อของร่างกาย…ซึ่งกินเวลาทั้งหมด 3 วินาทีได้

3 วินาทีอาจดูเหมือนเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่บางครั้งก็อาจดูเหมือนนานมาก ในช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ที่ร้อนระอุเช่นนี้ มันเป็นช่วงเวลาแห่งการตัดสินแพ้ชนะอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม หลังจากยิงธนูออกไปแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้หันไปชายตามองหมิงอู๋เลยด้วยซ้ำ เขาไม่แม้แต่จะหันกลับไปดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ทำแค่เพียงหันหลังกลับแล้วกระแทกเท้าขวาลงกับกำแพงเมืองอย่างแรง ร่างของเขาโผทะยานขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง ในช่วงเวลาสั้นๆ 3 วินาทีเขาก็สามารถกระโจนขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้อย่างรวดเร็วราวกับลมกระโชกแรงสายหนึ่ง หลังจากเขาทำเช่นนั้น เขาก็โบกมือให้หมิงอู๋ก่อนที่จะกระโดดลงไปในเมือง ในเวลาเดียวกันก็ร้องโวยวายออกมาด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาดเพื่อดึงดูดความสนใจและก่อให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่ทหารรักษากำแพงเมือง เขากำลังพยายามสร้างความวุ่นวายขนานใหญ่เพื่อช่วยให้ตนสามารถหลบหนีไปได้

เมื่อ 3 วินาทีสิ้นสุดลง พริบตาต่อมาหมิงอู๋ก็เข้ามาอยู่ในเมืองเฟยหลี่แล้ว ตอนนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดมาก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าโจวเหว่ยชิงใช้ทักษะอะไรทำให้เขาเคลื่อนที่ช้าลงเป็นเวลา 3 วินาที ด้วยความแตกต่างระหว่างระดับพลังปราณของพวกเขา แต่เดิมนี่ควรเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้!

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงเข้าสู่เมืองเฟยหลี่ เขาก็รีบเผ่นหนีเอาชีวิตรอดทันที หัวใจของเขายังคงเต้นรัวด้วยความกลัว ความคิดเดียวของเขาในตอนนี้คือพาซ่างกวนปิงเอ๋อร์หลบหนีออกไปจากเมืองเฟยหลี่ทันที แม้ว่าการเรียนของเขาจะมีความสำคัญ แต่ก็มีนักเรียนที่เขาวางแผนจะชักจูงมาจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่แล้ว  ดังนั้นตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าอิสรภาพของเขาเอง ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่รีบหนี เขาก็อาจจะต้องเผชิญหน้ากับความตายก็ได้

จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็หยุดฝีเท้า เบื้องหน้าของเขามีเงาร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ คนๆ นั้นก็คือหมิงอู๋

ขณะนี้หมิงอู๋ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาพร้อมกับกอดอกและขมวดคิ้ว สายตาของเขาดูสั่นไหวคล้ายกำลังดิ้นรนกับการต่อสู้ภายในจิตใจ

โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ด้วยความประหลาดใจครู่หนึ่ง ก่อนรอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้าของเขาในที่สุด…“ผู้อาวุโส ข้าไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับท่านอีกครั้งเร็วขนาดนี้ ไม่ต้องกังวลไป แม้ว่าข้าจะอายุยังน้อยและระดับพลังปราณต่ำกว่าท่าน แต่ข้าก็เป็นคนที่พูดแล้วไม่คืนคำ ข้าจะไม่เปิดเผยเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับนิกายปีศาจสวรรค์ให้คนอื่นรู้เป็นอันขาด การรักษาสัญญาของข้าคือสิ่งที่ลูกผู้ชายทุกคนต้องทำอยู่แล้ว…”

หมิงอู๋ถอนหายใจและกล่าวว่า “พอแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามเล่นลูกไม้กับข้าอีก  ข้ายอมรับว่าวันนี้เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมากและข้าก็แพ้การเดิมพันระหว่างเรา ข้าไม่เคยคาดคิดว่าเจ้าจะไม่ได้มีเพียงแค่ทักษะกระชากมิติของจักรพรรดิสีเงิน แต่ยังมีทักษะการควบคุมอันทรงพลังที่ข้าไม่รู้จักด้วย! ถ้าข้าเดาไม่ผิด ทักษะธาตุของเจ้าคือธาตุลม มิติ และปีศาจ…อย่างน้อย 3 ทักษะธาตุ!”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ผู้อาวุโส นี่มันก็ดึกมากแล้ว การเดิมพันของเราก็สิ้นสุดลงแล้ว คนหนุ่มอย่างข้าคนนี้จึงต้องขอตัวกลับบ้านไปนอน” เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว

อนิจจา เพียงพริบตาเดียวหมิงอู๋ก็กลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง การแสดงออกบนใบหน้าของอีกฝ่ายดูน่าเกลียดมาก เขาถอนหายใจและพูดว่า “ข้าต้องขอโทษด้วยเจ้าหนุ่ม ข้ากลัวว่าจะต้องผิดคำพูดสักครั้ง เพื่ออนาคตของนิกายของข้า เกียรติยศส่วนตัวของข้าจึงไม่นับว่าเป็นอะไรได้ ข้าเต็มใจที่จะแบกรับชื่อเสียงโฉดชั่วนั้นไว้เอง เฮ้อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็ยังต้องการให้เจ้าเข้าร่วมนิกายปีศาจสวรรค์ในวันนี้ให้จงได้ เจ้ามีความสามารถมากเกินไปและพรสวรรค์ของเจ้าเพียงอย่างเดียวทำให้ข้าสั่นสะท้านแล้ว ข้าเชื่อว่าถ้าเจ้าเข้าร่วมนิกายปีศาจสวรรค์ของเรา ในอนาคตเจ้าจะทำให้นิกายของเรามีเกียรติสูงส่ง”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเบิกกว้างในขณะที่เขาจ้องมองไปที่หมิงอู๋ ในใจพลันรู้สึกสับสน…สถานการณ์ตรงหน้ากลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดหวัง!

สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุดอย่างหมิงอู๋ ด้วยสถานะของเขาในโลกแห่งมณีสวรรค์ เขาถึงกับยอมกลับคำพูดของตนเอง!

การแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่นั้นอาจฟังดูง่าย แต่สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุดเช่นเขา ทุกคนย่อมบอกได้ว่านี่คือเรื่องสาหัสแค่ไหนที่เขายอมทำเช่นนี้? เมื่อมาถึงตอนนี้หัวใจของโจวเหว่ยชิงก็พลันรู้สึกหนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินถ่วงอยู่ เพื่อนิกายของเขา ตอนนี้หมิงอู๋ได้ละทิ้งศักดิ์ศรีของเขาไปแล้ว ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงไม่รู้ว่าตนควรจะทำเช่นไรต่อไปดี

………………………

เมื่อหยกน้ำแข็ง 9 ดวงปรากฏต่อหน้าโจวเหว่ยชิง เขาพลันรู้สึกว่าจิตใจของเขาว่างเปล่าไปโดยสิ้นเชิง

การที่มณีหยกน้ำแข็ง 9 ดวงปรากฏขึ้นพร้อมกันรอบๆ ข้อมือของคนๆ หนึ่ง เขาย่อมรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร นั่นคือจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุด! ในโลกของจ้าวมณีสวรรค์ทั้งหมด ไม่ใช่แค่เขา แต่คนส่วนใหญ่ยังต้องแหงนหน้ามองบุคคลเช่นนี้

โจวเหว่ยชิงมีมณีเพียง 3 ชุดและแม้แต่หมิงฮัวก็มีมณีมากกว่าเขา 1 ชุด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกเขาจะรวมมณีของทั้งคู่เข้าด้วยกัน มณีของพวกเขาก็ยังมีจำนวนน้อยกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขา หมิงอู๋ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแค่จำนวนมณีสวรรค์…หากหมิงฮัวที่มีมณี 4 ดวงยังมีชุดศาสตรามณียุทธ์ได้  จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุดผู้นี้ย่อมต้องมีของดีมากกว่าเธอแน่นอน

หมิงอู๋มองประเมินโจวเหว่ยชิงเงียบๆ ขณะที่เขาปลดปล่อยหยกน้ำแข็งทั้ง 9 ดวงออกมา สายตาของเขาพลันจับจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าและพบว่าแม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่นั่นก็คงอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนที่มันจะหายไป ช่างเป็นชายหนุ่มที่สงบเยือกเย็นจริงๆ

หมิงอู๋ค่อนข้างประหลาดใจกับท่าทางของเขามาก แต่เพียงแค่นั้นก็รู้แล้วว่าโจวเหว่ยชิงมีบางอย่างลึกล้ำกว่าสิ่งที่เขาแสดงออกในฉากหน้า ความสุขุมเยือกเย็นที่มั่นคงเช่นนี้เป็นสิ่งที่เด็กอายุไม่ถึง 30 ไม่มีวันทำได้ แต่ทว่าความกลัวของเขากลับถูกซุกซ่อนเอาไว้อย่างดีภายใต้ใบหน้าเยาว์วัยและเจ้าเล่ห์ของเขา ก่อนหน้านี้เมื่อหมิงฮัวบอกเขาว่าเธอแพ้โจว  เหว่ยชิงผู้ที่ครอบครองมณี 3 ดวง หมิงอู๋ก็รู้สึกประหลาดใจมากอยู่แล้ว   อย่างไรเขาก็รู้ว่าลูกสาวของเขามีพลังมากแค่ไหนเพราะแม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในระดับเดียวกับเธอก็ไม่สามารถเอาชนะเธอได้ ดังนั้นในคืนนี้เขาจึงไม่ได้ส่งคนใต้บังคับบัญชามาจัดการแต่มาที่นี่ด้วยตัวเอง

แน่นอนว่าตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นได้พิสูจน์แล้วว่าเขาคิดถูก หมิงอู๋รู้สึกว่าเขาตัดสินใจถูกต้องที่มาด้วยตัวเองเช่นนี้ แม้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาจะยังไม่ได้ลงมือทำอะไร แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นหลายสิ่งๆ ได้จากคำพูด ท่าทางมั่นใจและการกระทำของโจวเหว่ยชิง เขารู้ในทันทีว่าหากตนส่งลูกน้องใต้บังคับบัญชามา เด็กคนนี้ก็คงจะหนีเอาตัวรอดไปได้แน่ เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่สงสัยเลยว่าโจวเหว่ยชิงจะสามารถหลบหนีไปได้ไกลหลายพันไมล์ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ลงมือและไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาออกตามหาอีกฝ่ายจนเจอแน่ๆ

“เงื่อนไขของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? ในฐานะบิดาคนหนึ่ง ที่ข้าสัญกับเจ้าว่าจะยกลูกสาวให้เป็นนางบำเรอนั้น เจ้าควรจะรู้ว่าข้าตั้งใจเช่นนั้นจริงๆ” น้ำเสียงของหมิงอู๋นั้นลึกล้ำและจริงจัง แรงกดดันจากน้ำเสียงของเขาทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกหนาวสั่นในใจ

เมื่อสูดลมหายใจเข้าลึก โจวเหว่ยชิงก็พลันรู้สึกได้ถึงหลุมดำพลังปราณ ณ จุดตายทั้ง 12 จุดของเขาที่กำลังเริ่มหมุนวนด้วยความเร็วสูงสุดขณะที่พวกมันดึงพลังปรานจากชั้นบรรยากาศเข้ามา เขาพยายามจะคงสภาพที่ดีที่ตนของตนเองเอาไว้เพื่อใช้ในการต่อสู้

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “ผู้อาวุโส เนื่องจากท่านได้เปิดเผยทุกอย่างออกมาแล้ว ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังอีกต่อไป แน่นอน พวกท่านเดาถูกทั้งหมด ข้ามีทักษะธาตุปีศาจและทักษะปีศาจกลายร่างด้วย” ในที่สุดเมื่อทั้งคู่ได้ยินโจวเหว่ยชิงยอมรับออกมา ดวงตาของหมิงอู๋และหมิงฮัวก็สว่างวาบขึ้น แรงกดดันจากหมิงอู๋ก็ดูจะค่อยๆลดน้อยลง

หมิงฮัวกล่าวว่า “หึ ในที่สุดเจ้าก็เต็มใจยอมรับมันแล้ว? ข้าคิดว่าเจ้าจะพยายามปกปิดมันไว้จนชีวิตหาไม่เสียอีก”

“ฮัวฮัว…เงียบซะ…จากนี้ไปหากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า เจ้าห้ามพูด…” หมิงอู๋พูดอย่างราบเรียบไร้อารมณ์ แต่สีหน้าของหมิงฮัวกลับเปลี่ยนไปทันที ถ้ามีจะใครที่เธอกลัว คนๆ นั้นก็คงเป็นบิดาของเธอนั่นแหละ อันที่จริงหมิงฮัวค่อนข้างโกรธและรู้สึกสิ้นหวังมาก ทำไมเธอต้องไปเป็นนางบำเรอของเจ้านี่ด้วย! เมื่อนึกไปถึงเรื่องที่โจวเหว่ยชิงทำให้เธอหงุดหงิด เธอก็อดไม่ได้ที่จะโมโหอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตอนนี้บิดาของเธออยู่ที่นี่ เธอจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อ ไม่เช่นนั้นเธอก็คงจะระเบิดใส่โจวเหว่ยชิงไปนานแล้ว

เมื่อเห็นหมิงฮัวยอมปิดปากอย่างไม่เต็มใจ โจวเหว่ยชิงก็มองเธอด้วยท่าทางเยาะเย้ยและท้าทาย เขาพูดกับหมิงอู๋ “ผู้อาวุโสหมิงอู๋ ดูเหมือนว่าหมิงฮัวจะไม่ชอบข้าจริงๆ! พูดกันตามตรงนะ นางอายุมากเกินกว่าจะเป็นนางบำเรอของข้าแล้ว ท่านดูสิ ข้ายังอายุไม่ถึง 17 ปีด้วยซ้ำ”

“เจ้า…” หมิงฮัวโกรธจัดจนเกือบคลั่ง เธอถูกบังคับให้กลายเป็นนางบำเรอของเขา แต่เขายังกล้าเยาะเย้ยว่าเธอแก่เกินไป?! ไอ้เจ้าสารเลวบัดซบนี่!

ขณะเห็นรังสีสังหารในดวงตาของหมิงฮัว โจวเหว่ยชิงก็ยังคงรักษารอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของเขา อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงหัวใจของเขากำลังรู้สึกหนักอึ้งและค่อนข้างจะผิดหวัง นั่นเป็นเพราะเขาสังเกตเห็นว่าหมิงอู๋ยังคงสงบนิ่งและไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องของหมิงฮัว เขาดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากคำพูดของเขาเลยด้วยซ้ำ ภายใต้การเผชิญหน้ากับจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 9 ดวงที่สามารถสงบสติได้อย่างเยือกเย็นเช่นนี้ เขาไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย

หมิงอู๋ยิ้มและพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่ชอบฮัวฮัวก็ไม่มีปัญหา นิกายของเราเต็มไปด้วยเด็กสาวที่งดงาม เจ้าสามารถชี้นิ้วเลือกได้เลย ทว่าตอนนี้เจ้าต้องให้คำตอบกับข้า…ห้ามเล่นแง่และใช้ลูกไม้กับข้าอีก…นั่นไม่ดีสำหรับเจ้าแน่…ข้าไม่อยากเห็นเด็กหนุ่มที่มีอนาคตไกลเช่นเจ้าตายตั้งแต่อายุน้อยๆ โดยไม่มีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพ”

หัวใจของโจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกหนักอึ้ง ในความเป็นจริง ขณะที่เขายอมรับเกี่ยวกับทักษะธาตุปีศาจของตัวเอง เขาก็กำลังพยายามครุ่นคิดหาหนทางที่ดีที่สุดเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้

ที่เขายอมรับว่าตนเป็นจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจรุ่นแรกก็เพื่อหวังให้หมิงอู๋ละเว้นไม่สังหารเขา หลังจากนั้นเขาก็ยั่วโมโหหมิงฮัวโดยหวังว่าจะได้รับการตอบสนองจากหมิงอู๋และเจอจุดอ่อนหรือโอกาสนี่สามารถนำมาใช้หาผลประโยชน์ได้ เฮ้อ เสียดายที่แผนของเขากลับล้มเหลวไม่เป็นท่า

โจวเหว่ยชิงถอนหายใจและพูดว่า “ดูเหมือนว่าตอนนี้ข้าจะถูกต้อนจนมุมเสียแล้ว…ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ…”

หมิงอู๋ยังคงยิ้ม แต่ไม่ตอบกลับ

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ผู้อาวุโสหมิงอู๋ ข้าเป็นคนที่กลัวความตายมาก อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันข้าก็รักอิสระมากเช่นกัน ข้าเชื่อว่าอาจารย์หมิงฮัวได้บอกท่านเกี่ยวกับเรื่องนั้นแล้ว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักเพื่ออิสรภาพของข้าในโรงเรียนทหารเฟยหลี่…”

หมิงอู๋พยักหน้าและกล่าวว่า “อันที่จริงเสรีภาพนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ถ้าหากเจ้าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เสรีภาพจะนับเป็นอะไรได้? นอกจากนี้ข้ายังสามารถให้สัญญากับเจ้าได้ว่า…ตราบใดที่เจ้ายอมเข้าร่วมนิกายของเรา เราจะไม่มีพันธะผูกมัดเจ้ามากเกินไป มีเพียงกลุ่มคนระดับสูงไม่กี่คนของนิกายเท่านั้นที่จะรู้ถึงการดำรงอยู่ของเจ้าและสามารถให้คำแนะ นำแก่เจ้าได้ หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือใดๆ พวกเราก็สามารถให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าได้”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ และกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับเงื่อนไขของท่าน ผู้อาวุโส ทว่าข้าก็ยังอยากจะลองเสี่ยงดูสักครั้ง เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร ท่านเดิมพันกับข้าดีหรือไม่?”

หมิงอู๋หัวเราะเต็มเสียงและพูดว่า “เจ้าต้องการเดิมพันอะไร?” เขาพบว่าตนเริ่มชอบโจวเหว่ยชิงมากขึ้นทุกที เห็นได้ชัดว่าแม้พลังของพวกเขาจะแตกต่างกันมากขนาดนี้ เขาก็ยังไม่ยอมแพ้และยังพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อหลบหนีไป

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาจนถึงตอนนี้ ข้าอยากจะสัมผัสกับความแข็งแกร่งและพลังของท่านด้วยตัวเอง เดิมพันของข้าคือสิ่งนี้ ข้าจะวิ่งด้วยพละกำลังทั้งหมดของข้าและท่านจะเป็นผู้ไล่ล่า ถ้าหากข้าสามารถหลบหนีเข้าไปยังเมืองหลวงเฟยหลี่ได้ ก็ถือว่าข้าชนะและข้าจะสาบานกับมณีของข้าว่าจะไม่มีวันเปิดเผยทุกอย่างเกี่ยวกับนิกายปีศาจสวรรค์ แต่พวกท่านทุกคนจะต้องไม่บังคับให้ข้าเข้าร่วมนิกาย ถ้าท่านจับข้าได้ ถือว่าข้าแพ้และข้าจะยอมเข้าร่วมกับพวกท่านด้วยตัวเอง”

หมิงอู๋มองเขาด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “หนุ่มน้อย ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจในตัวเองมากทีเดียว เอาล่ะ เนื่องจากเจ้าอยากจะลองเดิมพันดูสักครั้ง เช่นนั้นข้าก็เอาด้วย นอกจากนี้ นี่ยังจะช่วยให้เจ้าได้เรียนรู้ว่าเมื่อความแตกต่างของพลังมีมากเกินไป กลยุทธ์หรือลูกไม้ใดๆ ก็สามารถทำให้เจ้ารอดตัวไปได้ เจ้าเริ่มวิ่งออกไปได้แล้ว ข้าจะเริ่มนับ 1 ถึง 3 แล้วจะตามไป จำคำพูดของตัวเองเอาไว้ให้ดี หลังจากนี้ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าใช้อุบายอะไรอีกแล้ว”

โจวเหว่ยชิงไม่ได้ตอบกลับ เขาไม่รอให้อีกฝ่ายเริ่มนับด้วยซ้ำ เพียงแค่หมุนตัวและพุ่งจากไปทันทีด้วยความเร็วสูงสุด เมื่อต้องเผชิญกับความเป็นความตาย อ้วนน้อยที่รักของเราก็วิ่งออกไปด้วยพลังกายและพลังใจทั้งหมดของเขา บีบเค้นทุกอย่างที่เป็นไปได้ทั้งหมดออกมา มณีธาตุของเขาหมุนไปสู่ส่วนทักษะธาตุลมเพื่อเร่งความเร็ว พลังปราณสวรรค์ทั้งหมดของเขาหมุนเวียนด้วยความเร็วสูงสุดในขณะที่ขาขวาปีศาจของเขาพลันระเบิดพลังส่งตัวเองกระโจนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ร่างของเขาพุ่งออกไปเป็นเส้นตรงมุ่งหน้าสู่เมืองเฟยหลี่ ความเร็วปัจจุบันของเขาเร็วกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ในแง่ของการวิ่งเป็นเส้นตรงเสียอีก และแน่นอนว่านั่นคือความน่าทึ่งของขาขวาปีศาจของเขา

“หนึ่ง…” เสียงของหมิงอู๋ดูเหมือนจะดังอยู่ในหูของโจวเหว่ยชิง ไม่ได้เบาลงเลยสักนิดแม้จะเขาจะวิ่งด้วยความเร็วสูงอยู่ก็ตาม

ทว่าในขณะนั้นหมิงอู๋เองก็ค่อนข้างตกใจเช่นกัน ด้วยสายตาอันแสนเฉียบคมของเขา เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าโจวเหว่ยชิงกำลังใช้ทักษะธาตุลม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาตกใจอย่างแท้จริงคือการระเบิดพลังของขาขวาปีศาจ ดูเหมือนว่าลูกสาวของตนจะไม่ได้พ่ายแพ้แก่โจวเหว่งชิงไปอย่างเสียเปล่า! พลังของจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจรุ่นแรกไม่ใช่สิ่งที่จ้าวมณีสวรรค์ทั่วไปจะสามารถเทียบเคียงได้

ระยะทางจากทะเลสาบถึงเมืองนั้นไม่ไกลมากนัก ด้วยความเร็วของโจวเหว่ยชิง เขาก็เกือบจะมั่นใจว่าตนสามารถไปถึงเมืองได้ก่อนที่หมิงอู๋จะนับถึงสาม เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะต้องหาทางกระโดดข้ามกำแพงเมืองและเขาก็จะชนะในการเดิมพันครั้งนี้ไม่ว่าจะมีใครมาพบเห็นเข้าก็ตาม

“สอง…” น้ำเสียงสงบนิ่งของหมิงอู๋เอ่ยต่ออย่างไร้อารมณ์ อย่างไรก็ตาม ยิ่งหมิงอู๋นิ่งสงบมากเท่าไหร่ หัวใจของ โจวเหว่ยชิงก็ยิ่งหนักอึ้งขึ้นเท่านั้น แม้ว่าเรื่องนี้จะมีโอกาสสำเร็จแค่เพียงเล็กน้อย แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังคงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาอิสรภาพของเขา เหตุผลที่เขาคิดเดิมพันเช่นนี้ก็เป็นเพราะเขาอยากลองดูสักครั้งก็เท่านั้น  ลองหลบหลีกชะตากรรมของตนเองดู อย่างไรเขาก็ยังมีทักษะบางอย่างที่หมิงอู๋ไม่รู้ แม้ว่าเขาจะแพ้ ตามสัญญาหมิงอู๋ก็คงจะไม่ฆ่าเขาทันที

ไม่ช้ากำแพงเมืองเฟยหลี่ก็ปรากฏต่อหน้าเขา โจวเหว่ยชิงพลันส่งพลังทั้งหมดไปที่ขาขวาปีศาจของเขาขณะที่ใช้มันฟาดกระแทกกับถนนอย่างแรง ส่งผลให้ร่างของเขาหมุนขว้างไปข้างหน้าราวกับสายฟ้าฟาด

“สาม” หมิงอู๋นับเลขสุดท้าย เกือบจะในเวลาเดียวกับที่เขาเอ่ยคำสุดท้าย เขาก็กระโจนขึ้นไปในอากาศแล้ว ในจังหวะที่โจวเหว่ยชิงอยู่ห่างจากกำแพงเพียง 70 เมตร เขากระโดดอีกเพียงแค่ไม่กี่ครั้งก็จะถึงกำแพงแล้ว น่าเสียดายที่จู่ๆเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดจากทางด้านหลัง เป็นแรงดึงดูดขนาดใหญ่ที่เขาไม่อาจต้านทานได้

จู่ๆ ร่างของเขาที่กำลังพุ่งเข้าหากำแพงเมืองก็เปลี่ยนทิศทางกลางอากาศโดยไม่ได้ตั้งใจและทะยานถอยหลังออกจากกำแพงด้วยแรงดึงดูดนั้น

……………………………

นั่นเป็นไปได้อย่างไร? เขาอยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรเชียวนะ! ตอนนี้โจวเหว่ยชิงกำลังตื่นตระหนกมาก ร่างกายของเขากำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศทว่าก็ยังสามารถบิดตัวกลับไปมองได้ สิ่งที่เขาเห็นคือหมิงอู๋กำลังพุ่งเข้าหาเขาและแรงดึงดูดมหาศาลนั้นก็มาจากดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ของอีกฝ่าย

มันคือดอกไม้แห่งยมโลกที่คล้ายกับของหมิงฮัว แต่ดอกไม้ของหมิงอู๋กลับมีขนาดใหญ่กว่าและมีพลังมากกว่าหมิงฮัว 10 เท่า ไม่สิ อาจจะ 100 เท่า! โจวเหว่ยชิงไม่สามารถต้านทานแรงดูดนั้นได้ เขาถูกมันลากกลับไปหาอีกฝ่ายโดยไม่เต็มใจ ด้วยวิธีนี้ หมิงอู๋ก็จะสามารถจับตัวเขาได้ในไม่ช้าแน่นอน

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ต้องยอมเผยพลังทั้งหมดของเขาออกมา มือซ้ายของเขากวาดไปทางด้านหลัง จากนั้นเสียงฉีกขาดของอากาศก็ดังขึ้นพร้อมกับแสงสีเงินเจิดจ้า นั่นก็คือทักษะกระชากมิติ

แน่นอนว่าทักษะกระชากมิตินั้นทรงพลังอย่างมาก ด้วยพลังเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่สามารถรับมือกับพลังดูดกลืนที่แข็งแกร่งของดอกไม้แห่งยมโลกได้อย่างเต็มที่ แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถต้านทานพลังส่วนใหญ่เอาไว้ได้และทำให้โจว เหว่ยชิงสามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกครั้ง ในเวลาเดียวกันเขาใช้ทักษะธาตุมิติอีกชนิด นั่นก็คือทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาที่สามารถส่งร่างของเขาออกไปได้ไกลถึง 10 เมตร เนื่องจากเขามีมณี 3 ชุดแล้ว ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาของเขาจึงพัฒนาขึ้นจากระยะ 3 เมตรเป็น 10 เมตร อีกทั้งเวลาที่ใช้ฟื้นตัวก็น้อยลงเช่นกัน

เขาไม่เพียงแต่ปลดปล่อยทักษะทั้ง 2 ชนิดนี้ออกมา ขณะที่กำลังใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาอยู่ หยกน้ำแข็งดวงแรกของโจวเหว่ยชิงก็เปล่งแสงสว่างออกมาเช่นกัน  ท่ามกลางหมอกน้ำแข็งสีขาวที่ลอยวนอยู่รอบๆ ไม่นานธนูราชันก็ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นในมือของเขา

เหตุผลที่โจวเหว่ยชิงปลดปล่อยธนูราชันออกมาเป็นเพราะเขารู้ดีว่าการพยายามวิ่งหนีนั้นไม่มีประโยชน์ ความหวังเดียวของเขาคือพยายามขัดขวางหมิงอู๋ด้วยการโจมตีเพื่อมองหาโอกาสหลบหนี ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องงัดทั้งทักษะธาตุที่กักเก็บไว้และศาสตรามณียุทธ์ของตนออกมาใช้

ขาขวาของเขาสะบัดออกไปกลางอากาศจากนั้นก็เกิดเสียงระเบิดเปรี้ยงปร้างขึ้น  พริบตานั้นร่างของเขาก็พุ่งทะยานเข้าหากำแพงเมืองอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันเขาก็ง้างธนูราชันขึ้นจนสุดสาย ร่างกายบิดไปมากลางอากาศในขณะที่เขาหมุนคันธนูราชันในมือ สายธนูที่สร้างขึ้นมาจากพลังปรานสวรรค์บริสุทธิ์หมุนวนอยู่รอบๆ ลูกศรโลหะผสมไททาเนียมที่เขาพาดไว้กับสายธนู ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็ปล่อยสายธนูอย่างรวดเร็ว ลูกศรดอกนั้นพลันพุ่งออกไปพร้อมกับเสียงแหวกอากาศที่ดังสนั่นหวั่นไหว

ทักษะการยิงธนูที่โจวเหว่ยชิงใช้เป็นทักษะพิเศษของมู่เอิน นี่คือการหมุนสายธนูเป็นเกลียวขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มอานุภาพของลูกศรและเป็นรูปแบบการบังคับคันธนูที่เป็นเอกลักษณ์ที่ใช้เพื่อปลดปล่อยพลังโจมตีที่ทรงพลังที่สุดออกไปกับลูกศร

มู่เอินเป็นเพียงจ้าวมณียุทธ์ระดับมณี 6 ดวงเท่านั้น แต่เขาสามารถใช้ทักษะการยิงธนูเช่นนี้ทำร้ายอสูรสวรรค์ระดับเทวะให้บาดเจ็บหนักได้ ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่ารูปแบบการยิงธนูของเขาทรงพลังแค่ไหน นอกจากนี้ แม้ว่าพลังปรานสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงจะเทียบไม่ได้กับอาจารย์ของเขา แต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขากลับเหนือกว่ามู่เอินมานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีธนูราชันซึ่งเป็นศาสตรามณียุทธ์ที่ทรงพลังมาก มีเพียงจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถใช้ได้

ลูกศรที่ยิงออกไปโดยวิธีดังกล่าวให้ผลลัพธ์ร้ายกาจอยู่แล้ว ทว่าเมื่อเพิ่มพลังระเบิดทำลายล้างของธนูราชันเข้าไปด้วย นั่นจะทำให้ลูกศรดอกนี้มีพลังโจมตีมากกว่าปกติ หรือก็คือเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า!

ไม่ควรลืมว่าโจวเหว่ยชิงไม่ใช่จ้าวมณีสวรรค์ที่ถนัดต่อสู้ระยะประชิด แต่เขาเป็นนักธนู! แม้ว่าทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของเขาจะค่อนข้างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนาน แต่เขาก็ยังไม่ได้เชี่ยวชาญและไม่ได้ฝึกฝนการใช้งานพวกมันอย่างเต็มที่เหมือนคันธนูที่อยู่ในมือ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าเขาสามารถแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อใช้ธนู

สำหรับหมิงอู๋ การที่เขากล้าให้โจวเหว่ยชิงเริ่มวิ่งนำออกไปก่อนเช่นนี้ เขาเองย่อมมีความมั่นใจว่าจะจับตัวอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ด้วยระดับพลังปราณของเขา หากโจวเหว่ยชิงสามารถเข้าไปในเมืองได้โดยที่เขาไม่สามารถขัดขวางได้ นั่นก็คงจะกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับผู้อื่นแล้ว

หากสถานการณ์ปัจจุบันยังคงดำเนินไปเช่นนี้ ด้วยพลังการดึงดูดที่แข็งแกร่งของดอกไม้แห่งยมโลก อีกไม่กี่อึดใจโจวเหว่ยชิงคงจะต้องถูกดึงมาถึงตัวหมิงอู๋ในระยะ 30 เมตรแล้ว ทันทีที่เป็นเช่นนั้น หมิงอู๋ก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถกำราบโจวเหว่ยชิงได้อย่างอยู่หมัดและบดทำลายความคิดต่อต้านของอีกฝ่ายทิ้งไป

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังคิดว่าทุกอย่างนั้นช่างดำเนินไปได้ด้วยดี  การเปิดใช้ทักษะกระชากมิติอย่างกะทันหันของโจวเหว่ยชิงก็ทำให้เขาต้องประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินเรื่องนี้จากลูกสาวของเขามาก่อน แต่เมื่อได้ประสบกับตัวเอง เขาก็รู้สึกว่านี่มันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง! หมิงอู๋มีความรู้และประสบการณ์มากกว่าหมิงฮัว ดังนั้นเขาจดจำทักษะนี้ได้ แม้ว่าลูกสาวของเขาจะไม่รู้ก็ตาม

ทักษะกระชากมิติของจักรพรรดิสีเงิน!! นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?…ด้วยระดับพลังปราณของเจ้าเด็กเหลือขอนี่ เขาจะกักเก็บทักษะเช่นนี้จากจักรพรรดิสีเงินได้อย่างไร! ทันใดนั้นหมิงอู๋ก็ต้องรู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง  จักรพรรดิสีเงินคือสิ่งใดน่ะหรือ? มันก็คืออสูรสวรรค์ระดับราชา!!! หากพูดตามมุมมองของคนทั่วไปแล้ว  แม้แต่คนที่มีพลังและระดับพลังปราณสูงส่งเช่นหมิงอู๋ แม้เขาจะกลายไปเป็นจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุมิติ เขาก็ยังไม่มีความสามารถมากพอจะกักเก็บทักษะจากจักรพรรดิสีเงินได้อยู่ดี!

เหล่าอสูรสวรรค์นั้นมีการจัดระดับคล้ายกับจ้าวมณีสวรรค์และระยะห่างระหว่างระดับเทวะและระดับราชานั้นกว้างมาก ไม่ใช่แค่ปริมาณพลังที่เพิ่มขึ้น แต่ยังเป็นศักยภาพการต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การเพิ่มระดับในขั้นนี้จึงถือว่าเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมาก จากที่หมิงอู๋รู้ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีจ้าวมณีสวรรค์ที่มีระดับต่ำกว่าราชาคนไหนสามารถกักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับราชาได้! นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย!

ทว่าในเวลาเดียวกันหมิงอู๋ก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขาไม่ได้คิดผิด อีกทั้งนั่นก็ไม่ใช่ภาพลวงตา ทักษะที่โจวเหว่ยชิงใช้เป็นทักษะธาตุมิติของจักรพรรดิสีเงินจริงๆ! ในขณะเดียวกันเขาก็ทราบดีว่าสำนักกักเก็บทักษะเพิ่งจับจักรพรรดิสีเงินได้และต้องเสียเงินไปเป็นจำนวนมากในการทำเช่นนั้น

แม้ความรู้สึกตื่นตกใจและความสับสนจะทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง แต่การกระทำของหมิงอู๋ก็ไม่ได้ช้าลงแม้แต่น้อย แม้ว่าทักษะดอกไม้แห่งยมโลกจะถูกขัดขวางโดยทักษะกระชากมิติ แต่ด้วยระดับพลัง 9 ดวงของเขา เขาก็ยังมั่นใจว่าจะเอาชนะโจวเหว่ยชิงได้ก่อนที่เขาจะหนีไป

ในขณะนั้นเอง ธนูราชันของโจวเหว่ยชิงก็ส่งลูกศรออกมา จู่ๆ หมิงอู๋ก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อมองเห็นพลังในลูกศรที่กำลังพุ่งเข้าหาเขา หากตัดสินด้วยสายตา เขาก็ไม่กล้าปล่อยให้มันโจมตีใส่ร่างของเขาแน่นอน ไม่อย่างนั้น นั่นคงจะสร้างความเสียหายให้กับเขาอย่างหนักหน่วงเป็นแน่

ขณะที่เขากำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ หมิงอู๋ก็เคลื่อนมือขวาออกไปเพื่อใช้ป้องกันตนเอง เขาใช้นิ้วฟาดไปที่ลูกศรในเวลาที่เหมาะเจาะ ในเวลาเดียวกันแสงสีขาวก็ปะทุออกมาจากมือของเขาตรงจุดที่พลังของทั้งคู่ปะทะกัน ค่อยๆ ตรงเข้าไปโอบล้อมพลังระเบิดลูกใหญ่และป้องกันร่างของเขาจากแรงระเบิดเอาไว้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้ใช้ธนูราชันและทักษะการยิงธนูที่น่าทึ่งของเขา โจวเหว่ยชิงก็ยังไม่สามารถทำร้ายหมิงอู๋ได้ ทว่าจู่ๆ ก็มีบางอย่างแปลกประหลาดเกิดขึ้น ในพริบตานั้นร่างกายของหมิงอู๋กลับกำลังแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ! แม้ว่าร่างกายของเขาจะยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยแรงส่งก่อนหน้า แต่ความเร็วก็เปรียบได้กับการก้าวของหอยทากเมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้

เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร?! สีหน้าของหมิงอู๋เปลี่ยนไปเป็นครั้งแรก มีทั้งความตกใจ ความไม่เชื่อ และแม้แต่ความกลัวที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะรู้สึกประหลาดใจกับโจวเหว่ยชิงหลายครั้ง แต่นั่นก็ยังไม่ส่งผลต่อเขามากเช่นครั้งนี้ ขณะที่หมิงอู๋จัดการกับลูกศรระเบิดทำลายล้างก่อนหน้า เขาก็ได้ใช้พลังปราณสวรรค์ของเขาเพื่อสลายพลังที่อยู่ภายในลูกศรไปแล้ว ทว่าเมื่อมันระเบิดขึ้นมาจริงๆ ความแรงของมันกลับส่งผลประทบต่อความเร็วของเขาอย่างน่าตกใจ นั่นทำให้เขาเคลื่อนที่ได้ช้าลงมาก ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขากำลังหมุนเวียนพลังปรานสวรรค์ทั้งหมดของเขาอยู่ด้วย แม้กระทั่งใช้มณีธาตุชีวิตของเขาเข้าช่วย แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขอาการแข็งทื่อของร่างกาย…ซึ่งกินเวลาทั้งหมด 3 วินาทีได้

3 วินาทีอาจดูเหมือนเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่บางครั้งก็อาจดูเหมือนนานมาก ในช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ที่ร้อนระอุเช่นนี้ มันเป็นช่วงเวลาแห่งการตัดสินแพ้ชนะอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม หลังจากยิงธนูออกไปแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้หันไปชายตามองหมิงอู๋เลยด้วยซ้ำ เขาไม่แม้แต่จะหันกลับไปดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ทำแค่เพียงหันหลังกลับแล้วกระแทกเท้าขวาลงกับกำแพงเมืองอย่างแรง ร่างของเขาโผทะยานขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง ในช่วงเวลาสั้นๆ 3 วินาทีเขาก็สามารถกระโจนขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้อย่างรวดเร็วราวกับลมกระโชกแรงสายหนึ่ง หลังจากเขาทำเช่นนั้น เขาก็โบกมือให้หมิงอู๋ก่อนที่จะกระโดดลงไปในเมือง ในเวลาเดียวกันก็ร้องโวยวายออกมาด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาดเพื่อดึงดูดความสนใจและก่อให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่ทหารรักษากำแพงเมือง เขากำลังพยายามสร้างความวุ่นวายขนานใหญ่เพื่อช่วยให้ตนสามารถหลบหนีไปได้

เมื่อ 3 วินาทีสิ้นสุดลง พริบตาต่อมาหมิงอู๋ก็เข้ามาอยู่ในเมืองเฟยหลี่แล้ว ตอนนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดมาก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าโจวเหว่ยชิงใช้ทักษะอะไรทำให้เขาเคลื่อนที่ช้าลงเป็นเวลา 3 วินาที ด้วยความแตกต่างระหว่างระดับพลังปราณของพวกเขา แต่เดิมนี่ควรเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้!

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงเข้าสู่เมืองเฟยหลี่ เขาก็รีบเผ่นหนีเอาชีวิตรอดทันที หัวใจของเขายังคงเต้นรัวด้วยความกลัว ความคิดเดียวของเขาในตอนนี้คือพาซ่างกวนปิงเอ๋อร์หลบหนีออกไปจากเมืองเฟยหลี่ทันที แม้ว่าการเรียนของเขาจะมีความสำคัญ แต่ก็มีนักเรียนที่เขาวางแผนจะชักจูงมาจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่แล้ว  ดังนั้นตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าอิสรภาพของเขาเอง ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่รีบหนี เขาก็อาจจะต้องเผชิญหน้ากับความตายก็ได้

จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็หยุดฝีเท้า เบื้องหน้าของเขามีเงาร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ คนๆ นั้นก็คือหมิงอู๋

ขณะนี้หมิงอู๋ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาพร้อมกับกอดอกและขมวดคิ้ว สายตาของเขาดูสั่นไหวคล้ายกำลังดิ้นรนกับการต่อสู้ภายในจิตใจ

โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ด้วยความประหลาดใจครู่หนึ่ง ก่อนรอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้าของเขาในที่สุด…“ผู้อาวุโส ข้าไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับท่านอีกครั้งเร็วขนาดนี้ ไม่ต้องกังวลไป แม้ว่าข้าจะอายุยังน้อยและระดับพลังปราณต่ำกว่าท่าน แต่ข้าก็เป็นคนที่พูดแล้วไม่คืนคำ ข้าจะไม่เปิดเผยเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับนิกายปีศาจสวรรค์ให้คนอื่นรู้เป็นอันขาด การรักษาสัญญาของข้าคือสิ่งที่ลูกผู้ชายทุกคนต้องทำอยู่แล้ว…”

หมิงอู๋ถอนหายใจและกล่าวว่า “พอแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามเล่นลูกไม้กับข้าอีก  ข้ายอมรับว่าวันนี้เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมากและข้าก็แพ้การเดิมพันระหว่างเรา ข้าไม่เคยคาดคิดว่าเจ้าจะไม่ได้มีเพียงแค่ทักษะกระชากมิติของจักรพรรดิสีเงิน แต่ยังมีทักษะการควบคุมอันทรงพลังที่ข้าไม่รู้จักด้วย! ถ้าข้าเดาไม่ผิด ทักษะธาตุของเจ้าคือธาตุลม มิติ และปีศาจ…อย่างน้อย 3 ทักษะธาตุ!”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ผู้อาวุโส นี่มันก็ดึกมากแล้ว การเดิมพันของเราก็สิ้นสุดลงแล้ว คนหนุ่มอย่างข้าคนนี้จึงต้องขอตัวกลับบ้านไปนอน” เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว

อนิจจา เพียงพริบตาเดียวหมิงอู๋ก็กลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง การแสดงออกบนใบหน้าของอีกฝ่ายดูน่าเกลียดมาก เขาถอนหายใจและพูดว่า “ข้าต้องขอโทษด้วยเจ้าหนุ่ม ข้ากลัวว่าจะต้องผิดคำพูดสักครั้ง เพื่ออนาคตของนิกายของข้า เกียรติยศส่วนตัวของข้าจึงไม่นับว่าเป็นอะไรได้ ข้าเต็มใจที่จะแบกรับชื่อเสียงโฉดชั่วนั้นไว้เอง เฮ้อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็ยังต้องการให้เจ้าเข้าร่วมนิกายปีศาจสวรรค์ในวันนี้ให้จงได้ เจ้ามีความสามารถมากเกินไปและพรสวรรค์ของเจ้าเพียงอย่างเดียวทำให้ข้าสั่นสะท้านแล้ว ข้าเชื่อว่าถ้าเจ้าเข้าร่วมนิกายปีศาจสวรรค์ของเรา ในอนาคตเจ้าจะทำให้นิกายของเรามีเกียรติสูงส่ง”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเบิกกว้างในขณะที่เขาจ้องมองไปที่หมิงอู๋ ในใจพลันรู้สึกสับสน…สถานการณ์ตรงหน้ากลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดหวัง!

สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุดอย่างหมิงอู๋ ด้วยสถานะของเขาในโลกแห่งมณีสวรรค์ เขาถึงกับยอมกลับคำพูดของตนเอง!

การแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่นั้นอาจฟังดูง่าย แต่สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุดเช่นเขา ทุกคนย่อมบอกได้ว่านี่คือเรื่องสาหัสแค่ไหนที่เขายอมทำเช่นนี้? เมื่อมาถึงตอนนี้หัวใจของโจวเหว่ยชิงก็พลันรู้สึกหนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินถ่วงอยู่ เพื่อนิกายของเขา ตอนนี้หมิงอู๋ได้ละทิ้งศักดิ์ศรีของเขาไปแล้ว ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงไม่รู้ว่าตนควรจะทำเช่นไรต่อไปดี

…………………………

เมื่อเห็นหมิงฮัวอ้อนวอน โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจอ่อน เขาลดเข่าลงและขยับมือกลับไปก่อนจะกระโจนหนีอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากจะถูกหมิงฮัวทุบตีหลังจากเธอฟื้นคืนสติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดนเตะ ‘ตรงนั้น’

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงกระโจนหนี หมิงฮัวก็ทรุดลงไปกับกำแพงพลางหอบหายใจเข้าลึก

แม้ว่าจะอยู่ในความมืด แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังคงรู้สึกได้ว่าอากาศรอบๆ ตัวกำลังเย็นขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นรังสีแห่งการฆ่าฟันก็ค่อยๆ พวยพุ่งออกมาจากร่างของเขาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าไม่ได้บอกว่ามีทางออกหรอกรึ เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ออกไปล่ะ?” เขาพูดอย่างสงสัย…อันที่จริง…เมื่อพูดถึงการแสดงละครและการแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นั้นโจวเหว่ยชิงจัดว่าอยู่ในขั้นปรมาจารย์เลยทีเดียว

หมิงฮัวหายใจเข้าลึกๆ อีก2-3ครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ ยันกำแพงลุกขึ้น เสียงกัดฟันดังออกมาชัดเจน แต่สุดท้ายเธอก็สามารถลุกขึ้นยืนได้ เธอฟาดมือขวากระแทกเข้ากับกำแพงเสียงดัง จากนั้นที่ด้านบนของผนังก็ปรากฏรูขึ้น แสงจากดวงจันทร์ภายนอกสาดส่องเข้ามาทำให้ภายในอุโมงค์สว่างขึ้นทันตาเห็น

โจวเหว่ยชิงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้ใบหน้าของหมิงฮัวกลายเป็นสีแดงเข้มเหมือนผลแอปเปิ้ลสุก…แม้ว่าเธอจะกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างโกรธเกรี้ยวก็ตาม

หลังจากพักไม่นานหมิงฮัวก็ค่อยๆ ฟื้นคืนกำลัง เธอกดมือบนกำแพง ใช้ขาหมุนกระแทกพื้น จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปยังทางออก

โจวเหว่ยชิงไม่กล้าชักช้า เขารีบกระโจนตามเธอออกไป

ทันทีที่พวกเขาออกจากอุโมงค์แห่งนี้ไปได้  ใบหน้าก็ปะทะเข้ากับสายลมกรรโชกแรง อากาศภายนอกนั้นบริสุทธิ์และเจือไปด้วยกลิ่นของน้ำสะอาด พวกเขาเพิ่งจะพบกับทะเลสาบสีฟ้างดงามที่อยู่เบื้องหน้า

ทะเลสาบที่ดูเหมือนจะไร้ขอบเขตนี้กำลังส่องแสงเป็นประกายภายใต้แสงจันทร์ ระลอกคลื่นที่พลิ้วไหวทำให้เกิดแสงระยิบระยับบนผิวน้ำ ทั้งหมดนี้ราวกับว่าเป็นภาพวาดที่ขยับเคลื่อนไหวได้

ทะเลสาบขนาดใหญ่เช่นนี้แน่นอนว่าจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากทะเลสาบเฟยหลี่ที่ตั้งอยู่นอกเมืองเฟยหลี่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาออกมาจากกำแพงฝั่งตะวันออกของเมืองเฟยหลี่แล้ว

ทะเลสาบเฟยหลี่อยู่ห่างจากเมืองเฟยหลี่เพียงไม่กี่ร้อยเมตรและน้ำในทะเลสาบก็ยังถูกดึงเข้าไปข้างในเมืองด้วยคูน้ำ เมื่อออกจากเมืองก็สามารถไปถึงทะเลสาบได้โดยผ่านป่าเล็กๆ ที่ล้อมรอบอยู่ริมทะเลสาบ ในยามค่ำคืนที่นี่เงียบมาก สายลมยามวิกาลได้พัดเอาอากาศชื้นเข้าสู่ใบหน้าของพวกเขา ทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่งเบาสบาย

เมื่อเทียบกับท่าท่างสดชื่นและกระฉับกระเฉงของเขาตอนนี้ หมิงฮัวกลับรู้สึกราวกับว่าเธออยากจะฆ่าเขาให้ได้ สายลมเย็นๆ แบบเดียวกันกลับทำให้รู้สึกหนาวเหน็บแทน

“ข้ารู้ว่าข้าทั้งหล่อเหล่าและสง่างาม แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องจ้องข้าขนาดนี้ก็ได้…เจ้ามีอะไรจะพูด…ก็รีบพูดมา เถอะ” โจวเหว่ยชิงเดินไปที่ริมทะเลสาบและนั่งลงบนก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง

“ข้ารู้สึกอยากจะทุบเจ้าให้เป็นเศษเล็กเศษน้อยจริงๆ…” หมิงฮัวพูดอย่างโกรธๆ แม้ว่าการต่อสู้เมื่อวานนี้จะทำให้เธอเกือบตาย แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเขาอย่างที่คิด

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างหมดหนทาง “มันเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของข้า ยังไงข้าก็ต้องทำเพื่อความปลอดภัยของตัวเองไว้ก่อนอยู่แล้ว จู่ๆ เจ้าก็หันกลับมาและยื่นมือมาหาข้า เจ้าคิดว่าข้าจะควรจะทำยังไงล่ะ? ใครใช้ให้เจ้าไม่ส่งเสียงบอกข้าก่อน แถมยังจะมาโทษข้าอีก? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกี้เป็นแค่การสัมผัสเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เจ้าจะทำเป็นเรื่องใหญ่โตไปทำไม?”

สัมผัสเพียงเล็กๆ น้อยๆ? นั่นเป็นการสัมผัสกันเพียงเล็กน้อย? แม้ในตอนนี้หมิงฮัวก็ยังคงรู้สึกราวกับว่ามือของเขายังสัมผัสอยู่ที่บั้นท้ายของเธอ ลูบคลำก้นข้าตั้งหลายครั้ง! หึ! ยังกล้าเรียกมันว่าการสัมผัสเพียงเล็กๆ น้อยๆ? นี่ยังไม่รวมการสัมผัสแนบชิดระหว่างพวกเขาทั้งคู่ด้วย!

“โจวเหว่ยชิง เจ้าเป็นคนไร้ยางอายที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาในชีวิต!” หมิงฮัวพูดพลางกัดฟัน

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับคำชม แต่เจ้าไม่ใช่คนแรกที่พูดแบบนั้นและแน่นอนว่าจะไม่ใช่คนสุดท้าย รีบว่าธุระของเจ้ามาเถอะ…ข้าอยากจะกลับไปนอนฝันหวานเต็มแก่แล้ว” ภายนอกเขาดูผ่อนคลายและมีท่าทีสบายๆ แต่ความจริงแล้วประสาทสัมผัสของเขาถูกขึงจนตึงเปรี๊ยะ เขาพยายามที่จะสัมผัสว่ามีสิ่งผิดปกติอยู่รอบๆ หรือไม่ พร้อมทั้งระมัดระวังการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้น หากหมิงฮัวกล้าหลอกล่อเขาออกมาที่นี่คนเดียว เธอคงต้องเตรียมการอะไรบางอย่างไว้แล้วแน่ๆ แม้ว่าบางทีเธออาจไม่ได้มีเจตนาร้ายจริงๆ แต่ก็เป็นไปได้ที่เธออาจมีอุบายบางอย่าง แม้กระทั่งอาจถึงขั้นดักซุ่มโจมตีเขา

โชคดีที่แม้จะพยายามเต็มที่ แต่เขาก็สัมผัสถึงอย่างอื่นไม่ได้เลย เขาจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย มีเพียงหมิงฮัวคนเดียวที่อยู่แถวนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อเขาเท่าไหร่นัก

ในที่สุดหมิงฮัวก็สงบสติอารมณ์ลง เธอเอ่ยอย่างเย็นชา “มาเผยไพ่ของแต่ละคนออกมาเถอะ แม้ข้าจะยังไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีไหนซ่อนมณีธาตุเอาไว้ แต่ข้าก็มั่นใจมากว่าเจ้ามีทักษะธาตุอื่นๆ นอกเหนือจากทักษะธาตุมิติ เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งปฏิเสธข้า ให้ข้าพูดให้จบก่อน…”

“ในโลกของจ้าวมณีสวรรค์ มีบุคคลที่ไม่เหมือนใครอยู่มากมาย…เมื่อมณีสวรรค์ของพวกเขาตื่นขึ้นหรืออาจจะเพิ่มระดับขึ้น มณีสวรรค์ของพวกเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดบางอย่าง ก่อให้เกิดเป็นลักษณะที่น่าเหลือเชื่อบางประการซึ่งหาได้ยากมาก เนื่องจากจ้าวมณีธรรมดาหวาดกลัวทักษะธาตุนี้มาก พวกเขาจึงเรียกทักษะธาตุที่ให้สัมผัสเย็นยะเยือกเช่นนี้ว่าทักษะธาตุปีศาจ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทักษะธาตุนี้อาจจะดูแปลกประหลาด ชวนให้ขนลุก หรือดูชั่วร้ายไปบ้าง แต่ก็มันไม่ได้เลวร้ายไปซะทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะของมันที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อโดยไม่ตั้งใจและไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าของร่าง ด้วยเหตุนี้ การใช้คำว่า ‘ปีศาจ’ มาอธิบายพวกเขาจึงไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่มีทักษะธาตุเช่นนั้น…ข้าจึงเรียกพวกเขาว่า ‘อมนุษย์’ [1]

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “เจ้ากำลังพูดถึงจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจซึ่งถูกจัดอยู่ในรายชื่อกลุ่มคนที่สำนักกักเก็บทักษะทั้งโลกต้องการไล่ล่า มีข่าวลือหรือไม่ใช่หรือว่าจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจที่ชั่วร้ายเหล่านี้ต้องใช้เครื่องสังเวยเมื่อมณีของพวกเขาตื่นขึ้นมา พวกเขาหลายคนยังต้องเสียสละครอบครัวหรือคนที่รักไป นั่นทำให้จิตใจของพวกเขาบิดเบี้ยวไปมากและยังก่อปัญหาไปทั่วทั้งทวีป…แต่ทำไมเวลาที่เจ้าพูดถึงพวกเขากลับดูเหมือนว่าพวกเขากำลังถูกปองร้าย?”

ดวงตาของหมิงฮัวเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่เธอกล่าวว่า “แน่นอนว่านั่นเป็นการให้ร้ายพวกเขา สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดมาเป็นเพียงคำบอกเล่าของคนอื่นและเจ้ายังไม่รู้ความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการหมายหัวของสำนักกักเก็บทักษะต่างๆ อันที่จริงสิ่งที่เจ้าพูดก็คือความจริงทั้งหมด แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน! มีเพียงจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจรุ่นแรกเท่านั้นที่จะเป็นเช่นนั้นเมื่อพวกเขาปลุกทักษะธาตุในมณีขึ้นมาเป็นครั้งแรก ทักษะธาตุเหล่านี้สามารถส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เมื่อลูกหลานของพวกเขาปลุกมณีสวรรค์หรือเลื่อนระดับมณีขึ้น พวกเขาจะเตรียมคนที่จะมาเป็นสามีหรือภรรยาของลูกหลานในอนาคตไว้ให้ก่อนแล้ว เมื่อคนเหล่านั้นต้องการเครื่องสังเวย บุคคลที่เตรียมไว้จะถูกนำมามอบให้พวกเขาและท้ายที่สุดพวกเขาก็จะสามารถรอดชีวิตไปได้ในช่วงเวลาสุดท้าย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะนิสัยหรือถูกความชั่วร้ายใดๆ ครอบงำเหมือนในข่าวลือพวกนั้นหรอก”

“โอ้? นั่นหมายความว่าการปลุกพลังของจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในช่วงที่มณีสวรรค์ตื่นขึ้นครั้งแรกเท่านั้น!? นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่ข้าเคยได้ยิน…” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างไม่แน่ใจ

หมิงฮัวแค่นเสียงแสดงความดูถูกเหยียดหยามขณะที่เธอกล่าวว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร เจ้าก็แค่ไม่สนใจมันต่างหาก มีเพียงจ้าวมณีทักษะธาตุปีศาจรุ่นแรกเท่านั้นที่สามารถปลุกทักษะธาตุปีศาจของเขาได้ในระหว่างที่มณีพลังตื่นขึ้นมาครั้งแรก สำหรับคนรุ่นหลังนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นจริงเสมอไป ความเป็นจริงแล้วเมื่อสายเลือดค่อยๆ เจือจางลง คนรุ่นปัจจุบันก็ต้องใช้พลังปราณสวรรค์ ความแข็งแรง และพละกำลังมากขึ้นเพื่อสามารถปลุกทักษะธาตุปีศาจขึ้นมาได้ ยิ่งพลังถูกปลุกขึ้นมาเร็วเท่าไหร่ สายเลือดปีศาจของบุคคลนั้นก็ยิ่งมีพลังมากขึ้น”

……………………………………………………

[1]邪恶 หมายถึงความชั่วร้าย,ปีศาจ แต่หากแยกเป็นคำเดี่ยวๆ 邪จะชั่วร้ายน้อยกว่า ความหมายใกล้เคียง “แปลกประหลาด” ในขณะที่恶มีความชั่วร้ายมากกว่า ในที่นี้หมิงฮัวหมายถึง 邪 ที่ชั่วร้ายน้อยกว่า

หลังจากที่พวกเขากลับไปถึงบ้านแล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ออกไปซื้อเสบียงอีกครั้ง เธออาศัยอยู่กับแม่ตั้งแต่ยังเล็กและไม่มีปัญหาในการทำอาหาร ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้วยกันในบ้านที่ตั้งอยู่นอกหอพัก ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องรับหน้าที่เป็นแม่ครัว สำหรับโจวเหว่ยชิง เมื่อมาถึงเขาก็รีบกลับเข้าไปในห้องทันที ก่อนหน้านี้เขาได้มอบเงิน 450,000 เหรียญทองให้หยางเจ๋อชีดูแลทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงต้องการหารายได้เพิ่ม ตอนนี้เขายังเหลือกระดาษศาสตรามณียุทธ์ หมึกศาสตรามณียุทธ์ที่ได้จากฮูเหยียนเอ้าป๋อ และหมึกศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางอีกนิดหน่อย เขาตัดสินใจจะสร้างและขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง 2-3 กล่องก่อนที่จะดำเนินการตามแผนขั้นต่อไป อย่างไรก็ตาม ในอนาคตเขาจำเป็นต้องซื้อวัตถุดิบอีกมากเพื่อสร้างหมึกศาสตรามณียุทธ์สำหรับม้วนคัมภีร์หลากหลายประเภท ทั้งหมดก็เพื่อทำให้แผนการณ์ของเขาบรรลุผลด้วยดี

ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ตั้งแต่ระดับกลางเป็นต้นไป ในหนึ่งกล่องจะไม่ต้องใช้ม้วนคัมภีร์ 1,000 แผ่นอีก เพราะเพียงแค่ 100 แผ่นก็ใช้ได้แล้ว แน่นอนว่าสำหรับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง ใน 100 แผ่นไม่จำเป็นต้องรับประกันความสำเร็จ แต่ถ้าหากทำได้ คุณภาพก็จะดีกว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานและอัตราความสำเร็จก็จะสูงกว่ามากเช่นกัน

การที่โจวเหว่ยชิงบอกว่าตนสามารถกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงได้ภายในระยะเวลา 4 ปีนั้นเขาไม่ได้พูดเกินจริงเลยด้วยซ้ำ ท้ายที่สุดแล้วด้วยระดับพลังปราณของเขาในตอนนี้ นั่นก็เพียงพอที่จะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงแล้ว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาต้องเร่งมือทำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการฝึกฝนสร้างหมึกศาสตรามณียุทธ์และม้วนคัมภีร์จริง หากเขาสามารถออกแบบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงได้ ในขั้นต่อไปเขาก็จะสามารถสร้างมันได้ อย่างไรโจวเหว่ยชิงก็มีทักษะธาตุกาลเวลาเป็นตัวช่วยอยู่แล้ว หากฝึกฝนเพิ่มพูนประสบการณ์ให้มากขึ้น เขาก็จะสามารถกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงที่ ‘แท้จริง’ ได้อย่างง่ายดาย

ม่านพลังสีทอง เขียว และไร้สีเปล่งประกายอยู่รอบๆ ข้อมือของโจวเหว่ยชิง พวกมันหมุนวนเป็นวงกลมจากนั้นก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน ม้วนคัมภีร์แผ่นแล้วแผ่นเล่าล้วนเสร็จสมบูรณ์ด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนไหนทำได้ ในแง่ของความเร็วขณะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางนั้น แม้แต่ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ไม่สามารถเทียบกับโจวเหว่ยชิงได้ เพราะถึงอย่างไรโจวเหว่ยชิงก็มีทักษะธาตุลมเพื่อใช้เร่งความเร็ว ทั้งยังมีทักษะธาตุกาลเวลาที่ใช้รับประกันความสำเร็จ

หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน โจวเหว่ยชิงก็ใช้เวลาที่เหลือในช่วงบ่ายไปกับการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ สำหรับการฝึกปราณสวรรค์ เขาไม่ได้กังวลมากนักเนื่องจากวิชาเทพอมตะของเขาสามารถช่วยเหลือเรื่องนี้ได้ แน่นอนว่าขณะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เขาก็ต้องใช้พลังปราณสวรรค์อย่างต่อเนื่องด้วย ดังนั้นหลุมดำพลังปราณทั้ง 12 แห่งจึงดึงพลังปรานจากชั้นบรรยากาศภายนอกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแค่ช่วยฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ที่ถูกเขาใช้ไปกับการสร้างม้วนคัมภีร์เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มระดับพลังปราณของเขาในเวลาเดียวกันด้วย! นับตั้งแต่จุดตายฉีไห่ของเขาถูกทะลวง แม้ว่าจำนวนพลังปราณที่ต้องใช้เพื่อไปให้ถึงระดับแรกของขั้นทะลวงพิภพจะสูงกว่าทุกครั้งก่อนหน้านี้ แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังรู้สึกถึงระดับพลังปราณสวรรค์ของเขาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับเจ้าแมวอ้วน มันยังคงนอนแผ่หราอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมในห้องและงีบหลับตามปกติราวกับกำลังอาบแสงแดดที่ส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง เมื่อโจวเหว่ยชิงหันไปมองมันบ้างเป็นครั้งคราว เขาก็รู้สึกอิจฉาที่มันสามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ

โจวเหว่ยชิงทำงานหัวหมุนจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ในที่สุดเขาก็เอนกายลงบนเก้าอี้และมองไปที่ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางทั้ง 6 กล่องเบื้องหน้าด้วยความพึงพอใจ ตอนนี้กระดาษและหมึกศาสตรามณียุทธ์ที่เขานำติดตัวมาเกือบจะหมดแล้ว หากเขาต้องการสร้างม้วนคัมภีร์เพิ่ม เขาคงต้องหาซื้อวัตถุดิบอีกครั้ง

โจวเหว่ยชิงเหยียดกายอย่างเกียจคร้าน เขาทุบหน้าอกตนเองอย่างมีความสุขและพึมพำว่า “ข้านี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ! อืมม…ม้วนคัมภีร์ 6 กล่องนี้ข้าจะมอบให้เพื่อนร่วมห้อง 1 กล่องเพื่อสร้างความประทับใจ ส่วนอีก 5 กล่องจะนำไปขายหารายได้ซื้อวัตถุดิบเพิ่ม ฮิๆ ทั้งห้องมีแค่ 20 กว่าคนเท่านั้น ความเร็วในการฝึกปราณของพวกเขาจะเทียบกับความเร็วในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของข้าได้อย่างไร ฮ่าๆ”

โจวเหว่ยชิงเก็บม้วนคัมภีร์ทั้ง 6 กล่องไว้ในสร้อยมิติของเขา จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อฝึกปราณ ไม่ใช่เพียงแค่ฟื้นฟูและบ่มเพาะพลังปราณสวรรค์ของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นการผ่อนคลายจิตวิญญาณของเขาหลังจากทำงานมาตลอดทั้งบ่าย

ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นแล้วทว่าหมิงฮัวก็ยังไม่กลับบ้าน แผนของโจวเหว่ยชิงคือการไปหาเธอคืนนี้เพื่อพูดคุยกัน เห็นได้ชัดว่าเพื่อความปลอดภัยของทั้งเขา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ รวมไปถึงอาณาจักรของเขา มีความเป็นไปได้เพียง 2 อย่างระหว่างหมิงฮัวกับเขา หนึ่งคือให้หมิงฮัวยอมประทับตราธาตุมืดเพื่อเป็นผู้ติดตามของเขา ส่วนทางที่สองก็คือกำจัดเธอทิ้งไป

ตอนนี้เขาตัดสินใจได้แล้วและจะไม่ลังเลอีกต่อไป อย่างไรเขาก็ไม่อาจแบกรับความเสี่ยงเช่นนี้ได้ ไม่อย่างนั้นทุกคนอาจต้องเผชิญกับความสูญเสียและความตายในที่สุด

หลังจากทานอาหารเย็นกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว โจวเหว่ยชิงก็ใช้ข้ออ้างว่าต้องการพักผ่อนหลังสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เพื่อกลับไปที่ห้องก่อนเวลา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร เธอรีบมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องพักเพื่อฝึกปราณต่อ อันที่จริงเธอมุ่งมั่นและหมั่นฝึกปราณมาโดยตลอดแม้ว่าความเร็วของเธอจะเทียบไม่ได้กับโจวเหว่ยชิงเพราะวิชาเทพอมตะของเขา แต่ด้วยนิสัยพื้นฐานของเธอ เธอก็ไม่ได้ทำตัวเหลวไหลเช่นกัน

หลังจากกลับไปที่ห้อง โจวเหว่ยชิงก็ยังคงทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูจิตวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าพลังปราณสวรรค์ของเขาเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดแล้ว เขาหวังเพียงว่าคืนนี้หมิงฮัวจะกลับบ้าน ไม่เช่นนั้นการเตรียมการทั้งหมดของเขาคงจะต้องเสียเปล่า

ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ทว่าบ้านเช่าของพวกเขาก็ค่อนข้างเงียบสงบเมื่อเทียบกับความคึกคักบริเวณอื่นๆ ในเมือง   หลวงเฟยหลี่

เมื่อเวลาผ่านไป โจวเหว่ยชิงที่ฟื้นพลังกลับมาอย่างเต็มที่แล้วก็ค่อยๆขมวดคิ้วขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนขาดความอดทน หลังจากใช้เวลา 2 ปีในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เขาก็ได้หล่อหลอมนิสัยอดทนอดกลั้นขึ้นมาพร้อมๆ กัน อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าหากไม่รีบจัดการกับหมิงฮัว สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปมากและนั่นอาจส่งผลร้ายต่อเขาได้ เขาลังเลอีกครั้ง คิดว่าควรจะให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ย้ายกลับไปที่หอพักของโรงเรียนเพื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเองดีหรือไม่ ด้วยวิธีนี้ เธอจะไม่ได้รับผลกระทบหากข่าวสถานะปีศาจกลายร่างของเขาถูกเผยแพร่ออกไป ทั้งยังสามารถรับมือกับมันจากอีกฝั่งหนึ่งได้

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากด้านนอก หูของโจวเหว่ยชิงกระดิกเล็กน้อย สีหน้าของเขาพลันสงบลง จากนั้นรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าเมื่อรู้ว่าในที่สุดหมิงฮัวก็กลับมาแล้ว

หมิงฮัวเพิ่งกลับมาถึง ขณะเธอก้าวเข้ามาในเขตบ้านเช่าหลังนี้ เธอก็เหลือบมองไปที่ห้องของโจวเหว่ยชิงก่อนจะเข้าไปในห้องของตัวเอง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่ได้เห็นก็คือตอนนี้ดวงตาของหมิงฮัวมีประกายเยือกเย็นราวกับว่าเธอมั่นใจและกระจ่างแจ้งแล้ว

เมื่อประตูห้องของหมิงฮ่าวปิดลง บ้านทั้งหลังก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้งและท้องฟ้าข้างนอกพลันเปลี่ยนเป็นสีมืดสนิท

ตอนนี้หมิงฮัวกลับมาแล้ว โจวเหว่ยชิงจึงไม่มีท่าทีกระสับกระส่ายอีก แม้ว่าเขาจะต้องการจัดการกับเธอให้เร็วที่สุด แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รับรู้เรื่องนี้ ข้างนอกยังคงมีเสียงคึกคักจอแจอยู่ ดังนั้นเขาควรรอจนกว่าจะถึงกลางดึกที่เงียบสงบเพื่อดำเนินการตามแผน

ในขณะนี้โจวเหว่ยชิงเริ่มตั้งสมาธิไปที่การฝึกปราณ หลุมดำพลังปราณที่จุดตายทั้ง 12 จุดของเขาเริ่มหมุนวนด้วยความเร็วที่มากขึ้น ดึงดูดพลังปรานสวรรค์จากชั้นบรรยากาศและกระจายไปยังทุกส่วนของร่างกาย ขณะพลังปรานสวรรค์กำลังไหลเวียนไปทั่วร่าง ทุกครั้งที่กระแสพลังปรานสวรรค์ที่มีสถานะเป็นของเหลวเคลื่อนผ่านหลุมดำพลังปราณแต่ละแห่ง มันก็จะเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อยทำให้การไหลเวียนทั้งหมดเร็วขึ้นอย่างช้าๆ ดังนั้นการดูดกลืนพลังปรานเพิ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสมดุลให้กับความเร็วที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้จึงทำให้ระดับพลังปราณของเขาค่อยๆ คงที่

ทุกลมหายใจของโจวเหว่ยชิงนั้นใช้เวลายาวนาน คล้ายกับว่านั่นคือจังหวะลมหายใจที่แปลกประหลาด…บ่งบอกถึงความนัยบางอย่างที่ลึกล้ำและมหัศจรรย์ ทุกครั้งที่เขาหายใจ พลังปราณสวรรค์ก็จะไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขาในครั้งเดียว วิชาเทพอมตะนั้นน่าประทับใจมาก แม้ว่ามันจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดและเป็นอันตรายต่อผู้ฝึก แต่มันก็ยังมีประโยชน์มากมาย ตอนนี้วิชาเทพอมตะของเขามาถึงขั้นสุดท้ายของส่วนที่ 2 แล้ว ทันทีที่เขาสามารถรวบรวมพลังปราณและใช้มันได้อย่างเชี่ยวชาญเต็มที่ เขาก็จะสามารถทะลวงมันได้สำเร็จอีกขั้น

เวลาที่ใช้ไปกับการฝึกปราณผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ดูเหมือนว่าผิวหนังของโจวเหว่ยชิงจะปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวสลัวที่กำลังหมุนวนอยู่รอบตัวเขา นี่เป็นสัญญาณว่าในที่สุดระดับพลังปราณสวรรค์ของเขาก็เข้าสู่ขั้นทะลวงพิภพ หากสามารถไปถึงระดับสูงสุดของขั้นทะลวงพิภพได้ เวลาเขาเริ่มหมุนเวียนพลัง โล่แสงสีขาวก็จะโผล่ขึ้นมาล้อมรอบตัวเขาโดยอัตโนมัติ แต่แน่นอนว่าในขณะนี้โจวเหว่ยชิงยังอยู่ห่างจากระดับดังกล่าวมาก

เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงกลางดึก ทั่วทั้งเมืองต่างเริ่มเงียบสงบและแสงไฟด้านนอกก็หรี่ลงเช่นกัน

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเบิกขึ้นเพราะถูกปลุกด้วยความตื่นตระหนก ประสาทสัมผัสของเขาเฉียบคมมากขึ้นเมื่อพลังของเขาขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง ดวงตาพลันเปล่งแสงสว่างจ้าออกมา คล้ายกับสายฟ้าขนาดเล็กที่ทำให้ห้องสว่างขึ้นในเสี้ยววินาที สายตาอันเฉียบแหลมของเขาจดจ่อไปที่หน้าต่างห้องฝั่งตรงข้ามซึ่งค่อยๆ เปิดอ้าออก

*วูบ* ร่างหนึ่งกระโจนเข้ามาจากทางหน้าต่างพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยเข้ามา

“นี่มันดึกดื่นแล้ว เจ้ายังฝึกปราณอยู่อีกหรือนี่ แท้จริงแล้วความสำเร็จทุกอย่างไม่ได้เกิดมาจากอัจฉริยะหรือพร สวรรค์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฝึกฝนอย่างหนักด้วยสินะ” คนที่เข้ามาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหมิงฮัว

ขณะนี้หมิงฮัวสวมชุดสีดำรัดรูป ขับเน้นส่วนที่โค้งเว้าที่สมบูรณ์แบบของเธอ ไม่ใช่แค่ขนาดหน้าอกที่ดูเย้ายวนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงส่วนโค้งเว้าที่สวยงามของเธอด้วย ทั้งหมดนี้รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นเสน่ห์ที่น่าตกใจ

อย่างไรก็ตาม หมิงฮัวรู้สึกประหลาดใจที่เห็นโจวเหว่ยชิงผู้ซึ่งมองเธออย่างหื่นกระหายเมื่อตอนกลางวันกำลังนั่งมองเธอด้วยดวงตาใสสะอาดและมีกระทั่งความเย็นชาแฝงอยู่ในนั้น ในตอนนี้บุคลิกและกลิ่นอายของเขาดูเหมือนจะผิด แผกไปจากตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้ดูเย่อหยิ่งหรือหื่นกระหายอีกต่อไปเนื่องจากตอนนี้อีกฝ่ายดูสุขุมและเยือกเย็นมาก แม้ว่าเขาจะแต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าที่เรียบง่าย แต่เมื่อเขานั่งอยู่ตรงนั้น เขาก็ดูเหมือนจะกลายเป็นจุดศูนย์กลางของห้องนั้นไปโดยปริยาย

หมิงฮัวไม่รู้ว่านี่เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่น่าทึ่งของวิชาเทพอมตะ โจวเหว่ยชิงเข้าสู่กระบวนการฝึกปราณมาเป็นเวลาระยะหนึ่งและยังคงจมอยู่กับความนิ่งสงบนั้น แน่นอนว่าหมิงฮัวเป็นคนที่น่าดึงดูดอย่างยิ่งสำหรับเขา แต่อย่าลืมว่าเจ้าอ้วนน้อยของเราเป็นคนที่กลัวความตายมาก เมื่อหมิงฮัวกลายเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเขา แม้ว่าเธอจะสวยกว่านี้อีกสิบเท่า ต่อหน้าเขาเธอก็เหมือนกับโครงกระดูกของคนตาย! เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหมิงฮัวจะมาตามหาเขาจริงๆ ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายโผล่มาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้ เขาจึงระแวดระวังมากและไม่ตกหลุมพรางเสน่ห์ของเธอง่ายๆ

“นี่ก็ดึกแล้ว อาจารย์มาที่นี่ทำไม?” ไม่ใช่แค่หมิงฮัว โจวเหว่ยชิงเองก็ลดเสียงลงด้วย เมื่อรวมกับพลังปราณสวรรค์ที่พวกเขาใช้สะกัดกั้นเสียงเอาไว้ แม้ว่าคนข้างนอกจะพยายามแอบฟัง คนๆ นั้นก็ไม่มีทางได้ยินอะไรได้

หมิงฮัวปรายตามองเขาด้วยความขมขื่นเล็กน้อย “ข้าถึงกับมาหาเจ้าที่นี่ตอนดึก แต่นี่คือวิธีที่เจ้าปฏิบัติกับข้างั้นหรือ?”

………………………………

จ้าวมณีทุกคนย่อมรู้ถึงความสำคัญของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ ยิ่งไปกว่านั้นโจวเหว่ยชิงยังมอบเงิน 450,000 เหรียญทองให้เพื่อนร่วมห้องไปเพื่อใช้กักเก็บทักษะ เขาใช้เงินนั้น “ซื้อ” ชื่อเสียงของเขา รวมไปถึงคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจอย่าง ‘การทำตัวเป็นมนุษย์และการมีกระดูกสันหลัง’ นั่นทำให้เขาได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมชั้นทุกคนทันที แผน การขั้นต่อไปคือการทำให้ตัวเองมีความสำคัญกับพวกเขาอย่างต่อเนื่องตลอด 2-3 ปีข้างหน้า ทำให้เพื่อนร่วมห้องทุกคนรู้สึกว่าต้องพึ่งพาเขา เวลา 4 ปีนั้นเป็นเวลาที่ยาวนานและเขาก็มั่นใจว่าเพื่อนเหล่านี้จะเห็นเขาเป็นผู้นำในที่สุด

ตอนนี้อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์อ่อนแอเกินไป หลังจากได้เห็นอำนาจที่แท้จริงของอาณาจักรเฟยหลี่ โจวเหว่ยชิงก็มองเห็นความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 อาณาจักรและรับรู้ว่าอาณาจักรของเขาอ่อนแอเพียงใด เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับอาณาจักรของเขาอย่างช้าๆ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการชักชวนผู้มีความสามารถมาเข้าร่วมให้มากขึ้น ก็เหมือนกับที่ทุกคนรู้ มีจ้าวมณีทั้งหมดกี่คนในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์กันล่ะ? นอกจากนี้สามัญชนเหล่าที่สามารถสอบเข้าโรงเรียนทหารเฟยหลี่ได้ล้วนมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมพร้อมกับทักษะเฉพาะตัวที่หลากหลาย…ไม่ใช่แค่ในแง่ของพลังมณี แต่ยังรวมถึงความสามารถทางทหารด้วย! หากโจวเหว่ยชิงสามารถนำพวกเขามาใช้งานได้ นั่นจะเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเขา

โจวเหว่ยชิงเชื่อว่าบิดาของเขาก็เคยคิดแบบนี้มาก่อนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าบิดาของเขาจะมีพลังแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่มีสิ่งจำเป็นที่สามารถดึงดูดให้จ้าวมณีคนอื่นๆ ติดตามเขา อย่างไรก็ตาม กรณีของโจว เหว่ยชิงนั้นแตกต่างออกไป เขามีสถานะเป็นถึงอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฮูเหยียนเอ้าป๋ออาจารย์ของเขาได้รับการยอมรับในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ผู้เป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง ด้วยสถานะเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงเชื่อว่าตนสามารถดึงดูดผู้มีความสามารถให้ติดตามเขาได้ ในโรงเรียนเช่นโรงเรียนทหารเฟยหลี่มีบุคคลที่เพียบพร้อมไปด้วยพรสวรรค์มากมาย อีกทั้งคนเหล่านี้ยังมีความสามารถที่แตกต่างกันหลายๆ แขนง หากเขาเพียงแค่ตั้งใจร่ำเรียนอย่างเดียวตลอด 4 ปี นั่นก็คงจะเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์มากทีเดียว ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะมีพลังแข็งแกร่งมากขนาดไหนคนผู้หนึ่งก็ย่อมก็มีขีดจำกัดของตัวเอง เช่นเดียวกับแม่ทัพโจว ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ระดับระดับเทวะขั้นกลางที่ทรงพลังและขุนศึกที่มีพรสวรรค์ผู้หนึ่ง เขาก็ยังไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์กำลังมีปัญหาใหญ่และกองทัพของเขาก็แทบจะไม่สามารถต้านทานกองกำลังของศัตรูไว้ได้ง่ายๆ

หลังจากถูกหมิงฮัวคุกคาม เป็นเพราะแผนการอันยิ่งใหญ่และความทะเยอทะยานที่เขามีอยู่ในใจนั่นเองที่จุดประกายสัญชาตญาณการกระหายเลือดขึ้นมา ไม่ว่าจะแผนการณ์ใดๆ ก็มักเจอปัญหาเช่นนี้ ต้องประสบกับการเปลี่ยน แปลงแบบกะทันหันมากมายนับไม่ถ้วนจากสิ่งรอบตัว สิ่งที่เขาต้องทำคือ…จัดการกับสิ่งรบกวนพวกนั้นให้หมด

เมื่อรู้สึกถึงอันตรายที่เกิดเพราะหมิงฮัว เขาก็หมดความอดทนในการค่อยๆ ชักนำนักเรียนสามัญชนมาอยู่ข้างกายเขาและโยนเงื่อนไขของเขาให้กับเหล่ารุ่นพี่โดยตรง เขาไม่สามารถรอจนกว่าตนจะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าเพื่อชักนำผู้ติดตามที่แข็งแกร่งเพราะนั่นจะสายเกินไปสำหรับแผนของเขา เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับอาณาจักร เขาต้องทำตามแผนทำทีละขั้นตอน เส้นทางที่จะทำให้เขากลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้านั้นยังคงยาวไกลและคดเคี้ยวมาก คงต้องใช้เวลานานกว่าจะไปถึงจุดหมายที่ว่า อย่างไรก็ตาม อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ก็ไม่มีเวลาเหลือมากมายขนาดนั้นแล้วเพราะแรงกดดันจากอาณาจักรคาลิเซ่ที่ได้รับการสนับสนุนโดยอาณาจักรป่ายต้าก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกๆ วัน

ส่วนซ่างหลางและรุ่นพี่คนอื่นๆ จะติดตามเขาไปหรือไม่ โจวเหว่ยชิงเองก็ยังไม่สามารถบอกได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำเป็นต้องแสดงให้ทุกคนเห็นถึงความพลังที่แข็งแกร่ง บุคลิกนิสัยและทัศนคติที่บ่งบอกความเป็นผู้นำของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพลังของเขาในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เพื่อดึงดูดเหล่าจ้าวมณีที่มีความสามารถเหล่านี้มาเป็นพวก เขาต้องชักนำทุกคนด้วยทุกๆ สิ่งที่ตนมี

เมื่อกลับมาที่ห้องเรียน โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมห้องทุกคนยังไม่ได้จากไป พวกเขายังคงคุยเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนานและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กำลังถูกนักเรียนหญิง 2-3 คน ล้อมรอบเอาไว้

เมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงกลับมา ทั่วทั้งห้องเรียนก็สงบลงทันที โจวเหว่ยชิงจึงตระหนักได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นและเดินไปยังแท่นพูด

เขาวางมือทั้งสองข้างบนแท่นและกล่าวว่า “ให้ข้าพูดสักไม่กี่ประโยค จากนั้นทุกคนก็ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”

ทุกคนจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิง คนที่ยังยืนอยู่ก็กลับไปนั่งที่นั่งของตนเองอย่างเป็ฯระเบียบเรียบร้อย วันนี้โจว  เหว่ยชิงได้แสดงพลังการต่อสู้ที่แท้จริงออกมารวมถึงสถานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำสัญญาที่ว่าจะช่วยดูแลเพื่อนร่วมห้องทุกคน ทุกๆ คนจึงมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาชื่นชมอย่างปิดไม่มิด

โจวเหว่ยชิงมีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า  ในเวลานี้เขาดูเหมือนเด็กไร้เดียงสาและไม่เป็นอันตราย “หลังจากนี้เมื่อพวกเจ้าทุกคนลงทะเบียนกับโข่วรุ่ย เจ้าควรระบุระดับพลังปราณสวรรค์ของตนเองให้ชัดเจน สำหรับจ้าวมณีธาตุ หากต้องการกักเก็บทักษะ เพียงลงทะเบียนกับหยางเจ๋อชี เขาเป็นคนเก็บรักษาบัตรเหรียญทองเอาไว้ ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์หรือในวันที่โรงเรียนหยุด ผู้ที่ลงทะเบียนแล้วสามารถพาเขาไปจ่ายเงินเพื่อกักเก็บทักษะที่ต้องการได้ ในอนาคตข้าจะขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์อีกเพื่อนำเงินมาใส่เพิ่ม ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่ามันจะหมดเร็วเกินไป สำหรับจ้าวมณียุทธ์ เมื่อเจ้าลงทะเบียน โปรดให้ข้อมูลว่ามณียุทธ์ของเจ้าคืออะไร เจ้าต้องการพัฒนาความสามารถไปสายไหนและประเภทของศาสตรามณียุทธ์ที่เจ้าต้องการหลอมรวม ด้วยวิธีนี้ ข้าจึงจะสามารถออกแบบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ตามความต้องการเฉพาะตัวของทุกคนได้”

เมื่อกล่าวจบเขาก็หยุดไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเขามีผลต่อนักเรียนที่เหลือมากแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาพูดถึงม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่ออกแบบเป็นพิเศษเฉพาะตัวแต่ละคน  ดวงตาของเพื่อนทุกคนต่างก็สว่างเจิดจ้าขึ้น แน่นอนว่ามีจ้าวมณียุทธ์มากกว่าจ้าวมณีธาตุและม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นั้นก็เป็นที่ต้องการมาก! ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการออกแบบเป็นพิเศษตามความต้องการของพวกเขา นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ที่ยอมจำนนต่อตระกูลชั้นสูงหรือวังกักเก็บทักษะก็ยังไม่อาจหามาครอบครองได้!

โจวเหว่ยชิงยิ้มด้วยความพึงพอใจและพูดต่อ “ข้ามีข้อเสนออีกอย่างด้วย หากเป็นจ้าวมณียุทธ์ที่ยังไม่มีศาสตรามณียุทธ์สักชิ้น เจ้าควรรีบลงทะเบียนให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ครอบครองศาสตรามณียุทธ์และสามารถป้องกันตัวเองได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หากเจ้ามีศาสตรามณียุทธ์อยู่แล้วหนึ่งชิ้น เจ้าอาจต้องรอสักพักและตั้งใจฝึกปราณให้มากกว่าเดิม ภายในเวลา 2 ปี ข้าเชื่อว่าข้าจะสามารถกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงได้”

“ถึงเวลานั้นข้าน่าจะสร้างศาสตรามณียุทธ์ที่มีหลุมบรรจุมณีได้แล้ว หรือแม้กระทั่งม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แบบชุด แน่นอนว่าชิ้นที่มีหลุมบรรจุมณีนั้นมีประโยชน์สำหรับจ้าวมณีสวรรค์เท่านั้น แต่ชุดศาสตรามณียุทธ์นั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แม้กระทั่งจ้าวมณียุทธ์ทั่วไป”

หากพูดว่าก่อนหน้านี้สายตาของทุกคนดูบ้าคลั่งมากแล้ว ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างก็ตกตะลึงจนเบ้าตาถลน ศาสตรามณียุทธ์ที่มีหลุมบรรจุมณี? ชุดศาสตรามณียุทธ์? สิ่งเหล่านั้นเกือบจะเป็นตำนานสำหรับพวกเขาทุกคน ไม่เพียงแต่ไม่เคยเห็นมันมาก่อน แม้แต่ในความฝัน พวกเขาก็ยังไม่กล้าฝันถึงด้วยซ้ำ!

เมื่อเห็นว่าคำพูดของเขาได้ผลตามที่ตั้งใจ โจวเหว่ยชิงก็ยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะ ข้าพูดทุกอย่างที่ต้องการจะพูดจบแล้ว แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงคำแนะนำของข้า หากใครรอไม่ไหว เจ้าก็สามารถลงทะเบียนเพื่อขอม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ได้ทันที อย่างน้อยข้าก็รับประกันได้ว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในการหลอมรวมคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แน่นอน… หากกล่องเดียวไม่พอ ข้าจะทำกล่องที่ 2 ให้ อืม…ปิงเอ๋อร์ ยืนขึ้นหน่อย”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ชะงักเมื่อได้ยินโจวเหว่ยชิงร้องเรียก แต่แน่นอนว่าตอนนี้เธอไม่อาจทำให้เขาขายหน้าได้ เธอจึงรีบลุกขึ้นยืนทันที

รอยยิ้มของโจวเหว่ยชิงหายไปอย่างกะทันหันและเขาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เพื่อนร่วมห้องทุกคน ตอนนี้ข้าขอแนะนำคนๆ นี้ให้เจ้าทุกคนรู้จักอย่างเป็นทางการ สาวงามคนนี้คือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ นางเป็นภรรยาของข้า ในอนาคต ห้ามผู้ชายคนไหนหมายตานาง…ไม่เช่นนั้น หึ! “

“อ้วนน้อย เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกตะลึงก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ไม่นานเธอก็รีบวิ่งหนีออกจากห้องเรียนไป

โข่วรุ่ยยิ้มและตะโกนตามไป “พี่สะใภ้!” และทุกคนในห้องเรียนก็หัวเราะออกมา

โจวเหว่ยชิงมีผิวหน้าที่หนาเป็นพิเศษเขาจึงไม่สนใจเสียงล้อเลียนต่างๆ กลับโบกมืออำลาเพื่อนร่วมห้องและไล่ตามซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เขาจากไป โข่วรุ่ยก็ถูกเพื่อนร่วมห้องที่เหลือรายล้อมทันที ทุกคนต่างก็อยากลงทะเบียนด้วยตัวเอง แม้แต่หยางเจ๋อชีและหม่าฉุนซึ่งเป็นจ้าวมณีสวรรค์ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน

โจวเหว่ยชิงวิ่งไปจนถึงประตูทางเข้าโรงเรียนก่อนที่จะพบกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ในที่สุด “ปิงเอ๋อร์ ช้าก่อน! รอข้าก่อนสิ!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันกลับมาพร้อมกับผิวแก้มร้อนผ่าว เธอต่อว่าเขาเบาๆ “เมื่อกี้เจ้าพูดอะไรน่ะ! วันหลังข้าจะมีหน้าไปพบเพื่อนคนอื่นๆ ได้ยังไง!”

โจวเหว่ยชิงแสยะยิ้มและกล่าวว่า “ใครขอให้เจ้างดงามและน่าหลงใหลขนาดนี้ล่ะ! ข้าก็เลยต้องประกาศความเป็นเจ้าของเสียหน่อย…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างโกรธเคือง “ความเป็นเจ้าของอะไรของเจ้า!? ข้าเป็นสิ่งของหรือไง? ฮึ่ม!”

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวทันที “ไม่ ไม่ ไม่แน่นอน ข้าแค่ต้องการประกาศว่าเจ้าเป็นเจ้าของข้า ข้าคืออ้วนน้อยของเจ้า! ดูสิ ข้าหล่อเหลา สุภาพอ่อนโยน ใจดี ซื่อสัตย์ และน่ารัก ข้ายังรู้วิธีสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ด้วย ตอนนี้ถ้าสาวงามคนอื่นพยายามจะตามจีบข้า ข้าจะทำอย่างไรได้? ด้วยวิธีนี้ ข้าสามารถประกาศตัวได้ว่าเจ้าเป็นของข้าและข้าก็เป็นของเจ้า เมื่อรู้เช่นนี้ใครจะกล้าตามจีบข้าอีก…หากผู้หญิงคนอื่นๆ จะทำเช่นนั้น…พวกนางก็คงต้องเปรียบเทียบตัวเองกับเจ้าก่อนใช่หรือไม่? และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ…พวกนางก็คงจะต้องอับอายและยอมแพ้ไปแต่โดยดี เห็นไหม ทั้งหมดนี่ก็เพื่อตัวเจ้าทั้งนั้น!”

เมื่อได้ยินคำประกาศที่ไร้ยางอายของเขา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดขำไม่ได้ “อ่อนโยนและใจดี…ฮ่าๆๆ ข้าค่อนข้างแน่ใจว่าหลายคนคงคิดว่าเจ้าเป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายมากกว่า”

เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีท่าทีโกรธเคืองอีกต่อไป โจวเหว่ยชิงก็เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายพร้อมกับโอบเอวบางของเธอเอาไว้ทันที  เขายิ้มและพูดว่า “ตราบใดที่ปิงเอ๋อร์ที่รักของข้าไม่มองว่าข้าเป็นสัตว์ประหลาด นั่นก็ไม่เป็นไรหรอก… ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อ้วนน้อย ที่เจ้าทำในวันนี้คือการชักนำเพื่อนร่วมห้องทุกคนมาเป็นพวกเพื่อช่วยเหลืออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราในอนาคตใช่หรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ แต่สิ่งที่เจ้าต้องรู้ก็คือข้า สามีของเจ้า มีเป้าหมายระยะยาวในใจแล้ว ไม่ต้องกังวล ข้าจัดการได้แน่ เจ้าแค่ต้องตั้งใจเล่าเรียน ส่วนข้าจะจัดการกับเรื่องอื่นๆ เอง พูดตามตรงว่าแค่ข้าดูตารางเรียนวันนี้ก็รู้สึกปวดหัวแล้ว…ข้าไม่มีพื้นฐานในวิชาด้านการทหารเลย สงสัยนักว่าข้าจะเรียนรู้ทั้งหมดนั่นไหวหรือไม่ ในอนาคตข้าคงต้องพึ่งเจ้า โดยเฉพาะเรื่องการสอบ…อย่าลืมให้ข้าลอกด้วยล่ะ!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “อ้วนน้อย เจ้าทำได้อยู่แล้ว…ข้าช่วยสอนพื้นฐานความรู้ด้านทหารให้เจ้าดีไหม?”

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ ข้าคงไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนั้น หากข้าต้องดูแลนักเรียนทั้งห้อง นั่นก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่ เพียงแค่สร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์สำหรับพวกเขา นำคัมภีร์ไปขายและฝึกฝนพลังปราณสวรรค์ของตัวเองไปด้วย แค่นั้นก็กินเวลาว่างของข้าไปทั้งหมดแล้ว สำหรับการเรียน ข้าเรียนรู้ได้แค่ไหนก็แค่นั้นแหละ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างค่อนข้างกังวล “แต่…เจ้าต้องไปแทนที่ตำแหน่งของแม่ทัพโจว แม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรา!”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ เจ้ายังไม่เข้าใจข้า ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ข้ารู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเก่งกาจในทุกด้าน ตราบเท่าที่ข้าสามารถควบคุมกลุ่มคนที่มีความสามารถทางการทหารโดดเด่นได้ นั่นก็เพียงพอ  แล้ว…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ชะงักด้วยความประหลาดใจขณะที่เธอคิดตามคำพูดของเขา แม้ว่าเธอจะรู้สึกว่าคำพูดของโจวเหว่ยชิงมีตรรกะผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่มันก็ยังสมเหตุสมผลอยู่ หลังจากใช้เวลา 2 ปีอยู่ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ โจวเหว่ยชิงก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่เพียงแต่ในด้านรูปร่างเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงวิธีการซ่อนเร้นตัวตนแบบดั้งเดิมของเขาด้วย ดูจากภายนอก บางครั้งเขาก็ดูเย่อหยิ่งอวดดี แต่เธอก็รู้ว่าเขาเก็บซ่อนความรู้สึกและอารมณ์ที่แท้จริงเอาไว้ แม้ว่าเขาจะอายุยังไม่ถึง 17 ปี แต่เขาก็ดูโตเป็นผู้ใหญ่และรู้จักเก็บซ่อนอารมณ์ได้ดีกว่าคนส่วนมากแล้ว

…………………………..

ในที่สุดหมิงฮัวก็หยุดพูดคนเดียวเนื่องจากจู่ๆ แสงชั่วร้ายได้ผุดวาบขึ้นมาในดวงตาของเธอ แน่นอนว่านั่นทำให้เธอตกใจมาก หมิงฮัวรีบควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อสะกดกลิ่นอายชั่วร้ายเอาไว้ ไม่นานมันก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง

“ข้าต้องใช้วิธีไหนเพื่อให้เจ้านั่นยอมรับนะ?” หมิงฮัวครุ่นคิดกับตัวเองอย่างเลื่อนลอย

ในอีกด้านหนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็กำลังครุ่นคิดกับตัวเองขณะที่เขาเดินลงบันได ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เคยบอกเขาก่อนหน้านี้ว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุปีศาจ โดยเฉพาะผู้ที่มีสถานะปีศาจกลายร่างมักจะถูกตามล่าโดยวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรใหญ่ๆ ทั่วทั้งทวีป! หากความลับของเขาถูกพบเข้า แม้ว่าจะโชคดีสามารถเอาชีวิตรอดไปได้ แต่เขาก็คงจะไม่มีที่ให้ไปอยู่ดี อีกทั้งไม่สามารถกลับไปที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ได้ ชั่วชีวิตที่เหลือก็ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ

ไม่ แน่นอนว่าไม่ได้เด็ดขาด! แม้ว่าเขาจะไม่มีความทะเยอทะยานมากนัก แต่ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของเขาก็ยังคงเป็นการสร้างความยิ่งใหญ่ให้อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์…เพื่อให้พลเมืองของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ทุกคนภูมิใจที่ได้เป็นพลเมืองของที่นี่!

โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึก พยายามยืนยันความคิดของตนเองว่านี่คืออันตรายขั้นร้ายแรงและเขาไม่อาจจะใจอ่อนได้ แม้ว่าจะเป็นน้องสาวของหมิงหยู…เขาก็ปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ เขาจะต้องรีบฉวยโอกาสก่อนที่เธอจะรู้แน่ชัดว่าเขามีทักษะธาตุปีศาจจริงๆ และนำเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น…เขาต้องทำเพื่อกำจัดภัยคุกคามนี้…ให้หมดสิ้นไป

รังสีสังหารเข้มข้นปรากฏขึ้นอีกครั้งในดวงตาของโจวเหว่ยชิง แม้ว่าเขาจะไม่อยากสังหารผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงงามอย่างหมิงฮัว แต่นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงซ่างกวนปิงเอ๋อร์และชะตากรรมของอาณาจักรของเขาด้วย! เขาให้คำมั่นสัญญากับตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว…คืนนี้…ถ้าหมิงฮัวกล้ากลับบ้าน เขาคงต้องจัดการเธอแน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสงบ

“โจวเหว่ยชิง” ในขณะนั้น น้ำเสียงที่ค่อนข้างทุ้มต่ำก็ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์

ขณะที่โจวเหว่ยชิงเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ตัว จากนั้นก็พบว่าตัวเองเดินมาถึงชั้นแรกของอาคารเรียนแล้ว ส่วนซ่างหลางก็ยืนอยู่บริเวณทางขึ้นบันไดตรงหน้าเขา

“มาคุยกันเถอะ” สายตาของซ่างหลางอยู่ในระดับต่ำกว่าเขาและดูค่อนข้างมืดมน

“พูดมา” โจวเหว่ยชิงกำลังอารมณ์ไม่ดีเนื่องจากปัญหาของหมิงฮัวและไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับปัญหาอื่นๆ อีก

ซ่างหลางกล่าวว่า “เจ้าช่างคล้ายกับข้าตอนที่เข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้เป็นครั้งแรกเสียจริง…แต่ตอนนั้นข้าอ่อนแอกว่าเจ้าในตอนนี้นัก…ทั้งยังไม่ต้องพูดถึงความสามารถของเจ้าในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ แต่เจ้ารู้หรือไม่…ถ้าเลือกได้ ใครจะอยากเป็นสุนัข…เป็นทาสรับใช้? ใครไม่อยากยืดแผ่นหลังอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนมนุษย์คนหนึ่งบ้าง?”

“อย่างไรก็ตาม ในฐานะจ้าวมณี หากเราไม่สามารถหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์หรือกักเก็บทักษะได้ พวกเราก็จะถือว่าไร้ประโยชน์ไปตลอดกาล ด้วยเหตุนี้จึงมีหลายคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ จิตใจของพวกเขาไม่มั่นคงพอจะเลือกอิสรภาพ  จะมีสักกี่คนที่ไม่ยอมจำนนต่อตระกูลชั้นสูงหรือวังกักเก็บทักษะเพื่อพิสูจน์ตนเอง? แน่นอนว่าหากเลือกเป็นสุนัข พวกเขาก็ต้องยอมสละอิสรภาพ…และเป้าหมายยิ่งใหญ่ในอนาคตของตนเพื่อเจ้านายของพวกเขา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข้าจะไม่ชอบสิ่งที่พวกเขาเลือกและก็ไม่เคยคิดจะเลือกแบบนั้น แต่ข้าก็ไม่มีวันห้ามการตัดสินใจของพวกเขา…เพราะข้าไม่มีทางช่วยพวกเขาได้…”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างเฉยเมย “เจ้ามาบอกข้าเพื่ออะไร?”

ซ่างหลางกล่าวว่า “ข้าไม่มีความสามารถทำเช่นนั้นได้ แต่เจ้ามี! โจวเหว่ยชิง เมื่อเจ้าแสดงความสามารถในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ บางทีเจ้าอาจไม่ได้สังเกตเห็น แต่นักเรียนสามัญชนคนอื่นๆ มองมาที่เจ้าด้วยสายตาร้อนแรง ข้ามาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนของเหล่านักเรียนรุ่นพี่ที่ไม่ได้เป็นทาสรับใช้ให้กับตระกูลขุนนางหรือวังกักเก็บทักษะ มีพวกเรา

ทั้งหมด 44 คน…หากเจ้าเต็มใจที่จะช่วยเหลือเราเหมือนเพื่อนร่วมห้องของเจ้า…เราทุกคนขอสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเจ้า”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและมองไปที่ซ่างหลางด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม “สาบานว่าจะจงรักภักดี? รุ่นพี่ซ่างหลาง เจ้ากำลังล้อข้าเล่นหรือ? อะไรจะทำให้ข้าไว้วางใจว่าพวกเจ้าทุกคนจะจงรักภักดีต่อข้าจริงๆ? การที่เจ้าเลือกข้า…เป็นเพราะข้าไม่อาจควบคุมพวกเจ้าได้…เมื่อปราศจากตราประทับธาตุมืด…ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าจะสามารถทรยศข้าได้ทุกเมื่อที่ต้องการหรอกหรือ? รู้ไหมว่าข้าต้องจ่ายเงินจำนวนเท่าไหร่เพื่อดูแลจ้าวมณีมากกว่า 40 คน? อย่างน้อยก็ 500,000 เหรียญทองถูกไหม?…แม้แต่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์บ้านเกิดของข้าก็ยังไม่สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายขนาดนี้ได้เลย…อีกทั้งเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้สามารถนำไปแลกได้เพียงแค่ ‘คำสัญญา’ ปากเปล่าที่แสดงถึงความจงรักภักดี? เจ้าคิดว่าข้าเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ เหรอ?”

ซ่างหลางชะงักเล็กน้อยแล้วพูดด้วยความโกรธ “โจวเหว่ยชิง เจ้าดูถูกเกียรติของข้า”

โจวเหว่ยชิงแค่นเสียงอย่างดูถูกเหยียดหยาม “เกียรติงั้นหรือ? แล้วมันคุ้มค่าหรือไม่ล่ะ? ถ้าข้าเต็มใจทำอะไรสักอย่าง…ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน ไม่ว่าตัวเองจะมีค่าใช้จ่ายมากเพียงใด ข้าก็จะพยายามทุ่มเททำให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม หากเป็นสิ่งที่ข้าไม่เต็มใจจะทำ…ก็ไม่มีใครบังคับข้าได้ สำหรับข้า การสนับสนุนและดูแลเพื่อนร่วมห้องโดยที่พวกเขาไม่ต้องเสียเงินเป็นสิ่งที่ข้าอยากทำเพราะไม่อยากเห็นคนที่จะอยู่ด้วยกันไป 4 ปีถูกบังคับให้ยอมจำนนต่อตระกูลชั้นสูงหรือวังกักเก็บทักษะ อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ได้ทำการกุศลและไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบคนอื่น ประโยคง่ายๆ ของเจ้า แค่คำสัญญาปากเปล่า อะไรคือสิ่งที่ข้าจะได้รับตอบแทน? หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้า นั่นก็เป็นไปได้เช่นกัน…แต่ข้าต้องการให้พวกเจ้าทุกคนยอมให้ข้าประทับตรา  กล้าหรือไม่ล่ะ? อย่างไรในกรณีนี้…ก็ไม่แตกต่างจากการยอมจำนนต่อตระกูลขุนนางเท่าไหร่”

ซ่างหลางสูดหายใจเข้าลึก…เส้นเลือดตรงขมับปูดโปนออกมาจากศีรษะโล่งเตียนของเขา ซ่างหลางกำหมัด   แน่น…จับจ้องไปที่โจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงเดินลงบันไดลงมาหาเขาและพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไร…พวกเรานักเรียนสามัญชนลงเรือลำเดียวกันและเราจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อให้สามารถรับมือกับนักเรียนชนชั้นสูงได้ อย่างไรก็ตาม ข้าไม่มีเหตุผลที่จะต้องเชื่อใจเจ้าทั้งหมด ใช้เงินเป็นล้านๆ เหรียญทองเพียงเพื่อคำสัญญาธรรมดาๆ…นี่เป็นไปไม่ได้เลย เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือรุ่น  พี่? เจ้ามั่นใจในตัวเองเกินไปแล้ว”

หมัดที่กำแน่นของซ่างหลางค่อยๆ ผ่อนคลายลง…สายตาโกรธเกรี้ยวของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นสายตาสับสน เขาพยายามหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์

“แล้วเจ้ามีเงื่อนไขอย่างไร?” เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย “หากอายุมากขึ้น ความคิดของคนก็ย่อมเปลี่ยน…คำสัญญาไม่เคยเชื่อถือได้เท่ากับการผูกมัด พวกเจ้ามี 44 คน และสิ่งที่ข้าต้องการก็คือ…ผู้ติดตาม 44 คนที่ถูกประทับตรา รุ่นพี่ซ่างหลาง ข้าไม่ใช่คนดี แต่แน่นอนว่าข้าปฎิบัติต่อคนของข้าเป็นอย่างดี ข้าอยากจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง…ข้าอายุไม่ถึง 17 ปี แต่ก็เป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางแล้ว ก่อนจะจบการศึกษา ข้าย่อมได้เป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงแน่นอน และภายใน 10 ปี ข้าจะได้เป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์…หรือแม้แต่อาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะ ในอนาคตข้าไม่รู้ว่าจะสามารถเป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าได้หรือไม่ แต่ข้าก็มีความมั่นใจอย่างน้อย 7 ใน 10 ส่วน”

“อาจจะถูกประทับตราธาตุมืดเหมือนกัน แต่การติดตามอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าใน   อนาคต…ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้าถึงผลประโยชน์ที่จะได้ใช่หรือไม่?”

“ช้าก่อน…เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนตัดสินใจ…ข้ายังคงต้องเป็นนักเรียนไปอีก 2-3 ปี ถ้าในช่วงที่ข้าจบการศึกษา ข้ายังไม่ได้เป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงๆ เจ้าก็สามารถถือว่าเรื่องทั้งหมดที่ข้าพูดนั้นเป็นเรื่องไร้สาระก็ได้”

ซ่างหลางลังเล เหตุผลนั้นง่ายมาก…คำว่า…‘ระดับเทพเจ้า’

ในประวัติศาสตร์ของทวีปนี้ อาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าทุกคนมีสถานะสูงส่ง แสดงตนอยู่เหนือโลกใบนี้ในฐานะบุคคลในตำนาน บรรดาผู้ติดตามของพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังเช่นกัน แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่เขาก็รู้ดีว่าหากในอนาคตโจวเหว่ยชิงได้กลายเป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าจริงๆ แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะก็อาจไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะเป็นผู้ติดตามของเขา แม้ตอนนี้ระดับของโจวเหว่ยชิงยังคงอยู่ห่างจากเป้าหมายของเขา แต่ด้วยความสามารถของเขา มันก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ในขณะนี้จ้าวมณีเช่นเขา…แม้แต่จ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุธรรมดาก็ยังมีโอกาสที่จะติดตามโจวเหว่ยชิงได้ แม้มันจะเป็นการเดิมพัน แต่ถ้าในอนาคตโจวเหว่ยชิงได้กลายเป็นอาจารย์ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าจริงๆ ผู้ติดตามที่เลือกเดิมพันกับเขาตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะกลายเป็นผู้มีพลังอำนาจตามสิทธิอันชอบธรรมของพวกเขาเอง

“โจวเหว่ยชิง หากต้องติดตามเจ้าในฐานะผู้ติดตามส่วนตัว…เจ้าจะต้องประทับตราพวกเราด้วยตัวเอง แม้ว่าทักษะธาตุมิติที่จะมีความสามารถในการปิดผนึกอยู่บ้าง แต่ก็มีน้อยและเทียบไม่ได้กับทักษะธาตุมืด แม้ว่าเราจะเลือกติดตามเจ้า แต่เจ้าจะประทับตราได้อย่างไร?”

โจวเหว่ยชิงยกมือขึ้นตบไหล่ของซ่างหลาง เขาพูดว่า “ถ้าข้าพูดออกไปแล้ว นั่นหมายความว่าข้าทำได้ เจ้าแค่ต้องกลับไปคิดให้ดี…” หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกจากประตูไป ในเวลาเดียวกันซ่างหลางก็ต้องรู้สึกตกตะลึงในใจ

เหตุผลก็ง่ายๆ ตอนนี้เขาไม่สามารถขยับร่างกายได้! บางอย่างที่แข็งแกร่งกำลังบีบรัดไปทั่วร่างกายของเขา ความรู้สึกมืดมิดและเยือกเย็นทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นจนขนลุกไปทั่ว จู่ๆ ก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายของตนถูกมัดด้วยเชือกที่มองไม่เห็นมากกว่าสิบเส้น

ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ ซ่างหลางรู้โดยธรรมชาติว่ามันคืออะไร…มัน…มันเป็นหนึ่งในทักษะการควบคุมของธาตุมืดอย่างแน่นอน! ไม่ใช่ว่าโจวเหว่ยชิงผู้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติหรอกหรือ? แล้วทำไมเขาถึงมีทักษะธาตุมืดด้วย??! เป็นไปได้ไหมว่า… มณีธาตุของเขามีหลายธาตุ?!

ในช่วงเวลานั้น สมองของซ่างหลางก็ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง รอยยิ้มเย้ยหยันของโจวเหว่ยชิงขณะที่เขาเดินจากไปค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในสมองของซ่างหลาง

โจวเหว่ยชิงกลับไปที่ห้องเรียนเพื่อรวมตัวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์และมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยกัน อย่างไรหลังพิธีเปิดก็สิ้นสุดลงพวกเขาก็ไม่เหลืออะไรให้ทำในโรงเรียนในวันนี้แล้ว ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องพิจารณาวิธีจัดการกับหมิงฮัวไปด้วย

พูดตามตรงว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับซ่างหลางเมื่อสักครู่นั้น เขาเพิ่งจะคิดได้ตอนนั้นนั่นแหละ ตามแผนเดิมของโจวเหว่ยชิง เขาจะชักจูงนักเรียนสามัญชนคนอื่นอย่างช้าๆ และมั่นคง นำพวกเขามาอยู่เคียงข้างตัวเองเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง อย่างไรก็ตาม หลังจากถูกหมิงฮัวยั่วยุในวันนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนว่าเขาไม่สามารถจะทำตัวชักช้าได้อีกต่อไป

ในพิธีเปิด สิ่งที่เขาทำลงไปอาจดูบ้าคลั่ง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่เขากรุ่นคิดและวางแผนมาตลอด การลงมือทำร้ายติงเฉินอย่างหนักหน่วงเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของเขา ใช้มันเป็นเครื่องมือให้ทุกคนหวาดกลัว…ไม่ใช่แค่กับนักเรียนสามัญชนคนอื่นๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักเรียนชนชั้นสูงที่คิดจะให้เขา และซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยอมจำนนต่อพวกมันด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ยังสามารถบอกคนอื่นโดยอ้อมๆ เกี่ยวกับตัวเขาว่าไม่เพียงแต่มีพลังเท่านั้น เขายังเต็มใจที่จะต่อสู้และไม่แสดงความเมตตาต่อผู้ที่เข้ามาขัดขวางเขา สิ่งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความประทับใจลึกซึ้งให้กับนักเรียนคนอื่นๆ เท่านั้น มันยังลดโอกาสที่พวกเขาจะกล้าเฉียดเข้ามาใกล้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วย

หลังจากนั้น เขาก็ใช้ท่าทีอวดดีปลุกระดมให้นักเรียนสามัญชนไม่ยอมตกอยู่ภายใต้ตระกูลขุนนาง ในตอนนั้นทุกคนคงคิดว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเปิดปากพูดเพราะพลังของเขา สิ่งนี้ยังทำให้โจวเหว่ยชิงสามารถแสดงพลังของเขาในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้…และนี่ก็เป็นส่วนสำคัญในแผนการณ์ของเขา

…………………………

โข่วรุ่ยพยักหน้าตกลง เมื่อได้เห็นโจวเหว่ยชิงสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ต่อหน้าทุกคน ตอนนี้เขาจึงค่อนข้างคลั่งไคล้โจวเหว่ยชิงมาก

หมิงฮัวกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าต้องการให้พวกเจ้าทุกคนผลัดกันยืนขึ้นและแนะนำตัวเองเพื่อให้ทุกคนได้รู้จักกัน”

การแนะนำเริ่มต้นจากแถวหน้า ครั้งนี้โจวเว่ยชิงก็ให้ความสนใจอย่างเต็มที่ คนแรกที่ยืนขึ้นเพื่อเริ่มก่อนคือ      โข่วรุ่ย …เนื่องจากเขาค่อนข้างเตี้ยและนั่งอยู่แถวหน้าพอดี

“สวัสดีทุกคน ข้าชื่อโข่วรุ่ย…อายุ 17 ปี…ข้าจบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหารเมืองโอเดน ความสนใจหลักของข้าคือการรวบรวมข่าวสารและการสอดแนม ข้าเป็นจ้าวมณียุทธ์ระดับปฐมขั้นกลางและมณียุทธ์ของข้าเป็นการผสมผสานระหว่างความคล่องตัวและการประสานงาน”

หลังจากการแนะนำของเขา นักเรียนคนอื่นๆ ก็ทำตามในลักษณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาที่หยางเจ๋อชีแนะนำตัวเอง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกสนอกสนใจเขาเป็นพิเศษ “หยางเจ๋อชี…อายุ 17 ปี เจ้ามณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นกลาง มณียุทธ์ของข้าคือประเภทความทรหด” แน่นอนว่าเขาไม่ได้เปิดเผยมณีธาตุของตนตามหลักปกติของจ้าวมณีสวรรค์

ประเภทความทรหด? โจวเหว่ยชิงเคยได้ยินเกี่ยวกับมณียุทธ์ประเภทนี้มาก่อน…แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณียุทธ์ประเภทความทรหดกับตาตัวเอง จ้าวมณีใดๆ ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้มักจะมีความสามารถในการต่อสู้ที่ดีเยี่ยม มู่เอินเคยบอกเขาว่าคู่ต่อสู้ที่มีมณียุทธ์ประเภทความทรหดเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่จัดการยากที่สุด ถ้าหากจะต้องกำราบพวกเขาก็ควรลงมือให้เร็วที่สุดและอย่าพยายามต่อสู้ยืดเยื้อ

โจวเหว่ยชิงเป็นคนสุดท้ายที่แนะนำตัวเอง เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน และนั่นก็สามารถเรียกความสนใจจากทุกคนได้ทันที เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่สง่างาม “สวัสดี ข้าชื่อโจวเหว่ยชิง ข้าคือเจ้ามณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุด มณียุทธ์ของข้าเป็นประเภทความแข็งแกร่ง และอย่างที่พวกเจ้าทราบกันดี มณีธาตุของข้าคือธาตุมิติ พูดตามตรง ข้าไม่เคยเล่าเรียนเกี่ยวกับวิชาทางทหารมาก่อน แต่สิ่งที่ข้ารู้ก็คือ ในทุกๆ กลุ่ม ความสามัคคีมักมีความสำคัญสูงสุด และเพราะข้าเป็นหัวหน้าห้อง… ความหวังของข้าคือให้พวกเราสามารถทำงานประสานกันได้เป็นอย่างดี ใน 4 ปี ต่อจากนี้เราจะกลายเป็นห้องเรียนที่ดีที่ สุดในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนแห่งนี้!”

หมิงฮัวยิ้มแย้มและปรบมือ “นั่นคือความหวังของข้าเช่นกัน เอาล่ะ สำหรับวันนี้ทุกคนกลับไปพักผ่อนได้แล้ว หัวหน้าห้อง ตามมาที่ห้องทำงานของข้าสักครู่” เมื่อพูดเช่นนั้นจบ เธอก็เดินออกจากห้องเรียนไป

หม่าฉุนมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและพูดว่า “หัวหน้าห้อง เป็นไปได้ไหม    ว่า…อาจารย์หมิงฮัวตกหลุมรักเจ้าเข้าแล้ว? เฮ้อ…เสียดายที่ข้าไม่ได้ดูสง่างามเช่นเจ้า…”

โจวเหว่ยชิงแสยะยิ้มและพูดว่า “หึ เจ้ายักษ์ทึ่ม ขอให้โชคดีในการประมือกับนางวันพรุ่งนี้ ข้าอยากจะบอกใบ้บางอย่าง เจ้าลองไปถามคนอื่นดูว่าชื่อจริงของดอกไม้แห่งยมโลกคืออะไร…” หลังจากพูดเช่นนั้นเขาก็ยืนขึ้นและบิดขี้เกียจตัวอย่างเกียจคร้าน ขณะที่เดินผ่านซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาก็เห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของเธอ เขาจึงยิ้มจางๆ พลางพูดว่า      “ไม่ต้องกังวลน่า ข้ารู้วิธีจัดการตัวเอง เจ้ากลับไปบ้านก่อนได้เลย”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าตกลงเบาๆ ด้วยใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อย เธอรู้สึกราวกับว่าโจวเหว่ยชิงกำลังพูดคุยกับเธอเหมือนสามีภรรยาและนั่นก็ทำให้เธอเขินอายมาก อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังรู้สึกอบอุ่นในหัวใจด้วย

หมิงฮัวยืนรอเขาอยู่นอกห้องเรียน เมื่อเห็นเขาเดินออกมาเธอจึงนำทางเขาไป ขณะกำลังเดินตามหลังอีกฝ่าย โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่บั้นท้ายทรงเสน่ห์ของเธอขณะที่มันกวัดแกว่งไปมาอย่างน่าหลงใหลราวกับลูกท้อสุก งอม เขาเป็นเด็กหนุ่มวัยคึกคะนองและผู้ชายในวัยนี้ก็ล้วนแล้วแต่มีความต้องการที่แข็งแกร่งอย่างมาก ทว่าเวลาอยู่กับ   ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาทำได้แค่เพียงมองด้วยสายตา ไม่อาจสัมผัสได้อย่างที่หวัง…นั่นทำให้ความปรารถนาของเขาเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ยิ่งไปกว่านั้น หมิงฮัวยังมีเสน่ห์และดูยั่วยวนมาก เขาจึงค่อนข้างรู้สึกตาพร่าไปเล็กน้อย

ขณะที่พวกเขาเดินไปที่บันได หมิงฮัวก็หยุดและหันกลับมา เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูอึดอัดของโจวเหว่ยชิง เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคัก เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำๆ ซึ่งมีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน “เจ้ากำลังมองอะไรอยู่? อยากจับหรือไม่?”

เสียงของเธอนุ่มนวลและมีเสน่ห์ราวกับว่ามันกำลังกระตุ้นเร่าหัวใจของโจวเหว่ยชิงเบาๆ เขาพยักหน้าและพูดออกมาอย่างลืมตัว “ใช่…”

หมิงฮัวยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “ให้ข้าดูรูปแบบที่แท้จริงของมณีธาตุของเจ้า แล้วข้าจะพิจารณา…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็ตื่นขึ้นมาจากภวังค์ทันที ในหัวใจพลันรู้สึกเย็บวาบ เขาพูดด้วยท่าทางสับสน “รูปแบบที่แท้จริง? ท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไรหรือ?”

หมิงฮัวกลอกตาไปที่เขา จากนั้นก็พึมพำเบาๆ กับตัวเอง “แสดงละครต่อไปเถอะ…ฮึ่ม!” พูดจบเธอก็เดินขึ้นบันไดต่อไป

ภายใต้การนำของหมิงฮัว ทั้งสองคนจึงมาถึงชั้น 4 ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องพักอาจารย์ทั้งหมด หมิงฮัวเดินเข้าไปในสุดของทางเดินและเปิดประตูเชื้อเชิญให้ให้โจวเหว่ยชิงเข้าไป

ห้องนี้ไม่ได้ใหญ่โตมาก มีขนาดเพียง 20 ตารางเมตร รอบๆ ห้องมีต้นไม้สีเขียวจำนวนมากทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ตรงกลางมีโต๊ะทำงานเพียงตัวเดียว เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องทำงานส่วนตัวของหมิงฮัว โรงเรียนทหารเฟยหลี่เป็นหนึ่งในโรงเรียนชั้นนำของอาณาจักรและพวกเขาก็ปฏิบัติต่ออาจารย์ที่นี่อย่างที่ดีที่สุดจริงๆ

หมิงฮัวชี้บอกให้โจวเหว่ยชิงนั่งลงที่เก้าอี้รับแขกหน้าโต๊ะทำงานของเธอ เธอเอนตัวลงบนเก้าอี้ และพูดด้วยท่าทางเล่นหูเล่นตาว่า “หัวหน้าห้องที่รัก เจ้าเป็นคนเสียสละและเห็นแก่ผู้อื่น ดังนั้นเจ้าวางแผนที่จะจ่ายหนี้ให้ข้าอย่างไร?”

โจวเหว่ยชิงทำหน้าเหมือนคนโง่เง่าและพูดอย่างไร้เดียงสา “หนี้? หนี้อะไร? ข้าไม่เคยติดค้างเงินใคร…”

หมิงฮัวส่งเสียงหึในลำคอและพูดว่า “เมื่อวาน…เจ้าทำร้ายข้าจนบาดเจ็บสาหัส…ข้าจะปล่อยไปแบบนั้นได้อย่างไร? นอกจากนี้…ค่าเช่าทั้งหมด ข้าก็ยังเป็นคนจ่าย…” เสียงของเธอฟังดูนุ่มนวลและลื่นไหล อีกทั้งยังไพเราะจับใจ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะบ้ากามไปเสียหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็รับรู้ความแข็งแกร่งของเธอก่อนหน้านี้แล้ว…อีกทั้งยังสามารถเอาชนะได้ด้วย

“อาจารย์หมิงฮัว…นั่นเพราะท่านบังคับข้าต่อสู้ต่างหาก…ท่านจะโทษข้าได้อย่างไร! นอกจากนี้ ข้ายังยั้งมือให้ท่านด้วย…ถ้าไม่ทำเช่นนั้น พวกเราอาจต้องเปลี่ยนอาจารย์ประจำชั้นไปแล้ว…”

หมิงฮัวยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “ข้าจะไม่อ้อมค้อมแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้ามีไพฑูรย์ตาแมวสองสี…ขอให้ข้าได้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของมันและข้าสัญญาว่าเจ้าจะได้ใช้เวลาอีก 4 ปีที่เหลือย่างมีความสุขในโรงเรียนแห่งนี้ ไม่อย่างนั้น…หึ…ด้วยสถานะของข้าที่โรงเรียน มันก็ง่ายมากที่จะสร้างปัญหาให้เจ้า อย่าคิดว่าตอนนี้เจ้าสามารถรอดไปได้ง่ายๆ เพราะเจ้าได้รับความเห็นชอบจากท่านคณบดีเสี่ยวฉือ…หากข้าบอกคนอื่นเกี่ยวกับทักษะธาตุปีศาจของเจ้า วังกักเก็บทักษะจะต้องมาตามล่าเจ้า…และไม่มีใครเต็มใจที่จะปกป้องเจ้าแน่นอน!”

เมื่อได้ยินคำว่า “ทักษะธาตุปีศาจ” โจวเหว่ยชิงก็ตกตะลึงไปครู่ใหญ่ แม้ว่าเขาจะพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง แต่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว เขาพูดอย่างเย็นชา “อาจารย์หมิงฮัว…ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”

หมิงฮัวดูเหมือนจะมั่นใจว่าเธอถือไพ่สำคัญทั้งหมดไว้ในมือแล้ว เธอยิ้มอย่างมีเลศนัยขณะรินน้ำหนึ่งถ้วยและยกขึ้นดื่ม หลังจากจิบทีหนึ่งเธอก็พูดว่า “เจ้าไม่เข้าใจจริงๆ เหรอ? อย่าพยายามปิดบังความจริงที่ว่าเจ้ามีทักษะธาตุปีศาจเลย หากเจ้าไม่มีทักษะธาตุนั้น เจ้าจะสามารถย้อนพลังดอกไม้แห่งยมโลกของข้าและดูดกลืนมันแทนได้อย่างไร? เจ้าไม่เพียงแต่มีทักษะธาตุปีศาจ แต่ยังเป็นทักษะธาตุปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาในชีวิต…ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าสามารถควบคุมสถานะปีศาจกลายร่างได้ด้วย…ใช่หรือไม่? นักเรียนที่รักของข้า โจวเหว่ยชิง”

เสียงเก้าอี้นวมครูดไปกับพื้นดังขึ้นขณะที่โจวเหว่ยชิงเหยียดขาออกอย่างกะทันหัน ในชั่วพริบตานั้นรังสีสังหารก็ปะทุออกมาจากร่างของเขา ดวงตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด…กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกมา คล้ายลางร้ายกำลังคลืบคลานเข้าหาหมิงฮัว ทั้งหมดนั่นทำให้เธอเกือบจะประคองถ้วยในมือไม่ไหว ใบหน้าถึงกับซีดเผือกลงเล็กน้อย

“ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อน โจวเหว่ยชิง ที่นี่คือเขตโรงเรียน มีอาจารย์มากมายอยู่ใกล้ๆ ที่นี่ และหลายคนมีพลังมากกว่าเจ้าด้วย ถ้าเจ้าพยายามจะทำอะไรข้า เจ้าตายแน่” หัวใจของหมิงฮัวเต้นระรัวเหมือนกลอง เมื่อสักครู่นี้ รังสีสังหารเข้มข้นที่โจวเหว่ยชิงปลดปล่อยออกมานั้นน่าหวาดกลัวเกินไป

ไม่นานกลิ่นอายกระหายเลือดก็ค่อยๆ จางหายไป เมื่อโจวเหว่ยชิงกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเขาก็ยิ้มแย้มและพูด กับหมิงฮัวว่า “อาจารย์ ข้าคิดว่าท่านกำลังเข้าใจผิด  ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว ท่านบอกว่าข้าไม่อาจลงมือที่นี่ได้…หรือนั่นเป็นการบอกใบ้ว่าข้าควรรอจนกว่าท่านจะกลับบ้าน?”

หมิงฮัวหัวเราะอย่างเย็นชาและพูดว่า “ถ้าเจ้ากล้าก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะบอกทุกคนเกี่ยวกับทักษะธาตุปีศาจของเจ้าทันที ตอนนี้เจ้ายังคิดว่าตัวเองยังมีโอกาสได้กลับบ้านหรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงถอนหายใจเบาๆ พลางพูดอย่างสง่างาม “บางครั้ง…ท่านก็ไม่ควรมั่นใจจนเกินไป มีหลายสิ่งที่…อาจไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านเห็น เฮ้อ…หากท่านบังคับข้า ข้าก็คงต้องแสดงมณีธาตุของข้าให้ดูตามที่ท่านต้องการ นี่ไง ดูให้ดีล่ะ”

ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขาก็ค่อยๆ ยกมือซ้ายขึ้น ดึงแขนเสื้อยาวๆ ที่ปกปิดข้อมือออกและเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เขาหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ช้าๆ ไม่นานมณีสวรรค์ของเขาก็ปรากฏขึ้น

คราวนี้เป็นถึงตาของหมิงฮัวที่ต้องแสดงอาการแตกตื่น สิ่งที่เธอเห็นตรงหน้าคือไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวทอง 3 ดวง มันส่องแสงแวววาวขณะหมุนวนไปรอบๆ ข้อมือซ้ายของโจวเหว่ยชิง นี่เป็นกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ของธาตุมิติ มันชัดเจนและแตกต่างจากธาตุอื่นๆ มาก

“เป็นไปไม่ได้!” หมิงฮัวอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อ เธอมั่นใจในการตัดสินของตัวเองมาก…แต่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามณีธาตุของโจวเหว่ยชิงจะเป็นไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวที่บ่งบอกธาตุมิติจริงๆ!

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ก็อย่างที่ข้าบอก อาจารย์ ท่านมั่นใจมากเกินไป เอาล่ะ…ถ้าไม่มีอะไร ข้าคงต้องขอตัวก่อน แน่นอนว่าถ้าอาจารย์อยากมาเยี่ยมห้องนอนของข้าตอนดึก ข้าก็จะไม่ปฏิเสธ…ถ้าข้าเดาไม่ผิด ท่านก็ยังบริสุทธิ์อยู่  นี่…ไม่ว่าท่านจะพยายามทำตัวยั่วยวนแค่ไหน…มันก็ปกปิดสายตาข้าไม่ได้หรอก! ลาก่อน!”

หลังจากพูดจบ โจวเหว่ยชิงก็หมุนตัวออกจากห้องไป อย่างไรก็ตาม หลังจากออกจากห้องได้แล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นจริงจังอีกครั้ง หมิงฮัวเดาได้ถูกต้องจริงๆ ว่าเขามีทักษะธาตุปีศาจและยังคิดถูกที่บอกว่าเขาสามารถควบคุมสถานะปีศาจกลายร่างได้! นี่เป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับโจวเหว่ยชิง…เขาควรจะฆ่าเธอทิ้งหรือไม่?

หลังจากโจวเหว่ยชิงจากไป ใบหน้าของหมิงฮัวก็ซีดลงด้วยความโกรธ หลังจากนั้นไม่นานเธอก็สะบัดมือเหวี่ยงถ้วยลงพื้นแล้วทุบให้เป็นเศษเล็กน้อย เธอกัดฟันพูดว่า “โจวเหว่ยชิง…เจ้าคนสารเลว…ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้าแน่!”

หลังจากนั้นไม่นาน อาการหอบหายใจของเธอก็สงบลงในที่สุด…และเมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ดวงตาของเธอก็เผยให้เห็นประกายบางอย่างที่ลึกล้ำ

“นั่นเป็นไปไม่ได้แน่นอน…เขามีทักษะธาตุปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้  ในการโจมตีครั้งสุดท้ายของเมื่อวาน เขาใช้ทักษะการควบคุมของธาตุอื่นๆ มากกว่าหนึ่งอย่าง…ทักษะเหล่านั้นไม่ใช่ทักษะธาตุมิติอย่างแน่นอน ข้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรกจะเข้าใจเรื่องนี้ผิดได้อย่างไร? ต้องมีบางอย่างที่ข้ามองข้ามไปแน่…หรือบางที…เขาอาจมีของวิเศษบางอย่างที่สามารถปกปิดมณีธาตุของเขาได้! ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ!”

“ โจวเหว่ยชิง…รอก่อนเถอะ…ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่ามณีธาตุที่แท้จริงของเจ้าคืออะไร…รอข้าก่อนเถอะ…!”

…………………………………

หลังจากที่เธอหายตัวเข้าไปในอาคาร เหล่าผู้คุ้มกันก็ดูเหมือนจะเพิ่งตื่นจากภวังค์ “เจ้าเดาได้ไหมว่านางอายุเท่าไหร่?” “ไม่ ข้าไม่เดาไม่ได้เลย แต่นางถึงกับเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นสูงสุด! นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังเข้ามาในวังกักเก็บทักษะของเราเช่นนี้ ข้าสงสัยว่าทำไมนางถึงไม่ไปที่อาณาจักรวั่นโซ่วโดยตรงเพื่อตามหาอสูรสวรรค์ที่เหมาะสมกว่า” “ใครจะไปรู้ล่ะ? อย่างไรข้าก็ขอเดาว่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นสูงสุดผู้นี้น่าจะเป็นจ้าวมณีธาตุแสง…ดูสิ นางช่างสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์” หลังจากเข้าสู่วังกักเก็บทักษะแล้ว หญิงสาวผมขาวก็ไม่ได้ผ่อนฝีเท้าแต่อย่างใด เธอตรงเข้าไปยังเส้นทางที่นำไปสู่พื้นที่ส่วนกักเก็บทักษะธาตุมิติ ทุกย่างก้าวของเธอราวกับสามารถพาตัวเองไปด้านหน้าได้เกือบ 10 เมตรอย่างเป็นธรรมชาติ ล่องลอยไปบนพื้นกับว่าเธอไม่มีร่างกายจริงๆ ไม่นานนักเธอก็มาถึงห้องโถงเลือกระดับอสูรสวรรค์ เจ้าหน้าที่วังกักเก็บทักษะทั้ง  2 คนที่เฝ้าห้องโถงกำลังจะถามอีกฝ่ายว่ากำลังมองหาอสูรสวรรค์ระดับไหน แต่ทว่าหลังจากหญิงสาวผมขาวผู้นั้นโบกมือซ้ายของเธอน้อยๆ ให้แสงสีขาวสลัวสว่างวาบขึ้นมา ชายทั้ง 2 คนก็หงายหลังกลับไปที่เก้าอี้ของตนอย่างหมดสภาพ เมื่อแสงสีขาวกระพริบอีกครั้ง ร่างของเธอก็ทะลุหายลับเข้าไปในช่องทางที่เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ราวกับสายฟ้าฟาด ทางซึ่งนำไปสู่อสูรสวรรค์ระดับราชาเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ จักรพรรดิสีเงิน ไม่นานเธอก็มาปรากฏตัวต่อหน้าจักรพรรดิสีเงิน ราวกับสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของเธอ จักรพรรดิสีเงินซึ่งถูกล่ามอยู่กับพื้นโดยตราประทับธาตุมืดที่ทรงพลังก็เงยหน้าขึ้น เมื่อมันเห็นหญิงสาวผมขาว มันก็เริ่มส่งเสียงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ขนสีเงินบนตัวของมันลุกชันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตายังแสดงออกถึงความระริกระรี้ หญิงสาวผมขาวยกมือซ้ายของเธอขึ้นมาอีกครั้ง แสงสีขาวเข้มข้นหมุนวนออกมาห่อหุ้มร่างของจักรพรรดิสีเงินไว้เงียบๆ ทันทีที่แสงสีขาวนั้นปะทะกับตราประทับธาตุมืดที่หน้าผาก และส่วนปีกของมัน ร่างกายของจักรพรรดิสีเงินก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ ทันใดนั้นแสงเจิดจ้าสีขาวน้ำนมก็เปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามตา ตราประทับธาตุมืดสีดำทั้ง 3 ก็เริ่มจางหายไปเหมือนหิมะที่หลอมละลายภายใต้ดวงอาทิตย์ยามฤดูร้อน จักรพรรดิสีเงินสะบัดปีกกางออกกว้างอย่างรุนแรง กลิ่นอายที่ทรงพลังและน่าหวาดกลัวพลันระเบิดออกมาจากร่างของมัน แว่วเสียงอะไรบางอย่างแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นโซ่บนร่างกายของนกตัวจ้อยก็ขาดออกจากกัน ไม่นานเสียงกรีดร้องที่ถูกระงับมาเป็นเวลานานก็ดังก้องออกมาจากปากของมัน หญิงสาวผมขาวมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยแววตาไม่ทุกข์ร้อน สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เธอสะบัดมือขวาอีกครั้ง แสงสีทองสว่างเป็นประกายก็พร่างพรมลงที่หน้าผากของจักรพรรดิสีเงิน ทันใดนั้นทั้งร่างของมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองสลัวๆ กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวรอบๆ ตัวมันก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า ดวงตาที่ฉายแววอ่อนล้าก็กลับมาแข็งแกร่งและทรงพลังขึ้น จากนั้นสัญลักษณ์สีทองก็ปรากฏขึ้นที่หน้าผากของมัน ในที่สุดหญิงสาวผมขาวก็เปิดปาก…เสียงของเธอนุ่มนวลและน่าฟัง…มีเสน่ห์แต่ทว่าก็ยังดูเหมือนไร้อารมณ์ “ตอนนี้ข้าช่วยเจ้าจากการคุมขังที่ทรมาน…ในอนาคต เจ้าคือคนของเทพหิมะ มากับข้า…” จักรพรรดิสีเงินพยักหน้าซ้ำๆ เสียงกรีดร้องของมันค่อยๆ แผ่วลงอย่างเชื่องช้า กลิ่นอายที่ดุดันและน่าสะพรึงกลัวซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของอสูรสวรรค์ระดับราชาค่อยๆ สงบลงและจางหายไป จักรพรรดิสีเงินกางปีกออก จากนั้นบินทะยานออกมาร่อนลงบนไหล่ของเธอ แสงสีขาวสลัวค่อยๆ แผ่ขึ้นมาห่อหุ้มร่างของทั้งคู่เอาไว้ จากนั้นร่างของทั้ง 2 ก็ลอยขึ้นช้าๆ แสงสีขาวรอบๆ ร่างบิดเบี้ยวจนกลายเป็นก้อนกลมๆ และพุ่งทะยานออกไปจากวังกักเก็บทักษะราวกับสายฟ้าฟาด ก่อนหน้านี้เมื่อจักรพรรดิสีเงินกรีดร้องโหยหวนออกมา อาคารในวังกักเก็บทักษะต่างก็สั่นสะเทือนด้วยเสียงสะท้อนก้องที่รุนแรงของมัน ทันใดนั้น กลิ่นอายอันทรงพลังทั้ง 10 ก็ถูกปลุกขึ้นจากระยะไกลๆ ทั้งหมดต่างก็พุ่งตัวมายังวังกักเก็บทักษะด้วยความรวดเร็ว แต่ทว่าช่างน่าเสียดาย เมื่อไปถึงสิ่งที่พวกเขาเห็นคือก้อนพลังสีขาวขุ่นที่กำลังพุ่งปรี่ออกมาจากวังกักเก็บทักษะ ทันใดนั้นกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวทั้ง 10 ก็ร่วมมือกันล้อมก้อนแสงสีขาวนั้นไว้ด้วยความโกรธ เสียงคำรามที่อัดแน่นไปด้วยความเดือดดาลดังออกมาจากก้อนแสงนั้นพร้อมกับสายฟ้าสีเงินที่กะพริบออกมาเป็นระยะ มันทรงพลังราวกับว่าสายฟ้าสีเงินนั้นสามารถฉีกกระชากและกลืนกินวังกักเก็บทักษะได้ทั้งหลัง แม้ว่าทั้งคู่จะถูกปกคลุมด้วยแสงสีขาวสว่างจ้า แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งเด็กสาวผมขาวและนกน้อยกำลังถูกม่านพลังความมืดทั้ง 10 โอบล้อมเอาไว้  ในพริบตาต่อมา ทั้งแสงสีเงินและแสงสีขาวก็ดูเหมือนจะพร้อมใจกันระเบิดพลังออกมา ในพริบตานั้นม่านพลังธาตุมืดที่ล้อมรอบและปิดกั้นทางหนีของทั้งคู่ก็สูญสลายหายไปทันที จากนั้นหญิงสาวผมขาวและนกน้อยก็พุ่งทะยานหายไปจนลิบตา หลังจากความโกรธเกรี้ยวของผู้ทรงพลังทั้ง 10 ของวังกักเก็บทักษะได้เบาบางลงแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าเข้าไปตรวจสอบห้องโถงหินของจักรพรรดิสีเงินและก็พบอักษรสีทองถูกสลักทิ้งเอาไว้ที่นั่น “กล้ากักขังอสูรสวรรค์ระดับราชาได้อย่างไร? ตอนนี้มันกลับสู่อ้อมแขนของภูเขาเทพหิมะแล้ว ถ้าเจ้ายังไม่เลิก   รา…ก็จงรอวันสูญสิ้น” เมื่อเห็นคำพูดนั้น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง พวกเขาอุทานว่า “ภูเขาเทพหิมะ…ซวยแล้ว!” … กลับมาที่โรงเรียนทหารเฟยหลี่ “อ้วนน้อย ตื่นเดี๋ยวนี้ พิธีเปิดจบแล้ว” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สะกิดโจวเหว่ยชิงที่งีบหลับอยู่ข้างๆ เธอ “หืม? จบ? อืม…น่าประทับใจๆ คำพูดของอาจารย์สร้างแรงบันดาลได้ดีจริงๆ” โจวเหว่ยชิงยังไม่ลืมตา แต่คำพูดนั้นก็หลุดออกมาจากปากของเขาแล้ว เมื่อได้ฟังคำพูดของเพื่อนคนนี้ นักเรียนที่นั่งอยู่รายรอบและเห็นเขาน้ำลายไหลขณะที่งีบหลับต่างก็พูดไม่ออก เมื่อโจวเหว่ยชิงลืมตาขึ้น ผู้มีอำนาจทั้งหมดของโรงเรียนก็จากไปแล้ว นักเรียนหลายคนก็กำลังลุกขึ้นยืนและเตรียมตัวจากไป “แรงบันดาลใจ?” เสียงเยาะเย้ยของหมิงฮัวดังเข้ามาในหูทำให้โจวเหว่ยชิงตื่นเต็มตาทันที “นักเรียนห้องเรียนเอกสามัญตามข้ากลับไปที่ห้องเรียน” ไม่นานนักเรียนทุกคนจึงมุ่งหน้าไปยังประตูทางออกของห้องประชุมตามคำแนะนำของหมิงฮัว หมิงฮัวสบตาโจวเหว่ยชิง เมื่อสบตากัน เขาก็ยักคิ้วให้อีกฝ่ายในขณะที่เธอก็โปรยยิ้มให้เขาอย่างทรงเสน่ห์ ราวกับว่าการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างพวกเขาไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ห้องเรียนของสามัญชนตั้งอยู่ที่ชั้นหนึ่งของอาคารเรียนหลักเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงมาถึงที่ห้องได้อย่างรวดเร็วหลังจากออกห้องประชุมได้ไม่นาน ในห้องเรียนมีทั้งหมด 40 ที่นั่ง มากเกินพอสำหรับพวกเขาทั้ง 29 คน ในบรรดานักเรียนทั้งหมด หม่าฉุนและโจวเหว่ยชิงนั้นตัวสูงใหญ่ที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องนั่งอยู่ด้านหลังสุดไปโดยปริยาย เดิมทีโจวเหว่ยชิงต้องการให้ซ่างกวนปิง เอ๋อร์นั่งข้างๆ เขา แต่เธอกลับปฏิเสธ เหตุผลของเธอนั้นง่ายมาก ถ้าเธอนั่งข้างๆ เขา เขาก็จะพยายามทำตัวสนิทสนมกับเธอตลอดเวลา เมื่อเป็นดังนั้นพวกเขาจะสนใจการเรียนได้อย่างไร หมิงฮัวยืนอยู่ที่แท่นพูดด้านหน้าห้อง ในขณะนี้เธอไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าอีกต่อไป ภาพที่เห็นจึงเป็นภาพของอาจารย์ที่จริงจังมากผู้หนึ่ง อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ของเธอดูยังดูยั่วเย้าและน่าดึงดูดมาก…นักเรียนชายส่วนใหญ่จึงจ้องมองไปที่เธอเป็นตาเดียว อีกทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกว่าตนโชคดีที่ได้อยู่ในห้องเรียนสามัญชน! อย่างน้อยห้องชนชั้นสูงก็ไม่มีอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมเช่นหมิงฮัว! หมิงฮัวกล่าวว่า “สวัสดีทุกคน ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ข้าชื่อหมิงฮัว 4 ปีต่อไปนี้ ข้าจะเป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเจ้า ข้าจะไม่พูดอะไรไร้สาระอีก…เมื่อเทียบกันแล้ว ห้องเรียนชั้นสามัญของเรานั้นมีพรสวรรค์สูงกว่าห้องเรียนชนชั้นสูงห้องอื่นๆแน่นอน ในอนาคต หากมีการทดสอบหรือการจัดสอบใดๆ เป้าหมายของพวกเราคืออันดับหนึ่งเสมอ ส่วนการเรียนการสอนจริงๆ จะเริ่มในวันพรุ่งนี้ เอาล่ะ นี่คือตารางเรียน…ทุกคนส่งต่อไปให้ทั่วห้อง” กล่าวจบเธอจึงสะบัดมือขึ้นและมีกระดาษปึกหนึ่งปรากฏในฝ่ามือของเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอน่าจะมีแหวนมิติหรือสร้อยมิติบางประเภท เธอส่งตารางเรียนให้กับนักเรียนแถวหน้า โจวเหว่ยชิงนั่งอยู่ด้านหลัง เขาจึงเป็นคนสุดท้ายที่ได้ตารางเรียน เมื่อกวาดตามองครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าในอนาคตจะมีเรื่องปวดหัวรออยู่อีกมาก…วิชาหลักๆ คือประวัติศาสตร์ของทวีป ภูมิศาสตร์ การสืบข่าวและสายลับ การวิเคราะห์การต่อสู้ กลยุทธ์การต่อสู้ ความสามารถในการต่อสู้เฉพาะตัว การจำลองโต๊ะทรายสนามรบ และการจำลองการต่อสู้อื่นๆ…นี่เป็นแค่วิชาบางส่วนของจากทั้งหมด 10 กว่าวิชาที่พวกเขาต้องเรียน ทุกวันจะมี 2 คาบเรียน หนึ่งวิชาในตอนเช้าและหนึ่งวิชาในตอนบ่าย เวลาเรียนจะสิ้นสุดลงในเวลาใกล้ค่ำ ทั้งสัปดาห์ทุกคนต้องเรียนเนื้อหาที่อัดแน่นมาก อีกทั้งยังมีวันหยุดแค่เพียงวันเดียว สำหรับคนอย่างโจวเหว่ยชิงที่ไม่เคยเรียนโรงเรียนเตรียมทหารระดับกลางมาก่อน นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก เมื่อแจกจ่ายตารางเรียนออกไปและเห็นว่าทุกคนได้กวาดตามองเรียบร้อยแล้ว หมิงฮัวก็กล่าวต่อ “ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ขาดเรียน มาสายหรือออกก่อนเวลา จะมีการทดสอบทุกเดือนและการสอบไล่ทุกสิ้นปี ผู้ที่ไม่ผ่านการสอบไล่ประจำปีจะถูกบังคับให้ออกจากโรงเรียน ในช่วงบ่าย ทุกคนสามารถไปที่แผนกกิจการนักเรียนเพื่อรับเอกสารประกอบการเรียนและหนังสือได้ หากมีคำถามอื่นๆ ในอนาคต พวกเจ้าสามารถมาถามข้าได้ หลักสูตรที่ข้าสอนเป็นหลักคือ 3 ส่วนต่อไปนี้ การสืบข่าวและการสอดแนม การวิเคราะห์การรบ และความสามารถในการต่อสู้เฉพาะตัว” หม่าฉุนที่นั่งถัดจากโจวเหว่ยชิงร้องออกมาอย่างตื่นเต้นทันที “อาจารย์…ในวิชาความสามารถในการต่อสู้เฉพาะตัว…นั่นหมายความว่าเราสามารถต่อสู้กับท่านได้หรือไม่? หากมีการสัมผัสเนื้อตัวกัน…หึหึ…อาจารย์จะไม่ตำหนิพวกเราใช่ไหม?” หมิงฮ่าวยิ้มน้อยๆ น้ำเสียงแฝงความเจ้าเล่ห์และชั่วร้าย “ไม่ตำหนิแน่นอน อย่างไรก็ตาม…หากจะต่อยตีกับข้า…เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดี…เพราะข้าไม่ค่อยยั้งมือเท่าไหร่…ชื่อของเจ้าคือหม่าฉุนใช่ไหม? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณียุทธ์ประเภทป้องกันแบบบริสุทธิ์… ” หม่าฉุนยกมือขึ้นตบหน้าอกตนเองและกล่าวว่า “ใช่ขอรับอาจารย์! พลังปราณสวรรค์ของข้าอยู่ที่ขั้นพื้นฐานระดับ 7…ข้าเกือบจะมีมณีชุดที่ 2 แล้ว” หมิงฮัวพยักหน้าและกล่าวว่า “ดีมาก พรุ่งนี้เรามีเรียนวิชาความสามารถในการต่อสู้เฉพาะตัวพอดี ดังนั้นข้าไม่รังเกียจที่จะฝึกซ้อมให้เจ้าเป็นการส่วนตัว” หม่าฉุนดีใจมาก แม้ว่าหมิงฮัวจะเป็นอาจารย์ แต่อย่างไรนี่ก็เป็นโรงเรียนทหาร…เขาไม่คิดว่าสาวงามที่ดูอ่อนแออย่างหมิงฮัวจะแข็งแกร่งกว่าเขามากนัก แม้ว่าเธอจะแข็งแกร่งกว่าเขาเล็กน้อย เขาก็ยังมั่นใจในพลังการป้องกันของตน เอง…การถูกคนงามฟาดเช่นนั้นน่ะหรือ…ฮิๆ…มันก็เป็นความสุขไปอีกแบบ! ถ้าเขาสามารถสัมผัสเธอได้…นั่นก็คงจะยอดเยี่ยมมากทีเดียว! โจวเหว่ยชิงมองหม่าฉุนด้วยสายตาแสดงความสงสาร เขาย่อมรู้ดีถึงพลังที่แท้จริงของหมิงฮัว แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงไม่ออกปากเตือนหม่าฉุนแม้แต่น้อย หึๆ…ถ้าได้ต่อสู้กับหมิงฮัว เจ้ายักษ์นี่ได้ตกที่นั่งลำบากแน่ สายตาของหมิงฮัวย้ายจากหม่าฉุนไปที่โจวเหว่ยชิงขณะที่เธอพูดต่อ “ก่อนหน้านี้ โจวเหว่ยชิงบอกว่าเขาอยากเป็นหัวหน้าห้องของเรา อีกทั้งยังจะสนับสนุนสิ่งที่ทุกคนต้องการทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บ ข้ามีความสุขมากที่ห้องของเรามีนักเรียนใจดีเช่นนี้ ใครจะคัดค้านเกี่ยวกับการเป็นหัวหน้าห้องของเขาบ้างไหม?” โดยไม่มีคำถาม…ทุกคนลงคะแนนให้โจวเหว่ยชิง ผู้ที่กำลังจ้องมองหมิงฮัวอย่างลำพองใจ หมิงฮัวไม่ได้เผยบุคลิกที่แท้จริงของเธอออกมาเหมือนกับตอนที่ต่อสู้กับโจวเหว่ยชิงเมื่อวานนี้ ตอนนี้เธอจึงดูเหมือนอาจารย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง “เอาล่ะ งั้นโจวเหว่ยชิงจะเป็นหัวหน้าห้องของเรา โข่วรุ่ย ข้าได้เห็นคำตอบในการสอบเข้าของเจ้าแล้ว…ในแง่ของการวิเคราะห์สถานการณ์ในสนามรบ เจ้าได้แสดงความสามารถมากมายทั้งในแง่ของการสืบข่าวและสายลับ พร้อมทั้งคิดค้นการต่อสู้ในแบบกองโจรวิธีใหม่ๆ มากมาย ข้าเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถในด้านนี้สูงมากและข้าก็จะให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บที่เหมาะสมกับเพื่อนร่วมชั้นทุกคน เมื่อทำเสร็จก็ส่งข้อมูลให้หัวหน้าห้องของเจ้า” …………………………

หลังจากที่เธอหายตัวเข้าไปในอาคาร เหล่าผู้คุ้มกันก็ดูเหมือนจะเพิ่งตื่นจากภวังค์

“เจ้าเดาได้ไหมว่านางอายุเท่าไหร่?”

“ไม่ ข้าไม่เดาไม่ได้เลย แต่นางถึงกับเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นสูงสุด! นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังเข้ามาในวังกักเก็บทักษะของเราเช่นนี้ ข้าสงสัยว่าทำไมนางถึงไม่ไปที่อาณาจักรวั่นโซ่วโดยตรงเพื่อตามหาอสูรสวรรค์ที่เหมาะสมกว่า”

“ใครจะไปรู้ล่ะ? อย่างไรข้าก็ขอเดาว่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นสูงสุดผู้นี้น่าจะเป็นจ้าวมณีธาตุแสง…ดูสิ นางช่างสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์”

หลังจากเข้าสู่วังกักเก็บทักษะแล้ว หญิงสาวผมขาวก็ไม่ได้ผ่อนฝีเท้าแต่อย่างใด เธอตรงเข้าไปยังเส้นทางที่นำไปสู่พื้นที่ส่วนกักเก็บทักษะธาตุมิติ ทุกย่างก้าวของเธอราวกับสามารถพาตัวเองไปด้านหน้าได้เกือบ 10 เมตรอย่างเป็นธรรมชาติ ล่องลอยไปบนพื้นกับว่าเธอไม่มีร่างกายจริงๆ ไม่นานนักเธอก็มาถึงห้องโถงเลือกระดับอสูรสวรรค์

เจ้าหน้าที่วังกักเก็บทักษะทั้ง  2 คนที่เฝ้าห้องโถงกำลังจะถามอีกฝ่ายว่ากำลังมองหาอสูรสวรรค์ระดับไหน แต่ทว่าหลังจากหญิงสาวผมขาวผู้นั้นโบกมือซ้ายของเธอน้อยๆ ให้แสงสีขาวสลัวสว่างวาบขึ้นมา ชายทั้ง 2 คนก็หงายหลังกลับไปที่เก้าอี้ของตนอย่างหมดสภาพ เมื่อแสงสีขาวกระพริบอีกครั้ง ร่างของเธอก็ทะลุหายลับเข้าไปในช่องทางที่เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ราวกับสายฟ้าฟาด ทางซึ่งนำไปสู่อสูรสวรรค์ระดับราชาเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ จักรพรรดิสีเงิน

ไม่นานเธอก็มาปรากฏตัวต่อหน้าจักรพรรดิสีเงิน

ราวกับสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของเธอ จักรพรรดิสีเงินซึ่งถูกล่ามอยู่กับพื้นโดยตราประทับธาตุมืดที่ทรงพลังก็เงยหน้าขึ้น เมื่อมันเห็นหญิงสาวผมขาว มันก็เริ่มส่งเสียงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ขนสีเงินบนตัวของมันลุกชันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตายังแสดงออกถึงความระริกระรี้

หญิงสาวผมขาวยกมือซ้ายของเธอขึ้นมาอีกครั้ง แสงสีขาวเข้มข้นหมุนวนออกมาห่อหุ้มร่างของจักรพรรดิสีเงินไว้เงียบๆ ทันทีที่แสงสีขาวนั้นปะทะกับตราประทับธาตุมืดที่หน้าผาก และส่วนปีกของมัน ร่างกายของจักรพรรดิสีเงินก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่

ทันใดนั้นแสงเจิดจ้าสีขาวน้ำนมก็เปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามตา ตราประทับธาตุมืดสีดำทั้ง 3 ก็เริ่มจางหายไปเหมือนหิมะที่หลอมละลายภายใต้ดวงอาทิตย์ยามฤดูร้อน

จักรพรรดิสีเงินสะบัดปีกกางออกกว้างอย่างรุนแรง กลิ่นอายที่ทรงพลังและน่าหวาดกลัวพลันระเบิดออกมาจากร่างของมัน แว่วเสียงอะไรบางอย่างแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นโซ่บนร่างกายของนกตัวจ้อยก็ขาดออกจากกัน ไม่นานเสียงกรีดร้องที่ถูกระงับมาเป็นเวลานานก็ดังก้องออกมาจากปากของมัน

หญิงสาวผมขาวมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยแววตาไม่ทุกข์ร้อน สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เธอสะบัดมือขวาอีกครั้ง แสงสีทองสว่างเป็นประกายก็พร่างพรมลงที่หน้าผากของจักรพรรดิสีเงิน ทันใดนั้นทั้งร่างของมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองสลัวๆ กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวรอบๆ ตัวมันก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า ดวงตาที่ฉายแววอ่อนล้าก็กลับมาแข็งแกร่งและทรงพลังขึ้น จากนั้นสัญลักษณ์สีทองก็ปรากฏขึ้นที่หน้าผากของมัน

ในที่สุดหญิงสาวผมขาวก็เปิดปาก…เสียงของเธอนุ่มนวลและน่าฟัง…มีเสน่ห์แต่ทว่าก็ยังดูเหมือนไร้อารมณ์

“ตอนนี้ข้าช่วยเจ้าจากการคุมขังที่ทรมาน…ในอนาคต เจ้าคือคนของเทพหิมะ มากับข้า…”

จักรพรรดิสีเงินพยักหน้าซ้ำๆ เสียงกรีดร้องของมันค่อยๆ แผ่วลงอย่างเชื่องช้า กลิ่นอายที่ดุดันและน่าสะพรึงกลัวซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของอสูรสวรรค์ระดับราชาค่อยๆ สงบลงและจางหายไป จักรพรรดิสีเงินกางปีกออก จากนั้นบินทะยานออกมาร่อนลงบนไหล่ของเธอ แสงสีขาวสลัวค่อยๆ แผ่ขึ้นมาห่อหุ้มร่างของทั้งคู่เอาไว้ จากนั้นร่างของทั้ง 2 ก็ลอยขึ้นช้าๆ แสงสีขาวรอบๆ ร่างบิดเบี้ยวจนกลายเป็นก้อนกลมๆ และพุ่งทะยานออกไปจากวังกักเก็บทักษะราวกับสายฟ้าฟาด

ก่อนหน้านี้เมื่อจักรพรรดิสีเงินกรีดร้องโหยหวนออกมา อาคารในวังกักเก็บทักษะต่างก็สั่นสะเทือนด้วยเสียงสะท้อนก้องที่รุนแรงของมัน ทันใดนั้น กลิ่นอายอันทรงพลังทั้ง 10 ก็ถูกปลุกขึ้นจากระยะไกลๆ ทั้งหมดต่างก็พุ่งตัวมายังวังกักเก็บทักษะด้วยความรวดเร็ว

แต่ทว่าช่างน่าเสียดาย เมื่อไปถึงสิ่งที่พวกเขาเห็นคือก้อนพลังสีขาวขุ่นที่กำลังพุ่งปรี่ออกมาจากวังกักเก็บทักษะ ทันใดนั้นกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวทั้ง 10 ก็ร่วมมือกันล้อมก้อนแสงสีขาวนั้นไว้ด้วยความโกรธ

เสียงคำรามที่อัดแน่นไปด้วยความเดือดดาลดังออกมาจากก้อนแสงนั้นพร้อมกับสายฟ้าสีเงินที่กะพริบออกมาเป็นระยะ มันทรงพลังราวกับว่าสายฟ้าสีเงินนั้นสามารถฉีกกระชากและกลืนกินวังกักเก็บทักษะได้ทั้งหลัง แม้ว่าทั้งคู่จะถูกปกคลุมด้วยแสงสีขาวสว่างจ้า แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งเด็กสาวผมขาวและนกน้อยกำลังถูกม่านพลังความมืดทั้ง 10 โอบล้อมเอาไว้  ในพริบตาต่อมา ทั้งแสงสีเงินและแสงสีขาวก็ดูเหมือนจะพร้อมใจกันระเบิดพลังออกมา ในพริบตานั้นม่านพลังธาตุมืดที่ล้อมรอบและปิดกั้นทางหนีของทั้งคู่ก็สูญสลายหายไปทันที จากนั้นหญิงสาวผมขาวและนกน้อยก็พุ่งทะยานหายไปจนลิบตา

หลังจากความโกรธเกรี้ยวของผู้ทรงพลังทั้ง 10 ของวังกักเก็บทักษะได้เบาบางลงแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าเข้าไปตรวจสอบห้องโถงหินของจักรพรรดิสีเงินและก็พบอักษรสีทองถูกสลักทิ้งเอาไว้ที่นั่น

“กล้ากักขังอสูรสวรรค์ระดับราชาได้อย่างไร? ตอนนี้มันกลับสู่อ้อมแขนของภูเขาเทพหิมะแล้ว ถ้าเจ้ายังไม่เลิก   รา…ก็จงรอวันสูญสิ้น”

เมื่อเห็นคำพูดนั้น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง พวกเขาอุทานว่า “ภูเขาเทพหิมะ…ซวยแล้ว!”

กลับมาที่โรงเรียนทหารเฟยหลี่

“อ้วนน้อย ตื่นเดี๋ยวนี้ พิธีเปิดจบแล้ว” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สะกิดโจวเหว่ยชิงที่งีบหลับอยู่ข้างๆ เธอ

“หืม? จบ? อืม…น่าประทับใจๆ คำพูดของอาจารย์สร้างแรงบันดาลได้ดีจริงๆ” โจวเหว่ยชิงยังไม่ลืมตา แต่คำพูดนั้นก็หลุดออกมาจากปากของเขาแล้ว เมื่อได้ฟังคำพูดของเพื่อนคนนี้ นักเรียนที่นั่งอยู่รายรอบและเห็นเขาน้ำลายไหลขณะที่งีบหลับต่างก็พูดไม่ออก

เมื่อโจวเหว่ยชิงลืมตาขึ้น ผู้มีอำนาจทั้งหมดของโรงเรียนก็จากไปแล้ว นักเรียนหลายคนก็กำลังลุกขึ้นยืนและเตรียมตัวจากไป

“แรงบันดาลใจ?” เสียงเยาะเย้ยของหมิงฮัวดังเข้ามาในหูทำให้โจวเหว่ยชิงตื่นเต็มตาทันที “นักเรียนห้องเรียนเอกสามัญตามข้ากลับไปที่ห้องเรียน”

ไม่นานนักเรียนทุกคนจึงมุ่งหน้าไปยังประตูทางออกของห้องประชุมตามคำแนะนำของหมิงฮัว

หมิงฮัวสบตาโจวเหว่ยชิง เมื่อสบตากัน เขาก็ยักคิ้วให้อีกฝ่ายในขณะที่เธอก็โปรยยิ้มให้เขาอย่างทรงเสน่ห์ ราวกับว่าการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างพวกเขาไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อวานนี้

ห้องเรียนของสามัญชนตั้งอยู่ที่ชั้นหนึ่งของอาคารเรียนหลักเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงมาถึงที่ห้องได้อย่างรวดเร็วหลังจากออกห้องประชุมได้ไม่นาน

ในห้องเรียนมีทั้งหมด 40 ที่นั่ง มากเกินพอสำหรับพวกเขาทั้ง 29 คน ในบรรดานักเรียนทั้งหมด หม่าฉุนและโจวเหว่ยชิงนั้นตัวสูงใหญ่ที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องนั่งอยู่ด้านหลังสุดไปโดยปริยาย เดิมทีโจวเหว่ยชิงต้องการให้ซ่างกวนปิง เอ๋อร์นั่งข้างๆ เขา แต่เธอกลับปฏิเสธ เหตุผลของเธอนั้นง่ายมาก ถ้าเธอนั่งข้างๆ เขา เขาก็จะพยายามทำตัวสนิทสนมกับเธอตลอดเวลา เมื่อเป็นดังนั้นพวกเขาจะสนใจการเรียนได้อย่างไร

หมิงฮัวยืนอยู่ที่แท่นพูดด้านหน้าห้อง ในขณะนี้เธอไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าอีกต่อไป ภาพที่เห็นจึงเป็นภาพของอาจารย์ที่จริงจังมากผู้หนึ่ง อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ของเธอดูยังดูยั่วเย้าและน่าดึงดูดมาก…นักเรียนชายส่วนใหญ่จึงจ้องมองไปที่เธอเป็นตาเดียว อีกทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกว่าตนโชคดีที่ได้อยู่ในห้องเรียนสามัญชน! อย่างน้อยห้องชนชั้นสูงก็ไม่มีอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมเช่นหมิงฮัว!

หมิงฮัวกล่าวว่า “สวัสดีทุกคน ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ข้าชื่อหมิงฮัว 4 ปีต่อไปนี้ ข้าจะเป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเจ้า ข้าจะไม่พูดอะไรไร้สาระอีก…เมื่อเทียบกันแล้ว ห้องเรียนชั้นสามัญของเรานั้นมีพรสวรรค์สูงกว่าห้องเรียนชนชั้นสูงห้องอื่นๆแน่นอน ในอนาคต หากมีการทดสอบหรือการจัดสอบใดๆ เป้าหมายของพวกเราคืออันดับหนึ่งเสมอ ส่วนการเรียนการสอนจริงๆ จะเริ่มในวันพรุ่งนี้ เอาล่ะ นี่คือตารางเรียน…ทุกคนส่งต่อไปให้ทั่วห้อง” กล่าวจบเธอจึงสะบัดมือขึ้นและมีกระดาษปึกหนึ่งปรากฏในฝ่ามือของเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอน่าจะมีแหวนมิติหรือสร้อยมิติบางประเภท

เธอส่งตารางเรียนให้กับนักเรียนแถวหน้า

โจวเหว่ยชิงนั่งอยู่ด้านหลัง เขาจึงเป็นคนสุดท้ายที่ได้ตารางเรียน เมื่อกวาดตามองครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าในอนาคตจะมีเรื่องปวดหัวรออยู่อีกมาก…วิชาหลักๆ คือประวัติศาสตร์ของทวีป ภูมิศาสตร์ การสืบข่าวและสายลับ การวิเคราะห์การต่อสู้ กลยุทธ์การต่อสู้ ความสามารถในการต่อสู้เฉพาะตัว การจำลองโต๊ะทรายสนามรบ และการจำลองการต่อสู้อื่นๆ…นี่เป็นแค่วิชาบางส่วนของจากทั้งหมด 10 กว่าวิชาที่พวกเขาต้องเรียน ทุกวันจะมี 2 คาบเรียน หนึ่งวิชาในตอนเช้าและหนึ่งวิชาในตอนบ่าย เวลาเรียนจะสิ้นสุดลงในเวลาใกล้ค่ำ ทั้งสัปดาห์ทุกคนต้องเรียนเนื้อหาที่อัดแน่นมาก อีกทั้งยังมีวันหยุดแค่เพียงวันเดียว สำหรับคนอย่างโจวเหว่ยชิงที่ไม่เคยเรียนโรงเรียนเตรียมทหารระดับกลางมาก่อน นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก

เมื่อแจกจ่ายตารางเรียนออกไปและเห็นว่าทุกคนได้กวาดตามองเรียบร้อยแล้ว หมิงฮัวก็กล่าวต่อ “ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ขาดเรียน มาสายหรือออกก่อนเวลา จะมีการทดสอบทุกเดือนและการสอบไล่ทุกสิ้นปี ผู้ที่ไม่ผ่านการสอบไล่ประจำปีจะถูกบังคับให้ออกจากโรงเรียน ในช่วงบ่าย ทุกคนสามารถไปที่แผนกกิจการนักเรียนเพื่อรับเอกสารประกอบการเรียนและหนังสือได้ หากมีคำถามอื่นๆ ในอนาคต พวกเจ้าสามารถมาถามข้าได้ หลักสูตรที่ข้าสอนเป็นหลักคือ 3 ส่วนต่อไปนี้ การสืบข่าวและการสอดแนม การวิเคราะห์การรบ และความสามารถในการต่อสู้เฉพาะตัว”

หม่าฉุนที่นั่งถัดจากโจวเหว่ยชิงร้องออกมาอย่างตื่นเต้นทันที “อาจารย์…ในวิชาความสามารถในการต่อสู้เฉพาะตัว…นั่นหมายความว่าเราสามารถต่อสู้กับท่านได้หรือไม่? หากมีการสัมผัสเนื้อตัวกัน…หึหึ…อาจารย์จะไม่ตำหนิพวกเราใช่ไหม?”

หมิงฮ่าวยิ้มน้อยๆ น้ำเสียงแฝงความเจ้าเล่ห์และชั่วร้าย “ไม่ตำหนิแน่นอน อย่างไรก็ตาม…หากจะต่อยตีกับข้า…เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดี…เพราะข้าไม่ค่อยยั้งมือเท่าไหร่…ชื่อของเจ้าคือหม่าฉุนใช่ไหม? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณียุทธ์ประเภทป้องกันแบบบริสุทธิ์… ”

หม่าฉุนยกมือขึ้นตบหน้าอกตนเองและกล่าวว่า “ใช่ขอรับอาจารย์! พลังปราณสวรรค์ของข้าอยู่ที่ขั้นพื้นฐานระดับ 7…ข้าเกือบจะมีมณีชุดที่ 2 แล้ว”

หมิงฮัวพยักหน้าและกล่าวว่า “ดีมาก พรุ่งนี้เรามีเรียนวิชาความสามารถในการต่อสู้เฉพาะตัวพอดี ดังนั้นข้าไม่รังเกียจที่จะฝึกซ้อมให้เจ้าเป็นการส่วนตัว”

หม่าฉุนดีใจมาก แม้ว่าหมิงฮัวจะเป็นอาจารย์ แต่อย่างไรนี่ก็เป็นโรงเรียนทหาร…เขาไม่คิดว่าสาวงามที่ดูอ่อนแออย่างหมิงฮัวจะแข็งแกร่งกว่าเขามากนัก แม้ว่าเธอจะแข็งแกร่งกว่าเขาเล็กน้อย เขาก็ยังมั่นใจในพลังการป้องกันของตน เอง…การถูกคนงามฟาดเช่นนั้นน่ะหรือ…ฮิๆ…มันก็เป็นความสุขไปอีกแบบ! ถ้าเขาสามารถสัมผัสเธอได้…นั่นก็คงจะยอดเยี่ยมมากทีเดียว!

โจวเหว่ยชิงมองหม่าฉุนด้วยสายตาแสดงความสงสาร เขาย่อมรู้ดีถึงพลังที่แท้จริงของหมิงฮัว แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงไม่ออกปากเตือนหม่าฉุนแม้แต่น้อย หึๆ…ถ้าได้ต่อสู้กับหมิงฮัว เจ้ายักษ์นี่ได้ตกที่นั่งลำบากแน่

สายตาของหมิงฮัวย้ายจากหม่าฉุนไปที่โจวเหว่ยชิงขณะที่เธอพูดต่อ “ก่อนหน้านี้ โจวเหว่ยชิงบอกว่าเขาอยากเป็นหัวหน้าห้องของเรา อีกทั้งยังจะสนับสนุนสิ่งที่ทุกคนต้องการทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บ ข้ามีความสุขมากที่ห้องของเรามีนักเรียนใจดีเช่นนี้ ใครจะคัดค้านเกี่ยวกับการเป็นหัวหน้าห้องของเขาบ้างไหม?”

โดยไม่มีคำถาม…ทุกคนลงคะแนนให้โจวเหว่ยชิง ผู้ที่กำลังจ้องมองหมิงฮัวอย่างลำพองใจ

หมิงฮัวไม่ได้เผยบุคลิกที่แท้จริงของเธอออกมาเหมือนกับตอนที่ต่อสู้กับโจวเหว่ยชิงเมื่อวานนี้ ตอนนี้เธอจึงดูเหมือนอาจารย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง “เอาล่ะ งั้นโจวเหว่ยชิงจะเป็นหัวหน้าห้องของเรา โข่วรุ่ย ข้าได้เห็นคำตอบในการสอบเข้าของเจ้าแล้ว…ในแง่ของการวิเคราะห์สถานการณ์ในสนามรบ เจ้าได้แสดงความสามารถมากมายทั้งในแง่ของการสืบข่าวและสายลับ พร้อมทั้งคิดค้นการต่อสู้ในแบบกองโจรวิธีใหม่ๆ มากมาย ข้าเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถในด้านนี้สูงมากและข้าก็จะให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บที่เหมาะสมกับเพื่อนร่วมชั้นทุกคน เมื่อทำเสร็จก็ส่งข้อมูลให้หัวหน้าห้องของเจ้า”

…………………………

ขณะโจวเหว่ยชิงกลับไปยังที่นั่งของเขา เสี่ยวฉือก็พาอาจารย์คนอื่นๆ ออกไป นักเรียนที่อยู่รอบๆ ต่างจ้องมองมาที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาแสดงความเคารพและความชื่นชมแต่ก็ยังมีบางคนที่ยังมีท่าทีเหยียดหยามและหวาดกลัว ในทางกลับกัน โจวเหว่ยชิงได้แต่เพิกเฉยกับการแสดงออกที่หลากหลายของพวกเขาและกล่าวว่า “ข้าต้องการเป็นหัวหน้าห้อง มีใครคัดค้านหรือไม่? เมื่อสักครู่ก่อนข้าหมายความตามที่พูดจริงๆ ในอีก 4 ปีข้างหน้า ก่อนที่เราจะจบการศึกษา ทุกคนในห้องเรียนของเราจะได้รับการสนับสนุนทั้งม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บ อืมม…เพื่อให้ความช่วยเหลือของข้ามีประสิทธิภาพมากที่สุด พวกเจ้าทุกคนควรขยันฝึกฝนและเพิ่มจำนวนมณีให้มากขึ้นก่อนที่จะจบการศึกษา อย่างที่ข้าพูดไป ข้าจะไม่มีข้อผูกพันใดๆ กับพวกเจ้า…หลัง 4 ปีผ่านไปพวกเราจะแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง” ภายในกลุ่มนักเรียนสามัญชน บางคนยังคงมีท่าทีสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดในช่วงเช้า เห็นได้ชัดว่าเขาทำร้ายรุ่นพี่ติงเฉินอย่างโหดเหี้ยม…ทว่าเรื่องกลับจบลงอย่างง่ายดายขนาดนี้? ทั้งยังไม่มีการลงโทษอื่นๆ จากโรงเรียนอีก? ในบรรดานักเรียนเหล่านี้ บางคนที่ฉลาดกว่าก็สามารถตระหนักได้ว่าโจวเหว่ยชิงนั้นพิเศษเพียงใด เพื่อนคนนี้อาจจะดูบ้าบิ่น แต่เขาก็มีเหตุผลของตัวเองและไม่ใช่คนโง่แน่นอน ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงจะมีเหตุผลอะไรในการกระทำเช่นนี้ อย่างน้อยก็ไม่เป็นอันตรายต่อพวกเขา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครจะคัดค้านไม่ให้เขาเป็นหัวหน้าห้อง? อนิจจา ในขณะที่ทุกคนคาดว่าคงจะไม่มีใครคัดค้าน น้ำเสียงที่ฟังดูแปลกแยกไปจากคนอื่นๆ ก็ดังขึ้นมา “จะเป็นหัวหน้าห้อง…เจ้าขออนุญาตข้ารึยัง?” น้ำเสียงนั้นนุ่มนวล มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยความเย้ายวน พริบตานั้นสายตาของทุกคนก็ถูกดึงดูดไปทางนั้นโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่โจวเหว่ยชิงเข้ามาในห้องประชุม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามองไปยังเจ้าของเสียง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดทันที เป็นหมิงฮัวยืนที่อยู่ตรงนั้น บนใบหน้างดงามและร่างกายได้รูปไม่มีวี่แววว่าเคยได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้เมื่อวานก่อนแม้แต่น้อย ขณะนี้สภาพของเธอดูดีมาก ใบหน้าขึ้นสีแดงฝาด ดวงตาคู่งามของเธอกวาดไปมาเล็กน้อยขณะที่เธอจ้องมองไปยังบรรดานักเรียนสามัญชน อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้สีหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไป เหตุผลหลักคือเครื่องแต่งกายที่เธอสวมอยู่ต่างหาก เธออยู่ในชุดคลุมสีดำที่มีไว้สำหรับอาจารย์! ขณะนี้ดวงตาของเธอกำลังฉายแววล้อเลียนและเยาะเย้ยโจวเหว่ยชิง “โอ้? ทำไมเงียบเป็นเป่าสากเลยล่ะ อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่รักของข้า? เจ้าไม่ได้อยากเป็นหัวหน้าห้องหรอกหรือ?” โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่น “…เป็นไปได้ไหมว่า…ท่านเป็นอาจารย์ประจำชั้นของเรา?” หมิงฮัวยิ้มและพูดว่า “ข้าขอโทษจริงๆ มันเป็นเรื่องบังเอิญแค่นั้นเอง ข้าเพิ่งได้รับมอบหมายให้เป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเจ้า สวัสดีนักเรียนทุกคน ข้าชื่อหมิงฮัวและต่อจากนี้ไปข้าคืออาจารย์ของพวกเจ้า หวังว่าทุกคนจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดีที่สุด เข้าใจและจดจำความรู้ทางการทหารทั้งหมดเพื่อกลายเป็นทหารที่โดดเด่นหรือแม่ทัพนายกองที่ยิ่งใหญ่ให้ได้” เมื่อโจวเหว่ยชิงเห็นหมิงฮัวแต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำของอาจารย์ เขาก็สัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่าง หัวใจของเขาพลันรู้สึกหนักอึ้ง ไม่ว่าเขาจะฉลาดและมีไหวพริบแค่ไหน เขาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนอายุน้อยๆ เช่นหมิงฮัวจะเป็นถึงอาจารย์ไม่ใช่นักเรียน! ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเป็นอาจารย์ประจำชั้นของเขา! วันเวลาภายภาคหน้าของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป? แน่ล่ะ ก็เขาเพิ่งจะทุบตีเธอไปเมื่อวานนี้จนเกือบตาย… โจวเหว่ยชิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหุบปากและนั่งลงอย่างเงียบๆ เขารีบเค้นสมองคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วและมองหาทางออกที่เป็นไปได้ จู่ๆ หมิงฮัวก็เปลี่ยนน้ำเสียงของเธออย่างน่าประหลาด หลังจากดึงดูดความสนใจของนักเรียนใหม่ทุกคนได้แล้ว เธอก็ยิ้มและพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นสิ่งที่นักเรียนโจวเหว่ยชิงแสดงออกแล้ว ข้าคิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง ในฐานะมนุษย์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีกระดูกสันหลังเป็นของตัวเองเพื่อให้สามารถยืดตัวตรงได้ด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ว่าการกระทำของเขาจะถูกหรือผิด  อย่างน้อยเขาก็ทำให้ห้องเรียนมีความสามัคคีและทำให้พวกเจ้าทุกคนใกล้ชิดกันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ข้าจึงคิดว่าคงไม่แย่เกินไปนักที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าห้องชั่วคราว แน่นอนว่าหลังจากพิธีเปิดพวกเราสามารถจัดการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งได้” เมื่อฟังคำพูดของเธอ โจวเหว่ยชิงก็ถึงกับผงะ คิดในใจว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดมากเพราะหมิงฮัวไม่ได้ฉวยโอกาสนี้แก้แค้นเขา หมิงฮัวเดินไปด้านหน้าและนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง รุ่นพี่นักเรียนสามัญทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่เธอราวกับว่าพวกเขาเห็นผี ใบหน้าของซ่างหลางกระตุกขึ้นอีกครั้งก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “ดูเหมือนว่าปีนี้พวกชนชั้นสูงจะไม่อาจกดขี่พวกน้องใหม่ได้เสียแล้ว มีทั้งดอกไม้ยมโลกและเจ้านั่น นี่คงจะเป็นปีการศึกษาที่น่าสนใจและวุ่นวายที่สุด” หลังจากเหตุการณ์ช่วงเช้าที่น่าตื่นตาตื่นใจผ่านพ้นไป ในที่สุดพิธีเปิดก็เริ่มขึ้นเสียที โจวเหว่ยชิงเห็นอาจารย์เสี่ยวฉือเดินเข้าไปบริเวณที่นั่งกลุ่มบุคคลพิเศษของโรงเรียนจากประตูด้านข้าง นอกจากเสี่ยวฉือแล้วยังมีคนอีก 3 คนเดินเข้ามาพร้อมกับเขา คนที่ดึงดูดความสนใจของโจวเหว่ยชิงได้มากที่สุดคือคนที่อยู่บนเก้าอี้ประธาน คนๆ นั้นมีรูปร่างสูงโปร่งและสมส่วน ทั้งยังสวมเสื้อคลุมสีดำของอาจารย์ด้วย ความแตกต่างคือเสื้อคลุมของเธอมีแถบด้ายสีทอง ผมยาวสีดำเงางามของเธอถูกรวบไว้ด้านหลังศีรษะอย่างเป็นระเบียบด้วยรัดเกล้าสีทอง บนใบหน้างดงามของเธอมีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่ นอกจากนั้นยังมีสัญลักษณ์รูปดาบไขว้ของอาณาจักรเฟยหลี่ติอยู่บนบริเวณหน้าอกชุดคลุมของเธอ ความแตกต่างที่สำคัญคือตรงกลางของสัญลักษณ์มีอัญมณีสีแดงที่วิจิตรงดงามประดับอยู่ด้วย แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างจากที่นั่งของเธอ โจวเหว่ยชิงก็ยังสัมผัสได้ถึงความงามเหนือระดับของอีกฝ่าย ทั้งกิริยามารยาทอันสูงส่งและท่าทีสง่างามของเธอ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยสัมผัสจากคนอื่นๆ มาก่อน แม้แต่ในบรรดาราชนิกูลของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เขาก็ไม่เคยเห็นใครที่มีกลิ่นอายสูงส่งเหมือนหญิงสาวที่น่าจะอายุราวๆ 17 ปีคนนี้มาก่อน นอกจากหญิงสาวคนนี้แล้ว ในบรรดาอีก 3 คน อาจารย์เสี่ยวฉือยังถือว่าเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดเนื่องจากอีก 2 คนนั้นเป็นชายชราผมขาว แม้ว่าเสื้อคลุมของพวกเขาจะประดับไปด้วยแถบสีทองเช่นกัน แต่ก็ไม่มีสัญลักษณ์ดาบไขว้สีทองบนหน้าอกของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายของพวกเขาก็ดูแตกต่างกับหญิงสาวคนนั้นมากเช่นกัน เมื่อทั้ง 4 คนก้าวเข้ามาภายในห้อง ห้องประชุมทั้งหมดก็ตกอยู่ในความเงียบ เสี่ยวฉือนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เริ่มพิธีเปิด ณ บัดนี้ ขอให้ทุกคนปรบมือต้อนรับท่านผู้อำนวยการไช่ไช่ที่มาเป็นประธานเปิดพิธีในวันนี้ เช่นเดียวกับรองผู้อำนวยการเทียนสิงยี่ฉือและเซิงซุน” ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเกรียวกราว ผู้อำนวยการทั้ง 3 คนจึงยืนขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะทักทาย ผู้อำนวยการ?? หญิงสาวคนนั้นเป็นผู้อำนวยการ? แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะพอรับรู้ถึงความสำคัญของเธอได้บ้าง แต่เขาก็ยังคงประหลาดใจคล้ายไม่อยากจะเชื่อเมื่อรู้ตำแหน่งของเธอ โรงเรียนทหารของราชวงศ์เฟยหลี่ที่ยิ่งใหญ่ให้หญิงสาวที่งดงามเช่นนี้เป็นผู้อำนวยการ? แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะยอมรับได้ แต่มันก็ยังดูแปลกประหลาดมาก! อย่างไรก็ตาม บางทีอาจมีความลับบางอย่างซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังหญิงสาวคนนี้ก็เป็นได้ ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังนึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆ เสียงของโข่วรุ่ยก็ดังขึ้นในหูของเขาอีกครั้ง “ลูกพี่ ท่านผู้อำนวยการของเราเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าได้สอบถามเกี่ยวกับนางมากแล้ว สาเหตุที่นางสามารถขึ้นเป็นผู้อำนวยการได้นั้นเป็นเพราะความสามารถของตนเองแน่นอน อย่าตัดสินนางด้วยรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอันขาด นางอาจจะดูเยาว์วัย เป็นหญิงสาวที่ทั้งอ่อนโยนและอ่อนแอ แต่ในจักรวรรดิเฟยหลี่ เป็นที่รู้กันดีว่านางเป็นหญิงเหล็กแห่งกองทัพ เป็นถึงแม่ทัพและรองผู้บัญชาการกองพัน นอกจากนี้ ตำแหน่งของนางก็ยังขยับขึ้นช้ากว่าคนอื่นๆ เนื่องจากเป็นผู้หญิง มิฉะนั้นด้วยการความสามารถของนาง นางอาจมีตำแหน่งที่สูงกว่านี้ก็เป็นได้ นอกจากนี้ ผู้อำนวยการไช่ไช่ยังเป็นน้องสาวขององค์       จักรพรรดิเฟยหลี่ และแม้ว่านางจะอายุ 35 ปีแล้ว นางก็ยังไม่ได้แต่งงาน” “มีข่าวลือว่านางและแม่ทัพหมิงหยูเป็นคู่รักกัน แม้จะไม่มีใครรู้ว่าทำไมหลังจากผ่านมาหลายปีทั้งคู่ยังไม่ได้แต่งงานหรือมีลูกก็เถอะ” เมื่อฟังคำพูดของโข่วรุ่ย โจวเหว่ยชิงก็อดหัวเราะไม่ได้ “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนขี้นินทาด้วย” โข่วรุ่ยยิ้มและพูดว่า “เดิมทีตอนที่ข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนเตรียมทหาร หมวดหมู่ที่ข้าสนใจก็คือการสืบข่าวกรอง สายลับและการสอดแนม ในสงครามนั้น หน่วยสืบข่าวและหน่วยสอดแนมเป็นหนึ่งในหน่วยที่สำคัญที่สุด เมื่อเรามีข้อมูลที่จำเป็นและสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างถ่องแท้แล้ว กองทัพก็จะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ข้าเชื่อว่านั่นคือกุญแจนำไปสู่ชัยชนะในท้ายที่สุด” โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ในอนาคตถ้าข้าได้ขึ้นเป็นแม่ทัพ ข้าอยากจะให้เจ้าเป็นทหารหน่วยสืบข่าวกรองให้ข้า” ในขณะที่พวกเขาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเงียบๆ พิธีเปิดก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ในความเป็นจริง สิ่งที่เรียกว่าพิธีเปิดภาคเรียนอย่างเป็นทางการนี้เป็นเพียงการเปิดโอกาสให้ผู้นำไม่กี่คนของโรงเรียนได้พูดคุยกับนักเรียนทุกคนเพื่อสรุปความสำเร็จของโรงเรียนที่เป็นประเด็นสำคัญๆ ของปีที่ผ่านมา หลังจากฟังไป 2-3 ประโยค โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ในพิธีทั้งหมด สิ่งเดียวที่เขาจำได้คือน้ำเสียงที่ไพเราะของผู้อำนวยการไช่ไช่ แต่ก็จำเนื้อหาใดๆ ที่เธอพูดไม่ได้เลย สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่นั่งข้างเขา เธอตั้งอกตั้งใจฟังการบรรยายทั้งหมดอย่างเต็มที่ การได้เข้าเรียนในโรงเรียนทหารเฟยหลี่เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเธอมาก และเธอก็ให้ความสำคัญกับโอกาสที่ได้รับมานี้อย่างตั้งใจ ท้ายที่สุดแล้วความรู้สึกหมดหนทางเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นผู้บัญชาการกองพันก็ยังเป็นแผลสดใหม่อยู่ในใจของเธอและมันก็ทำให้เธอตระหนักว่าตนยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบัญชาการทหารมากเพียงใด … ในขณะที่พิธีเปิดซึ่งจัดขึ้นในโรงเรียนทหารเฟยหลี่กำลังเริ่มขึ้น ไม่ไกลจากนั้น ผู้มาเยือนที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใครก็ก้าวเข้ามายังวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรเฟยหลี่ หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าวังกักเก็บทักษะและปรายตามองอาคารสูงใหญ่เบื้องหน้าเธออย่างเงียบๆ แม้ว่าจะยืนอยู่เฉยๆ เธอก็ยังสามารถแผ่กลิ่นอายที่ไม่เหมือนใครออกมาได้ นั่นจึงดึงดูดความสนใจของทุกคนรอบข้างไปได้อย่างง่ายดาย มันเป็นกลิ่นอายที่แปลกประหลาดและสูงส่งจนสามารถทำลายความคิดที่ไม่เหมาะสมของผู้อื่นที่มองมาได้ ราวกับพวกเขากำลังมองแสงอาทิตย์เจิดจ้าที่สามารถเผาดวงตาให้มอดไหม้ได้ หญิงสาวผู้นี้สวมผ้าคลุมปิดหน้า ทว่าแม้เธอจะดูเด็กมาก แต่ก็ศีรษะก็ยังปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีขาว เห็นได้ชัดว่าสีผมของเธอไม่ได้เกิดจากความแก่ชรา เพราะพวกมันต่างก็ส่องประกายแวววาวและมีชีวิตชีวาราวกับว่าทำจากหยกขาว ตรงขมับทั้งสองข้างมีเส้นผมสีฟ้ากลุ่มหนึ่งคาดยาวไปข้างหลังตัดกับเส้นผมสีขาวส่วนที่เหลือ นั่นทำให้ความงามของเธอเด่นชัดขึ้นมากกว่าเดิม ดวงตาของเธอเป็นสีม่วงเข้ม เพียงตวัดสายตามองน้อยๆ ก็ราวกับว่าสามารถมองลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณอีกฝ่ายได้ ขณะที่เธอยืนอยู่นิ่งๆ ภาพที่เห็นก็เสมือนว่ากำลังยืนอยู่ท่ามกลางดวงอาทิตย์และแสงสว่างทั้งหมดของโลก ไม่ช้าขาเรียวยาวก็ขยับเยื้องย่างขึ้นบันไดเข้าไปยังวังกักเก็บทักษะ เธอเพิ่งจะก้าวขึ้นบันไดไปได้ไม่กี่ก้าว ความงามที่แผ่ออกมาก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คุมได้แล้ว หลังจากลังเลอยู่สักพัก พวกเขาทั้ง 4 คนก็เดินไปหาเธอ ในเวลานั้น แม้จะต้องทำตามหน้าที่ แต่พวกเขาก็มีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นในใจ ราวกับว่าการขอให้เธอแสดงมณีพลังนั้นเป็นเรื่องไร้สาระมาก คนๆ นี้ต้องเป็นจ้าวมณีสวรรค์อย่างแน่นอน ก่อนที่พวกเขาจะได้เอ่ยปาก หญิงสาวผมขาวก็ยกมือขวาขึ้น นิ้วเรียวเปล่งแสงสีขาวจางๆ ออกมา จากนั้นที่ข้อมือของเธอก็พลันปรากฏหยกน้ำแข็ง 6 ดวง พร้อมกับหมอกสีขาวหมุนวนอยู่รอบๆ ม่านตาดำของเหล่าทหารยามหดแคบด้วยความตกใจ พวกเขาจึงโค้งคำนับขณะกล่าวด้วยความเคารพ “เรียนท่านจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นสูงสุดที่เคารพ เชิญเข้าไปได้ขอรับ” หญิงสาวผมขาวพยักหน้าอย่างแผ่วเบาแต่ทว่าก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดตอบ เธอก้าวไปข้างหน้าและเดินผ่านผู้คุมเข้าไปข้างในวังกักเก็บทักษะ ……………………………

ขณะโจวเหว่ยชิงกลับไปยังที่นั่งของเขา เสี่ยวฉือก็พาอาจารย์คนอื่นๆ ออกไป นักเรียนที่อยู่รอบๆ ต่างจ้องมองมาที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาแสดงความเคารพและความชื่นชมแต่ก็ยังมีบางคนที่ยังมีท่าทีเหยียดหยามและหวาดกลัว ในทางกลับกัน โจวเหว่ยชิงได้แต่เพิกเฉยกับการแสดงออกที่หลากหลายของพวกเขาและกล่าวว่า “ข้าต้องการเป็นหัวหน้าห้อง มีใครคัดค้านหรือไม่? เมื่อสักครู่ก่อนข้าหมายความตามที่พูดจริงๆ ในอีก 4 ปีข้างหน้า ก่อนที่เราจะจบการศึกษา ทุกคนในห้องเรียนของเราจะได้รับการสนับสนุนทั้งม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บ อืมม…เพื่อให้ความช่วยเหลือของข้ามีประสิทธิภาพมากที่สุด พวกเจ้าทุกคนควรขยันฝึกฝนและเพิ่มจำนวนมณีให้มากขึ้นก่อนที่จะจบการศึกษา อย่างที่ข้าพูดไป ข้าจะไม่มีข้อผูกพันใดๆ กับพวกเจ้า…หลัง 4 ปีผ่านไปพวกเราจะแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง”

ภายในกลุ่มนักเรียนสามัญชน บางคนยังคงมีท่าทีสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดในช่วงเช้า เห็นได้ชัดว่าเขาทำร้ายรุ่นพี่ติงเฉินอย่างโหดเหี้ยม…ทว่าเรื่องกลับจบลงอย่างง่ายดายขนาดนี้? ทั้งยังไม่มีการลงโทษอื่นๆ จากโรงเรียนอีก? ในบรรดานักเรียนเหล่านี้ บางคนที่ฉลาดกว่าก็สามารถตระหนักได้ว่าโจวเหว่ยชิงนั้นพิเศษเพียงใด เพื่อนคนนี้อาจจะดูบ้าบิ่น แต่เขาก็มีเหตุผลของตัวเองและไม่ใช่คนโง่แน่นอน ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงจะมีเหตุผลอะไรในการกระทำเช่นนี้ อย่างน้อยก็ไม่เป็นอันตรายต่อพวกเขา

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครจะคัดค้านไม่ให้เขาเป็นหัวหน้าห้อง?

อนิจจา ในขณะที่ทุกคนคาดว่าคงจะไม่มีใครคัดค้าน น้ำเสียงที่ฟังดูแปลกแยกไปจากคนอื่นๆ ก็ดังขึ้นมา “จะเป็นหัวหน้าห้อง…เจ้าขออนุญาตข้ารึยัง?”

น้ำเสียงนั้นนุ่มนวล มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยความเย้ายวน พริบตานั้นสายตาของทุกคนก็ถูกดึงดูดไปทางนั้นโดยไม่รู้ตัว

ตั้งแต่โจวเหว่ยชิงเข้ามาในห้องประชุม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามองไปยังเจ้าของเสียง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดทันที

เป็นหมิงฮัวยืนที่อยู่ตรงนั้น บนใบหน้างดงามและร่างกายได้รูปไม่มีวี่แววว่าเคยได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้เมื่อวานก่อนแม้แต่น้อย ขณะนี้สภาพของเธอดูดีมาก ใบหน้าขึ้นสีแดงฝาด ดวงตาคู่งามของเธอกวาดไปมาเล็กน้อยขณะที่เธอจ้องมองไปยังบรรดานักเรียนสามัญชน อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้สีหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไป เหตุผลหลักคือเครื่องแต่งกายที่เธอสวมอยู่ต่างหาก เธออยู่ในชุดคลุมสีดำที่มีไว้สำหรับอาจารย์! ขณะนี้ดวงตาของเธอกำลังฉายแววล้อเลียนและเยาะเย้ยโจวเหว่ยชิง

“โอ้? ทำไมเงียบเป็นเป่าสากเลยล่ะ อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่รักของข้า? เจ้าไม่ได้อยากเป็นหัวหน้าห้องหรอกหรือ?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่น “…เป็นไปได้ไหมว่า…ท่านเป็นอาจารย์ประจำชั้นของเรา?”

หมิงฮัวยิ้มและพูดว่า “ข้าขอโทษจริงๆ มันเป็นเรื่องบังเอิญแค่นั้นเอง ข้าเพิ่งได้รับมอบหมายให้เป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเจ้า สวัสดีนักเรียนทุกคน ข้าชื่อหมิงฮัวและต่อจากนี้ไปข้าคืออาจารย์ของพวกเจ้า หวังว่าทุกคนจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดีที่สุด เข้าใจและจดจำความรู้ทางการทหารทั้งหมดเพื่อกลายเป็นทหารที่โดดเด่นหรือแม่ทัพนายกองที่ยิ่งใหญ่ให้ได้”

เมื่อโจวเหว่ยชิงเห็นหมิงฮัวแต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำของอาจารย์ เขาก็สัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่าง หัวใจของเขาพลันรู้สึกหนักอึ้ง ไม่ว่าเขาจะฉลาดและมีไหวพริบแค่ไหน เขาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนอายุน้อยๆ เช่นหมิงฮัวจะเป็นถึงอาจารย์ไม่ใช่นักเรียน! ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเป็นอาจารย์ประจำชั้นของเขา! วันเวลาภายภาคหน้าของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป? แน่ล่ะ ก็เขาเพิ่งจะทุบตีเธอไปเมื่อวานนี้จนเกือบตาย…

โจวเหว่ยชิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหุบปากและนั่งลงอย่างเงียบๆ เขารีบเค้นสมองคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วและมองหาทางออกที่เป็นไปได้

จู่ๆ หมิงฮัวก็เปลี่ยนน้ำเสียงของเธออย่างน่าประหลาด หลังจากดึงดูดความสนใจของนักเรียนใหม่ทุกคนได้แล้ว เธอก็ยิ้มและพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นสิ่งที่นักเรียนโจวเหว่ยชิงแสดงออกแล้ว ข้าคิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง ในฐานะมนุษย์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีกระดูกสันหลังเป็นของตัวเองเพื่อให้สามารถยืดตัวตรงได้ด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ว่าการกระทำของเขาจะถูกหรือผิด  อย่างน้อยเขาก็ทำให้ห้องเรียนมีความสามัคคีและทำให้พวกเจ้าทุกคนใกล้ชิดกันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ข้าจึงคิดว่าคงไม่แย่เกินไปนักที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าห้องชั่วคราว แน่นอนว่าหลังจากพิธีเปิดพวกเราสามารถจัดการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งได้”

เมื่อฟังคำพูดของเธอ โจวเหว่ยชิงก็ถึงกับผงะ คิดในใจว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดมากเพราะหมิงฮัวไม่ได้ฉวยโอกาสนี้แก้แค้นเขา

หมิงฮัวเดินไปด้านหน้าและนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง รุ่นพี่นักเรียนสามัญทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่เธอราวกับว่าพวกเขาเห็นผี

ใบหน้าของซ่างหลางกระตุกขึ้นอีกครั้งก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “ดูเหมือนว่าปีนี้พวกชนชั้นสูงจะไม่อาจกดขี่พวกน้องใหม่ได้เสียแล้ว มีทั้งดอกไม้ยมโลกและเจ้านั่น นี่คงจะเป็นปีการศึกษาที่น่าสนใจและวุ่นวายที่สุด”

หลังจากเหตุการณ์ช่วงเช้าที่น่าตื่นตาตื่นใจผ่านพ้นไป ในที่สุดพิธีเปิดก็เริ่มขึ้นเสียที โจวเหว่ยชิงเห็นอาจารย์เสี่ยวฉือเดินเข้าไปบริเวณที่นั่งกลุ่มบุคคลพิเศษของโรงเรียนจากประตูด้านข้าง นอกจากเสี่ยวฉือแล้วยังมีคนอีก 3 คนเดินเข้ามาพร้อมกับเขา

คนที่ดึงดูดความสนใจของโจวเหว่ยชิงได้มากที่สุดคือคนที่อยู่บนเก้าอี้ประธาน คนๆ นั้นมีรูปร่างสูงโปร่งและสมส่วน ทั้งยังสวมเสื้อคลุมสีดำของอาจารย์ด้วย ความแตกต่างคือเสื้อคลุมของเธอมีแถบด้ายสีทอง ผมยาวสีดำเงางามของเธอถูกรวบไว้ด้านหลังศีรษะอย่างเป็นระเบียบด้วยรัดเกล้าสีทอง บนใบหน้างดงามของเธอมีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่ นอกจากนั้นยังมีสัญลักษณ์รูปดาบไขว้ของอาณาจักรเฟยหลี่ติอยู่บนบริเวณหน้าอกชุดคลุมของเธอ ความแตกต่างที่สำคัญคือตรงกลางของสัญลักษณ์มีอัญมณีสีแดงที่วิจิตรงดงามประดับอยู่ด้วย

แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างจากที่นั่งของเธอ โจวเหว่ยชิงก็ยังสัมผัสได้ถึงความงามเหนือระดับของอีกฝ่าย ทั้งกิริยามารยาทอันสูงส่งและท่าทีสง่างามของเธอ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยสัมผัสจากคนอื่นๆ มาก่อน แม้แต่ในบรรดาราชนิกูลของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เขาก็ไม่เคยเห็นใครที่มีกลิ่นอายสูงส่งเหมือนหญิงสาวที่น่าจะอายุราวๆ 17 ปีคนนี้มาก่อน

นอกจากหญิงสาวคนนี้แล้ว ในบรรดาอีก 3 คน อาจารย์เสี่ยวฉือยังถือว่าเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดเนื่องจากอีก 2 คนนั้นเป็นชายชราผมขาว แม้ว่าเสื้อคลุมของพวกเขาจะประดับไปด้วยแถบสีทองเช่นกัน แต่ก็ไม่มีสัญลักษณ์ดาบไขว้สีทองบนหน้าอกของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายของพวกเขาก็ดูแตกต่างกับหญิงสาวคนนั้นมากเช่นกัน

เมื่อทั้ง 4 คนก้าวเข้ามาภายในห้อง ห้องประชุมทั้งหมดก็ตกอยู่ในความเงียบ เสี่ยวฉือนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เริ่มพิธีเปิด ณ บัดนี้ ขอให้ทุกคนปรบมือต้อนรับท่านผู้อำนวยการไช่ไช่ที่มาเป็นประธานเปิดพิธีในวันนี้ เช่นเดียวกับรองผู้อำนวยการเทียนสิงยี่ฉือและเซิงซุน”

ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเกรียวกราว ผู้อำนวยการทั้ง 3 คนจึงยืนขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะทักทาย

ผู้อำนวยการ?? หญิงสาวคนนั้นเป็นผู้อำนวยการ? แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะพอรับรู้ถึงความสำคัญของเธอได้บ้าง แต่เขาก็ยังคงประหลาดใจคล้ายไม่อยากจะเชื่อเมื่อรู้ตำแหน่งของเธอ

โรงเรียนทหารของราชวงศ์เฟยหลี่ที่ยิ่งใหญ่ให้หญิงสาวที่งดงามเช่นนี้เป็นผู้อำนวยการ? แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะยอมรับได้ แต่มันก็ยังดูแปลกประหลาดมาก! อย่างไรก็ตาม บางทีอาจมีความลับบางอย่างซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังหญิงสาวคนนี้ก็เป็นได้

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังนึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆ เสียงของโข่วรุ่ยก็ดังขึ้นในหูของเขาอีกครั้ง “ลูกพี่ ท่านผู้อำนวยการของเราเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าได้สอบถามเกี่ยวกับนางมากแล้ว สาเหตุที่นางสามารถขึ้นเป็นผู้อำนวยการได้นั้นเป็นเพราะความสามารถของตนเองแน่นอน อย่าตัดสินนางด้วยรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอันขาด นางอาจจะดูเยาว์วัย เป็นหญิงสาวที่ทั้งอ่อนโยนและอ่อนแอ แต่ในจักรวรรดิเฟยหลี่ เป็นที่รู้กันดีว่านางเป็นหญิงเหล็กแห่งกองทัพ เป็นถึงแม่ทัพและรองผู้บัญชาการกองพัน นอกจากนี้ ตำแหน่งของนางก็ยังขยับขึ้นช้ากว่าคนอื่นๆ เนื่องจากเป็นผู้หญิง มิฉะนั้นด้วยการความสามารถของนาง นางอาจมีตำแหน่งที่สูงกว่านี้ก็เป็นได้ นอกจากนี้ ผู้อำนวยการไช่ไช่ยังเป็นน้องสาวขององค์       จักรพรรดิเฟยหลี่ และแม้ว่านางจะอายุ 35 ปีแล้ว นางก็ยังไม่ได้แต่งงาน”

“มีข่าวลือว่านางและแม่ทัพหมิงหยูเป็นคู่รักกัน แม้จะไม่มีใครรู้ว่าทำไมหลังจากผ่านมาหลายปีทั้งคู่ยังไม่ได้แต่งงานหรือมีลูกก็เถอะ”

เมื่อฟังคำพูดของโข่วรุ่ย โจวเหว่ยชิงก็อดหัวเราะไม่ได้ “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนขี้นินทาด้วย”

โข่วรุ่ยยิ้มและพูดว่า “เดิมทีตอนที่ข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนเตรียมทหาร หมวดหมู่ที่ข้าสนใจก็คือการสืบข่าวกรอง สายลับและการสอดแนม ในสงครามนั้น หน่วยสืบข่าวและหน่วยสอดแนมเป็นหนึ่งในหน่วยที่สำคัญที่สุด เมื่อเรามีข้อมูลที่จำเป็นและสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างถ่องแท้แล้ว กองทัพก็จะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ข้าเชื่อว่านั่นคือกุญแจนำไปสู่ชัยชนะในท้ายที่สุด”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ในอนาคตถ้าข้าได้ขึ้นเป็นแม่ทัพ ข้าอยากจะให้เจ้าเป็นทหารหน่วยสืบข่าวกรองให้ข้า”

ในขณะที่พวกเขาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเงียบๆ พิธีเปิดก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ในความเป็นจริง สิ่งที่เรียกว่าพิธีเปิดภาคเรียนอย่างเป็นทางการนี้เป็นเพียงการเปิดโอกาสให้ผู้นำไม่กี่คนของโรงเรียนได้พูดคุยกับนักเรียนทุกคนเพื่อสรุปความสำเร็จของโรงเรียนที่เป็นประเด็นสำคัญๆ ของปีที่ผ่านมา หลังจากฟังไป 2-3 ประโยค โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ในพิธีทั้งหมด สิ่งเดียวที่เขาจำได้คือน้ำเสียงที่ไพเราะของผู้อำนวยการไช่ไช่ แต่ก็จำเนื้อหาใดๆ ที่เธอพูดไม่ได้เลย สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่นั่งข้างเขา เธอตั้งอกตั้งใจฟังการบรรยายทั้งหมดอย่างเต็มที่ การได้เข้าเรียนในโรงเรียนทหารเฟยหลี่เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเธอมาก และเธอก็ให้ความสำคัญกับโอกาสที่ได้รับมานี้อย่างตั้งใจ ท้ายที่สุดแล้วความรู้สึกหมดหนทางเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นผู้บัญชาการกองพันก็ยังเป็นแผลสดใหม่อยู่ในใจของเธอและมันก็ทำให้เธอตระหนักว่าตนยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบัญชาการทหารมากเพียงใด

ในขณะที่พิธีเปิดซึ่งจัดขึ้นในโรงเรียนทหารเฟยหลี่กำลังเริ่มขึ้น ไม่ไกลจากนั้น ผู้มาเยือนที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใครก็ก้าวเข้ามายังวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรเฟยหลี่

หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าวังกักเก็บทักษะและปรายตามองอาคารสูงใหญ่เบื้องหน้าเธออย่างเงียบๆ แม้ว่าจะยืนอยู่เฉยๆ เธอก็ยังสามารถแผ่กลิ่นอายที่ไม่เหมือนใครออกมาได้ นั่นจึงดึงดูดความสนใจของทุกคนรอบข้างไปได้อย่างง่ายดาย มันเป็นกลิ่นอายที่แปลกประหลาดและสูงส่งจนสามารถทำลายความคิดที่ไม่เหมาะสมของผู้อื่นที่มองมาได้ ราวกับพวกเขากำลังมองแสงอาทิตย์เจิดจ้าที่สามารถเผาดวงตาให้มอดไหม้ได้

หญิงสาวผู้นี้สวมผ้าคลุมปิดหน้า ทว่าแม้เธอจะดูเด็กมาก แต่ก็ศีรษะก็ยังปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีขาว เห็นได้ชัดว่าสีผมของเธอไม่ได้เกิดจากความแก่ชรา เพราะพวกมันต่างก็ส่องประกายแวววาวและมีชีวิตชีวาราวกับว่าทำจากหยกขาว ตรงขมับทั้งสองข้างมีเส้นผมสีฟ้ากลุ่มหนึ่งคาดยาวไปข้างหลังตัดกับเส้นผมสีขาวส่วนที่เหลือ นั่นทำให้ความงามของเธอเด่นชัดขึ้นมากกว่าเดิม

ดวงตาของเธอเป็นสีม่วงเข้ม เพียงตวัดสายตามองน้อยๆ ก็ราวกับว่าสามารถมองลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณอีกฝ่ายได้ ขณะที่เธอยืนอยู่นิ่งๆ ภาพที่เห็นก็เสมือนว่ากำลังยืนอยู่ท่ามกลางดวงอาทิตย์และแสงสว่างทั้งหมดของโลก ไม่ช้าขาเรียวยาวก็ขยับเยื้องย่างขึ้นบันไดเข้าไปยังวังกักเก็บทักษะ

เธอเพิ่งจะก้าวขึ้นบันไดไปได้ไม่กี่ก้าว ความงามที่แผ่ออกมาก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คุมได้แล้ว หลังจากลังเลอยู่สักพัก พวกเขาทั้ง 4 คนก็เดินไปหาเธอ ในเวลานั้น แม้จะต้องทำตามหน้าที่ แต่พวกเขาก็มีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นในใจ ราวกับว่าการขอให้เธอแสดงมณีพลังนั้นเป็นเรื่องไร้สาระมาก คนๆ นี้ต้องเป็นจ้าวมณีสวรรค์อย่างแน่นอน

ก่อนที่พวกเขาจะได้เอ่ยปาก หญิงสาวผมขาวก็ยกมือขวาขึ้น นิ้วเรียวเปล่งแสงสีขาวจางๆ ออกมา จากนั้นที่ข้อมือของเธอก็พลันปรากฏหยกน้ำแข็ง 6 ดวง พร้อมกับหมอกสีขาวหมุนวนอยู่รอบๆ

ม่านตาดำของเหล่าทหารยามหดแคบด้วยความตกใจ พวกเขาจึงโค้งคำนับขณะกล่าวด้วยความเคารพ “เรียนท่านจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นสูงสุดที่เคารพ เชิญเข้าไปได้ขอรับ”

หญิงสาวผมขาวพยักหน้าอย่างแผ่วเบาแต่ทว่าก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดตอบ เธอก้าวไปข้างหน้าและเดินผ่านผู้คุมเข้าไปข้างในวังกักเก็บทักษะ

……………………………

ขณะนี้เย่โหลวเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์? เจ้าเด็กเหลือขอนั่นเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์จริงหรือ!? ไม่ว่าเขาจะทะนงตัวและหยิ่งผยองเพียงใด เขาก็รู้ดีว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์มีความสำคัญมาก ใครจะไม่รู้ว่าพวกเขาหายากและมีความหมายกับขุมอำนาจหรือกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่เพียงใด! ในบรรดานักศึกษาทั้งหมดของโรงเรียนชั้นนำในอาณาจักรเฟยหลี่ คงจะเป็นเรื่องยากที่จะหาอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์สักคน! นอกจากนี้โจวเหว่ยชิงยังเป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง! แม้ว่าเย่โหลวจะไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่เขาก็ยังมีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ เขารู้ว่าโจวเหว่ยชิงไม่ได้พูดเกินจริงไปสักนิด ก่อนหน้านี้กระดาษศาสตรามณียุทธ์ไม่ได้ถูกวางไว้บนโต๊ะด้วยซ้ำ เขาวาดมันขึ้นมาโดยตรง ทั้งยังไม่ใช้แบบร่างเป็นตัวช่วย! นี่ไม่ใช่สิ่งที่แม้แต่อาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางธรรมดาก็สามารถทำได้! หลังจากชะงักอยู่นาน ในที่สุดเขาก็สามารถหอบหายใจต่อได้ เย่โหลวฉวยโอกาสที่บรรดาเสียงร้อง “ข้าเต็มใจ” ดังขึ้นเซ็งแซ่แอบย่องหนีไป เย่โหลวรู้ว่าวันนี้เขาเพิ่งจะก่อเรื่องใหญ่มาก…และเมื่อเขากลับไป เขาจะต้องเจอเรื่องวุ่นวายขนานใหญ่แน่ๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้ดีว่าตนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ใหญ่ของเขาฟังโดยเร็วที่   สุด…ถ้าไม่อย่างนั้นเรื่องทุกอย่างอาจจะเลวร้ายไปมากกว่านี้! “แปะๆๆ…” เสียงปรบมือดังขึ้น โจวเหว่ยชิงหันกลับไปดูก็เห็นว่าเป็นกลุ่มอาจารย์ชุดดำที่เย่โหลวเป็นผู้นำมา คนที่ปรบมือคืออาจารย์คนหนึ่งที่มีอายุประมาณ 50 ปี เขาน่าจะเป็นผู้นำกลุ่มอาจารย์ และในสายตาของเขายังแสดงออกถึงความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง “เด็กน้อย เจ้าชื่ออะไร?” อาจารย์คนนั้นยิ้มน้อยๆ ขณะถาม แต่แม้ว่าเขาจะมีใบหน้ายิ้มแย้ม โจวเหว่ยชิงก็ยังสัมผัสได้ถึงรัศมีความกดดันที่น่าขนลุกจากตัวเขา ด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมของโจวเหว่ยชิง เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้มีพลังเหนือกว่าเขา “คำนับท่านอาจารย์ ข้าชื่อโจวเหว่ยชิง” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างสุภาพ ท่าทางหึกเหิมเร่าร้อนที่เขามีอยู่เมื่อครู่หายวับไปหันที เขากลายเป็นเด็กหนุ่มที่ดูไร้เดียงสาและซื่อสัตย์ คนอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากัน คนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาดูเหมือนจะแตกต่างจากเพื่อนผู้หยิ่งผยองคนนั้น คนที่สามารถกำราบติงเฉินด้วยลูกเตะเมื่อก่อนหน้านี้ เพื่อนคนนี้เปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหนังสือจริงๆ! โจวเหว่ยชิงฉลาดมาก เขารู้ว่าต้องทำอะไรและพูดอะไรต่อหน้าบุคคลแต่ละคน  ถ้าเขาพยายามต่อต้านอาจารย์ในโรงเรียนโดยไม่มีเหตุผล นั่นก็ถือว่าเขาเป็นคนโง่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่มีพลังและความแข็งแกร่งพอที่จะทำเช่นนั้นได้…แม้ว่าเขาจะสามารถทำเช่นนั้นได้ เขาก็ยังคงต้องเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ต่อไปอีกนาน เพื่อความสงบสุขของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และตัวเขาเอง เขาไม่สามารถทำให้อาจารย์เหล่านี้ขุ่นเคืองได้ การทุบตีนักเรียนคนอื่นนั่นก็ยังคงถือว่าเป็นเรื่องระหว่างนักเรียนด้วยกัน แต่ถ้าหากเขาแสดงความหยิ่งผยองต่อหน้าอาจารย์…นั่นก็จะกลายเป็นอีกเรื่องโดยสิ้นเชิง…ไม่ว่าความสามารถของเขาจะยิ่งใหญ่แค่ไหน โรงเรียนก็คงทนความเอาแต่ใจของเขาไม่ได้ อาจารย์ที่มีอายุ 50 ปีผู้นั้นยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านักเรียนใหม่ของปีนี้จะมีความสามารถมากมายขนาดนี้…และยิ่งไปกว่านั้น…อาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง…ดี…ดีมาก…แต่ว่า…” ในขณะที่เขาพูดคำว่า ‘แต่ว่า’ ทันใดนั้นเขาก็เห็นสีหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไป…เป็นสีหน้าเศร้าโศกและอดทนอดกลั้น เขาพลันคร่ำครวญด้วยเสียงสะอื้น “อาจารย์…ท่านมาพอดีเลย! ข้ากำลังจะตามหาอาจารย์เพื่อรายงานเรื่องไม่เป็นธรรมของข้า…ท่านต้องให้ความยุติธรรมสำหรับพวกเรานักเรียนปี 1 ผู้อ่อนแอด้วยนะขอรับ! ในฐานะเด็กใหม่ ทั้งๆ ที่พวกเราเพิ่งจะเข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้…แต่เราก็ถูกพวกรุ่นพี่รังแกเอาเสียแล้ว ก่อนหน้านี้มีพวกรุ่นพี่มาล้อมข้าไว้แล้วก็ยังจู่โจมข้าอีก นอกจากนี้ยังมีรุ่นพี่ชนชั้นสูงพวกนั้น…เขาบอกว่าถ้าข้าไม่ยอมจำนนให้พวกเขา…ข้าจะไม่สามารถอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ต่อไปได้…พวกเขาให้ข้าคุกเข่าขอร้องจนกว่าพวกเขาจะพอใจ ข้าพยายามปกป้องตัวเองทว่ากลับบังเอิญไปโดนรุ่นพี่หลายคนที่อยู่รอบๆ ตัวข้า…เฮ้อ…นั่นเป็นความผิดของข้าจริงๆ อย่างไรก็ตาม…ถ้า…ถ้าข้าไม่ลงมือทำ…บางทีตอนนี้ข้าอาจจะเป็นคนที่นอนกึ่งตายอยู่บนพื้นนั่นก็เป็นได้ อาจารย์ ข้าแค่อยากเรียนในโรงเรียนแห่งนี้อย่างสงบสุข ตั้งใจศึกษาและเรียนรู้ในสิ่งที่ทำได้…เพื่ออุทิศตนใช้ความสามารถที่มีเพียงน้อยนิดให้เป็นเกียรติแก่โรงเรียน…โรงเรียนของพวกเรายังอยู่ภายใต้อำนาจของอาจารย์ใช่หรือไม่…? ท่านต้องปกป้องพวกเราเหล่านักเรียนสามัญชนที่อ่อนแอ! ไม่เช่นนั้น ในอนาคตจะมีสามัญชนคนไหนที่อยากเข้าร่วมโรงเรียนทหารขององค์จักรพรรดิอีก?” ขณะที่โจวเหว่ยชิงพูดเช่นนั้น เขาก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกับน้ำตาไหลพรากๆ…แน่นอนว่าไม่มีใครบอกได้ว่าเขากำลังร้องไห้จริงๆ หรือไม่เพราะเขาเอาแต่เช็ดดวงตาด้วยแขนเสื้อ… ประโยชน์ของคนสองหน้าคืออะไร? เพื่อใช้กลับขาวเป็นดี? โจวเหว่ยชิงกำลังแสดงทักษะการเล่นละครที่น่าทึ่งต่อหน้านักเรียนคนอื่นๆ มีนักเรียนอย่างน้อยกว่าร้อยคนได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถจับคู่โจวเหว่ยชิงที่พวกเขาเห็นทั้ง 2 แบบได้ คนที่เป็นทั้งเพื่อนผู้เหี้ยมโหดและหยิ่งผยอง กับลูกแกะตัวน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางกล่าวว่าตนเป็น        ‘เพียงสามัญชนที่อ่อนแอ’ การจะเปลี่ยนสีหน้าและท่าทางการพูดจาแบบนั้นต่อหน้าพยานจำนวนมากเช่นนี้  นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้แล้ว! คนๆ นั้นต้องมีผิวหนังที่หนามากอย่างไม่น่าเชื่อ! ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงเถือกและก้มหน้าลงด้วยความอับอาย เธอไม่สามารถมองไปที่โจวเหว่ยชิงได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนจิตใจดี เธออาจจะกระโดดขึ้นป่าวประกาศแล้วว่าเธอไม่รู้จักเพื่อนคนนี้! นักเรียนที่อยู่รอบข้างต่างตกตะลึง หัวใจของพวกเขาดังก้องด้วยประโยคเดียวกัน อะไรนะ? แบบนี้ก็ได้เหรอ?! อนิจจา สิ่งที่นักเรียนเหล่านี้รู้…อาจารย์อาจไม่ได้รู้ด้วยเสมอไป สิ่งที่พวกอาจารย์เห็นก็คือโจวเหว่ยชิงได้สร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ และตะโกนบอกนักเรียนสามัญชนคนอื่นๆ ว่าเขาจะดูแลทุกคนโดยไม่จำเป็นต้องชดใช้คืน อีกทั้งยังบอกว่าจะไม่ให้คนอื่นมารังแกเพื่อนร่วมห้องได้ ความจริงแล้วอาจารย์สามัญชนหลายคนมีต้นกำเนิดจากครอบครัวธรรมดาเหมือนกัน มีเพียงอาจารย์ชนชั้นสูงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการแสดงความสามารถอันน่าทึ่งของโจวเหว่ยชิงในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ เมื่อรวมถึงชื่อเสียงที่ไม่ดีของเย่โหลวก่อนหน้านี้…อาจารย์ส่วนใหญ่จึงเชื่อคำพูดของโจวเหว่ยชิงเกือบทั้งหมด การร้องไห้ปฏิเสธด้วยเสียงสะอื้นของโจวเหว่ยชิงนั้นเป็นแผนที่คิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว คำพูดของเขามีวาทศิลป์อย่างมาก ไม่เพียงแต่สามารถปรักรำ ‘ความโหดร้าย’ ของรุ่นพี่หลายๆ คนที่อยู่รอบตัวเขาได้แล้ว เขายังสามารถยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองด้วยท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์และกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ โดยปกติเมื่ออาจารย์สอนนักเรียน พวกเขามักจะพูดว่า…การทำผิดไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรู้ความผิดพลาดของตนเองและเรียนรู้จากมัน การยอมรับผิดเป็นก้าวแรกของการเรียนรู้ และด้วยท่าทางของโจวเหว่ยชิงตอนนี้…ใครจะปฎิเสธได้ว่าเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น? ในสายตาของอาจารย์ทั้งหลาย เขามีความชอบธรรมในการป้องกันตัวอย่างเต็มที่ อีกทั้งตอนนี้เขายังขอให้เหล่าอาจารย์ปกป้องเขาที่อยู่ในฐานะฝ่ายที่อ่อนแอกว่าอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ ที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่โจวเหว่ยชิงพูดนั้นเป็นความจริงทั้งหมด แท้จริงแล้วคือเย่โหลวที่เริ่มก่อนและสั่งให้พวกรุ่นพี่รังแกเขา หากไม่ใช่เพราะพลังของเขาเหนือกว่าพวกนั้น ผู้ที่จะถูกทุบตีก็คงเป็นโจวเหว่ยชิงเอง…ดังนั้นข้อได้เปรียบของเขาคือไม่มีใครสามารถสามารถทักท้วงคำพูดของเขาได้ เห็นได้ชัดว่าการศึกษาเล่าเรียนกับมู่เอินเป็นเวลาหลายปีนั้นไม่ได้เปล่าประโยชน์ เมื่อเทียบกับสองปีก่อน ตอนนี้ อ้วนน้อยโจวโตขึ้นมากแล้ว…จากคำพูดของมู่เอิน…เด็กน้อยคนนี้เติบโตจากพวกขี้โกงธรรมดาๆ กลายเป็นคนเหลี่ยมจัดระดับสูง! เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง ใบหน้าของอาจารย์อายุ 50 ปีก็มืดลง…สายตาของเขากวาดไปยังนักเรียนโดยรอบ…โดยเฉพาะกลุ่มรุ่นพี่ที่ยืนอยู่หลังติงเฉิน “ดูเหมือนว่าปัญหาจะร้ายแรงมาก! นี่คือสิ่งที่นักเรียนชนชั้นสูงกำลังทำอยู่หรือ? กลั่นแกล้งนักเรียนสามัญชนถึงขนาดนี้? แม้แต่น้องใหม่ พวกเจ้าก็ยังไม่เว้น? ทุกคนยังมีความละอายในฐานะรุ่นพี่อยู่หรือไม่? พวกเจ้ากลับไปที่ห้องเพื่อไตร่ตรองถึงการกระทำของตัวเอง แต่ละคนจะต้องเขียนรายงานการสำนึกผิดของตัวเองมาให้ข้า หลังจากนั้นก็ไปยืนที่สนามหลักเพื่อเป็นการลงโทษ…หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า…พวกเจ้าก็ห้ามใครออกไปก่อน” รุ่นพี่สามัญชนคนอื่นๆ รู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดในใจ! อนิจจา พวกเขาไม่กล้าที่จะตำหนิอาจารย์และรีบแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว อาจารย์พูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จะปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปไม่ได้…ดูเหมือนว่าโรงเรียนของเราจะต้องผ่านการเคาะสนิมเล็กน้อย มิฉะนั้นในอนาคตจะไม่มีผู้มีความสามารถที่แท้จริงมาเรียนที่โรงเรียนของเราแน่ ทุกคนกลับไปที่ที่นั่งของเจ้าได้แล้ว โรงเรียนจะจัดการกับเหตุการณ์นี้เองหลังพิธีเปิด” ท่าทางดุดันของอาจารย์ผู้นี้สร้างความหวาดกลัวให้กับนักเรียนทุกคนโดยเฉพาะพวกรุ่นพี่ที่คุ้นเคยกับเขา ทุกคนจึงรีบกลับไปที่นั่งของตนโดยไม่ส่งเสียงใดๆ โจวเหว่ยชิงก็เตรียมที่จะกลับไปที่ที่นั่งของเขาเช่นกัน แต่ทว่าเขากลับถูกอาจารย์คนนั้นเรียกไว้ก่อน ตรงกันข้ามกับท่าทางที่ดุร้ายและจริงจังที่เขาเคยมีก่อนหน้านี้ อาจารย์ที่มีกลิ่นอายน่าเกรงขามผู้นั้นกลับมีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า เขาก้าวเข้ามาไม่กี่ก้าว จากนั้นก็ตบไหล่โจวเหว่ยชิงพลางพูดว่า “เป็นผู้ชายต้องกล้าหาญ! เจ้าไม่ควรซึมเศร้าเพราะพ่ายแพ้ให้กับความอยุติธรรมใดๆ และควรกลับมาเผชิญหน้ากับมันอย่างเข้มแข็ง ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นเอง…นี่คือโรงเรียนทหารของราชวงศ์เฟยหลี่ ไม่ใช่สวนหลังบ้านของใครบางคน ดังนั้นโรงเรียนจะรับรองความปลอดภัยให้กับนักเรียนทุกคนแน่นอน อย่างไรก็ตาม กฏไม่อนุญาตให้นักเรียนต่อสู้กันในโรงเรียน ดังนั้นเจ้ายังคงต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลของนักเรียนที่เจ้าทำให้เขาบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจด้วย” เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ผู้นี้…นักเรียนรอบข้างก็แทบจะสำลักน้ำลายตนเอง “อะไรนะ? เศร้าสร้อย? พ่ายแพ้? กลับมาต่อสู้อย่างเข้มแข็ง?? เพื่อนผู้โหดเหี้ยมคนนี้ คนที่เกือบจะเตะจ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว…ถ้าเขากลับมาต่อสู้อีกครั้ง กลุ่มคนที่เหลือพวกนั้นจะยังอยู่ได้อีกหรือ?? นอกจากนี้…นี่กลายเป็นอาการบาดเจ็บโดยบังเอิญได้อย่างไร? นั่นคือการโจมตีที่โหดเหี้ยมอำมหิตชัดๆ! อาจารย์ถึงกับคิดว่าแค่จ่ายค่ารักษาพยาบาลก็เป็นการลงโทษเขาได้อย่างเหมาะสมแล้ว? เรื่องนี้กลับกลายเป็นว่าโจวเหว่ยชิงผู้ไร้ยางอายนั้นคือคนที่ต้องทนทุกข์กับความอยุติธรรม? ทันใดนั้นนักเรียนที่อยู่รอบๆ ทุกคนต่างก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน โจวเหว่ยชิงไม่สนใจพวกเขา ในขณะนี้ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความซาบซึ้งจนน้ำตาไหล…“ ขอบคุณท่านอาจารย์มากขอรับ ท่านมีเมตตาและยุติธรรมจริงๆ แน่นอนว่าข้าย่อมต้องแบกรับสิ่งที่ข้าควรรับผิดชอบ รุ่นพี่ติงเฉินก็ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดเพราะเขาแค่ฟังคำสั่งจากคนอื่น ข้าจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าทำขวัญให้เขาแน่นอน อาจารย์ ข้าขอทราบชื่อท่านได้ไหม?…การที่ข้ามาโรงเรียนแห่งนี้และพบกับท่านในวันนี้…ข้ารู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนแห่งนี้จริงๆ…ราวกับที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของบ้านข้า” เมื่ออาจารย์ได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็กว้างขึ้น…เขาพยักหน้าให้โจวเหว่ยชิงและกล่าวว่า “ข้าชื่อเสี่ยวฉือ เป็นหัวหน้าอาจารย์หรือคณบดีของที่นี่ ในอนาคตหากเจ้าพบกับความอยุติธรรมเช่นนี้อีก เจ้าก็สามารถมาหาข้าได้ ห้องทำงานของข้าอยู่ที่ชั้น 3 ของอาคารเรียนหลักปีกตะวันตก” “ขอบคุณท่านอาจารย์เซียว เป็นเรื่องดีจริงๆ ที่มีอาจารย์ที่ยุติธรรมเช่นท่านในโรงเรียนแห่งนี้ อย่างน้อยข้าก็จะมั่นใจและสามารถมีสมาธิกับการเรียนได้ ในอนาคตข้าจะพยายามสร้างเกียรติประวัติให้กับโรงเรียนและกลายเป็นนักเรียนดีเด่นให้ได้อย่างแน่นอน” เสี่ยวฉือหัวเราะเต็มเสียงและพูดว่า “เอาล่ะ เจ้าควรกลับไปที่นั่งของเจ้าเช่นกัน พิธีเปิดกำลังจะเริ่มแล้ว” โจวเหว่ยชิงไม่ได้ประจบประแจงเขาทันที แต่คำพูดแต่ละคำของเขากลับแฝงคำชมไว้…เป็นนักเรียนที่โดดเด่น….อีกทั้งยังเก่งและขยันขันแข็ง…เช่นนี้อาจารย์คนไหนบ้างจะไม่ชอบเขา! ………………………………

ขณะนี้เย่โหลวเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์? เจ้าเด็กเหลือขอนั่นเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์จริงหรือ!? ไม่ว่าเขาจะทะนงตัวและหยิ่งผยองเพียงใด เขาก็รู้ดีว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์มีความสำคัญมาก ใครจะไม่รู้ว่าพวกเขาหายากและมีความหมายกับขุมอำนาจหรือกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่เพียงใด! ในบรรดานักศึกษาทั้งหมดของโรงเรียนชั้นนำในอาณาจักรเฟยหลี่ คงจะเป็นเรื่องยากที่จะหาอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์สักคน! นอกจากนี้โจวเหว่ยชิงยังเป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง!

แม้ว่าเย่โหลวจะไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่เขาก็ยังมีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ เขารู้ว่าโจวเหว่ยชิงไม่ได้พูดเกินจริงไปสักนิด

ก่อนหน้านี้กระดาษศาสตรามณียุทธ์ไม่ได้ถูกวางไว้บนโต๊ะด้วยซ้ำ เขาวาดมันขึ้นมาโดยตรง ทั้งยังไม่ใช้แบบร่างเป็นตัวช่วย! นี่ไม่ใช่สิ่งที่แม้แต่อาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางธรรมดาก็สามารถทำได้!

หลังจากชะงักอยู่นาน ในที่สุดเขาก็สามารถหอบหายใจต่อได้ เย่โหลวฉวยโอกาสที่บรรดาเสียงร้อง “ข้าเต็มใจ” ดังขึ้นเซ็งแซ่แอบย่องหนีไป เย่โหลวรู้ว่าวันนี้เขาเพิ่งจะก่อเรื่องใหญ่มาก…และเมื่อเขากลับไป เขาจะต้องเจอเรื่องวุ่นวายขนานใหญ่แน่ๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้ดีว่าตนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ใหญ่ของเขาฟังโดยเร็วที่   สุด…ถ้าไม่อย่างนั้นเรื่องทุกอย่างอาจจะเลวร้ายไปมากกว่านี้!

“แปะๆๆ…” เสียงปรบมือดังขึ้น โจวเหว่ยชิงหันกลับไปดูก็เห็นว่าเป็นกลุ่มอาจารย์ชุดดำที่เย่โหลวเป็นผู้นำมา คนที่ปรบมือคืออาจารย์คนหนึ่งที่มีอายุประมาณ 50 ปี เขาน่าจะเป็นผู้นำกลุ่มอาจารย์ และในสายตาของเขายังแสดงออกถึงความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง

“เด็กน้อย เจ้าชื่ออะไร?” อาจารย์คนนั้นยิ้มน้อยๆ ขณะถาม แต่แม้ว่าเขาจะมีใบหน้ายิ้มแย้ม โจวเหว่ยชิงก็ยังสัมผัสได้ถึงรัศมีความกดดันที่น่าขนลุกจากตัวเขา ด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมของโจวเหว่ยชิง เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้มีพลังเหนือกว่าเขา

“คำนับท่านอาจารย์ ข้าชื่อโจวเหว่ยชิง” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างสุภาพ ท่าทางหึกเหิมเร่าร้อนที่เขามีอยู่เมื่อครู่หายวับไปหันที เขากลายเป็นเด็กหนุ่มที่ดูไร้เดียงสาและซื่อสัตย์ คนอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากัน คนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาดูเหมือนจะแตกต่างจากเพื่อนผู้หยิ่งผยองคนนั้น คนที่สามารถกำราบติงเฉินด้วยลูกเตะเมื่อก่อนหน้านี้ เพื่อนคนนี้เปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหนังสือจริงๆ!

โจวเหว่ยชิงฉลาดมาก เขารู้ว่าต้องทำอะไรและพูดอะไรต่อหน้าบุคคลแต่ละคน  ถ้าเขาพยายามต่อต้านอาจารย์ในโรงเรียนโดยไม่มีเหตุผล นั่นก็ถือว่าเขาเป็นคนโง่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่มีพลังและความแข็งแกร่งพอที่จะทำเช่นนั้นได้…แม้ว่าเขาจะสามารถทำเช่นนั้นได้ เขาก็ยังคงต้องเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ต่อไปอีกนาน เพื่อความสงบสุขของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และตัวเขาเอง เขาไม่สามารถทำให้อาจารย์เหล่านี้ขุ่นเคืองได้ การทุบตีนักเรียนคนอื่นนั่นก็ยังคงถือว่าเป็นเรื่องระหว่างนักเรียนด้วยกัน แต่ถ้าหากเขาแสดงความหยิ่งผยองต่อหน้าอาจารย์…นั่นก็จะกลายเป็นอีกเรื่องโดยสิ้นเชิง…ไม่ว่าความสามารถของเขาจะยิ่งใหญ่แค่ไหน โรงเรียนก็คงทนความเอาแต่ใจของเขาไม่ได้

อาจารย์ที่มีอายุ 50 ปีผู้นั้นยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านักเรียนใหม่ของปีนี้จะมีความสามารถมากมายขนาดนี้…และยิ่งไปกว่านั้น…อาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง…ดี…ดีมาก…แต่ว่า…”

ในขณะที่เขาพูดคำว่า ‘แต่ว่า’ ทันใดนั้นเขาก็เห็นสีหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไป…เป็นสีหน้าเศร้าโศกและอดทนอดกลั้น เขาพลันคร่ำครวญด้วยเสียงสะอื้น “อาจารย์…ท่านมาพอดีเลย! ข้ากำลังจะตามหาอาจารย์เพื่อรายงานเรื่องไม่เป็นธรรมของข้า…ท่านต้องให้ความยุติธรรมสำหรับพวกเรานักเรียนปี 1 ผู้อ่อนแอด้วยนะขอรับ! ในฐานะเด็กใหม่ ทั้งๆ ที่พวกเราเพิ่งจะเข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้…แต่เราก็ถูกพวกรุ่นพี่รังแกเอาเสียแล้ว ก่อนหน้านี้มีพวกรุ่นพี่มาล้อมข้าไว้แล้วก็ยังจู่โจมข้าอีก นอกจากนี้ยังมีรุ่นพี่ชนชั้นสูงพวกนั้น…เขาบอกว่าถ้าข้าไม่ยอมจำนนให้พวกเขา…ข้าจะไม่สามารถอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ต่อไปได้…พวกเขาให้ข้าคุกเข่าขอร้องจนกว่าพวกเขาจะพอใจ ข้าพยายามปกป้องตัวเองทว่ากลับบังเอิญไปโดนรุ่นพี่หลายคนที่อยู่รอบๆ ตัวข้า…เฮ้อ…นั่นเป็นความผิดของข้าจริงๆ อย่างไรก็ตาม…ถ้า…ถ้าข้าไม่ลงมือทำ…บางทีตอนนี้ข้าอาจจะเป็นคนที่นอนกึ่งตายอยู่บนพื้นนั่นก็เป็นได้ อาจารย์ ข้าแค่อยากเรียนในโรงเรียนแห่งนี้อย่างสงบสุข ตั้งใจศึกษาและเรียนรู้ในสิ่งที่ทำได้…เพื่ออุทิศตนใช้ความสามารถที่มีเพียงน้อยนิดให้เป็นเกียรติแก่โรงเรียน…โรงเรียนของพวกเรายังอยู่ภายใต้อำนาจของอาจารย์ใช่หรือไม่…? ท่านต้องปกป้องพวกเราเหล่านักเรียนสามัญชนที่อ่อนแอ! ไม่เช่นนั้น ในอนาคตจะมีสามัญชนคนไหนที่อยากเข้าร่วมโรงเรียนทหารขององค์จักรพรรดิอีก?”

ขณะที่โจวเหว่ยชิงพูดเช่นนั้น เขาก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกับน้ำตาไหลพรากๆ…แน่นอนว่าไม่มีใครบอกได้ว่าเขากำลังร้องไห้จริงๆ หรือไม่เพราะเขาเอาแต่เช็ดดวงตาด้วยแขนเสื้อ…

ประโยชน์ของคนสองหน้าคืออะไร? เพื่อใช้กลับขาวเป็นดี? โจวเหว่ยชิงกำลังแสดงทักษะการเล่นละครที่น่าทึ่งต่อหน้านักเรียนคนอื่นๆ

มีนักเรียนอย่างน้อยกว่าร้อยคนได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถจับคู่โจวเหว่ยชิงที่พวกเขาเห็นทั้ง 2 แบบได้ คนที่เป็นทั้งเพื่อนผู้เหี้ยมโหดและหยิ่งผยอง กับลูกแกะตัวน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางกล่าวว่าตนเป็น        ‘เพียงสามัญชนที่อ่อนแอ’ การจะเปลี่ยนสีหน้าและท่าทางการพูดจาแบบนั้นต่อหน้าพยานจำนวนมากเช่นนี้  นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้แล้ว! คนๆ นั้นต้องมีผิวหนังที่หนามากอย่างไม่น่าเชื่อ!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงเถือกและก้มหน้าลงด้วยความอับอาย เธอไม่สามารถมองไปที่โจวเหว่ยชิงได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนจิตใจดี เธออาจจะกระโดดขึ้นป่าวประกาศแล้วว่าเธอไม่รู้จักเพื่อนคนนี้!

นักเรียนที่อยู่รอบข้างต่างตกตะลึง หัวใจของพวกเขาดังก้องด้วยประโยคเดียวกัน อะไรนะ? แบบนี้ก็ได้เหรอ?!

อนิจจา สิ่งที่นักเรียนเหล่านี้รู้…อาจารย์อาจไม่ได้รู้ด้วยเสมอไป สิ่งที่พวกอาจารย์เห็นก็คือโจวเหว่ยชิงได้สร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ และตะโกนบอกนักเรียนสามัญชนคนอื่นๆ ว่าเขาจะดูแลทุกคนโดยไม่จำเป็นต้องชดใช้คืน อีกทั้งยังบอกว่าจะไม่ให้คนอื่นมารังแกเพื่อนร่วมห้องได้ ความจริงแล้วอาจารย์สามัญชนหลายคนมีต้นกำเนิดจากครอบครัวธรรมดาเหมือนกัน มีเพียงอาจารย์ชนชั้นสูงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการแสดงความสามารถอันน่าทึ่งของโจวเหว่ยชิงในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ เมื่อรวมถึงชื่อเสียงที่ไม่ดีของเย่โหลวก่อนหน้านี้…อาจารย์ส่วนใหญ่จึงเชื่อคำพูดของโจวเหว่ยชิงเกือบทั้งหมด

การร้องไห้ปฏิเสธด้วยเสียงสะอื้นของโจวเหว่ยชิงนั้นเป็นแผนที่คิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว คำพูดของเขามีวาทศิลป์อย่างมาก ไม่เพียงแต่สามารถปรักรำ ‘ความโหดร้าย’ ของรุ่นพี่หลายๆ คนที่อยู่รอบตัวเขาได้แล้ว เขายังสามารถยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองด้วยท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์และกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ โดยปกติเมื่ออาจารย์สอนนักเรียน พวกเขามักจะพูดว่า…การทำผิดไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรู้ความผิดพลาดของตนเองและเรียนรู้จากมัน

การยอมรับผิดเป็นก้าวแรกของการเรียนรู้ และด้วยท่าทางของโจวเหว่ยชิงตอนนี้…ใครจะปฎิเสธได้ว่าเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น? ในสายตาของอาจารย์ทั้งหลาย เขามีความชอบธรรมในการป้องกันตัวอย่างเต็มที่ อีกทั้งตอนนี้เขายังขอให้เหล่าอาจารย์ปกป้องเขาที่อยู่ในฐานะฝ่ายที่อ่อนแอกว่าอย่างใสซื่อบริสุทธิ์

ที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่โจวเหว่ยชิงพูดนั้นเป็นความจริงทั้งหมด แท้จริงแล้วคือเย่โหลวที่เริ่มก่อนและสั่งให้พวกรุ่นพี่รังแกเขา หากไม่ใช่เพราะพลังของเขาเหนือกว่าพวกนั้น ผู้ที่จะถูกทุบตีก็คงเป็นโจวเหว่ยชิงเอง…ดังนั้นข้อได้เปรียบของเขาคือไม่มีใครสามารถสามารถทักท้วงคำพูดของเขาได้ เห็นได้ชัดว่าการศึกษาเล่าเรียนกับมู่เอินเป็นเวลาหลายปีนั้นไม่ได้เปล่าประโยชน์ เมื่อเทียบกับสองปีก่อน ตอนนี้ อ้วนน้อยโจวโตขึ้นมากแล้ว…จากคำพูดของมู่เอิน…เด็กน้อยคนนี้เติบโตจากพวกขี้โกงธรรมดาๆ กลายเป็นคนเหลี่ยมจัดระดับสูง!

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง ใบหน้าของอาจารย์อายุ 50 ปีก็มืดลง…สายตาของเขากวาดไปยังนักเรียนโดยรอบ…โดยเฉพาะกลุ่มรุ่นพี่ที่ยืนอยู่หลังติงเฉิน

“ดูเหมือนว่าปัญหาจะร้ายแรงมาก! นี่คือสิ่งที่นักเรียนชนชั้นสูงกำลังทำอยู่หรือ? กลั่นแกล้งนักเรียนสามัญชนถึงขนาดนี้? แม้แต่น้องใหม่ พวกเจ้าก็ยังไม่เว้น? ทุกคนยังมีความละอายในฐานะรุ่นพี่อยู่หรือไม่? พวกเจ้ากลับไปที่ห้องเพื่อไตร่ตรองถึงการกระทำของตัวเอง แต่ละคนจะต้องเขียนรายงานการสำนึกผิดของตัวเองมาให้ข้า หลังจากนั้นก็ไปยืนที่สนามหลักเพื่อเป็นการลงโทษ…หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า…พวกเจ้าก็ห้ามใครออกไปก่อน”

รุ่นพี่สามัญชนคนอื่นๆ รู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดในใจ! อนิจจา พวกเขาไม่กล้าที่จะตำหนิอาจารย์และรีบแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว

อาจารย์พูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จะปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปไม่ได้…ดูเหมือนว่าโรงเรียนของเราจะต้องผ่านการเคาะสนิมเล็กน้อย มิฉะนั้นในอนาคตจะไม่มีผู้มีความสามารถที่แท้จริงมาเรียนที่โรงเรียนของเราแน่ ทุกคนกลับไปที่ที่นั่งของเจ้าได้แล้ว โรงเรียนจะจัดการกับเหตุการณ์นี้เองหลังพิธีเปิด”

ท่าทางดุดันของอาจารย์ผู้นี้สร้างความหวาดกลัวให้กับนักเรียนทุกคนโดยเฉพาะพวกรุ่นพี่ที่คุ้นเคยกับเขา ทุกคนจึงรีบกลับไปที่นั่งของตนโดยไม่ส่งเสียงใดๆ

โจวเหว่ยชิงก็เตรียมที่จะกลับไปที่ที่นั่งของเขาเช่นกัน แต่ทว่าเขากลับถูกอาจารย์คนนั้นเรียกไว้ก่อน ตรงกันข้ามกับท่าทางที่ดุร้ายและจริงจังที่เขาเคยมีก่อนหน้านี้ อาจารย์ที่มีกลิ่นอายน่าเกรงขามผู้นั้นกลับมีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า เขาก้าวเข้ามาไม่กี่ก้าว จากนั้นก็ตบไหล่โจวเหว่ยชิงพลางพูดว่า “เป็นผู้ชายต้องกล้าหาญ! เจ้าไม่ควรซึมเศร้าเพราะพ่ายแพ้ให้กับความอยุติธรรมใดๆ และควรกลับมาเผชิญหน้ากับมันอย่างเข้มแข็ง ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นเอง…นี่คือโรงเรียนทหารของราชวงศ์เฟยหลี่ ไม่ใช่สวนหลังบ้านของใครบางคน ดังนั้นโรงเรียนจะรับรองความปลอดภัยให้กับนักเรียนทุกคนแน่นอน อย่างไรก็ตาม กฏไม่อนุญาตให้นักเรียนต่อสู้กันในโรงเรียน ดังนั้นเจ้ายังคงต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลของนักเรียนที่เจ้าทำให้เขาบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจด้วย”

เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ผู้นี้…นักเรียนรอบข้างก็แทบจะสำลักน้ำลายตนเอง “อะไรนะ? เศร้าสร้อย? พ่ายแพ้? กลับมาต่อสู้อย่างเข้มแข็ง?? เพื่อนผู้โหดเหี้ยมคนนี้ คนที่เกือบจะเตะจ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว…ถ้าเขากลับมาต่อสู้อีกครั้ง กลุ่มคนที่เหลือพวกนั้นจะยังอยู่ได้อีกหรือ?? นอกจากนี้…นี่กลายเป็นอาการบาดเจ็บโดยบังเอิญได้อย่างไร? นั่นคือการโจมตีที่โหดเหี้ยมอำมหิตชัดๆ! อาจารย์ถึงกับคิดว่าแค่จ่ายค่ารักษาพยาบาลก็เป็นการลงโทษเขาได้อย่างเหมาะสมแล้ว? เรื่องนี้กลับกลายเป็นว่าโจวเหว่ยชิงผู้ไร้ยางอายนั้นคือคนที่ต้องทนทุกข์กับความอยุติธรรม? ทันใดนั้นนักเรียนที่อยู่รอบๆ ทุกคนต่างก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน

โจวเหว่ยชิงไม่สนใจพวกเขา ในขณะนี้ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความซาบซึ้งจนน้ำตาไหล…“ ขอบคุณท่านอาจารย์มากขอรับ ท่านมีเมตตาและยุติธรรมจริงๆ แน่นอนว่าข้าย่อมต้องแบกรับสิ่งที่ข้าควรรับผิดชอบ รุ่นพี่ติงเฉินก็ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดเพราะเขาแค่ฟังคำสั่งจากคนอื่น ข้าจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าทำขวัญให้เขาแน่นอน อาจารย์ ข้าขอทราบชื่อท่านได้ไหม?…การที่ข้ามาโรงเรียนแห่งนี้และพบกับท่านในวันนี้…ข้ารู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนแห่งนี้จริงๆ…ราวกับที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของบ้านข้า”

เมื่ออาจารย์ได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็กว้างขึ้น…เขาพยักหน้าให้โจวเหว่ยชิงและกล่าวว่า “ข้าชื่อเสี่ยวฉือ เป็นหัวหน้าอาจารย์หรือคณบดีของที่นี่ ในอนาคตหากเจ้าพบกับความอยุติธรรมเช่นนี้อีก เจ้าก็สามารถมาหาข้าได้ ห้องทำงานของข้าอยู่ที่ชั้น 3 ของอาคารเรียนหลักปีกตะวันตก”

“ขอบคุณท่านอาจารย์เซียว เป็นเรื่องดีจริงๆ ที่มีอาจารย์ที่ยุติธรรมเช่นท่านในโรงเรียนแห่งนี้ อย่างน้อยข้าก็จะมั่นใจและสามารถมีสมาธิกับการเรียนได้ ในอนาคตข้าจะพยายามสร้างเกียรติประวัติให้กับโรงเรียนและกลายเป็นนักเรียนดีเด่นให้ได้อย่างแน่นอน”

เสี่ยวฉือหัวเราะเต็มเสียงและพูดว่า “เอาล่ะ เจ้าควรกลับไปที่นั่งของเจ้าเช่นกัน พิธีเปิดกำลังจะเริ่มแล้ว” โจวเหว่ยชิงไม่ได้ประจบประแจงเขาทันที แต่คำพูดแต่ละคำของเขากลับแฝงคำชมไว้…เป็นนักเรียนที่โดดเด่น….อีกทั้งยังเก่งและขยันขันแข็ง…เช่นนี้อาจารย์คนไหนบ้างจะไม่ชอบเขา!

………………………………

“สิทธิ์?” โจวเหว่ยชิงมองไปที่เด็กหนุ่มคนนั้นและพูดอย่างเฉยชา “สิทธิ์ของข้าก็คือกำปั้น เพราะหมัดของข้าแข็ง แกร่งกว่าของเจ้า…ข้าจึงมีสิทธิ์! ในอนาคตคำพูดของข้าคือกฎสำหรับห้องเรียน อย่างน้อยในอีก 4 ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ยอมจำนน และตกเป็นขี้ข้าให้กับตระกูลขุนนางหรือสำนักกักเก็บทักษะ หลังจากพ้น 4 ปีไปแล้ว เมื่อพวกเจ้าจบการศึกษา ทุกคนจะได้เดินตามเส้นทางของตัวเอง และในตอนนั้นเจ้าจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ข้าจะไม่ควบคุมใครทั้งนั้น”

เมื่อพูดจบโจวเหว่ยชิงก็เดินไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างช้าๆ นักเรียนท่าทางเย็นชาคนนั้นยังคงจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาลุกโชนไม่ยอมอ่อนข้อ แม้แต่หม่าคุนที่ยืนอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยังขมวดคิ้ว โจวเหว่ยชิงกำลังแสดงท่าทางอวดดีอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่โข่วรุ่ยเองก็ยังมีสีหน้าที่ค่อนข้างน่าเกลียดในขณะที่รุ่นพี่คนอื่นที่อยู่รอบๆ พวกเขาต่างมองไปที่โจวเหว่ยชิงราวกับว่าเขาเป็นคนบ้า

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คว้าแขนของโจวเหว่ยชิงแล้วพูดเบาๆ “อ้วนน้อย เจ้าเป็นอะไรไป? เราทุกคนเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน อย่าทำเช่นนั้นเลย”

“เพราะว่าเราเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน ข้าจึงต้องทำเช่นนี้” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเย็นชาขณะที่สายตาของเขากวาดมองบรรดานักเรียนสามัญชน เขาเห็นความกลัว ความโกรธ ความไม่พอใจ ความหวาดหวั่น อารมณ์ทุกประเภท ทั้งการแสดงออกทางสีหน้าและแววตาของพวกเขา “ในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่ง ทุกคนต้องสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองอย่างภาคภูมิ ใจ ถ้ามนุษย์ไม่มีกระดูกสันหลัง เขาจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งได้อย่างไร? เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับคนที่แข็งแกร่งแต่ยอมเป็นทาสในโลกของจ้าวมณีหรือไม่? ข้าจะสอนบทเรียนพวกเจ้า ในฐานะมนุษย์ เราต้องยืนให้สูง ยืดหลังให้ตรง ดังนั้นข้าจะไม่ยอมให้เพื่อนร่วมห้องของข้ากลายเป็นสุนัขรับใช้ของคนอื่นเด็ดขาด ข้าไม่อยากเห็นพวกเจ้ากลายเป็นครึ่งคนหรือถูกคนอื่นดูถูกเหยียดหยาม”

แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะยังถูกซ่างกวนปิงเอ๋อร์จับแขนเอาไว้ เขาก็ยังฝืนเดินต่อไปที่ด้านหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้น แต่อีกฝ่ายก็ดื้อรั้นและมีความมุ่งมั่นมากเช่นกัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลิ่นอายน่าเกรงขามของโจวเหว่ยชิง เขาก็ยังไม่ยอมถอยง่ายๆ

โจวเหว่ยชิงเดินไปหาเขา หยุดในระยะใกล้เพียงแค่ 1 ฉื่อ “ก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าว่ามีสิทธิ์อะไร? เอาล่ะ ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง!”

เมื่อพูดเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็ยกมือขึ้นลูบไปทั่วสร้อยคอของเขา จู่ๆ บัตรเก็บเหรียญทองก็พลันปรากฏขึ้นในมือของเขา โจวเหว่ยชิงยื่นมันให้เด็กหนุ่ม “ในบัตรใบนี้มีเงินอย่างน้อย 400,000 เหรียญทอง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จำนวนเงินทั้งหมดที่เพื่อนร่วมห้องทุกคนต้องการใช้สำหรับกักเก็บทักษะ พวกเขาจะได้รับเงินตามนั้น ถ้าเงินหมด ข้าจะเป็นคนเติมให้เอง ข้าไม่ต้องการให้เจ้าทุกคนยอมก้มหัวให้ข้าหรือกลายเป็นทาสของข้า แต่ใน 4 ปีนี้ ข้าจะจ่ายเงินให้ตามความต้องการของเจ้าและสิ่งที่ข้าต้องการก็คือให้พวกเจ้าทุกคนยืนหยัดและทำตัวเป็นมนุษย์คนหนึ่งจริงๆ ไม่ใช่สุนัข”

ด้วยคำพูดเหล่านั้น ทุกคนรอบข้างต่างก็พรั่งพรูถ้อยคำมากมายออกมา ความประทับใจแรกของรุ่นพี่ก็คือเจ้าเด็กคนนี้บ้าไปแล้ว! จ่ายเงินให้เพื่อนร่วมห้องโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทนงั้นรึ?! เขาคงไม่ได้ฟั่นเฟือนไปแล้วหรอกนะ?

ในทางกลับกัน เด็กใหม่ทุกคนต่างก็ตกตะลึง จ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด โจวเหว่ยชิงที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาอาจจะดูเหมือนคนบ้า แต่เขาเป็นคนบ้าที่น่ารักและน่าชื่นชมจริงๆ! ท้ายที่สุดถ้าเลือกได้ใครบ้างจะอยากเป็นสุนัขที่ต้องกลายเป็นทาสและถูกประทับตราธาตุมืด?

เด็กหนุ่มผู้เย็นชายื่นมือไปรับบัตรจากมือของโจวเหว่ยชิงโดยไม่รู้ตัว ตอนแรกดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความโกรธและความดื้อรั้น แต่ทว่าตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยความสับสนมึนงง “เจ้าควรรู้ว่าการกักเก็บทักษะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ต่างหากที่เป็นปัญหาที่แท้จริง แม้แต่ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานธรรมดาก็มีราคาอย่างน้อย 50,000 เหรียญทอง และ 400,000 เหรียญทองในบัตรใบนี้ก็คงจะอยู่ได้ไม่นาน ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเจ้าจะร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถหาซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ได้เพราะพวกมันหายากมาก!”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้าจัดการได้…โข่วรุ่ย!”

“เอ๊ะ?” โข่วรุ่ยได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อของเขาจึงรีบวิ่งไปหาโจวเหว่ยชิงทันที “ลูกพี่? ท่านเรียกข้าหรือ?”

โจวเหว่ยชิงตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “เจ้าเชื่อข้าไหม?”

เมื่อมองไปที่โจวเหว่ยชิง โข่วรุ่ยก็กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน เพราะข้าได้ตัดสินใจติดตามท่านแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่เสียใจ พ่อของข้าบอกว่าในชีวิตของคนเรา เราจะได้พบโอกาสสำคัญของตัวเองเสมอ  เมื่อพบแล้วเราจะต้องคว้าโอกาสนั้นไว้และห้ามปล่อยมันหลุดมือไปเด็ดขาด และข้าก็เชื่อว่านี่คือโอกาสของข้า”

โจวเหว่ยชิงเปิดปากหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ดีมาก ข้าก็เชื่อในเรื่องนั้นเช่นกัน ช่วยข้าถือไว้หน่อย” ในขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็ใช้มือกวาดผ่านสร้อยมิติของตน จากนั้นกระดาษแผ่นใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา เขาขอให้โข่วรุ่ยช่วยถือปลายกระดาษอีกฝั่งในขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ช่วยจับไว้อีกฝั่ง  ทำให้กระดาษคลี่ออกเป็นแนวนอนหันหน้าเข้าหาทุกคนกลางอากาศ เมื่อหันไปหาเด็กหนุ่มเย็นชาผู้นั้น เขาก็กล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่านี่คืออะไร?”

“นี่? หรือว่านี่จะเป็น…กระดาษศาสตรามณียุทธ์?” เขาตอบกลับมาอย่างประหลาดใจ

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “ดู” หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็พลันสะบัดข้อมือออกมา ก่อนที่ใครจะทันได้มองเห็นอย่างชัดเจน พู่กันและขวดเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาแล้ว โจวเหว่ยชิงเปิดฝาและจุ่มพู่กันลงไปในขวดที่เต็มไปด้วยหมึกศาสตรามณียุทธ์ เขาสูดหายใจเข้าลึก สายตาของโจวเหว่ยชิงดูเหมือนจะเฉียบคมขึ้นในพริบตาขณะที่เขากำลังจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่กระดาษศาสตรามณียุทธ์เบื้องหน้าเขา

ในขณะนั้นเอง เย่โหลวก็กลับมาพร้อมกับอาจารย์ประจำโรงเรียน 7-8 คน อาการบาดเจ็บของติงเฉินสาหัสมากและเขาสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นลงโทษโจวเหว่ยชิงได้ ลูกพี่ใหญ่ของเขาไม่ได้เข้าร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้ แต่ถ้าเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องโกรธมากแน่นอน ส่วนเย่โหลวก็คงจะต้องตกที่นั่งลำบาก ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากเขาไม่สามารถจัดการกับโจวเหว่ยชิงได้ด้วยตัวเอง เย่โหลวจึงต้องให้อาจารย์จัดการกับเขาแทน! อันดับแรกคือขับไล่เขาออกไปจากโรงเรียนโดยใช้อาการบาดเจ็บของติงเฉินเป็นข้ออ้าง และเมื่อเขาถูกไล่ออก พวกเขาสามารถจัดการกับโจวเหว่ยชิงได้อย่างช้าๆ

เมื่อเห็นร่างที่ได้รับบาดเจ็บของติงเฉินอยู่บนพื้น อาจารย์ 2 คนก็รีบวิ่งไปหาเขาเพื่อเริ่มการรักษาทันที ส่วนอาจารย์คนอื่นๆ ก็แยกตัวเดินไปหาโจวเหว่ยชิง ขณะที่เย่โหลวกำลังจะปริปากพูด หัวหน้าอาจารย์ที่อายุประมาณ 50 ปีก็หยุดเขาไว้ก่อน เขาจ้องไปยังแผ่นกระดาษที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโข่วรุ่ยถืออยู่ด้วยความประหลาดใจ “เดี๋ยวก่อน รอดูก่อนว่าเขากำลังทำอะไร นั่นคือ…กระดาษศาสตรามณียุทธ์?…และมันก็ว่างเปล่า…เป็นไปได้ไหมว่า…”

ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงเริ่มเคลื่อนไหว เขาไม่ได้ขยับมือรวดเร็วนัก ในทางตรงกันข้าม เขาทำทุกอย่างช้าๆอย่างเป็นขั้นตอน ราวกับว่าไม่มีฝูงชนกำลังห้อมล้อมเขาอยู่ ไม่มีอะไรสามารถสั่นสะเทือนเขาได้และไม่มีเหตุการณ์ปะทะกันก่อนหน้านี้ เมื่อฝีแปรงของเขาขยับขึ้นและลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่หมึกศาสตรามณียุทธ์กวาดไปมาบนกระดาษและซึมหายเข้าไปในนั้น มันก็ก่อเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับ

ทุกคนในห้องประชุมต่างก็จ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิงเป็นตาเดียว นักเรียนส่วนใหญ่ถึงกับยืนชะเง้อคอมองด้วยซ้ำ ทว่าก็ยังมีนักเรียนอีกหลายคนซึ่งอยู่ไกลออกไปและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาก็ถูกกลุ่มคนบริเวณนี้ดึงดูดความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ

มือของโจวเหว่ยชิงดูเหมือนจะขยับผ่านกระดาษเป็นจังหวะที่แปลกประหลาดและไม่เหมือนใคร ด้วยการลาก    ฝีพู่กันของเขา ลวดลายต่างๆ ก็ถูกทิ้งไว้บนกระดาษศาสตรามณียุทธ์อย่างเป็นระเบียบ ในขณะที่เขาลากมือต่อไป ภาพของโล่ทรงกลมขนาดเล็กก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนกระดาษ สัญลักษณ์และลวดลายแปลกๆ ดูเหมือนจะทำให้ทุกๆ อย่างดูเข้ากันดี กระบวนการทั้งหมดช้ามาก แต่ทว่าก็เป็นธรรมชาติและราบรื่นเหมือนการไหลของน้ำในลำธารที่ไม่มีที่สิ้นสุด มือของเขาไม่ได้หยุดแม้แต่วินาทีเดียว และดูเหมือนว่าทุกฝีแปรงจะสามารถเชื่อมโยงเข้ากับโลกใบนี้ได้อีกด้วย

โจวเหว่ยชิงจดจ่ออยู่กับกระดาษศาสตรามณียุทธ์ในขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จดจ่ออยู่กับใบหน้าของเขา เหมือนกับที่เขาว่ากันไว้ ผู้ชายจะดูดีที่สุดก็ต่อเมื่อจดจ่ออยู่กับงาน  ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักถึงสิ่งที่เขากำลังตั้งใจทำ รวมถึงความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในการกระทำทั้งหมดของเขา แน่นอน! อ้วนน้อยของข้าเป็นคนใส่ใจทุกสิ่ง ดังนั้นเขาจะทำบางอย่างโดยไม่ไตร่ตรองไว้ก่อนได้อย่างไร?

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ตวัดพู่กันขึ้นครั้งสุดท้าย แสงสีทองอันเจิดจ้าพลันเปล่งประกายออกมาบ่งบอกถึงความสำเร็จ กลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ของม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์พลันถูกปลดปล่อยออกมา แม้ว่าจะเป็นเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้ชมโดยรอบจะไม่มีวันลืมแน่นอน

แม้ว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์จะหายาก แต่อย่างไรในโรงเรียนนี้ก็มีจ้าวมณีจำนวนมาก ทว่าก็มีเพียงไม่กี่คนที่เคยใช้ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มาก่อนเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การได้เห็นกระบวนการสร้างม้วนคัมภีร์ที่แท้จริงนั้นเป็นสิ่งที่แทบไม่มีใครเคยประสบมาก่อน! แต่แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็น อย่างน้อยพวกเขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับกระบวนการนี้มาบ้าง เมื่อแสงสีทองเปล่งประกายออกมา แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าโจวเหว่ยชิงได้สร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์สำเร็จแล้ว

โจวเหว่ยชิงเก็บม้วนคัมภีร์จากมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโข่วรุ่ย จากนั้นก็หันไปหาเด็กหนุ่มผู้เย็นชาอีกครั้ง ในครั้งนี้สิ่งที่โจวเหว่ยชิงเห็นคือความประหลาดใจและความเคารพ ความเย็นชาบนใบหน้าของเขาได้เลือนหายไปแล้ว

“ทักษะกักเก็บของจ้าวมณีธาตุ ศาสตรามณียุทธ์ของจ้าวมณียุทธ์ เพื่อนร่วมห้องที่รัก เจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง? ข้าเป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง อย่างที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ ข้าสามารถดูแลพวกเจ้าทั้งหมดได้โดยไม่ต้องชดใช้คืน ข้าสามารถทำได้แม้กระทั่งสร้างคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่เจ้าต้องการ ข้าเป็นสามัญชน แต่ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของข้า ข้ามีสิทธิ์ที่จะพูดออกไป เจ้ายินดีที่จะใช้เวลา 4 ปีข้างหน้าไปกับข้าหรือไม่? เข้าร่วมกับข้าเพื่อไม่ให้ใครมารังแกพวกเรา”

หลังจากสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แล้ว โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้แสดงอาการเหนื่อยล้าแต่อย่างไร ในทางตรงกันข้าม เขากลับดูมีชีวิตชีวา ดวงตาก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่อย่างหาที่เปรียบมิได้

“ข้าเต็มใจ” โข่วรุ่ยเป็นคนแรกที่สนับสนุนโจวเหว่ยชิง สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอไม่จำเป็นต้องพูดด้วยซ้ำ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เธอก็จะตามเขาไปเสมอ

“ข้าชื่อหยางเจ๋อชี ข้าเต็มใจเหมือนกัน” คนที่พูดเป็ฯลำดับถัดมาคือเด็กหนุ่มที่เย็นชาผู้นั้น ด้วยข้อเสนอที่มอบทักษะกักเก็บและศาสตรามณียุทธ์ให้เปล่าเช่นนี้ เขาคงเป็นคนโง่ถ้าไม่เห็นด้วยกับโจวเหว่ยชิง!

“แหะๆ…” โดยไม่ได้มองและได้ยินเสียงนั้น โจวเหว่ยชิงก็รับรู้โดยธรรมชาติว่าเป็นหม่าฉุนที่เพิ่งอ้าปากพูดออกมา

นักเรียนใหม่ยืนขึ้นทีละคน ไม่ว่าลักษณะนิสัยของพวกเขาจะเป็นอย่างไร แต่การที่โจวเหว่ยชิงถือม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่สร้างขึ้นใหม่ต่อหน้าพวกเขา และถามว่าพวกเขาอยากจะยืนหยัดต่อสู้ร่วมกันกับเขาเป็นเวลา 4 ปีหรือไม่? เมื่อได้ยินเช่นนั้น เลือดในกายของพวกเขาจึงเริ่มเดือดพล่านขึ้นมาทันที

ไม่มีใครอยากตกเป็นทาสอย่างไร้เหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้มีคนยื่นการสนับสนุนที่แข็งแกร่งมาต่อหน้าพวกเขา สำหรับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนหนึ่ง ใครจะรู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งและทรงพลังกี่คนเต็มใจจะติดตามเขาบ้าง นอกจากนี้โจวเหว่ยชิงยังเป็นเพื่อนร่วมห้องของพวกเขา เมื่อมีเพื่อนร่วมห้องที่เต็มใจช่วยเหลือพวกเขาโดยไม่หวังผลตอบแทนเช่นนี้ เวลานี้ใครจะเลือกทางอื่นอยู่อีก?

“ข้าเต็มใจ! พวกเราเต็มใจ!” เสียงดังออกมาทีละเสียง ขณะนั้นหัวใจของนักเรียนใหม่ทุกคนต่างก็เริ่มผูกพันเข้าด้วยกันและแกนกลางของการสายสัมพันธ์นั้นคือโจวเหว่ยชิง เขาถือม้วนคัมภีร์และยืดตัวขึ้นสูงอย่างภาคภูมิ

………………………………

“นักเรียนที่มาจากตระกูลขุนนางมักจะเฟ้นหาพรรคพวกที่โดดเด่นจากบรรดานักเรียนสามัญชนเพื่อชักชวนพวกเขาเข้าร่วมกับตระกูลของตน ในการทำเช่นนั้น พวกเขาจะล่อลวงนักเรียนคนอื่นๆ ด้วยจำนวนเงินที่ใช้ในการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์หรือกักเก็บทักษะ”

“เมื่อนักเรียนพวกนั้นยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้ตระกูลขุนนางเหล่านี้ มันก็ไม่ต่างจากไปจากการกระทำของสำนักกักเก็บทักษะหรอก รุ่นพี่พวกนั้นขายอิสรภาพให้กับตระกูลเย่ไปแล้ว”

ในบรรดานักเรียนสามัญชนทั้งหมด อย่างน้อย 8 ใน 10 ส่วนต่างก็เลือกทำงานภายใต้ตระกูลขุนนางหรือสำนักกักเก็บทักษะ เนื่องจากตระกูลเย่เป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโรงเรียน พวกเขาจึงมีพรรคพวกที่มีความสามารถโดดเด่นในหมู่นักเรียนสามัญชนมาก”

“ขอบคุณน้องชาย” โจวเหว่ยชิงหันกลับไปด้วยรอยยิ้ม รู้สึกประทับใจในตัวโข่วรุ่ยมากขึ้นกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าโข่วรุ่ยกังวลเกี่ยวกับโจวเหว่ยชิงจึงพยายามตรวจสอบอำนาจและอิทธิพลในโรงเรียนทั้งหมดเพื่อเขา ในตอนนี้รุ่นพี่นักเรียนสามัญชนหลายสิบคนกำลังเดินมาหาเย่โหลวที่มองดูพวกเขาอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดว่า “บิดาเจ้าเรียกตั้งนานไม่ยอมมา! พวกเจ้ากล้าเงียบใส่ข้าอย่างนั้นหรือ!? ไม่อยากเหลือท้องไว้กินข้าวแล้วใช่ไหม?! เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ดูถูกลูกพี่ใหญ่ของข้า พวกเจ้าจงจัดการเขาเดี๋ยวนี้!”

ในบรรดานักเรียนสามัญชนหลายสิบชีวิต บางคนรู้สึกอับอายและก้มหน้าลงต่ำ บางคนจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิง ในขณะที่บางคนมองเย่โหลวด้วยความโกรธ

รุ่นพี่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าซึ่งดูจะอายุเท่าๆ กับซ่างหลางถอนหายใจเบาๆ ขณะที่พูดกับโจวเหว่ยชิงว่า “ขอโทษนะน้องชาย พวกรับเงินจากพวกเขามาแล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่ง ช่วยมากับพวกเราหน่อยได้หรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงยืนขึ้น พยักหน้าและพูดว่า “ตกลง” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เขาก็ปล่อยมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และเดินออกไปตัวคนเดียว

“ข้าจะไปกับเจ้า” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนขึ้นเช่นกัน ใบหน้าที่งดงามของเธอเฉยชาและสงบนิ่งราวกับน้ำในทะเลสาบ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าการร่ำเรียนอยู่ที่นี่แบบสบายๆ ไร้ปัญหานั้นอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด ดูแล้วมีคนจำนวนมากกว่าสิบด้วยซ้ำ เช่นนี้เธอจะปล่อยโจวเหว่ยชิงไปคนเดียวได้อย่างไร!

โจวเหว่ยชิงยิ้มน้อยๆ และไม่ตอบกลับขณะที่เขาก้าวไปหาอีกฝ่ายช้าๆ

“ลูกพี่ รอข้าด้วย! ฮึ่ม คนพวกนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ! กลายเป็นสุนัขของขุนนางเพียงเพื่อศาสตรามณียุทธ์กับทักษะกักเก็บ” สีหน้าของโข่วรุ่ยเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองขณะที่เดินออกจากที่นั่งของตนไปเช่นเดียวกัน

ยิ่งไปกว่านั้น บางสิ่งก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจอย่างมาก นอกจากโข่วรุ่ยแล้วยังมีนักเรียนใหม่อีก 2 คนเดินออกมาจากกลุ่มนักเรียนสามัญชนเพื่อยืนอยู่เคียงข้างกับโจวเหว่ยชิง คนหนึ่งคือหม่าฉุนผู้ซึ่งมีใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างธรรมดา ใบหน้าดูค่อนข้างเย็นชาและห่างเหิน

เย่โหลวหัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าน้องใหม่ของปีนี้จะกล้าแสดงออกไม่เบา! ดีมาก นี่เป็นโอกาสดีที่จะสั่งสอนน้องใหม่ทุกคนเกี่ยวกับกฎของโรงเรียนทหารเฟยหลี่ ติงเฉิน อัดพวกมันให้น่วม! อย่าหยุดจนกว่าจะแน่ใจว่าพวกมันใกล้ตาย แต่อย่าเผลอฆ่าพวกมันล่ะ ฮึ่ม! ข้าจะรอดูว่ามีใครกล้าขัดขืนและอวดดีใส่ข้าอีก!”

รุ่นพี่ที่เชิญโจวเหว่ยชิงออกไปก่อนหน้านี้คือติงเฉินที่เย่โหลวเรียกออกมา เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงเดินออกไปโดยไร้ซึ่งการขัดขืน เขาก็ถอนหายใจเบาๆ และกล่าวว่า “น้องใหม่ ขอโทษนายน้อยโหลวซะ ข้าเคยได้ยินเรื่องการต่อสู้ของเจ้ากับซ่างหลางเมื่อวันก่อนแล้ว ด้วยความสามารถของเจ้า ลูกพี่ใหญ่แห่งตระกูลเย่ไม่อยากสร้างปัญหาให้เจ้าโดยไม่จำเป็นหรอก”

โจวเหว่ยชิงยิ้มให้เขาแล้วตบรอยยับบนเครื่องแบบของอีกฝ่ายด้วยท่าทีสง่างาม เขาพูดอย่างเฉยชาว่า “ไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามอีก เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าตอนนี้รับเงินจากพวกเขามาแล้วเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่ง? งั้นก็เอาเลยสิ บอกตามตรงว่าในสายตาของข้า ระดับของเจ้าต่ำกว่าซ่างหลางด้วยซ้ำ ในฐานะลูกผู้ชาย ถ้าเจ้าไม่สามารถยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งของตนเอง เจ้าจะยังมีคุณค่าให้ชื่นชมอยู่อีกหรือ?”

ใบหน้าของติงเฉินเปลี่ยนสีทันที เขากล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “เด็กใหม่ เจ้าอย่าได้ใจเกินไปนัก! ทุกคนล้วนต้องพบปัญหาและมีความยากลำบากที่ต้องเผชิญ เจ้าก็เป็นจ้าวมณีเช่นกัน ดังนั้นเจ้าน่าจะรู้ปัญหาที่พวกเราประสบอยู่”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ทั้งหมดที่ข้ารู้คือข้ามีมือและเท้าของตัวเอง ถ้าข้าต้องการเงิน ข้าก็จะขยันทำงานหนักและหาเงินมาใช้จ่าย ไม่ใช่ยอมเป็นสุนัขรับใช้ให้พวกขุนนาง แต่เพราะเจ้าเลือกจะเป็นสุนัข ตอนนี้เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องเสแสร้งต่อหน้าข้าและทำตัวเป็นคนดีแล้ว”

คำพูดของเขาทำให้รุ่นพี่นักเรียนสามัญชนหลายสิบคนเผยสีหน้าขุ่นเคืองออกมา ตอนแรกพวกเขาค่อนข้างกังวลที่จะแสดงตนว่าอยู่ภายใต้อำนาจตระกูลเย่ต่อหน้านักเรียนในโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาก็เริ่มมีอารมณ์คุกกรุ่นเพราะคำพูดของโจวเหว่ยชิง ทุกคนจึงรวมตัวกันเพื่อจะเอาชนะเขาให้ได้ พริบตาต่อมาแต่ละคนก็ปลดปล่อยมณีพลังออกมาอย่างรวดเร็ว

“พูดได้ดี! เพราะเจ้ากลายเป็นสุนัขไปแล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป!” หม่าฉุนกล่าวอยู่ด้านข้าง เมื่อมองไปที่โจวเหว่ยชิง เขาพูดต่อ “ อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า ข้าแค่ทนไม่ได้ที่เห็นขุนนางพวกนี้ทำตัวน่ารังเกียจ ใช้สิทธ์อะไรมากดขี่พวกเรานักเรียนสามัญชน ฮึ่ม! บิดาจะไม่ยอมจำนนกับคนพวกนี้หรอก!”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ไม่เลว ไม่เลว เจ้าเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง อย่างน้อยก็อย่าให้ขนาดตัวของเจ้าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ”

เย่โหลวกล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหว “ติงเฉิน เจ้ายังรออะไรอยู่อีก?!”

ติงเฉินหายใจเข้าลึก แสงเย็นยะเยือกผุดวาบขึ้นมาในดวงตาของเขาขณะที่ก้าวไปข้างหน้าและปล่อยหมัดชกไปที่โจวเหว่ยชิง การกระทำของเขาเรียบง่ายแต่ทว่าได้รับการฝึกฝนและขัดเกลามาเป็นอย่างดี ราวกับว่าเขาเป็นสนิมเหล็กที่ได้รับการขัดเงาจนใส หมัดนั้นพุ่งเข้าหาโจวเหว่ยชิงพร้อมกับพลังความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ภายใน ที่ข้อมือขวาของเขามีหยกน้ำแข็ง 3 ดวงกำลังหมุนวนอยู่ เขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณียุทธ์เพิ่มความแข็งแกร่งเช่นเดียวกับโจวเหว่ยชิงและยังเป็นมณี 3 ดวงอีกด้วย! เนื่องจากตระกูลเย่เป็นผู้ทาบทามเขามาเป็นผู้นำของเหล่านักเรียนสามัญชนตระกูลเย่ ติงเฉินจึงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

โจวเหว่ยชิงทำตามคำเรียกร้องของอีกฝ่าย เขายกหมัดขึ้นต่อยไปข้างหน้าเช่นกัน หลุมดำพลังปราณทั้ง 12 แห่ง ณ จุดตายของเขาหมุนวนด้วยความเร็วสูงสุดขณะที่พลังปราณสวรรค์ของเขาพุ่งทะลักขึ้นมา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ลุกออกมาจากที่นั่ง

*ตูม* หมัดทั้งสองปะทะกัน โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อนในขณะที่ติงเฉินสะดุดถอยหลังไป 3 ก้าวก่อนจะเอนไปมาคล้ายทรงตัวไม่ไหว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที

ควรรู้ว่าพลังปราณสวรรค์ของติงเฉินนั้นได้รับการฝึกฝนจนถึงขั้นทะลวงพิภพระดับที่ 2 แล้ว นั่นสูงกว่าโจวเหว่ยชิงถึง  2 ระดับ! อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งทางกายภาพและพลังของเขากลับเทียบโจวเหว่ยชิงแทบไม่ติด ในขณะนี้เขารู้สึกว่าหมัดขวาของตนชาจนไร้ความรู้สึกไปหมด เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่มีมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่ง 3 ดวงเหมือนกันและทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้ใช้ศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะที่กักเก็บไว้ ผลลัพธ์เช่นนี้จะไม่ทำให้เขาตกใจได้อย่างไร ทว่านั่นก็ยังไม่ใช่จุดจบของเรื่องนี้เพราะสิ่งที่ตามมากลับยิ่งทำให้เขาตกใจมากขึ้นไปอีก หลังจากทำการแลกหมัดและโจมตีใส่เขาจนกระเด็นกลับมาได้แล้ว โจวเหว่ยชิงก็หายตัวไปทันที เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็มาอยู่ตรงหน้าติงเฉินแล้ว ขาขวาของเขาพลันยกขึ้นและฟาดลงไปอีกครั้งเหมือนขวานผ่าฟืนขนาดใหญ่ยักษ์ที่น่าสะพรึงกลัว แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงเพิ่งใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาของเขามายืนในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อใช้พลังขาขวาปีศาจโจมตีต่อ ตอนนี้พิธีเปิดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เขาจึงต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นถึงความสามารถของตนเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ที่ต้องการหาเรื่องเขาหรือซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ ในการทำเช่นนั้น เขาจะต้องเอาชนะอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด

ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาไม่ได้แค่เพียงเร็ว แต่มันเร็วมากๆ ราวกับว่าในทันทีที่ติงเฉินสะดุดไปข้างหลัง ขาของโจวเหว่ยชิงก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าความเร็วไม่ใช่จุดแข็งของติงเฉิน ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่น่าจะหลบโจวเหว่ยชิงพ้นแน่ๆ คิดได้ดังนั้นเขาจึงทำแค่เพียงยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมารับขาขวาของโจวเหว่ยชิงเอาไว้อย่างไร้ทางเลือก

“ติงเฉินถูกกำจัดแล้ว” ซ่างหลางซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางนักเรียนสามัญชนคนอื่นๆ ถอนหายใจขณะที่เขาส่ายหัว เขาเคยสัมผัสกับพลังของขาขวาของโจวเหว่ยชิงมาด้วยตัวเองและรู้ดีว่ามันแข็งแกร่งและมีพลังทำลายล้างสูงเพียงใด ในความคิดของเขา ขาข้างนั้นน่าจะเป็นศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะที่กักเก็บไว้ พลังที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ติงเฉินจะเอาชนะได้ง่ายๆ

*ตูมมม*

“อ๊ากกกกก” เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วทั้งห้องประชุม ร่างของติงเฉินถูกฟาดลงไปกองกับพื้นแข็งๆ เช่นเดียวกับที่ซ่างหลางคาดไว้เอา ‘ติงเฉินถูกกำจัดแล้ว’ แขนทั้งสองข้างที่พยายามขัดขวางขาขวาของโจวเหว่ยชิงเอาไว้หักเป็นสองท่อน ในเวลาเดียวกัน แรงปะทะนั้นยังส่งผลให้กระดูกร้าวลงมาถึงหัวไหล่ เขาไหล่หักทันทีพร้อมกับซี่โครงทั้ง 5 ซี่! ส่วนขาของก็หักเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะโจวเหว่ยชิงยั้งแรงไว้ไม่ใช้กำลังเต็มที่และเบี่ยงตัวเฉียดไปทางด้านข้างในช่วงสุดท้าย หัวของติงเฉินก็คงจะแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ แล้ว

อึดใจต่อมา ภายในรัศมี 50 เมตรที่มีโจวเหว่ยชิงเป็นจุดศูนย์กลาง ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่เย่โหลวที่ร้องขู่ออกมาอย่างหยิ่งผยองเมื่อครู่ก็นิ่งเงียบราวกับว่ามีก้อนอะไรติดคอ ใบหน้าของเขาซีดเผือดเมื่อมองไปยังภาพเหตุการณ์ตรงหน้า

ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าในการปะทะกันระหว่างมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งบริสุทธิ์ด้วยกันนั้น ติงเฉินจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว แน่นอนพวกเขาก็ไม่คาดคิดด้วยว่าโจวเหว่ยชิงจะลงมือได้โหดเหี้ยมเช่นนี้ ขาข้างเดียวของเขาเกือบทำให้ติงเฉินพิการไปตลอดชีวิต! เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาจากปากของติงเฉินในขณะที่เขากระตุกอยู่บนพื้นสักพักก่อนจะสลบไป

รุ่นพี่นักเรียนสามัญชนคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังติงเฉินต่างก็ยืนอยู่กับที่ด้วยความตกตะลึง ไม่มีใครกล้าเปิดศึกโจมตีโจวเหว่ยชิงอีก

เด็กหนุ่มท่าทางเย็นชาที่ยืนอยู่ข้างหม่าฉุนก่อนหน้านี้พลันหรี่ตาลงด้วยความประหลาดใจ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หลับตาลงก่อนที่ขาขวาปีศาจของโจวเหว่ยชิงจะฟาดโดนแขนของติงเฉินเสียอีก เธอรู้จักพลังของโจวเหว่ยชิงดีที่สุดและรู้ดีว่าการโจมตีที่เสริมพลังด้วยขาขวาของเขาโดยตรงย่อมไม่นำไปสู่จุดจบที่ดีแน่ ตอนที่พวกเขายังอยู่ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ แม้แต่จ้าวมณียุทธ์ที่มีมณี 7 ดวง อย่างหัวเฟิงก็ไม่กล้าปะทะกับขาขวาปีศาจของโจวเหว่ยชิงโดยตรง ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมันไม่ใช่สิ่งที่จ้าวมณีทั่วไปสามารถรับมือได้ เมื่อวานนี้หมิงฮัวเองก็ยังใช้วิธีการต่อสู้แบบที่ไม่ให้ขาขวาของเขาสัมผัสเธอได้โดยตรง นั่นถึงจะเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่ดีที่สุดในการรับมือกับเขา

เมื่อมองไปยังติงเฉินที่ล้มลงบนพื้น โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจใดๆ “เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นจ้าวมณีสวรรค์อยู่อีกหรือ? ครอบครัว ‘ไข่ตะพาบ’ พวกนั้นปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดีจริงๆ ขายตัวให้พวกเขาย่อมต้องดีอยู่แล้ว ถ้าข้ามองไม่ผิด เจ้ามีตราประทับธาตุมืดในตัวด้วย เพราะฉะนั้นตอนนี้เจ้าก็เป็นแค่ทาสคนหนึ่ง ในอนาคตเจ้าไม่ควรมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก ไม่เช่นนั้น ไม่ว่าเจ้าจะรักษากระดูกของเจ้าได้อย่างไร ข้าก็จะหักมันอีกครั้ง! ข้าไม่ว่าอะไรหากเจ้าอยากจะเป็นสุนัข แต่ถ้าสุนัขมันมาเห่าต่อหน้าข้า ก็อย่าโทษว่าข้าชั่วช้าก็แล้วกัน”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปมองรุ่นพี่สามัญชนตระกูลเย่คนอื่นๆ ที่ยังคงยืนอยู่ข้างหลังติงเฉิน “พวกเจ้าที่อ่อนแอแต่ใจเต็มใจที่จะเป็นสุนัขนั้น การทุบตีพวกเจ้าก็เหมือนกับทำให้เท้าของข้าสกปรก”

พริบตาต่อมาร่างของเขาหายไปอีกครั้งเมื่อเปิดใช้งานทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา คราวนี้เขาไปปรากฏตัวต่อหน้าเย่โหลว เย่โหลวตกใจมากจนสะดุดถอยหลังพร้อมกับใบหน้าซีดเซียว เขาล้มลงใช้ก้นกระแทกพื้นเสียงดัง น้ำเสียงของเขาฟังดูสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ “เจ้า…เจ้าจะทำอะไร?” ในสายตาของเขา โจวเหว่ยชิงดูเหมือนพวกป่าเถื่อนที่ยากจะต่อกร ราวกับว่าเขาเป็นปีศาจร้ายผู้นำมาซึ่งภัยพิบัติ

โจวเหว่ยชิงยิ้มจางๆ ขณะที่นั่งยองๆ และตบลงบนใบหน้าซีดเซียวของเขาเบาๆ “ใจเย็นน่า ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก กลับไปบอกลูกพี่ใหญ่ของเจ้า…คราวหน้า หาไข่ใบที่ดีกว่านี้มาให้ข้าจะดีกว่า อย่าเอาคนที่ไร้ประโยชน์เช่นเจ้ามาอีก ไสหัวไปซะ!!” เดิมทีเย่โหลวคิดจะข่มขู่ครั้งสุดท้ายก่อนจากไป  แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของโจวเหว่ยชิง หัวใจของเขาก็พลันจับตัวกันเป็นก้อนน้ำแข็ง เขาสั่นสะท้าน ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก จากนั้นก็พาลูกน้องทั้ง 2 คนหลบหนีไปด้วยกัน

โจวเหว่ยชิงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง มองไปยังนักเรียนใหม่อีก 20 คนในห้องเรียนของเขาและพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่สนใจและไม่อาจทำอะไรกับรุ่นพี่ที่ตัดสินใจเลือกไปแล้วได้  แต่ทว่าพวกเราจะต้องอยู่ห้องเดียวกันไปอีก 4 ปี ถ้าพวกเจ้ากล้าก้มหัวและยอมจำนนต่อตระกูลขุนนางใดๆ เจ้าก็ควรไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าและอย่าให้ข้าเจอเจ้าในชั้นเรียนเด็ดขาด มิฉะนั้นก็จงดูติงเฉินเป็นตัวอย่าง”

“เจ้ากล้าพูดแบบนั้นได้อย่างไร? เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งพวกเราแบบนั้น?!” เด็กหนุ่มท่าทางเย็นชาที่ยืนอยู่ข้างๆ หม่าฉุนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตัดสินชะตากรรมของผู้อื่น? จะเลือกเส้นทางไหนก็เป็นเรื่องของพวกเรา เจ้าคิดว่าคำพูดของเจ้าเป็นกฎในโรงเรียนหรือ? แม้ว่าเราจะอยากเป็นสุนัขให้กับขุนนาง แต่นั่นก็เป็นทางเลือกของเราเอง”

………………………

ในชั่วพริบตานั้น สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่พวกเขา หรือพูดให้ถูกก็คือ ส่วนมากจ้องมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ อย่างไรเสียนักเรียนส่วนใหญ่ของที่นี่ก็เป็นเหล่าชนชั้นสูง บางคนถึงกับเป็นตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ เมื่อพวกเขาจ้องมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ นักเรียนสามัญชนหญิงผู้ที่มีทั้งความงามเป็นเลิศและมีท่าทางสง่างามราวชนชั้นสูง พวกเขาจะไม่ถูกเธอดึงดูดได้อย่างไร สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับพวกสามัญชน เธอคงไม่มีคนหนุนหลังและไม่มีใครกล้าปกป้องเธอแน่ แม้ว่าพวกเขาจะแย่งชิงเธอด้วยความรุนแรงก็คงไม่มีใครว่าอะไรได้ แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหมดก็ไม่สนใจโจวเหว่ยชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอเช่นกัน

โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ถึงเหล่าสายตาที่จับจ้องมาทางซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองและกล่าวอย่างสบประมาทอยู่ในใจ ‘พวกเจ้าดูได้แต่ตา มืออย่าต้อง!’

เห็นได้ชัดว่านับตั้งแต่วินาทีที่เขาและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก้าวเท้าเข้ามาในโรงเรียน พวกเขาก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงปัญหาได้ หากมีซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ใกล้ๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้กวักมือเรียก แต่ปัญหาก็จะตามหาตัวเขาจนเจอ เขาไม่เคยพูดเรื่องนี้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ทว่าก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรีบกักเก็บทักษะต่างๆ เอาไว้ นั่นเป็นเพราะเขาจำเป็นจะต้องมีพลังเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ ด้วยความขัดแย้งระหว่างนักเรียนชนชั้นสูงและนักเรียนสามัญชน เมื่อรวมกับปัญหาเรื่องความงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ นั่นน่าจะดึงดูดปัญหาเข้าหาเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชีวิตของพวกเขาจะไม่พบกับความสงบสุขแน่นอน อย่างไรก็ตามความคิดของโจวเหว่ยชิงนั้นเรียบง่ายมาก ถ้าใครกล้าแตะต้องภรรยาเขา เขาก็จะอัดมันให้น่วม เมื่อทุกคนถูกเขาสั่งสอนจนเละเป็นโจ๊กแล้ว พวกนั้นก็จะตระหนักได้เองในที่สุด หลังจากนั้นทั้งคู่ก็จะได้อยู่อย่างสงบสุขเสียที

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ประมาทหรือชะล่าใจกับปัญหาที่จะเกิด ประการแรกคือเขามั่นใจกับความสามารถในการต่อสู้ของตนมาก ในหมู่นักเรียนคนอื่นๆ นั้นยากจะหาใครสักคนที่มีฝีมือและสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ การต่อสู้กับ      หมิงฮัวเมื่อวานนี้ก็ยิ่งทำให้ความมั่นใจของเขาเพิ่มมากขึ้นไปอีก ด้วยระดับพลังปราณของหมิงฮัว ทักษะธาตุที่หายาก ประสบการณ์การต่อสู้และชุดศาสตรามณียุทธ์ของเธอ โจวเหว่ยชิงไม่เชื่อว่าจะมีคนมีพลังมากกว่าเธอในโรงเรียนแห่งนี้แล้ว นอกจากนี้เขายังไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาในการต่อสู้เมื่อวานนี้เลยด้วยซ้ำ…อาชีพที่แท้จริงของเขายังคงเป็นนักธนู ไม่ใช่นักรบต่อสู้ระยะประชิด!

สิ่งที่เขากรุ่นคิดเป็นอย่างต่อมาก็คือที่นี่ยังคงเป็นสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง หรือก็คือโรงเรียนฝึกทหารแห่งหนึ่ง! ตราบใดที่เขายังเป็นนักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ โรงเรียนที่เป็นของราชวงศ์เฟยหลี่ ไม่มีขุนนางคนใดกล้าที่จะสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่หรือนำคนจำนวนมากมาสร้างปัญหาในโรงเรียนแน่ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นใจกลางเมืองหลวงอาณาจักรเฟยหลี่ ทุกอย่างอยู่ภายใต้จมูกของราชวงศ์และองค์จักรพรรดิเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงน่าจะต้องเผชิญหน้ากับคนส่วนใหญ่ที่เป็นนักเรียน หรืออาจจะเป็นผู้คุ้มครองเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

โจวเหว่ยชิงพบว่าที่นั่งของนักเรียนสามัญชนชั้นปีที่ 1 ตั้งอยู่ใกล้ด้านหน้าเวที พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปที่นั่นเพื่อไปนั่งรอ ในกลุ่มนักเรียนทั้งหมดนั้นมีนักเรียนหญิงไม่มากนัก จากการพูดคุยกันเมื่อวาน โจวเหว่ยชิงได้เรียนรู้จากซ่างกวนปิง   เอ๋อร์ว่าในบรรดานักเรียนใหม่ทั้งหมดของปีนี้ นักเรียนหญิงมีทั้งหมดเพียง 6 คนเท่านั้น! ส่วนฝ่ายชายมีถึง 23 คน แสดงให้เห็นสัดส่วนที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก สรุปคือมีนักเรียนสามัญชนปีที่ 1 ทั้งหมด 29 คนรวมกันเป็น 1 ห้อง พิธีเปิดนี้ยังใช้เป็นช่องทางสำหรับแบ่งชั้นเรียนและเพื่อให้นักเรียนได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นด้วย

“โจวเหว่ยชิง” พวกเขาเพิ่งจะหย่อนก้นลงนั่ง จู่ๆโจวเหว่ยชิงก็ได้ยินใครบางคนเรียกชื่อเขา เมื่อหันไปตามเสียงเรียก เขาก็เห็นรุ่นพี่หัวโล้นหลายคนกำลังยืนอยู่ ส่วนเบื้องหน้าของเขาคือซ่างหลาง ท่าทางของเขาดูปกติมาก ไม่มีวี่แววว่าเคยได้รับบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้เมื่อวันก่อนเลยด้วยซ้ำ

“หืม?” โจวเหว่ยชิงตอบอย่างเฉยเมย เขาไม่ยอมขยับจากที่นั่งและทำแค่เพียงเลิกคิ้วขึ้นถาม

ซ่างหลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “วันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรก ไม่มีการเรียนการสอนหลังจากพิธีเปิด ข้าต้องคุยกับเจ้าหลังจากนั้น ตกลงไหม?”

เมื่อเห็นซ่างหลางเดินเข้าใกล้โจวเหว่ยชิง บรรยากาศระหว่างพวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของนักเรียนสามัญชนหลายคนที่อยู่รอบๆ ทันที ท้ายที่สุดแล้วนักเรียนสามัญชนแทบจะมีจำนวนไม่ถึง 1 ใน 10 ส่วนของประชากรในโรงเรียนทั้งหมดซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า 200 คนเสียอีก ซ่างหลางมีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่นักเรียนสามัญชน เพราะฉะนั้นด้วยข่าวลือเกี่ยวกับการต่อสู้ที่แพร่กระจายออกไปเมื่อวันก่อน ประกอบกับตอนนี้ซ่างหลางกำลังเดินเข้าหาเขา ความสนใจทั้งหมดจึงตกไปอยู่ที่โจวเหว่ยชิง บุคคลที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างไร้ตัวตน

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าตกลง จากนั้นก็หันหลังกลับไปโดยไม่แม้แต่จะมองซ่างหลางอีกครั้ง ส่วนซ่างหลางเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน เขากลับไปยังที่นั่งของตัวเองพร้อมกับลูกน้องของเขา

“ให้ตายสิ ไอ้เด็กใหม่นั่นใคร? เขาถึงกับกล้าท้าทายซ่างหลางเชียวเรอะ?”

“ชู่วววว…เจ้ารู้อะไรบ้างมั้ยเนี่ย?! ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวันก่อนซ่างหลางต่อสู้กับเด็กที่เป็นรุ่นน้องแล้วก็แพ้ เขาถึงกับได้รับบาดเจ็บจนสลบไปด้วยซ้ำ! ข้าเดาว่าน่าจะเป็นเจ้าหมอนั่น เจ้าอย่ามองคนจากภายนอก เขาอาจจะไม่ได้ดูน่าเกรงขามเท่าไหร่ แต่เขาเป็นตัวอันตรายแน่นอน มีข่าวลือว่าเขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์มณี 3 ดวง ทรงพลังยิ่งกว่าซ่างหลางเสียอีก!”

“อ่า งั้นเราควรเงียบไว้ก่อนดีกว่า ยังไงนั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราอยู่แล้ว”

ประสาทการได้ยินของโจวเหว่ยชิงค่อนข้างดี เขาจึงสามารถได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของนักเรียนสามัญชนที่อยู่ใกล้ๆ ได้อย่างชัดเจน ในขณะนั้นเองเขาก็รู้สึกถึงมือเล็กๆ ที่นุ่มและอบอุ่นกำลังแตะเข้าที่มือของเขา เมื่อหันไปก็เห็นซ่าง กวนปิงเอ๋อร์กำลังยิ้มให้เขาอยู่

นี่คือหญิงสาวที่เขาสาบานว่าจะปกป้องด้วยชีวิต! โจวเหว่ยชิงลูบหลังมือของเธอเบาๆ เพื่อปลอบโยนให้คลายกังวล ทว่าหลังจากนั้นก็กุมมือเธอไว้ต่อไม่ยอมปล่อย ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขัดขืนเพียงเล็กน้อยก่อนจะยอมแพ้ ใบหน้าของเธอพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“เจ้าคือโจวเหว่ยชิง?” ทันใดนั้นอีกเสียงก็ดังขึ้น ครั้งนี้แม้แต่โจวเหว่ยชิงเองก็ยังต้องประหลาดใจ เขาคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมีคนมาหาเรื่อง แต่เขาเดาว่าน่าจะเป็นคนที่ต้องการเข้าใกล้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มากกว่า เขาไม่คาดคิดเลยว่าคนที่ถูกคนอื่นเข้าหาก่อนจะเป็นตัวเอง โจวเหว่ยชิงเหยียดยิ้มพลางคิดในใจว่า เป็นไปได้ไหมว่าข้ามีเสน่ห์น่าดึงดูดกว่าปิงเอ๋อร์? อืมม ไม่นานมานี้ข้าดูสง่างามมากขึ้นจริงๆ นั่นแหละ  ขณะที่เขาคิดกับตัวเองเช่นนั้น เขาก็หันศีรษะกลับไปอย่างอารมณ์ดี

กลุ่มคนที่ร้องเรียกโจวเหว่ยชิงกำลังยืนอยู่ตรงทางเดินข้างๆ ที่นั่งของพวกเขา คราวนี้มากันทั้งหมด 3 คน ทุกคนแต่งกายด้วยเครื่องแบบชุดนักเรียนชนชั้นสูง คนที่เอ่ยเรียกเมื่อสักครู่ยืนประจันหน้ากับเขา คนๆ นี้ดูเหมือนจะอายุประมาณ 20 ปี มีหน้าตาค่อนข้างธรรมดา ดูเหมือนว่าดวงตาของเขาจะเป็นเฉดสีเขียว ใบหน้าค่อนข้างซีดขาว ร่างของเขาผอมแห้งเหมือนเสาต้นหนึ่ง ถ้าโจวเหว่ยชิงต้องให้คำจำกัดความ เขาก็คงดูเหมือนคนที่ติดสุราร่ำนารี ดูเลวร้ายยิ่งกว่าขี้เมาเหลี่ยมจัดหลัวเขอตี้เสียอีก! ชายทั้ง 2 คนที่อยู่ข้างหลังเขามีกล้ามแข็งแรงบึกบึน แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ปฏิบัติต่อคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาในฐานะผู้นำ

“อืม ข้าคือโจวเหว่ยชิง” เขาตอบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เป็นรอยยิ้มที่สุภาพและสง่างาม ท่าทางเหล่านั้นทำให้ผู้คนรอบข้างต่างก็ครุ่นคิดไปในทำนองเดียวกัน สรุปว่าใครคือชนชั้นสูงกันแน่?

“โจวเหว่ยชิง มากับข้าซะเจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าช่างโชคดีจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสามารถเอาชนะซ่างหลางได้ ไม่เลวเลยนี่หว่า พี่ใหญ่ของเราชอบเจ้า เพราะฉะนั้นจงมากับเราเดี๋ยวนี้”

แม้ว่าคนๆ นี้กำลังคุยกับโจวเหว่ยชิง แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เห็นได้ชัดว่าลูกกระเดือกของเขากระดกขึ้นลงในขณะที่เขากลืนน้ำลายลงคอหลายอึก เขาไม่ได้พยายามจะแอบซ่อนสายตาหื่นกระหายที่จ้องมองเธอด้วยซ้ำ

“โอ้? ข้าขอถามหน่อย ใครเป็นลูกพี่ใหญ่ของพวกเจ้า เจ้านายของเจ้าน่ะ?” รอยยิ้มสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยนของโจวเหว่ยชิงไม่ได้เลือนหายไปแม้แต่น้อย เขาพูดอย่างใจเย็นโดยไม่มีการเปลี่ยนสีหน้าใดๆ

ชายคนนั้นกล่าวอย่างเหลืออด “หยุดถามคำถามไร้สาระได้แล้ว! เจ้าจะรู้เองเมื่อพบเขา แล้วปล่อยมือสกปรกๆของเจ้าออกไปด้วย กับคนงามๆเช่นนั้น เจ้ากล้าจับมือนางได้อย่างไร?! ตอนนี้รีบไปซะ ข้าจะลดตัวลงนั่งที่นั่งสามัญชนของเจ้าในวันนี้”

คราวนี้แม้แต่ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าน่าเกลียด แม้ว่าเธอจะไม่อยากสร้างปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่พื้นฐานเป็นคนจิตใจดี แต่อย่างไรเสียเธอก็เคยอยู่ในสนามรบและเคยสังหารคนมาก่อน การถูกมองด้วยสายตาโจ่งแจ้งจากคนวิปลาสเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคนๆ นั้นไม่ใช่เจ้าคนไร้ยางอายโจวเหว่ยชิง เธอจะยังอารมณ์ดีอยู่ได้อย่างไร?

สีหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างแจ่มแจ้งแล้ว เขาตอบว่า “โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว ลูกพี่ใหญ่ของเจ้าแซ่ “หวาง” ใช่ไหม ?”

รุ่นพี่คนนั้นเริ่มสับสน “ไม่ใช่ ลูกพี่ใหญ่ของข้าแซ่ ‘เย่’ “

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวอย่างแน่วแน่และกล่าวว่า “ไม่ ไม่ ข้ามั่นใจมากว่าลูกพี่ใหญ่ของเจ้าแซ่หวัง เขาเป็นลูกชายคนที่ 8 ใช่ไหม? ส่วนเจ้าก็เป็นลูกกลมๆ ที่กลิ้งออกมาจากส่วนล่างเขา”

รุ่นพี่คนนั้นรู้สึกมึนงงกับคำพูดแปลกๆ ของโจวเหว่ยชิง แต่สำหรับนักเรียนสามัญชนที่นั่งอยู่รอบๆ พวกเขา คนแรกที่ตอบสนองคือหม่าฉุนร่างยักษ์ เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที ทว่ารุ่นพี่คนนั้นกลับกล่าวออกมาอย่างใจเย็น “ไอ้เด็กนี่ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่?”

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “รุ่นพี่ ท่านไม่รู้จักสัตว์ที่เรียกว่า ‘ตะพาบ[1]’ หรอกหรือ?” ในที่สุดคนรอบข้างก็เข้าใจว่าเขากำลังดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่าย เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาเกรียวกราวทันที

อนิจจา รุ่นพี่คนนี้สมองค่อนข้างช้า เขาจึงยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราว…ทว่าเขากลับพูดออกมาว่า “ใช่! ข้ารู้จัก!”

โจวเหว่ยชิงพูดต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อันที่จริงสิ่งที่ข้าพูดไปเมื่อสักครู่นี้คือเรื่องของตะพาบและการวางไข่ของตะพาบ”

ในที่สุดลูกน้อง 2 คนที่อยู่ข้างหลังรุ่นพี่คนนี้ก็อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป คนทางซ้ายรีบเอ่ยปากสอดว่า “เขาเรียกลูกพี่ใหญ่ว่าตะพาบ!” จากนั้นคนทางขวาก็พูดขึ้นต่อ “ตะพาบ…อะไรบางอย่างที่เป็นรูปกลมๆ กลิ้งออกมาจากท่อนล่าง…ไม่ใช่ ‘ไข่ตะพาบ’ หรอกหรือ? มันกำลังด่าท่านอยู่!”

“อะไรนะ!? เจ้ากล้าด่าข้าหรือ?” รุ่นพี่คนนั้นหันไปหาลูกน้องทั้ง 2 คนด้วยความโกรธและตะโกนว่า “พวกเจ้า 2 คนรออะไรอยู่? จัดการมันซะ! กล้าดียังไงถึงดูถูกลูกพี่ใหญ่ของเราว่าเป็นตะพาบ?! แถมยังกล้าดูถูกข้าด้วย ฮึ่ม! ลูกพี่ใหญ่ของเราไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่!”

อย่างไรก็ตาม รุ่นพี่ร่างใหญ่ทั้ง  2 คนที่อยู่ข้างหลังเขากลับไม่ขยับตัวสักก้าว ไม่นานชายทางซ้ายกระซิบกับเขาว่า “พี่หลู เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดพร้อมด้วยมณีสวรรค์ 3 ชุด! พวกเราเอาชนะเขาไม่ได้หรอก! ลูกพี่ใหญ่ขอให้ท่านมาที่นี่เพื่อเชิญเขาไปคุยเท่านั้น”

“คุยกับหัวพวกแกน่ะสิ! มันถึงกับกล้าดูถูกลูกพี่ใหญ่ของเรา มีอะไรจะต้องคุยอีก เจ้าเด็กเหลือขอ! รอก่อนเถิด เจ้าได้กลายเป็นเนื้อตายแน่! คนที่อยู่สังกัดอยู่ในตระกูลเย่ จงแสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้!” ประโยคสุดท้ายถูกตะโกนออกไปทางรุ่นพี่นักเรียนสามัญชนที่เหลือ

นักเรียนสามัญชนกว่าร้อยคนเงียบกริบ หลายคนแสดงสีหน้าโกรธเคือง แต่ก็ไม่มีใครส่งเสียงออกมา ซ่างหลางนั่งอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยเช่นกัน กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเขาก็ไม่ได้หันไปมองอีกฝ่าย

“บิดาเรียกพวกเจ้าให้ออกมา…อยากตายใช่ไหม? พวกเจ้าคิดว่าตระกูลเย่ของเราสนับสนุนพวกเจ้าไปเปล่าๆ? จ่ายเงินค่าศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บของพวกเจ้าไปเปล่าๆ? ออกมาเดี๋ยวนี้…ไม่เช่นนั้นเจ้าจะได้รู้ผลที่ตามมาแน่” รุ่นพี่คนนั้นตะโกนออกมาอย่างถือดี

ขณะนั้นนักเรียนส่วนใหญ่ได้เข้ามาในหอประชุมแล้ว แม้ว่าจะมีอาจารย์อยู่บ้างประปราย แต่ทันทีที่พวกเขาเห็นว่าเป็นเย่หลูที่ก่อความวุ่นวาย พวกเขาก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรเลย หลังจากนั้นไม่นาน นักเรียนสามัญชนประมาณสิบกว่าคนก็ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินตรงมาหาพวกเขา

ในขณะนั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็ได้ยินเสียงของโข่วรุ่ยดังสะท้อนอยู่ในหูของเขา โข่วรุ่ยกำลังนั่งอยู่ที่แถวหลังของโจวเหว่ยชิงนั่นเอง “ลูกพี่ เมื่อวานข้าเพิ่งไปสอบถามและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลขุนนางมา ข้ารู้ว่าตระกูลของพวกเขาอยู่ในอันดับที่ 3 6 และ 9 ในโรงเรียนแห่งนี้ ตระกูลเย่มีอิทธิพลมากที่สุด หัวหน้าตระกูลเย่เป็นเสนาบดีของอาณาจักรเฟยหลี่และเขายังมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับที่ 1 อีกด้วย! ตระกูลของพวกเขามีอิทธิพลมากในอาณาจักร นับประสาอะไรกับโรงเรียนแห่งนี้ พวกเขามีสุนัขรับใช้ของตระกูลหลายคนอยู่ในโรงเรียนนี้”

………………………….

“ภรรยาที่รัก เจ้าอยากให้นางอยู่จริงๆ? เจ้าไม่กลัวนางจะพบต้าหวงและเอ้อหวงเอาหรือ?” โจวเหว่ยชิงอดจะเอ่ยปากถามซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าว “เห็นก็เห็นไปสิ เจ้าคิดว่าตระกูลขุนนางไม่เลี้ยงอสูรสวรรค์หายากเอาไว้เลยหรือไง? นางอาจเห็นจนชินตาแล้วก็ได้!”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงกรอกไปรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มและพูดว่า “หืม หรือเจ้ากลัวคำขู่ของนาง? เจ้าไม่เชื่อในตัวสามีสุดที่รักของเจ้าหรือ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์แค่นเสียงอย่างเย็นชาและหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อของเธอ “เช็ดน้ำลายของเจ้าซะ หึ! ข้าจะไปเลือกห้องของตัวเอง”

“เอ่อ…” โจวเหว่ยชิงรับผ้าเช็ดหน้ามาและพูดอ้อมแอ้มว่า “ปิงเอ๋อร์ ฟังข้าอธิบายก่อน! ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ!”

หมิงฮัวที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องหัวเราะออกมาเบาๆ และพูดว่า “อธิบาย? ถ้าต้องอธิบายก็หมายความว่าเจ้ากำลังปกปิดบางอย่างเอาไว้…งั้นก็เป็นความจริงน่ะสิ? ฮ่าๆ…เจ้าอยากมานั่งเล่นที่ห้องของข้าหน่อยไหม? เมื่อกี้…เจ้าทำให้ข้าเจ็บมากเชียว!”

“ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าภายหลัง! ถ้าเจ้าต้องการอยู่ที่นี่ ก็ได้!…ท่านลุงเจ้าของบ้านขอรับ เก็บเงินจากนางเลยละกัน!”

หลังจากที่เขาพูดจบ โจวเหว่ยชิงก็วิ่งตามหลังซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไปทันที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังเดินเลือกห้องนอนของตัวเองอยู่ อันที่จริงบ้านหลังนี้ดีกว่าหอพักรวมของพวกเขามาก ข้าวของเครื่องใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกที่จัดเตรียมไว้ให้ส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างใหม่ทีเดียว

“ปิงเอ๋อร์ เจ้าโกรธข้าหรือ? นั่น…ทุกคนย่อมมีสายตาไว้ชื่นชมความงาม ข้าก็แค่มองเอง ไม่มีความคิดอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นเลย” โจวเหว่ยชิงเดินตามมาหยุดอยู่ข้างๆ เธอ เมื่อเห็นเธอยุ่งอยู่กับการเลือกห้องและไม่สนใจเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างประหม่า

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดเดินกะทันหันและหมุนตัวกลับไปมองโจวเหว่ยชิงผู้น่าสงสาร “อ้วนน้อย ข้าขอถามเจ้า  หน่อย”

“เอ๋?” เมื่อโจวเหว่ยชิงมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่มีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า เขาก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่เขาพูดตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “อืม อะไรหรือ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ “ท่านแม่ของข้าบอกว่าถ้าข้าเลือกผู้ชายที่โดดเด่นมาเป็นสามี ข้าก็จะต้อง เตรียมใจเอาไว้ด้วย ผู้ชายที่ยอดเยี่ยมไม่เคยขาดหญิงงาม ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามรั้งเจ้าเอาไว้ ไม่เช่นนั้นข้าก็คงจะต้องเดินตามรอยเท้าของท่านแม่และทำผิดพลาดแบบเดียวกับที่นางทำ ข้าเพียงอยากจะให้เจ้าสัญญากับข้า  ข้าจะไม่ว่าอะไรหากเจ้าชอบผู้หญิงคนอื่น แต่เจ้าต้องไม่ลืมข้า ที่สำคัญนางต้องได้รับความเห็นชอบจากข้าก่อนเช่นกัน มิฉะนั้นเจ้าก็จะต้องหาวิธีซ่อนนางให้พ้นจากสายตาข้าตลอดไป นั่นชัดเจนหรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงกะพริบตาขณะที่เขาจ้องมองเธอด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจ เมื่อมองไปยังซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นอ่อนโยน เขาอ้าแขนกว้าง รับเธอเข้ามาโอบกอดไว้แน่น จู่ๆ เขาก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ ราวกับกลัวว่าเธอจะทิ้งเขาไปได้ทุกเวลา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอื้อมมือมากอดกลับและเอนตัวเข้าหาเขาขณะที่เธอเอ่ยเบาๆ ว่า “อ้วนน้อย ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้ใจเจ้า เรื่องของความรัก ไม่มีใครสามารถทำนายได้หรอก ข้าแค่ขอให้เจ้าอย่าโกหกข้าเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ปิงเอ๋อร์ ข้าจะไม่โกหกเจ้า ไม่โกหกเจ้าแน่นอน ข้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตบ้าง ข้าไม่รู้จริงๆ แต่เมื่อข้านึกถึงความจริงที่ว่าเจ้าอาจจะทิ้งข้าไปได้ทุกเมื่อ หัวใจของข้าก็รู้สึกหวาดกลัวมาก กลัวยิ่งกว่าความตายเสียอีก ปิงเอ๋อร์ ถ้าในอนาคตข้าทำผิดพลาดไป เจ้าจะดุด่า ตีข้าหรือทำอะไรข้าก็ได้…แต่ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไปจะได้ไหม?”

แม้ว่าโดยปกติแล้วโจวเหว่ยชิงจะเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่ครั้งนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงความจริงใจของเขา และนั่นทำให้เธอซาบซึ้งมาก ถ้าหากเขาสัญญาว่าจะไม่ชอบผู้หญิงคนอื่นหรืออะไรทำนองนั้น บางทีเธออาจจะหัวเราะออกมาด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เมื่อได้ฟังคำพูดของเขาเธอก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจ คำพูดนั่นมาจากใจของเขาจริงๆ

“อืม…” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รับคำเบาๆ ในเวลานี้เธอรู้สึกเหมือนได้ยกหินออกจากอก ขณะกำลังจะออกจากบ้านก่อนหน้านี้ ถังเซียนได้บอกกล่าวเรื่องนี้กับเธอและมันทำให้เธอรู้สึกว้าวุ่นใจมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอได้พบกับโจวเหว่ยชิงอีกครั้งหลังจากไม่ได้เห็นหน้าคร่าตากันมายาวนาน เธอก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจที่ได้พบกับเขาจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ส่วน 2-3 วันต่อมาพวกเขาก็ได้ออกไปเที่ยวเล่นกัน นั่นจึงทำให้เธอสามารถลืมเลือนมันไปได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตาม เมื่อ   หมิงฮัวปรากฏตัวขึ้น เธอก็ได้จุดประกายบางสิ่งที่เป็นอันตรายต่อหัวใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทำให้เรื่องหนักใจที่เธอเก็บซ่อนไว้ตั้งแต่ตอนนั้นถูกปลดปล่อยออกมา ตอนนี้คำพูดของโจวเหว่ยชิงจึงทำให้จิตใจของเธอสงบลงและคลายความกังวลส่วนใหญ่ออกไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าตอนนี้หัวใจของพวกเขาจะเข้าใกล้กันมากขึ้นกว่าเดิม

โจวเหว่ยชิงกอดซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอาไว้อย่างสนิทสนมสักพัก จนกระทั่งความรู้สึกของพวกเขาสงบลง ในที่สุดจึงปล่อยมือออกจากกันอย่างไม่เต็มใจ อย่างไรก็ตาม เขาก็อดไม่ได้ที่จะมอบจูบให้เธอเบาๆ ที่ริมฝีปาก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงก่ำแต่ไม่ได้ขัดขืน เพียงแค่หยุดเขาเมื่ออีกฝ่ายพยายามจะไปไกลกว่านี้

“ปิงเอ๋อร์ เอาเป็นว่าพวกเราทั้งคู่อยู่ห้องนี้เป็นไง? แน่นอนว่าข้าก็จะปูผ้านอนบนพื้นเอง ตราบใดที่ข้ายังได้เห็นหน้าเจ้า นั่นก็ดีมากแล้ว” ท่าทางอัดอั้นของโจวเหว่ยชิงกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง เมื่อนึกถึงความงามของซ่างกวนปิง   เอ๋อร์และร่างกายอันอบอุ่นนุ่มนิ่ม เขารู้สึกคันยิบๆ ในใจ

“ไม่มีทาง” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เคาะศีรษะเขาด้วยมือของเธอ “เจ้าจะต้องอยู่ห้องอื่น ต้าหวงและเอ้อหวงจะเฝ้าห้องของข้าไว้ หึ คิดว่าข้าไม่รู้จักเจ้าหรือยังไง คนเจ้าเล่ห์นี่! ถ้าได้คืบแล้ว เจ้าก็จะต้องเอาศอกแน่! ข้ารู้ว่าไม่กี่วันเจ้าจะต้องพยายามหาทางปีนขึ้นไปบนเตียงข้า เพราะฉะนั้นไปหาห้องของตัวเองอยู่ซะ ข้าจะทำความสะอาดและเก็บข้าวของแล้ว”

บ้านทั้งหลังมีขนาดใหญ่พอสมควรและโจวเหว่ยชิงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเลือกห้องซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ ห้องของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ วันต่อมาทั้งสองคนก็ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำความสะอาดและเก็บข้าวของ หากไม่เป็นเพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ธาตุลมซึ่งสามารถเร่งความเร็วในการทำงานต่างๆ ได้ พวกเขาก็คงจะไม่สามารถเก็บกวาดทุกอย่างให้เสร็จได้ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้แน่

หมิงฮัวไม่ได้ออกมาจากห้องตั้งแต่เธอเข้าไป ประตูห้องของเธอยังคงปิดสนิท ด้วยเหตุนี้ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่าง กวนปิงเอ๋อร์จึงไม่ได้สนใจจะไถ่ถาม อย่างไรเสียเธอก็ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ค่อนข้างมากและพลังชีวิตบางส่วนยังถูกโจวเหว่ยชิงดูดกลืนมาอีกด้วย

ในที่สุดต้าหวง และเอ้อหวงก็ถูกปลดปล่อยจากแหวนมิติ แน่นอนว่าตอนนี้พวกมันอยู่ในห้องของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ห้องของเธอเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน ห้องนี้มีห้องรับรองด้านนอกและห้องนอนด้านในรวมอยู่ด้วยกัน เพื่อนร่างใหญ่     2 ตัวกำลังนอนหลับอยู่ในห้องรับรองด้านนอก ทำหน้าที่เปรียบเสมือนผู้เฝ้ายามไปโดยปริยาย

ตอนนี้ลูกหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งทั้ง 2 ตัวกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของกระบวนการการเติบโต เมื่อพวกมันโตเต็มวัย พวกมันจะกลายเป็นอสูรสวรรค์ระดับเทวะ แต่ตอนนี้พวกมันยังคงเป็นเด็กอยู่ อสูรสวรรค์ก็มีวิธีการฝึกปราณของตนเอง สำหรับหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งนั้น โจวเหว่ยชิงไม่รู้ว่าวิธีฝึกปราณของพวกมันเป็นอย่างไร ทว่าสิ่งที่เขาเห็นก็คือเพื่อนร่างยักษ์ 2 ตัวนั้นไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากกินและนอนไปวันๆ ทว่าพลังของพวกมันกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าฉงน เขาอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับวิชาเทพอมตะของตนเอง…อิจฉาริษยาพวกมันจริงๆ !!!

หลังจากที่พวกเขาเข้ามาอยู่ในบ้านเช่าแห่งนี้ สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดสำหรับโจวเหว่ยชิงคือเขาถูกคนใกล้ชิดตีตัวออกห่าง แต่นั่นไม่ใช่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เมื่อเขาเริ่มฝึกปราณในตอนกลางคืน เจ้าแมวอ้วนสีขาวตัวน้อยที่มักจะติดหนึบอยู่ข้างตัวเขาก็จะหลบไปอยู่ที่อื่นแทน มันกระโดดขึ้นไปนอนบนเก้าอี้แทนที่จะเข้ามาหาเขาดั่งเคย

โจวเหว่ยชิงค่อนข้างไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้เท่าไหร่นัก การกกกอดเจ้าสัตว์ตัวเล็กนุ่มนิ่มปุกปุยเช่นนี้ทุกคืนเพื่ออบอุ่นร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่เขาเคยชินไปเสียแล้ว ทว่าเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าแมวอ้วนกันแน่ ถึงแม้เขาจะพยายามกล่อมมันนอนหลับ มันก็จะปฏิเสธเขาและดิ้นรนกลับไปที่เก้าอี้ทุกครั้ง โจวเหว่ยชิงทำได้เพียงจ้องมองมันอย่างหมดหนทางและเข้านอนคนเดียว

ตอนรุ่งเช้า

“เจ้าแมวอ้วน ไม่ไปโรงเรียนกับข้าหรือ?” โจวเหว่ยชิงมองเสือขาวตัวน้อยที่นอนเหยียดยาวอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้อย่างสงสัย

เจ้าแมวอ้วนส่ายหัวทันที โจวเหว่ยชิงไม่แปลกใจที่มันสามารถเข้าใจคำพูดของเขาได้ หลังจากที่เขาได้รับรู้ว่าทั้งต้าหวงและเอ้อหวง หมีน้อยทั้ง 2 ตัวนั้นเข้าใจสิ่งที่เขาพูดได้ประมาณ 6-7 ส่วน

โจวเหว่ยชิงเดินไปทาบมือลงบนหน้าผากของเจ้าแมวอ้วน “เจ้าเป็นไข้หรือ? หลังจากติดหนึบกับพี่ใหญ่ของเจ้ามานาน 2 ปี ตอนนี้เจ้าจะทิ้งข้าไปแล้ว? เจ้ากำลังพยายามจะหนี? ไม่มีวัน! แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้ไปโรงเรียนกับข้า…อืม ข้าควรหาโซ่มาล่ามเจ้าไว้ เจ้าจะได้หนีข้าไปไหนไม่ได้”

เมื่ออยู่ด้วยกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน เขาเริ่มก็คุ้นเคยกับการมีอยู่ของเจ้าแมวอ้วนข้างกายเขาเสียแล้ว โจวเหว่ยชิงอาจจะทนไม่ได้หากมันต้องจากเขาไปอย่างกะทันหัน

เจ้าแมวอ้วนจ้องมองเขา ขีดสีดำปรากฏรอบศีรษะ *(- -””’) มันใช้อุ้งเท้ากระโจนออกมาจากเก้าอี้รวดเร็ว กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะและจุ่มอุ้งเท้าที่มีขนปุกปุยลงในถ้วยน้ำของโจวเหว่ยชิง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลำดับต่อมาทำให้โจวเหว่ยชิงต้องตาค้างอย่างตกตะลึง เจ้าแมวอ้วนใช้อุ้งเท้าจุ่มน้ำเขียนลงบนโต๊ะ! “ไม่ ข้าแค่จะฝึกปราณเงียบๆ ที่นี่”

โจวเหว่ยชิงจ้องมองมันพร้อมกับอ้าปากกว้าง “อะไรกันวะเนี่ย!? ท้องฟ้าจะถล่ม โลกกำลังจะทลายหรือยังไง แม้แต่เสือก็เขียนหนังสือได้แล้ว?! ข้าตาฝาดไปหรือ? เจ้าแมวอ้วน! ไปแสดงความสามารถของเจ้ากันดีกว่า ข้าแน่ใจว่าเราสามารถทำเงินได้มหาศาลแน่นอน!”

แมวอ้วนจ้องมองเขา อุ้งเท้าเล็กๆ ของมันกวาดไปรอบๆ โต๊ะอีกครั้งก่อนจะกระโดดกลับไปที่เก้าอี้เพื่องีบหลับเหมือนเดิม เมื่อโจวเหว่ยชิงมองไปที่โต๊ะ เขาก็เห็นคำหนึ่งเขียนไว้ว่า “เจ้าโง่”

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไปถึงโรงเรียน ขณะที่พวกเขาออกมาจากบ้านเช่า ทั้งคู่ก็ตระหนักได้ว่า หมิงฮัวจากไปก่อนแล้ว พวกเขาไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่นักที่ต้องปล่อยให้แมวอ้วนอยู่ตัวเดียวในบ้าน ท้ายที่สุดไม่เพียงแต่มีต้าหวงและเอ้อหวง อสูรสวรรค์ระดับปรมะอยู่ที่นั่นด้วยแล้ว แค่เจ้าแมวอ้วนเพียงตัวเดียว พวกเขาก็เคยเห็นมันแสดงพลังอันแสนแปลกประหลาดที่ไม่มีใครสู้ได้ออกมาก่อนหน้าแล้ว

วันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนอย่างเป็นทางการของโรงเรียนทหารเฟยหลี่ ทั้งโรงเรียนดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นรุ่นน้องหรือรุ่นพี่ ทุกคนต่างก็แต่งกายด้วยชุดนักเรียนเดินขวักไขว่ไปมารอบๆ โรงเรียน

พิธีเปิดในตอนเช้าเป็นของนักเรียนทั้ง 4 ชั้นปีและทุกคนต่างก็กำลังมุ่งหน้าไปยังห้องประชุมใหญ่ที่ชั้นหนึ่งของอาคารเรียน โจวเหว่ยชิง และซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินเข้าร่วมกับคนอื่นๆ อย่างเป็นธรรมชาติ

โรงเรียนทหารเฟยหลี่นั้นควรค่าแก่การถูกเรียกว่าเป็น 1 ใน 3 โรงเรียนชั้นนำของอาณาจักรเฟยหลี่อย่างแท้จริง หอประชุมใหญ่ของพวกเขาสามารถจุคนได้กว่า 3,000 คน แม้ว่าจำนวนนักเรียนจริงจะน้อยกว่านั้นมากก็ตาม

เมื่อโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เข้าไปในหอประชุมพร้อมกัน การปรากฏตัวของพวกเขาได้รับความสนใจอย่างมาก ไม่ใช่ว่าเพราะข่าวการต่อสู้ของโจวเหว่ยชิงกับซ่างหลางได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งโรงเรียน และถึงแม้ว่านักเรียนทุกคนอาจรู้เรื่องนี้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็จำโจวเหว่ยชิงไม่ได้อยู่ดี เหตุผลหลักที่การปรากฏตัวของพวกเขาดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากก็เป็นเพราะความงามที่โดดเด่นของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่นเอง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอสวมเครื่องแบบนักเรียนสามัญชนเช่นนี้

…………………………

อย่างไรก็ตาม ความจริงนั้นค่อนข้างแตกต่างออกไปมากทีเดียว ค้อนขนาดยักษ์ได้กวาดผ่านร่างของหมิงฮัวไปเสียเฉยๆ ราวกับว่ามันทำมาจากแสง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครทันรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือ หมิงฮัวถูกค้อนทุบจริงๆ แต่เธอก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

อย่างไรเสียโจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้มีเจตนาฆ่าหมิงฮัว เขาไม่ได้โกรธแค้นเธอมากนักและมันเป็นเพียงแค่การต่อสู้เรื่องเช่าบ้าน เรื่องแค่นี้จะทำให้เขาฆ่าคนได้อย่างไร? นอกจากนี้ ที่นี่คือเมืองเฟยหลี่ เขาไม่ได้เป็นพลเมืองของอาณาจักรนี้และไม่มีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังด้วย ในทางกลับกัน หมิงฮัวและพี่ชายของเธอเห็นได้ชัดว่ามีสถานะบางอย่างในเมืองเฟยหลี่ โจวเหว่ยชิงจึงไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับตัวเอง เขาจ่ายค่าเรียนไปแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องตั้งใจเรียนให้เต็มที่!

“ลืมตาได้แล้ว รีบๆ กำจัดดอกไม้พวกนี้ไปซะ” โจวเหว่ยชิงยกค้อนในมือขวาขึ้นเคาะหน้าผากหมิงฮัวเบาๆ ทำให้เกิดเสียง *ปั่ก* แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้พละกำลังใดๆ เลยแม้แต่น้อย นั่นก็ยังทำให้ศีรษะของเธอถึงกับสั่นคลอน หมิงฮัวลืมตาขึ้นมองโจวเหว่ยชิงด้วยความสับสน “ข้า…ข้ายังไม่ตาย?” สิ่งแรกที่เธอทำคือสัมผัสศีรษะของตนเองอย่างรวดเร็ว ศีรษะที่คิดว่าน่าจะถูกทุบเป็นเศษเล็กน้อยไปแล้ว

นอกจากหน้าผากของเธอซึ่งเพิ่งถูกค้อนสะกิดและได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ศีรษะของเธอก็ยังดีอยู่ อีกทั้งยังไม่มีร่องรอยของความเสียหายใดๆ ด้วย

หมิงฮัวกระพริบตาปริบๆ การรอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิดทำให้อารมณ์ของเธอปะทุขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ “เจ้าสารเลว! เจ้าเกือบจะฆ่าข้า!”

โจวเหว่ยชิงตกใจกับเสียงโวยวายของเธอ ก่อนจะตะโกนกลับด้วยความโกรธ “ข้า! บิดาของเจ้า! ไม่ได้ฆ่าเจ้าเสียหน่อย เจ้าไม่ควรมีความสุขหรือตื่นเต้นหน่อยหรือไง? เป็นอะไรไป จะตะโกนทำไมเนี่ย?!”

แสงสีเขียวสว่างวาบขึ้น จากนั้นบาดแผลที่ร้ายแรงส่วนใหญ่ของหมิงฮัวก็หายไปทันที เธอกระโดดถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างจากโจวเหว่ยชิง ในเวลาเดียวกันแสงสีแดงก็ผุดวาบในดวงตาของเธอ โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่าอากาศในพื้นที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

ในวินาทีถัดมา ดอกไม้แห่งยมโลกทั้ง 7 ดอกก็ปลดปล่อยแรงดึงดูดขนาดใหญ่ออกมา โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกได้ว่าเลือดและพลังปราณสวรรค์ของเขากำลังจะถูกพวกมันดูดกลืนเข้าไป

ดอกไม้แห่งยมโลกเป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของหมิงฮัว พวกมันจะเรียบง่ายเหมือนกับการโจมตีธรรมดาได้อย่างไร อันที่จริงก่อนหน้านี้แม้แต่เกราะเทพอมตะของโจวเหว่ยชิง พวกมันก็ยังมีพลังไม่เพียงพอจะป้องกันดอกไม้เกล่านี้เอาไว้ได้

ดูดเลือดและดูดซับพลังปราณสวรรค์! โจวเหว่ยชิงผงะ พยายามใช้ค้อนในมือฟาดใส่ดอกไม้แห่งยมโลกเบื้องหน้าเขา แต่เขาก็ค้นพบว่าค้อนทั้ง 2 ของเขาเฉียดผ่านดอกไม้แห่งยมโลกไปอย่างน่าตกใจ ราวกับว่าพวกมันเป็นภาพลวงตาและไม่มี

ร่างจริง! ไม่น่าแปลกใจที่ก่อนหน้านี้พวกมันไม่ได้ถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพราะถูกค้อนของเขาฟาด!

หมิงฮัวพูดอย่างเย็นชา “อย่าเสียแรงเปล่าเลย หากโดนดอกไม้แห่งยมโลกของข้าโจมตีเข้าไปแล้ว แม้จะเพียงดอกเดียว มันก็จะทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าลดลง นับประสาอะไรกับที่เจ้าโดนพวกมันโจมตีเข้าไปมากมาย ภายใต้การควบคุมของข้า ดอกไม้พวกนี้จะดึงเลือดและพลังปราณสวรรค์ของเจ้าออกมา พลังชีวิตของเจ้าจะถูกนำมาเติมเต็มให้ข้า นี่คือพลังที่แท้จริงของดอกไม้แห่งยมโลก ในบรรดาพืชประจำตัวของจ้าวมณีสวรรค์ธาตุชีวิตนั้น ดอกไม้แห่งยมโลกความแข็งแกร่งติดอันดับ 1 ใน 3!

ขณะที่เธอพูดเช่นนั้น หมิงฮัวก็สังเกตเห็นว่าการแสดงออกบนใบหน้าของโจวเหว่ยชิงนั้นแปลกประหลาดไป ในเวลาเดียวกันศีรษะสีขาวกลมๆ ของสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยก็โผล่ออกมาจากอกของเขา บนศีรษะของมันยังมีคำว่า ‘ราชา’ สีน้ำ เงินสลักอยู่ นั่นคือเจ้าแมวอ้วนสีขาวตัวน้อยไม่ใช่เหรอ?

ดูเหมือนว่าเจ้าแมวอ้วนจะเข้าใจสิ่งที่หมิงฮัวพูด ดวงตาสีม่วงเข้มของมันเผยให้เห็นถึงความดูถูกเหยียดหยาม มันอ้าปากเล็กน้อยราวกับจะส่งเสียงบางอย่าง ก่อนที่มันจะกระโจนกลับเข้าสู่อ้อมอกของโจวเหว่ยชิงและกลับไปนอนตามเดิม

ขณะนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าหมิงฮัวไม่เป็นอะไร เธอก็ทั้งโล่งใจและตกใจ ทว่าเธอก็กลับไปอยู่ในท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง จากมุมมองของเธอ เธอไม่ได้คิดว่าโจวเหว่ยชิงจะถอนหมัดของเขากลับ แต่เป็นหมิงฮัวมีทักษะพิเศษบางอย่างที่ทำให้เธอสามารถหลบการโจมตีได้ในวินาทีสุดท้ายได้ต่างหาก อย่างไรเสียพลังที่หมิงฮัวแสดงออกมาก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

ดอกไม้แห่งยมโลกที่กำลังดูดเลือดและพลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงสดและสว่างขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาหมิงฮัวก็ต้องชะงักด้วยความตื่นตะลึง

ตอนนี้หมิงฮัวเพิ่งฟื้นจากอาการเสียขวัญ เธอรู้ดีว่าสาเหตุที่เธอยังมีชีวิตอยู่เป็นเพราะโจวเหว่ยชิงเมตตาและไม่จัดการกับเธอจนถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม ด้วยทิฐิของเธอ เธอไม่อาจยอมรับตอนจบเช่นนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ดอกไม้แห่งยมโลกของเธอก็เปิดการโจมตีไปแล้ว เธอจึงต้องการสอนบทเรียนให้เขาและกู้หน้ากลับคืนมาบ้าง

ขณะที่เธอกำลังลังเลว่าจะหยุดการโจมตีดีหรือไม่ จู่ๆ เธอก็สัมผัสถึงกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่ตอนนี้เข้ามามีอิทธิพลอยู่เหนือความรู้สึกหวาดกลัวของเธอเสียอีก

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงกลายเป็นสีแดงก่ำ จากสายตาของเขา วงล้อทักษะธาตุได้หมุนไปยังพื้นที่ส่วนสีเทาโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย วินาทีต่อมาพลังชีวิตของเขาที่ไหลออกไปอย่างต่อเนื่องก็หยุดชะงักลงและภายในร่างของเขาก็เกิดแรงดึงดูดมหาศาลออกมาแทนที่ ดอกไม้แห่งยมโลกที่เพิ่งดูดเลือดและพลังปราณสวรรค์ของเขาเข้าไปเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา ตอนนี้ได้สูญเสียพลังไปทั้งหมดแล้ว! สถานการณ์กำลังพลิกผัน ร่างของโจวเหว่ยชิงกำลังดูดกลืนพลังทั้งหมดกลับในอัตราความเร็วที่บ้าคลั่ง แน่นอนว่ามากกว่าการพลังการดูดกลืนของดอกไม้แห่งยมโลกก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว ขณะนี้ดอกไม้แห่งยมโลกก็ยังคงเป็นสีแดง แต่ทว่าเป็นสีแดงที่ดูลึกลับชั่วร้ายมากกว่าเดิม

“อ๊าาาาาา!!” หมิงฮัวร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ร่างของเธอร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างอ่อนแรง ดอกไม้แห่งยมโลกเป็นพืชประจำตัวของเธอและเชื่อมโยงกับพลังชีวิตของเธออย่างซับซ้อน เมื่อโจวเหว่ยชิงกลืนกินพลังชีวิตของพวกมัน เขาก็เหมือนกลืนกินพลังชีวิตและพลังปราณสวรรค์ของเธอไปด้วย เดิมทีเธอก็ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว  อีกทั้งพลังปราณสวรรค์ส่วนใหญ่ของเธอก็ถูกใช้ไปจนหมด ตอนนี้ความอ่อนแรงกำลังกัดกินไปทั่วร่าง เธอรู้สึกไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็ล้มลงกับพื้น

ความจริงโจวเหว่ยชิงก็ตกใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้เช่นกัน แน่นอนว่าเขาหวาดกลัวตัวเองมาก แต่ทว่าเมื่อเขาฟื้นคืนสติขึ้นมา เขาก็อดจะหัวเราะออกมาอย่างยินดีไม่ได้ “หึๆ คิดจะดูดพลังข้างั้นเรอะ? ดูเหมือนว่ากรรมตามสนองเจ้าแล้ว! ฮ่าๆๆๆๆ!”

ใบหน้าของหมิงฮัวดูซีดเซียวลงทุกวินาทีในขณะที่โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ถึงพลังและจิตวิญญาณที่ดีขึ้น พลังปราณสวรรค์ของเขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

หมิงฮัวกัดริมฝีปากอย่างแรงเพื่อบังคับให้ตัวเองปิดปาก แม้ว่าหัวใจของเธอจะเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว แต่เธอก็ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองร้องขอชีวิตเป็นอันขาด หมิงฮัวไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของดอกไม้แห่งยมโลกถูกนำมาใช้กับตัวเธอเองได้ง่ายดายเช่นนี้ เธอนึกไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าดอกไม้แห่งยมโลกของเธอปะทะกับโจวเหว่ยชิงอย่างเต็มที่…เธอจะแห้งเหือดไปในทันทีหรือไม่?

“อ้วนน้อย! หยุดเดี๋ยวนี้! ถ้าเจ้าทำต่อไปนางจะตาย!” จู่ๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ปรากฏตัวข้างๆโจวเหว่ยชิงและพูดขึ้นมาเบาๆ

“โอ้ แน่นอน ข้าต้องเชื่อฟังภรรยาของข้า!” เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ โจวเหว่ยชิงก็พยักหน้าเห็นด้วย เขามุ่งความสนใจไปที่วงล้อทักษะธาตุ ย้ายมันกลับไปที่พื้นที่ส่วนสีเงินและหยุดทักษะกลืนกิน ดอกไม้แห่งยมโลกที่อยู่บนร่างของเขาร่วงหล่นลงสู่พื้นและหายตัวไปกลางอากาศทันที

หมิงฮัวนอนลงบนพื้น หอบหายใจอย่างแรงและถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอพยายามที่จะลุกขึ้น แต่ก็พบว่าไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ในร่างกายของเธอเลย เธอจึงทำได้เพียงประคองให้ตัวเองสามารถนั่งอยู่ในท่าหอบหายใจได้ถนัด

แสงสีดำทองสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง ค้อนคู่ในมือของโจวเหว่ยชิงก็พลันหายไปเช่นกัน

ในความเป็นจริงความลับของค้อนคู่ก็อยู่ในบรรทัดนั้นเอง ‘ความดีและความชั่วร้าย ภาพลวงตาและภาพจริง’ แม้ว่าพวกมันจะดูเหมือนค้อนคู่กัน แต่จริงๆ แล้วมันคือค้อนจริงหนึ่งอันและค้อนปลอมหนึ่งอัน! ค้อนปลอมสามารถดึงดูดความสนใจและหลอกล่อศัตรูได้ในขณะที่ค้อนจริงมีพลังมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ แน่นอนว่าค้อนปลอมแสดงถึงความ “ดี” ในขณะที่ค้อนจริงแสดงถึงความ “ชั่วร้าย” การผสมผสานระหว่างภาพจริงและภาพลวงตาทำให้ง่ายต่อการหลอกล่อศัตรูและอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงแก่ศัตรูในตอนท้าย ยกตัวอย่างเช่น หากศัตรูฟาดฟันด้วยกำลังทั้งหมดเพื่อสกัดกั้นการโจมตีที่ดูเหมือนทรงพลัง ทว่าสุดท้ายก็พบว่ามันกลายเป็นของปลอม นั่นจะทำให้คนผู้นั้นทั้งเสียศูนย์และเสียพละกำลังมากเกินไปจนอาจนำไปสู่ความพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญกว่านั้น โจวเหว่ยชิงสามารถสับเปลี่ยนค้อนปลอมและค้อนจริงได้ตามต้องการทุกเมื่อ! ดังนั้นเมื่อรวมกับความจริงที่ว่าเขาสามารถปลดปล่อยทักษะใดๆ ออกมาก็ได้โดยไม่ต้องบรรจุมณีลงหลุมก่อน ในระดับที่สูงขึ้น นี่จะเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพมาก แน่นอนว่าเป็นเพราะอาวุธระดับเทพเจ้านี้เองที่ทำให้โจวเหว่ยชิงสามารถเอาชนะหมิงฮัวซึ่งมีระดับพลังปราณสูงกว่าเขาได้

โจวเหว่ยชิงยื่นแขนไปกอดซ่างกวนปิงเอ๋อร์และหันไปทางหมิงฮัวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มขณะที่เขาพูดว่า “โชคดีที่ภรรยาของข้าใจดีมาก ถ้าเป็นข้า ข้าคงจบชีวิตเจ้าไปแล้ว! ฮึ่ม! เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้เลย ข้าไม่ส่ง”

ขณะนี้หมิงฮัวฟื้นคืนพลังกลับมาได้เล็กน้อย ส่วนโจวเหว่ยชิงที่กลืนกินพลังปราณสวรรค์และพลังชีวิตของเธอเข้าไปบางส่วนก็เกือบจะฟื้นคืนสู่สภาพปกติแล้ว ในทางกลับกัน หมิงฮัวยังคงรู้สึกอ่อนแรงมาก ร่างกายมีพลังปราณเหลืออยู่ไม่ถึง 1 ใน 10 ส่วนด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเธอเป็นจ้าวมณีธาตุชีวิตซึ่งสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองได้ เธออาจบาดเจ็บสาหัสไปแล้วก็เป็นได้

“ไม่” หมิงฮัวส่งเสียงในลำคอและผุดลุกขึ้นนั่ง เธอพูดกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ว่า “ถ้าพวกเจ้าพยายามโยนข้าออกไป ข้าจะตะโกนว่าเจ้าข่มเหงข้า! ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะตามจับผู้ชายของเจ้า! ไม่ว่าจะต้องใช้กลวิธีไหน ข้าก็จะฉุดเขาไปจากเจ้าให้ได้! ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าก็ลองดูได้!”

โจวเหว่ยชิงจ้องไปที่หมิงฮัว กรามของเขาอ้าค้าง “โอ้โห สาวงามตรงนั้น เจ้าช่างเป็นผลงานชั้นหนึ่งจริงๆ อย่าลืมให้เกียรติการเดิมพันของตัวเองก่อนหน้านี้ด้วย เจ้าบอกว่าใครก็ตามที่ชนะการต่อสู้จะได้บ้านหลังนี้ไป แต่ตอนนี้เจ้าแพ้ ดังนั้นเจ้าควรออกไปได้แล้ว”

หมิงฮัวระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “จะใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าเราวางเดิมพันกันไว้เช่นนั้น? มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่? มีพยานหรือไม่? มีหนังสือเป็นทางการหรือไม่? ไม่มี ใช่ไหม? นอกจากนี้ เจ้าน่ะ เป็นผู้ชายแท้ๆ รังแกผู้หญิงที่อ่อนแอเช่นข้าได้อย่างไร? ไม่ละอายบ้างหรือ?”

“เจ้า…อ่ะนะ…ผู้หญิงอ่อนแอ??!” โจวเหว่ยชิงพูดไม่ออก เขากรอกตาขึ้นฟ้า ก่อนหน้านี้เขาต้องต่อสู้อย่างสุดกำลัง ถูกบังคับให้นำทุกสิ่งที่มีออกมาเพื่อเอาชนะเธอให้ได้ แม้กระทั่งค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนานของเขาก็ถูกนำมาใช้ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะแพ้ไปนานแล้ว! สำหรับทักษะกักเก็บที่ใหม่กว่านั้นไม่ใช่ว่าเขาพยายามซ่อนมัน แต่เขายังไม่ได้ฝึกฝนการใช้มันเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นพลังของพวกมันจึงเทียบไม่ได้กับทักษะที่เขาเคยใช้มาก่อนทั้งหมด! ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาเกือบจะพ่ายแพ้ให้กับหมิงฮัวอยู่แล้ว อีกทั้งเขาก็ยังรู้สึกค่อนข้างตึงมือกับการต่อสู้ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก ผู้หญิงคนนี้อันตรายเกินไป! ทว่า…เธอเพิ่งพูดว่า…เธอเป็นผู้หญิงอ่อนแอ?! เขาพูดไม่ออกจริงๆ

หมิงฮัวฟื้นคืนกำลังบางส่วนและยืนขึ้นได้แล้ว เมื่อมองไปรอบๆ บ้าน เธอก็ยกยิ้มน้อยๆ และชี้ไปที่ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง “ข้าจะใจดีและไม่ไล่เจ้าทั้งสองคนออกไป ข้าจะอยู่ในห้องนั้นและพวกเราจะช่วยกันจ่ายค่าเช่าบ้าน ถอยให้กันคนละก้าวเป็นไง ใครขอให้ข้าแก่กว่าเจ้าทั้งคู่ล่ะ ข้าเลยจะปล่อยให้พวกเจ้าทั้งสองคนได้ประโยชน์มากกว่า”

โจวเหว่ยชิงอยากจะพุ่งไปข้างหน้าและเหวี่ยงเธอออกไปข้างนอกบ้านทันที เป็นเรื่องยากมากที่จะเห็นใครบางคนไร้ยางอายยิ่งกว่าเขา! อย่างไรก็ตาม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับคว้าแขนของเขาและพูดว่า “ปล่อยนางอยู่ห้องนั้นไป”

แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะไม่ต้องการให้หมิงฮัวพักอยู่ที่นี่ แต่เธอก็ไม่กล้าเดิมพันกับหมิงฮัว คำขู่ของหมิงฮัวยังคงดังก้องอยู่ในใจของเธอและเธอก็ไม่กล้าเสี่ยงลองดีกับหมิงฮัว ท้ายที่สุดเธอก็รู้ดีว่าจุดอ่อนของอ้วนน้อยคือหญิงงาม…เขาจะต้านทานเล่ห์เหลี่ยมของผู้หญิงที่มีเสน่ห์เย้ายวนได้อย่างไร!

………………………………

ตั้งแต่เด็กหมิงฮัวก็ชอบแข่งขันมาโดยตลอด กระทั่งกับพี่ชายของเธอที่อายุมากกว่าเธอ 9 ปีซึ่งเป็นที่รู้จักในนามแม่ทัพเทพสงคราม เธอก็ยังไม่เคยพ่ายแพ้เขา! ความจริงแล้วในแง่ของระดับพลังปราณ และความกล้าหาญในการต่อสู้ เมื่อหมิงหยูอายุเท่าเธอ เขาก็ยังเทียบกับน้องสาวตัวน้อยของเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ อีกทั้งในวัยนั้นเขาก็ไม่ได้มีชื่อเสียงเหมือนที่เธอมีในเมืองเฟยหลี่ด้วย เธอสร้างชื่อด้วยความกล้าหาญในการต่อสู้ของตนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก่อนหน้านี้เมื่อเธอได้เห็นการต่อสู้ของโจวเหว่ยชิงและซ่างหลาง เธอก็สนใจเขามาก และแม้ว่าเรื่องที่พวกเขาพบกันที่นี่จะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เธอก็รู้สึกยินดีที่จะได้ต่อสู้กับโจวเหว่ยชิงเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของเขา ทว่าเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเธอ 7 ปีคนนี้มีความสามารถมากจนน่าตกใจ เหมือนที่พี่ชายของเธอเคยพูดเอาไว้ไม่มีผิด แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่อยากพ่ายแพ้ เธอจะไม่ยอมแพ้คนที่มีระดับพลังปราณต่ำกว่าตัวเองเด็ดขาด

ดอกไม้แห่งยมโลกลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางขยับเต้นรำในอากาศ มันเริงระบำพร้อมเผยประกายแสงสดใสระยิบระยับออกมา ทันใดนั้นดอกไม้สีแดงสดก็พุ่งตรงไปยังโจวเหว่ยชิงอย่างไร้เสียง

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงหรี่ลงทันที เขารู้อยู่แก่ใจว่าจะไม่อาจแอบซ่อนทักษะธาตุอื่นๆ เอาไว้ได้อีกต่อไปหากต้องการเอาชนะเธอ

ดอกไม้สีแดงบนท้องฟ้าเป็นคนเริ่มเปิดฉากการโจมตี ขณะที่มันหมุนไปรอบๆ กลางอากาศและกำลังจะไปถึงตัวโจวเหว่ยชิง ทันใดนั้นมันก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 10 เท่าด้วยเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ฉื่อ จากนั้นก็พุ่งตรงไปที่ศีรษะของโจวเหว่ยชิงด้วยความเร็จดุจสายฟ้า โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกถึงกลิ่นอายชั่วร้ายภายในร่างที่กำลังเต้นระริกได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าดอกไม้แห่งยมโลกมีกลิ่นอายชั่วร้ายเจือปนอยู่จางๆ เป็นกลิ่นอายที่อ่อนแอกว่ากลิ่นอายชั่วร้ายภายในร่างกายของเขามาก

ค้อนในมือซ้ายของโจวเหว่ยชิงถูกยกขึ้นรับแรงกระแทกจากดอกไม้แห่งยมโลก จากนั้นก็เกิดเสียงปะทะดังขึ้นกึกก้อง โจวเหว่ยชิงปลดปล่อยทักษะกระชากมิติอีกครั้งเพื่อปิดกั้นการพลังของดอกไม้สีแดง ไม่นานภาพแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา

ขณะที่ดอกไม้ดอกนั้นกำลังเข้าใกล้กับทักษะกระชากมิติ มันกลับไม่ได้ถูกแรงดึงดูดกระชากเข้าไป ในทางตรงกันข้าม มันลอยกลับขึ้นไปที่เดิมอีกครั้งพร้อมกับแสงสีแดงที่ส่องสว่างมากขึ้นกว่าเดิม

แสงสีเขียวพุ่งทะยานออกมาจากมือของหมิงฮัวตรงไปยังดอกไม้แห่งยมโลก ราวกับถูกเติมพลัง ทันใดนั้นมันก็ปลดปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้งและหมุนคว้างไปมาพร้อมกับเสียงดังหวีดหวิว ทว่ามันก็ยังไม่กล้าปะทะกับทักษะกระชากมิติโดยตรงอยู่ดี

ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงก็เริ่มเคลื่อนไหว มือทั้งสองของเขาหมุนควงค้อนยักษ์ทีละข้าง จากนั้นค้อนยักษ์คู่สีดำเหลือบทองขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้าหาหมิงฮัวทันที

แน่นอนว่าความยืดหยุ่นของหมิงฮัวนั้นลื่นไหลมาก ด้วยร่างกายที่อ่อนนุ่มและยืดหดได้ของเธอ เธอจึงสามารถหลบหลีกการโจมตีได้ด้วยขั้นตอนที่แยบยล บางทีอาจจะเหนือกว่าหลัวเขอตี้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเคลื่อนไหวดังกล่าวในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์อีกด้วย

อนิจจา แม้จะมีความสามารถขนาดไหน เธอก็ยังต้องเผชิญหน้ากับค้อนขนาดใหญ่และหนักคู่หนึ่ง ไม่ว่าทักษะการหลบหลีกของเธอจะแข็งแกร่งเพียงใด เธอก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ทำได้เพียงสะบัดตัวหลบหลีกและถอยหลังไปเรื่อยๆ

หากเธอใช้ความแข็งแกร่งที่เป็นจุดอ่อนของตนปะทะเข้าโดยตรงกับศาสตรามณียุทธ์ที่มีไว้สำหรับผู้ใช้มณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่ง เธอก็คงจะเสียสติไปแล้ว!

ในขณะนี้ดอกไม้แห่งยมโลกที่ลอยอยู่กลางอากาศได้แตกหน่อเป็นดอกไม้เล็กๆ จำนวน 9 ดอก โดยแต่ละดอกจะพุ่งเข้าหาโจวเหว่ยชิงจากทุกทิศทางที่แตกต่างกัน  พวกมันกำลังหมุนคว้างด้วยความเร็วสูงสุดพร้อมกับส่งเสียง *หวือหวือ* ออกมา นั่นส่งผลให้บ้านทั้งหลังเกิดเสียงแปลกๆ ที่น่าขนลุกขึ้น ราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ในบ้านผีสิงไม่ปาน

หากเป็นคนอื่น กับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ พวกเขาอาจได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายชั่วร้ายที่น่าขนลุกจนไม่อาจใช้พละกำลังได้อย่างเต็มที่ แต่โจวเหว่ยชิงคือใครกัน? กลิ่นอายชั่วร้ายภายในร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าดอกไม้แห่งยมโลกมากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย

ขณะที่ค้อนของโจวเหว่ยชิงกำลังจะปะทะเข้ากับดอกไม้แห่งยมโลกทั้ง 9 ดอก มือของหมิงฮัวก็ระเบิดแสงสีเขียวออกมา ลำแสง 9 สายพุ่งออกมากระทบดอกไม้แห่งยมโลกอีกครั้ง จากนั้นดอกไม้แต่ละดอกก็แตกหน่อออกเป็นอีก 9 ดอกตามลำดับ คราวนี้เป็นทั้งหมด 81 ดอก! และแม้ว่าพวกมันจะมีขนาดเล็กกว่าเดิมมาก แต่ความเร็วของมันก็อยู่ระดับที่น่าเวียนหัว! ดอกไม้พวกนั้นพุ่งเข้าหาเขาจากทุกทิศทางอีกครั้ง

วินาทีนั้น โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่อาจหลบหลีกพวกมันทั้งหมดได้พ้นแน่นอน นอกจากนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา ดอกไม้ทั้ง 81 ดอกยังไม่ได้โจมตีเขาทั้งหมดในคราวเดียว บางดอกถูกกระจายออกไปในบริเวณที่ค่อนข้างกว้าง ทำให้เขาไม่มีพื้นที่ให้เคลื่อนย้ายหนีไปได้เลย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จิตวิญญาณการต่อสู้ของโจวเหว่ยชิงก็ถูกจุดขึ้นแล้ว ไม่นานค้อนในมือซ้ายของเขาก็สว่างวาบขึ้นเป็นแสงสีเขียวแปลกประหลาด ส่วนหมิงฮัวรู้ก็สึกว่าร่างกายของตนพลันหยุดชะงักไม่สามารถขยับได้ ในขณะเดียวกันค้อนทางด้านขวาของเขาก็สั่นไหวและมีชั้นแสงสีทองเข้มพุ่งออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน อากาศบริเวณนั้นดูเหมือนจะกระเพื่อมอย่างผิดเพี้ยน ทันใดนั้นดอกไม้แห่งยมโลกทั้ง 18 ดอกก็แข็งตัวในเสี้ยววินาที

เสียงสะท้อนชะงัก นี่เป็นหนึ่งในทักษะของค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนาน ในเสี้ยววินาทีที่ดอกไม้พวกนั้นถูกแช่แข็ง โจวเหว่ยชิงก็ฉวยโอกาสนั้นระเบิดพลังขาขวาปีศาจของเขาออกมาอย่างฉับพลัน พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับใช้ค้อนคู่ของเขาเก็บกวาดเส้นทาง ทะลุผ่านดอกไม้แห่งยมโลกทั้งหมดเพื่อเข้าไปถึงตัวเธอ

ขณะที่หมิงฮัวกำลังจะขยับตัวได้ แสงสีดำอีกเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากค้อนในมือซ้ายของโจวเหว่ยชิง นั่นทำให้เธอรู้สึกราวกับว่ามีมือหลายคู่กำลังดึงรั้งเธอไว้ จากนั้นร่างกายของเธอก็ถูกแช่แข็งอีกครั้ง ในวินาทีนั้นค้อนของโจวเหว่ยชิงก็ฟาดลงมาที่ศีรษะของเธออย่างโหดเหี้ยมแล้ว

ด้วยเหตุการณ์ที่พลิกผันไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ หมิงฮ่าวจึงสงบสติอารมณ์และรวบรวมพลังทั้งหมดเอาไว้ แสงสีเขียวเข้มพุ่งออกมาจากเกราะหุ้มหน้าอกของเธอทันที ในเวลาเดียวกัน แสงสีเขียวก็พุ่งออกมาจากมือซ้ายของเธอและหลอมรวมกับแสงจากเกราะหุ้มหน้าอก ทั้งหมดรวมตัวกันเพื่อสร้างโล่แสงสีเขียวครอบตัวเธอเอาไว้ นั่นไม่เพียงแต่สามารถทำลายการควบคุมจากทักษะสัมผัสมืด แต่เกราะแสงสีเขียวยังสามารถปกป้องเธอเอาไว้ด้วย

นี่คือทักษะในมณีธาตุดวงที่ 4 ของหมิงฮัว ‘ทักษะโล่แห่งชีวิต’ ชุดศาสตรามณียุทธ์ของเธอก็ใช้ทักษะเดียวกัน เมื่อพลังของทั้งสองมารวมกันแล้ว มันก็สามารถสร้างเกราะขึ้นมาป้องกันร่างของเธอไว้ได้ทั้งหมด ในเวลาเดียวกันดอกไม้แห่งยมโลกที่ถูกแช่แข็งก็เริ่มฟื้นตัวและพุ่งเข้าหาโจวเหว่ยชิงจากทางด้านหลังเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง

การตอบสนองของหมิงฮัวนั้นน่าประทับใจมาก อีกทั้งเธอยังทำทั้งหมดนี้โดยใช้พลังอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทว่าเธอก็ยังรู้สึกประหลาดใจกับทักษะการควบคุมทั้ง 2 ชนิดของโจวเหว่ยชิงมาก แม้ระดับพลังปราณของเธอจะสูงกว่าโจว เหว่ยชิงประมาณ 4-5 ระดับ แต่เธอก็ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้และตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทันที อย่างไรก็ตาม แม้เธอจะทำลายทักษะการควบคุมได้สำเร็จ แต่พลังจากการระเบิดความเร็วขาขวาปีศาจของโจวเหว่ยชิงก็ยังน่าตกใจจนเกินไป ขณะที่โล่แห่งชีวิตของเธอถูกเปิดใช้งาน ค้อนคู่ก็กระแทกลงมาที่ศีรษะของเธอแล้ว

ภายใต้สถานการณ์ปกติ เนื่องจากมีโล่แห่งชีวิต ร่างของหมิงฮัวอาจจะไม่ต้องปะทะกับค้อนยักษ์เหล่านี้โดยตรง แต่ทว่าตอนนี้เธอกลับไม่มีทางเลือกอื่น

*ตูม* ค้อนอันแรกกระแทกเข้ากับโล่แห่งชีวิตอย่างโหดเหี้ยม ภาพที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นเมื่อแสงสีดำเหลือบทองดูเหมือนจะค่อยๆกลืนกินโล่แห่งชีวิตเข้าไปทั้งหมด โล่แห่งชีวิตหายไปทันทีโดยไม่มีเวลาให้ทันได้ปริแตกแม้แต่น้อย หมิงฮัวเองก็ต้องทรุดเข่าลงกับพื้นคล้ายกับตะปูถูกตอก เลือดสดๆ ไหลออกมาจากปากโดยไม่รู้ตัว

จิตใจของหมิงฮัวว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง แม้ว่าเธอจะเดาได้ว่าโล่แห่งชีวิตอาจไม่สามารถป้องกันค้อนยักษ์คู่ที่เป็นศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าได้อย่างเต็มที่ แต่เธอก็ไม่คาดคิดว่าพลังของมันจะน่ากลัวขนาดนั้น บนค้อนพวกนี้ไม่มีแม้แต่พลังปราณสวรรค์สักเสี้ยว เป็นเพียงพลังความแข็งแกร่งจากมณียุทธ์แค่อย่างเดียวเท่านั้น! สำหรับโจวเหว่ยชิงที่มีมณีระดับ 3 ดวง การที่เขาสามารถทำลายโล่แห่งชีวิตระดับมณี 5 ดวงของเธอได้อย่างง่ายดายนั้นสร้างความตกใจให้กับเธอเป็นอย่างมาก ความเสียหายที่ได้รับจากการแรงปะทะของมันทำให้หมิงฮัวถึงกับอาเจียนออกมาเป็นเลือด

เมื่อโล่แห่งชีวิตแตก ค้อนอันที่ 2 ฟาดตามลงมาทันที ในขณะนั้นใจของหมิงฮ่าวก็เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ เสียใจที่เธอไม่ยอมฟังพี่ชายของเธอจนทำให้ตัวเองตกอยู่ภายใต้อันตรายถึงชีวิตขนาดนี้

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซึ่งยืนอยู่ไกลๆ ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกตะลึง เมื่อเห็นค้อนขนาดใหญ่กำลังจะฟาดลงบนศีรษะของหมิงฮัวอย่างโหดเหี้ยม เธอก็รีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว การถูกค้อนฟาดเข้าที่ศีรษะ…มีแนวโน้มว่าอันตรายถึงตาย

หมิงฮัวก็กำลังคิดแบบเดียวกันและเธอก็ไม่คิดว่าตนจะรอดไปได้ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอจึงส่งพลังปราณที่เหลือทั้งหมดไปยังดอกไม้แห่งยมโลก หวังว่าอย่างน้อยจะสร้างความเสียหายให้กับโจวเหว่ยชิงได้บ้างก่อนที่เธอจะสิ้นชีวิตไป

หลังจากค้อนอันแรกของเขาทุบทำลายทักษะโล่แห่งชีวิตได้แล้ว มันก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นกลับไปข้างหลัง จากนั้นเสียงฉีกขาดของอากาศของทักษะกระชากมิติก็ดังสะท้อนขึ้นมาทันที ใช่แล้ว โจวเหว่ยชิงใช้ค้อนนั้นปลดปล่อย ‘ทักษะรอยแยกมิติ’ ออกมา มันความยาวกว่า 4 ฉื่อ แน่นอนว่ามีขนาดใหญ่กว่าทักษะกระชากมิติตามปกติของเขา ดอกไม้แห่งยมโลกที่พุ่งทะยานเข้ามามาหาเขาเกือบทั้งหมดถูกขัดขวางไว้โดยรอยแยกมิติขนาดใหญ่นั้น มีเพียงไม่กี่ดอกที่สามารถทะลุผ่านเข้ามาโจมตีโจวเหว่ยชิงได้ อย่างไรเสียนี่ก็คือพลังการฝืนโจมตีครั้งสุดท้ายของจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรก นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีพลังน่ากลัวเช่นหมิงฮัว โจวเหว่ยชิงจึงไม่สามารถหลบหลีกการโจมตีของดอกไม้บางดอกที่เล็ดรอดมาได้

ค้อนคู่ระดับเทพเจ้าในตำนานไม่มีหลุมบรรจุมณี ทำไมน่ะหรือ? เพราะมันไม่จำเป็นต้องมี เมื่อโจวเหว่ยชิงใช้ศาสตรามณียุทธ์พวกนี้ เขาสามารถใช้ทักษะที่กักเก็บไว้ในมณีได้โดยตรงและไม่จำเป็นต้องใส่มณีธาตุไว้ในหลุมบรรจุมณี นอกจากนี้ ทักษะใดๆ ที่ปลดปล่อยออกมาจากค้อนคู่นี้ ทั้งหมดย่อมเป็นระดับที่แข็งแกร่งขึ้นโดยไม่ต้องใช้พลังปราณสวรรค์ในระดับที่มากขึ้น แน่นอนว่านี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า

เมื่อปะทะเข้ากับดอกไม้แห่งยมโลกจำนวน 7-8 ดอก โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มรู้สึกชาหนึบ ทว่าก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากนัก ในขณะเดียวกัน เขาก็ยกค้อนในมือซ้ายซึ่งเพิ่งฟาดใส่หมิงฮัวขึ้นมา

หมิงฮัวตายหรือไม่? ไม่ เธอไม่ได้ตาย เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง ทั้งร่างสั่นสะท้านไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว เจ้าของบ้านผู้ซึ่งเฝ้าดูอยู่ในระยะไกลๆ ก็กำลังตกตะลึงจนอ้าปากค้างเช่นกัน

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นการต่อสู้ระหว่างจ้าวมณีสวรรค์ ทว่านอกจากโจวเหว่ยชิงแล้ว ยังไม่มีใครเห็นชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาสุดท้าย

ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ค้อนในมือขวาของโจวเหว่ยชิงได้เจาะทำลายโล่แห่งชีวิตก่อนที่มันจะถูกเหวี่ยงกลับไปข้างหลังเพื่อปลดปล่อยทักษะรอยแยกมิติออกมา ส่วนค้อนในมือซ้ายของเขาได้ฟาดเข้าที่ศีรษะของหมิงฮัวและลากผ่านลงมาที่ร่างของเธอจริงๆ แน่นอนว่าจากพลังของค้อนในมือขวาของเขา มันก็ควรจะกระแทกศีรษะของเธอจนสมองแหลกเหลวไปแล้ว

…………………………

“กักขัง!” โจวเหว่ยชิงร้องขึ้นมาเสียงดังพลางตวัดมือซ้ายออกไป ทันใดนั้นลูกบอลแสงสีเงินจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากมือของเขา กลายเป็นกำแพงแสงสีเงินห่อหุ้มร่างของหมิงฮัวเอาไว้ การระดมโจมตีอย่างต่อเนื่องของหมิงฮัวหยุดชะงักทันที โจวเหว่ยชิงจึงใช้โอกาสนี้ล่าถอยออกไป

‘มิติกักขัง’ เป็นทักษะธาตุมิติในมณีดวงที่ 3 ของโจวเหว่ยชิง ถังเซียนเคยแนะนำเขาก่อนหน้านี้โดยเฉพาะว่าให้ตามหาทักษะประเภทควบคุมกักเก็บไว้ในมณีดวงที่ 3 ของเขา ซึ่งทักษะมิติกักขังนี้ก็มีระดับอย่างน้อย 8 ดาวขึ้นไป

ทักษะมิติกักขังมีระยะเวลาการใช้งานนานกว่าทักษะโซ่ตรวนวายุและทักษะสัมผัสมืดเสียอีก! ที่ระดับพลังมณี 3 ดวง ทักษะมิติกักขังสามารถหยุดศัตรูได้เป็นเวลาเกือบ 8 วินาที แน่นอนว่านี่สำหรับเป้าหมายที่มีพลังใกล้เคียงกับเขาและไม่ได้พยายามดิ้นรนขัดขืนและโจมตีกำแพงมิติพวกนี้

ในระยะเวลา 8 วินาที เป้าหมายจะติดอยู่ในกำแพงแสงซึ่งข้างในมีพื้นที่มิติอยู่ เป้าหมายจะไม่สามารถส่งผล  กระทบใดๆ ต่อโลกภายนอกได้และโจวเหว่ยชิงก็ไม่สามารถโจมตีเป้าหมายได้เช่นกันจนกระทั่งมิติกักขังจะพังทลายลงไป ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าทักษะมิติกักขังจะเป็นทักษะประเภทควบคุมที่ทรงพลังมาก แต่ก็ยังขาดความสามารถในด้านการโจมตี อย่างไรเสียก็ไม่อาจพูดได้ว่าทักษะนี้ไร้ประโยชน์หรืออ่อนแออย่างสิ้นเชิงเพราะการใช้งานที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดของมันคือการใช้ขัดขวางศัตรูต่างหาก นอกจากนี้ทักษะมิติกักขังก็ยังสามารถใช้งานแบบอื่นๆ ได้ ไม่ใช่เฉพาะกับศัตรูเท่านั้น ในช่วงเวลาวิกฤต ทักษะมิติกักขังนี้อาจใช้ช่วยชีวิตเพื่อนร่วมรบได้ ดังนั้นนี่จึงถือเป็นหนึ่งในทักษะธาตุมิติที่ทรงพลังมาก

“แม่งเอ้ย! ถ้าข้าไม่แสดงพลังที่แท้จริงออกไป เจ้าก็คงจะดูถูกข้าไปเรื่อยๆ งั้นสิ” โจวเหว่ยชิงหอบหายใจขณะที่เขาพูดด้วยความโกรธ ภายในพื้นที่เล็กๆ และคับแคบของบ้านเช่าหลังนี้ เขาไม่สามารถใช้ธนูหรือยิงธนูได้ แต่ทว่าพลังที่แข็ง แกร่งที่สุดของเขาในตอนนี้กลับเป็นการยิงธนู เขามั่นใจมากว่าถ้าพวกเขาอยู่ห่างกันหนึ่งร้อยหลา นับประสาอะไรกับ        หมิงฮัว แม้แต่หมิงหยูพี่ชายของเธอก็ไม่มีใครเทียบเขาได้เด็ดขาด อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่จำกัดเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการกับคนเช่นหมิงฮัว

แสงสีทองเข้มข้นได้ปะทุออกมาจากหยกน้ำแข็งดวงที่ 2 ของเขาพลางส่องแสงเป็นประกาย ในขณะที่โจวเหว่ยชิงยกแขนขึ้น แสงสีทองก็สว่างเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ขนาดย่อมๆ คล้ายกับเป็นกำแพงแสงขนาดใหญ่รอบตัวเขา นั่นทำให้ทั้งร่างของโจวเหว่ยชิงถูกซ่อนจากสายตาของทุกคน

ในขณะนั้น หมิงฮัวซึ่งติดอยู่ในมิติกักขังก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเช่นกัน ดวงตาของเธอจึงเต็มไปด้วยความแตกตื่น

ก่อนหน้านี้เธอก็ต้องประหลาดใจไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อโจวเหว่ยชิงใช้ทักษะมิติกักขังกับเธอ เนื่องจากนั่นเป็นอีกหนึ่งทักษะระดับสูงที่คนอย่างเขาถือครองเอาไว้ อีกทั้งทักษะนี้ยังมีระดับดาวสูงมากด้วย อย่างไรก็ตาม เธอค่อนข้างคุ้นเคยกับทักษะกักเก็บส่วนใหญ่ รวมไปถึงลักษณะต่างๆ และวิธีจัดการกับทักษะเหล่านั้นอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่พยายามจะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากทักษะมิติกักขังแต่รวบรวมกำลังและรอโอกาสที่จะโจมตีกลับแทน เมื่อผลของทักษะมิติกักขังสิ้นสุดลง เธอจะสวนกลับครั้งที่ 2 ด้วยพลังมหาศาลแน่นอน

แต่เธอก็คาดไม่ถึงว่าโจวเหว่ยชิงจะปลดปล่อยบางสิ่งที่ทำให้เธอต้องตกตะลึงออกมา นั่นก็คือชุดศาสตรามณียุทธ์ของเขาเอง!

นี่ถือเป็นครั้งแรกของหมิงฮัวที่ได้เห็นศาสตรามณียุทธ์ชิ้นหนึ่งเปล่งประกายสีทองออกมาได้เข้มข้นจนเกือบจะกลายเป็นสีดำสนิทขนาดนี้ โดยปกติแล้วสีและประกายแสงของศาสตรามณียุทธ์จะเหมือนกับมณียุทธ์ที่สร้างพวกมันขึ้นมา แต่ทว่าก็มีข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียว…นั่นก็คือชุดศาสตรามณียุทธ์ ตัวอย่างเช่นชุดศาสตรามณียุทธ์ปัจจุบันของเธอ พวกมันทั้งหมดเป็นสีเขียว ไม่ใช่สีเหลืองอำพันเช่นมณียุทธ์ของเธอ

ยิ่งไปกว่านั้น หมิงฮัวยังรู้ด้วยว่ายิ่งสีของศาสตรามณียุทธ์แตกต่างจากสีดั้งเดิมของมณียุทธ์มากเท่าไหร่ ชุดศาสตรามณียุทธ์ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น!

หยกน้ำแข็งของโจวเหว่ยชิงเป็นสีเหลือบกันระหว่างสีโปร่งใสและสีขาวบริสุทธิ์ ปกคลุมทับด้วยชั้นหมอกสีขาว กระนั้นศาสตรามณียุทธ์ชิ้นนี้กลับมีสีทองเข้มจนเกือบจะเห็นเป็นสีดำสนิท ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอตกใจมาก อีกเหตุผลก็คือเมื่อเขาเรียกศาสตรามณียุทธ์ชิ้นนี้ออกมา ร่างกายของเขาก็เปล่งประกายเจิดจ้าด้วยม่านพลังสีสีดำเหลือบทองแบบที่เธอไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

ในแง่ของความรู้ นอกเหนือจากเรื่องบัญชาการทหารแล้ว หมิงฮัวอาจจะรู้มากกว่าหมิงหยูพี่ชายของเธอด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของจ้าวมณีสวรรค์ อีกทั้งเธอก็ยังมีความสนใจเกี่ยวกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มาก แม้ว่าเธอจะไม่ใช่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีทักษะธาตุมิติ แต่ด้วยทักษะธาตุชีวิตของเธอ เธอก็สามารถช่วยเหลืออาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนอื่นๆ สร้างม้วนคัมภีร์ได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงรู้จักอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์ที่โดดเด่นหลายคน หรือแม้แต่คนที่อยู่ในระดับสูงกว่า ดังนั้นเธอจึงระลึกถึงม่านพลังสีสีดำเหลือบทองที่เปล่งประกายรอบตัวโจวเหว่ยชิงได้อย่างง่ายดาย…บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เธอเคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นก็คือ ‘ม่านพลังระดับเทพเจ้า’

ม่านพลังแบบนี้…จะปรากฏให้เห็นเฉพาะกับศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงสุดเท่านั้น…ไม่ว่าจะเป็นทั้งชุดหรือชิ้นเดียว

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขเดียวก็คือม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นั้นจะต้องถูกสร้างโดยอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า! ม่านพลังเทพเจ้าสามารถอยู่ได้เพียงวินาทีเดียว แต่ในช่วงวินาทีนี้จะให้การป้องกันมากกว่า 10 เท่าของพลังป้องกันสูงสุดที่ผู้ใช้มี นั่นหมายความว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะโจมตีอีกฝ่ายสำเร็จ!

ในวันนี้โจวเหว่ยชิงได้สร้างความประหลาดใจให้กับหมิงฮัวเป็นอย่างมาก อย่างไรเธอก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นถึงผู้ที่ไม่มีใครในระดับเดียวกันสามารถเอาชนะได้! ถึงกระนั้น…วันนี้เมื่อเผชิญหน้ากับโจวเหว่ยชิงซึ่งเป็นจ้าวมณีระดับ 3 ดวง หากเทียบกับระดับ 4 ดวงของเธอแล้ว เธอก็ถึงกับถูกบีบบังคับให้ต้องเรียกใช้ชุดศาสตรามณียุทธ์เพื่อเอาชนะเขา ตอนนี้เมื่อเห็นชิ้นส่วนชุดศาสตรามณียุทธ์ที่โจวเหว่ยชิงปลดปล่อยออกมา เธอก็พลันรู้สึกว่ามันจะต้องเป็นของที่มีคุณภาพสูงกว่าชุดศาสตรามณียุทธ์ของเธอแน่นอน!

หมิงฮัวตระหนักได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งการตัดสินของเธอก็แม่นยำมาก สิ่งที่โจวเหว่ยชิงปลดปล่อยออกมาคือศาสตรามณียุทธ์ในตำนานเพียงชิ้นเดียวที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อส่งต่อมาให้กับเขา มันเป็นม้วนคัมภีร์เพียงใบเดียวและเป็นชิ้นส่วนแรกของชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานของเขา โจวเหว่ยชิงใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติเฉพาะของร่างกายเพื่อหลอมรวมเข้ากับมันได้สำเร็จ ม่านพลังสีดำเหลือบทองนั้นเป็นคือม่านพลังระดับเทพเจ้า เกราะป้องกันเทพเจ้า

ชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานนี้มีพลังมากเกินไป แม้ว่าผู้สร้างคัมภีร์ม้วนนี้จะไม่ใช่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า แต่ผู้ที่ออกแบบชุดทั้งหมดก็ยังเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ศาสตรามณียุทธ์ชิ้นนี้จึงยังมีเกราะป้องกันเทพเจ้าห่อหุ้มเอาไว้อยู่

ม่านพลังสีดำเหลือบทองที่เข้มข้นกำลังเปล่งประกายและรวมตัวกันอยู่รอบๆ ข้อมือของโจวเหว่ยชิง แสงพวกนั้นเกาะกลุ่มกันจนหนาขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงเคยลองปลดปล่อยศาสตรามณียุทธ์ชิ้นนี้ออกมาเพื่อตรวจสอบดู แต่เขาก็ไม่เคยใช้มันในการต่อสู้จริงมาก่อน

ในชั่วพริบตาต่อมาม่านพลังสีดำเหลือบทองก็หายไปและค้อนยักษ์คู่หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นในมือของโจวเหว่ยชิง ด้ามค้อนยาวประมาณ 2 ฉื่อ มันยาวเกือบเท่าแขนของทารก ปลายค้อนมีลักษณะโค้งแหลม บนด้ามจับมีลายเส้นสีทองเข้มเลื้อยตวัดไปมาในรูปแบบแปลกประหลาดพร้อมกับแสงเจิดจ้าเป็นประกาย หัวค้อนทั้งสองอันมีขนาดค่อนข้างใหญ่ จากต้นจรดปลายยาวเกือบ 2 ฉื่อ แน่นอนว่ามันมีขนาดใหญ่เกินจริงมาก พื้นผิวของมันไม่ได้กลมกลึงและเนียนเรียบไปทั้งหมด มีเขาแหลมที่งอกขึ้นมาหลายจุดคล้ายกับเขาปีศาจและทั้งหมดก็เป็นสีดำเหลือบทอง สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือมีภาพประหลาดบนหน้าค้อนแต่ละอัน มันเป็นรูปใบหน้าของชายคนหนึ่ง และยิ่งแปลกประหลาดไปกว่านั้นเมื่อค้อนอันหนึ่งแสดงสีหน้าหัวเราะ ส่วนอีกอันเป็นหน้าร้องไห้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประกายแสงของมันเจิดจ้าเกินไป หากไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดก็อาจจะพลาดความแตกต่างบนหัวค้อนแต่ละอันไปได้ง่ายๆ

ค้อนคู่ที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้จะต้องใช้คนที่มีร่างกายขนาดใหญ่โตเช่นโจวเหว่ยชิงถือเท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจจะดูตลกมากเมื่อพวกเขาต้องควงค้อนพวกนั้นในมือ  ทว่าถึงแม้จะเป็นโจวเหว่ยชิง ค้อนพวกนั้นก็ยังดูเหมือนจะใหญ่เกินไปอยู่ดี ค้อนยักษ์เหล่านี้ดูน่ากลัวมากจริงๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีเพียงจ้าวมณีสวรรค์ที่ครอบครองมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถใช้งานศาสตรามณียุทธ์ดังกล่าวได้

เดิมทีโจวเหว่ยชิงค่อนข้างหดหู่เมื่อเขาทำการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ค้อนคู่ชิ้นนี้เสร็จ แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาคาดหวังอยากจะหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ที่ทำหน้าที่คล้ายกับเกราะป้องกันมากกว่า…เพราะถึงอย่างไร ปลอดภัยไว้ก่อนก็เป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของเขาเสมออยู่แล้ว ทว่าหลังจากเขากรุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เขาก็ต้องรู้สึกยินดีอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เหตุผลนั้นง่ายมาก ด้วยหัวค้อนขนาดใหญ่เช่นนี้ เขาก็สามารถใช้พวกมันเป็นโล่ขนาดเล็กได้เช่นกัน! ยิ่งไปกว่านั้น เขายังชอบรูปลักษณ์ที่ดูยิ่งใหญ่ของตนเองขณะที่ถือค้อนคู่นี้ในมือด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาพอใจมากที่สุดคือพลังและความสามารถของมัน

บนม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานนี้มีข้อความเขียนกำกับไว้ประโยคเดียวว่า…“ความดีและความชั่วร้าย ภาพลวงตาและภาพจริง ค้อนคู่เทพเจ้าในตำนาน…”

ขณะที่มองไปยังค้อนคู่ที่น่าหวั่นพรึงในมือของโจวเหว่ยชิง หมิงฮัวก็ไม่กล้าปล่อยให้ความตกใจทำให้เธอเคลื่อน ไหวช้าลง ทันใดนั้นเธอก็ใช้เดือยแหลมในมือกระแทกใส่กำแพงมิติที่กักขังเธอไว้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ามิติกักขังเริ่มสั่นคลอนทันทีเนื่องจากการโจมตีของเธอค่อยๆ เร่งความเร็วในการพังทลายของมัน

ทว่าเมื่อเธอทำเช่นนั้น เขากลับไม่มีท่าทีกังวลเลยสักนิด โจวเหว่ยชิงไม่ได้บุกโจมตีแต่อย่างใด เขาทำเพียงยกค้อนคู่ขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ และน่ารังเกียจ

นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้เห็นค้อนคู่เทพเจ้าในตำนาน ความรู้และความเข้าใจของเธอไม่กว้างขวางเท่า หมิงฮัว เธอจึงไม่สามารถตระหนักได้ถึงพลังที่แท้จริงของค้อนคู่นั้น ทว่าเธอก็ยังประทับใจในรูปลักษณ์ของมันมาก

ดวงตาของหมิงฮัวหรี่ลงและมีแสงเยียบเย็นผุดขึ้นมาในดวงตาของเธอ “นั่นคืออาวุธจากม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า? บอกได้ไหมว่ามีกี่ชิ้น?”

โจวเหว่ยชิงยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “บอกเจ้าไปก็คงไม่เป็นไรหรอก ข้ามีเพียงชิ้นเดียว ตอนนี้เจ้ากลัวรึยัง?”

หมิงฮัวสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย…ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าทุกชิ้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นพลังที่ท้าทายกฏสวรรค์ โชคดีที่มันไม่ใช่ชุดศาสตรามณียุทธ์ ถ้าใช่ ใครจะรู้ว่าในอนาคตคนๆ นี้จะมีพลังมหาศาลแค่ไหน

ในตอนนี้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมพี่ชายของเธออย่างสุดซึ้ง เธอคิดมาตลอดว่าพรสวรรค์ของเธอไม่ได้ต่ำไปกว่าเขา แต่ดูเหมือนว่าในแง่ของการมองคนและมองการณ์ไกล เธอไม่อาจเปรียบเทียบกับหมิงหยูได้เลย เจ้าคนอันธพาลตรงหน้าเธอไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

“ไม่มีคำว่า ‘กลัว’ ในสมองของข้า! แม้แต่พลังของศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ส่วนเจ้านะรึ?  หึๆ” หมิงฮัวหายใจเข้าลึกขณะที่เธอพูด เธอถือเดือยแหลมในมือไว้ที่ระดับหน้าอก จากนั้นแสงสีเขียวสดใสก็เปล่งประกายออกมา ม่านพลังรวมตัวกันรอบข้อมือซ้ายขณะที่ดอกไม้สีแดงสดดอกหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเธอ

ดอกไม้สีแดงนี้ดูบริสุทธิ์และสวยงามมาก หยดน้ำค้างกำลังหมุนวนอยู่บนกลีบดอก ทำให้รู้สึกราวกับว่าดอกไม้ดอกนี้กำลังมีชีวิตอยู่ในมือของเธอ

“นั่นคืออะไร?” โจวเหว่ยชิงจ้องมองด้วยดวงตาฉายแววประหลาดใจและสับสน เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ด้วยประสาทสัมผัสอันทรงพลังของโจวเหว่ยชิง เขารับรู้ได้ถึงอันตรายชนิดหนึ่ง ราวกับว่าดอกไม้สีแดงในมือของหมิงฮัวนั้นอันตรายยิ่งกว่าตัวเธอเสียอีก

หมิงฮัวพูดอย่างเฉยชา “มณีธาตุชีวิตไม่สามารถกักเก็บทักษะประเภทโจมตีได้ หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ ทักษะของมณีธาตุชีวิตไร้ประโยชน์ในการต่อสู้โดยตรง อย่างไรก็ตาม โลกใบนี้ก็ยุติธรรมเสมอ พวกเราจ้าวมณีสวรรค์ธาตุชีวิตแต่ละคน เมื่อมณีสวรรค์ของเราถูกปลุกขึ้น พวกเราจะได้รับพืชประจำตัวที่จะคอยปกป้องพวกเรา นี่คือพืชประจำตัวของข้า ชื่อของมันก็เหมือนกับของข้า…หมิงฮัว…ดอกไม้แห่งยมโลก นี่เป็นเรื่องที่ข้าคาดไม่ถึงอย่างแท้จริง…เจ้าเป็นเพียงเจ้ามณีระดับ 3 ดวง แต่กลับสามารถบังคับให้ข้าควักไม้ตายที่ซ่อนอยู่ออกมาใช้ได้อย่างน่าประทับใจ ข้าไม่เคยแพ้คู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังเท่ากันมาก่อน…นับประสาอะไรกับคนที่มีระดับพลังปราณต่ำกว่าข้า! วันนี้ข้าก็จะไม่แพ้เช่นกัน!”

……………………………

หมิงฮัวเดินนวยนาดเข้าหาโจวเหว่ยชิงอย่างยั่วเย้า ขณะที่เธออยู่ห่างจากเขาประมาณ 5 หลา โจวเหว่ยชิงก็พึมพำออกมาว่า “35…ไม่…36… 35.5! น่าจะใช่แล้วล่ะ! อยู่ระหว่างคัพ D กับ E แน่นอน! ช่างน่าประทับใจจริงๆ!”

รอยยิ้มเย้ายวนบนใบหน้าของหมิงฮัวหยุดชะงักลงทันทีเมื่อเธอตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าโจวเหว่ยชิงกำลังสื่อถึงสิ่งใด ไม่นานแสงเยียบเย็นผุดขึ้นมาในดวงตาของเธอ ชั่วพริบตาหญิงสาวที่งดงามยั่วยวนก็กลายเป็นนักฆ่าเย็นชาที่แผ่จิตสังหารออกมา กลิ่นอายเย็นยะเยือกของเธอค่อยๆ เคลือบคลานเข้าใกล้ร่างกายของอีกฝ่าย จากนั้นมือขวาก็หายวับเข้าไปใกล้ลำคอของโจวเหว่ยชิงโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า

การตอบสนองของโจวเหว่ยชิงไม่เพียงแต่รวดเร็ว แต่ยังตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพอย่างมาก มือทั้งสองข้างของเขาพุ่งออกไปข้างหน้าคล้ายกรงเล็บ ขยับจ้วงแทงไปข้างหน้าอย่างโหดเหี้ยม

อย่างที่รู้กันว่าโจวเหว่ยชิงนั้นสูง 1.9 เมตรในขณะที่หมิงฮ่าวสูงเพียง 1.7 เมตร เขาจึงได้เปรียบในเรื่องความสูงและระยะเอื้อมแขน ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่มือของหมิงฮัวกำลังจะถึงร่างของเขา มือของเขาก็ถึงตัวเธอก่อนแล้ว…และทันได้สัมผัสกับ…35.5…

ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายเริ่มการต่อสู้ โจวเหว่ยชิงก็เปิดใช้ทักษะปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่เขาได้เรียนรู้จากมู่เอิน นั่นก็คือ     “กรงเล็บมังกรคว้าเต้านม”

“ไร้ยางอาย!” ใบหน้าของหมิงฮัวเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดทันที แม้ว่าเธอจะใช้เสน่ห์หลอกล่อและยั่วยวนเขา แต่จริงๆแล้วเธอก็ยังเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์อยู่ และเมื่อสิ่งที่เรียกว่าศิลปะการยั่วยวนของเธอปะทะเข้ากับวิถีอันธพาลของโจวเหว่ยชิง เธอก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเขาไปโดยปริยาย

ทว่าปฏิกิริยาของหมิงฮัวก็รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเช่นกัน ร่างของเธอบิดตัวหนีเหมือนปลาไหลลื่นๆ และไถลตัวผ่านเข้าช่องแคบตรงกลางระหว่างแขนทั้งสองข้างของโจวเหว่ยชิงไปได้อย่างเฉียดฉิว เพียงนิดเดียวก็เกือบจะโดนมือของเขาตะปบเข้าแล้ว

เธอพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วดุจสายฟ้า มือยังพุ่งเป้าไปยังคอหอยของเขาดังเดิม ทว่าจู่ๆ การแสดงออกบนใบหน้าของหมิงฮัวก็ต้องเปลี่ยนไป มือของเธอซึ่งกำลังจ่ออยู่ตรงลำคอของโจวเหว่ยชิงพลันถูกเขาฟาดทิ้ง ร่างกายของหมิงฮัวกระเด็นขึ้นไปกลางอากาศด้วยพร้อมกับเสียงระเบิดเบาๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อหมิงฮัวลื่นหลุดออกจากแขนของเขา ขาขวาของโจวเหว่ยชิงก็พลันขยับยกขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง ในขณะเดียวกันเขาก็เอนตัวไปข้างหลัง ถ้าหมิงฮ่าวรั้นโจมตีต่อ หน้าท้องของเธอจะต้องปะทะกับเข่าของโจวเหว่ยชิงทันที เนื่องจากหน้าท้องเป็นจุดที่บอบบางจุดหนึ่งในร่างกายมนุษย์ การถูกกระแทกด้วยเข่าจึงไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดว่าคุ้มค่าจะแลก อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาตอบสนองและความยืดหยุ่นของหมิงฮัวก็ยังรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ในช่วงเวลาสั้นๆ เธอก็สามารถพลิกแพลงรูปแบบการโจมตีของเธอได้อีกครั้ง ขณะที่พุ่งขึ้นไปบนอากาศ เข่าของเธอก็ยกขึ้นเล็งไปทางศีรษะของโจวเหว่ย ชิง

นี่เป็นหนึ่งในจุดแข็งของจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณียุทธ์เพิ่มความยืดหยุ่น ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายพวกเขาสามารถใช้เป็นอาวุธได้ทั้งหมด ดังนั้นมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งบริสุทธิ์ของโจวเหว่ยชิงจึงไม่อาจเทียบหมิงฮัวได้ในแง่ของความคล่องตัวและความยืดหยุ่น อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งร่างกายของโจวเหว่ยชิงก็ไม่ใช่สิ่งที่จ้าวมณีสวรรค์ทั่วไปจะเทียบได้ เมื่อถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงก็คิดว่าเขาไม่น่าจะหลบเข่าของหมิงฮัวพ้น ดังนั้นเขาจึงยิ้มกว้างและไม่แม้แต่จะพยายามหลบ ในทางกลับกัน เขาฟาดศีรษะไปด้านหน้าเหมือนใช้ค้อนตอกตะปู ทุบหน้าผากตนเองเข้ากับหัวเข่าของหมิงฮ่าวตรงๆ

เสียง *ตูม* ดังออกมาอีกครั้งขณะที่ร่างของพวกเขาปะทะกัน หมิงฮัวพลิกตัวตีลังกากลางอากาศ ขาขวาของเธอพลันร่อนลงบนหลังของโจวเหว่ยชิง จากนั้นเธอก็ใช้มันเป็นฐานเหยียบส่งตัวเองไปข้างหน้า ทำให้ช่องว่างระหว่างพวกเขากว้างขึ้นหลายสิบหลา

เมื่อถูกกระแทกที่ด้านหลัง โจวเหว่ยชิงก็สะดุดไป 2-3 ก้าวก่อนที่จะกลับมายืนตรงได้ดังเดิม เขายิ้มกว้างพลางขยับศีรษะยืดกล้ามเนื้อคอ “สาวสวย เจ้ากำลังนวดให้พี่ชายอยู่หรือ?”

ก่อนหน้านี้เท้าของหมิงฮัวได้กระแทกเข้าที่จุดตายประตูชีวิตบนแผ่นหลังของเขา อาจกล่าวได้ว่าเป็นการโจมตีที่แม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ เธอเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรกพร้อมด้วยมณี 4 ชุด แม้ว่ามณีประจำกายของเธอจะเป็นประเภทเพิ่มความยืดหยุ่น แต่ความแข็งแกร่งของเธอก็ยังเหนือกว่าปกติมาก ตามที่เธอคาดการณ์เอาไว้ แรงเตะเมื่อสักครู่น่าจะทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกชาไปทั้งตัวหรืออาจเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เธอเตะลงไปก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังเตะแผ่นโลหะหนักๆ แผ่นหนึ่งอยู่ พลังปราณสวรรค์ของเธอที่ปลดปล่อยออกมาพร้อมกับลูกเตะนั้นก็ดูเหมือนจะสลายหายไปด้วย นอกจากนี้หัวเข่าอีกข้างของเธอก็ยังได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกเข้ากับหน้าผากของโจวเหว่ยชิง รอยช้ำที่ปวดแสบปวดร้อนนี้ต้องส่งผลต่อประสิทธิภาพการต่อสู้ของเธอภายหลังแน่ แม้ในการปะทะกันครั้งนี้จะดูเหมือนว่าเธอได้เปรียบเขา แต่เธอก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย

ในขณะนี้หัวเข่าที่เพิ่งกระแทกกับโจวเหว่ยชิงยังคงรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง แน่นอนว่านั่นขัดขวางไม่ให้เธอใช้พลังได้อย่างเต็มที่ กระนั้นฝั่งโจวเหว่ยชิงก็ยังดูเหมือนสบายดีและยังมีแรงกลั่นแกล้งเธอต่อได้อีกนาน

“ไม่เลว ไม่เลวจริงๆ ไม่แปลกใจที่พี่ใหญ่ของข้าชื่นชมเจ้ามาก” หมิงฮัวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

โจวเหว่ยชิงมองเธอด้วยความหวาดกลัว “ชื่นชมข้า? โอ้ อย่าเลย! ข้าไม่ชอบผู้ชายและข้าก็รักปิงเอ๋อร์ของข้าเพียงผู้เดียว!”

“เจ้า…” หมิงฮัวโกรธเขามากจนใบหน้าของเธอแทบจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว เธอยกมือข้างซ้ายขึ้น แสงสีเขียวสว่างวาบและสาดแสงไปยังบริเวณเหนือหัวเข่าของเธอ ทันใดนั้นขาขวาของเธอก็พลันกลับคืนสู่สภาพเดิมราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บใดๆ มาก่อน

เมื่อเห็นเช่นนั้น ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็ตื่นตกใจ ม่านตาดำของพวกเขาหดแคบด้วยความตะลึงพรึงเพริด จากนั้นก็ตะโกนออกมาเกือบจะพร้อมกัน “มณีธาตุชีวิต!”

เดิมทีโจวเหว่ยชิงคิดว่าทักษะธาตุของหมิงฮัวจะเหมือนกับพี่ชายของเธอ นั่นก็คือธาตุแสง อย่างไรก็ตามตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเขาคิดผิด ทักษะธาตุที่หมิงฮัวมีเป็น 1 ใน 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ ในความเป็นจริงแล้วมันคือสิ่งที่หายากที่สุดในบรรดา 4 ทักษะธาตุทั้งหมด นั่นก็คือธาตุชีวิตนั่นเอง เป็นที่ทราบกันดีว่าจ้าวมณีธาตุชีวิตทุกคนเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าที่ขุมอำนาจต่างๆ พยายามช่วงชิงมาไว้เป็นของตน ในสนามรบ การมีจ้าวมณีธาตุชีวิตจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับคน ในกลุ่มได้มากยิ่งขึ้น

ขณะที่โจวเหว่ยชิงเพิ่งร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ หมิงฮัวก็ขยับตัวอีกครั้งแล้ว คราวนี้เธอเคลื่อนที่เร็วกว่าการโจมตีครั้งก่อนหน้ามาก หมิงฮัวยกมือขวาขึ้นมา เดือยแหลมพลันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเธอ ไม่เพียงแค่นั้น หยกอำพัน 4 ดวงรอบข้อมือขวาของเธอก็ยังสว่างเจิดจ้าขึ้นด้วย! ท่ามกลางประกายแสงที่หมุนวนเป็นเกลียว แขนขวาของเธอก็เปล่งประกายแสงสีเขียวอ่อนออกมา ทั่วทั้งแขนมีชั้นเกราะแสงที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายคล้ายเถาไม้เลื้อย ดูเหมือนมันจะผสานและเชื่อมต่อเข้ากับเดือยแหลมยาว 3 ฉื่อในมือของเธอ ในเวลาเดียวกันนั้น เกราะหุ้มหน้าอก เกราะไหล่ เข็มขัดเกราะ เกราะหุ้มขาขวา และเกราะหุ้มแขนขวา ก็กำลังแผ่ออกมาครอบคลุมร่างกายของเธอเอาไว้ครบทั้ง 5 ส่วนแล้ว!

ครั้งนี้โจวเหว่ยชิงตกใจมากกว่าเดิม เขาร้องอุทานออกมาว่า “ชุดศาสตรามณียุทธ์!” แน่นอนว่าขณะนี้หมิงฮัวกำลังเรียกใช้ชุดศาสตรามณียุทธ์ของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งชุดน่าจะมีประมาณอย่างน้อย 6 ชิ้น แม้เธอจะมีมณีเพียง 4 ดวง ชุดเกราะพวกนี้ก็ได้ปกป้องร่างกายส่วนใหญ่ของเธอเอาไว้หมดแล้ว อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าภายหลังเธอก็จะสามารถหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ที่เหลืออีก 2 ชิ้นได้สำเร็จแน่นอน! นี่ดีกว่าชุดศาสตรามณียุทธ์ของผู้อาวุโสเฟิงหยูเสียอีก!

หากตรวจสอบอย่างใกล้ชิดก็จะสังเกตเห็นว่ามณีทั้ง 4 ดวงของเธอกลายเป็นเดือยแหลม 1 ชิ้น เกราะหุ้มหน้าอกและเข็มขัดเกราะเชื่อมต่อกันเป็น 1 ชิ้น เกราะหุ้มแขนขวาและเกราะไหล่เชื่อมต่อกันเป็น 1 ชิ้น และสุดท้ายคือเกราะหุ้มขาขวา 1 ชิ้น สิ่งที่ขาดหายไปคือเกราะหุ้มแขนซ้ายและเกราะหุ้มขาซ้าย ถ้ามีหมวกเกราะด้วย ทั้งหมดก็จะรวมเป็นชุดศาสตรามณียุทธ์ 7 ชิ้น!

สำหรับชุดศาสตรามณียุทธ์เช่นนี้ ผู้สร้างจะต้องเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะเป็นอย่างน้อยจึงจะสามารถสร้างม้วนคัมภีร์เหล่านี้ขึ้นมาได้ นอกจากนี้ การสร้างม้วนคัมภีร์ดังกล่าวยังต้องใช้ความพยายามอย่างน้อย 5-10 ปี ชุดศาสตรามณียุทธ์ดังกล่าวประเมินค่ามิได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองเพียงแค่เกราะหุ้มหน้าอกอย่างเดียวก็รู้แล้วว่าสิ่งนี้ได้รับการออกแบบและทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับหมิงฮัวโดยเฉพาะ ‘ตาข่าย’ ขนาดเล็กจำนวนมากที่ติดอยู่บนชุดเกราะทำให้พวกมันสามารถยืดหยุ่นได้และยังไม่ขัดขวางวิถีการต่อสู้แบบยืดหดร่างของเธออีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น บนเกราะหุ้มหน้าอก  เกราะไหล่ และเกราะหุ้มแขนก็ยังสามารถมองเห็นหลุมบรรจุมณีบนอุปกรณ์แต่ละชิ้นเหล่านี้ได้

การได้เห็นชิ้นส่วนศาสตรามณียุทธ์ชั้นสูงเช่นนี้ทำให้โจวเหว่ยชิงตกใจมาก แม้ว่าหมิงฮัวจะยังหลอมรวมชุดศาสตรามณียุทธ์ไม่เสร็จสมบูรณ์ทั้งชุด แต่เพียงแค่ 4 ชิ้น เธอก็สามารถใช้ประโยชน์จากพลังของชุดศาสตรามณียุทธ์ได้บางส่วนแล้ว

ด้วยชุดศาสตรามณียุทธ์ของเธอ หมิงฮัวจึงสามารถเพิ่มความเร็ว ความแข็งแกร่ง และทักษะของร่างกายโดยรวมให้ดีขึ้นได้หลายเท่า หมิงฮัวขยับตัวด้วยความเร็วดุจสายฟ้าและมาปรากฏตัวต่อหน้าโจวเหว่ยชิงทันที เธอหมุนร่างอ่อนนุ่มของตนเป็นเกลียว จากนั้นเดือยแหลมในมือของก็พุ่งไปยังร่างกายซีกขวาของโจวเหว่ยชิง ในขณะเดียวกันก็บิดตัวใช้ขาขวาที่หุ้มเกราะเสือกแทงไปยังร่างกายส่วนล่างของโจวเหว่ยชิงด้วย การโจมตีนี้โหดเหี้ยมและแม่นยำอย่างน่าประทับใจ

เดิมทีระดับพลังปราณของหมิงฮัวก็สูงกว่าโจวเหว่ยชิงอยู่แล้ว ตอนนี้เธอยังสวมชุดศาสตรามณียุทธ์เข้าไปอีก โจวเหว่ยชิงจะรับมือกับการโจมตีจากทุกทิศทางของเธอได้อย่างไร?

แสงสีเงินกริบพริบวูบวาบ โจวเหว่ยชิงถูกบีบบังคับให้ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีของเธอ ในขณะเดียวกันขาขวาของเขาก็พยายามตวัดเข้าหาเธอด้วย

หมิงฮัวแค่นเสียงในลำคอขณะที่เธอพูดว่า “ข้ารู้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับขาขวาของเจ้า” เธอไม่ได้พยายามแลกเปลี่ยนการโจมตีกับโจวเหว่ยชิงโดยตรง แต่ใช้พลังความยืดหยุ่นของตนขยับหลีกหนีไปรอบๆ ตัวเขาเพื่อหาช่องโจมตีอย่างลื่นไหล ราวกับว่าเธอเป็นเค้กข้าวเหนียวที่ติดหนึบอยู่กับเขาจนไม่อาจสลัดออกไปได้ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร ตอนนี้โจวเหว่ยชิงจึงรู้สึกเหลืออดกับเธอมากๆ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เฝ้าดูการต่อสู้อย่างกระวนกระวายในระยะไกลๆ ในมือของเธอยังถือคันธนูที่ฮัวเฟิงมอบให้เอาไว้ให้ ตั้งท่าพร้อมจะช่วยเหลือเขาทุกเมื่อหากสถานการณ์ดูแย่ลง

ด้วยความเร็ว พลัง และทักษะมณียุทธ์ของหมิงฮัวที่เพิ่มขึ้น เดือยแหลมในมือของเธอจึงเป็นภัยคุกคามต่อโจวเหว่ยชิงมาก แม้โจวเหว่ยชิงจะมีเกราะเทพอมตะปกป้องเขาอยู่ แต่เขาก็ไม่กล้าปล่อยให้เดือยแหลมนั้นสัมผัสร่างกายของเขาแน่ๆ

เมื่อถูกบีบบังคับจนเข้าตาจน โจวเหว่ยชิงก็ยกมือซ้ายขึ้นอย่างแน่วแน่ ในขณะที่เขาโบกมือลง เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นเมื่ออากาศถูกฉีกจนแยกออกจากกัน แรงดึงดูดมหาศาลพลันปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยแยกสีดำน่ากลัวที่บ่งบอกถึงทักษะกระชากมิติ  ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงก็ฉวยโอกาสนี้ขยับถอยห่างเพื่อเว้นระยะจากหมิงฮัวทันที

ดวงตาของเธอหรี่ลง จากนั้นม่านตาก็หดแคบเมื่อเธอเห็นสิ่งแปลกประหลาดปรากฏขึ้นต่อหน้าเธออีกครั้ง ทว่าแม้ว่าการโจมตีของเธอจะถูกขัดขวางเอาไว้ เธอก็สามารถตอบโต้กลับด้วยวิธีการที่รวดเร็วและแยบยลกว่าซ่างหลาง ร่างกายของเธอพุ่งลงข้างล่างอย่างรวดเร็ว ศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดเปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้าเพื่อใช้ป้องกันและกระจายแรงดึงดูดส่วนใหญ่จากทักษะกระชากมิติออกไป

ขณะที่ร่างของเธออยู่ต่ำจนแทบจะติดพื้น เธอก็กระโจนเข้าหาโจวเหว่ยชิงอีกครั้งด้วยท่าพุ่งเสยอย่างรวดเร็ว  เดือยแหลมในมือพลันเล็งเป้าไปที่ขาของโจวเหว่ยชิง

ผู้หญิงคนนี้ยากจะรับมือจริงๆ! ความรู้สึกราวกับว่าตนมีพลังแต่ไม่อาจใช้มันได้คล่องมือ ความรู้สึกราวกับแขนขาถูกมัดนี้ทำให้ความโกรธของโจวเหว่ยชิงค่อยๆ ทวีขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่สามารถใช้ทักษะกระชากมิติได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าทักษะนี้จะทรงพลังมาก แต่ก็นั่นก็ต้องเผาผลาญพลังปราณสวรรค์และพลังจิตของเขาไปอย่างมหาศาล นอกจากนี้เมื่อเทียบกับ 3 วินาทีของทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา ทักษะนี้ก็ยังต้องรอถึง 10 วินาทีกว่าจะใช้ได้อีกครั้ง  เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถหลบการโจมตีของหมิงฮัวได้อีก โจวเหว่ยชิงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาของเขาอีกครั้งเนื่องจากมันเพิ่งจะสิ้นสุดเวลาฟื้นตัว ในชั่วพริบตานั้นเขาก็ไปปรากฏตัวที่อีกฝั่งหนึ่งในท่าที่เกือบจะหลบการโจมตีของเธอไม่พ้น

“หึ! ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาหลบหนีไปได้ตลอดหรือไม่!” หมิงฮัวดูเหมือนเป็นวิญญาณตามติดเขา แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะหลบหนีได้อย่างรวดเร็ว แต่ทว่าเธอก็ยังคงโจมตีอย่างว่องไวและต่อเนื่องไม่ยอมหยุดยั้ง ราวกับว่าเธอเป็นงูพิษตัวหนึ่งที่กัดไม่ยอมปล่อยจนกว่าเหยื่อจะขาดใจตาย

………………………

หม่าฉุนตัวยักษ์กำลังจ้องไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยใบหน้าแปลกประหลาด แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำตัวไร้เดียงสาเหมือนปกติอีกก็ตาม สำหรับโข่วรุ่ย เขากำลังมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาเร่าร้อน หลงใหล และชื่นชม จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงเขากระโดดลงจากเตียง

“ลูกพี่ ข้าอยากเป็นลูกน้องของท่าน ให้ข้าติดตามท่านต่อจากนี้ไปด้วยเถิด!” โข่วรุ่ยพูดออกมาอย่างซื่อตรง

โจวเหว่ยชิงมีสีหน้าตกใจ “ทำไมล่ะ? ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพราะความเข้าใจผิดของข้าหรอกหรือไง? ซ่างหลางกำลังปกป้องนักเรียนสามัญชนคนอื่นอยู่จริงๆ ทำไมเจ้าอยากติดตามข้า? แล้วเจ้านั่นเป็นยังไงบ้าง?”

โข่วรุ่ยกล่าวว่า “เขาฟื้นขึ้นมาไม่นานหลังจากที่ท่านจากไป เขาไม่ได้รับบาดเจ็บหนักเท่าไหร่ ตอนที่จากไปเขาก็ไม่พูดอะไร บางทีสิ่งที่รุ่นพี่ที่เหลือพูดก็อาจเป็นความจริง เขาปกป้องนักเรียนสามัญชนมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม สำหรับข้า สิ่งที่ข้าเห็นก็คือเมื่อพวกเราถูกรังแก ท่านเป็นคนเดียวในหอพักที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องเรา ท่านเป็นจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติ ข้าจำทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาได้…นอกจากนี้ยังมีมณี 3 ชุด และศาสตรามณียุทธ์ ยังไงพวกเรานักเรียนสามัญชนก็ถูกกดขี่อยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงเต็มใจที่จะติดตามท่านมากกว่า ข้าเชื่อว่าหากพบกับเหตุการณ์ที่คล้ายกันอีกครั้ง ท่านจะทำ ได้ดีกว่าซ่างหลาง”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะออกมาเต็มเสียงและกล่าวว่า “ดี ในอนาคตข้าจะดูแลเจ้าเอง ข้าชอบคนฉลาดเช่นเจ้า” เมื่อเขาพูดอย่างนั้น เขาก็คว้าผ้าปูที่นอนขึ้นมาจากเตียง “อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าจะไม่อยู่หอพักอีกแล้ว เจอกันในชั้นเรียนพรุ่งนี้”

โข่วรุ่ยชะงัก “ลูกพี่ ท่านจะไปพักข้างนอกหรือ?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าออกไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอกแล้วโข่วรุ่ย อ้อใช่ เจ้าเป็นจ้าวมณียุทธ์หรือจ้าวมณีธาตุ?”

โข่วรุ่ยกล่าวด้วยใบหน้าค่อนข้างเศร้าหมอง “ข้าเป็นจ้าวมณียุทธ์ที่มีมณี 2 ดวง ไม่มีศาสตรามณียุทธ์สักชิ้น คุณสมบัติของข้าคือความคล่องตัวครึ่งหนึ่งและการประสานครึ่งหนึ่ง มณียุทธ์ของข้าเป็นการผสมผสานที่ไร้ประโยชน์ที่สุดเพราะไม่มีความสามารถในการโจมตีสักรูปแบบเลย ไม่เช่นนั้นข้าก็คงสู้กับพวกเขาเช่นกัน

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวกล่าวว่า “ไม่มีพลังหรือความสามารถที่เรียกว่าไร้ประโยชน์หรอก เจ้าเพียงต้องค้นหาเส้นทาง การฝึกที่เหมาะกับเจ้า พวกเราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในอนาคต ส่วนตอนนี้ข้าต้องไปยืนยันที่พักใหม่กับเจ้าของบ้านก่อน ข้าจะคุยกับเรื่องนี้กับเจ้าเมื่อเราพบกันในชั้นเรียน” เมื่อโจวเหว่ยชิงพูดเช่นนั้น เขาก็มุ่งหน้าไปยังประตูทางออกทันที ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีเพื่อนร่วมห้องคนอื่นพูดกับเขาเลยแม้แต่คำเดียว นอกจากหม่าฉุนแล้ว อีก 5 คนต่างก็มองเขาด้วยแววตาหวาดกลัวและลังเลอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อโจวเหว่ยชิงมาถึงทางเข้าหอพักซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รอเขาอยู่แล้ว เมื่อมีใบอนุญาตพวกเขาก็สามารถออกจากโรงเรียนได้อย่างง่ายดาย หลังจากเดินผ่านเส้นทางเล็กๆ หลายนาที ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงบ้านเช่า

ทว่าเมื่อใกล้ถึงทางเข้า พวกเขาก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันแว่วออกมา

“ไม่ ข้าขอโทษนะแม่นาง นั่นเป็นไปไม่ได้ ข้ารับเงินมัดจำจากคนอื่นมาแล้ว ถึงท่านจะจ่ายมากกว่า ข้าก็ผิดสัญญาไม่ได้ ต้องขออภัยด้วย”

อีกเสียงหนึ่งดังลอดออกมา “ท่านลุงเจ้าของบ้าน ดูข้าสิ เด็กผู้หญิงตัวคนเดียว ท่านจะทนดูข้าเดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนคนเดียวได้หรือ? อย่างมาก…ก็แค่ให้ข้าจ่ายสองเท่าของราคาที่ท่านเสนอ” น้ำเสียงนั้นฟังดูนุ่มนวลและเย้ายวน แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความเยือกเย็นภายใน ช่างเป็นน้ำเสียงที่มีเอกลักษณ์และน่าสนใจอย่างยิ่ง

“เฮ้อ….”

“สองเท่าก็ไม่ได้! เจ้าไม่เข้าใจหรือว่ามาก่อนได้ก่อน?” โจวเหว่ยชิงเอ่ยออกมาขณะที่ผลักประตูเปิดเข้าไปข้างใน

เจ้าของบ้านเป็นชายวัยกลางคนอายุเกือบ 50 ปี ใบหน้าของเขาดูอึดอัดลำบากใจ แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่เขากำลังเผชิญอยู่ ณ ขณะนี้ ส่วนด้านหน้าของเขาก็มีหญิงสาวชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่

เมื่อมองไปที่คู่กรณี โจวเหว่ยชิงก็พลันคิดกับตัวเองว่า ไม่ใช่น้องสาวของหมิงหยูหรอกเหรอ? ทำไมเธอถึงไม่อยู่บ้านตัวเอง กลับวิ่งโร่มาเช่าบ้านที่นี่?

แท้จริงแล้วผู้ที่กำลังต่อรองกับเจ้าของบ้านอยู่คือหมิงฮัวนั่นเอง

เมื่อหมิงฮัวเห็นโจวเหว่ยชิง เธอเองก็ตกใจเช่นกัน ทว่าเมื่อมองไปยังซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา ริมฝีปากของเธอก็โค้งขึ้นด้วยความสนุก

โจวเหว่ยชิงมองดูเรือนร่างที่ยั่วยวนด้วยเสน่ห์ของหญิงสาววัยสะพรั่งอย่างหมิงฮ่าว เธอดูมีน้ำมีนวล อวบอิ่มราวกับลูกท้อสุกงอม เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ บัดซบ! ช่างร้อนแรงจริงๆ!

หมิงฮัวน่าจะอายุประมาณ 20 ปีหรือมากกว่านั้น เมื่อเทียบกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว ความงามของเธอเป็นเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ที่เปิดเผยมากกว่า ตรงกันข้ามกับความงามที่อ่อนหวานและสง่างามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์

“เจ้าคือคนที่ต้องการเช่าบ้านนี้หรือ?” ดวงตาของหมิงฮ่าวเปล่งประกายอย่างเย้ายวน เธอยิ้มจางๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “ปล่อยบ้านเช่าหลังนี้ให้ข้าได้หรือไม่ ได้โปรดเถิด?”

โจวเหว่ยชิงที่กำลังเหม่อลอยไปกับเรือนร่างอันทรงเสน่ห์ของเธอเกือบจะเผลออ้าปากรับคำไปแล้ว แต่ทว่าจู่ๆ เขาก็ต้องรู้สึกเจ็บที่บั้นเอวเมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยิกเขาจนเนื้อเขียว “ไม่ พวกเราเป็นคนเช่าบ้านหลังนี้ก่อน อ้วนน้อย จ่ายค่าเช่า” หายากจริงๆ ที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเด็ดเดี่ยวและมั่นคงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าความงามของหมิงฮัวทำให้เธอรู้สึกถึงอันตราย

หมิงฮัวยิ้มจางๆ มองไปยังโจวเหว่ยชิงที่กำลังยืนกลืนน้ำหลายอยู่ข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และพูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนมากขึ้น “ท่านจะไม่เสียสละให้ข้าจริงๆ หรือ?” ขณะเธอพูดเช่นนั้น เธอก็คิดในใจว่า ท่านพี่บอกว่าเจ้าเด็กนี่อันตราย แต่แม้เขาจะมีความสามารถ ดูจากนิสัยแล้วก็ยังไม่น่าจะอันตรายถึงขั้นนั้น

“ไม่มีทาง ถ้าภรรยาของข้าบอกว่าไม่ แน่นอนว่าคำตอบก็คือไม่” ขณะที่หมิงฮ่าวกำลังดูถูกเหยียดหยามโจวเหว่ยชิงในใจ คนพาลที่ดูหื่นกระหายก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นสุภาพบุรุษอีกคนในทันที ยิ่งไปกว่านั้นเขายังพูดจาอย่างสุภาพ ความเร็วในการเปลี่ยนสีหน้าของโจวเหว่ยชิงถือว่าน่าประทับใจจริงๆ

หมิงฮ่าวตกตะลึงไปเล็กน้อยแม้ว่าการแสดงออกบนใบหน้าของเธอจะไม่เปลี่ยนแปลงก็ตาม แน่นอนว่าเธอไม่ได้ถูกเรียกว่าดอกไม้แห่งยมโลกอย่างไร้เหตุผล “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้าไม่ยอมจากไป?”

“เอ่อ…” โจวเหว่ยชิงหันหน้าไปมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยสีหน้าหนักใจ แม้ว่าเขาจะชอบสาวงาม แต่ซ่างกวนปิง เอ๋อร์ก็ยังเป็นที่หนึ่งในใจเสมอ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาสามารถเปลี่ยนสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปที่การแสดงออกของหมิงฮ่าวที่ดู ‘ไม่ทุกข์ร้อน’ ใดๆ เขาก็รู้สึกหนักใจมากว่าจะทำเช่นไรดี

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทนมองสีหน้าเย้ายวนของหมิงฮ่าวไม่ไหวอีกต่อไป เธอกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “แม่นาง โปรดควบคุมตัวเองและคิดถึงชื่อเสียงของท่านให้มาก หากท่านไม่เต็มใจจะจากไป พวกเราก็คงจะต้องบังคับให้ท่านจากไปด้วยกำลัง” เมื่อเธอพูดจบ เธอก็ยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นแสงสีเขียวเรืองรองของหยกหินมังกรทั้ง 3 ดวงก็พลันปรากฏขึ้นรอบข้อมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ดวงตาของหมิงฮัวเผยความประหลาดใจออกมา จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 3 ดวงอีกคนงั้นรึ? ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ! ระดับพลังของนักเรียนสามัญชนประจำปีนี้น่าประทับใจมาก แม้แต่โรงเรียนเจ้ามณีสวรรค์เฟยหลี่ก็อาจไม่มีนักเรียนใหม่ที่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ผู้ครองครองมณี 3 ดวงด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปลดปล่อยมณียุทธ์ของเธอออกมา ใบหน้าของเจ้าของบ้านก็ซีดเซียวลงทันที มณีสีขาวบริสุทธิ์เช่นนี้หมายความว่าเธอเป็นจ้าวมณีสวรรค์อย่างแน่นอน! ให้ตายยังไงเขาก็ไม่กล้าขัดใจจ้าวมณีสวรรค์! ด้วยเหตุนี้ความลังเลครั้งสุดท้ายของเขาจึงหายไปเป็นปลิดทิ้ง ทว่าในขณะที่เขากำลังจะเปิดปากขอให้หมิงฮัวออกไป เธอก็ยกมือขวาขึ้นมาขัดก่อน วินาทีนั้นเอง รอบข้อมือของเธอก็เกิดลำแสงสว่างวาบขึ้น หยกอำพันสีขาวขุ่น 4 ดวงพลันปรากฏกาย แสดงตัวเป็นมณียุทธ์ประเภทความยืดหยุ่น

คราวนี้โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็ต้องตกตะลึงจนอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “จ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรก?!”

ใบหน้างดงามของหมิงฮ่าวแดงระเรื่อด้วยความลำบากใจ ทำให้ใครก็ตามที่มองรู้สึกอยากจะปกป้องเธอ “ข้าก็ต้องช่วยตัวเองบ้าง ไม่ได้หรือ?”

“ช่วยตัวเอง… ” โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าเส้นเลือดในสมองกำลังปั่นป่วนจนเกือบจะทำให้เลือดพุ่งออกมาทางจมูก เขาจ้องมองหมิงฮ่าวด้วยสีหน้าลามกแปลกๆ

หมิงฮัวหน้าแดงก่ำ แต่ทว่าคราวนี้มันเป็นของจริง เธอจะไม่เข้าใจสิ่งที่โจวเหว่ยชิงพูดถึงได้อย่างไร “ฮึ่ม เจ้าอายุแค่ 16 ปี เป็นเด็กอยู่แท้ๆ แต่สิ่งที่อยู่ในหัวของเจ้ากลับ…! น่าเสียดายจริงๆ ที่สาวงามคนนี้ต้องอยู่กับเจ้า เอาล่ะ ข้าจะไม่เล่นละครกับเจ้าอีกต่อไปแล้ว ข้าต้องได้เช่าบ้านหลังนี้ ถ้าเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะปล่อยบ้านเช่าหลังนี้ให้เจ้า แต่ถ้าเจ้าแพ้ มันก็ตกเป็นของข้า!”

ตอนนี้เจ้าของบ้านได้ถอยออกไปไกลแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์และแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมในการทะเลาะกันครั้งนี้ การปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายแก้ไขปัญหาระหว่างกันเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดกว่าแน่นอน

เมื่อได้ยินคำพูดของหมิงฮัว โจวเหว่ยชิงก็ถามอย่างงงๆ ว่า “ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้าอายุ 16?”

หมิงฮ่าวแค่นเสียงในลำคอและพูดว่า “ข้ารู้ก็หมายความว่าข้ารู้ หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว ถ้าเจ้าอยากจะเช่าบ้านหลังนี้ เจ้าก็ต้องเอาชนะข้าไปให้ได้ก่อน ได้ยินว่าเจ้าต่อสู้เก่งมากมิใช่หรือ? หึ”

โจวเหว่ยชิงจ้องมองเธอด้วยสีหน้าไร้คำพูด “แม่นางคนงาม ท่านเป็นคนไม่มีเหตุมีผลเลยหรือไง?”

หมิงฮัวหัวเราะอย่างมีเสน่ห์ “เจ้าขอให้ผู้หญิงมีเหตุผลหรือ? ฝันไปเถอะ”

ขณะที่เธอพูดเช่นนั้น เธอก็เดินกรีดกรายไปทางโจวเหว่ยชิง เอวบางขอดขยับเคลื่อนไหวโอนเอนไปมาราวกับต้นไม้ลู่ลม ทว่าเปราะบางคล้ายจะแตกหักได้ทุกเมื่อ

โจวเหว่ยชิงมองการขยับตัวอย่างยั่วยวนของเธอจากนั้นก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ อย่างไรก็ตาม ไม่นานเขาก็ยืดอกแสดงท่าทางกล้าหาญ “ดี! สู้ก็สู้! ทำอย่างกับว่าข้ากลัวเจ้า ปิงเอ๋อร์ถอยไปห่างๆ ก่อน”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ครางรับเล็กน้อยและเดินไปหลบอยู่ด้านข้าง แม้เธอจะเตือนโจวเหว่ยชิงก่อนหน้านี้ว่าอย่าสร้างความเดือดร้อน แต่เธอก็รู้ดีว่าหากมีใครสร้างปัญหาให้พวกเขาอย่างไร้เหตุผล พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือจัดการ เธอเป็นคนจิตใจดีคนหนึ่ง แต่อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนไม่รู้ความ ยิ่งไปกว่านั้น จากรูปลักษณ์มณีสวรรค์ของ      หมิงฮัว มีความเป็นไปได้ว่า ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ ทว่าสำหรับโจวเหว่ยชิงนั้นแตกต่างออกไป เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เจ้าอ้วนน้อยของเธอมีพลังมากเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เลื่อนระดับไปถึงมณีสวรรค์ชุดที่ 3 ตอนนี้อาจพูดได้ว่าเธอเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน ด้วยทักษะธาตุทั้ง 6 และขาขวาปีศาจของเขา นั่นทำให้คนในระดับเดียวกันไม่สามารถเอาชนะโจวเหว่ยชิงได้แน่นอน  ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงมั่นใจว่าแม้หมิงฮัวจะมีมณี 4 ชุด เธอก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้

สำหรับหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ สาเหตุที่ปล่อยให้ทั้ง 2 คนออกมาก่อนครึ่งปีเป็นเพราะว่าพวกเขารู้สึกว่าไม่มีอะไรจะสอนทั้งคู่ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะโจวเหว่ยชิง

………………………………

“อ้วนน้อย เจ้าก่อเรื่องเหรอ?” เมื่อโจวเหว่ยชิงกลับไปที่หอพัก เขาก็พบกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่กำลังรีบวิ่งออกมา

ทันทีที่เขาเห็นเธอ ความรู้สึกมืดมนของโจวเหว่ยชิงก็หายไป ใบหน้าของเขากลับมามีรอยยิ้มอีกครั้งเมื่อกล่าวว่า  “แค่กลุ่มคนที่พยายามจะเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากเด็กใหม่ ข้าก็เลยจัดการพวกมันไปแล้ว”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจขณะที่เธอพูดว่า “อ้วนน้อย พวกเรามาอยู่ที่นี่เพื่อเล่าเรียนไม่ใช่สร้างปัญหา”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและโอบเอวเธอเอาไว้ขณะที่เขาพูดว่า “แต่เวลาคนอื่นก่อปัญหา เจ้าจะให้ข้าอยู่เฉยงั้นสิ? ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าควบคุมตัวเองได้ อย่างไรก็เถอะ ดูเหมือนว่าโรงเรียนแห่งนี้จะยุ่งเหยิงมากกว่าที่ข้าคิดไว้มากทีเดียว ข้ากังวลมากว่านั่นจะส่งผลกระทบต่อการเรียนหรือการฝึกปราณของพวกเรา เราควรไปเช่าบ้านข้างนอกดีไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปัดมือของเขาออก “ฝันไปเถอะ ข้ากำลังจะกลับไปที่ห้องแล้ว ข้าอยากทำความรู้จักเพื่อนร่วมห้องให้มากขึ้นกว่านี้หน่อย อ้อ แล้วต้าหวงกับเอ้อหวงล่ะ? เราจะทำยังไงกับพวกมันดี? ถ้าเราอยู่หอพักพวกมันคงจะไม่มีที่อยู่แน่ พวกเราไม่อาจปล่อยให้พวกมันอยู่ในแหวนมิติได้ตลอดหรอกนะ พวกมันคงจะเบื่อตายเลย”

โจวเหว่ยชิงฉีกยิ้มและพูดว่า “หึๆ นั่นคือเหตุผลที่ข้าพูดว่าเราควรไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอกยังไงล่ะ!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลังเลเล็กน้อยและพูดว่า “แต่ตามกฏโรงเรียนแล้วเราไม่ควรออกนอกโรงเรียนไม่ใช่หรือ?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ข้าจัดการเอง มันต้องมีสักทางแหละน่า ให้ข้าตรวจดูก่อน ข้าแน่ใจว่ากฎเหล่านี้มีไว้เพื่อให้พวกเขาหาเงินเท่านั้นแหละ มิฉะนั้นที่นี่คงจะไม่มีการแบ่งแยกระหว่างนักเรียนชนชั้นสูงกับนักเรียนสามัญชนหรอก ถ้ามีเงินก็ซื้อทุกอย่างได้จริงๆ บอกตามตรงว่าบรรยากาศในโรงเรียนไม่เอื้ออำนวยต่อการฝึกปราณเลย หอพักที่นี่วุ่นวายเกินไป ข้าจะลองไปถามไถ่ดูก่อน เมื่อข้าหาหนทางออกไปได้เราจะออกไปหาที่พักข้างนอกกัน…อย่างไรพวกเราก็สามารถนอนแยกห้องกันได้” ในขณะที่เขาพูดเกริ่นเกี่ยวกับการแยกห้อง น้ำเสียงและใบหน้าของเขาแสดงอาการผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงก่ำ และกำลังคิดจะโต้กลับ แต่เมื่อคิดถึงต้าหวงและเอ้อหวงผู้น่ารัก เธอจึงทำได้เพียงแค่ส่ายหัวน้อยๆ อย่างช่วยไม่ได้

เป็นดังที่โจวเหว่ยชิงคาดไว้ เมื่อเขาไปที่จุดรายงานตัวนักเรียนใหม่เพื่อถามเกี่ยวกับการอาศัยอยู่นอกพื้นที่โรงเรียน เขาก็ได้รับคำตอบว่าการอาศัยอยู่ข้างนอกโรงเรียนไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่มีกฎบังคับโดยตรง อย่างไรก็ตาม นักเรียนยังคงต้องจ่ายค่าหอพัก อีกทั้งคนที่จะออกไปอยู่ข้างนอกต้องลงชื่อสมัครและจ่ายเงินสำหรับขอใบอนุญาตออกจากโรงเรียน ราคา 10,000 เหรียญทองสำหรับระยะเวลาหนึ่งปี โจวเหว่ยชิงสาปแช่งโรงเรียนกับจำนวนเงินที่เพิ่งถูกปล้นไปตอนกลางวันแสกๆ แต่ทว่าเขาก็ยังกัดฟันซื้อใบอนุญาตมา 2 ใบ

แน่นอนว่าเขาจะไม่บอกราคากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์เพราะเกรงว่าเธอจะปวดใจกับเงินที่ต้องเสียไป เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซื้อใบอนุญาตพวกนี้ ไม่เพียงแค่สำหรับต้าหวงและเอ้อหวงเท่านั้น แต่ยังเพื่อ ‘ความสุข’ ในอนาคตของตัวเองด้วย นอกจากนี้ ในอนาคตเมื่อเขาสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ เขาก็จำเป็นจะต้องออกไปข้างนอกเพื่อขายพวกมัน แน่นอนว่าในอนาคตเขาจะไม่สร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ขั้นพื้นฐานหรอก สำหรับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นั้น ยิ่งคุณภาพสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งได้กำไรมากเท่านั้น

สาเหตุผลที่ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ขั้นพื้นฐานมีราคาถูกมาก ใช้เพียงไม่กี่หมื่นเหรียญทองก็สามารถซื้อได้ 1,000 แผ่นนั้นเป็นเพราะอัตราความสำเร็จของการหลอมรวมเข้ากับร่างผู้ใช้นั้นต่ำมาก แม้จะมีจำนวน 1,000 แผ่น แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าผู้ใช้จะสามารถหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์สำเร็จได้ ที่สำคัญกว่านั้นคือ กว่าจะลองหลอมรวมม้วนคัมภีร์กว่า 1,000 ใบครบ ทั้งหมดนั่นก็ต้องใช้เวลาเกือบ 3 ปี! หากมีทางเลือกอื่น ใครจะไม่ชอบใช้ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ในระดับที่สูงกว่า ไม่เพียงแต่ทรงพลังมากกว่า แต่ยังมีอัตราความสำเร็จที่สูงกว่าด้วย!

อย่างไรก็ตาม ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางนั้นดีกว่ามาก อย่างแรกคือม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางทั้งกล่องมีเพียง 100 ใบ แต่ละใบมีโอกาสสำเร็จ 3 ใน 1,000 ส่วน ด้วยจำนวนทั้งหมด 100 ใบต่อกล่อง นั่นหมายถึงโดยรวมแล้วโอกาสที่หลอมรวมสำเร็จมีประมาณ 3 ใน 10 ส่วน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือจะใช้เวลาหลอมรวมครบทั้งกล่องสั้นกว่ามากและมีอัตราสำเร็จสูงกว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานประมาณ 1 ใน 10,000 ส่วน ด้วยเหตุนี้ ราคาและกำไรของคัมภีร์ระดับกลางจึงสูงกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอัตราความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของโจวเหว่ยชิง ผลที่ได้จึงยิ่งมากขึ้นทวีคูณ!

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นั้นหายากขึ้นมาก นั่นจึงทำให้ราคาของมันพุ่งสูงขึ้นกว่าที่เคยเป็น ยกตัวอย่างเช่นการนำธนูราชันย์ดั้งเดิมที่มีหลุมบรรจุมณีเดียวของโจวเหว่ยชิงออกมาขาย ตอนนี้ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์แบบนั้นน่าจะขายได้อย่างน้อย 500,000 เหรียญทองในหอประมูล มากกว่าราคาที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อเคยเสนอขายโจวเหว่ยชิงเมื่อหลายปีก่อนถึง 200,000 – 300,000 เหรียญทอง สิ่งนี้ทำให้ชีวิตของจ้าวมณียุทธ์นั้นน่าสังเวชกว่าจ้าวมณีธาตุมากนัก สำหรับจ้าวมณียุทธ์ที่มีมณี 4-5 ดวงนั้น การมีศาสตรามณียุทธ์เพียง 2-3 ชิ้นก็ถือว่าดีมากแล้ว

ในโลกของจ้าวมณี จ้าวมณีสวรรค์นั้นถือว่าอยู่บนยอดของปิรามิด ไม่ว่าจะเป็นจ้าวมณียุทธ์หรือจ้าวมณีธาตุ การจะพูดว่าใครดีกว่าใครนั้นเป็นหัวข้อที่ยังคงถกเถียงกันอย่างกว้างขวางเนื่องจากแต่ละคนมีข้อดีและข้อเสียของตัวเอง ทว่าที่ผ่านมานั้นจ้าวมณีธาตุได้เปรียบมากกว่าเล็กน้อย หนึ่งในเหตุผลคือจ้าวมณีธาตุนั้นเกิดได้ยากกว่าและยังมีทักษะโจมตีที่มีประสิทธิภาพมากกว่า อีกเหตุผลหนึ่งคือการกักเก็บทักษะนั้นง่ายกว่าการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์

ท้ายที่สุดแล้ว สำนักกักเก็บทักษะต่างๆก็เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับจ้าวมณีธาตุ  ตราบใดที่พวกเขามีระดับพลังปราณและเงินเพียงพอก็ไม่ยากที่จะกักเก็บทักษะดีๆ จนกลายเป็นจ้าวมณีธาตุที่โดดเด่น อย่างไรก็ตาม สำหรับจ้าวมณียุทธ์นั้น สิ่งต่างๆ ล้วนยากลำบากกว่ามาก ประการแรกคือม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นั้นขาดแคลนมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือจ้าวมณียุทธ์ยังยากจะหาศาสตรามณียุทธ์ที่เหมาะสมกับพวกเขาด้วย หากมณียุทธ์ทั้งหมดของพวกเขาไม่ได้บรรจุศาสตรามณียุทธ์ไว้แล้วล่ะก็ จ้าวมณียุทธ์จะมีพลังเทียบกับจ้าวมณีธาตุได้อย่างไร? ความจริงแล้วถ้าจ้าวมณียุทธ์มีศาสตรามณียุทธ์บรรจุอยู่ในมณีจนครบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้ครอบครองมณีที่ดีหรือเหมาะสมกับตนเองทั้งชุด พลังของพวกเขาก็ไม่มีทางอ่อนแอไปกว่าจ้าวมณีธาตุแน่นอน!

ด้วยใบอนุญาตในมือ โจวเหว่ยชิงจึงสามารถขอออกจากโรงเรียนเพื่อไปตามหาบ้านเช่าในบริเวณใกล้เคียงได้ อันที่จริงโชคของเขาค่อนข้างดี ไม่นานเขาก็ได้พบบ้านที่เหมาะสมในบริเวณใกล้เคียง บ้านหลังนั้นขนาดประมาณ 300 ตารางเมตร ข้างในมี ห้อง 8 ห้องที่ตกแต่งอย่างดีและค่อนข้างใหม่ ค่าเช่าก็ค่อนข้างถูกอีกด้วย นับดูก็ประมาณ 50 เหรียญทองต่อเดือน แน่นอนว่าในบริเวณนี้ราคานี้ถือว่าหาได้ยากมาก อย่างไรก็ตาม อันที่จริงมันถูกกว่าค่าธรรมเนียมหอพักด้วยซ้ำ ราวกับจะช่วยป่าวประกาศว่าโรงเรียนระดับสูงแห่งนี้ราคาแพงเพียงใด

สาเหตุที่นักเรียนสามัญชนถูกเลือกปฏิบัติก็เป็นเพราะพวกเขาขาดแคลนเงิน หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าอาณาจักรเฟยหลี่ได้ผ่านกฎหมายบังคับให้โรงเรียนพวกนี้ยอมรับนักเรียนสามัญชนเข้าเรียนเพื่อรักษาเด็กนักเรียนหัวกะทิเอาไว้ในอาณาจักร บางทีโรงเรียนชั้นนำเหล่านี้อาจจะไม่ยอมรับนักเรียนสามัญชนด้วยซ้ำ

โจวเหว่ยชิงจ่ายเงินมัดจำให้กับเจ้าของบ้านโดยไม่ลังเลก่อนที่จะวิ่งแจ้นกลับไปที่โรงเรียนราวกับพายุ เนื่องจากโจวเหว่ยชิงได้บ้านเช่าที่ต้องการ เขาจึงแทบจะอดใจรอพาปิงเอ๋อร์ไปดูสถานที่ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้พวกเขาสามารถย้ายเข้าไปอยู่พร้อมกับต้าหวงและเอ้อหวงได้ทันที

อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าข่าวการต่อสู้ระหว่างเขากับซ่างหลางได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในหมู่นักเรียนสามัญชนทั้งหมด นั่นจึงทำให้เกิดความปั่นป่วนมาก นั่นยังไม่รวมถึงในหมู่นักเรียนใหม่ที่รับรู้เรื่องนี้กันทั่ว ปีนี้มีนักเรียนสามัญชนมากกว่า 160 คนเพิ่งเข้าศึกษาในโรงเรียน แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนน้อยกว่านักเรียนชนชั้นสูง แต่พวกเขาก็ล้วนแล้วแต่เป็นจ้าวมณีทั้งหมด! หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้ชัดกว่านี้ ก็อาจกล่าวได้ว่าขนาดอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ยังไม่มีจ้าวมณีมากมายขนาดนั้นเลย! แน่นอนว่าในหมู่นักเรียนสามัญชนนั้น คนส่วนใหญ่ยังมีระดับพลังปราณค่อนข้างต่ำและมักมีมณีเพียงดวงเดียว การที่โจวเหว่ยชิงสามารถเอาชนะซ่างหลางผู้ซึ่งเคยเป็น ‘ลูกพี่ใหญ่’ และเป็นโล่ป้องกันให้นักเรียนสามัญชนมาหลายปี นั่นทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่ว ขนาดโรงเรียนยังไม่ทันจะเปิด เขามีชื่อเสียงเลื่องลือไปก่อนแล้ว

“หยุดก่อน! เจ้าเข้าหอพักหญิงไม่ได้!” ขณะที่โจวเหว่ยชิงมุ่งหน้าเข้าไปในหอพักและกำลังจะตามปิงเอ๋อร์ เขาก็ถูกป้าอายุประมาณ 50 ปีหยุดเอาไว้ ตอนที่ปิงเอ๋อร์และเขาเข้ามาในหอพักก่อนหน้านี้ เขาก็จำได้ว่าเธอไม่ได้อยู่แถวนี้มาก่อน

“เอ่อ…ข้ามาตามหาใครบางคน” โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างจริงใจ

ท่านป้าคนนั้นจ้องมองเขาและพูดว่า “กำลังตามหาคน? เด็กผู้ชายที่เข้ามาก็พูดแบบนี้กันทุกคนนั่นแหละ ยังไงข้าก็ไม่ฟังคำแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น เจ้าตะโกนเรียกได้ แต่เข้าไปไม่ได้”

โจวเหว่ยชิงเริ่มรู้สึกว่าการออกไปเช่าบ้านข้างนอกเป็นความคิดที่อัจฉริยะจริงๆ เขาจึงตะโกนออกมาเสียงดังอย่างไม่มีทางเลือก “ปิงเอ๋อร์! สามีของเจ้ามาหา!!”

เขาตะโกนออกมาเสียงดังจนไม่ใช่แค่ทั้งหอพักหญิงเท่านั้นที่ได้ยิน แน่นอนว่าทุกคนในหอพักล้วนได้ยินทั้งหมด เมื่อนักเรียนบางคนมองออกไปนอกประตูและเห็นว่าเป็นเขา ทั่วทั้งหอพักชายก็ตกอยู่ในความเงียบ

รอไม่นานปิงเอ๋อร์ก็รีบวิ่งออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ เธอจ้องมองเขาพร้อมกับกรอกตาและพูดว่า “เจ้าอ้วนน้อยโง่เง่า! ทำไมถึงตะโกนออกไปเช่นนั้น?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่ได้พูดอะไรผิด ท่านป้า นี่เป็นภรรยาของข้า โปรดดูแลนางด้วย!”

ท่านป้าคนนั้นไม่ยอมเผชิญหน้ากับเขา เธอเพียงแค่ส่งเสียงฮึ่มๆ ในลำคอ จากนั้นปิงเอ๋อร์ก็คว้าแขนของเขาลากออกไปอย่างรวดเร็วด้วยกลัวว่าคนพาลตัวน้อยนี้จะพูดอย่างเลอะเทอะจนทำให้ทั้งคู่ขายหน้าไปมากกว่านี้

เมื่อพวกเขามาถึงประตูทางเข้าหอพัก โจวเหว่ยชิงก็ได้ยินเสียงป้าคนนั้นพึมพำกับตัวเอง “ดอกไม้สวยกลับจมอยู่ในขี้โคลน เสียดายผู้หญิงดีๆ แบบนี้จริงๆ”

โจวเหว่ยชิงสะดุดเกือบล้มในขณะที่ ปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของท่านป้าคนนั้น “อ้วนน้อย เจ้าเรียกข้ามาทำไม?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและกล่าวว่า “ข้าพบรังรักของพวกเราแล้ว! นี่คือใบอนุญาตออกนอกโรงเรียน ปิงเอ๋อร์ เราสามารถออกนอกโรงเรียนได้ตลอดเวลาไม่มีข้อจำกัดแล้ว” ในขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็ส่งใบอนุญาตที่ซื้อมาก่อนหน้าให้เธอใบหนึ่ง

“เจ้าหาบ้านเช่าได้แล้วหรือ?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างประหลาดใจ

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยใบหน้ากระหยิ่ม “แน่นอน เมื่อสามีของเจ้าตั้งใจกับเรื่องใดแล้ว จะยังมีสิ่งที่เขาทำไม่สำเร็จอีกหรือ? มา ข้าจะพาไปดูบ้านใหม่ของเรา ข้าจ่ายเงินมัดจำไปแล้ว แต่แน่นอนว่าข้าต้องให้ภรรยาคนงามของข้าตรวจสอบก่อน”

เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงจ้องมองเธออย่างร้อนแรง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เขกศีรษะเขาแล้วพูดเบาๆ ว่า “บอกไว้ก่อนว่าเราต้องนอนแยกกันคนละห้อง เข้าใจไหม! ถ้าไม่ เจ้าก็อยู่ที่นั่นกับเอ้อหวงและต้าหวงคนเดียวไปซะ”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ไม่มีปัญหา ฉายาของข้าคือ ‘เด็กหนุ่มตัวน้อยผู้หมดจดงดงาม สุภาพบุรุษผู้ซื่อสัตย์เชื่อถือได้’ ข้าจะไม่แอบดูเจ้าอาบน้ำหรือแอบเข้าไปในห้องของเจ้าเวลากลางคืน อะแฮ่ม หรืออะไรแบบนั้นหรอก”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตอบกลับอย่างเย็นชา “ใช่! ถ้าข้าจับได้ ข้าจะย้ายกลับไปที่หอพักของข้าทันที! เอาล่ะ รอข้าสักครู่ ข้าจะกลับไปเอาสัมภาระกับของเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าซื้อมาก่อนหน้านี้ก่อน”

โจวเหว่ยชิงตบหน้าผากตัวเองแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ข้าลืมไปได้ยังไงกัน! ข้าต้องรีบกลับไปเอาผ้านวมแสนหวานที่ปิงเอ๋อร์ ภรรยาที่รักของข้าอุตส่าห์ซื้อมาให้ด้วย!”

ปิงเอ๋อร์หน้าแดงจัดอีกครั้ง แต่ทว่าก็ยังรู้สึกหวานล้ำในใจ “เจ้านี่เป็นคนปากหวานจริงๆ!”

เมื่อทั้งคู่กลับมาในหอพัก ท่านป้าคนนั้นก็ยังคงนั่งเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าหอพักหญิงดังเดิม  เมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมาแล้ว เธอก็มองไปที่โจวเว่ยชิงอย่างระแวดระวัง “เจ้าเด็กเหลือขอ ทำไม? เจ้าจะมาแก้แค้นข้าหรือ? ข้าจะบอกอะไรให้ ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องข้า   ข้าจะตะโกนบอกว่าเจ้าลวนลามข้า!”

โจวเหว่ยชิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ขณะที่เขาจ้องมองไปยังท่านป้าผู้น่าเหลือเชื่อคนนี้ “ท่านป้า ท่านออกจะดูคล้ายมารดาแท้ๆ ของข้ามาก ข้าจะกล้าแตะต้องท่านได้อย่างไร? ข้าจะอยู่ให้ห่างท่านแน่นอน” เมื่อเขาพูดจบก็รีบเผ่นกลับไปที่ห้องของตนทันที

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงผลักประตูเปิดเข้าไปในห้อง เขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่ก่อตัวขึ้น เมื่อเขาก้าวเข้าไปข้างใน สายตาของเพื่อนร่วมห้องอีก 7 คนก็หันมาจ้องเขาเป็นตาเดียว

………………………

ทักษะกระชากมิติย่อมถูกจัดว่าเป็นทักษะระดับ 10 ดาวเป็นอย่างต่ำ อาจกล่าวได้ว่าสำหรับใครก็ตามที่มีระดับพลังปราณที่เท่าเทียมกันหรือใกล้เคียงกับโจวเหว่ยชิง ทักษะระดับ 10 ดาวใดๆ ก็ย่อมไม่อาจต่อกรกับมันได้เพราะทักษะนี้เป็นทั้งการโจมตีและการป้องกันรวมอยู่ในหนึ่งเดียว สำหรับทักษะดังกล่าว มีแนวโน้มว่าแม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ที่มีอัญมณี 8-9 ชุด ส่วนใหญ่ก็ยังไม่อาจครอบครองทักษะที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ ปัจจุบันซ่างหลางมีมณีสวรรค์ 3 ชุดเท่ากับโจวเหว่ยชิง ดังนั้นไม่ว่าเขาจะใช้ทักษะอะไร เขาก็ไม่อาจเอาชนะทักษะกระชากมิติได้

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทักษะกระชากมิติ ร่างของซ่างหลางก็เกือบถูกลากเข้าไปในรอยแยกแปลกประหลาดนั้น แผนเดิมของเขาคือใช้บอลอัคคีทำให้โจวเหว่ยชิงเสียสมาธิ จากนั้นก็จู่โจมระยะประชิด ทว่าแผนนั้นกลับถูกทำลายไปเพราะอีกฝ่ายใช้ทักษะกระชากมิติเพียงครั้งเดียว

โจวเหว่ยชิงหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น ในเสี้ยววินาทีก่อนที่ทักษะกระชากมิติจะหายไป ขาขวาของเขาก็โผล่ออกมาอีกครั้ง

ซ่างหลางอยู่ในระยะใกล้มาก ตอนนี้เขายังเสียการทรงตัวอย่างสิ้นเชิงเพราะตกเป็นเหยื่อของแรงดึงดูดจากทักษะกระชากมิติ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจหลบเลี่ยงลูกเตะของของโจวเหว่ยชิงได้ทัน เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตวัดกริชในมือซ้ายฟันไปยังขาขวาของโจวเหว่ยชิงเต็มแรง

เสียงคล้ายโลหะกระทบกัน *เคร้ง* ขณะที่กริชศาสตรามณียุทธ์ของซ่างหลางถูกชนจนเบี่ยงออกไป แม้จะหมุน เวียนพลังปราณสวรรค์ทั้งหมดของเขาและใช้ประโยชน์จากมณียุทธ์ประเภทประสานงานเพื่อกระจายแรงปะทะส่วนใหญ่ออกไปแล้ว ทว่าร่างทั้งร่างของเขาก็ยังต้องกระเด็นกลับมาที่เดิมด้วยแรงเตะของโจวเหว่ยชิง พลังที่รุนแรงนั้นยังทำให้เลือดพุ่งออกมาจากลำคอจนต้องกระอักเลือดออกมากลางอากาศ แน่นอนว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นโจวเหว่ยชิงยังไม่ได้ใช้ขาขวาของปีศาจอย่างเต็มกำลังด้วยซ้ำ อย่างไรเสียเขาก็ไม่อยากเผลอฆ่าคนในโรงเรียนไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ขาขวาของโจวเหว่ยชิงตวัดกลับลงไปที่พื้นและเหยียบลงไปเต็มแรง จากนั้นก็ใช้แรงต้านส่งร่างกายพุ่งกระโจนไปทางซ่างหลางอย่างรวดเร็ว

ในขณะนั้นซ่างหลางเองก็แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชนของเขาเช่นกัน วงแหวนไฟอันเกรี้ยวกราดปะทุขึ้นรอบตัวของเขาพร้อมกับประกายเพลิงสว่างจ้า นี่เป็นอีกหนึ่งทักษะที่เขากักเก็บไว้เรียกว่าทักษะเกราะป้องกันธาตุไฟ ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการป้องกัน แต่ยังสามารถเผาผลาญศัตรูที่เข้ามาใกล้เขาได้อีกด้วย เมื่อจุดเกราะไฟขึ้นมาแล้วร่างกายของเขาหมุนเป็นเกลียวพุ่งกลับออกไปกลางอากาศแทบจะพร้อมกัน คนทั้งคู่พุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วดุจสายฟ้า กริชในมือขวาของซ่างหลางสามารถเฉือนผ่านไหล่ของโจวเหว่ยชิงไปอย่างโหดเหี้ยม

โจวเหว่ยชิงไม่กล้าปล่อยให้เกราะป้องกันธาตุไฟระดับมณี 3 ดวงของซ่างหลางแผดเผาร่างของเขา เพราะถึงแม้ว่าเขาคงจะไม่ได้รับความเสียหายมากนัก แต่เสื้อผ้าของเขาก็คงจะต้องพังยับเยินเป็นแน่ เขาตวัดสายตาไปมองซ่างหลางที่เพิ่มจะโจมตีเขาสำเร็จ ชั่วพริบตานั้นร่างของโจวเหว่ยชิงก็หายวับไปทันที ซ่างหลางพลันรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่แผ่นหลังพร้อมกับความรู้สึกเย็นยะเยือก ร่างเขากระเด็นไปในทิศทางตรงกันข้ามทันที เขากระอักเลือดสดๆ ออกมาอีกครั้งกลางอากาศก่อนจะหมดสติไปเมื่อร่างกระแทกถึงพื้น

โจวเหว่ยชิงค่อยๆ ร่อนลงบนพื้นในเวลาเดียวกันพร้อมกับคันธนูขนาดใหญ่ในมือ ธนูราชันย์นั่นเอง อย่างไรก็ตาม หลังจากเคลื่อนย้ายพริบตาไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังซ่างหลาง คราวนี้เขาไม่ได้ยิงธนู แต่กลับใช้คันธนูหวดออกไปตรงๆเหมือนแส้เพื่อโจมตีอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง

“เรื่องง่ายๆ” โจวเหว่ยชิงกล่าวขณะใช้สายตาหยามเหยียดมองไปที่ซ่างหลาง ขณะนี้ผู้ชมรอบๆ กำลังจ้องมองมาที่เขาและตกอยู่ในความเงียบ ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้จนถึงตอนนี้เวลาแทบจะผ่านไปไม่นานเท่าไหร่นัก ทว่าตลอดการต่อสู้โจวเหว่ยชิงสามารถกำราบซ่างหลางลงได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าซ่างหลางจะไม่มีโอกาสเอาชนะเขาได้เลยด้วยซ้ำ

รุ่นพี่ทุกคนกำลังจดจ้องไปที่โจวเหว่ยชิงราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้ที่มีอำนาจเหนือพวกเขามาเป็นเวลา 3 ปีอย่างซ่างหลางจะพ่ายแพ้ให้แก่เด็กใหม่ไปเช่นนี้จริงๆ ถึงกับพ่ายแพ้อย่างหมดรูปซะขนาดนั้น!

ทันใดนั้นเอง รุ่นพี่หัวโล้นทั้ง 5 คนก่อนหน้าก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขาตรงเข้ามายืนขวางอยู่ระหว่างโจวเหว่ยชิงและซ่างหลาง จับจ้องไปที่โจวเหว่ยชิงที่มีธนูอยู่ในมือ ทว่าโจวเหว่ยชิงกลับเอ่ยขัดว่า “พวกเจ้าอยากจะโดนอัดอีกรอบ? หรือว่ายังมีใครแข็งแกร่งกว่านี้อีก? นำตัวออกมาสิ”

รุ่นพี่ที่มีมณี 3 ดวงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “แม้จะต้องตาย เราก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าทำร้ายพี่ใหญ่หลาง” เมื่อเขาพูดจบก็หันไปหาเหล่าบรรดานักเรียนรุ่นพี่ที่ยืนมุงอยู่รอบๆ จากนั้นก็ตะโกนออกไปว่า “พี่น้องทั้งหลาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแม้ว่าเราจะเก็บค่าคุ้มครองจากพวกเจ้าทุกคน แต่เราก็ทำตามที่สัญญาเอาไว้และปกป้องพวกเจ้าเสมอ  อย่างน้อยพวกข้าก็สามารถป้องกันไม่ให้พวกชนชั้นสูงรังแกและทำร้ายพวกเราทุกคน ถ้าไม่ใช่เพราะหลางพี่ใหญ่หลาง จะมีพวกเราอีกสักกี่คนที่ถูกรังแกและกดขี่โดยพวกขุนนางน่าขยะแขยงพวกนั้น! เงินค่าคุ้มครองทั้งหมดถูกนำไปใช้สำหรับศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บของพี่หลาง ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเพื่อคอยปกป้องพวกเรา ตอนนี้เขากำลังตกที่นั่งลำบาก พวกเจ้าจะไปยืนจ้องอยู่ตรงนั้นเฉยๆ หรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พวกเรานักเรียนสามัญชนก็คงจะถูกพวกนักเรียนชนชั้นสูงรังแกจนตาย!”

เมื่อได้ยินคำพูดของพวกรุ่นพี่หัวโล้น เหว่ยชิงก็ชะงักไป ไม่นานเขาก็เห็นนักเรียนรุ่นพี่ หลายคนเดินออกมาจากฝูงชนอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปยืนรวมกับรุ่นพี่หัวโล้นทั้ง 5 เพื่อขวางระหว่างโจวเหว่ยชิงและซ่างหลางที่หมดสติเอาไว้

เด็กใหม่คนอื่นๆ ไม่มีเคลื่อนไหวใดๆ นักเรียนใหม่ที่มามุงดูมีแค่เพียง 7-8 คนและส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

โจวเหว่ยชิงขมวดคิ้ว “เพื่อปกป้องนักเรียนสามัญชน? นี่เป็นเหตุผลสำหรับค่าคุ้มครองหรือ? ถ้าพี่หลางของเจ้ามีความสามารถ ทำไมเขาไม่ออกไปหาเงินด้วยตัวเองล่ะ? ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ เขาจะมีรายได้น้อยได้อย่างไร?”

รุ่นพี่หัวโล้นที่มีมณี 3 ดวงกล่าวอย่างโกรธๆ ว่า “คนท้องอิ่มจะรู้จักความหิวโหยได้อย่างไร? แม้ว่าพวกเราจ้าวมณีจะแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก แต่ค่าใช้จ่ายในการกักเก็บทักษะและศาสตรามณียุทธ์ก็แพงเกินไปอยู่ดี วิธีเดียวที่จะทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้อย่างง่ายดายคือยอมอยู่ภายใต้อำนาจของสำนักกักเก็บทักษะหรือกลายเป็นทาสรับใช้ของพวกขุนนาง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเราจะหาเงินได้มากขนาดนั้นด้วยความสามารถของตัวเอง เจ้าจะไปถามใครก็ได้ คนที่สามารถกักเก็บทักษะหรือหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ได้จริงๆ นั้น มีกี่คนที่ขายตัวเองให้กับสำนักกักเก็บทักษะหรือตระกูลขุนนางบ้าง? สำหรับพวกเราแล้ว พวกเราไม่ต้องการสูญเสียอิสรภาพและศักดิ์ศรีไป นั่นคือเหตุผลที่พวกเราต่อสู้จนถึงที่สุด ทุกคนพยายามหาเงินอย่างหนักและเงินพวกนี้ก็เพียงพอแค่สำหรับพี่หลางคนเดียว ทว่าเพียงเท่านี้เราก็สามารถปกป้องศักดิ์ศรีและอิสรภาพของตัวเองต่อไปได้แล้ว”

เมื่อฟังคำพูดของเขา โจวเหว่ยชิงก็อดจะนึกไปถึงครั้งแรกที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พาเขาไปที่สำนักกักเก็บทักษะและร้านค้าศาสตรามณียุทธ์ไม่ได้ สายตาที่เย็นชาของเขาจึงค่อยๆ อ่อนลง เมื่อมองไปยังกลุ่มรุ่นพี่ประมาณ 20 กว่าคนที่ยืนเคียงข้างอยู่กับรุ่นพี่หัวโล้น เขากล่าวว่า “เพราะฉะนั้น เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกเจ้าเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากผู้ที่ถูกกดขี่โดยเหล่าขุนนางหรือสำนักกักเก็บทักษะ?”

รุ่นพี่หัวโล้นตอบว่า “ถูกต้อง”

โจวเหว่ยชิงพูดต่อไปอย่างเย็นชา “แล้วทำไมถึงเก็บเงินจากพวกนักเรียนใหม่?”

เขาตอบกลับมาว่า “พี่หลางกล่าวว่าเราต้องให้น้องใหม่เรียนรู้โลกแห่งความเป็นจริงบ้าง จะได้รู้ว่าโลกของผู้แข็ง แกร่งอยู่เหนือผู้อ่อนแอเป็นอย่างไร หลังจากพิธีเปิดภาคเรียน พวกเราจะเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ในหอพักสามัญชนของเราให้เจ้าฟัง ให้เจ้าตัดสินใจเองว่าจะเลือกทางไหน อิสรภาพและศักดิ์ศรี หรือเส้นทางลัดสู่อำนาจ”

ในขณะนี้หม่าฉุนเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงอย่างเงียบเชียบและพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ลูกพี่ เราเพิ่งทำเรื่องผิดพลาดลงไปหรือเปล่า?”

โจวเหว่ยชิงหันมาจ้องมองเขา “ผิดพลาดบ้านเจ้าสิ ไปให้พ้น ข้าไม่ใช่ลูกพี่ของเจ้า” กล่าวจบเขาก็หันกลับไปหารุ่นพี่ที่มีมณี 3 ดวงและพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่สนใจว่าเหตุผลของเจ้าคืออะไร แต่คราวหน้าอย่ามาขวางทางข้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะจัดการพวกเจ้าอีกรอบ” จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและมุ่งหน้าไปที่ห้องของเขาทันที

ทว่าไม่มีใครรู้ว่าสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในระยะไกลๆ ในขณะนี้ดวงตาของดอกไม้แห่งยมโลกนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า “จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 3 ดวงพร้อมกับมณียุทธ์เพิ่มความแข็งแกร่ง อีกทั้งหนึ่งในศาสตรามณียุทธ์ยังเป็นธนู ข้าคิดว่าเขาน่าจะเป็นนักธนู ยิ่งไปกว่านั้น มณีธาตุของเขาเป็นถึงทักษะธาตุมิติ! ทักษะชนิดหนึ่งที่เขากักเก็บไว้คือทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา ส่วนอีกทักษะหนึ่งที่ข้าไม่รู้จัก…เป็นทักษะแปลกๆที่สามารถจัดการกับบอลอัคคีได้อย่างง่ายดาย น่าสนใจจริงๆ… ไม่แปลกใจที่ท่านพี่บอกว่าคนๆ นี้อันตราย”

……………………………

โจวเหว่ยชิงไม่ได้หยุดทันทีที่ส่งรุ่นพี่หัวโล้นทั้ง 5 คนออกไปข้างนอกได้แล้ว เขายังก้าวตามพวกนั้นออกไปติดๆ เพื่อนร่วมห้องที่เหลือรวมทั้งหม่าฉุนต่างก็ติดตามเขาออกไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร อาจจะโกรธหรือกลัว ตอนนี้พวกเขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อ

รุ่นพี่หัวโล้นทั้ง 5 ต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้า เขารับหมัดของโจวเหว่ยชิงไปเต็มๆ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจและท่าทางเหลือเชื่อ อย่างไรเสียในฐานะจ้าวมณียุทธ์นั้นพวกเขาส่วนใหญ่ก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายและมั่นใจในความสามารถทางกายภาพของพวกเขามาก แต่ทว่าเมื่อโจวเหว่ยชิงเปิดฉากการโจมตีอย่างเรียบง่าย พวกเขากลับไม่อาจต้านทานพลังของเขาได้เลยแม้แต่น้อย

โจวเหว่ยชิงตะโกนออกมาเสียงดังฟังชัด “เด็กใหม่ทุกคนมาดูนี่ พวกนี้เป็นรุ่นพี่ของเรา พวกเขามาที่นี่เพื่อเก็บค่าคุ้มครองจากพวกเรา หากมีใครจ่ายเงินไปก่อนหน้านี้ เจ้าสามารถมารับเงินคืนได้ที่นี่”

รุ่นพี่หัวโล้นที่มีมณี 3 ดวงผุดลุกขึ้นยืนแม้บริเวณที่ถูกต่อยจะยังรู้สึกชาหนึบอยู่ก็ตาม เขาจ้องไปที่โจวเหว่ยชิงและร้องออกมาด้วยน้ำเสียงกึ่งโมโหกึ่งหวาดกลัวว่า “เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้าอยากตายรึไง? พวกเราไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆหรอก!”

โจวเหว่ยชิงยิ้มจางๆ พลางกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่คิดจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ เหมือนกัน! พวกเจ้าทุกคนคือจ้าวมณียุทธ์ เอาสิ ใช้ศาสตรามณียุทธ์ของเจ้าเลย ข้าอยากเห็นพลังศาสตรามณียุทธ์ของพวกเจ้า! เอ๊ะ ทำไมยังไม่เรียกมันออกมาอีก? หรือว่าเจ้าไม่มีศาสตรามณียุทธ์เลยสักชิ้น? หรือว่าเจ้าแค่หวาดกลัวข้า?”

ในช่วงเวลาแค่สั้นๆ นักเรียนเกือบทั้งหอพักชั้นสามัญชน ตั้งแต่นักเรียนใหม่ไปจนถึงนักเรียนเก่าต่างก็ได้ยินเรื่องวุ่นวายนี้เช่นกัน หลายคนจึงโผล่หน้าออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อมองเห็นรุ่นพี่หัวโล้นทั้ง 5 คน นักเรียนหลายคนก็มีสีหน้าไม่พอใจ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่บรรดาน้องใหม่แต่ยังรวมถึงรุ่นพี่บางคนด้วย

เมื่อเห็นว่ามีคนจำนวนมากพอแล้ว โจวเหว่ยชิงจึงร้องตะโกนออกมาเสียงดัง “ข้าแน่ใจว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่รู้ว่า 5 คนนี้เป็นใคร ก่อนหน้านี้พวกเขาบอกข้าว่าหอพักสามัญชนมีกฎคือทุกห้องต้องจ่าย 100 เหรียญทองต่อเดือน ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าที่เหลือยินดีจ่ายหรือไม่ แต่ข้าไม่ยอมแน่นอน เอาล่ะ เจ้าพวกหัวล้าน จงจำไว้ซะว่า ข้า  บิดาของเจ้าคือใคร ข้าชื่อโจวเหว่ยชิง และนับจากวันนี้กฎของพวกเจ้าจะถูกยกเลิก ไสหัวไปซะ!!”

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง เหล่าน้องใหม่หลายคนก็ส่งเสียงสนับสนุนดังลั่น แต่สิ่งที่แปลกประหลาดคือฝั่งรุ่นพี่ทุกคนยังคงเงียบสงบ ส่วนใหญ่มองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาที่น่าเวทนา

รุ่นพี่หัวโล้นที่มีมณี 3 ดวงจ้องมองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าเด็กเหลือ ในบรรดานักเรียนใหม่ เจ้าแข็งแกร่งจริงๆ แน่นอนว่าทุกๆ ปีจะมีคนแบบเจ้า แต่ยังไงซะ เจ้าก็จะต้องเสียใจ!”

โจวเหว่ยชิงแค่นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ข้าไม่รู้ว่าตัวเองจะเสียใจหรือไม่ แต่สิ่งที่รู้แน่ๆ คือถ้าเจ้าไม่ไสหัวไปตอนนี้ เจ้าจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน”

“เจ้าเด็กน้อย อย่าได้อวดดีเกินไปนัก!” ในขณะเดียวกันนั้นเอง น้ำเสียงเข้มงวดและจริงจังก็ดังขึ้นมาจากฝั่งห้องของรุ่นพี่ เมื่อชายหัวโล้นได้ยินเสียงนั้น ความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาทันที รุ่นพี่ที่มองเห็นชายคนนั้นต่างก็หลีกทางให้เขาทันที พวกเขาส่วนใหญ่แสดงสีหน้าเคารพและเกรงกลัว

ชายที่สวมเครื่องแบบนักเรียนสามัญชนเดินเข้ามาอย่างช้าๆ เขาก็มีศีรษะโล้นเตียนเช่นกัน สูงประมาณ 1.8 เมตร มีกล้ามเนื้อแข็งแกร่งประดับอยู่บนไหล่กว้าง แม้ว่าเขาจะเดินช้าๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถกดข่มผู้อื่นได้ด้วยกลิ่นอายที่แผ่ออกมา สิ่งที่สะดุดตาที่สุดบนใบหน้าของเขาคือรอยบากยาวบริเวณใบหน้าซีกขวา

โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ถึงรังสีอันตรายที่แผ่ออกมาจากร่างของชายคนนี้ได้อย่างชัดเจน ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย

“พี่หลาง” รุ่นพี่หัวโล้นทั้ง 5 ร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความเคารพและรีบเดินตามหลังเขาราวกับว่าเขาเป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้

ชายผู้มีแผลเป็นบนใบหน้าเหลือบมองไปที่โจวเหว่ยชิง สายตาของเขาจ้องมองราวกับใบมีดคมกริบเล่มหนึ่ง เมื่อเขาเปิดปากพูด น้ำเสียงแข็งกระด้างที่แฝงไปด้วยอันตรายก็ถูกเปล่งออกมา “ข้าชื่อซ่างหลาง เจ้าเป็นคนที่บอกว่าจะยกเลิกกฎค่าคุ้มครองของข้า?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มจางๆ “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าชื่อหลางๆ อะไรนั่นหรอก ตราบใดที่เจ้าไม่ยั่วโมโหข้า ข้าก็จะไม่ทำอะไรเจ้า”

ดวงตาของซ่างหลางหรี่ลง เขาพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ดีมาก ดีมาก เจ้าต้องได้จ่ายค่าซ่อมแซมเพราะทำลายทรัพย์สินสาธารณะแน่ มากับข้า” เมื่อเขาพูดจบ เขาก็เดินผ่านโจวเหว่ยชิงและมุ่งหน้าออกไปด้านนอก

รุ่นพี่คนอื่นๆ มองโจวเหว่ยชิงราวกับเขาเป็นคนตาย ในขณะที่เด็กใหม่คนอื่นๆ มองเขาด้วยความคาดหวัง โจวเหว่ยชิงหัวเราะและตบหน้าอกตัวเองพลางพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกังวล ทุกคนกลับไปทำธุระของตัวเองเถิด แม้ว่าข้าจะต้องตีเขาจนตาย ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เขาเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากพวกเจ้าหรอก”

เมื่อพูดจบ โจวเหว่ยชิงก็มุ่งหน้าออกไปเช่นกัน ในบรรดาเพื่อนร่วมห้องของเขา คนแรกที่ติดตามเขาออกไปคือโข่วรุ่ย ส่วนหม่าฉุนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามออกไปเช่นกัน คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็แลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็แอบกลับเข้าไปในห้องเงียบๆ

โจวเหว่ยชิงเอามือล้วงกระเป๋าเดินออกจากหอพักตามหลังซ่างหลางและลูกน้องหัวโล้นอีก 5 คน พวกเขาเดินผ่านอาคารเรียนหลักตรงเข้าไปในสนามรูปสี่เหลี่ยมที่มีพื้นที่เปิดโล่งมากมาย ท้ายที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็หยุดฝีเท้าลง

เมื่อซ่างหลางหยุดเดิน เขาก็หันไปมองโจวเหว่ยชิงที่ทำหน้าตาเฉยเมยและพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้ เจ้าสามารถตั้งกฎของหอพักสามัญชนได้ แต่ถ้าแพ้ เจ้าต้องเชื่อฟังข้า”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้าเป็นไข้หรือ? ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อพนันกับเจ้า ถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้ คิดว่าจะสามารถควบคุมข้าได้หรือ?”

ซ่างหลางกล่าวอย่างเฉยเมย “งั้นเจ้าต้องการอะไร?”

รอยยิ้มของโจวเหว่ยชิงเลือนหายไปทันทีเมื่อมีประกายสีแดงเลือดวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของเขา “ข้าก็แค่อยากจะอัดเจ้าจนแม่เจ้าจำไม่ได้” ขณะที่พูดเช่นนั้น ขาซ้ายของเขาก็กระแทกพื้นเสียงดัง ส่งให้ร่างกายของโจวเหว่ยชิงพุ่งไปข้างหน้า ตรงดิ่งเข้าหาซ่างหลางราวกับสายฟ้าโดยมีเท้าขวาพุ่งนำออกไป

ม่านตาของซ่างหลางหดแคบลงอย่างตื่นตัว เขายกเท้าขึ้นปะทะกับเท้าขวาของโจวเหว่ยชิง การระเบิดครั้งใหญ่ปะทุขึ้นทันที ในขณะที่โจวเหว่ยชิงร่อนลงบนพื้นอย่างสวยงาม ซ่างหลางก็กระเด็นไปหลายเมตรแล้ว ทว่าในขณะที่เขากำลังลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศเช่นนั้น ร่างกายของเขาก็บิดไปมาด้วยท่าทีแปลกประหลาดคล้ายกับเขาสามารถต้านแรงเฉื่อยในอากาศได้ จากนั้นเขาก็ตีลังกาและร่อนลงบนพื้นช้าๆ แม้ว่าจะเซถอยหลังไป 3 ก้าวก่อนที่จะกลับมาทรงตัวได้ดังเดิมก็ตาม

มีนักเรียนสามัญชนอย่างน้อย 50-60 คนที่ติดตามพวกเขาออกมาชมการต่อสู้ เมื่อมองเห็นสถาณการณ์เมื่อสักครู่ น้ำเสียงประหลาดใจก็ดังเซ็งแซ่ออกมามาจากฝูงชนทันที ใบหน้าของซ่างหลางไม่สงบเยือกเย็นเหมือนเดิมอีกต่อไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเมื่อมองไปยังโจวเหว่ยชิง

หม่าฉุนที่ยืนอยู่ด้านข้างอดรู้สึกถึงอาการกระตุกที่ท้องไม่ได้ ราวกับว่าเขาเพิ่งจำความเจ็บปวดจากลูกเตะของโจวเหว่ยชิงเมื่อวันก่อนขึ้นมาได้

โจวเหว่ยชิงไม่ได้ไล่บี้อีกฝ่ายต่อ เขาทำเพียงแค่ปรายตามองซ่างหลางอย่างดูถูกเหยียดหยามและแค่นเสียงเย็นชาออกมา “จ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดกับมณียุทธ์ประเภทเพิ่มการประสานงาน เจ้าควรใช้มณีธาตุของเจ้าดีกว่า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงจะไม่มีโอกาสชนะ”

แท้จริงแล้วตอนนี้มีหยกแดงบริสุทธิ์ 3 ดวงหมุนวนอยู่ที่ข้อมือขวาของซ่างหลางพร้อมกับเปล่งประกายแสงเรืองรองออกมา ระดับพลังปราณสวรรค์ของเขาดูเหมือนจะสูงกว่าของโจวเหว่ยชิงเล็กน้อย แต่เขาก็คิดผิดอย่างมหันต์ที่แลกเปลี่ยนการโจมตีกับโจวเหว่ยชิงที่มีมณียุทธ์ประเภทเพิ่มความแข็งแกร่งโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น กับโจวเหว่ยชิงยังมีพลังขาขวาปีศาจด้วย! ดังนั้นขณะนี้ขาของซ่างหลางชาหนึบไปทุกส่วนจากการปะทะเข้ากับขาขวาของโจวเหว่ยชิงแม้ว่าเขาจะใช้มณียุทธ์เพิ่มการประสานงานทำให้แรงปะทะส่วนใหญ่หักเหออกไปเกือบหมดแล้วก็ตาม อย่างไรเสียความแข็งแกร่งของโจวเหว่ยชิงก็เกือบจะเทียบได้กับจ้าวมณีระดับปรมะขั้นกลางเช่นหมิงหยู คนที่มีมณียุทธ์เพิ่มความแข็งแกร่งเช่นกัน ซ่างหลางที่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีเพียง 3 ชุดกับมณียุทธ์เพิ่มการประสานงานจะจับคู่กับโจวเหว่ยชิงที่มีมณียุทธ์เพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างไร?

เมื่อโจวเหว่ยชิงพูดจบ ซ่างหลางก็สูดหายใจเข้าลึก เขายกมือซ้ายขึ้น แสงสีแดงสว่างเจิดจ้าออกมา จากนั้นก็ตามมาด้วยมวลอากาศร้อนรอบๆ ตัว เมื่อเขาตวัดนิ้วชี้ไปที่โจวเหว่ยชิง ลูกไฟขนาดใหญ่ 5 ลูกก็พุ่งตรงเข้าไปหาเขาทันที

นี่เป็นทักษะที่โจวเหว่ยชิงคุ้นเคย ก่อนหน้านี้มันเป็นทักษะที่ตี้ฝูหยาใช้โจมตีจนทำให้เขาเกือบตาย แน่นอนว่าซ่างหลางไม่ได้เป็นเพียงแค่จ้าวมณีธรรมดาเท่านั้น แต่เขายังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีถึง 3 ชุด ดังนั้นความแข็งแกร่งของทักษะนี้จึงยิ่งใหญ่กว่าที่เธอเคยใช้มาก ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ซ่างหลางก็พุ่งตัวเข้าหาโจวเหว่ยชิง หนึ่งในมณียุทธ์ของเขาเปลี่ยนเป็นกริชด้ามยาวในมือขวา ร่างของเขาดูเหมือนจะกระตุกวูบและเลือนหายไปจากกรอบสายตาของผู้สังเกตการณ์ขณะที่เขาโผทะยานตามหลังลูกไฟทั้ง 5 ดวงนั้นไปติดๆ

ในการต่อสู้ระหว่างจ้าวมณี ความแข็งแกร่งไม่ใช่ปัจจัยในการตัดสินแพ้ชนะเพียงอย่างเดียว เมื่อรู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า ในที่สุดซ่างหลางก็ระเบิดพลังที่แท้จริงออกมา

ทักษะบอลอัคคีเป็นทักษะระดับ 2 ดาวเท่านั้นและยังเป็นหนึ่งในทักษะที่พบบ่อยที่สุดในมณีดวงแรกของบรรดาจ้าวมณีและจ้าวมณีสวรรค์ธาตุไฟอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อย่าประเมินทักษะใดๆ ต่ำจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันถูกใช้โดยจ้าวมณีสวรรค์ เมื่อซ่างหลางใช้ทักษะบอลอัคคีดังกล่าว หากเปรียบกับบอลอัคคีที่ตี้ฝูหยาเคยใช้กับโจวเหว่ยชิงในป่าดาราก็คงจะเหมือนสวรรค์กับนรก แน่นอนว่าบอลอัคคีของซ่างหลางมีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก

ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับซ่างหลางอยู่นั้น โจวเหว่ยชิงกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับสักนิ้ว ริมฝีปากของเขาดูโค้งขึ้นอย่างเหยียดหยาม ขณะที่ลูกไฟทั้ง 5 กำลังจะโจมตีเข้าใส่เขา มือซ้ายของโจวเหว่ยชิงก็กวาดขึ้นด้านบนทันที

รอยแยกแปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้นจากมือซ้ายของโจวเหว่ยชิง เสียงฉีกอากาศดังขึ้นมาขณะที่มวล อากาศเบื้องหน้าโจวเหว่ยชิงถูกแหวกออกเป็นเส้นสีดำยาว 3 ฉื่อตามการเคลื่อนไหวมือของเขา ราวกับว่าในช่วงเวลานั้นอากาศถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ส่งผลให้บรรยากาศรอบๆ บริเวณนั้นแปรปรวนขึ้นในรัศมีหลายหลา

รอยแยกสีดำน่าพิศวงกลางอากาศส่งแรงดึงดูดมหาศาลออกมา ไม่นานลูกไฟทั้ง 5 ที่พุ่งเข้าหาโจวเหว่ยชิงก็ถูกดูดกลืน และหายลึกเข้าไปในรอยแยกสีดำแห่งนั้น

นั่น…นั่นมันทักษะอะไรกันแน่?! สำหรับนักเรียนสามัญชนทั่วไป พวกเขาย่อมไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะเช่นนี้มาก่อน นับประสาอะไรกับการมองเห็นมันด้วยตาตัวเองเช่นนี้ ทุกคนจ้องมองด้วยความตกใจ ขากรรไกรของพวกเขาแทบจะร่วงลงไปที่พื้น

คนที่สัมผัสแรงดึงดูดพวกนั้นได้ชัดเจนที่สุดย่อมเป็นซ่างหลางเอง ในขณะนั้นเขากำลังวิ่งตามหลังบอลอัคคีทั้ง 5 ดวงไปด้วยความเร็วสูงสุด ทว่าจู่ๆ อากาศก็พลันบิดเบี้ยวและมีรอยแยกสีดำก่อตัวขึ้นมา แรงดึงดูดที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เขาต้องรีบหยุดฝีเท้าและหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ทั้งหมดทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้ตนถูกดูดเข้าไปในนั้นด้วย

แท้จริงแล้วสิ่งที่โจวเหว่ยชิงใช้คือทักษะธาตุมิติที่เขากักเก็บมาจากจักรพรรดิสีเงิน ทักษะกระชากมิติ! ผลของทักษะกระชากมิติจะขึ้นอยู่กับระดับพลังปราณของผู้ใช้ ถ้าโจวเหว่ยชิงมีมณีเพียงชุดเดียว เขาคงฉีกอากาศออกได้เพียง 1 ฉื่อและใช้ได้นานเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่ตอนนี้เขามีมณี 3 ชุด นั่นหมายความว่าเขาสามารถฉีกอากาศออกได้ 3 ฉื่อ นาน  3 วินาที! สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ทักษะนี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม 3 เท่า แต่มันทำให้พลังของทักษะนี้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณต่างหาก!

…………………………

หญิงสาวคนนั้นอายุประมาณ 20 ปี สวมชุดสีขาวสะอาดสะอ้านที่ขับเน้นความงามของเธอออกมา นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลขนาดใหญ่คู่หนึ่งเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาด สายตาของนักเรียนชายหลายคนถูกเธอยึดครองเอาไว้ แม้ว่าจะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เธอก็ตาม

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าซ้ำๆ “อืม…ไม่เลวเลยจริงๆ เอวขอด สะโพกดูมีน้ำมีนวล อืม…และหน้าอก…น่าจะประมาณ 35D เรียกได้ว่ามีส่วนโค้งเว้าในทุกที่ๆ เหมาะสม น่าทึ่งจริงๆ ในที่สุดก็ได้พบสาวงามคุณภาพเยี่ยมอีกคน!”

ในขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็พลันรู้สึกหนาวสั่นไปทั่วร่างกายราวกับว่าอุณหภูมิโดยรอบกำลังลดต่ำลง พริบตานั้นเขาก็หันกลับไปโดยสัญชาตญาณและพบเพียงดวงตาลุกโชนของหมิงหยูที่จ้องมาที่เขา “เอ่อ ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือ?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างระมัดระวังพลางรวบรวมพลังปราณสวรรค์ของเขาเตรียมเอาไว้

“นั่นคือน้องสาวของข้า” น้ำเสียงเคร่งเครียดของหมิงหยูดังลอดออกมาจากฟันที่ขบกันแน่น

“เอ่อ…นั่นเป็นความผิดพลาดน่ะ ความผิดพลาด ข้าแค่ชื่นชมโดยใช้สายตา ไม่แปลกใจเลยที่ท่านอ่อนไหวกับคำพูดของข้าเมื่อวันก่อน น้องสาวของท่านสวยมากจริงๆ! เฮ้อ…พวกท่านทั้งคู่มีพ่อแม่คนเดียวกัน ทำไมถึงแตกต่างกันขนาดนี้? ยังไงก็ตาม พี่หมิงหยู ทำไมท่านไม่แนะนำน้องสาวของท่านให้ข้ารู้จักล่ะ? หึๆ…” โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างขณะที่เขากล่าว

“เจ้าเด็กเหลือขอนี่! พี่ชายคนไหนจะแนะนำน้องสาวให้เจ้ากัน! ตอนนี้ข้าอยากจะสั่งสอนเจ้าจริงๆ!” หมิงหยูกล่าวพร้อมกับจ้องเขาด้วยสายตาเย็นเหยียบ

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยใบหน้าที่จริงจัง “โรงเรียนมีกฎห้ามไม่ให้มีการต่อสู้ ท่านไม่รู้หรือ? ลาก่อน ข้าต้องรีบไป แล้ว!” เมื่อเขาพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและเผ่นหนีไปทันที ทว่าก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดกะทันหันก่อนจะหันไปหา      หมิงหยูอีกครั้ง “โอ้ ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าน้องสาวของท่านชื่ออะไร?”

“ไปให้พ้น!!” หมิงหยูคำรามด้วยความโมโห ส่วนโจวเหว่ยชิงก็รีบร้อนหลบหนีไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ

เสียงตะโกนของหมิงหยูดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ มาก รวมถึงน้องสาวของเขาด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นพี่ชายของตน หมิงฮัวก็เดินมาสมทบกับเขาทันที

“พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เธอไม่เคยเห็นเขาโมโหมากนักเพราะปกติแล้วเขามักจะมีสีหน้าอ่อนโยนและสุภาพมาก แม้แต่ในสนามรบก็เป็นที่รู้กันดีว่าเขาเป็นคนเย็นชา ใจเย็น และเก็บตัวอยู่เสมอ

หมิงหยูส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “แค่อันธพาลน้อยที่น่าสนใจคนหนึ่ง เขาทำให้ข้าโมโหมา 2 รอบแล้ว หมอนั่นชื่อโจวเหว่ยชิง น้องเล็ก เมื่อเจ้าเข้าเรียนในโรงเรียนแล้วก็ควรรักษาระยะห่างจากเขาให้มาก เขาไม่ใช่คนดี!”

หมิงฮัวกล่าวด้วยความประหลาดใจ “พี่ชาย ยากนักที่จะพบคนที่พี่สนใจ!”

ใบหน้าของหมิงหยูดูเคร่งเครียดขึ้น “ฮัวฮัว เจ้าอย่าเพิกเฉยต่อคำเตือนของข้า!”

หมิงฮัวมีใบหน้าไม่พอใจขณะที่เธอพูดว่า “ข้าพูดหลายครั้งแล้วนะ หยุดเรียกข้าว่าฮัวฮัว มันดูเหมือนชื่อสัตว์ เลี้ยง!”

หมิงหยูหัวเราะออกมาขณะที่เขาพูดว่า “ ‘ดอกไม้แห่งยมโลกผู้มาพร้อมหนามปลิดชีพ’ อย่างเจ้าน่ะรึ น้องเล็ก เจ้ามีชื่อเสียงไปทั่วเมืองเฟยหลี่ ใครจะกล้าถือว่าเจ้าเป็นสัตว์เลี้ยง? อย่างไรก็เถอะ ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้ง อยู่ให้ห่างจากเจ้าอันธพาลน้อยนั่น เขาไม่ใช่คนดีอย่างที่เจ้าคิด”

“เอาล่ะๆ ข้ารู้แล้ว ข้าจะไปหอพักก่อนแล้วค่อยไปหาเช่าบ้านอยู่ ข้าไม่คุ้นเคยกับการอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ” หมิงฮัวกล่าวพร้อมกับทำตัวไร้เดียงสา อย่างไรก็ตาม ความอยากรู้อยากเห็นในใจของเธอกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เคย เธอคือคนประเภทไม่เกรงกลัวอะไรเลย – ในเมืองเฟยหลี่ชื่อเสียงของเธอก็ไม่น้อยไปกว่าพี่ชายของเธอ ไม่เช่นนั้นเธอคงจะไม่มีฉายาว่า ‘ดอกไม้แห่งยมโลกผู้มาพร้อมหนามปลิดชีพ’ หรอก

โจวเหว่ยชิงไม่รู้ว่าเขาเพิ่งถูกหมิงหยูให้ร้ายเพราะเห็นแก่ความปลอดภัยของน้องสาว  ตอนนี้เขาจึงกลับมาที่หอพักแล้ว เห็นได้ชัดว่าขณะนี้นักเรียนใหม่จำนวนมากได้ลงทะเบียนและเข้ามาในห้องพักของพวกเขาแล้ว ส่วนใหญ่จึงกำลังทำความสะอาดห้องอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหอพักของเด็กผู้ชายที่มีการร้องเรียนมากมายเกี่ยวกับความสะอาด อย่างไรก็ตาม สามัญชนส่วนใหญ่ก็มักจะต้องทำงานบ้านของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงสามารถเก็บกวาดกันได้ตามปกติ

ไม่ใช่แค่เด็กใหม่เท่านั้นที่อาศัยอยู่ในชั้นแรก รุ่นพี่เองก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ตอนที่โจวเหว่ยชิงอยู่ที่จุดลงทะเบียน เขาได้ยินมาว่าโรงเรียนทหารเฟยหลี่แห่งนี้เป็นหลักสูตร 4 ปี การเข้าเรียนใหม่ถูกนับว่าปีแรก พวกเขาจะสามารถสำเร็จการศึกษาได้หลังจากสอบไล่ในปีที 4 สำเร็จ

ในขณะที่เขากลับไปยังหอพักและเปิดประตูเข้าไปในห้องพักด้วยท่าทีสบายๆ เขาก็พบว่าภายในสะอาดสะอ้านขึ้นมาก อย่างน้อยพวกข้าวของก็ถูกจัดเก็บและวางไว้อย่างเป็นระเบียบ เพื่อนร่วมห้องของเขาจัดเตียงของตัวเอง ปูผ้าปูที่นอนและจัดผ้าห่มใหม่อย่างสวยงาม

เมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงกลับมาแล้ว หม่าฉุนตัวยักษ์ก็รีบผุดลุกขึ้นทันที “ลูกพี่ ท่านกลับมาแล้ว เมื่อกี้พี่สะใภ้มาช่วยท่านจัดที่นอนด้วย”

โจวเหว่ยชิงมองเขาอย่างขบขันก่อนที่จะพูดว่า “เจ้ายักษ์ทึ่ม ทำไมเจ้าถึงเรียกข้าว่าลูกพี่?”

หม่าฉุนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ความแข็งแกร่งเป็นเหตุผลของโลกใบนี้ ลูกพี่ ท่านสามารถเอาชนะข้าได้โดยไม่ต้องใช้มณีสวรรค์ของท่าน ดังนั้นท่านจึงมีความสามารถมากพอจะเป็นหัวหน้าของข้า ยังไงก็ตาม ลูกพี่ ข้าขอบอกท่านว่านักเรียนใหม่ในปีนี้มีจ้าวมณีสวรรค์ 4 คน นอกจากท่าน พี่สะใภ้ และตัวข้าแล้วยังมีอีกคนที่ลงทะเบียนเร็วกว่าพวกเรา ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 2 ชุด ลูกพี่ ท่านมีมณีสวรรค์กี่ชุด?”

โจวเหว่ยชิงกำลังจะแกล้งเพื่อนตัวใหญ่ที่ดูเหมือนคนซื่อสัตย์คนนี้ แต่ในขณะที่เขากำลังจะทำเช่นนั้น ประตูห้องของพวกเขาก็ถูกเปิดออกดังปัง

โจวเหว่ยชิงโมโหมาก ก่อนหน้านี้ที่หม่าฉุนและคนอื่นๆ เปิดประตูเสียงดัง เขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดเพียงเล็กน้อย อย่างไรเสียพวกเขาทั้งหมดก็เป็นเพื่อนร่วมห้องและพวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ เขาจึงยอมปล่อยไป ทว่าตอนนี้พวกเขาทั้งหมดอยู่ในห้องแล้ว แต่ก็ยังมีใครบางคนกล้าเปิดประตูเข้ามาเสียงดัง และนี่ก็คือห้องที่เขาจะต้องอยู่ไปอีก 4 ปี! “พวกเวรเอ้ย! ไม่ว่าเจ้าจะมาที่นี่เพื่ออะไร ไสหัวออกไปซะ!!!” โจวเหว่ยชิงตะโกนออกมา รู้สึกถึงความปั่นป่วนที่ไม่อาจควบคุมได้ภายในตัวเขา

เมื่อประตูถูกเปิดออก ชายหนุ่ม 5 คนก็เดินเข้ามาจากด้านนอก พวกเขาทั้งหมดแต่งกายด้วยชุดนักเรียนสามัญชน แต่ละคนมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ศีรษะล้านเตียนพร้อมกับใบหน้าที่ดูดุร้าย ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในห้อง พวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวของโจวเหว่ยชิง รังสีอาฆาตจึงปรากฏขึ้นในดวงของพวกเขาขณะที่จ้องมองมายังร่างของโจวเหว่ยชิง

หม่าฉุนยืดอกขึ้น เขาเดินมายืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงพร้อมกับอวดกล้ามเนื้อที่น่าประทับใจของเขา จากนั้นก็พูดกับทั้ง 5 คนว่า “พวกเจ้าไม่ได้ยินลูกพี่ของข้าพูดเหรอ? ไสหัวออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้! ใช่ไหมขอรับลูกพี่?” แม้ว่าหม่าฉุนจะพูดเช่นนั้น แต่คนเจ้าเล่ห์อย่างเขาก็ยังขยับถอยไปข้างหลังครึ่งก้าว ปล่อยให้โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้าย

“เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้าอยากตายนักเรอะ!?” รุ่นพี่หัวโล้นคนหนึ่งจ้องมองมาที่เขา ทว่าอีกคนกลับตะโกนออกมาว่า “พอแล้ว อย่าไปสนใจพวกเศษสวะเลย พวกเรามาที่นี่เพื่อแจ้งให้พวกเจ้าทราบกฎของหอพักสามัญชน”

“กฎงั้นรึ?” โจวเหว่ยชิงเปิดปากหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงไม่อยากรีบไล่พวกเขาออกไป “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นรุ่นพี่ของเรา ข้านี่ช่างหยาบคายจริงๆ โปรดช่วยแจ้งกฎให้พวกเราทราบด้วย” ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น รอยยิ้มเป็นมิตรบนใบหน้าของเขานั้นดูซื่อสัตย์และไร้เดียงสายิ่งกว่าหม่าฉุนเสียอีก เมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วขนาดนี้ เพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ ต่างก็มีท่าทีเปลี่ยนไปเช่นกัน สีหน้าของพวกเขาแปลกประหลาดขึ้นขณะที่ในใจกำลังคิดดูถูก

รุ่นพี่หัวโล้นแค่นเสียงและพูดว่า “อย่างน้อยก็ยังฉลาดอยู่บ้างนะเจ้าเด็กเหลือขอ เอาล่ะ เนื่องจากพวกเจ้าเป็นรุ่นน้องที่รักของพวกเรา เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อนมากเกินไป เพียงจำไว้ว่าในอนาคตทุกห้องจะต้องจ่าย 100 เหรียญทองเพื่อเป็นค่าคุ้มครองทุกๆ เดือน  นี่เป็นกฎของหอพักสามัญชนของเรา ในฐานะเด็กใหม่ที่นี่ ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าบางคนมีมากเกินพอ ดังนั้นทุกคนควรรวบรวมเงินของพวกเจ้าให้เร็วที่สุดและจ่ายให้ครบภายในสิ้นเดือนนี้”

หม่าฉุนซึ่งยังอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่อยากจ่ายเงิน? โอ้ะ! นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าพูด ข้ากำลังช่วยพูดแทนลูกพี่ของข้า”

แท้จริงแล้วสาเหตุที่กลุ่มรุ่นพี่หัวโล้นไม่จัดการโจวเหว่ยชิง และคนอื่นๆ ก็เป็นเพราะหม่าฉุน อย่างไรเสียเพื่อนคนนั้นก็ตัวใหญ่และล่ำสันมาก ขนาดเขายืนอยู่เฉยๆ ก็ดูเหมือนหอคอยเหล็กอันโอ่อ่าแล้ว “ไม่จ่ายเหรอ? หึๆ เช่นนั้นพวกเราก็คงจะต้องทำตัวไม่สุภาพ พวกเจ้าก็ลืมไปได้เลยว่าจะมีช่วงเวลาดีๆ ที่โรงเรียนแห่งนี้”

รุ่นพี่หัวโล้นทั้ง 5 แผ่กลิ่นอายที่ดูเหี้ยมโหดออกมาราวกับว่ากำลังจะลงมือจัดการพวกเขา แต่ละคนปลดปล่อยมณีพลังของพวกเขาออกมาเตรียมพร้อม

สามัญชนทั้งหมดต่างก็เป็นจ้าวมณีและทั้ง 5 คนที่อยู่ข้างหน้าก็ล้วนแล้วแต่เป็นจ้าวมณียุทธ์ มณีหลากสีรอบข้อมือขวาของพวกเขาเปล่งประกายออกมาเป็นสีต่างๆ ผู้นำของพวกเขามีมณียุทธ์ 3 ดวงในขณะที่มี 2 คนมีมณี 2 ดวง ส่วนอีก 2 คนมีมณีดวงเดียว

โข่วรุ่ยผุดลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับพูดอย่างโกรธๆ ว่า “พวกท่านก็เป็นนักเรียนสามัญชนเหมือนกัน ทำไมต้องมารังแกพวกเราด้วย!”

หัวหน้ารุ่นพี่แค่นเสียงในลำคอและพูดอย่างเหยียดหยามว่า “หากข้ารังแกเด็กน้อยเช่นพวกเจ้าแล้วจะทำไม? จำบทเรียนนี้ไว้ให้ดี ในโลกนี้ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่สำคัญ”

โจวเหว่ยชิงยกมือขึ้นห้ามโข่วรุ่ยและมองไปยังหม่าฉุนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา “เจ้ายักษ์ทึ่ม เจ้าไม่ได้เรียกข้าว่าลูกพี่หรอกหรือ? เอาล่ะ กำจัดเจ้าพวกหัวโล้นนี่ออกไปให้หมดและข้าจะยอมรับเจ้าเป็นลูกน้องของข้า”

รืมฝีปากของหม่าฉุนกระตุกเล็กน้อยขณะที่เขาพูดอย่างโอดครวญว่า “ลูกพี่ ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก! ท่านก็รู้จักพลังของข้า ข้าถนัดเรื่องป้องกัน ไม่ได้ถนัดเรื่องโจมตี”

โจวเหว่ยชิงมองเขาอย่างด้วยสายตาลึกล้ำ จากนั้นหม่าฉุนก็รู้สึกหนาวเย็นไปถึงกระดูกสันหลัง แม้ว่าเขาจะยังคงมีสีหน้าโศกเศร้าประดับอยู่บนใบหน้าก็ตาม

โจวเหว่ยชิงยิ้มจางๆ ใช้มือปัดหน้าอกที่มีกล้ามเนื้อของหม่าฉุนและพูดว่า “เจ้าหมดโอกาสที่จะเป็นลูกน้องของข้าแล้ว”

หม่าฉุนเริ่มขมวดคิ้วพลางคิดกับตัวเองว่า เจ้านี่คิดว่าเขาอยากเป็นลูกน้องของมันจริงๆ เหรอ?! ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น โจวเหว่ยชิงก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับรุ่นพี่หัวโล้นทั้งห้าแล้ว

“รุ่นพี่ที่รัก อยากจะไสหัวไปเองหรือว่าให้ข้าโยนออกไป?” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างใจเย็น

รุ่นพี่หัวโล้นทั้ง 5 จ้องมองไปที่เขาอย่างตกตะลึง รอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสาของโจวเหว่ยชิงดูขัดแย้งกับคำพูดของเขาเกินไป เขากล่าวคำพูดที่โหดเหี้ยมด้วยใบหน้าเช่นนั้น แม้แต่พวกเขาเองก็ยังคาดไม่ถึง “เจ้าพูดว่าอะไรนะ!!?“

“ข้าพูดว่าพวกเจ้าไสหัวไปได้แล้ว” โจวเหว่ยชิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างกะทันหันพร้อมกับส่งหมัดขวาตรงไปยังหัวหน้าของพวกมันด้วยมณียุทธ์ทั้ง 3 ดวงของเขา

หัวหน้ากลุ่มรุ่นพี่หัวโล้นยกแขนทั้งสองข้างขึ้นบังตามสัญชาตญาณเพื่อป้องกันกำปั้นของโจวเหว่ยชิง แต่ทันใดนั้นเองเสียง *ปัง* ก็ดังออกมา แม้จะว่าเขาจะใช้มณียุทธ์เพิ่มพลังให้ตนเองแล้ว หัวหน้าคนนั้นก็ยังถูกกระแทกจนกระเด็นลอยกลับไปหาชายหัวล้านอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา จากนั้นทั้งคู่ก็พุ่งทะยานออกประตูห้องไปด้วยพลังหมัดของโจวเหว่ยชิงเพียงอย่างเดียว ในเวลาเดียวกันขาซ้ายของโจวเหว่ยชิงก็สะบัดออกไปราวกับสายฟ้า เตะเพียง 3 ครั้ง ชายหัวโล้นอีก 3 คนก็ถูกส่งออกไปเช่นกัน เขาไม่ได้ใช้กลอุบายใดๆ ในการโจมตีครั้งนี้เลยด้วยซ้ำ อาศัยแค่เพียงความแข็งแกร่งของร่างกายก็จัดการคนทั้งหมดได้แล้ว ระดับพลังปราณสวรรค์ของมณียุทธ์พวกมันต่ำกว่าเขามาก ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของร่างกายและมณียุทธ์ที่พวกมันใช้เพิ่มพลังกายเลย ไม่มีใครสามารถรับการโจมตีจากเขาได้แม้แต่คนเดียว

ขณะที่รุ่นพี่ทั้ง 5 กระเด็นออกจากห้องไปยังโถงทางเดินด้านนอก เพื่อนร่วมห้องของโจวเหว่ยชิงทุกคนต่างก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง สิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดของพวกเขาคือ ไม่น่าแปลกที่หม่าฉุนตัวยักษ์คนนั้นจะเรียกเขาว่าลูกพี่ นี่มันความแข็งแกร่งระดับไหนกันฟะเนี่ย?!

………………………………

Related

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเคืองๆ “อย่ามาโกหกข้าซะให้ยาก เจ้าอยากจะไปดูสาวงามหรือช่วยข้าเก็บขยะกันแน่? เจ้าคิดว่าพวกผู้หญิงอย่างเราจะสกปรกเหมือนผู้ชายอย่างเจ้าหรือ? ข้าแวะเข้าไปดูเมื่อกี้แล้ว ห้องพักของข้าสะอาดกว่าเจ้ามาก!”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังแบ่งปันช่วงเวลาแห่งความอบอุ่นอ่อนโยนด้วยกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงดังอยู่ด้านนอก ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พริบตาต่อมาเด็กหนุ่มจำนวน 7 คนก็โผล่เข้ามาในห้องทันที ห้องนี้บรรจุคนได้ 8 คน ดังนั้นตอนนี้เพื่อนร่วมห้องจึงมากันครบแล้ว โจวเหว่ยชิงรู้สึกตกใจนิดหน่อยที่พบว่าเขารู้จักหนึ่งในนั้น เป็นหม่าฉุน เพื่อนตัวใหญ่ที่เขาเคยอัดกระแทกพื้นเมื่อวันก่อนนั่นเอง

ทันทีที่ทั้ง 7 คนเข้ามาในห้อง พวกเขาก็เห็นโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ข้างใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังทำความสะอาดตู้อยู่นั้นทำให้ทั้ง 7 คนมองตาค้างด้วยความตกตะลึง

ชายตัวเตี้ยคนหนึ่งร้องขึ้นมา กรามของเขาอ้าค้างจนหุบไม่ลง “สวรรค์! ข้าเคยได้ยินข่าวลือน่ากลัวเกี่ยวกับสภาพของหอพักชาย ว่ากันว่าห้องพักทั้งสกปรกและรกไม่เป็นระเบียบ แต่นี่ก็ถือว่าดูดีอยู่นะ! พี่ชายท่านนี้ นี่คือคนรักท่านหรือ?”

ขณะนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังยืนหันหลังให้พวกเขา เนื่องจากไม่มีใครเห็นความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของเธอ สายตาของพวกเขาก็จึงไปตกอยู่ที่โจวเหว่ยชิงซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างพอใจและกล่าวว่า “ใช่! พวกเจ้าก็อยู่ในห้องนี้ด้วยเหรอ?”

ชายรูปร่างเล็กคนหนึ่งพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ พวกเราทุกคนเลย ก่อนหน้านี้ตอนรายงานตัว พวกเราได้รับมอบหมายให้อยู่ในห้องเดียวกัน พี่ชาย ท่านช่างโชคดีมากจริงๆ ที่มีคนรักช่วยดูแล พวกเราทุกคนก็ยังได้ประโยชน์ร่วมกับท่าน ให้พวกเราแนะนำตัวก่อนเถิด ข้าชื่อโข่วรุ่ย”

เนื่องจากพวกเขาทั้ง 7 คนเข้าไปพร้อมกัน ห้องขนาดใหญ่จึงรู้สึกเล็กและแคบลงไปถนัดตา โจวเหว่ยชิงมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่กลับไปที่พักก่อนล่ะ เดี๋ยวพวกเราจะจัดการที่เหลือให้เสร็จเอง”

คราวนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้ยืนกรานอีก เธอพยักหน้าเบาๆ ให้เขาก่อนจะหันหลังไปยิ้มให้คนที่เหลือและจากไปพร้อมกับกะละมังในมือ

ด้วยรอยยิ้มที่งดงามสว่างไสวนั้น ทั้งห้องจึงตกสู่ความเงียบทันที นอกจากหม่าฉุนที่เคยเห็นเธอมาก่อนและเตรียมตัวไว้แล้ว อีก 6 คนที่เหลือต่างก็รู้สึกทึ่งกับความงามที่แท้จริงของเธอ พวกเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่งามจนน่าตกตะลึงเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ทุกคนจึงได้แต่อ้าปากค้าง ในที่สุดพวกเขาก็หลุดออกจากภวังค์ก็เมื่อโจวเว่ยชิงกระแอมไอออกมาเสียงดัง เมื่อหันกลับมามองโจวเหว่ยชิงอีกครั้ง สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา

โจวเหว่ยชิงเลือกเตียงชั้นล่างหนึ่งเตียง ไม่นานหม่าฉุนก็รีบเดินไปเลือกเตียงที่อยู่เหนือเตียงของโจวเหว่ยชิงทันที ขณะที่เขากำลังจะวางกระเป๋าไว้บนเตียงด้านบน โจวเหว่ยชิงก็เตะเขาเบาๆและพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ชิ เจ้าไปเตียงอื่นซะ ดูจากขนาดและน้ำหนักของเจ้า ถ้านอนอยู่ข้าบน จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันพังลงมาทับข้า?”

เพื่อนร่วมห้องอีก 6 คนต่างก็ต้องแตกตื่นอีกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะเข้ามาพร้อมกับหม่าฉุน แต่พวกเขาก็ยังคงรักษาระยะห่างจากเขาเอาไว้ อย่างไรเสียขนาดร่างกายของหม่าฉุนก็ดูน่ากลัวเกินไป อีกทั้งพวกเขาก็ได้ยินมาว่าเขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเกรงกลัวหม่าฉุนอยู่บ้าง ใครจะรู้ว่าทันทีที่พวกเขาเข้าไปในห้อง เพื่อนอีกคนภายในห้องจะกล้าเตะเขา

ในขณะที่พวกเขาทั้ง 6 คิดว่าจะต้องมีการวางหมัดแน่ๆ บางอย่างที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็เกิดขึ้นแทน

หม่าฉุนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ประจบสอพลอว่า “ลูกพี่ ข้าแค่อยากใกล้ชิดกับท่านให้มากขึ้นเท่านั้น งั้นข้าจะนอนเตียงด้านล่างอีกเตียงข้างๆ ท่านก็แล้วกัน”

“อืม ก็ได้” โจวเหว่ยชิงลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้านก่อนที่จะพูดว่า “ทุกคน ข้าชื่อโจวเหว่ยชิง พวกเจ้าก็เก็บข้าวของเถอะ ข้าจะออกไปเดินเล่น”

พูดตามตรงแล้วโจวเหว่ยชิงไม่เคยชินกับการมีคนมากมายในห้องของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เพื่อนร่วมห้องกำลังเก็บข้าวของที่พกมาด้วย ทำให้ทั้งห้องกลับมาระเกะระกะอีกครั้ง

หลังจากโจวเหว่ยชิงจากไป โข่วรุ่ยและคนอื่นๆ ก็มองไปที่หม่าฉุนด้วยสีหน้าเปลี่ยนไป พวกเขาคิดกับตัวเองว่า เพื่อนคนนี้ภายนอกดูดีแต่แท้จริงกลับเป็นแค่คนอ่อนแอ! ขี้ขลาดจริงๆ

หม่าคุนรู้สึกได้ถึงสายตาของพวกเขา เขาจึงจ้องกลับ “พวกเจ้ากำลังมองอะไร? อยากสู้กับข้าหรือ? ข้าขอเตือนพวกเจ้าทุกคนในห้องนี้ไว้ พี่ชายโจวเป็นลูกพี่ใหญ่ ส่วนข้าคือลูกพี่รอง[1] เข้าใจหรือไม่?”

เกิดความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นทั้ง 6 คนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “อ้อ แท้จริงแล้วเจ้าก็คืออวัยวะตรงหว่างขา ฮ่าๆๆๆ”

จากนั้นหม่าฉุนก็ตระหนักถึงความผิดพลาดในคำพูดของเขาและลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าอึมครึม จากนั้นทั้งห้องก็มีเสียงเอะอะน่าหนวกหูดังออกมา

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังเดินเล่นอยู่รอบๆ บริเวณโรงเรียน เขาก็เห็นนักเรียนใหม่จำนวนมากเข้ามาในโรงเรียนเพื่อรายงานตัว ดวงตาของเขาสอดส่องไปมาเพื่อมองหาสาวงามไว้ชื่นชม ในขณะที่กำลังประเมินขนาดหน้าอกของนักเรียนใหม่ที่เดินผ่านไป ใบหน้าของเขายังคงประดับไว้ด้วยสีหน้าเฉยเมย หากไม่ใช่เพราะดวงตาที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของเขา คงไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของเขาได้เลย

หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกค่อนข้างผิดหวัง จำนวนนักเรียนหญิงที่เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนี้มีจำนวนน้อยกว่านักเรียนชายมากและแม้แต่สาวงามก็ยังมีน้อยด้วยเช่นกัน ผู้หญิงที่งดงามที่สุดที่เขาเห็นเมื่อสักครู่นั้นมีความงามอยู่เหนือกว่ามาตรฐานทั่วไป  แต่เมื่อเปรียบเทียบกับปิงเอ๋อร์ของเขา นั่นคือความแตกต่างระหว่างพื้นโลกกับสวรรค์ชัดๆ

“เจ้ากำลังมองหาอะไรหรือ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ ทำให้โจวเหว่ยชิงตกใจมาก แม้เขาจะไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเป็นพิเศษ แต่การที่มีคนเข้าใกล้เขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวก็ยังคงสร้างความประหลาดใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก  รูม่านตาจึงหดแคบเล็กลงอย่างระมัดระวัง

ขณะที่เขาหันศีรษะกลับไป เขาก็ตระหนักได้ว่านั่นคือใครบางคนที่คุ้นเคย แม่ทัพเทพสงครามอาณาจักรเฟยหลี่  หมิงหยู!

โจวเว่ยชิงเหลือบตามองเขา แต่ไม่ได้ตอบกลับ

หมิงหยูพูดต่อว่า “ปีนี้พวกเด็กใหม่ไม่ค่อยมีผู้หญิงจริงๆ นั่นแหละ คนรักของเจ้าถือว่างามเป็นอันดับต้นๆ เลยทีเดียว” ทักษะการสังเกตของเขานั้นเข้าขั้นยอดเยี่ยมมาก เขาจึงสามารถบอกได้อย่างเป็นธรรมชาติว่าโจวเหว่ยชิงกำลังมองอะไร

“เจ้าชื่อโจวเหว่ยชิงใช่หรือไม่? รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงประหลาดใจเมื่อเห็นคำตอบของเจ้าเมื่อวันก่อน?” หมิงหยูดูเหมือนจะไม่สนใจท่าทีที่โจวเหว่ยชิงมีต่อเขาและยังคงพูดต่อไปราวกับพูดกับตัวเอง

“ทำไม?” โจวเหว่ยชิงอดจะถามออกไปไม่ได้เพราะเขาเองก็สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เช่นกัน

แสงอ่อนๆ ทอประกายอยู่ในดวงตาของหมิงหยู กลิ่นอายที่แฝงไปด้วยความสง่างามแผ่ออกมาจากร่างของเขาขณะที่พูดว่า “เพราะนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับข้าเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนั้นข้ากำลังลาดตระเวนอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งบริเวณชายแดนและศัตรูก็โผล่มาพอดี กองทัพที่แข็งแกร่งนับแสนนายจากอาณาจักรวั่นโซ่วแอบลอบเข้ามาโจมตีพวกเราโดยมีพลเมืองของอาณาจักรเฟยหลี่ราว 100,000 คน ถูกบังคับให้เป็นแนวหน้า ในเวลานั้นข้ามีกองทหารใต้บัญชาเพียง 5,000 นาย”

ความสนใจของโจวเหว่ยชิงถูกจุดประกายขึ้น เขารีบถามต่อว่า “แล้วท่านทำอย่างไร?”

หมิงหยูกล่าวต่อ “ค่อนข้างคล้ายกับวิธีที่เจ้าตอบคำถาม ข้าออกคำสั่งให้ยิงและฆ่าพวกเขาทันที ประชาชนนับไม่ถ้วนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของเราเอง…แต่ในเวลานั้นข้าก็ไม่มีทางเลือก อย่างที่เจ้าได้เขียนไว้นั่นแหละ ถ้าข้าใจอ่อนและลังเลเพียงเสี้ยววินาทีก็คงไม่ใช่แค่ประชาชนเหล่านั้นที่ต้องเสียชีวิต อนิจจา อาจารย์หลายคนในโรงเรียนเป็นพวกเก่งแต่ทฤษฏี พวกเขาจะรู้จักการนองเลือดและความโหดร้ายของสงครามได้อย่างไร ข้าไม่เพียงสั่งให้พวกเขาฆ่าอีกฝ่ายตามอำเภอใจเท่านั้น ข้ายังสั่งให้ประชาชนทุกคนในเมืองขุดหลุมขนาดใหญ่ภายในที่ใกล้กับกำแพงเมืองและใส่ลวดหนามเอาไว้   ตกค่ำ ข้าก็นำกลุ่มทหารพลีชีพกว่า 1,000 นายลอบออกจากเมืองไปโจมตีศัตรูจากอีกด้าน ตอนนั้นข้าคิดจะสู้จนตาย แต่ทว่าก็ทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะทุกคนจะตื่นตระหนกกันไปหมด จาก 1,000 นาย ข้ารอดชีวิตกลับมาจากการต่อสู้พร้อมกับเหล่าทหารที่บาดเจ็บสาหัสเพียง 47 คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พวกเราสามารถเผาที่เก็บเสบียงของพวกมันได้สำเร็จ”

“พวกมันโกรธมากเพราะโดนลอบโจมตี กองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วจึงได้ส่งทหารออกมาตอบโต้อย่างรุนแรงที่กำแพงเมืองอีกครั้งอย่างไม่กลัวตาย เวลากลางคืนเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเรามาก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็สามารถฆ่าพวกมันได้แค่หมื่นกว่านายก่อนที่พวกมันจะเจาะกำแพงเข้ามาได้สำเร็จ โชคดีที่สิ่งที่รอพวกมันอยู่ในเมืองคือกับดักและพลธนูจำนวนนับไม่ถ้วน ในที่สุดข้าก็ออกคำสั่งให้จุดไฟเผาบ้านเรือนและยุ้งฉางทั้งหมด ตัดเส้นทางการล่าถอยของเราเอง นำกองทหารและประชาชนที่เหลือไปต่อสู้ด้วยกันในเมือง เราต่อสู้กับพวกมันบนท้องถนนเป็นเวลา 2 วัน 2 คืนเพื่อถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในที่สุดกำลังเสริมของเราก็มาถึงและกองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วที่อดอยากมา 3 วันก็ถูกตีแตกอย่างง่ายดาย แน่นอนว่ามีเพียง 30,000 คนเท่านั้นที่หลบหนีไปได้ ด้วยกองกำลังทหารเพียง 5,000 นายและเมืองที่เต็มไปด้วยประชาชน เราสามารถถ่วงเวลาและฆ่าศัตรูไปได้กว่า 70,000 นาย ข้ารู้สึกราวกับว่าตัวเองเพิ่งจะสร้างปาฏิหาริย์สำเร็จ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

ในขณะที่หมิงหยูกำลังอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา แม้น้ำเสียงของเขาฟังดูเฉยเมยและสงบราบเรียบ แต่หัวใจของโจวเหว่ยชิงกลับลุกเป็นไฟ เลือดในกายเดือดพล่านราวกับว่าเขากำลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้นั้นเช่นกัน แม้ว่าหมิงหยูจะไม่ได้อธิบายรายละเอียด แต่คำสั่งของเขาก็คล้ายกันกับคำตอบของโจวเหว่ยชิงมาก วินาทีนั้นโจวเหว่ยชิงจึงรู้สึกราวกับว่าเขากำลังอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ที่นองเลือดร่วมกับหมิงหยู

“แน่นอน นั่นคือปาฏิหาริย์จริงๆ ท่านมีกำลังทหารน้อยกว่าศัตรูถึง 20 เท่า อยู่ในเมืองเล็กๆที่ไม่มีป้อมปราการที่เหมาะสม การที่สามารถถ่วงเวลาไว้ได้กว่า 4 วันและยังเผาเสบียงพวกมันได้อีกนั้น ถ้านั่นไม่ใช่ปาฏิหารย์แล้วจะเป็นอะไรได้?”

หมิงหยูยิ้มอย่างขมขื่น “เสียดายที่ประชาชนอาณาจักรเฟยหลี่ผู้ภักดีของเรา 180,000 คนได้สละชีวิตของพวกเขาใน 4 วันนั้น แม้แต่ทหารอีก 200 นายที่รอดชีวิตในวันนั้นก็ยังเรียกข้าว่าเทพสังหาร ในหมู่พวกเขา มีมากกว่า 1 ใน 3 ที่กลายเป็นบ้าและประชาชนที่รอดชีวิตมาได้ในวันนั้นก็เกลียดชังข้าจนถึงกระดูกดำ ตำแหน่งของข้าเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นแนวหน้าล่ะ?”

ดวงตาที่คมกริบของโจวเหว่ยชิงจ้องไปที่หมิงหยู ในทันใดนั้นความรู้สึกเกลียดขี้หน้าที่เขามีต่อหมิงหยูก็หายไป เขารู้ว่าหมิงหยูสร้างชื่อเสียงของตนขึ้นมาด้วยเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อจากการทำงานหนัก การต่อสู้ที่เสี่ยงชีวิตนับไม่ถ้วน

หมิงหยูถอนหายใจและพูดต่อว่า “แม่ทัพระดับสูงของกองทัพหลายคนต้องการลงโทษข้า แม้แต่คนที่เข้าข้างข้าก็ทำเช่นนั้นเพราะความดีความชอบของข้าก่อนหน้านี้ จะมีสักกี่คนที่เข้าใจข้าจริงๆ? เพราะฉะนั้นในวันที่ข้าเห็นคำตอบของเจ้าและได้พูดคุยกับเจ้า…ข้าก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนประเภทเดียวกับข้า น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่คนของอาณาจักรเฟยหลี่ ไม่เช่นนั้นข้าคงจะหาทางให้เจ้าเข้าร่วมกองทหารของข้าเพื่อให้เราร่วมต่อสู้ด้วยกัน”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่ประชาชนของอาณาจักรเฟยหลี่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่อาจต่อสู้ร่วมกันได้นี่? อย่าลืมว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของข้าเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรเฟยหลี่ของท่าน เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะต่อสู้ร่วมกับท่าน”

หมิงหยูหัวเราะและพูดว่า “หวังว่าสักวันเจ้าจะทำได้ ในยุคนี้สนามรบถือว่าเป็นสังเวียนสำหรับลูกผู้ชายที่แท้จริง”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ จากนั้นก็หันหน้ากลับไปทางประตูทางเข้าสถาบัน

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เอ๊ะ? ผู้หญิงคนนั้นไม่เลวเลยนี่นา!”

หมิงหยูมองตามสายตาของเขา จากนั้นก็เห็นหญิงสาวในชุดสีขาวที่กำลังเดินเข้ามา…

………………………………………………….

[1]老二 เหล่าเอ้อ แปลว่าลูกชายคนที่ 2 หรือเป็นคำสแลงแปลว่าอวัยวะเพศชายก็ได้

Related

หลังจากที่หม่าฉุนจ่ายค่าปรับที่ตนทำลายทรัพย์สินของโรงเรียนแล้ว เหล่าอาจารย์ก็ยอมจากไปโดยดี

โจวเหว่ยชิงตบไหล่ของหม่าฉุนแล้วยิ้มขณะที่เขาพูดว่า “เจ้าฉลาดมาก ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้สถานะของตัวเองเป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้ลูกเตะของข้าใช้พลังไปเพียง 4 ใน 10 ส่วนเท่านั้น! หึ เจ้ายักษ์ทึ่ม เจอกันในอีก 3 วัน!” เมื่อโจวเหว่ยชิงพูดจบ เขาก็หันกลับมาจับมือซ่างกวนปิงเอ๋อร์และเดินออกไปจากโรงเรียนพร้อมกัน

เมื่อมองเห็นร่างของโจวเหว่ยชิงหายลับตาไป หม่าฉุนก็ก้มลงกุมท้องของตัวเอง เขารู้สึกคล้ายล้ำไส้บิดเกลียวจนจะสำรอกออกมาอยู่แล้ว! ไม่นานก็พึมพำกับตัวเองว่า “เจ้านั่นโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว! ไอ้เสือหน้ายิ้มนั่น[1]! เฮ้อ โชคร้ายของข้าจริงๆ เสียดายหญิงสาวที่งดงามขนาดนั้น เฮ้อ ใช้ของสวยๆ งามๆ ไปโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ ทำไมของดีๆต้องถูกจับจองไปหมดแล้วนะ แต่ว่าไอ้เสือหน้ายิ้มนั่นก็แข็งแกร่งอย่างแท้จริง แม้ว่ามันจะไม่ได้ใช้มณีสวรรค์โจมตี ข้าก็ยังรู้สึกเจ็บปวดได้ขนาดนี้ ช่างเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ”

ขณะที่โจวเหว่ยชิงลากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกมาจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่ เขาก็ดูรีบร้อนมาก “อ้วนน้อย ทำไมเจ้าต้องรีบขนาดนี้? พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ที่รักของข้า ข้าคิดถึงเจ้ามากเชียว! แน่นอนว่าเรากำลังมุ่งหน้ากลับไปที่โรง เตี๊ยมเพื่อทำในสิ่งที่ควรทำ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นหญิงสาวอายุ 19 ปีแล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจะไม่เข้าใจสิ่งที่โจวเหว่ยชิงพูดได้อย่างไร ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด จากนั้นก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่”

“ทำไมล่ะ? เจ้าเพิ่งบอกว่าทำได้หากไม่มีใครอยู่?” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอ่ยตอบด้วยท่าทีเงียบสงบ “ข้าพูดเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าพูดเองต่างหาก ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ข้าจากบ้านมา ท่านแม่บอกข้าว่าอย่าเพิ่งทำกับเจ้า”

“ทำอะไรหรือ?” โจวเหว่ยชิงเอ่ยออกมาด้วยท่าทาง ‘ไร้เดียงสา’

ใบหน้าแดงก่ำของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงยิ่งขึ้น “กะ ก็นั่นไง เจ้าก็รู้ดี! ท่านแม่บอกว่าก่อนแต่งงานข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำกับเจ้า ท่านแม่บอกว่าถ้าเจ้าได้มันมาง่ายเกินไป เจ้าจะไม่รู้จักถนอมมัน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้า…ข้าท้องล่ะ”

เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน อย่างไรตามความเป็นจริงแล้วเขาก็ยังเป็น ‘หนุ่มบริสุทธิ์’ อยู่ แม้ว่าเขาจะเคยมีความสัมพันธ์กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาก่อน แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกตัวเสียหน่อย เมื่อจู่ๆ ปิงเอ๋อร์พูดเรื่องการตั้งครรภ์และยืนกรานไม่ให้เขา ‘ทำ’ อย่างนั้นขึ้นมา เขาก็จึงอดไม่ได้ที่จะนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำปากยื่นและพูดว่า “อ้วนน้อย ที่เจ้าอยู่กับข้าก็เพื่อจะทำแค่เรื่องอย่างว่าหรือ? เจ้า…” เมื่อเธอพูดเช่นนั้น ดวงตาที่งดงามของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ

โจวเหว่ยชิงกลัวตอนซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องไห้มากที่สุด เขาจึงลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุขทันที  ไม่นานก็เปิดปากพูดอย่างรวดเร็ว “ไม่ ไม่ ไม่ใช่แน่นอน ข้ารักเจ้า รักทุกอย่างที่เป็นเจ้า แม้การ ‘ทำ’ เช่นนั้นจะเป็นเรื่องยอดเยี่ยมก็จริง แต่ปิงเอ๋อร์ที่รักของข้าสำคัญกว่า พวกเราจะเชื่อฟังท่านแม่ของเจ้า ข้าจะไม่บังคับเจ้า ตกลงไหม?”

“จริงหรือ?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตา โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างรวดเร็วและยกมือขึ้นตบหน้าอกราวกับให้สัญญา

ใบหน้าเคล้าน้ำตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะอย่างรวดเร็ว “อ้วนน้อยที่แสนดีของข้า มาสิ พี่สาวจะมอบรางวัลให้เจ้า” เมื่อพูดจบ เธอก็ยืดเขย่งเท้าและจูบแก้มของเขา

“เอ๋?” เท่านั้นโจวเหว่ยชิงก็รู้ทันทีว่าเขาโดนหลอกเสียแล้ว “ปิงเอ๋อร์! เจ้าก็ริจะเป็นคนเจ้าเล่ห์เหมือนกันรึ!”

“ฮึ่ม ข้าก็เรียนรู้มาจากทุกคนในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์นั่นแหละ! อ๊ะ!! อย่าเข้ามานะ!” เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงกำลังเดินเข้ามาหาเธอด้วยแววตาชั่วร้าย เธอก็รีบวิ่งหนีไปทันที ทั้งสองคนวิ่งข้ามถนนตามกันไปติดๆ ระหว่างกันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงหยอกล้อดังสลับไปมา

เนื่องจากพวกเขากำลังจะเข้าโรงเรียนทหารเฟยหลี่เพื่อศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจัง ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะหยุดพักผ่อนในเวลา 3 วันที่เหลือก่อนเข้าเรียน เมืองเฟยหลี่มีขนาดใหญ่และมีสถานที่สนุกสนานมากมายไว้ใช้หาความบันเทิง โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้เวลาทั้ง 3 วันไปกับการสำรวจและเที่ยวชมเมืองทั้งหมด แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงก็ไม่ลืมแวะไปที่สำนักกักเก็บทักษะวันละ 2 ครั้งเพื่อกักเก็บทักษะทั้งหมดให้เสร็จ ท้ายที่สุดแล้ว นอกเหนือจากทักษะธาตุปีศาจและทักษะธาตุกาลเวลาที่ไม่สามารถหาทักษะเหมาะๆ มากักเก็บได้ ทักษะธาตุอื่นๆ ในมณีทั้ง 3 ดวงต่างก็ถูกเขากักเก็บทักษะไว้จนหมดแล้ว ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ครอบครองพลังที่แท้จริงของไพฑูรย์ตาแมวสองสีทั้ง 3 ในมือเสียที

ตั้งแต่ทั้งคู่พบกัน นี่เป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุดที่พวกเขาได้ใช้ร่วมกัน อนิจจา อ้วนน้อยโจวกลับล้มเหลวในการพยายามหาความเพลิดเพลินกับปิงเอ๋อร์ผู้งดงาม เพื่อป้องกันไม่ให้เขาล้ำเส้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงคอยป้องกันตนเองและปฏิเสธทุกสัมผัสที่ดูใกล้ชิดจนเกินควรอยู่ตลอดเวลา

เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ พริบตาเดียวเวลา 3 วันก็ผ่านไปแล้ว ฝูงชนที่เคยพลุกพล่านในบริเวณโรงเรียนก็สลายไปอย่างช้าๆ ผู้ที่สามารถสอบเข้าเรียนได้ต่างก็กระโดดโลดเต้นด้วยความสุข ในขณะที่ผู้ที่สอบไม่ผ่านก็ต้องกรุ่นคิดวางแผนอีกครั้งอย่างมืดมนว่าจะลองใหม่ในปีหน้าหรือหันไปลองทำอย่างอื่นแทน

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์จับมือกันมารายงานตัวกับโรงเรียนในตอนเช้าตรู่ เมื่อมีซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ด้วย เธอก็ไม่ยอมให้โจวเหว่ยชิงอยู่ในสภาพที่ดูสกปรกเหมือนไม่ได้รับการดูแล แม้ว่าเขาจะยังคงแต่งกายด้วยชุดผ้าเรียบๆ แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สะอาดและดูดี ใบหน้าของเขาอาจเรียกไม่ได้ว่าหล่อเหลาหรือสง่างาม แต่ร่างกายที่สูงใหญ่และกล้ามเนื้อที่ตึงแน่นทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูกล้าหาญคล้ายกับนักรบคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น หญิงงามก็ยังถือว่าเป็นเครื่องประดับที่ดีที่สุดของผู้ชายเช่นกัน เมื่อมีคนงามเช่นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขาจึงดึงดูดสายตาผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดีขณะที่เดินไปตามถนน

ทางเข้าโรงเรียนทหารเฟยหลี่ดูเงียบสงบกว่าครั้งก่อนที่พวกเขาเคยเข้ามา มีนักเรียนรุ่นพี่ประมาณ 20 คนยืนอยู่บริเวณนั้นเพื่อคอยแนะนำนักเรียนใหม่เรื่องรายงานตัวเข้าเรียน

ภายใต้คำแนะนำของพวกเขา โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เดินข้ามสนามหลักเข้าไปในอาคารเรียนขนาดใหญ่ จากนั้นพวกเขาก็พบจุดรายงานตัวสำหรับเรียนใหม่อย่างรวดเร็ว

พวกเขามาถึงค่อนข้างเร็ว สถานที่ซึ่งจัดไว้สำหรับรายงานตัวจึงยังดูไร้ผู้คนและเงียบสงบมาก ขณะนี้มีอาจารย์เพียง 3 คน ที่รับผิดชอบอยู่บริเวณจุดลงทะเบียนสำหรับนักเรียนใหม่

“อรุณสวัสดิ์ท่านอาจารย์ พวกเราเป็นนักเรียนใหม่ที่มารายงานตัวในวันนี้” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ ความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของเธอสามารถดึงดูดความสนใจของอาจารย์ทั้ง 3 ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โชคดีที่พวกเขาทั้งหมดเป็นอาจารย์หญิง ไม่เช่นนั้นโจวเหว่ยชิงคงจะต้องไปปรากฏตัวที่ด้านข้างของเธออีกครั้งเพื่อข่มขวัญ

“เจ้าทั้งคู่เป็นนักเรียนสามัญชนใช่ไหม?” อาจารย์หญิงผมขาวที่ดูมีอายุมากคนหนึ่งถามออกมา

โจวเหว่ยชิงถามอย่างไม่แน่ใจ “ในระหว่างการทดสอบ ขุนนางและสามัญชนมีความแตกต่างกันในเรื่องของเกณฑ์คะแนนรับเข้า แต่ว่าตอนนี้ทุกคนได้รับการตอบรับเข้าเรียนแล้ว ยังมีความแตกต่างระหว่างชนชั้นอยู่อีกหรือ?”

อาจารย์หญิงผู้นั้นอธิบายว่า “แน่นอนว่าแตกต่าง ตัวอย่างเช่นค่าเล่าเรียนของสามัญชนนั้นจ่ายเพียง 20 เหรียญทองต่อปี ในขณะที่ค่าเล่าเรียนสำหรับขุนนางคือ 2,000 ต่อปี การเรียนการสอนเหมือนกัน แต่หอพักและความสะดวกสบายอาจแตกต่างกัน ความแตกต่างอีกประการหนึ่งคือสามัญชนจะต้องมีสถานะเป็นจ้าวมณีเป็นอย่างน้อย แต่ไม่มีข้อกำหนดสำหรับขุนนาง”

เมื่อโจวเหว่ยชิงได้ยินเกี่ยวกับความแตกต่างของค่าเล่าเรียน หัวใจของเขาก็พลันรู้สึกดีมากยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดแล้วโรงเรียนก็จำเป็นต้องใช้เงินเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่จ่ายเงินมากกว่าก็สมควรได้รับการดูแลที่ดีกว่า แม้ว่าเขาจะไม่ชอบการแบ่งชนชั้นเช่นนี้เพราะทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ มีสมอง ปาก และแขนขาเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ควรมีการแบ่งแยกความแตกต่าง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการแบ่งชนชั้นที่นี่ไม่ได้ดูรุนแรงจนเกินไป เขาจึงไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้ต่อ “เช่นนั้นพวกเราก็ต้องขอรบกวนท่านอาจารย์ช่วยลงทะเบียนให้พวกเราด้วยเถิด” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สะกิดโจวเหว่ยชิง บอกเป็นนัยๆ ให้เขาหยุดถามคำถามขณะที่เธอส่งกระดาษตอบรับการเข้าเรียนให้อาจารย์อีกคน

“ภาคการศึกษานี้มีนักเรียนสามัญชน 29 คน ทุกๆ ปีจะมีห้องเรียนชั้นสามัญชนเพียงห้องเดียวและชนชั้นสูง 4 ห้อง ดังนั้นห้องเรียนของเจ้าจึงถูกเรียกว่าห้องเรียนเอกสามัญ พวกเจ้าแต่ละคนต้องจ่าย 20 เหรียญทอง นั่นจะครอบคลุมค่าเล่าเรียนและหอพักด้วย แต่หากต้องการอาหารและเครื่องดื่มเพิ่ม พวกเจ้าจะต้องจ่ายอีกคนละ 50 เหรียญทอง หอพักตั้งอยู่ด้านหลังอาคารเรียนหลักแห่งนี้ ห้องของสามัญชนอยู่ชั้นแรก แบ่งเป็นห้องผู้ชายทางด้านซ้าย และห้องของผู้หญิงทางขวา เจ้าจะต้องอยู่กับเพื่อนร่วมห้องอีก 7 คน”

“หลังจากเปิดภาคเรียนแล้ว พวกเจ้าจะต้องอยู่ในหอพักและไม่ออกนอกบริเวณโรงเรียนโดยไม่ได้รับอนุญาต พวกเจ้าไม่ควรขึ้นไปที่หอพักชั้นอื่นๆ โดยไม่ได้รับเชิญเช่นกันเพราะห้องพวกนั้นเป็นของนักเรียนชนชั้นสูง รับไป นี่คือชุดนักเรียนของเจ้า ได้คนละ 2 ชุด ส่วนเช้าวันพรุ่งนี้จะมีพิธีเปิดภาคเรียนจัดขึ้นที่หอประชุมชั้นแรกของอาคารเรียนหลัก และแน่นอนว่านักเรียนทุกคนจะต้องเข้าร่วม เอาล่ะ เจ้าสองคนไปได้แล้ว”

โจวเหว่ยชิงได้รับชุดนักเรียน กุญแจหอพัก รวมถึงป้ายนักเรียนของพวกเขา หลังจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์จ่ายเงินแล้ว คนทั้งสองก็ออกจากสถานที่รายงานตัว

ทันทีที่พวกเขาออกจากห้อง ริมฝีปากของโจวเหว่ยชิงก็โค้งขึ้นอย่างดูถูกขณะที่พูดว่า “ปิงเอ๋อร์ ดูเครื่องแบบสีขาวเทานี่สิ เนื้อผ้าไม่ดีไปกว่าชุดที่ข้าใส่เลยด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับสิ่งที่นักเรียนชั้นสูงพวกนั้นใส่แล้ว แม้ในแง่ของรูปลักษณ์พวกเราก็ยังดูแตกต่างกันมาก เห็นได้ชัดว่าโรงเรียนทหารเฟยหลี่แห่งนี้เลือกปฏิบัติ!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รีบเข้ามากระซิบว่า “เบาๆ หน่อย! อ้วนน้อย เจ้าต้องจำไว้ว่าเรามาที่นี่เพื่อศึกษาหาความรู้ ตอนนี้อยู่ใต้ชายคาของพวกเขา เราจะทำอะไรได้อีกนอกจากปฏิบัติตามกฎของพวกเขา ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ แต่เจ้าก็ห้ามโวยวายเสียงดังเช่นนี้อีก มาเถอะ ไปที่หอพักและจัดข้าวของกัน ข้าจะช่วยเจ้าทำความสะอาดห้องด้วย”

“อืม…” บางทีอาจเป็นเพราะเขาค่อยๆ ถูกไข่มุกสีดำเข้าครอบงำ อารมณ์ของโจวเหว่ยชิงตอนนี้จึงค่อนข้างแปรปรวนอยู่บ้าง

หอพักอยู่หลังอาคารเรียนหลักและมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย ถึงกระนั้นมันก็ยังมีขนาดที่น่าประทับใจทีเดียว พวกเขารีบไปที่ห้องพักของโจวเหว่ยชิงตามตัวเลขในกุญแจที่ได้รับมา

ทันทีที่ประตูเปิดออก เขาก็ถูกต้อนรับด้วยกลิ่นอันน่าสยดสยอง กลิ่นคล้ายเท้าของพวกนักกีฬาที่หมักหมมมานานหลายปี! กลิ่นนั้นเกือบทำให้โจวเหว่ยชิงหงายหลังล้มตึงไปแล้ว เขารีบยกมือขึ้นกั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ให้ตามเข้ามาและกลั้นหายใจวิ่งเข้าไปเปิดหน้าต่างออกดังปัง ส่งผลให้อากาศภายนอกเริ่มถ่ายเทเข้ามา ทว่านั่นก็ยังทำให้อากาศโล่งขึ้นเพียงเล็กน้อย

ห้องพักรวมมีขนาดไม่เล็กมาก พื้นที่ใช้สอยทั้งหมดราวๆ 40 ตารางเมตร มีเตียง 2 ชั้นจำนวน 4 เตียงตั้งอยู่ในแต่ละมุมห้อง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่โล่งๆ แบ่งออกเป็น 8 ส่วน มีตู้โลหะขนาดใหญ่ 2 ตู้ โต๊ะขนาดใหญ่ 2 ตัว และเก้าอี้ 4 ตัว นอกจากนั้นแล้ว ในห้องก็ว่างเปล่า อ้อ เว้นก็แต่พวกขยะที่เกลื่อนกลาดไปทุกที่ ทั้งห้องจึงดูสกปรกและยุ่งเหยิงมาก เตียง 2 ชั้น นั้นยังเหลือแค่โครงเผยให้เห็นแผ่นไม้ด้านล่าง แน่นอนว่าไร้เงาฟูก เครื่องนอน และผ้าปูที่นอน ปากของโจวเหว่ยชิงกระตุกเล็กน้อย นี่ยังเทียบไม่ได้กับเตียง 2 ชั้นของเขาในกองทัพด้วยซ้ำ!

ทว่าในทางตรงกันข้าม ดูเหมือนซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะปรับตัวได้ดีกว่าเขา “อ้วนน้อย เจ้าพักผ่อนสักหน่อยเถิด ข้าจะจัดการให้เอง ห้องของเจ้าไม่มีพื้นที่แม้แต่จะให้พวกเรานั่งด้วยซ้ำ”

“เดี๋ยวข้าทำเอง” โจวเหว่ยชิงรีบห้ามเธออย่างรวดเร็ว

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคักและพูดว่า “การทำความสะอาดเป็นงานของเด็กผู้หญิง ทำไมเจ้าถึงจะแย่งข้าทำล่ะ? ผู้ชายรับผิดชอบนอกบ้าน ผู้หญิงดูแลเรื่องในบ้าน ถ้าเจ้าพยายามจะแย่งงานข้า ข้าจะโกรธเจ้า อย่างน้อยก็ให้ข้าเรียนรู้วิธีดูแลเจ้าเถิด เอาล่ะ ข้าจะไปซื้อกะละมังมารองน้ำทำความสะอาด” เมื่อพูดจบ เธอก็หมุนตัวจากไปทันที

สายตาของโจวเหว่ยชิงมองตามเธอไป ในใจพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เมื่อมองไปที่เตียง 2 ชั้น ทั้ง 4 เตียงซึ่งสามารถจุผู้ชายได้ 8 คน เขาก็พูดขึ้นมาอย่างโกรธๆ “หึ! คนอื่นๆ เลยได้ประโยชน์ไปด้วย!” ขณะที่พูดเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ แม้ ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยากจะช่วยเขาทำความสะอาด แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เธอเก็บขยะสกปรกพวกนั้นได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงฉวยโอกาสขณะที่เธอออกไปซื้อกะละมัง รีบเก็บขยะที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ทิ้งไปทั้งหมด เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับมาพร้อมกับอ่างน้ำ ห้องนั้นก็ดูสะอาดตาและพร้อมสำหรับถูแล้ว “ปิงเอ๋อร์ ต่อไปข้าจะตามเจ้าไปที่หอพักหญิงและช่วยเจ้าเก็บขยะ ข้าจะได้รู้ด้วยว่าเจ้าพักห้องไหน ฮิๆ” โจวเหว่ยชิงยกยิ้มอย่างมีเลศนัย

…………………………………………..

[1]เสือหน้ายิ้ม 笑面虎 แปลว่า คนที่มีรอยยิ้มแต่จิตใจแฝงความชั่วร้ายเอาไว้; คนหน้าเนื้อใจเสือ

Related

มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่รวมตัวกันอยู่ในสนามทดสอบสมรรถภาพการต่อสู้ในสนามรบ มีอาจารย์ 10 คนทำหน้าที่คุมสอบที่นั่น แต่ละคนแลกเปลี่ยนการโจมตีง่ายๆ กับผู้เข้าสอบก่อนจะลงคะแนนให้

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินไปเข้าแถวทดสอบแถวหนึ่ง เนื่องจากพวกเขา 2 คนแยกจากกันมาหลายเดือนแล้ว ทั้งคู่จึงมีหลายเรื่องอยากจะพูดคุยกัน โจวเหว่ยชิงเพิ่งต่อว่าหมิงหยูว่าเจ้าคนอวดดีเมื่อนาทีก่อน แต่ในขณะนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะอวดซ่างกวนปิงเอ๋อร์เกี่ยวกับพรสวรรค์ของเขาในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เช่นกัน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รับฟังเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า แสดงตัวเป็นผู้ชมที่ดีที่สุดของเขา ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังอธิบายถึงความเจ็บปวดที่เขาได้รับระหว่างการทะลวงจุดตายที่ 12 เขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงร้องแสดงความตกใจเสียงหนึ่ง

สายตาของพวกเขาถูกดึงไปในทิศทางเดียวกันทันที เห็นได้ชัดว่า เสียงนั้นดังมาจากอีกแถวหนึ่งและเป็นผู้เข้าสอบคนหนึ่งที่ทำให้เกิดเสียงโวยวายนั้นขึ้นมา

ผู้สมัครคนนั้นดูสะดุดตาอย่างแท้จริงเนื่องจากขนาดตัวของเขา ความสูง 1.9 เมตรและกล้ามเนื้อตึงแน่นของโจวเหว่ยชิงนั้นก็ถือว่าสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปมากอยู่แล้ว แต่ทว่าเมื่อเทียบกับคนผู้นั้น อาจพูดได้ว่าโจวเหว่ยชิงยังตัวเล็กกว่าหนึ่งขนาด!

ดูเหมือนว่าเขาจะสูงอย่างน้อย 2.1 เมตร กล้ามแข็งนูนของเขาเกือบจะคล้ายกับเนินเขาลูกเล็กๆ! ในขณะนั้นเขากำลังพูดว่า “อาจารย์ การโจมตีของท่านไม่เจ็บไม่คันเลยสักนิด! ดังนั้นขอคะแนนเต็มให้ข้าได้ไหม? ข้าเพิ่งได้ 0 จากการทดสอบความรู้ทั่วไปทางการทหาร ถ้าข้าไม่ได้คะแนนเต็มที่นี่ ข้าก็อาจจะสอบไม่ผ่าน…”

อาจารย์ผู้รับผิดชอบการสอบของเขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้สมัครหม่าฉุน ปลดปล่อยมณีพลังของเจ้าให้ข้าดู”

“โอ้ ได้เลยๆ” ชายหนุ่มร่างใหญ่นามว่าหม่าฉุนยกมือขึ้นอย่างใสซื่อ ในพริบตาถัดมามณีสวรรค์ชุดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นรอบข้อมือของเขา ทางด้านขวามีหยกเหลืองเรืองรองอยู่ บ่งบอกว่ามณียุทธ์ของเขาเป็นประเภทเพิ่มความทนทานหรือการป้องกัน ความบริสุทธิ์ของหยกเหลืองแสดงให้เห็นว่าเขามีสถานะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ ส่วนข้อมือซ้ายของเขาเป็นมณีสีทองเปล่งปลั่ง

“เพชรสีทอง ทักษะธาตุดิน!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องออกมาด้วยความตกใจเล็กน้อย เธอกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “นั่นเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมาเลยทีเดียว ทักษะธาตุดินนั้นใช้สำหรับการป้องกันอยู่แล้ว แต่มณียุทธ์ของเขากลับยังเพิ่มความทนทานอีกด้วย ความสามารถในการป้องกันของเขาต้องสูงมากแน่ๆ! มณีสวรรค์ที่เข้าคู่กันเช่นนี้เรียกว่าประเภทการป้องกันแบบบริสุทธิ์ ทั้งยังหายากกว่าประเภทความว่องไวของข้าอีกด้วย”

โจวเหว่ยชิงแค่นหัวเราะและพูดว่า “แต่ระดับพลังปราณของเขาต่ำกว่าของเจ้ามาก อย่างไรเขาก็เป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นแรกที่มีมณีเพียงชุดเดียว น่าจะมีพลังปราณสวรรค์ไม่เกินระดับ 7”

ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากัน ผู้คุมสอบก็พูดด้วยใบหน้าที่สลดใจ “ผู้สมัครหม่าฉุน เจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ ทำไมถึงยังมาเข้าร่วมการทดสอบ? เจ้าไม่รู้หรือ ไม่ว่าจะโรงเรียนไหน จ้าวมณีสวรรค์ทุกคนสามารถเข้าเรียนได้โดยไม่ต้องสอบ? เอาล่ะ เจ้ามาลงทะเบียนกับข้าที่นี่ ไม่เลว ไม่เลว พรสวรรค์ของนักเรียนปีนี้ดีจริงๆ! เจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์คนที่ 2 ในปีนี้แล้ว!”

“เอ๊ะ?” เสียงประหลาดใจดังขึ้นพร้อมกัน 3 เสียง แน่นอนว่ามาจากหม่าฉุน โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์แลกเปลี่ยนสายตากันอย่างขบขัน  จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ไม่แปลกใจเลยที่หัวเฟิงไม่พูดถึงการทดสอบใดๆ นั่นก็เพราะจ้าวมณีสวรรค์ไม่จำเป็นต้องสอบนั่นเอง! นั่นเป็นข้อได้เปรียบที่ดียิ่งกว่าที่ขุนนางเสียอีก

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์รีบเดินไปหาผู้คุมสอบและพูดว่า “อาจารย์ พวกเราเป็นจ้าวมณีสวรรค์เช่นกัน ท่านช่วยลงทะเบียนให้ด้วยได้ไหม?”

อาจารย์และผู้สมัครคนอื่นๆ ต่างหันมามองพวกเขา รวมถึงยักษ์หม่าฉุนก็หันมาเช่นกัน

เพื่อนตัวใหญ่คนนี้ดูซื่อสัตย์ และไร้เดียงสามากกว่าโจวเหว่ยชิงคิดเสียอีก ทันทีที่เขาเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาก็ฉีกยิ้มกว้างและพูดว่า “พี่สาว ท่านสวยมากเลย”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยิ้มจางๆ และพยักหน้าให้เขา

โจวเหว่ยชิงที่อยู่ข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างเย็นชา เขาสังเกตได้ว่าเพื่อนตัวใหญ่ที่ดูซื่อสัตย์และไร้เดียงสาคนนี้ดูมีบางอย่างเหนือกว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่แสดงออกมา ขณะที่เอ่ยปากชมซ่างกวนปิงเอ๋อร์ว่าสวย เจ้านั่นก็ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างเห็นได้ชัด ในฐานะปรมาจารย์ทางด้านการแสดง โจวเหว่ยชิงย่อมมองเห็นธาตุแท้ของเพื่อนคนนี้อยู่แล้ว

ทว่าผู้เข้าสอบคนอื่นๆ กลับไม่ได้สังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ หลังจากช่วยหม่าฉุนลงทะเบียนแล้ว อาจารย์คนนั้นก็พูดกับพวกเขาว่า“ โปรดแสดงมณีพลังของเจ้าให้ข้าดู”

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้เปิดเผยความลับทั้งหมด พวกเขาทั้งสองยกมือขวาขึ้น ใช้ร่างกายปิดบังสายตางจากผู้สมัครคนอื่นๆ ขณะที่ปลดปล่อยมณียุทธ์ออกมา

ผู้สมัครที่ยืนเข้าแถวรออยู่ทุกคนได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าอย่างชัดเจน แต่แม้จะชะโงกดูจนคอเคล็ด พวกเขาก็ยังไม่อาจมองเห็นอะไรได้เลย เมื่ออาจารย์คนนั้นเห็นพวกเขาทั้ง 2 คนมีมณีสวรรค์ 3 ชุด เขาก็เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ไม่ชักช้ารีบพาพวกเขาทั้งคู่ไปลงทะเบียน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “อ้วนน้อย เจ้าพัฒนาขึ้นอีกแล้วหรือ?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยท่าทางขมขื่น “ไม่ได้อยากเลยด้วยซ้ำ! ข้าเกือบจะตายอยู่ที่เรือนของอาจารย์ฮูเหยียนแล้ว ปิงเอ๋อร์ พอไม่มีเจ้าคอยอยู่เคียงข้าง การทะลวงจุดตายก็เจ็บปวดเกินไปสำหรับข้า”

หลังจากนั้นไม่นานการลงทะเบียนก็เสร็จสมบูรณ์ กระบวนการการทำงานของโรงเรียนทหารเฟยหลี่นั้นมีประสิทธิภาพสูงมาก ทั้ง 3 คนจึงได้รับผลการตอบรับเข้าเรียนทันที ผู้ตรวจสอบยังบอกอีกว่าในอีก 3 วันถัดไป หลังจากการคัดเลือกทั้งหมดสิ้นสุดลง พวกเขาจะต้องมารายงานตัวเพื่อให้โรงเรียนจัดห้องเรียนให้

“พี่สาว ข้าชื่อหม่าฉุน ท่านชื่ออะไรหรือ? ท่านสวยมาก เป็นพี่สาวที่สวยที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลย” ขณะที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังเดินออกจากพื้นที่ทดสอบความสามารถทางการต่อสู้ เจ้ายักษ์หม่าฉุนก็เดินตามพวกเขามาพร้อมกับเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ดูจริงใจ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังจะตอบกลับเขา แต่กลับโจวเหว่ยชิงกลับคว้าตัวเธอเอาไว้ เขามองไปที่หม่าฉุนตัวใหญ่และพูดว่า “เจ้าโง่ ต่อหน้าพี่ใหญ่เช่นข้า การแสดงของเจ้านั้นไร้ฝีมือเกินไป ไปซะ ไม่อย่างนั้นข้าคงจะต้องสั่งสอนเจ้า”

“อ้วนน้อย!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สะกิดเตือนเขา

หม่าฉุนหัวเราะเต็มเสียงและพูดว่า “พี่ใหญ่ท่านนี้ ร่างกายข้าแข็งแกร่งทนทานมาก ท่านไม่สามารถทุบตีข้าได้หรอกถึงแม้ท่านจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์เหมือนกันก็ตาม”

“โอ้? ข้าทุบตีเจ้าไม่ได้งั้นรึ?” โจวเหว่ยชิงมองเขาอย่างสนอกสนใจ คราวนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ราวกับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจึงไม่ได้แสดงความเห็นอะไรอีก

หม่าฉุนยิ้มอย่างโง่เขลาขณะที่เขาหัวเราะและพูดว่า “เอาอย่างนี้ พวกเราพนันกันไหม? ถ้าท่านสามารถทำร้ายข้าได้ ข้าจะยอมจากไป ถ้าไม่ ท่านต้องยกพี่สาวคนสวยนี่ให้ข้า”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะขึ้นมา “กล้าดีจริงๆ! ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ไม่เสียอะไรเลยสินะ ฮ่าๆ…เอาล่ะ นี่เป็นช่วงเวลาที่หายาก ปกติข้าจะไม่ยอมเสียเปรียบในการเดิมพันเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ข้าก็เห็นด้วย พร้อมรึยัง?”

หม่าฉุนแยกขาออกจากกันด้วยท่าทางเตรียมพร้อม ภายนอกเขาอาจดูโง่เขลาและไร้เดียงสา แต่แท้จริงแล้วเขาไม่ได้โง่เง่าเช่นนั้น ตอนนี้เขาจึงเตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่ ถึงกับปลดปล่อยมณีสวรรค์ของเขาออกมารอด้วยซ้ำ เพชรสีทองประจำทักษะธาตุดินเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นมา จากนั้นแสงสีทองค่อยๆ ห่อหุ้มผิวของเขา ร่างกายที่ใหญ่โตของเขาดูใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ผิวของเขาก็ดูแข็งกระด้างราวกับหิน “เอาล่ะ ข้าพร้อมแล้ว เข้ามาเลย”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ไม่เลว ใช้หินเคลือบผิวงั้นรึ? นอกจากความทนทานที่ได้รับจากมณียุทธ์ของเจ้าแล้ว ทักษะนั่นก็ไม่เลวเลยเช่นกัน ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ถ้าข้าใช้มณีสวรรค์นั่นคงจะเป็นการกลั่นแกล้งเจ้ามากเกินไป เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นดูให้ดี ข้าจะไม่ใช้มณีสวรรค์”

ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขาก็ยกมือขึ้นให้หม่าฉุนดู ทันทีที่หม่าฉุนจ้องมาที่ข้อมือของเขา ขาของโจวเหว่ยชิงก็ กระพริบราวกับสายฟ้าแลบ จากนั้นขาขวาของเขาฟาดเข้าที่หน้าท้องของหม่าฉุนอย่างโหดเหี้ยม

*อุ่ก* หม่าฉุนร่างยักษ์และหนักราวกับหินกระเด็นออกไปไกลทันที แม้ว่าเขาจะเปิดใช้การป้องกันทั้งหมดที่มีแล้วก็ตาม

อันที่จริงเขากระเด็นลอยไปข้างหลังเป็นทางยาว ก่อนหน้านั้นร่างของเขาถูกเตะจนงอเป็นรูปคันธนูก่อนจะพุ่งทะยานออกไปข้างหลัง  เสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระยะๆ จากนั้นผิวหนังที่แข็งเป็นหินรอบๆ ร่างของเขาก็พลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เขาถูกกระแทกไปไกลกว่า 30 เมตร

ในชั่วพริบตานั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็พลันหายตัวไปจากข้างกายซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็อยู่เหนือร่างที่กำลังลอยละลิ่วกลางอากาศของหม่าฉุนแล้ว ไม่นานขาขวาตวัดฟาดลงอีกครั้ง คราวนี้เป็นการฟาดจากด้านบนลงไปยังแผ่นหลังของหม่าฉุนอย่างโหดเหี้ยม ร่างของเขาคว่ำลงกลางอากาศและพุ่งสู่พื้นหินแกรนิตรุนแรง ร่างของหม่าฉุนจึงจมหายไปเช่นนั้นเอง…

เหตุการณ์ปั่นป่วนครั้งนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากที่ยืนอยู่รอบๆ สนาม โจวเหว่ยชิงพลันร่อนตัวลงบนพื้นอย่างสง่างาม อันที่จริงเขาไม่ได้ปลดปล่อยมณีสวรรค์ของเขาเลย ไม่แม้แต่จะใช้ทักษะใดๆ เลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งอันน่ากลัวและพลังระเบิดทำลายล้างของขาขวาปีศาจของเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แรงฟาดขาของเขาเพียงครั้งเดียวก็ทำให้หม่าฉุนกระเด็นออกไปไกลได้แล้ว ไม่พอเขายังไล่ตามไปฟาดซ้ำ ส่งหม่าฉุนลงไปนอนที่พื้นอีกครั้ง แน่นอนว่าในขณะนี้ร่างกายมหึมาของหม่าฉุนจึงถูกฝังอยู่ใต้ถนนที่ปูด้วยหินแกรนิตอย่างดี

โจวเหว่ยชิงยืนเหยียบอยู่บนหลังของหม่าฉุนพร้อมรอยยิ้มขณะที่กล่าวว่า “เจ้ายักษ์ทึ่ม พี่ใหญ่คนนี้จะสอนบทเรียนให้เจ้าเอง ชมชอบหญิงงามไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่อย่าพยายามมายุ่งกับผู้หญิงของพี่ใหญ่คนนี้ บอกข้าสิ เจ้าเจ็บหรือไม่?”

เมื่อสองวันก่อน ขณะที่โจวเหว่ยเห็นหมิงหยูและตี้ฝูหยาอยู่ด้วยกัน แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อยเนื่องจากตี้ฝูหยาเป็นคู่หมั้นของเขา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อเพื่อนตัวใหญ่คนนี้พยายามเข้าใกล้ปิงเอ๋อร์ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะยอมทน เขาชอบซ่างกวนปิงเอ๋อร์มากและเธอก็เป็นจุดอ่อนในหัวใจของเขา! เขาต้องรีบทำลายต้นกล้าในใจของหม่าฉุนก่อนที่มันจะเติบโต สำหรับคนที่รู้วิธีแสดงละครเพื่อจีบผู้หญิงเช่นนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือต้องสั่งสอนเขาจนกว่าจะกลัวและไม่กล้าทำต่อ

“ใช่ มันเจ็บ พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว!” หม่าฉุนเงยหน้าขึ้นสั่นๆ การป้องกันของเพื่อนคนนี้ยังคงน่าทึ่งมาก แม้ว่าร่างของเขาจะกระแทกเข้ากับหินแกรนิต แต่ผิวหนังของเขาก็ยังไม่มีเลือดออกสักหยด แต่อย่างไรเขาก็ยังคงเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจ็บปวดภายในลำไส้ของบริเวณที่โจวเหว่ยชิงเตะลงมา ตอนนั้นเขารู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในของเขากำลังถูกพลิกกลับ นับตั้งแต่มณีสวรรค์ของเขาตื่นขึ้น เขาไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เพราะฉะนั้นเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าจะพบเข้ากับคนที่เขาไม่สามารถรับมือได้เช่นนี้!

โจวเหว่ยชิงยกขาขึ้น มองเหล่าอาจารย์ที่กำลังวิ่งมาทางนี้ด้วยสีหน้าแตกตื่น เขารีบพลิกตัวหม่าฉุนขึ้นด้วยเท้า จากนั้นก็ตบฝุ่นออกจากร่างของเขาด้วยรอยยิ้มที่จริงใจบนใบหน้า

“เกิดอะไรขึ้น?” อาจารย์คนหนึ่งเดินเข้ามาถามด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวขณะมองเลยไปยังหลุมรูปมนุษย์ที่ดูน่ากลัวบนพื้น

โจวเหว่ยชิงยิ้มจางๆ “ไม่มีอะไรหรอกขอรับ พวกเราเพิ่งได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนเลยรู้สึกตื่นเต้นมากเกินไปหน่อย พวกเราเลยลองซ้อมกันเล็กน้อยใช่มั้ยสหายหม่าฉุน”

หม่าฉุนเหลือบมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ทว่าก็พยักหน้าตอบอย่างรุนแรง “แน่นอน! พวกเราแค่ฝึกซ้อมกันเล็กน้อย ขออภัยด้วยขอรับอาจารย์ ข้าจะจ่ายเงินค่าซ่อมแซมหินแกรนิตที่พังเอง”

……………………………………………………

Related

โจวเหว่ยชิงเงยศีรษะขึ้น จากนั้นคิ้วของเขาขมวดแน่นทันที ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินไปหาอาจารย์คนนั้นก่อนจะหยิบกระดาษของโจวเหว่ยชิงขึ้นมาอ่าน คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากคนที่เขาเคยพบเมื่อ 2 วันก่อน ชายหนุ่มชุดดำที่เคยอยู่กับตี้ฝูหยา หมิงหยู

เขายังคงสวมชุดสีดำดังเคย ใบหน้าของเขาเฉยชาขณะมองผ่านไปยังโจวเหว่ยชิงราวกับจำเขาไม่ได้

โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเองว่า คนผู้นี้เป็นอาจารย์ในโรงเรียนทหารเฟยหลี่? ถ้าเป็นเช่นนั้นล่ะก็ บางทีเขาอาจมีปัญหาในการสอบในวันนี้เสียแล้ว!

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสังเกตเห็นท่าทีเคารพนับถือที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของอาจารย์คนนั้นด้วย เมื่อหมิงหยูหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา อาจารย์คนนั้นก็ถึงกับลุกขึ้นยืนและเสียสละที่นั่งของตนให้เขา

ขณะเดียวกันนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ทำข้อสอบเสร็จแล้วเช่นกัน เธอจึงลุกขึ้นเดินมาทางโจวเหว่ยชิง ก่อนหน้านี้อาจารย์คนนั้นพูดจาค่อนข้างเสียงดัง ดังนั้นเธอจึงได้ยินเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นและทำได้เพียงมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย

หมิงหยูนั่งอ่านกระดาษแผ่นนั้นอย่างตั้งใจ ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมองโจวเหว่ยชิงอีกครั้ง การแสดงออกบนใบหน้าของเขาเผยให้เห็นท่าทีประหลาดใจที่แฝงอยู่ในนั้น

“ดี…ดี…ดีมาก” หมิงหยูพยักหน้าไปทางโจวเหว่ยชิงและกล่าวว่า “คำตอบนี้ดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาในวันนี้ทีเดียว แม้ว่ามันจะยังดูไร้เดียงสาและไม่ค่อยรอบคอบเท่าไหร่นัก แต่ในฐานะผู้เข้าสอบ คำตอบนี้ก็ถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว อาจารย์เอ้าเล่อ ข้าแนะนำว่านักเรียนใหม่คนนี้ควรได้คะแนนเต็ม”

“อะไรนะ? คะแนนเต็ม?” ใบหน้าของอาจารย์คนนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดทันที “ท่านหมิงหยู นั่นไม่น่าจะถูกต้อง คำตอบของเด็กคนนี้ไร้เหตุผลเกินไป เขาถึงกับต้องการสังหารประชาชน! นอกจากนี้ในข้อความตอนท้ายยังฟังดูไร้สาระมากกว่าเดิมอีก บุกโจมตีค่ายศัตรูเพียงคนเดียวงั้นหรือ? หึ ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลาเสียจริง คำตอบนี้แม้แต่จะให้สอบผ่านยังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับคะแนนเต็ม” เมื่อมองไปที่หมิงหยู ใบหน้าของเขาก็ปรากฏข้อกังขา ถ้าคนตรงหน้าเขาไม่ใช่หมิงหยู เขาคงกล่าวหาว่าเจ้าเด็กใหม่นี่ใช้เส้นสายไปแล้ว

หมิงหยูกล่าวอย่างเฉยเมย “อาจารย์เอ้าเล่อ ท่านศึกษาความรู้ทางทหารทุกรูปแบบมาโดยตลอด แต่ท่านก็ไม่เคยอยู่ในสนามรบจริงเลยสักครั้ง สงครามนั้นถูกหล่อหลอมขึ้นมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ดังนั้นคำตอบของเด็กใหม่คนนี้จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพื่อให้ไม่เป็นการบอกใบ้ผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ข้าจะไม่อธิบายไปมากกว่านี้แล้ว หลังจากการสอบครั้งนี้สิ้นสุดลง ข้าจะให้คำอธิบายกับท่านเป็นการส่วนตัว อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับคำตอบของเขา ข้ายืนยันตามคำพูดเดิมว่าควรให้คะแนนเต็ม ส่วนคำถามของท่านที่ว่าการลอบโจมตีศัตรูเพียงคนเดียวเป็นการกระทำที่ไร้เดียงสาและดูโง่เขลานั้น จะเกิดอะไรขึ้นหากบุคคลนั้นเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลัง? ท่านจะยังคิดว่ามันไร้เดียงสาและโง่เขลาอยู่หรือเปล่า?”

เมื่อเขาพูดจบ เขาก็หยิบปากกาสีแดงที่วางอยู่ข้างๆ อาจารย์คนนั้นขึ้นมาเขียนตัวเลข 100 เป็นสีแดงขนาดใหญ่ลงบนกระดาษ

“ช้าก่อน! ท่านเป็นใคร? ท่านไม่ได้เป็นอาจารย์ตรวจข้อสอบเสียหน่อย แล้วมาให้คะแนนคำตอบของข้าได้อย่างไร?” โจวเหว่ยชิงไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งเลยสักนิด กับชายคนนี้ คนที่อยู่กับคู่หมั้นของเขา เขาไม่ได้รู้สึกประทับใจใดๆ ด้วยเลย!

เมื่อมองเห็นท่าทีไม่เป็นมิตรในสายตาของโจวเหว่ยชิง อาจารย์เอ้าเล่อก็ตัดสินได้ว่าหมิงหยูไม่ได้มีส่วนเกี่ยว ข้องกับเด็กคนนี้แน่นอน อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่เคยเห็นใครกล้าตำหนิหมิงหยูต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากมาก่อน แม้แต่อาจารย์ใหญ่ก็ยังไม่เคยทำเช่นนั้นเหมือนกัน เห็นดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากสอดว่า “เจ้าสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนทหารเฟยหลี่ แต่เจ้าไม่รู้จักเขา แม่ทัพเทพสงครามแห่งอาณาจักรเฟยหลี่ ท่านหมิงหยู?!”

โจวเหว่ยชิงหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์และพูดว่า “แม่ทัพเทพสงคราม? เขาดังมากไหม?”

สีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดูตกตะลึงเป็นอย่างมาก เธอหันกลับไปมองหมิงหยูที่นั่งอยู่ จากนั้นสายตาก็แปรเปลี่ยนเป็นเคารพนับถือ สำหรับผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ทุกคนต่างก็พากันยืนขึ้นด้วยความแตกตื่นดีใจ  ทันทีที่พวกเขาได้ยินคำว่า ‘ท่านหมิงหยู’ บางคนถึงกับหวีดร้องเสียงหลงออกมา ทว่าภายใต้สายตาตำหนิจากผู้คุมสอบ พวกเขาก็ทยอยนั่งลงเพื่อเขียนคำตอบต่อไป แม้ว่าสายตายังคงล่องลอยกลับไปยังด้านหน้าสนามสอบก็ตาม

หมิงหยูเปรยตาไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างไม่ปิดบังท่าทียอมรับในสายตา “อันธพาลน้อย คำตอบของเจ้าทำให้ข้า มองเจ้าต่างออกไปมากทีเดียว! ถ้าไม่ใช่เพราะรายงานการรบในครั้งนั้นเป็นที่รู้กันเฉพาะในหมู่แม่ทัพระดับสูงเพียงไม่กี่คน ข้าคงสงสัยว่าเจ้ารู้เกี่ยวกับการรบในครั้งนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องสงสัยเหตุผลของข้าหรอก สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 วันก่อนเป็นเรื่องหนึ่ง วันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับการที่ข้าเขียนคะแนนลงในกระดาษคำตอบของเจ้า ข้าคิดว่าข้าก็มีสิทธิ์อันชอบธรรมอยู่บ้าง เพราะข้าเป็นหัวหน้าการจัดสอบในครั้งนี้ อ้อ อีกอย่างก็คือ ข้าเป็นคนที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมาเอง”

เมื่อเขาพูดจบ เขาก็หันไปมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงพร้อมกับเผยสีหน้าตกตะลึงในความงามของเธอออกมา “สาวน้อย ข้าขอดูกระดาษคำตอบของเจ้าได้หรือไม่?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งกระดาษคำตอบและบัตรประจำตัวสอบให้หมิงหยูโดยไม่รู้ตัว เขาหยิบกระดาษขึ้นมาและเริ่มอ่านด้วยท่าทีสบายๆ

หลังจากนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็พลันรู้สึกตัวและขยับไปพูดข้างหูของโจวเหว่ยชิงด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าอ้วนน้อย แม่ทัพหมิงหยูคนนี้มีชื่อเสียงมากในอาณาจักรเฟยหลี่และยังเป็นหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของหน่วยจู่โจมในกองทัพของพวกเขา นอกจากนี้เขายังเป็นแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง เป็นบุคคลต้นแบบของเหล่าคนรุ่นเยาว์ในอาณาจักรเฟยหลี่อีกนับไม่ถ้วน เขาถือเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่อยู่บนจุดสูงสุดในโลกแห่งการสู้รบ ฝีมือการต่อสู้ของเขาก็ยังถูกเรียกขานว่าเป็นตำนาน”

โจวเหว่ยชิงโค้งริมฝีปากขึ้นและพูดว่า “ตำนาน?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวต่อว่า “ปีนี้เขาน่าจะอายุประมาณ 30 ปี แต่อย่าเข้าใจผิดเพราะอายุของเขา เขาเป็นคนที่น่าเกรงขามมาก มีข่าวลือว่าเขาติดตามบิดาของเขา แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงนามว่าหมิงหง ตั้งแต่อายุหกขวบเพื่อศึกษาความรู้ทางทหารและวิธีการสั่งการกองทัพทุกประเภท เมื่ออายุ 10 ปี มณีสวรรค์ของเขาก็ตื่นขึ้น อายุ 12 ปี เข้าร่วมฝึกซ้อมกองทัพกับบิดาและทำให้ทหารระดับสูงหลายคนต้องประหลาดใจและแตกตื่นกันไปทั้งหมด เมื่อเขาอายุได้ 14 ปีก็ได้รับโอกาสให้เข้าร่วมกองทัพได้ก่อนเกณฑ์และเขาก็ค่อยๆเลื่อนยศขึ้นมาจากทหารธรรมดา ในเวลาเพียง 2 ปีเขาก็ขึ้นรับตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันด้วยความดีความชอบของตัวเองแล้ว เมื่ออายุ 16 เขาเข้าร่วมสงครามกับอาณาจักรวั่นโซ่ว นำกองพันของตนเข้าต่อสู้กับ 6 กองพันของศัตรูด้วยยุทธวิธีการรบแบบกองโจรเป็นเวลานานกว่า 8 ชั่วโมง สามารถยื้อเวลาให้กองทัพหลักอาณาจักรเฟยหลี่ที่เหลือมาถึง ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างไร้ที่ติ นั่นคือการต่อสู้ครั้งแรกที่ผลักดันให้เขามีชื่อเสียงเช่นทุกวันนี้ หลังจากนั้นเขาก็กลับมาที่อาณาจักรและเข้าเรียนที่โรงเรียนทหารเฟยหลี่แห่งนี้เป็นเวลา 2 ปี แน่นอนว่าเขากวาดรางวัลทุกชนิดในโรงเรียนแห่งนี้ไปทั้งหมด เมื่ออายุ 18 เขากลับสู่สนามรบ หลังร่วมรบมามากกว่า 100 ครั้ง ไม่ว่าจะกองทัพเล็กหรือใหญ่เขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้อีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา ตอนที่เขาอายุ 28 เขาสะสมความดีความชอบมากพอจนสามารถเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้บัญชาการกรมทหาร ด้วยกองกำลัง 100,000 คนภายใต้การบังคับบัญชาของเขา เขาจึงเป็นหนึ่งในแม่ทัพระดับสูงที่ประจำการอยู่ที่ชายแดนทางเหนือ ทุกครั้งที่เขาต่อสู้ในสนามรบ เขาไม่เคยปล่อยให้ศัตรูของเขามีชีวิตรอด เขายังเป็นที่รู้จักในนามเทพแห่งการสังหารอีกด้วย อาณาจักรวั่นโซ่วริษยาความกล้าหาญของเขามาก พวกเขาจึงส่งมือสังหารติดตามเขาและเตรียมกองกำลังขนาดใหญ่ไว้ดักจับและสังหารเขา แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็นวันนี้ เขายังคงมีชีวิตอยู่และสบายดี ประชาชนของอาณาจักรเฟยหลี่และแม้แต่พลเมืองของอาณาจักรอื่นๆต่างก็ยกย่องเขาเป็นวีรบุรุษกันทั้งนั้น ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชนเช่นนี้ เขาไม่ควรนับเป็นตำนานหรือ?”

โจวเหว่ยชิงกรอกตาในขณะที่คว้าแขนของซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาใกล้อย่างเอาแต่ใจและกระซิบข้างหูว่า “ข้าแค่อยากรู้ว่าเขาเป็นต้นแบบของเจ้าด้วยหรือเปล่า?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างเคืองๆ และกลอกตาไปมาขณะพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าชื่นชมความสามารถในการบัญชาการรบของเขาเท่านั้น แต่เขาไม่ใช่ต้นแบบของข้า เขาเป็นคนหลายใจ และมั่วไปทั่ว ลือกันว่าเขาบ้ากามมาก”

“ทำไมแค่มีความใคร่ต้องถูกมองว่าโลเลและมั่วไปทั่วด้วย?!” น้ำเสียงขุ่นเคืองดังออกมาเกือบพร้อมกัน  2 เสียง หนึ่งในนั้นคือผู้ที่ถูกกล่าวถึง หมิงหยู ส่วนอีกคนคือโจวเหว่ยชิง ทว่าหลังจากที่ทั้งคู่พูดออกไปแล้ว ดวงตาของพวกเขาก็หันมาสบกัน หมิงหยูยิ้มออกมาพร้อมกับส่ายหัว ในขณะที่โจวเหว่ยชิงทำได้เพียงส่งเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ

หมิงหยูถือกระดาษของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้ในมือ เขายิ้มและพูดว่า “สาวงามท่านนี้ ไม่ต้องกังวลไป แม้ว่าเจ้าจะบอกว่าข้าเป็นคนโลเลและมั่วไปทั่ว แต่ข้าก็ยังคงให้คะแนนอย่างยุติธรรม”

“คำตอบของเจ้าดูตรงไปตรงมาและค่อนข้างเขียนไปตามตำรามาก ข้าแน่ใจว่าในบรรดาผู้สมัครกว่า 100 คน 90 คนในนั้นจะมีคำตอบที่คล้ายกันกับเจ้าแน่นอน ดังนั้นข้าให้คะแนนเจ้าได้แค่ 50 คะแนน พูดตามตรงว่าในแง่ของการบัญชาการทหาร พรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดมีความสำคัญสูงสุดและทำให้คนๆ นั้นแตกต่างจากคนอื่น แม้ว่าข้าจะไม่อยากยอมรับ แต่เพื่อนตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ เจ้าคนนี้มีความสามารถที่น่าประทับใจมาก เห็นได้ชัดว่าความสามารถของเขาสูงกว่าเจ้าไปอย่างน่าเสียดาย ข้าจะมอบผลการประเมินง่ายๆ ให้กับเขา ‘เด็ดเดี่ยวและพร้อมสังหาร’ ถ้าเขาอายุ 16 ปีจริงๆ ตามที่เขียนไว้ในกระดาษรับสมัครแล้วล่ะก็ ในแง่ของความสามารถเขาก็นำหน้าข้าไปแล้วด้วยซ้ำ อย่างน้อยในวัยนั้นข้าก็คงไม่คิดจะเผาเมืองตัวเองเพื่อหยุดยั้งการรุกรานของศัตรู”

เมื่อได้ยินผลการประเมินของทั้งคู่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หน้าแดงเล็กน้อย เธอโค้งคำนับให้หมิงหยูด้วยความเคารพ “ขอบคุณท่านแม่ทัพ”

หมิงหยูลุกยืนขึ้น จ้องกลับไปที่โจวเหว่ยชิงและยิ้มจางๆ ก่อนจะพูดว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าคล้ายกับข้ามาก อีกทั้งข้าก็ยังสนใจเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ข้าจะกลับมาตามหาเจ้าแน่นอน”

โจวเหว่ยชิงจิ๊ปากและพูดออกมาว่า “ข้า! บิดาผู้นี้ไม่สนใจเจ้าหรอก! ข้าสนใจแต่ผู้หญิง!” หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็คว้ากระดาษกับบัตรประจำตัวแล้ววิ่งหนีไปพร้อมกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ใบหน้าของหมิงหยูฉายแววลำบากใจ เขาส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าเด็กอันธพาลน้อยนั่นดูซื่อๆ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเด็กที่ดื้อรั้นและหัวแข็งมาก ดูเหมือนว่าปีการศึกษานี้จะเป็นจะเป็นปีที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว!”

ทันใดนั้นเองนายทหารคนหนึ่งก็วิ่งอย่างรีบร้อนมาหาหมิงหยู เขาทำความเคารพและกล่าวว่า “รายงานขอรับ”

“อืม พูดมา” หมิงหยูกล่าวอย่างเคร่งขรึม แม้ว่าเขาจะอายุเพียง 32 ปี แต่เขาก็มีความสง่างามตามธรรมชาติซึ่งแสดงให้เห็นถึงรัศมีอันน่าเกรงขามของแม่ทัพ

“คำสั่งจากสำนักงานใหญ่ ให้ท่านแม่ทัพกลับไปรายงานตัวกับพวกเขา”

“อืม…ข้าเข้าใจแล้ว” หมิงหยูโบกมือและพยักหน้าให้อาจารย์คนอื่นๆ ขณะที่เขาเดินจากไป ทิ้งไว้แต่สายตาอิจฉาริษยาและสายตาแสดงความเคารพนับถืออีกหลายคู่

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกโจวเหว่ยชิงดึงไปที่อีกด้านหนึ่งของสนาม เธอจึงอดพูดออกมาอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อ้วนน้อย อย่าคิดมากไปเลย อย่างไรเสียท่านแม่ทัพหมิงหยูก็มีอายุมากกว่า 30 ปีไปแล้ว แต่ดูสิ ตอนนี้เจ้ายังอายุแค่ 16 ปี ดังนั้นข้าเชื่อว่าในอนาคตอ้วนน้อยของข้าจะแซงหน้าเขาได้อย่างแน่นอน”

โจวเหว่ยชิงมองเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจพลางพูดว่า “คิดมาก? ข้าไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิด?! ข้าไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าคนอวดดีคนนั้น ทำไมข้าต้องพยายามแซงหน้าเขาด้วย? เขาก็คือเขา ข้าก็คือข้า!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดไม่ออก เธอคิดกับตัวเองในใจว่า ‘ดูเหมือนว่าข้าจะกังวลแทนเจ้าบ้านี่ไปโดยเปล่าประโยชน์ชัดๆ’ “การทดสอบความรู้ทางทหารเจ้าได้คะแนนเต็มแล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องสอบอะไรอีก งั้นเจ้ารอข้าก่อนก็แล้วกัน ข้าจะไปทดสอบการสมรรถภาพการต่อสู้ในสนามรบ”

โจวเหว่ยชิงยกยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ใครอยากได้คะแนนเต็มของเจ้านั่นกัน ข้าจะไปสอบกับเจ้า ดูสิ สามีของเจ้าทรงพลังขนาดนี้!” ขณะที่พูดเช่นนั้นเขาก็ทำท่าเบ่งกล้ามออกมาจนซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดจะหัวเราะไม่ได้

…………………………………………………………

Related

หญิงสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะมีหน้าตาค่อนข้างธรรมดา ทว่าเมื่อถูกเรียกว่าสาวสวย เธอจึงรู้สึกค่อนข้างพอใจเป็นอย่างมาก สายตาที่เธอใช้มองโจวเหว่ยชิงจึงดูอ่อนลงเล็กน้อย “เอาล่ะ เจ้าชื่ออะไร? บอกอายุ เพศ…เอ่อ นั่นไม่จำเป็นหรอก นอกจากนี้ เจ้าจะลงเรียนสาขาอะไร และเจ้าเป็นชนชั้นสูงหรือไม่?”

“ข้าชื่อโจวเหว่ยชิง อายุ 16 ปี…เอ่อ…สาขา…เอ่อ..รอสักครู่” เขาหันหน้าไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์พร้อมกับถามว่า “เราจะลงทะเบียนเรียนสาขาอะไรหรือ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถึงกับพูดไม่ออก เธอถอนหายใจขณะที่เธอตอบว่า “สาขาบัญชาการทหาร”

โจวเหว่ยชิงหันกลับมาและกล่าวว่า “สาขาบัญชาการทหาร ข้าเป็นขุนนางขั้นที่ 4 ในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ด้วย นั่นนับว่าเป็นชนชั้นสูงหรือไม่?” บิดาของเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ต่อต้านอำนาจของพวกขุนนาง ยิ่งกว่านั้นมันอาจจะช่วยให้เขาสอบผ่านด้วย

หญิงสาวผู้รับผิดชอบการลงทะเบียนกล่าวอย่างขอโทษขอโพยว่า “ข้าขออภัยด้วย แต่มีเพียงขุนนางจากอาณาจักรเฟยหลี่เท่านั้นที่พวกเรายอมรับ สำหรับขุนนางในอาณาจักรอื่นๆ มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นขุนนาง ท่านคงต้องลงทะเบียนในฐานะสามัญชนเท่านั้น”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเย็นเยือกขึ้น เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “งั้นก็ใส่ว่าสามัญชนนั่นแหละ” ความรู้สึกอัปยศอดสูปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา ในฐานะประเทศที่อ่อนแอ แม้แต่สถานะอันสูงส่งของพวกเขาก็ยังไม่ได้รับการยอมรับ ยิ่งไปกว่านั้นคือเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในอาณาจักรเฟยหลี่ที่เป็นพันธมิตรของพวกเขาแท้ๆ อย่างไรก็เป็นความจริงที่ว่าอาณาจักรของพวกเขาอ่อนแอมาก จึงไม่อาจแม้แต่จะเชิดหน้าชูตาว่าตนเป็นประชาชนของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ในชั่วขณะนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเหตุใดบิดาของเขาถึงต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกทหารและออกสู้รบ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับอาณาจักรของพวกเขานั่นเอง!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงอารมณ์แปรปรวนของโจวเหว่ยชิง เธอจึงรีบลงทะเบียนและพาเขามุ่งหน้าเข้าไปในโรงเรียนอย่างรวดเร็ว

“อ้วนน้อย อย่าคิดมากเลย พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อทำให้อาณาจักรของพวกเราแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต ฉะนั้นเจ้าจะต้องอดทนและอดกลั้นต่อทุกสิ่งให้มาก เรามาที่นี่เพื่อเรียนรู้ และเมื่อเราเข้มแข็งขึ้นเราก็จะสามารถตอบแทนอาณาจักรและสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่อาณาจักรได้! ความสามารถของเจ้าสูงส่งมาก ในอนาคตเจ้าจะนำพาอาณาจักรของเราขึ้นเป็นมหาอำนาจได้อย่างแน่นอน”

โจวเหว่ยชิงผงกศีรษะรับ เขาจับมือของซางกวนปิงเอ๋อร์แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ข้า พวกเราต่างหาก ไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหน ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าทิ้งข้าไปหรอก!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเห็นความแน่วแน่ในดวงตาของเขา ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าอ้วนน้อยของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นแค่เจ้าอ้วนน้อยโจวที่มักหาเรื่องแกล้งคนไปวันๆ เหมือนแต่ก่อน คิดได้ดังนั้นในใจก็พลันรู้สึกสั่นไหว เธออดคิดไม่ได้ว่า อ้วนน้อยของข้าโตขึ้นแล้วจริงๆ!

จุดลงทะเบียนตั้งอยู่บริเวณทางเข้าของโรงเรียนทหารเฟยหลี่ในขณะที่การทดสอบจริงจะจัดอยู่ภายในโรงเรียน ด้วยบัตรประจำตัวสอบที่อยู่ในมือของคนทั้งคู่ โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงมุ่งหน้าเข้าไปภายในโรงเรียนด้วยจิตใจอันมุ่งมั่น

ทันทีที่พวกเขาเข้าไปถึงข้างใน พวกเขาก็เห็นสนามรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสที่เปิดโล่งกว้าง สนามแห่งนี้ถูกขุดลงไปด้านล่างจนต่ำกว่าพื้นดินปกติ ทั้งสนามล้อมรอบไปด้วยลู่วิ่งยาว 800 เมตร สุดฝั่งสนามมีอาคาร 6 ชั้นขนาดใหญ่ซึ่งมีความกว้างมากกว่า 300 เมตรตั้งอยู่ นั่นคืออาคารเรียนหลักของโรงเรียน อาคารทั้งหมดเป็นสีเทาเคลือบโลหะที่แผ่รังสีฆ่าฟันเข้มข้นออกมา

การสอบทั้ง 3 หัวข้อจะถูกจัดขึ้นในสนามสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่แห่งนี้และผลลัพธ์จะถูกตัดสินทันที ดังนั้นแต่ละสถานที่สอบจึงมีข้อกำหนดที่ชัดเจนมากสำหรับผู้เข้าสอบแต่ละคน

โจวเหว่ยชิงมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และถามว่า “ปิงเอ๋อร์ เราจะไปส่วนไหนก่อนดี? ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะไม่มีปัญหากับการทดสอบเท่าไหร่ เฮ้อ ตัวข้าเองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนักเลย”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปิดปากถามอย่างสงสัย “ทำไมข้าถึงจะไม่มีปัญหาล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีการสัมภาษณ์ตัวต่อตัวด้วย? ด้วยความงามอันดับต้นๆ ของปิงเอ๋อร์ของข้า เจ้าย่อมได้คะแนนเต็มแน่นอน! สำหรับอีก 2 ด่านเจ้าไม่ต้องมีคะแนนก็ได้เพราะยังไงเจ้าก็ถือว่าผ่านอยู่แล้ว เฮ้อ สำหรับข้า ด้วยใบหน้าเช่นนี้ สงสัยว่าข้าเองก็น่าจะได้คะแนนสูงเช่นกัน แต่สำหรับการสอบข้อเขียน แค่ไม่ได้ 0 คะแนนข้าก็พอใจแล้ว…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคักและตีไหล่เขา “อย่าดูถูกตัวเองเลยน่า เจ้าจะรู้ผลได้อย่างไรถ้ายังไม่เคยลอง ไปเถอะ พวกเราไปลองเข้าร่วมทดสอบความรู้ทางการทหารก่อนดีกว่า  ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ค่อยมั่นใจในส่วนนี้เท่าไหร่”

จุดจัดสอบข้อเขียนเกี่ยวกับความรู้ทางการทหารตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของสนาม ส่วนจุดทดสอบความสามารถในการรบตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ส่วนกลางสนามเป็นจุดสอบสัมภาษณ์ สิ่งนี้จะป้องกันไม่ให้เสียงเอะอะจากการต่อสู้ส่งผลกระทบต่อการสอบข้อเขียน

เมื่อทั้งสองคนเข้าสู่พื้นที่สอบข้อเขียน พวกเขาก็สังเกตเห็นว่ามีที่นั่งว่างเหลืออยู่ไม่กี่ที่เท่านั้น มีคนส่งกระดาษข้อสอบให้พวกเขา ผู้คุมที่รับผิดชอบการสอบบอกพวกเขาว่าไม่อนุญาตให้มีการพูดคุยทันทีที่การทดสอบเริ่มขึ้นและพวกเขาสามารถส่งกระดาษคำตอบให้ผู้คุมได้หลังจากทำเสร็จแล้ว ด้านหน้ามีอาจารย์หลายสิบคนกำลังตรวจข้อสอบที่ทำเสร็จแล้ว เห็นได้ชัดว่ากระดาษคำตอบจะถูกให้คะแนนทันทีที่ส่งไป จากนั้นผู้เข้าสอบก็จะได้รับผลสอบโดยเร็วที่สุด

มีเครื่องเขียนวางไว้บนโต๊ะแล้ว โจวเหว่ยชิงนั่งลงและมองไปที่กระดาษ จากนั้นเขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ หากข้อสอบออกตามข้อมูลพื้นฐานของการบัญชาการทหารเช่นวิธีการจัดตั้งกองกำลังต่างๆ เขาก็คงจะได้คะแนนเป็น 0 แน่ๆ ต้นเหตุก็มาจากช่วงเวลาวัยเด็กของเขา เนื่องจากเวลานั้นเขามีเส้นลมปราณอุดตันและยังไม่สามารถปลุกมณีสวรรค์ของเขาขึ้นมาได้ แม่ทัพโจวเองก็ไม่คาดหวังให้เขารับช่วงต่อและสืบทอดหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบัญชาการทหารเลย แต่ทว่าคำถามในกระดาษแผ่นนี้กลับไม่ได้ถามเกี่ยวกับความรู้ทางทหารเหมือนที่เขาคาดเอาไว้  แต่มันกลับเป็นตัวอย่างของสถานการณ์การต่อสู้

คำถามมีดังนี้ เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกำลังถูกล้อมรอบด้วยกองทหารข้าศึก ปัจจุบันมีกองกำลังเฝ้าเมืองเพียง 5,000 นาย ทั้งยังมีพลเมืองอยู่หลายแสนคนซึ่งในจำนวนนั้นมีทั้งเด็กและคนแก่อยู่เป็นจำนวนมาก กองทัพข้าศึกมีจำนวน 100,000 คนและพวกเขาได้ล้อมเมืองเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว กำลังเสริมจะมาถึงในอย่างน้อยอีก 3 วัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ศัตรูได้บังคับนำชาวบ้านจากหมู่บ้านรอบๆ มาใช้เป็นแนวหน้ารับการโจมตีจากทหารในเมือง ในฐานะแม่ทัพที่มีหน้าที่คุ้มกันเมือง เจ้าจะทำอย่างไร?

ในกระดาษข้อสอบมีคำถามข้อนี้เขียนอยู่เพียงคำถามเดียว ส่วนที่เหลือของกระดาษทั้งหมดถูกเว้นไว้สำหรับคำตอบ

โจวเหว่ยชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มเขียนลงไปอย่างบ้าคลั่ง ปากกาของเขาแกว่งฉวัดเฉวียนไปมาบนกระดาษ บางทีอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาต้องสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์อย่างต่อเนื่องทุกๆ วัน ดังนั้นในตอนนี้แม้แต่ลายมือของเขาก็ยังดูดีขึ้นอย่างน่าประหลาด

ไม่นานเขาก็เขียนจนเต็มหน้ากระดาษ โจวเหว่ยชิงไม่ได้อ่านทวนแม้แต่ครั้งเดียว เขาลุกขึ้นยืนพรวดพราดด้วยความพึงพอใจ เมื่อกวาดสายตามองไปยังด้านข้างก็เห็นว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังคงเขียนคำตอบอยู่ เขาหันกลับมาพร้อมเดินมุ่งหน้าไปส่งกระดาษคำตอบ

อาจารย์ที่อยู่แถวด้านหน้ากำลังยุ่งอยู่กับการตรวจให้คะแนน แต่เนื่องจากมีคำถามเพียงข้อเดียวและอาจารย์เหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นอาจารย์ผู้โชกโชนประสบการณ์ของโรงเรียนทหารเฟยหลี่ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถตรวจข้อสอบได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว โจวเหว่ยชิงเข้าแถวอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะมาถึงตาเขา

อาจารย์ผู้ที่รับกระดาษของเขาไปเป็นชายชราอายุประมาณ 50 ปี ทันทีที่เขาอ่านบรรทัดแรก คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นขึ้นมาทันที ในกระดาษคำตอบของโจวเหว่ยชิงนั้น บรรทัดแรกเขียนเอาไว้ว่า ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!

เมื่ออาจารย์อ่านต่อ เขาก็เห็นสิ่งต่อไปนี้ ถ้าข้าเป็นแม่ทัพของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ข้าจะออกคำสั่งฆ่าโดยไม่ลังเล แม้กลุ่มคนข้างนอกจะเป็นพลเมืองของอาณาจักรเรา แต่ประชาชนและทหารในกำแพงเมืองก็เป็นคนของอาณาจักรของเราเช่นกัน ในเวลานี้ความลังเลอาจทำให้กำแพงเมืองถูกทำลายและมีผู้เสียชีวิตนับไม่ถ้วน เมื่อเป็นเช่นนี้ศัตรูจะยังปล่อยประชาชนที่พวกเขาใช้เป็นกองหน้าไปหรือไม่? แม้ว่าบางทีพวกเขาอาจจะปล่อย แต่ในฐานะแม่ทัพที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ข้าไม่อาจนำชีวิตของประชาชนหลายแสนคนและทหารอีกหลายพันคนของข้าไปเสี่ยงกับการเดิมพันในครั้งนี้ได้

การปกป้องเมืองคือหน้าที่หลักของข้า ประชาชนที่ถูกบังคับให้เป็นแนวหน้านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถ้าข้าไม่ฆ่าพวกเขา ข้าก็ถือว่าล้มเหลวในฐานะผู้บัญชาการคนหนึ่ง บางทีเมืองเล็กๆ ที่ข้าเฝ้าอยู่อาจจะไม่ส่งผลสำคัญใดๆ ต่อภาพรวมของสงคราม แต่สำหรับตัวข้าจะคิดเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ข้าต้องทำตามหน้าที่เพื่อปกป้องเมืองให้สำเร็จ และข้าจะไม่ลังเลหากต้องลงมือต่อสู้และสังหารทุกคนด้วยกำลังทั้งหมดของข้ามี จวบจนศัตรูคนสุดท้าย

หากในที่สุดแล้วศัตรูไม่อาจบุกทะลวงเมืองได้ ในตอนกลางคืนข้าจะส่งต่อหน้าที่ของข้าให้รองแม่ทัพและออกไปจากเมืองคนเดียวเพื่อลอบโจมตีศัตรู  ทั้งหมดนี้เป็นการรับผิดชอบและแก้แค้นให้กับประชาชนข้างนอก แน่นอนว่าข้าจะสังหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าก่อนที่จะกระทำการดังกล่าว ข้าจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเมืองนี้มีเชื้อเพลิงและสารติดไฟเพียงพอ ข้าจะสั่งการแก่สั่งรองแม่ทัพเป็นครั้งสุดท้ายว่า หากมีศัตรูบุกเข้ามาในเมือง ให้ทหารก็จุดไฟเผาเมืองทันทีและต่อสู้กับศัตรูจนตัวตาย แม้ว่าทั้งเมืองจะพินาศและทุกคนจะต้องตกตาย แต่เราจะไม่ทิ้งพวกเขาเอาไว้พร้อมกับข้าวแค่เม็ดเดียวหรือปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อนำไปใช้เป็นแนวหน้าในเมืองถัดไป การบาดเจ็บล้มตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสงครามและข้าก็ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้การปะทะครั้งสุดท้ายจบลงด้วยชัยชนะ สำหรับจำนวนคนที่ต้องตายนั้นข้าทำได้เพียงพยายามลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างเต็มความสามารถเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้แล้ว

เมื่ออ่านคำตอบของโจวเหว่ยชิง สีหน้าของอาจารย์ก็ดูน่าเกลียดขึ้นทันที เขาหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจนรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากโหนกแก้ม “ไร้เหตุผล! นี่มันเรื่องไร้สาระชัดๆ!”

เขาเงยหน้าขึ้นมองโจวเหว่ยชิงพร้อมกับกล่าวว่า “นี่เป็นคำตอบที่ดีที่สุดของเจ้าแล้วงั้นรึ? ข้านึกไม่ออกเลยว่าถ้าเจ้ากลายเป็นแม่ทัพจริงๆ จะมีคนตายไปเพราะเจ้ากี่คน คำตอบของเจ้าทำให้ข้ามองเห็นแต่ภาพภูเขาซากศพและกองเลือด แม่ทัพที่ไม่สนใจชีวิตใคร คนที่สามารถเข่นฆ่าและทำลายล้างทุกอย่างโดยไม่สนใจประชาชน แม่ทัพเช่นนี้จะไม่มีวันเป็นที่รักของกองทัพและพลเมืองเด็ดขาด เจ้าไม่กลัวคนคิดต่อต้านหรือ?”

โจวเหว่ยชิงยักไหล่และพูดว่า “ต่อต้าน? จะมีอยู่หรือถ้าข้าบอกพวกเขาว่าประชาชนเหล่านั้นเป็นทหารของศัตรูที่ปลอมตัวมา? ถ้าข้าเป็นแม่ทัพ หน้าที่ของข้าคือปกป้องอาณาจักร ไม่ใช่แค่ประชาชนกลุ่มเดียว ข้าเชื่อว่าบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพคนไหนที่จะสามารถช่วยชีวิตประชาชนทุกคนได้หรอก ข้าไม่ต้องการความรักของพวกเขา ข้าแค่ต้องการให้ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ในสงครามต้องมีคนเสียสละเสมอ หรือข้าควรต้องยอมจำนนล่ะ?”

อาจารย์ร้องออกมาด้วยความโกรธ “ถึงจะต้องยอมแพ้ก็ยังดีกว่าคำตอบของเจ้า! ไม่ว่าเจ้าจะแก้ตัวอย่างไร ข้าก็จะให้เจ้า 0 คะแนนสำหรับคำตอบนี้! ในความเป็นจริง จากมุมมองของข้า ข้าไม่หวังอยากให้ชายหนุ่มที่มีนิสัยเหมือนเจ้าผ่านเข้าสู่โรงเรียนทหารและออกสู่สนามรบจริงๆ แน่”

โจวเหว่ยชิงเบ้ปากอย่างเหยียดหยาม “เหอะ พวกคนโง่ชอบอวดภูมิ” อย่างไรในการสอบครั้งนี้เขาก็ไม่คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว 0 คะแนนงั้นรึ เหอะ ช่างมัน! นอกจากนี้ ตราบใดที่เขาได้คะแนนเต็มสำหรับการทดสอบอื่นๆ เขาก็น่าจะสอบผ่านได้อยู่แล้ว แน่นอนว่าเขาค่อนข้างมั่นใจในการทดสอบความสามารถในการต่อสู้

ในขณะที่อาจารย์คนนั้นกำลังจะเขียน 0 บนกระดาษ ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ “ช้าก่อน!”

………………………………………………………..

Related

“พี่หยู รอข้าก่อน!” หลังจากตี้ฝูหยามองดูโจวเหว่ยชิงเดินจากไปด้วยสีหน้าตกตะลึง ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที ก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ไล่ตามหมิงหยูทัน “พี่หยู ข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลยจริงๆ”

หมิงหยูพลันเอ่ยอย่างเฉยเมยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ตี้ฝูหยา เจ้าควรรู้นิสัยของข้า ข้าไม่ต้องการมีชื่อเป็นโจรขโมยภรรยาของผู้อื่น นอกจากนี้ข้ายังรักษาคำพูดมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นข้าจะมองข้ามความจริงที่ว่าเจ้าโกหกข้า จากนี้ไม่ต้องตามหาข้าอีกแล้ว มิเช่นนั้นเจ้าควรรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” หลังจากทิ้งคำพูดเหล่านั้นเอาไว้แล้ว เขาก็เดินเข้าไปในวังกักเก็บทักษะโดยไม่หันกลับไปมองด้านหลังแม้แต่น้อย ปล่อยให้ตี้ฝูหยายืนอยู่ที่เดิมด้วยความตกตะลึง

อารมณ์ดีๆ ของโจวเหว่ยชิงพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงหลังพบกับตี้ฝูหยา ขณะที่เขาเดินทอดน่องไปตามถนนในเมืองเฟยหลี่ เขาก็พลันรู้สึกหงุดหงิดและฉุนเฉียวขึ้นมาไม่น้อย พ่อทูนหัวนะพ่อทูนหัว ไม่ใช่ว่าข้าอยากทำให้ท่านเสียหน้า แต่เมื่อเทียบกับปิงเอ๋อร์แล้ว ข้าก็ไม่อาจยอมรับตี้ฝูหยาได้หรอก! ความรู้สึกผิดต่อตี้เฟิงหลิงที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจของเขาได้ถูกลบล้างไปแล้วจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เขาส่ายหัวอย่างแรง จากนั้นก็พึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โมโห    ตี้ฝูหยาไปก็ไม่คุ้มเสีย!”

อย่างไรก็ตาม หลังได้สัมผัสกับการโจมตีของจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลาง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่าตนยังขาดพลังอยู่อีกมาก พลังปราณสวรรค์ของหมิงหยูน่าจะอยู่ที่ระดับที่ 8 ของขั้นทะลวงพิภพ แน่นอนว่าหมิงหยูแข็งแกร่งกว่าเขามาก ถ้าไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งทางกายภาพของโจวเหว่ยชิงนั้นไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้เขาคงจะต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เป็นแน่

ขณะที่เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า โจวเหว่ยก็ชิงมองหาโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้ๆ ไปด้วย เขาตัดสินใจที่จะฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ของเขาก่อนจะหลอมรวมม้วนคัมภีร์ชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานที่เขามีกับมณีของตน ส่วนพรุ่งนี้เขาจะมุ่งหน้าไปที่วังกักเก็บทักษะอีกครั้ง ด้วยอัตราการฟื้นฟูที่รวดเร็วของวิชาเทพอมตะ เขาน่าจะสามารถกักเก็บทักษะได้อีก 2 ครั้งโดยไม่มีปัญหาใด ๆ

2 วันถัดมา

แต่เดิมแล้วทางตะวันออกของเมืองเฟยหลี่เป็นส่วนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดและดูเหมือนจะคึกคักจอแจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบๆ เขตโรงเรียนซึ่งอยู่ใกล้กับวังกักเก็บทักษะนั้นมีผู้คนพลุกพล่านมาก เหตุผลหลักคือวันนี้เป็นวันแรกของการลงทะเบียนเข้าเรียนประจำปีสำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่หลายๆ แห่ง

ระยะเวลาการลงทะเบียนคือ 3 วัน โดยแต่ละโรงเรียนจะมีจำนวนนักเรียนที่รับเข้าและข้อกำหนดที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม มีกฎเพียงข้อเดียวในอาณาจักรเฟยหลี่ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือชนชั้นสูง ทุกคนจะต้องผ่านการทดสอบของโรงเรียนนั้นๆ ก่อนจึงจะสามารถเข้าเรียนได้

มีโรงเรียนต่างๆ มากกว่า 10 แห่ง แต่ทว่าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดกลับมีแค่ 3 โรงเรียน นั่นก็คือ โรงเรียนทหารเฟยหลี่ โรงเรียนเจ้ามณีสวรรค์เฟยหลี่ และโรงเรียนราชสำนักเฟยหลี่

โรงเรียนราชสำนักเฟยหลี่มีชื่อเสียงในด้านการเป็นสถานที่สำหรับบ่มเพาะขุนนางระดับสูงหลายคน พวกเขายังมีกฏที่เข้มงวดที่สุดในบรรดาโรงเรียนทั้งหมด นักเรียนทุกคนจะถูกสงวนไว้เฉพาะพลเมืองของอาณาจักรเฟยหลี่เท่านั้น มีการจัดสอบทั้งหมด 3 วัน รวมทั้งหมด 9 หัวข้อที่แตกต่างกันไปในแต่ละด้าน ดังนั้นจึงมีเฉพาะนักเรียนหัวกะทิเท่านั้นที่จะได้รับการตอบรับเข้าเรียน นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีผู้คนมาสมัครเป็นจำนวนมากที่สุดในบรรดาโรงเรียนทั้งหมด แต่ทว่าอัตราการสอบเข้าได้นั้นมีน้อยกว่า 1 ใน 100 ด้วยซ้ำ

ขุนนางกว่า 8 ใน 10 ส่วนของอาณาจักรเฟยหลี่มักสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนราชสำนักเฟยหลี่ ดังนั้นทุกคนจึงรับรู้ได้ถึงอิทธิพลที่แท้จริงของโรงเรียนแห่งนี้

ในทางกลับกัน สิ่งที่ ‘ง่ายที่สุด’ แต่มีการสมัครเข้าเรียน ‘น้อยที่สุด’ คือโรงเรียนเจ้ามณีสวรรค์เฟยหลี่ มีเพียงข้อกำหนดเดียวในการรับสมัคร นั่นก็คือต้องเป็นจ้าวมณีสวรรค์และฐานะการเป็นพลเมืองของอาณาจักรนั้นไม่ถือว่าสำคัญใดๆ อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาเป็นประชาชนของอาณาจักรอื่น ข้อกำหนดคือการให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่ออาณาจักรเฟยหลี่ ปัจจุบันมีนักเรียนเพียง 100 คนหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย โดยปกติแล้วการรับนักเรียนใหม่ได้ 8-10 คนทุกปีนั้นถือ ว่าเป็นสถิติที่ดีมากแล้ว โรงเรียนนี้มีชื่อเสียงในเรื่องการเป็นแหล่งกำเนิดของจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังมากมาย ในช่วงที่พวกเขาเรียนอยู่ที่นี่ นักเรียนในโรงเรียนสามารถเข้าไปกักเก็บทักษะในวังกักเก็บทักษะได้โดยไม่ต้องเสียเงิน เงื่อนไขที่ดีเช่นนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะดึงดูดจ้าวมณีสวรรค์รุ่นเยาว์จำนวนมากมาสมัครเข้าเรียน

สุดท้ายคือโรงเรียนทหารเฟยหลี่ โดยปกติแล้วจำนวนผู้สมัครจะอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนผู้สมัครโรงเรียนราชสำนักเฟยหลี่ แต่อัตราการรับเข้าเรียนของพวกเขานั้นสูงกว่ามาก อาจจะประมาณ 1 ใน 30 ส่วนได้ พวกเขามีชื่อเสียงในการปลุกปั้นแม่ทัพนายกองที่มีชื่อเสียงมากมาย และแน่นอนว่าที่นี่คือโรงเรียนที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิง   เอ๋อร์ต้องมาสมัครเรียน

เมื่อโจวเหว่ยชิงมาถึงทางเข้าโรงเรียนทหารเฟยหลี่ในตอนเช้าเขาก็ต้องมึนงงอยู่ครู่ใหญ่ ทั้งถนนคับคั่งไปไปด้วยผู้คน แล้วเช่นนี้เขาจะมองหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างไร! เนื่องจากไม่รู้จะทำอย่างไรดี โจวเหว่ยชิงจึงทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ใกล้ๆ แถวรับสมัครอย่างเงอะงะ สายตาสอดส่องไปมาในฝูงชนอย่างต่อเนื่องเพื่อมองหาร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ในขณะที่เขากำลังรออย่างใจจดจ่อ ทันใดนั้นเด็กหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขาแล้วพูดว่า “พี่ชาย ต้องการแผ่นประกาศและกฎการสอบหรือไม่? หากมีสิ่งนี้ ท่านจะเตรียมพร้อมสำหรับการสอบได้ดีขึ้น ขายเฉพาะวันนี้เพียง 10 เหรียญทองเท่านั้น!”

เมื่อมองไปที่แผ่นกระดาษในมือของเขา โจวเหว่ยชิงก็กล่าวอย่างเคืองๆ “กระดาษเพียงแผ่นเดียวขาย 10 เหรียญทอง? ทำไมไม่ไปปล้นคนอื่นเสียเลย” ใครจะรู้ว่าเด็กผอมโซคนนั้นจะกล่าวว่า “การปล้นจะเทียบกับการทำเช่นนี้ได้อย่าง  ไร? รายได้ดีกว่า และยังปลอดภัยมากกว่า”

โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง “ได้ เอามาให้ข้าแผ่นนึง” จากนั้นเขาก็ยืนเฉยๆ อยู่ที่เดิม อย่างไรเสียเขาก็สูงถึง 1.9 เมตรและยืนอยู่ในที่ๆ ค่อนข้างมองเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์น่าจะมองหาเขาได้ง่ายกว่าการที่เขามองหาเธอ

หลังจากจ่ายเงิน 10 เหรียญทองไปแล้ว เขาก็ยืนอยู่ที่เดิมและเปิดอ่านกระดาษที่เขาซื้อมา หลังจากที่เขาดูเนื้อหาในนั้น เขาก็รู้ทันทีว่าถูกหลอกเสียแล้ว หัวข้อของเนื้อหาในกระดาษคือ “กฏทั่วไปสำหรับการลงทะเบียน” เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้มอบให้กับทุกคนที่มาลงทะเบียน แต่เจ้าเด็กนั่นกลับหาเงินจากเขาได้ถึง 10 เหรียญทอง หึ! อย่างไรเสียก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมองหาเจ้าเด็กนั่นในบรรดาฝูงชนที่ดูวุ่นวายขนาดนี้

โจวเหว่ยชิงพูดไม่ออกไปชั่ววินาที เขาคิดกับตัวเองในใจว่า ถ้าตาแก่อันธพาลอยู่ที่นี่ เขาจะต้องด่าข้าจนตายแน่!

ความจริงแล้วสาเหตุที่เขาโดนหลอกไม่ใช่แค่เพราะเขาประมาท แต่เป็นเพราะเขากำลังกังวลเกี่ยวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ ภายในใจจึงรู้สึกกระสับกระส่ายและไม่อยากจะคิดอะไรให้หนักสมองอีก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเงินจำนวนหลายแสนเหรียญทองในกระเป๋าของเขา โจวเหว่ยชิงจึงไม่ได้คิดใส่ใจเงินทองก้อนเล็กๆ มากนัก

ถัดจากข้อความนั้นมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ “หลังจากลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้สมัครควรพกบัตรประจำตัวสอบและเข้าไปในโรงเรียนเพื่อรับการทดสอบ การสอบแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แต่ละส่วนมีค่า 100 คะแนน การทดสอบได้แก่ ความสามารถในการต่อสู้ในสนามรบ ความรู้ทางทหาร และการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว ในขณะเดียวกันก็มีเขียนกำกับไว้ด้วยว่าหากมีคนสามารถทำคะแนนเต็มในการทดสอบใดๆ ก็ตาม พวกเขาจะสามารถเข้าเรียนได้ทันทีโดยไม่ต้องคำนึงถึงผลการทดสอบอีก 2 ชนิดที่เหลือ

ด้านล่างนั่นคือเกณฑ์คะแนนสอบผ่าน สำหรับขุนนางต้องมีคะแนนรวม 150 คะแนน และสำหรับสามัญชนต้องมีคะแนนรวม 180 คะแนน

ทันทีที่เขาเห็นสิ่งนั้น โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว สำหรับคำพูดที่ดูน่าเชื่อถือของอาณาจักรเฟยหลี่ที่ว่า      ‘ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดหรือยศไหน พวกเขาทุกคนล้วนต้องทำการทดสอบ’ นั้นฟังดูดีเกินไปจริงๆ ท้ายที่สุดแล้วความแตกต่างระหว่างชนชั้นก็เกิดขึ้นหลังจากการทดสอบอยู่ดี สงสัยนักว่าตำแหน่งขุนนางขั้นที่ 3 ของข้าในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นถือว่าเป็นขุนนางหรือสามัญชน? โจวเหว่ยชิงพลันขบคิดกับตัวเองในใจ

“เจ้ากำลังมองหาอะไรอยู่หรือ?” ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังตรวจสอบกฎการสอบ เขาก็รู้สึกว่ามีใครบางคนสะกิดที่ไหล่ของเขา ทันทีที่เขาหันกลับไป เขาก็ได้รับการต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส คนตรงหน้าคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่นเอง

โจวเหว่ยชิงตกตะลึงไปพักหนึ่ง เมื่อรู้สึกตัวเขาก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนโดยไม่รู้ตัวและโอบกอดเธอเอาไว้แน่น เรียกสายตาของผู้คนที่อยู่รอบๆ ให้จับจ้องได้เป็นอย่างดี

นับตั้งแต่ที่เขาได้เจอกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแยกกับเธอเป็นเวลานานขนาดนี้ ก่อนหน้าที่เขาเรียนและฝึกฝนอยู่กับฮูเหยียนเอ้าป๋อ ความรู้สึกของเขายังไม่ชัดเจนมากนักเพราะเขามุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้และฝึกฝนเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาออกจากเมืองภูเขาลอยฟ้า หัวใจและความคิดของเขาก็วนเวียนอยู่กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาโดยตลอด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนี้เขาถึงกระวนกระวายมาก  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้พบกับตี้ฝูหยาเมื่อ 2 วันก่อน ความแตกต่างระหว่างผู้หญิงทั้ง 2 คนก็ทำให้เขาคิดถึงซ่างกวนปิงเอ๋อร์มากขึ้นจนกระทั่งอยากจะติดปีกบินไปหาเธอเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็กลับมาพบเธออีกครั้ง เช่นนี้เขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?

ด้านซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ถูกเขากอดอย่างกะทันหันต่อหน้าฝูงชนก็รู้สึกอับอายมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นแรงของโจวเหว่ยชิงและอุณหภูมิอ้อมแขนที่โอบกอดเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา ความอึดอัดที่สะสมอยู่ในใจของเธอก็ค่อยๆ เบาบางลง วินาทีนั้นเธอจึงยกมือกอดเขากลับเช่นกัน ในอกพลันรู้สึกถึงได้ความสงบที่ซึมซาบเข้ามาในหัวใจ

ความจริงแล้วเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็ทำให้เธออึดอัดใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้ขณะที่โจวเหว่ยชิงอยู่เคียงข้าง เธอก็ไม่ได้รู้สึกกับเขารุนแรงเช่นนี้มาก่อนเพราะเขาก็มักจะทำให้เธอโกรธด้วยการกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ หลังจากที่เขาจากไป ในใจเธอก็คิดว่าตนจะได้อยู่อย่างสงบเสียที แต่ทว่าความสงบสุขนี้กลับทำให้เธอนึกถึงเขาตลอดเวลาไปเสียอย่างนั้น แม้ว่าเธอจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับมารดา แต่เธอก็ยังรู้สึกกระสับกระส่ายและอยู่ไม่เป็นสุขเสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอกลัวว่าการไปหาโจวเหว่ยชิง  จะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้วิธีสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของเขา บางทีเธออาจจะไปหาเขาที่เมืองภูเขาลอยฟ้าก่อนหน้านี้แล้วก็เป็นได้

ก่อนหน้านี้เธอเห็นโจวเหว่ยชิงมาก่อนแล้วจากระยะไกลๆ เขากำลังยืนอยู่ที่นี่อย่างโง่เขลาและมองไปรอบๆอย่างวิตกกังวล ในขณะนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่ามีความอบอุ่นสายหนึ่งกำลังแทรกซึมเข้ามาข้างในหัวใจของเธอช้าๆ หัวใจกำลังถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกดีๆ ที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเบียดฝ่าฝูงชนเพื่อเข้าถึงตัวเขาได้

เมื่อพวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ท่ามกลางกลุ่มคนมากมายความสุข และความตื่นเต้นได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของพวกเขา ทั้งคู่ไม่สนใจคนอื่นๆ อีกต่อไป ต่างจมจ่ออยู่ในโลกส่วนตัวของกันและกันราวกับโลกใบนี้ไม่มีผู้อื่นอีกแล้ว

“ปิงเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้ามาก โดยเฉพาะ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ข้าคิดถึงเจ้ามากจริงๆ” โจวเหว่ยชิงยกศีรษะของเขาขึ้นจากบ่าของเธอก่อนจะมองเห็นหญิงงามที่มีใบหน้าแดงก่ำเบื้องหน้าเขา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่าสมองของเขาว่างเปล่า ลืมไปเสียสิ้นว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงตอบรับเบาๆและพูดว่า “ข้าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน อ้วนน้อย เจ้าผอมลงมากจริงๆ…ข้าคิดถึงเจ้า” เมื่อโจวเหว่ยชิงได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีลมหอบหนึ่งพัดเอาความโชคดีทั้งหมดบนโลกใบนี้มาสู่ใบหน้าของเขา เขายิ้มกว้างพลางกล่าวว่า “ข้าขอจูบเจ้าได้ไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผงะและพูดอย่างรวดเร็ว “ไม่”

แต่ทว่าเมื่อมองไปที่ใบหน้าเซื่องซึมของโจวเหว่ยชิง เธอก็ก้มหน้าลงและพูดเบาๆ อีกครั้งว่า “ไม่ใช่ที่นี่”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงสว่างวาบขึ้นทันที เขาขยับเข้ามาใกล้ใบหูของเธอแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงก่ำ เธอฟาดไหล่เขา “เจ้าเข้าใจอะไร?”

โจวเหว่ยชิงยืดอกพลางหัวเราะ “เข้าใจก็หมายความว่าเข้าใจไง…ไปกันเถอะ พวกเราต้องรีบไปลงทะเบียน…” ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขาก็จับมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และเริ่มเบียดตัวผ่านฝูงชนเข้าไปใกล้เป้าหมายของพวกเขา ร่างของโจวเหว่ยชิงสูงใหญ่และแข็งแรง ไม่นานพวกเขาก็สามารถฝ่าเข้าไปยังจุดลงทะเบียนแห่งหนึ่งได้

เมื่อเห็นนักเรียนรุ่นพี่ที่รับผิดชอบการลงทะเบียน เขาก็กล่าวว่า “พี่สาวสุดสวย พวกเรามาที่นี่เพื่อสมัครเรียน”

…………………………………

Related

หลังจากได้รับบัตรเก็บเหรียญทอง โจวเหว่ยชิงก็ไม่อาจห้ามสีหน้าตื่นเต้นของเข้าได้ หลังจากกล่าวขอบคุณชายวัยกลางคนทั้งคู่แล้ว เขาก็ออกจากวังกักเก็บทักษะมาอย่างอย่างรวดเร็ว

เมื่อออกมายืนอยู่ด้านนอกประตูทางเข้าของวังกักเก็บทักษะ เขาก็อยากจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ข้า! บิดาคนนี้เป็นคนรวยแล้ว! 450,000 เหรียญทองงั้นรึ! ฮ่าๆ อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ช่างเป็นอาชีพที่ยอดเยี่ยมจริงๆ! ปิงเอ๋อร์ ในอนาคตถ้าเจ้าอยากจะกักเก็บทักษะอะไร ข้าก็โยนถุงเงินแสนให้เจ้าเอง!

“เจ้าคนนั้นน่ะ อย่าขวาง หลีกทางไปซิ” ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังยืนพร้อมรอยยิ้มโง่เง่าบนใบหน้า น้ำเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะทำให้เขาต้องหลุดออกจากภวังค์ จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนกำลังยืนขวางกลางทางเข้าของวังกักเก็บทักษะ แต่ทว่าทางเข้าของวังกักเก็บทักษะนั้นก็ใหญ่มากเช่นกัน แน่นอนว่ามีพื้นที่มากพอให้เดินอ้อมเขาไป

ขณะนี้มีชายหญิง 2 คน ยืนกำลังอยู่เบื้องหน้าเขา ส่วนคนที่พูดประโยคนั้นออกมาคือหญิงสาวคนหนึ่ง เธอกำลังยืนคล้องแขนกับเด็กหนุ่มข้างๆ ใบหน้าแสดงท่าทีอวดดี

เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีแดงเพลิงที่ขับเน้นรูปร่างที่น่าหลงใหล ดวงหน้าที่งดงามของเธอก็ดูมีเสน่ห์มาก ผมสีแดงยาวสลวยพาดอยู่บนไหล่ สิ่งเดียวที่ทำให้ใบหน้าของเธอดูมีตำหนิไปเล็กน้อยก็คือสีหน้าดูถูกเหยียดหยามและคิ้วที่ขมวดขึ้นอย่างถือดี

เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ หญิงสาวชุดแดงสวมชุดสีดำที่มีแถบสีทองประดับอยู่ ส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของเขาดูเรียบง่ายแต่ทว่าสูงส่ง ผมสั้นสีน้ำเงินเข้มของเขาถูกตัดเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาสีฟ้าสดใสแลดูอบอุ่น ทว่าคิ้วของเขากลับขมวดมุ่นเมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวที่มาด้วยกัน

กิริยาท่าทางและกลิ่นอายของเขาดูสูงส่งกว่าหญิงสาวคนข้างๆ มาก และแม้ว่าเขาจะอายุเพียง 20 กว่าปี แต่ดูเหมือนว่าเขาจะครอบครองความสง่างามนี้มาแต่กำเนิด อีกทั้งเขาก็ยังดูสุขุมเกินวัยด้วย

โจวเหว่ยชิงไม่อยากจะก่อเรื่อง เขารู้ว่าตนเป็นคนผิดเพราะดันมายืนขวางทางเข้าอยู่เป็นเวลานาน แต่ทว่าเมื่อเขาหันไปเห็นหญิงสาวผู้นั้น ฝีเท้าของเขาก็ต้องชะงักลงด้วยความคาดไม่ถึง พริบตานั้นประกายเยือกเย็นพลันปรากฏในดวงตาของเขา แน่นอนว่าเขารู้จักหญิงสาวกระโปรงแดงผู้นี้!

“เจ้าบ้านนอกเซ่อซ่านี่ จ้องอะไรข้า! ออกไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!” หญิงสาวร้องออกมาอีกครั้งด้วยความโมโห ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กหนุ่มชุดดำข้างๆ บางทีคำพูดของเธออาจจะรุนแรงกว่านี้ก็เป็นได้

โจวเหว่ยชิงหัวเราะออกมา มันเป็นเสียงหัวเราะที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์ “คู่หมั้นที่รัก เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ! พวกเรายังไม่ได้ถอนหมั้นกัน แต่เจ้ากลับพบเป้าหมายใหม่แล้ว? ดีมาก ดีจริงๆ”

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวที่กำลังคล้องแขนชายชุดดำอยู่นั้นคือเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ องค์หญิงตี้ฝูหยา คู่หมั้นของโจวเหว่ยชิง

หลังจากผ่านไป 2 ปี ตี้ฝูหยาก็ดูงดงามขึ้นกว่าเดิม อายุ 19 นั้นถือว่าอยู่ในวัยที่หญิงสาวจะบานสะพรั่งงดงามที่สุด อนิจจา ไม่ว่าเธอจะงดงามเพียงใด ในสายตาของโจวเหว่ยชิง เธอก็ยังดูอัปลักษณ์อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อนึกย้อนไปถึงว่าเขาเกือบจะตายภายใต้เงื้อมมือของเธออย่างไรและตอนนี้เธอกำลังจับมือผู้ชายอีกคนอยู่อย่างไร มือของโจวเหว่ยชิงก็กำแน่นจนขึ้นข้อขาวโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าเขาจะต้องการจะถอนหมั้น แต่อย่างไรตอนนี้เธอก็ยังคงเป็นคู่หมั้นของเขาอยู่ หากพบว่าเธอกำลังจับมือผู้ชายคนอื่นอย่างสนิทสนมเช่นนี้ ผู้ชายคนไหนก็ไม่อาจทนได้

เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง ร่างของตี้ฝูหยาก็เกิดสั่นเทาขึ้นมา สายตาพลันปรากฏความไม่เชื่อถือ หลังจากผ่านไปกว่า 2 ปี รูปลักษณ์ของโจวเหว่ยชิงก็เปลี่ยนแปลงไปมาก  เพียงแค่ส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นมาเพียงอย่างเดียวก็ดูไม่น่าเชื่อแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูซอมซ่อและท่าทางเช่นคนเร่ร่อนของเขาประกอบกับตี้ฝูหยาไม่คาดคิดว่าจะได้พบเขาที่นี่ ทั้งหมดทั้งมวลนั่นทำให้เธอจดจำเขาไม่ได้ หลังเพ่งดูใกล้ๆ ในที่สุดเธอก็รู้ว่าเขาเป็นใคร

“เจ้า…..เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ตี้ฝูหยาถามด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนที่ความวิตกกังวลจะปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ แน่นอนว่าความกังวลนั้นไม่ได้เกิดเพราะโจวเหว่ยชิงแต่เป็นเพราะชายหนุ่มอีกคนต่างหาก

“คู่หมั้น?” ชายหนุ่มในชุดดำกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เขาหันไปจ้องตี้ฝูหยาด้วยสายตาเย็นเยียบ

ฉับพลันนั้นตี้ฝูหยารู้สึกทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ “พี่หยู อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา เขาเป็นเพียงบุตรชายไร้ประโยชน์ของแม่ทัพระดับสูงคนหนึ่งในอาณาจักรของข้าและการหมั้นของพวกเราก็เป็นคำสั่งของบิดาข้าเท่านั้น ข้าพยายามจะถอนหมั้นกับเขามาโดยตลอด…”

ชายหนุ่มชุดดำดึงแขนออกจากการเกาะกุมของตี้ฝูหยาอย่างชำนาญและเผยรอยยิ้มสง่างามออกมาขณะที่พูดว่า “นั่นเป็นปัญหาของเจ้ากับเขา อย่างไรเจ้าก็ควรรู้นิสัยของข้า ข้าไม่ต้องการให้ผู้หญิงของข้าไปมีข้อผูกพันกับผู้ชายคนอื่น องค์หญิงตี้ฝูหยา ความสัมพันธ์ของพวกเราสิ้นสุดลงแล้ว”

ราวกับว่าเขาเพิ่งทำอะไรบางอย่างที่ไม่สำคัญเท่าไหร่ เด็กหนุ่มชุดดำเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในวังกักเก็บทักษะโดยไม่หันมาสนใจตี้ฝูหยาที่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยความตกตะลึง ขณะที่เขาเดินผ่านโจวเหว่ยชิง เขาก็ยิ้มและพูดว่า “น้องชาย ไม่เลวเลยนี่ เจ้าช่างโชคดีจริงๆ ไม่ต้องกังวล ข้ายังไม่ได้แตะต้องตี้ฝูหยา เธอยังบริสุทธิ์อยู่”

“บริสุทธิ์หาน้องสาวเจ้าสิ” โจวเหว่ยชิงตอบโต้อย่างเฉยเมย จากนั้นก็ยืนนิ่งไม่ขยับ

รอยยิ้มที่สง่างามและสงบเยือกเย็นของชายหนุ่มชุดสีดำหยุดชะงักลงในช่วงเวลานั้นทันที จากนั้นน้ำเสียงของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับมีเจตนาสังหาร “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

ในช่วงเวลานั้นโจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่าเขากำลังติดอยู่ท่ามกลางสมรภูมิทะเลเลือดและกองซากศพ เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับรังสีสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวชายชุดดำคนนี้ดีเนื่องจากเขาเคยสัมผัสถึงกลิ่นอายที่คล้ายกันนี้จากบิดาของเขามาก่อน ถึงกระนั้น เมื่อเขาหันไปหาชายหนุ่มชุดดำ เขาก็ยังมีรอยยิ้มที่สดใส ใบหน้าเผยความไร้เดียงสา ขณะที่เขาพูดออกมาอย่างชัดเจนทีละคำ “บริสุทธิ์หาน้องสาวเจ้าสิ”

สายตาของพวกเขาทั้ง 2 คนปะทะกันกลางอากาศ ราวกับว่ากำลังเกิดประกายไฟแล่นเปรี้ยะอยู่ระหว่างทั้งสองคน ทันใดนั้นมือขวาของชายหนุ่มชุดดำก็มุ่งตรงไปยังใบหน้าของโจวเหว่ยชิงด้วยความเร็วที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงก็ยกมือขวาขึ้นมา

เสียงระเบิดดังขึ้นกลางอากาศเมื่อมีบางอย่างเข้าปะทะกัน ตี้ฝูหยาที่ยืนอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่หลาก็ถูกคลื่นนั้นกระแทกถอยหลังไป 2 – 3 ก้าวจนเกือบตกจากขั้นบันได

โจวเหว่ยชิงเองก็ยังถูกคลื่นพลังนั้นกระแทกจนต้องถอยหลังไป 2 ก้าวก่อนที่เขาจะกลับมาทรงตัวได้ อย่างไรก็ ตามฝั่งชายหนุ่มชุดดำกลับขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไหล่ของเขาสั่นไหวเบาๆ เนื่องจากดูดซับแรงกระแทกเอาไว้ เขาเพียงแค่ถอยหลังไปครึ่งก้าวก่อนที่จะกลับมายืนตรงได้ดั่งเดิม

รูม่านตาของโจวเหว่ยชิงหดแคบลงทันที ประกายชั่วร้ายวาบผ่านขึ้นมาในดวงตาของเขาราวกับว่ามีสัตว์ร้ายซ่อนอยู่ภายในพร้อมจะกระโจนออกมาได้ทุกเมื่อ สำหรับชายหนุ่มชุดดำนั้น ใบหน้าของเขาก็เผยความประหลาดใจออกมาเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ออกแรงมากนัก ทว่าสำหรับคนที่อยู่ตรงหน้าเขา ทั้งที่ดูเด็กกว่ามาก แต่ก็ยังสามารถรองรับแรงกระแทกพลังของเขาได้อย่างไม่คาดฝัน แม้กระทั่งทำให้เขาถอยหลังไปได้ถึงครึ่งก้าว ความแข็งแกร่งดังกล่าวเกินกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้จริงๆ

ชายคนนี้มีระดับพลังปราณสวรรค์สูงกว่าข้ามากทีเดียว! โจวเหว่ยชิงคิดคำนวณในใจอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดแล้วมณียุทธ์บริสุทธิ์ของเขาก็เป็นประเภทที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย เมื่อรวมกับพลังความแข็งแกร่งที่ไข่มุกสีดำมอบให้ ความแข็งแกร่งของเขานั้นถือว่าเหนือกว่าจ้าวมณีสวรรค์ทั่วไปด้วยซ้ำ ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความแข็งแกร่งของเขากลับต้องพ่ายแพ้ นั่นอาจหมายความว่าชายหนุ่มผู้นี้มีระดับพลังปราณที่สูงกว่าเขามาก

โจวเหว่ยชิงไม่ชักช้า เขาก้าวขาซ้ายไปข้างหน้า จากนั้นหมัดขวาของเขาก็พุ่งทะยานออกไปทันที ในเวลาเดียวกันหลุมดำพลังปราณทั้ง 12 แห่งที่จุดตายต่างๆ ได้เริ่มหมุนวนอย่างเต็มประสิทธิภาพ แสงสีขาวเรืองรองขึ้นโอบล้อมกำปั้นของเขาขณะที่มันพุ่งเข้าหาชายหนุ่มเบื้องหน้า

เด็กหนุ่มในชุดสีดำไม่ได้ถอยหนี เขาง้างหมัดของเขาขึ้นมาเช่นกัน แสงสีขาวสว่างตรงเข้าโอบล้อมกำปั้นของเขาขณะที่ขยับชกไปด้านหน้า อย่างไรก็ตาม แสงสีขาวรอบๆ กำปั้นของเขาก็ดูหนาแน่นและแข็งแกร่งกว่าของโจวเหว่ยชิงมาก

ในขณะที่หมัดของพวกเขากำลังจะปะทะกัน เด็กหนุ่มชุดดำก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ พริบตานั้นเอง โจว เหว่ยชิงก็หายตัวไปต่อหน้าเขา

มณีธาตุที่ส่องแสงแวววาวราวกับเครื่องแก้วทั้ง 5 ดวงและมณียุทธ์หยกน้ำแข็งที่คล้ายกันอีก 5 ดวงปรากฏขึ้นพร้อมกันรอบข้อมือของชายหนุ่มที่สวมชุดดำ เมื่อมณีธาตุดวงที่ 3 ของเขาเปล่งประกายแสงเจิดจ้า แสงสีขาวก็เริ่มกระจายตัวโอบล้อมร่างเขาเอาไว้ทันที ในเวลาเดียวกันนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้นที่ด้านหลังเขา

ร่างของเด็กหนุ่มในชุดดำโงนเงนไปข้างหน้า ไหล่สั่นสะท้านตามแรงกระแทกที่ได้รับก่อนจะต้องขยับตัวก้าวไปด้านหน้าอีกก้าวอย่างช่วยไม่ได้ เกราะแสงสีขาวรอบๆ ตัวดูเหมือนจะแตกละเอียดราวกับเศษแก้ว จากนั้นเขาก็หมุนตัวกลับไปมองด้วยความประหลาดใจที่เห็นโจวเหว่ยชิงปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของเขา ในเวลานี้ โจวเหว่ยชิงเองก็ถูกกระแทกไปข้างหลังด้วยการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเกราะแสงสีขาวเช่นกัน

”ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา?! เจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติ?” สายตาที่ชายหนุ่มชุดดำใช้มองโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าสิ่งที่เขาประหลาดใจไม่ใช่เพราะสถานะจ้าวมณีสวรรค์หรือทักษะธาตุมิติของโจวเหว่ยชิงแต่เป็นเพราะทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาที่เขามีต่างหาก ท้ายที่สุดแล้วในอาณาจักรเฟยหลี่นั้นจ้าวมณีสวรรค์ไม่ได้หายากเหมือนในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ และแน่นอนว่ายังมีจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติระดับสูงอีกเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม แม้ในหมู่จ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติระดับสูงพวกนั้น ผู้ที่มีทักษะเคลื่อนย้ายพริบตานั้นก็ถือว่าหาได้ยากมาก และสิ่งนี้ก็ดูน่าเหลือเชื่อมากยิ่งขึ้นเมื่อรวมเข้ากับความจริงที่ว่าโจวเหว่ยชิงยังมีอายุน้อยมาก! ในโลกของจ้าวมณีสวรรค์นั้น ระดับพลังปราณสวรรค์และจำนวนมณีสวรรค์ถือว่าเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินพลังของจ้าวมณีสวรรค์ แต่ประเภทของทักษะก็มีความสำคัญเช่นกัน บางครั้งอาจจะสำคัญกว่าระดับพลังปราณด้วยซ้ำ อย่างไรเสีย จ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะระดับสูงก็จะสามารถเอาชนะผู้ที่มีพลังปราณระดับเดียวกันหรือแม้กระทั่งระดับที่สูงกว่าเล็กน้อยได้อย่างง่ายดาย

โจวเหว่ยชิงมองไปที่คู่ต่อสู้ของเขา จากนั้นก็รู้สึกตื่นตะลึงอยู่ภายในใจ

ทักษะธาตุแสง การป้องกันทักษะธาตุแสง มณียุทธ์ประเภทเพิ่มความแข็งแกร่ง! จ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะที่มีมณี 5 ดวง!

ชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ตรงหน้าเขาน่าจะมีอายุประมาณ 26-27 ปี แต่ถึงกระนั้นระดับพลังปราณสวรรค์ของเขาก็มาถึงระดับปรมะขั้นกลางแล้ว! โจวเหว่ยชิงรู้ดีว่าแม้แต่บิดาของเขา ตอนที่อายุเท่านี้ก็ยังไปไม่ถึงระดับดังกล่าวเลยด้วยซ้ำ

ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาได้แลกเปลี่ยนฝีมือกัน ผู้คุมเกราะทองจากวังกักเก็บทักษะมากกว่า 10 คนก็ได้ล้อมพวกเขาไว้แล้ว “ท่านจ้าวมณีผู้สูงส่ง ได้โปรดอย่าก่อความวุ่นวายที่วังกักเก็บทักษะเลย”

เด็กหนุ่มในชุดดำพยักหน้าให้โจวเหว่ยชิงพลางกล่าวว่า “ข้าชื่อหมิงหยู ข้าเชื่อว่าเราจะได้พบกันอีกแน่นอน และข้าจะจำคำดูถูกที่เจ้ามีต่อน้องสาวของข้าเอาไว้” หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและเตรียมมุ่งหน้าเข้าไปในวังกักเก็บทักษะ

โจวเหว่ยชิงแค่นเสียงอย่างเย็นชา เขาพูดออกมาเบาๆ ราวกับไม่อยากให้ชายหนุ่มชุดดำได้ยินคำพูดสุดท้ายของเขา “ข้าชื่อโจวเหว่ยชิง ดูถูกน้องสาวของเจ้างั้นเรอะ? ฮึ่ม ระวังไว้ละกัน เจ้าอาจจะกลายเป็นพี่เขยของข้าก็ได้”

หมิงหยูซึ่งที่เพิ่งจะก้าวเข้าไปในวังกักเก็บทักษะเกือบสะดุดล้มเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทว่าเมื่อเขาหันกลับไปโจวเหว่ยชิงก็เดินจากไปแล้ว จากไปโดยที่ไม่แม้แต่จะหันไปมองตี้ฝูหยาเลยด้วยซ้ำ เห็นดังนั้นหมิงหยูก็หัวเราะขึ้นมาด้วยโทนเสียงแปลกประหลาด นานมากแล้วที่ไม่มีใครกล้าพูดเช่นนั้นกับเขา เด็กน้อยคนนี้ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว อย่างไรก็ตาม ระดับพลังปราณสวรรค์ของเขานั้นน่ากลัวมาก เขาน่าจะอายุไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นเขาก็ยังชักนำพลังปราณสวรรค์ให้ออกจากร่างกายได้ ดังนั้นเขาน่าจะอยู่ในขั้นทะลวงพิภพ แม้ว่าเขาจะดูเป็นมือใหม่ แต่เมื่อกี้ก็ยังคงเป็นการต่อสู้ที่น่าประทับใจจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเขาจะค่อนข้างเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป โจวเหว่ยชิง?    หึ…พวกเราคงได้พบกันเร็วๆ นี้แน่

Related

ด้านล่างยังมีคำอธิบายสำหรับทักษะธาตุลมทั้ง 3 ชนิดที่เหลือเขียนกำกับเอาไว้

ทักษะภาพลวงตาทวีคูณ ใช้ทักษะธาตุลมเพื่อแสดงภาพลวงตาทีละหลายๆ ภาพทันที ผู้ใช้สามารถสลับตำแหน่งระหว่างภาพที่ซ้ำกันได้ จำนวนภาพที่ซ้ำกันและระยะเวลาใช้งานขึ้นอยู่กับระดับพลังปราณ

ทักษะสะบัดปีกเฉือน มีความสามารถในการทำลายล้างที่แข็งแกร่งมาก เมื่อใช้ควบคู่กับทักษะกระชากมิติจะกลายเป็นทักษะคู่จักรพรรดิสีเงินกระชากมิติ ถือได้ว่าเป็นทักษะที่เกือบทำให้ผู้ใช้ไร้เทียมทานแล้ว ความสามารถในการทำลายล้างขึ้นอยู่กับระดับพลังปราณ

ทักษะทะลวงสายฟ้า สามารถบิดร่างให้กลายเป็นเป็นเข็มสีเงิน พุ่งเจาะทะลวงทุกอย่างได้ในทันที ในขณะเดียว กันก็ทำให้เคลื่อนที่ได้ด้วยความเร็วมากกว่าเดิม 3 เท่า นี่เป็นทักษะที่สามารถใช้ได้ทั้งการรุกและรับ จักรพรรดิสีเงินใช้ทักษะนี้สำหรับทั้งโจมตีและหลบหนี

หลังจากอ่านคำอธิบายทักษะแล้ว กระแสไอเย็นก็พุ่งเข้าเกาะกุมกระดูกสันหลังของโจวเหว่ยชิงทันที แม้ว่าจักรพรรดิสีเงินตัวนี้จะไม่มีทักษะมากมาย แต่ทักษะทั้งหมดของมันก็ล้วนแล้วแต่ทรงพลังและมีพลังทำลายล้างอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเพื่อนตัวน้อยที่ดูไร้พิษสงตัวนี้ แท้จริงแล้วเป็นนกดุร้ายที่กินสมอง!

ทักษะธาตุลมและธาตุมิติ! โจวเหว่ยชิงอดจะรู้สึกคันยิบในใจไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทักษะของจักรพรรดิสีเงินนั้นทรงพลังมากแค่ไหน อีกทั้งทักษะธาตุมิติยังมีเพียงทักษะเดียวนั่นก็คือทักษะกระชากมิติ แน่นอนว่าเป็นทักษะที่เขาต้องกักเก็บ! สำหรับโจวเหว่ยชิงนั้นทักษะธาตุลมอีก 3 ชนิดก็น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ตามที่ชายวัยกลางคน 2 คนที่อยู่ข้างนอกได้กล่าวไว้ อสูรสวรรค์ระดับราชาเช่นนี้หาได้ยากมาก! ทว่าตอนนี้เขากลับได้พบแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่เสียโอกาสนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์แน่

อย่างไรก็ตาม การทดลองกักเก็บทักษะแต่ละครั้งก็ต้องใช้เงินถึง 100,000 เหรียญทองโจวเหว่ยชิงจึงไม่อาจแบกรับค่าใช้จ่ายระดับนี้ไหว นอกจากนี้ ในบรรดามณีธาตุทั้ง 3 ดวงของเขา เขาได้กักเก็บทักษะธาตุลมไว้ 2 ทักษะแล้ว ดังนั้นจึงเหลือที่ว่างอีกเพียง 1 ดวงสำหรับกักเก็บทักษะธาตุลมจากจักรพรรดิสีเงิน

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็พูดกับตัวเองว่า ไม่สนใจแล้วโว้ย! ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาแล้วกัน! ลองกักเก็บทักษะกระชากมิติก่อน หลังจากนั้นค่อยดูว่าอัตราการฟื้นฟูของวิชาเทพอมตะเพียงพอที่จะให้กักเก็บทักษะที่สองได้หรือไม่ และถ้าหากทำได้ เช่นนั้นค่อยลองกักเก็บทักษะธาตุลมอื่นๆ ดู อย่างไรเสียทักษะธาตุลมทั้ง 3 ชนิดของจักรพรรดิสีเงินนั้นก็ยอดเยี่ยมมากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นข้าจะเหลืออีก 2 ทักษะไว้กักเก็บในมณีดวงที่ 4 และ 5 ก็แล้วกัน

ด้วยเหตุนี้โจวเหว่ยชิงจึงค่อยๆ ยกมือซ้ายขึ้น ถอดความสามารถของแหวนปกปิดตัวตนออกและเผยให้เห็นไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขา เนื่องจากไม่มีแสงแดด มันจึงดูเหมือนไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวอมฟ้าที่เปล่งประกายท่ามกลางแสงสลัวๆ จากคบไฟ

วงล้อทักษะธาตุหมุนไปยังพื้นที่สีเงินภายใต้การควบคุมของโจวเหว่ยชิง มณีดวงที่ 2 ลอยเข้ามาในฝ่ามือของเขา จากนั้นเขาก็ทาบแสงสีเงินเรืองรองในฝ่ามือของเขาลงบนหน้าผากของจักรพรรดิสีเงิน

เขายังจดจำเหตุการณ์ระหว่างการกักเก็บทักษะครั้งแรกของเขาในวังกักเก็บทักษะเมืองภูเขาลอยฟ้าได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่ากุญแจแห่งความสำเร็จของก็อยู่ตรงนี้นี่เอง เพื่อทำให้รอบนี้ดีกว่าครั้งก่อนๆ เขาจึงหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ไปที่ขาขวาของเขาด้วยเพื่อทำให้กลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ของเสือดำแผ่กระจายออกมาได้อย่างเต็มที่

ขณะที่ฝ่ามือซ้ายของโจวเหว่ยชิงแตะลงที่หน้าผากของจักรพรรดิสีเงิน เจ้านกน้อยที่ถูกผนึกอยู่ก็เกิดสั่นเทาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว พริบตาต่อมาดวงตาของมันก็เบิกกว้างขึ้น

เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของจักรพรรดิสีเงิน โจวเหว่ยก็ชิงเกือบสูญเสียการควบคุมร่างกายของตนเอง ดวงตาของมันเป็นสีขาวขุ่น มีเพียงขีดสีเทาวาดไว้แทนที่รูม่านตาของมัน ในช่วงเวลาที่มันลืมตาตื่นขึ้น กลิ่นอายความตายที่เข้มข้นน่าพิศวงก็แผ่กระจายออกมาจากร่างของมัน นั่นให้ความรู้สึกที่แตกต่างกับกลิ่นอายชั่วร้ายของโจวเหว่ยชิงเป็นอย่างมาก

เนื่องจากมันเป็นความรู้สึกเย็นยะเยือกราวกับความตายและความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ดวงตาของมันจับจ้องไปที่ โจวเหว่ยชิงอย่างเย็นชา

แสงสีเงินสว่างเจิดจ้าขึ้น ในขณะที่เขาหมุนเวียนพลังปราณเหล่านั้นไปที่ฝ่ามือซ้ายของเขาพลังปราณสวรรค์จากร่างของโจวเหว่ยชิงพุ่งออกมาเป็นระรอกคลื่นขนาดใหญ่ พลังปราณถูกส่งต่อเข้าไปในร่างของจักรพรรดิสีเงินเพื่อจะได้เริ่มกักเก็บทักษะของมัน แต่ทว่าสิ่งต่างๆกลับไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคาดหวังเอาไว้ แน่นอนว่ามันแตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่เขากักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับเทวะ โจวเหว่ยชิงต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าพลังปราณสวรรค์ของเขาไม่อาจไหลเข้าสู่ร่างกายของจักรพรรดิสีเงินได้ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม นั่นทำให้เขาไม่อาจดำเนินการขั้นต่อไปได้  ราวกับว่าพลังปราณสวรรค์ของเขาถูกปิดกั้นด้วยขุมพลังแปลกๆ

สำหรับจักรพรรดิสีเงิน มันจ้องมองมาที่เขาอย่างเย็นชา ไร้ความกลัวในดวงตาเหมือนอสูรสวรรค์ระดับเทวะตัวอื่นๆ

สิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่รู้ก็คือ สำหรับอสูรสวรรค์ระดับเทวะที่เขาได้กักเก็บทักษะไว้ก่อนหน้านี้นั้น จริงๆ แล้วพวกมันไม่ได้เกรงกลัวเพียงแค่กลิ่นอายของเจ้าของดั้งเดิมของไข่มุกรัตติกาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทักษะกลืนกินของไข่มุกรัตติกาลด้วย ดังนั้นพวกมันจึงกลัวว่าตนจะถูกกลืนกินพลังปราณไปจนตายนั่นเอง อย่างไรก็ตาม สำหรับจักรพรรดิสีเงินที่อยู่ตรงหน้าเขา ตอนนี้มันไม่เพียงแต่จะมีระดับสูงกว่าเท่านั้น แต่มันยังมีความพิเศษในแง่ที่สามารถใช้ทักษะกระชากมิติตอบโต้ทักษะกลืนกินได้  อีกทั้งมันก็ยังเป็นหนึ่งในอสูรสวรรค์ที่หายาก ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ได้กลัวทักษะกลืนกินของเขาแม้แต่น้อย

แน่นอนว่านี่เป็นหนึ่งในจุดแข็งที่แท้จริงของจักรพรรดิสีเงิน ไม่ว่าจะคนผู้นั้นมีทักษะที่ทรงพลังเพียงใด ตราบเท่าที่ยังไม่สามารถเอาชนะทักษะกระชากมิติของมันได้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต่อต้านจักรพรรดิสีเงิน แม้ว่ามันจะถูกปิดผนึกและถูกคุมขังเอาไว้ แต่การกักเก็บทักษะจากมันก็ยังคงยากเป็นอย่างยิ่ง บางครั้งอาจยากกว่าอสูรสวรรค์ระดับมหาราชาที่มีระดับปราณสูงกว่ามันด้วยซ้ำ

โจวเหว่ยชิงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้า จากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกเศร้าหมองในใจ ความหวังของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นความเหน็บหนาว ทว่าทันใดนั้นเสียงคำรามต่ำๆ ก็ดังลอดออกมาจากอ้อมแขนของเขา

แสงสีขาวเปล่งประกายขึ้น จากนั้นเจ้าแมวอ้วนก็ปรากฏตัวต่อหน้าจักรพรรดิสีเงินทันที ดวงตาสีม่วงเข้มจดจ้องไปที่ดวงตาของจักรพรรดิสีเงิน เสียงคำรามต่ำๆ ของมันดึงดูดสายตาของจักรพรรดิสีเงินในทันที

ทันทีที่มันเห็นเจ้าแมวอ้วน ร่างกายของจักรพรรดิสีเงินก็กระตุกขึ้นมาหนหนึ่งทันที มันสั่นสะท้าน ดวงตาก็หดแคบลงด้วยความตื่นตระหนก เสียงพึมพำที่ดังแว่วออกมาจากปากของมันฟังดูค่อนข้างรีบร้อนและอ้อนวอน ราวกับว่ามันกำลังขอความช่วยเหลือจากเจ้าแมวอ้วนอยู่

เจ้าแมวอ้วนคำรามเบาๆ อีกครั้งพร้อมกับส่ายหัวให้จักรพรรดิสีเงิน ความหวังที่ผุดขึ้นมาในดวงตาของมันจึงดับวูบลงทันที และเมื่อแสงในดวงตาของมันอ่อนลง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่ขวางกั้นพลังปราณสวรรค์ของเขาได้หายไปแล้ว พริบตาถัดมามวลพลังเย็นยะเยือกก็ไหลเข้าสู่ฝ่ามือของเขาและแทรกซึมเข้าไปยังมณีธาตุดวงที่ 2 ของเขาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

ไม่เพียงแค่นั้น ขณะที่ความเย็นเยียบพุ่งผ่านร่างของโจวเหว่ยชิงและตรงเข้าสู่มณีของเขา เขาก็รู้สึกได้ว่าประสาทสัมผัสของเขาพร่ามัวไปชั่วขณะ ในช่วงเวลาถัดมาวงล้อทักษะธาตุซึ่งเดิมอยู่ที่พื้นที่สีเงินก็เคลื่อนไปยังพื้นที่ส่วนสีเขียว จากนั้นทั่วทั้งร่างก็รู้สึกเบาสบาย มณีธาตุดวงที่ 2 ในฝ่ามือของเขาถูกมณีดวงที่ 3 ขยับเข้ามาเข้าแทนที่อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงทักษะที่ถูกกักเก็บเอาไว้อีกทักษะหนึ่ง ทักษะธาตุลม!

เกิดอะไรขึ้น? ใบหน้าของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขารู้สึกราวกับว่าตนพยายามจะหลอกล่อหญิงสาวคนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็โดนเธอ ‘ขืนใจ’ แทน!

จักรพรรดิ์สีเงินได้บังคับส่งทักษะของมันเข้าสู่ร่างของเขาและกักเก็บมันไว้ในมณีธาตุของเขาด้วยตัวเองจริงๆ! ความแข็งแกร่งของอสูรสวรรค์ระดับราชานั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถอธิบายได้ด้วยตรรกะทั่วไปเลยแม้แต่น้อย!

ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะทันได้ขยับตัว  มณีธาตุดวงที่ 3 ของเขาได้กักเก็บทักษะใหม่เสร็จสิ้นและกลับมาหมุนวนส่องแสงประกายเจิดจ้าอยู่ที่ข้อมือของเขาอย่างเงียบๆ แล้ว

เจ้าแมวอ้วนส่งเสียงคำรามต่ำๆ อีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงของมันฟังดูพึงพอใจมาก มันพยักหน้าไปทางจักรพรรดิสีเงินพร้อมกับแววตาที่พึงพอใจ

จักรพรรดิสีเงินมองมันกลับและร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ดวงตาสีขาวขุ่นของมันเต็มไปด้วยความคาดหวังอีกครั้ง เจ้าแมวอ้วนนิ่งไปสักครู่ก่อนจะส่งเสียงคำรามสั้นๆ ออกมาอีก 2 คำ ดวงตาของจักรพรรดิสีเงินสว่างวาบขึ้นด้วยความยินดี มันเอนหลังบนพื้นและหลับตาลงอย่างมีความสุข เจ้าแมวอ้วนกระโดดกลับเข้าไปในอ้อมแขนของโจวเหว่ยชิงแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจราวกับกำลังขอคำชม

โจวเหว่ยชิงบีบจมูกเล็กๆ ที่น่ารักน่าชังของมันเบาๆ ก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่ามันจะกลัวเจ้านะ! เฮ้อ เสียดายที่ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเจ้าทั้งคู่พูดคุยกัน แมวอ้วน จมูกน้อยๆ ของเจ้าช่างนุ่มนิ่มดีเหลือเกิน แค่ได้จับมันเล่นข้าก็พึงพอใจแล้ว!”

ดวงตาของเจ้าแมวอ้วนเบิกกว้างด้วยความขุ่นเคือง และมันก็อดไม่ได้ที่จะคิดกับตัวเองว่า หนอย! เจ้าอันธพาลไร้หัวใจนี่…ฮึ่ม!

โจวเหว่ยชิงจับแมวอ้วนซุกกลับเข้าไปในอกเสื้อของเขาพลางลูบใบหน้าด้วยท่าทางหดหู่ก่อนจะแสร้งเดินคอตกกลับออกไป นี่ไม่ใช่เวลาที่จะตื่นเต้นกับทักษะใหม่หรือว่าทดลองใช้พวกมัน ท้ายที่สุดหากมีใครพบว่าเขาสามารถกักเก็บทักษะของจักรพรรดิสีเงินได้ ความลับของเขาจะต้องถูกเปิดโปงทั้งหมด จากนั้นวันเวลาของเขาคงจะเหลือน้อยเต็มที

เมื่อเขากลับไปที่ห้องโถงธาตุมิติ ชายวัยกลางคนทั้ง 2 กำลังรออยู่ที่นั่นแล้ว “เสร็จแล้วหรือ?” ชายที่อยู่ทางซ้ายร้องออกมา

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ข้าจะทำอะไรได้อีกนอกจากหนีออกมา? พลังปราณสวรรค์ของข้าไม่อาจทะลวงเข้าสู่ร่างกายของมันได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับการกักเก็บทักษะจากมัน จักรพรรดิสีเงินนั้นช่างมีพลังแข็งแกร่งจนข้าประทับใจแม้มันจะมีขนาดเล็กมากก็ตาม! ข้ารู้แค่ว่ามันแข็งแกร่งแค่ไหนหลังจากอ่านป้ายข้อมูลของมัน ข้าคิดมาเสมอว่าขนาดตัวของอสูรสวรรค์จะต้องสัมพันธ์กับพลังของมัน แต่วันนี้ข้าก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว! แน่นอนว่าข้าจะกลับมาลองอีกครั้งเมื่อระดับพลังปราณของข้าสูงขึ้น!” เขาเตรียมประโยคสุดท้ายไว้เพื่ออนาคตเพราะเขายังคงหมายตาทักษะธาตุลม 2 ทักษะสุดท้ายอยู่!

ชายทั้ง 2 คนยิ้มออกมาพร้อมกัน แน่นอนว่าสถานการณ์ของโจวเหว่ยชิงนั้นได้ถูกคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว หลังจากที่จักรพรรดิ์สีเงินถูกจับได้ จ้าวมณีธาตุ และจ้าวมณีสวรรค์เกือบทุกคนในวังกักเก็บทักษะได้ทดลองกักเก็บทักษะจากมันดูแล้ว แต่ทว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนพบปัญหาเดียวกันกับที่โจวเหว่ยชิงกล่าว ไม่สามารถเจาะทะลวงเกราะป้องกันของจักรพรรดิสีเงินได้ ท่านหัวหน้ากล่าวว่าหากจะกักเก็บทักษะของจักรพรรดิสีเงินให้สำเร็จนั้น พวกเขาจำเป็นต้องมีปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพเป็นอย่างน้อยเพื่อทำลายเกราะป้องกันของมัน จากนั้นถึงจะมีโอกาสกักเก็บทักษะได้สำเร็จ พวกเขาไม่รู้เลยว่าโจวเหว่ยชิงนั้นทำสำเร็จไปแล้ว ไม่เพียงแต่กักเก็บทักษะกระชากมิติได้เท่านั้น แต่เขายังสามารถกักเก็บ 1 ในทักษะธาตุลมภายใต้ความร่วมมือของจักรพรรดิสีเงินอีกด้วย!

ขณะที่พวกเขาส่งบัตรเก็บเหรียญทองให้โจวเหว่ยชิง ชายทางขวาก็พูดว่า “น้องชาย เจ้าอย่ารู้สึกหดหู่ไปเลย อย่างไรเสียอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เช่นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมีทักษะที่ทรงพลังมากนักหรอก รับไป นี่คือ 450,000 เหรียญทอง พวกเราได้พูดคุยกับหัวหน้าของเราแล้ว เนื่องจากเจ้าทำการค้าขายให้พวกเราหลายกล่องในคราเดียว ครั้งนี้เราจึงจะให้เพิ่มเงินให้อีก 50,000 เหรียญทอง หวังว่าในอนาคตหากเจ้ามีม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่จะขายเพิ่ม เจ้าจะมาที่นี่เพื่อตามหาพวกเรา 2 คน พวกเราจะพยายามให้ราคาที่ดีที่สุดแก่เจ้า”

“นอกจากนี้ หากเจ้าทำการค้ากับเราครบจำนวนที่กำหนดไว้ ในอนาคตหากเจ้ามาที่นี่เพื่อกักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับปฐม พวกเราจะอนุญาตให้เจ้ากักเก็บได้โดยไม่ต้องเสียเงิน”

อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์นั้นหายากมากและอาจมีค่ามากกว่าจ้าวมณีสวรรค์ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะผู้ที่ได้กลายเป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นโจวเหว่ยชิง อนาคตของเขาดูสดใสและรุ่งโรจน์เหลือเกิน แม้ว่าวังกักเก็บทักษะจะแข็งแกร่งและมีอิทธิพลมาก แต่ก็ยังไม่กล้างัดข้อหรือเล่นตุกติกกับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะถูกจ้าวมณีและจ้าวมณีสวรรค์ทั้งหมดในอาณาจักรต่อต้านก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงทำได้เพียงใช้กลยุทธ์ที่นุ่มนวลและเข้าหาพวกเขาด้วยผลประโยชน์ล่อใจ สำหรับการว่าจ้างโจวเหว่ยชิงนั้น พวกเขาไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ความจริงก็เห็นอยู่ได้ชัดเต็มตา เนื่องจากวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้สำหรับสร้างคัมภีร์นั้นมีราคาสูงมาก อย่างไรเสียอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่อายุน้อยขนาดนี้ก็ต้องได้รับการฝึกฝนและสังกัดอยู่ภายใต้สำนักหรือนิกายที่มีอิทธิพลอยู่แล้วอย่างแน่นอน พวกเขาคงไม่เสียเวลาและทรัพยากรไปกับการกระทำที่ไร้จุดหมายหรอก

……………………………

Related

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าด้วยสีหน้าซื่อตรงและกล่าวว่า “ใช่ขอรับผู้อาวุโส! แล้วทักษะธาตุอื่นๆ มีอสูรสวรรค์ระดับราชาด้วยหรือไม่?”

 

ชายวัยกลางคนเอ่ยตอบอย่างเหยียดหยาม “เจ้าจะเอาอสูรสวรรค์ระดับราชาไปทำอะไร? ข้าขอบอกเจ้าว่าที่นี่มีเพียงตัวเดียวและมีไว้สำหรับพวกเราจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติเท่านั้น! แน่นอนว่ามันคืออสูรสวรรค์ระดับราชาเพียงหนึ่งเดียวในวังกักเก็บทักษะแห่งนี้ ข้าจะบอกอะไรให้ เมื่อ 3 เดือนที่แล้วหัวหน้าวังกักเก็บทักษะของเราและผู้อาวุโส 12 คนต้องร่วมมือกันเพื่อจับมัน พวกเราต้องสูญเสียผู้อาวุโสไปถึง 4 คนกว่าจะจับมันได้!”

 

โจวเหว่ยชิงร้องออกมาด้วยความดีใจ “ผู้อาวุโส ถ้าข้าต้องการกักเก็บทักษะของอสูรสวรรค์ระดับราชา ข้าจะต้องจ่ายเท่าไหร่หรือ?”

 

เมื่อฟังคำพูดของเขาจบ ชายวัยกลางคนทั้ง 2 ก็มีท่าทางแปลกๆ ไม่นานชายทางขวาก็พึมพำออกมาว่า “นี่คือคนที่ 7…”

 

ชายทางซ้ายจึงเอ่ยว่า “100,000 เหรียญทองสำหรับการทดลองหนึ่งครั้ง เจ้าสามารถเข้าไปได้ทันทีที่จ่ายเงิน”

 

“อะไรนะ? 100,000!?” โจวเหว่ยชิงจ้องมองชายวัยกลางคนทั้ง 2 ที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างตกตะลึง แม้ว่าเขาจะมีเงินติดตัว แต่นั่นก็เป็นเพียง 10,000 เหรียญทองที่มารดาของเขามอบให้ก่อนที่เขาจะออกจากเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ ส่วนแบ่งของเขาจากหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ก็ถูกใช้ไปกับแหวนมิติสำหรับหมี 2 ตัวนั้นไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจะมี 100,000 เหรียญทองได้อย่างไร!

 

ชายวัยกลางคนทางด้านซ้ายแค่นเสียงเอ่ยว่า “หากเจ้าต้องการสัมผัสกับพลังของอสูรสวรรค์ระดับราชา เจ้าก็ต้องจ่ายตามนั้น หากเจ้ามีเงินไม่พอ ก็จงเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้กับตัวเองต่อไป”

 

โจวเหว่ยชิงลังเลสักพักก่อนจะกัดฟันคิดกับตัวเอง ได้! 100,000 เหรียญทองงั้นหรือ? ช่างมันก็แล้วกัน! “ผู้อาวุโส เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร ตอนนี้ข้าไม่มีเหรียญทองติดตัวมากขนาดนั้น ข้าจะใช้ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เป็นของแลกเปลี่ยนแทนได้หรือไม่?” เขาถามอย่างไม่แน่ใจ

 

เมื่อได้ยินคำว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ใบหน้าของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปทันที สายตาดูถูกเหยียดหยามที่มองไปยังโจวเหว่ยชิงก็พลอยลดน้อยลงไปด้วย

 

ชายทางด้านขวาถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “หนุ่มน้อย เจ้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์งั้นหรือ?” หากโจว   เหว่ยชิงอยู่ที่ห้องโถงทักษะธาตุอื่นๆ ผู้คุมก็อาจจะไม่ถามคำถามนี้ แต่นี่คือห้องโถงทักษะธาตุมิติ และจ้าวมณีที่มีทักษะธาตุมิติก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ ในขณะที่เขาถามคำถามนั้นออกมา มุมมองที่พวกเขาที่มีต่อโจวเหว่ยชิงก็ดีขึ้นมากเช่นกัน

 

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่แล้วขอรับ! ข้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน ดังนั้นข้าจึงมีเพียงม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน นั่นพอใช้ได้หรือไม่?”

 

“แน่นอน!” ชายที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือกล่าวอย่างกระตือรือร้น ตอนนี้มุมมองที่เขามีต่อโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขามองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาแสดงความเคารพนับถือ “อย่างไรก็ตาม หากเป็นม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน พวกมันจะต้องอยู่ครบทั้งชุด ที่วังกักเก็บทักษะพวกเราจะรับซื้อชุดละ 50,000 เหรียญทอง หากเจ้ามี 2 ชุด เจ้าก็สามารถเข้าชมอสูรสวรรค์ระดับราชาได้เลย”

 

“50,000 เหรียญทอง?” โจวเหว่ยชิงผงะ ก่อนหน้านี้ฮูเหยียนเอ้าป๋อเคยบอกเขาว่าราคาของม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานอยู่ที่ประมาณ 30,000 เหรียญทองเท่านั้น!

 

ชาย 2 คนคิดว่าโจวเหว่ยชิงไม่เห็นด้วยกับราคาที่พวกเขาให้ต่ำเกินไป ชายทางซ้ายจึงรีบพูดว่า “เจ้าหนุ่ม แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้จำนวนม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่วางขายจะลดลงและทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น แต่อย่างที่เจ้ารู้ ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานนั้นไม่ได้รับประกันความสำเร็จที่แน่นอน ราคา 50,000 เหรียญทองของเราจึงถือว่าเป็นราคาที่ยุติธรรมแล้ว แม้ว่าเจ้าจะนำไปขายที่หอประมูล แต่ก็มีแนวโน้มที่จะขายได้ราคามากกว่านี้เล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งหลังจากหักค่าธรรมเนียมการประมูลแล้ว ราคาที่ขายได้ก็อาจจะลดลงเหลือเท่ากัน”

 

โจวเหว่ยชิงฟื้นคืนสติและพูดว่า “นั่นหมายความว่าวังกักเก็บทักษะรับซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานหรือขอรับ?”

 

“แน่นอน วังกักเก็บทักษะของเรารับซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ทุกระดับ!” ชายสองคนจ้องมองเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก จากคำถามของโจวเหว่ยชิง พวกเขาจึงเดาได้ว่าแม้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาจะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน แต่เขาก็ยังคงเป็นมือใหม่อย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ว่าจะขายม้วนคัมภีร์ได้ที่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงสุภาพกับเหว่ยชิงมากเนื่องจากไม่มีใครต้องการเป็นศัตรูกับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์อย่างไร้เหตุผล

 

“เอาล่ะ ข้ามีคัมภีร์มาขายส่วนหนึ่ง” ก่อนเข้าเมืองใหญ่โจวเหว่ยชิงไม่เคยคิดเกี่ยวกับความสำคัญของเงินมาก่อน ทว่าแค่เพียงกักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ธาตุมิติระดับราชาครั้งหนึ่ง เขายังต้องใช้เงินถึง 100,000 เหรียญทอง! ตอนนี้โจวเหว่ยชิงจึงรู้ซึ้งถึงความสำคัญของมันและต้องการเงินอย่างมาก เขายกมือซ้ายขึ้นวางบนสร้อยมิติของเขา จากนั้นก็หมุนเวียนพลังปราณสวรรค์เพื่อหยิบกล่องไม้ออกมากล่องแล้วกล่องเล่า

 

ความเคลือบเเคลงใจของพวกเขาก็ถูกปัดทิ้งไปทันทีที่เห็นโจวเหว่ยชิงมีสร้อยมิติไว้ในครอบครอง โจวเหว่ยชิงหยิบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ 10 กล่องออกมาและวางไว้บนโต๊ะต่อหน้าพวกเขา

 

ทั้งคู่ไม่ลังเลอีกต่อไปทั้ง พวกเขารีบตรวจสอบม้วนคัมภีร์ในกล่องอย่างรวดเร็วและพบว่าพวกมันทั้งหมดล้วนแต่เป็นม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานที่บรรจุอยู่ในกล่อง กล่องละ 1,000 ใบ

 

“เจ้าเป็นคนสร้างพวกมันขึ้นมาเองทั้งหมดเลยรึ?” ชายทางซ้ายถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

 

โจวเหว่ยชิงตอบด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสาบนใบหน้าของเขา “ใช่! ผู้อาวุโส ถ้าข้าขายทั้ง 10 กล่องทีเดียวจะสามารถขอเงินเพิ่มอีกหน่อยได้หรือไม่? ท่านก็รู้ว่าการกักเก็บทักษะนั้นค่อนข้างแพง…”

 

ชายวัยกลางคนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ข้าจะต้องไปถามหัวหน้าก่อน บอกตามตรงนะเจ้าหนุ่ม เจ้าไม่ควรเสียเงินไปลองเสี่ยงกักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับราชาโดยเปล่าประโยชน์  เจ้าไม่มีโอกาสที่เจ้าจะทำสำเร็จหรอก 100,000 เหรียญทองไม่ใช่เงินจำนวนน้อย แม้ว่าเจ้าจะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เจ้าก็ไม่ควรผลาญเงินที่หามาอย่างยากลำบากเช่นนั้น”

 

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “ก็อย่างที่ท่านพูด มีเพียงที่ห้องโถงทักษะธาตุมิติของท่านเท่านั้นที่มีทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับราชาเช่นนี้ บางทีนี่เป็นโอกาสเดียวที่ข้าจะได้เห็นมันสักครั้งหนึ่งในชีวิต ถึงแม้ว่าเงิน 100,000 เหรียญทองจะเป็นราคาที่แพงมาก แต่ข้าก็ยังอยากลองดูด้วยตัวเองสักครั้งเพื่อสัมผัสว่ามันเป็นอย่างไร สำหรับการกักเก็บทักษะนั้น แน่นอนข้ารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”

 

เมื่อเห็นว่าคำชักชวนของเขาไม่เป็นประโยชน์ ชายวัยกลางคนจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นเจ้าก็เข้าไปข้างในก่อนเถิด ข้าจะนำม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของเจ้าไปให้หัวหน้าของข้าตรวจสอบดู เมื่อเจ้าออกมาแล้ว พวกเราจะมอบเหรียญทองที่เหลือให้”

 

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างเหนียมอายว่า “ผู้อาวุโส ท่านคงจะไม่เล่นตุกติกกับคัมภีร์ของข้าหลังจากข้าออกมาใช่ไหม?”

 

เส้นสีดำปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของชายวัยกลางคนทั้ง 2 ทันที จากนั้นคนที่อยู่ทางซ้ายก็พูดขึ้นด้วยความโกรธ      “เจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหนอย่างนั้นหรือ? ที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรเฟยหลี่ ไม่ใช่ร้านค้า          ธรรมดาๆ ทั่วไป หากเจ้าไม่ได้เป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ล่ะก็ เพียงแค่คำพูดที่เจ้าเพิ่งพูดออกมาก็อาจทำให้สักนักของเราขึ้นบัญชีดำกับเจ้าตลอดไปแล้ว”

 

“เอ่อ…ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว…ข้าจะไปตอนนี้ขอรับ” แม้ภายในใจโจวเหว่ยชิงกำลังหัวเราะกับตัวเองอย่างบ้าคลั่ง แต่อย่างไรเขาก็ยังคงแสดงสีหน้าหวาดกลัวขณะรีบหันหลังกลับและเดินเข้าไปในทางเข้าที่มีป้ายติดไว้ว่า ‘ราชา’

 

ขณะที่ชาย 2 คนเฝ้าดูร่างที่หายลับเข้าไปในทางเดินนั้น ชายทางซ้ายก็เอ่ยขึ้นมาว่า “มีคนจำนวนมากที่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับอสูรสวรรค์ระดับราชาและเต็มใจที่จะจ่าย แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่กักเก็บทักษะสำเร็จ เฮ้อ ราวกับถือเงินมาให้พวกเราเฉยๆ เสียอย่างนั้น ผ่านมาแค่ 3 เดือน แต่พวกเรากลับทำเงินจากอสูรตัวนี้กว่า 700,000 เหรียญทองแล้ว ถึงกระนั้นข้าก็ยังคาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กน้อยนั่นจะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์”

 

คนทางขวาส่งสัญญาณให้เขาเงียบ “พูดให้เบาลงหน่อย มันคงจะไม่ดีหากเขาได้ยินเข้า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องล่วงเกินอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สามารถกลายเป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คิดว่าเขาน่าจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ด้วยเช่นกัน เอาล่ะ ข้าจะไปรายงานหัวหน้าของเราเกี่ยวกับม้วนคัมภีร์พวกนี้ก่อน”

 

หลังจากเข้าสู่ประตูทางเข้านั้นมาได้ สีหน้าของโจวเหว่ยชิงก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  ความตื่นเต้นกำลังพลุ่งพล่านไปทั่วร่างของเขา เขาออกแรงกำหมัดแน่นด้วยพลังทั้งหมดที่มี อสูรสวรรค์ระดับราชางั้นหรือ…จะมีทักษะที่แข็งแกร่งขนาดไหนกันนะ? บางทีระดับของมันอาจจะสูงกว่าระดับ 9 ดาวด้วยซ้ำ! ฮิๆ 100,000 เหรียญทองอาจมีราคาแพง แต่ถ้าเขาได้รับทักษะที่แข็งแกร่ง นั่นก็ย่อมคุ้มค่าอย่างยิ่ง!

 

ในขณะที่เขาเดินไปตามทาง เขาก็สังเกตเห็นว่าก้อนหินรอบๆ ทางเดินพวกนี้ดูใหม่มาก นี่คงจะเป็นเส้นทางที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่อย่างแน่นอน ในขณะที่เขาเดินลงไปตามทางลาดสู่เบื้องล่าง โจวเหว่ยชิงก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่น่ากลัว ราวกับว่ามีแรงกดดันที่มองไม่เห็นลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศ ส่งความกระแสไอเย็บวาบแล่นไปตามแนวกระดูกสันหลังของเขา

 

ทว่าโจวเหว่ยชิงก็พยายามเพิกเฉยต่อแรงกดดันเหล่านั้นและเดินไปตามเส้นทางต่อ  อย่างไรเขาก็ใช้เงินไปกว่า 100,000 เหรียญทองแล้ว เขาไม่ยอมถอยง่ายๆ หรอก!

 

หลังจากมุ่งหน้าลงไปประมาณ 500 เมตร ในที่สุดเส้นทางข้างหน้าก็กว้างขึ้นกลายเป็นเป็นห้องโถงหินแห่งหนึ่ง

 

เมื่อเข้ามาในห้อง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ว่าแรงกดดันที่บีบคั้นเขาอยู่ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเขาต้องหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ออกมาเพื่อต่อต้าน กลิ่นอายที่คุ้นเคยพลันถูกส่งต่อเข้ามาในความรู้สึกของเขา

 

“ทักษะธาตุมืด?” ทั้งห้องเรียงรายไปด้วยหินสีดำที่มีอักขระแปลกๆ จารึกอยู่บนนั้น ภายในนั้นยังมีคบไฟเรียงรายอยู่เพื่อให้แสงสว่าง

 

แท้จริงแล้วสัมผัสคุ้นเคยที่โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้นั้นคือทักษะธาตุมืด แน่นอนว่าในบรรดาทักษะธาตุทั้งหมด ทักษะธาตุมืดนั้นมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการปิดผนึก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในก้อนหินพวกนั้นมีทักษะธาตุมืดที่แข็ง แกร่งมากมายคอยปิดผนึกกำลังของอสูรสวรรค์ระดับราชาเอาไว้อยู่

 

หลังจากจมอยู่กับสัมผัสของทักษะธาตุมืดไปชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดการสายตาของโจวเหว่ยชิงก็หยุดอยู่ที่ร่างของอสูรสวรรค์ระดับราชา แต่ทว่าในพริบตานั้นเขาก็อดจะตื่นตะลึงไม่ได้

 

ที่มุมห้องมีนกน้อยขนสีเงินนอนอยู่ มันมีขนาดเล็กมาก ร่างกายมีความยาวน้อยกว่า 1 ฉื่อและก็ยังมีขนาดตัวเล็กกว่าเจ้าแมวอ้วนอีกด้วย นี่เป็นสาเหตุที่โจวเหว่ยชิงไม่เห็นมันทันทีที่เข้าไปในห้อง

 

ร่างของเจ้านกตัวน้อยปกคลุมไปด้วยขนสีเงินแซมขาว มันกำลังนอนอยู่บนพื้นในท่าที่ศีรษะของมันห้อยลงต่ำ ขนของมันไร้เงาแวววาว อีกทั้งดวงตาก็ปิดสนิท มีอักขระสีดำแปะอยู่บนหน้าผากของมัน ปีกและกรงเล็บแต่ละข้างต่างก็ถูกโซ่สีดำเล็กๆ ล่ามเอาไว้

 

นี่คืออสูรสวรรค์ระดับราชา? ดูตัวจ้อยไปหน่อยไหม? หากไม่นับสีขนของมันแล้ว ที่เหลือก็แทบจะดูไม่ต่างจากนกทั่วไปเลยแม้แต่น้อย

 

โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเองขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า ขณะนั้นในห้องโถงหินแทบไม่มีแสงสว่างเพียงพอเลย เมื่อเข้าไปใกล้เขาจึงมองเห็นแค่เพียงแผ่นหินที่ตั้งอยู่ข้างๆ เจ้านกตัวจ้อยเท่านั้น บนแผ่นโลหะนั้นมีอักษรจารึกไว้ แน่นอนว่า  โจวเหว่ยชิงเคยไปที่วังกักเก็บทักษะมาก่อน เขาจึงรู้ดีว่านี่คือป้ายบันทึกความสามารถของอสูรสวรรค์

 

ด้านบนของแผ่นโลหะมีอักษรเขียนไว้ต่อไปนี้ จักรพรรดิสีเงิน อสูรสวรรค์ธาตุลมและธาตุมิติ ระดับราชา

 

แม้ว่าอสูรสวรรค์ตนนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็รวดเร็วและอันตรายมาก โดยปกติแล้วไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

เจ้าแห่งท้องนภา ชำนาญทักษะธาตุมิติเป็นอย่างดี ทักษะกระชากมิติ สามารถตอบโต้ทักษะธาตุมิติส่วนใหญ่ได้และมีความสามารถในการทำลายล้างที่น่าอัศจรรย์

 

มันมีพละกำลังมาก อาหารที่กินคือสมองของอสูรสวรรค์หรือสมองของมนุษย์ทั่วไป

 

มีความก้าวร้าวและพลังทำลายล้างสูงตามธรรมชาติ ขึ้นชื่อในเรื่องนำหายนะและความตายไปด้วยทุกที่ๆ มันย่างกรายไป ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกอีกอย่างว่านกแห่งภัยพิบัติ หนึ่งในอสูรสวรรค์ระดับราชาที่ร้ายกาจที่สุด

 

ทักษะของจักรพรรดิสีเงิน

 

ธาตุมิติ ทักษะกระชากมิติ

 

ธาตุลม ทักษะภาพลวงตาทวีคูณ ทักษะสะบัดปีกเฉือน ทักษะทะลวงสายฟ้า

 

โจวเหว่ยชิงพึมพำกับตัวเอง “อสูรสวรรค์ระดับราชาตนนี้ไม่ได้มีทักษะมากมาย ทั้งหมดมีแค่ 4 ทักษะและมีเพียง 1 ทักษะเท่านั้นที่เป็นทักษะธาตุมิติ” ขณะที่เอ่ยเช่นนั้น เขาก็อ่านคำอธิบายทักษะด้านล่างต่อ

 

ทักษะกระชากมิติ ทักษะที่มีชื่อเสียงที่สุดของจักรพรรดิสีเงิน สามารถนำพลังปราณธาตุมิติไปใช้ได้อย่างน่าประทับใจ สามารถผ่าแยกมิติออกจากกันได้ในทันทีและบิดเบือนมิติได้ ภายในระยะใกล้ๆ สามารถทำลายทักษะล่องหนหรือทักษะซ่อนเร้น รวมไปถึงทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาได้ ในขณะเดียวกันก็มีพลังการฉีกกระชากที่แข็งแกร่งมาก เมื่อใช้ทักษะกระชากมิติ มันจะบิดเบือนพื้นที่ซึ่งอาจทำให้การโจมตีระยะไกลของศัตรูพลาดเป้าหมายได้ การใช้งานของทักษะกระชากมิติ รัศมีการใช้งานรวมทั้งระยะเวลาที่ใช้ได้ขึ้นอยู่กับระดับพลังปราณสวรรค์ของผู้ใช้

 

…………………………

Related

สำหรับมณีธาตุของโจวเหว่ยชิง มีเพียงมณีดวงแรกของเขาเท่านั้นที่สามารถกักเก็บทักษะทั้งหมดได้สำเร็จ สำหรับมณีดวงที่ 2 ของเขา เขากักเก็บเอาไว้เพียงทักษะธาตุลมชนิดหนึ่งซึ่งเป็นทักษะที่เขาชื่นชอบและกักเก็บมาจากหนึ่งในหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งของเขา ด้านซ่างกวนปิงเอ๋อร์เองก็ทำเช่นเดียวกัน

เพื่อให้เขาสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่ เขาจึงต้องผ่านการกักเก็บทักษะอีกเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ทักษะธาตุบางอย่างเช่นธาตุมืดหรือธาตุกาลเวลานั้นก็แทบจะหามากักเก็บไม่ได้เลย ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับโชคเช่นเดียวกับมณีดวงแรกของเขา อย่างไรก็ตาม พลังของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 3 ชุดเลยด้วยซ้ำ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็มีทักษะธาตุมากมาย อีกทั้งทักษะระดับสูงที่เก็บไว้ในมณีดวงแรกของเขาก็ยังวิวัฒน์ขึ้นจนมีพลังเทียบเท่ากับทักษะในระดับมณีดวงที่ 3 แล้ว แม้ว่าจะการกักเก็บทักษะของเขาจะค่อนข้างยากลำบากไปบ้าง แต่โจวเหว่ยชิงก็พอใจที่ทักษะพวกนั้นพัฒนาขึ้นทุกครั้งที่จำนวนมณีเพิ่มขึ้น

หลังจากผ่านไป 2-3 วัน โจวเหว่ยชิงก็พบว่าถ้าเขาใช้แค่ปราณสวรรค์ธาตุลมเพื่อเร่งความเร็ว ด้วยอัตราการฟื้นฟูที่บ้าคลั่งของวิชาเทพอมตะ พลังปราณสวรรค์ของเขาก็แทบจะไม่มีวันหมด!

ภายใต้พลังการดูดกลืนของจุดตายฉีไห่ อัตราการฟื้นตัวที่น่าเหลือเชื่อของวิชาเทพอมตะก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นฟูที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงที่สุดสำหรับโจวเหว่ยชิงคือความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเขา เขาไม่รู้ว่าสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่งคนอื่นๆ นั้นเป็นเช่นไร แต่เขามั่นใจมากว่าความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่ นอน จากการประมาณการของเขา กำลัง 3000 จิน ที่เขารู้สึกได้ก่อนหน้านั้นถือว่าเป็นกำลังขั้นต่ำสุดของเขาเท่านั้น และเขาก็ยังไม่รู้ว่ามันจะสามารถเพิ่มขึ้นไปได้มากสุดแค่ไหน สิ่งที่เขารู้ก็คือเขาสามารถฉีกต้นไม้ขนาดใหญ่ได้ง่ายๆ ด้วยมือเปล่า!

เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่พลาดเวลานัดกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงจึงวิ่งทั้งกลางวันและกลางคืน พยายามหยุดพักให้น้อยที่สุดและยังกินอาหารระหว่างที่วิ่งด้วย ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ใช้โอกาสนี้ทำความคุ้นเคยกับร่างกายและความสามารถใหม่ของเขา ในที่สุด หลังการเดินทางวันที่ 14 เขาก็มาถึงเมืองหลวงของอาณาจักรเฟยหลี่เสียที

โจวเหว่ยชิงกวาดสายตามองไปยังเมืองเฟยหลี่ จากนั้นเขาก็อดรู้สึกแปลกใจและหวาดกลัวไม่ได้ เมืองข้างหน้าเขานี้ถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เขาเกิดเลยก็ว่าได้

มองจากระยะไกลๆ เมืองเฟยหลี่ดูเหมือนสัตว์ร้ายขนาดมหึมาที่กำลังนอนตะแคงอยู่ ที่ตั้งของมันมีตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม ด้านตะวันตกและด้านเหนือล้วนปกคลุมไปด้วยภูเขาสูง ส่วนทางทิศตะวันออกคือทะเลสาบเฟยหลี่ที่มีชื่อเสียง การมีเมืองหลวงตั้งอยู่ริมภูเขาและทะเลสาบเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นพื้นที่เหมาะสมสำหรับตั้งเป็นจุดศูนย์กลางของการติดต่อค้าขาย การเมือง และการทหารของอาณาจักรทั้งหมดได้เลยทีเดียว

กำแพงเมืองด้านหน้าสูงเกือบ 100 เมตร มีหอสังเกตการณ์พร้อมปืนใหญ่ทุกๆ 20 เมตร ฝั่งใต้ของเมืองเป็นที่ที่โจวเหว่ยชิงกำลังเผชิญอยู่ มันเป็นที่ราบโล่งกว้างและมีประตูเมืองขนาดใหญ่ 6 ประตู คูน้ำที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบเฟยหลี่มีความกว้างเกือบ 100 เมตร และประตูทั้ง 6 บานก็มีกำแพงขนาดใหญ่กั้นอยู่ตลอดแนว

กำแพงเมืองดูเรียบง่ายและไม่มีการตกแต่งอะไรมากนัก บนนั้นมีสัญลักษณ์ดาบไขว้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรเฟยหลี่ ตราสัญลักษณ์นี้มีสีทองและเปล่งประกายแวววาวท่ามกลางแสงแดด

โจวเหว่ยชิงเคยได้ยินมาว่าประชากรของเมืองหลวงเฟยหลี่นั้นมีจำนวนมากกว่าประชากรทั้งหมดของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เสียอีก แม้แต่ทั่วทั้งดินแดนไร้ขอบเขต มันก็ติด 1 ใน 10 เมืองที่ดีที่สุดและเป็นเมืองที่เจริญเป็นอันดับต้นๆในทวีปตะวันตก เทียบได้กับเมืองหลวงป่ายต้าของอาณาจักรป่ายต้าเลยทีเดียว

โจวเหว่ยชิงรีบเก็บสีหน้าตื่นตะลึงเอาไว้ จากนั้นก็เดินข้ามสะพานแห่งหนึ่งไป เขาเห็นทหารรักษาการณ์กว่า 100 นายยืนคุมอยู่ที่ประตูเมืองแต่ละประตู อย่างไรก็ตาม ทุกประตูต่างก็เปิดกว้างและไม่มีจุดตรวจใดๆ

ผู้คุมที่ประตูทุกคนถือหอกยาว และสวมเสื้อเกราะอย่างดี แต่ละคนยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นและเชิดอกผึ่งผาย แผ่รังสีสังหารออกมาเล็กน้อย พวกเขาเป็นทหารที่ดูก็รู้ว่าเป็นยอดนักรบผู้มีประสบการณ์

นี่คือตัวแทนบ่งบอกถึงอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่? ข้าสงสัยนักว่าอาณาจักรของเราจะมีเมืองที่เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ได้เมื่อไหร่ โจวเหว่ยชิงกรุ่นคิดกับตัวเองพร้อมทั้งถอนหายใจออกมา เมื่อเปรียบเทียบกับอาณาจักรขนาดใหญ่เช่นอาณาจักรเฟยหลี่แล้ว  อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ถือได้ว่าอ่อนแอเกินไป แม้ว่าอาณาจักรเฟยหลี่จะเป็นพันธมิตรกับพวกเขา แต่แล้วยังไงล่ะ? ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการพึ่งพาตัวเองอยู่แล้วนี่นา

ในสมองของเขาเต็มไปด้วยความคิดมากมาย แต่ทว่าในที่สุดเขาก็เดินเข้าสู่เมืองเฟยหลี่ไปจนได้ สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาคือถนนใหญ่ที่มีความกว้างขนาดนำรถม้าบรรทุกเกวียนมาวางเรียงกันได้ 15 คัน! บนถนนที่กว้างขวางแห่งนี้ปูด้วยหินแกรนิตคุณภาพเยี่ยม มีร้านค้าขนาด 3 ชั้น ตั้งอยู่เรียงรายเต็มสองฝั่งถนน มองจากสายตาแล้วราวกับว่าถนนเส้นนี้มีความยาวไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งบนถนนและร้านค้าต่างก็คึกคักไปด้วยผู้คน นี่คือเมืองที่เจริญรุ่งเรืองจริงๆ

โจวเหว่ยชิงคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว  เขาคาดว่าตนน่าจะยังมีเวลาอีก 2 วันก่อนถึงเวลานัดพบกับซ่างกวนปิง    เอ๋อร์ ก่อนหน้านี้พวกเขาได้นัดเจอกันที่ประตูทางเข้าของโรงเรียนทหารเฟยหลี่ในวันลงทะเบียนและจะเข้าไปลงทะเบียนพร้อมกัน

ทั้งสองคนไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับโรงเรียนแห่งนี้เลย สิ่งเดียวที่พวกเขารู้คือมันมีกฏที่เข้มงวดมาก และเป็นหนึ่งในโรงเรียนทหารชั้นนำของอาณาจักรเฟยหลี่ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาสามัญหรือชนชั้นสูง การจะเข้าสู่โรงเรียนแห่งนี้ได้พวกเขาต้องผ่านการทดสอบที่ค่อนข้างสาหัสเอาการ นอกจากนี้ยังมีการจำกัดอายุนักเรียนให้ไม่เกิน 20 ปีอีกด้วย ทว่านอกเหนือจากที่กล่าวไปก่อนหน้านั้น ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่รู้รายละเอียดอื่นๆอีกแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับการทดสอบจึงไม่อาจจะเตรียมการล่วงหน้าใดๆ ได้เลย

โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกโล่งอกที่เขาไม่ได้มาสาย ในที่สุดหลังเขาก็มาถึงเมืองหลวงเฟยหลี่เสียที! อืม มีเวลาสองวัน ข้าจะทำอะไรดี? หึๆ งั้นข้าจะกินอาหารสักมื้อก่อนแล้วกัน!

ในขณะที่ครุ่นคิดว่าจะขยับตัวไปทางไหนดี โจวเหว่ยชิงก็ตัดสินใจไปหาอาหารอร่อยๆ กินก่อน จากนั้นก็เดินลึกเข้าไปในตัวเมืองและมองหาที่พัก นอกจากนั้นเขายังต้องตามหาด้วยว่าโรงเรียนทหารเฟยหลี่ตั้งอยู่ที่ไหน แน่นอนว่าเขายังมีเงินเหลืออยู่ แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับทุกอย่างที่เขาจะต้องทำอยู่ดี อย่างไรเสียก็มี 2 สิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ ก่อนอื่นคือการขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน 10 ใบที่เขามีเพื่อหาทุน ส่วนอย่างที่ 2 ก็คือการมุ่งหน้าไปยังวังกักเก็บทักษะ เขารู้ว่าการจะกักเก็บทักษะที่ต้องการทั้งหมดให้เสร็จสมบูรณ์ไม่ใช่สิ่งที่จะสำเร็จได้ภายใน 2 วัน อย่างไรก็ตาม ด้วยมีอาชีพเสริมเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เขาจึงไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ว่าตนจะเงินจะขาดมือในอนาคต

ถ้าสามารถหาที่พักดีๆ ใกล้กับโรงเรียน…อยู่ร่วมกับปิงเอ๋อร์ ฮิๆ! นั่นจะยอดเยี่ยมไปเลย! ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเพลิงปรารถนาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างไม่อาจควบคุมได้

หลังจากทานอาหารที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งจนอิ่มแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ถามทางไปยังโรงเรียนทหาร และวังกักเก็บทักษะ บังเอิญเหลือเกินที่ทั้งคู่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองเฟยหลี่พอดี! ส่วนทางตะวันออกของเมืองนั้นอยู่ติดกับทะเลสาบเฟยหลี่และเป็นส่วนที่คึกคักและเฟื่องฟูที่สุดของเมือง พระราชวังของอาณาจักรเฟยหลี่นั้นตั้งอยู่อีกด้านหนึ่ง ทางตอนเหนือและหันหน้าไปทางทิศใต้

โจวเหว่ยชิงรีบวิ่งไปทางทิศตะวันออกอย่างตื่นเต้น เขาต้องคอยถามทางอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากเมืองแห่งนี้ใหญ่เกินไป ถึงกระนั้น เขาก็ยังต้องวิ่งไปอีกเป็นระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงจึงพบสิ่งที่เขาตามหาในที่สุด!

วังกักเก็บทักษะที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็ดูเหมือนกับสำนักที่ตั้งอยู่ในเมืองภูเขาลอยฟ้า แตกต่างก็แค่ที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นมีขนาดใหญ่กว่ามาก

อาคารขนาดใหญ่สูงประมาณ 30 เมตร นี่มันใหญ่เป็น 2 เท่าของวังกักเก็บทักษะเมืองภูเขาลอยฟ้าด้วยซ้ำ! เสาหินขนาดใหญ่ 36 เสาตั้งรองรับอาคารอยู่ อีกทั้งพวกมันยังมีขนาดใหญ่เท่าผู้ชาย 5 คนโอบ รอบๆ อาคารมีรูปแกะสลักจำนวนมากตั้งอวดโฉมอยู่ แต่ละชิ้นเป็นตัวแทนของอสูรสวรรค์ที่ต่างชนิดกัน

ด้านบนของวังกักเก็บทักษะยังเปล่งประกายเจิดจ้าไปด้วยตราสัญลักษณ์สีทองของอาณาจักร นั่นก็คือตรารูปดาบไขว้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมา  ที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของวังกักเก็บทักษะอาณาจักรเฟยหลี่! ช่างเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่เสียจริง น่าเกรงขามยิ่งกว่าพระราชวังของจักรพรรดิที่บ้านเสียอีก! โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเองขณะที่เขาก้าวเข้าไปในวังกักเก็บทักษะ

ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะทันได้เข้าไปในอาคาร เขาก็ถูกทหารอาวุธหนัก 4 คนขวางเอาไว้ก่อน พวกเขาต่างก็สวมชุดเกราะสีทองเจิดจ้า ดูราวกับกำแพงติดอาวุธที่เดินได้

“อ้อ ใช่แล้วๆ” โจวเหว่ยชิงชะงักชั่ววินาทีก่อนที่จะจดจำกฏของวังกักเก็บทักษะได้ เขายกมือขวาขึ้น จากนั้นก็เพ่งสมาธิไปที่มณียุทธ์ของเขา ไม่นานหยกน้ำแข็ง 3 ดวงก็พลันปรากฏกายขึ้นมาหมุนวนรอบข้อมือของเขา เกิดเป็นไอหมอกสีขาวขึ้นมารอบๆ

ผู้คุมทั้ง 4 ที่ขวางทางโจวเว่ยชิงอยู่นั้นต่างก็พากันสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด ที่จริงแล้วรูปลักษณ์ในปัจจุบันของโจว เหว่ยชิงนั้นดูโทรมมาก หลังจากต้องเดินทางนานกว่า 10 วันโดยไม่ได้พักผ่อน ท่าทางของเขาจึงดูอิดโรยมาก เส้นผมล้วนยุ่งเหยิง หนวดเคราก็ไม่ได้โกน ด้วยรูปลักษณ์ดังกล่าว เขาก็ดูไม่เหมือนเด็กหนุ่มอายุ 16 ปีและอาจจะเหมือนขอทานเร่ร่อนอายุ 30 ปีด้วยซ้ำ โชคดีที่เขาเก็บกระเป๋าของเขาไว้ในสร้อยมิติแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาก็อาจจะดูแย่ลงไปกว่านี้อีก แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่ได้ดูเหมือนจ้าวมณีสวรรค์เลยแม้แต่น้อย

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ผู้คุมทั้ง 4 ก็หลีกทางให้เขาพร้อมกับกล่าวถ้อยคำแสดงความเคารพ “ยินดีต้อนรับจ้าวมณีระดับปฐมขั้นสูงสุด”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและกล่าวว่า “ขอบคุณ ขอบคุณ” เมื่อเขาพูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในห้องโถงหลักของวังกักเก็บทักษะทันที

เช่นเดียวกับรูปลักษณ์ภายนอก ด้านในของวังกักเก็บทักษะก็ยังคงคล้ายกับสำนักที่เมืองภูเขาลอยฟ้า แต่ก็เป็นขนาดที่ใหญ่กว่าเช่นเคย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็เดินไปทางประตูที่นำไปสู่กรงอสูรสวรรค์ธาตุมิติ

ด้วยแหวนปกปิดตัวตนที่ถังเซียนมอบให้เขา โจวเหว่ยชิงจึงเลือกเปิดใช้แค่มณีธาตุมิติเพื่อปลอมตัวเป็นจ้าวมณีธาตุมิติ มณีที่ว่านั่นก็คือไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวทอง อย่างไรเสียเขาก็จำเป็นต้องใช้สถานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ของเขาในการค้าขายคัมภีร์อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะกักเก็บทักษะธาตุมิติของเขาให้เสร็จสมบูรณ์เพื่อให้เขาสามารถปลอมตัวได้ดีขึ้น

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงเดินตามทางไป เขาก็สังเกตเห็นว่าทางกำลังเอียงลาดลงไปอีกครั้ง หลังจากผ่านไปประมาณ 300 เมตรและเลี้ยวอีกสองครั้ง ในที่สุดเขาก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่อีกห้องหนึ่ง โจวเหว่ยชิงรู้ดีว่าที่นี่คือที่ๆ เขาสามารถเลือกอสูรสวรรค์สำหรับกักเก็บทักษะได้

ที่ด้านข้างของห้องโถงมีโต๊ะและมีชายวัยกลางคน 2 คนนั่งอยู่ เมื่อพวกเขามองเห็นชุดซอมซ่อโจวเหว่ยชิง คนทั้งสองต่างก็ขมวดคิ้วแน่น อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงไม่ได้สนใจพวกเขานักเนื่องจากมีบางสิ่งกำลังดึงดูดความสนใจของเขาอยู่ ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในห้องโถง เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบบางอย่าง

โจวเหว่ยชิงเห็นชัดเจนว่าในห้องโถงนี้ไม่ได้มีทางเข้า 3 ทางเหมือนสำนักที่เมืองภูเขาลอยฟ้า แต่ที่นี่มี 4 ทาง! นอกจากทางเข้าระดับปฐม ระดับปรมะ และระดับเทวะตามปกติแล้ว ยังมีอีกทางเข้าอีก 1 ทางที่มีคำว่า ‘ราชา’ ติดอยู่ ดูจากลักษณะของมันแล้ว ทางเข้านี้ดูเหมือนจะใหม่กว่าอีก 3 ทางมาก

ราชา? หรือว่าจะเป็นอสูรสวรรค์ระดับราชา?

“หากเจ้าต้องการเข้าไปกักเก็บทักษะ เจ้าจะต้องจ่ายเงินก่อน” น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของโจวเหว่ยชิง เขารีบหันหลังกลับไปมองและมุ่งหน้าไปยังชายวัยกลางคนทั้ง 2 ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย “ผู้อาวุโส นี่เป็นครั้งแรกของข้าในเมืองเฟยหลี่ ทางเข้าที่มีคำว่า ‘ราชา’ คืออสูรสวรรค์ระดับราชาหรือขอรับ?”

ชายที่อยู่ทางซ้ายพยักหน้าและกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “อืม นั่นคืออสูรสวรรค์ระดับราชา ไม่เพียงแต่จะเป็นสิ่งหายากในอาณาจักรเฟยหลี่ของเราเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นเพียงตัวเดียวในบรรดาวังกักเก็บทักษะทั้งหมดของครึ่งทวีปฝั่งตะวันตก หนุ่มน้อย เจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติหรือ?”

…………………………….

Related

โจวเหว่ยชิงอุ้มเสือขาวตัวน้อยที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดและสิ่งสกปรกออกมาข้างนอกพร้อมกัน เขามองหาชุดสะอาดๆ หลังจากนั้นก็หยิบและวิ่งเปลือยกายเข้ามาทำความสะอาดตัวเองภายในห้อง อย่างไรเสียคนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะถูกใครพบเห็นร่างเปลือยล่อนจ้อนของเขาอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยนิสัยของเขา คนไร้ยางอายผู้นี้จะสนด้วยหรือหากมีผู้หญิงจ้องมอง? ใครจะไปถูกจับข้อหาถูกเห็นร่างเปลือยกัน เล่า!?

เขาเติมน้ำในอ่างขนาดใหญ่จนเต็มก่อนจะอุ้มเจ้าแมวอ้วนตัวน้อยกระโดดลงไป เจ้าแมวอ้วนผู้น่าสงสารไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลอยคอเป็นลูกหมาตกน้ำด้วยความโมโหเดือดดาล

โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างสนุกสนาน เขาล้างคราบเลือดและสางสิ่งสกปรกออกจากขนของมัน ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าแมวอ้วน อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นผู้หญิง…นี่นับเป็นการอาบน้ำแบบคู่รักยวนยาง[1] หรือไม่? ฮ่าๆๆๆๆๆ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เจ้าแมวอ้วนก็อยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายไปเสีย มันดิ้นรนขัดขืนอย่างหนัก ใช้อุ้งเท้าของมันสะบัดไปมาอย่างน่ารักน่าชัง โจวเหว่ยชิงทำได้เพียงแค่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและอาบน้ำให้มันจนสะอาดเอี่ยมอ่อง จากนั้นไม่นานเขาก็ปล่อยมันออกไปข้างนอกและเริ่มขัดถูร่างกายตัวเองบ้าง

นิสัยของโจวเหว่ยชิงนั้นแตกต่างจากคนปกติออกไปมาก แม้ว่าเขาจะเพิ่งพบกับความเจ็บปวดอันน่าสยดสยองในคืนก่อนหน้า แต่เมื่อเขาได้อาบน้ำชำระล้างร่างกายแล้วก็พลันรู้สึกเบาสบายตัวมาก ความทุกข์ทรมาณจากเมื่อวานนี้แทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง นับว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่สามารถลืมเลือนความเจ็บปวดได้ทันทีที่รอยแผลตกสะเก็ด  ด้วยนิสัยนี้เอง โจวเหว่ยชิงจึงสามารถฝึกวิชาเทพอมตะต่อไปได้โดยไม่กลายเป็นบ้าไปเสียก่อน

ก่อนหน้านี้ผู้สร้างวิชาเทพอมตะเป็นอัจฉริยะที่ทรงพลังผู้หนึ่ง เขามีพรสวรรค์เหนือผู้อื่นมาก ทั้งยังค้นพบสิ่งต่างๆด้วยความบังเอิญมากมาย ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ตายด้วยวิชาเทพอมตะที่ตนสร้างขึ้นมาเอง อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าร่างกายของเขาไม่อาจทนรับความเจ็บปวดระหว่างการทะลวงจุดตายได้ แต่จิตใจของเขานั้นไม่อาจอดทนต่อความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้ต่างหาก สติสัมปชัญญะของเขาจึงพังทลายลง ในท้ายที่สุดเขาก็เสียชีวิตในขณะที่ทะลวงจุดตายฉีไห่ จุดตายที่ทำให้เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่มากกว่าครั้งก่อนหน้าหลายเท่า

หลังจากซักชุดสกปรกจนสะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว โจวเหว่ยชิงก็รีบเขมือบอาหารกองโตเข้าท้อง หลังกินจนอิ่มแปล้ เขานั่งเอนหลังด้วยความอิ่มเอิบ จิตวิญญาณและพลังงานในร่างถูกเติมจนเต็ม ราวกับว่าเดือนแห่งความเหนื่อยล้าได้ผ่านพ้นไปแล้ว

“เหว่ยน้อย เจ้ามานี่หน่อยซิ” หลังจากเขาทานอาหารเสร็จแล้ว เสียงของฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ดังขึ้นมา

ทั้งฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูต่างก็นอนไม่หลับทั้งคืน พวกเขาจึงกระสับกระส่ายอยู่ตลอดจนกระทั่งถึงเวลาตื่นนอน อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ได้เข้าไปรบกวนโจวเหว่ยชิงจนกระทั่งถึงเวลานี้ เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงกลับมาร่าเริงมีชีวิตชีวาอีกทั้งร่างกายยังเต็มไปด้วยกำลังวังชา พวกเขาก็ถึงกับพูดไม่ออก

คนทั้งคู่ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าโจวเหว่ยชิงที่อยู่ในสภาพลมปราณแตกซ่านและต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานในคืนก่อนหน้าจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ เขาสามารถทำตัวราวกับเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างน่าทึ่ง

“อาจารย์ ข้าสร้างม้วนคัมภีร์ใบสุดท้ายเสร็จเมื่อคืนนี้!” โจวเหว่ยชิงวิ่งไปที่ห้องของฮูเหยียนเอ้าป๋อด้วยความตื่นเต้น ไม่เอ่ยถึงความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับจากวิชาเทพอมตะเมื่อคืนแม้แต่น้อย

ฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูมองไปยังเสือขาวตัวน้อยที่นอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของโจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้ากังวลใจ พวกเขาไม่อยากจะเอ่ยปากพูดถึงเรื่องเมื่อวานนี้ และเนื่องจากโจวเหว่ยชิงเองก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นเช่นกัน เพราะฉะนั้นพวกเขาก็เลยไม่คาดคั้นโจวเหว่ยชิงให้พูดออกมา

ฮูเหยียนเอ้าป๋อยิ้มกว้างและพูดว่า “ดีมาก ดีมาก ในช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่เดือนเจ้าก็สอบผ่านด่านที่ยากที่สุดของนิกายอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ของเราแล้ว นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาที่เจ้าต้องมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเฟยหลี่ ดังนั้นเจ้าควรเก็บของและออกเดินทางให้เร็วที่สุด”

เมื่อได้ยินคำพูดของฮูเหยียนเอ้าป๋อ ท่าทางตื่นเต้นของโจวเหว่ยชิงก็ดูจืดจางลงทันที โจวเหว่ยชิงวางเจ้าแมวอ้วนลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล เขาคุกเข่าลงต่อหน้าฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยู จากนั้นก็คุกเข่าคำนับพวกเขา 3 ครั้ง

ฮูเหยียนเอ้าป๋อไม่ได้ห้ามเขา ดวงตายังเต็มตื้นไปด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ สำหรับอาจารย์ทุกคนแล้ว ความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการมีลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพเช่นนี้ แน่นอนว่านี่ก็คือความรู้สึกที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อมีต่อโจวเหว่ยชิงนั่นเอง

หลังจากคำนับพวกเขาเสร็จ โจวเหว่ยชิงก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เขาไม่มีรอยยิ้มร่าเริงเหมือนเช่นเคย ครานี้เขาเอ่ยอย่างจริงจังว่า “อาจารย์ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะทำความฝันของท่านให้สำเร็จแน่นอน!”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อรู้สึกว่าดวงตาของเขามีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา เขาหายใจเข้าลึกเพื่อฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างเต็มที่ เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตวาดว่า “รีบไสหัวไปให้ไวเลย! นำกระดาษศาสตรามณียุทธ์และหมึกศาสตรามณียุทธ์ที่เหลือไปด้วย อย่าลืมหมั่นฝึกฝนด้วยล่ะ แค่ทิ้งคัมภีร์ที่ทำเสร็จแล้วไว้ที่นี่ก็พอ หลังจากนี้ข้าจะเกษียณแล้ว ตามที่เจ้ารู้ ข้าทำงานหนักมาตลอดหลายปี พอขายม้วนคัมภีร์ทั้งหมดที่เจ้าทำในครั้งนี้เสร็จแล้ว ข้าจะออกเดินทางไปทั่วโลกกับตาแก่เฟิง สักวันหนึ่งพวกเราอาจจะได้พบกันใหม่”

โจวเหว่ยชิงแสยะยิ้มและกล่าวว่า “ใครจะรู้ บางทีตอนนั้นข้าอาจจะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะแล้วก็ได้! ลาก่อนขอรับท่านอาจารย์ ลาก่อนท่านผู้อาวุโสเฟิงหยู!” หลังจากพูดจบ เขาก็รีบหันหน้าหนีไปอย่างรวดเร็ว ทว่าทั้งฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูต่างก็มองเห็นชัดเจนว่าหลังจากที่โจวเหว่ยชิงหันหลังกลับไป ไหล่ของเขาก็เริ่มสั่นเล็กน้อย

โจวเหว่ยชิงรีบกลับไปที่ห้องของเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากปิดประตูเขาก็ยกมือขึ้นมาขยี้ตาอย่างแรงและบ่นพึมพำ “ทำไมฝุ่นถึงเข้าตาข้าได้เนี่ย…”

แม้ว่าปกติแล้วเขามักจะทำตัวเหมือนไม่ใส่ใจคนอื่น อีกทั้งยังได้เรียนรู้วิถีการเป็นคนเจ้าเล่ห์คดโกงมาจากมู่เอินแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขามองข้ามคนที่ปฏิบัติดีกับเขา

แม้ว่าเขาจะใช้เวลาเพียง 5 เดือนในการเรียนรู้และใช้เวลาอยู่ร่วมกับฮูเหยียนเอ้าป๋อ  แต่โจวเหว่ยชิงก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอาจารย์ของเขาทำเพื่อเขาและเอาใจใส่เขามากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์หลุมบรรจุมณีที่อาจารย์มอบให้ ทั้งการที่อาจารย์ใช้เงินออมทั้งชีวิตทุ่มซื้อวัตถุดิบทั้งหมดมาให้เขาและสั่งสอนเขาอย่างอดทน อาจกล่าวได้ว่าฮูเหยียนเอ้าป๋อได้ทำทุกอย่างที่อาจารย์คนหนึ่งต้องทำอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งเขายังทำมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสอน ของฮูเหยียนเอ้าป๋อ และวัตถุดิบที่เขาช่วยสนับสนุนให้ ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงจะมีพรสวรรค์มากเพียงใด เขาก็ไม่อาจกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้ในเวลาอันสั้นแน่นอน

คติประจำตัวของโจวเหว่ยชิงเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด หากมีคนทำดีกับเขา เขาก็จะตอบแทนพวกเขากลับคืนร้อยพันเท่า แต่หากมีใครทำไม่ดีกับเขา เขาก็จะสนองคืนร้อยพันเท่าเช่นกัน!

ในอีกด้านหนึ่ง ร่างกายของฮูเหยียนเอ้าป๋อเองก็สั่นสะท้านเล็กน้อย หลังจากที่โจวเหว่ยชิงจากไป เขาก็หายใจเข้าลึกๆพลางพึมพำกับตัวเองว่า “เขาเป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้าแล้ว ไม่มีอะไรสามารถเทียบได้เลย”

โจวเหว่ยชิงได้จากไปแล้ว และคราวนี้เขาก็ไม่แม้แต่จะกล่าวลากับฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยู แน่นอนว่าเขาหวาดกลัวช่วงเวลาแห่งการจากลามากที่สุด อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาเดินออกมาจากลานบ้านของฮูเหยียนเอ้าป๋อแล้ว เขาก็คุกเข่าลงที่ประตูและคำนับอีก 3 ครั้ง เขากระชับกอดเจ้าแมวอ้วนไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเดินจากไป

หลังจากนั้นไม่นาน ประตูบานนั้นก็ถูกเปิดออก ร่างของฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูก็โผล่ออกมาเพื่อมองส่งร่างที่เพิ่งหายลับตาไปของโจวเหว่ยชิง หลังจากที่เขาจากไปไกลแล้ว ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาไม่อาจทนแยกจากกับศิษย์รักของเขาได้เลย

“ทำไมเจ้าไม่ขอให้เขาอยู่ต่อล่ะ? ถ้าเจ้าขอ เขาอาจจะอยู่ก็ได้” เฟิงหยูกล่าว

ฮูเหยียนเอ้าป๋อส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ข้าไม่อาจเห็นแก่ตัวได้เช่นนั้น อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เป็นได้เพียงอาชีพเสริมสำหรับเขา เจ้าว่าจำนวนจ้าวมณีสวรรค์ที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นมีกี่คนกัน? นอกจากนี้ ด้วยพรสวรรค์และทักษะธาตุของเขา เขาก็น่าจะไปได้ไกลกว่าหากเลือกเดินบนเส้นทางของจ้าวมณีสวรรค์”

เฟิงหยูยิ้มและพูดว่า “ตาแก่ฮูเหยียน ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเองมีด้านที่น่ารักแบบนี้เช่นกัน พวกเราจะไปท่องโลกอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ หรือเปล่า?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อหัวเราะอย่างเต็มกำลังก่อนจะเอ่ยว่า “ทำไมจะไม่ไปล่ะ? ข้าได้มาถึงยอดภูเขาขีดความสามารถของข้าในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์แล้ว ไม่มีที่ว่างให้ข้าได้เติบโตขึ้นไปอีกแล้ว อีกทั้งข้ามีลูกศิษย์ที่โดดเด่นขนาดนี้ ข้ายังต้องทำงานหนักอยู่อีกหรือ? ถึงเวลาที่ข้าจะใช้ชีวิตเสเพล ท่องโลกและลิ้มลองรสชาติของชีวิตแล้ว! ไปกันเถอะ พวกเรารีบไปเก็บของ เตรียมตัวออกเดินทางเร็วๆ นี้กัน!”

เมืองหลวงเฟยหลี่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรเฟยหลี่ มันอยู่ห่างจากเมืองภูเขาลอยฟ้าเป็นระยะทางประมาณ 2 เท่า ของเส้นทางจากเมืองภูเขาลอยฟ้าไปอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ หลังออกจากเมืองภูเขาลอยฟ้า โจวเหว่ยชิงก็ได้คำนวณระยะเวลาและตระหนักได้ว่าเขามีเวลากระชั้นชิดมากเนื่องจากต้องไปเมืองเฟยหลี่ให้ทันเวลานัดพบของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตามแผนที่เขาวางเอาไว้ตั้งแต่แรก ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากต้องเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน

เขาปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมาและเคลื่อนวงล้อทักษะธาตุไปยังพื้นที่สีเขียวอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นร่างของเขาพุ่งทะยานตรงไปยังเมืองเฟยหลี่ด้วยความเร็วดุจสายฟ้า

ตามแผนที่ที่ได้รับมา โจวเหว่ยชิงพบว่าเส้นทางนี้วางตัวเกือบจะเป็นแนวตรง เมื่อออกวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ เขาก็พบว่าสิ่งที่เขาเพิ่งได้รับมานั้นมีประโยชน์มาก โจวเหว่ยชิงเพิ่งได้รับมณีชุดที่ 3 เขาจึงยังไม่คุ้นเคยกับความสามารถและร่างกายใหม่ของเขาเท่าไหร่นัก ขณะที่เขาใช้พลังปราณสวรรค์ธาตุลมในการวิ่ง เขาก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าพลังที่เพิ่มขึ้นมานั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นมาแบบธรรมดาๆ

ทุกครั้งที่เท้าของเขาแตะพื้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้พลังขาขวาปีศาจ เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวของเขานั้นเบาหวิวเหมือนนกกระจิบ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดที่สุดก็กลับกลายเป็นเรื่องที่น่าพอใจเสียอย่างนั้น เขาพบว่าตนเองสามารถควบคุมความเร็วได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เขาสามารถควบคุมพลังปราณสวรรค์ธาตุลมได้อย่างแม่นยำชนิดที่ไม่เคยได้ยินมาที่ไหนก่อน นี่น่าจะเป็นผลมาจากการใช้พลังปราณสวรรค์อย่างต่อเนื่องในช่วง 4 เดือนของการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ นั่นรวมถึงความแม่นยำและความแข็งแกร่งของพลังจิตที่ต้องใช้ในการฝึกสร้างม้วนคัมภีร์ด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น การทะลวงจุดตายฉีไห่ก็ค่อนข้างแตกต่างจากการทะลวงจุดตายทั้ง 11 จุดก่อนหน้านี้มาก แม้ว่าเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่าครั้งก่อนๆ แต่ประโยชน์ที่เขาได้รับกลับคืนมาก็มากพอๆ กัน ก่อนหน้านี้หลุมดำพลังปราณของจุดตายต่างๆ นั้นค่อนข้างแยกออกจากกันเป็นอิสระและไม่มีความเกี่ยวข้องกันมากนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากทะลวงจุดตายฉีไห่ได้ เรื่องราวทั้งหมดก็ต่างออกไปทันที หลุมดำพลังปราณในจุดตายฉีไห่กลายเป็นจุดศูนย์กลางในร่างกายของเขา ที่นั่นมีพลังปราณสวรรค์ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ หลุมดำพลังปราณอีก 11 แห่งถูกประสานเข้ากับมัน และเมื่อเขาหายใจเข้าออกแต่ละครั้ง หลุมดำพลังปราณฉีไห่ก็จะหมุนคว้างและดูดกลืนพลังปราณสวรรค์จากชั้นบรรยากาศเข้ามาในจำนวนที่มากขึ้น แน่นอนว่านั่นทำให้เกราะเทพอมตะของเขาแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด

ในเวลาเดียวกัน พลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงก็ค่อยๆ วิวัฒน์จากปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานไปสู่ปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพ แม้ว่าพลังของเขาจะยังไม่มากพอถึงระดับที่ 1 ของขั้นทะลวงพิภพ แต่พลังปราณสวรรค์ของเขาก็สามารถแสดงคุณสมบัติพิเศษบางอย่างของปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพได้แล้ว นั่นก็คือความสามารถในการปลดปล่อยปราณสวรรค์ออกไปภายนอกร่างกายได้นั่นเอง

เมื่อโจวเหว่ยชิงตั้งสมาธิเพ่งไปที่จิตใต้สำนึก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมา เขาก็ยังสามารถแปรเปลี่ยนพลังปราณสวรรค์ของเขาให้กลายเป็นแสงสีขาวพุ่งทะยานออกจากร่างกายได้ จากที่เมื่อก่อนพวกมันถูกกักขังเอาไว้ในร่างของเขาเพียงอย่างเดียว อีกทั้งพวกมันยังสามารถนำใช้ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน นี่จึงเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนจากการเลื่อนระดับ

นอกจากนี้ เนื่องจากพลังปราณสวรรค์นั้นอยู่ในสถานะของเหลว จำนวนปราณที่สามารถนำไปใช้กับทักษะต่างๆจึงลดลงเล็กน้อยเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่ามณีชุดที่ 3 นี้เป็นระดับพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับจ้าวอัญมณีสวรรค์ทุกคน ไม่ใช่แค่ปริมาณ แต่ยังรวมถึงคุณภาพอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังทวีความทรงพลังขึ้นอีกในผู้ที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิดสูงมากเช่นโจวเหว่ยชิง

สิ่งเดียวที่เขาขาดในตอนนี้คือการกักเก็บทักษะและการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ให้เสร็จสิ้น ท้ายที่สุดแล้ว ศาสตรามณียุทธ์ของเขาก็มีเพียงชิ้นเดียวนั่นคือธนูราชันย์ในมณียุทธ์ดวงแรกของเขา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ เขาจึงไม่มีเวลาหลอมรวมกับคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ในของขวัญที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อมอบให้เขาได้ ซึ่งนั่นก็คือม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ใบแรกของชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษนั่นเอง ด้วยเหตุนั้นเขาจึงคิดจะหลอมรวมเข้ากับมันหลังจากไปถึงเมืองหลวงเฟยหลี่

…………………………………………………

[1] การอาบน้ำแบบคู่รักยวนยาง: การอาบน้ำแบบนกเป็ดน้ำ (คู่รักช่วยกันอาบน้ำขัดหลัง)

Related

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าด้วยสีหน้าซื่อตรงและกล่าวว่า “ใช่ขอรับผู้อาวุโส! แล้วทักษะธาตุอื่นๆ มีอสูรสวรรค์ระดับราชาด้วยหรือไม่?”

ชายวัยกลางคนเอ่ยตอบอย่างเหยียดหยาม “เจ้าจะเอาอสูรสวรรค์ระดับราชาไปทำอะไร? ข้าขอบอกเจ้าว่าที่นี่มีเพียงตัวเดียวและมีไว้สำหรับพวกเราจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติเท่านั้น! แน่นอนว่ามันคืออสูรสวรรค์ระดับราชาเพียงหนึ่งเดียวในวังกักเก็บทักษะแห่งนี้ ข้าจะบอกอะไรให้ เมื่อ 3 เดือนที่แล้วหัวหน้าวังกักเก็บทักษะของเราและผู้อาวุโส 12 คนต้องร่วมมือกันเพื่อจับมัน พวกเราต้องสูญเสียผู้อาวุโสไปถึง 4 คนกว่าจะจับมันได้!”

โจวเหว่ยชิงร้องออกมาด้วยความดีใจ “ผู้อาวุโส ถ้าข้าต้องการกักเก็บทักษะของอสูรสวรรค์ระดับราชา ข้าจะต้องจ่ายเท่าไหร่หรือ?”

เมื่อฟังคำพูดของเขาจบ ชายวัยกลางคนทั้ง 2 ก็มีท่าทางแปลกๆ ไม่นานชายทางขวาก็พึมพำออกมาว่า “นี่คือคนที่ 7…”

ชายทางซ้ายจึงเอ่ยว่า “100,000 เหรียญทองสำหรับการทดลองหนึ่งครั้ง เจ้าสามารถเข้าไปได้ทันทีที่จ่ายเงิน”

“อะไรนะ? 100,000!?” โจวเหว่ยชิงจ้องมองชายวัยกลางคนทั้ง 2 ที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างตกตะลึง แม้ว่าเขาจะมีเงินติดตัว แต่นั่นก็เป็นเพียง 10,000 เหรียญทองที่มารดาของเขามอบให้ก่อนที่เขาจะออกจากเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ ส่วนแบ่งของเขาจากหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ก็ถูกใช้ไปกับแหวนมิติสำหรับหมี 2 ตัวนั้นไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจะมี 100,000 เหรียญทองได้อย่างไร!

ชายวัยกลางคนทางด้านซ้ายแค่นเสียงเอ่ยว่า “หากเจ้าต้องการสัมผัสกับพลังของอสูรสวรรค์ระดับราชา เจ้าก็ต้องจ่ายตามนั้น หากเจ้ามีเงินไม่พอ ก็จงเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้กับตัวเองต่อไป”

โจวเหว่ยชิงลังเลสักพักก่อนจะกัดฟันคิดกับตัวเอง ได้! 100,000 เหรียญทองงั้นหรือ? ช่างมันก็แล้วกัน! “ผู้อาวุโส เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร ตอนนี้ข้าไม่มีเหรียญทองติดตัวมากขนาดนั้น ข้าจะใช้ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เป็นของแลกเปลี่ยนแทนได้หรือไม่?” เขาถามอย่างไม่แน่ใจ

เมื่อได้ยินคำว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ใบหน้าของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปทันที สายตาดูถูกเหยียดหยามที่มองไปยังโจวเหว่ยชิงก็พลอยลดน้อยลงไปด้วย

ชายทางด้านขวาถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “หนุ่มน้อย เจ้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์งั้นหรือ?” หากโจว   เหว่ยชิงอยู่ที่ห้องโถงทักษะธาตุอื่นๆ ผู้คุมก็อาจจะไม่ถามคำถามนี้ แต่นี่คือห้องโถงทักษะธาตุมิติ และจ้าวมณีที่มีทักษะธาตุมิติก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ ในขณะที่เขาถามคำถามนั้นออกมา มุมมองที่พวกเขาที่มีต่อโจวเหว่ยชิงก็ดีขึ้นมากเช่นกัน

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่แล้วขอรับ! ข้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน ดังนั้นข้าจึงมีเพียงม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน นั่นพอใช้ได้หรือไม่?”

“แน่นอน!” ชายที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือกล่าวอย่างกระตือรือร้น ตอนนี้มุมมองที่เขามีต่อโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขามองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาแสดงความเคารพนับถือ “อย่างไรก็ตาม หากเป็นม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน พวกมันจะต้องอยู่ครบทั้งชุด ที่วังกักเก็บทักษะพวกเราจะรับซื้อชุดละ 50,000 เหรียญทอง หากเจ้ามี 2 ชุด เจ้าก็สามารถเข้าชมอสูรสวรรค์ระดับราชาได้เลย”

“50,000 เหรียญทอง?” โจวเหว่ยชิงผงะ ก่อนหน้านี้ฮูเหยียนเอ้าป๋อเคยบอกเขาว่าราคาของม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานอยู่ที่ประมาณ 30,000 เหรียญทองเท่านั้น!

ชาย 2 คนคิดว่าโจวเหว่ยชิงไม่เห็นด้วยกับราคาที่พวกเขาให้ต่ำเกินไป ชายทางซ้ายจึงรีบพูดว่า “เจ้าหนุ่ม แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้จำนวนม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่วางขายจะลดลงและทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น แต่อย่างที่เจ้ารู้ ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานนั้นไม่ได้รับประกันความสำเร็จที่แน่นอน ราคา 50,000 เหรียญทองของเราจึงถือว่าเป็นราคาที่ยุติธรรมแล้ว แม้ว่าเจ้าจะนำไปขายที่หอประมูล แต่ก็มีแนวโน้มที่จะขายได้ราคามากกว่านี้เล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งหลังจากหักค่าธรรมเนียมการประมูลแล้ว ราคาที่ขายได้ก็อาจจะลดลงเหลือเท่ากัน”

โจวเหว่ยชิงฟื้นคืนสติและพูดว่า “นั่นหมายความว่าวังกักเก็บทักษะรับซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานหรือขอรับ?”

“แน่นอน วังกักเก็บทักษะของเรารับซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ทุกระดับ!” ชายสองคนจ้องมองเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก จากคำถามของโจวเหว่ยชิง พวกเขาจึงเดาได้ว่าแม้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาจะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน แต่เขาก็ยังคงเป็นมือใหม่อย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ว่าจะขายม้วนคัมภีร์ได้ที่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงสุภาพกับเหว่ยชิงมากเนื่องจากไม่มีใครต้องการเป็นศัตรูกับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์อย่างไร้เหตุผล

“เอาล่ะ ข้ามีคัมภีร์มาขายส่วนหนึ่ง” ก่อนเข้าเมืองใหญ่โจวเหว่ยชิงไม่เคยคิดเกี่ยวกับความสำคัญของเงินมาก่อน ทว่าแค่เพียงกักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ธาตุมิติระดับราชาครั้งหนึ่ง เขายังต้องใช้เงินถึง 100,000 เหรียญทอง! ตอนนี้โจวเหว่ยชิงจึงรู้ซึ้งถึงความสำคัญของมันและต้องการเงินอย่างมาก เขายกมือซ้ายขึ้นวางบนสร้อยมิติของเขา จากนั้นก็หมุนเวียนพลังปราณสวรรค์เพื่อหยิบกล่องไม้ออกมากล่องแล้วกล่องเล่า

ความเคลือบเเคลงใจของพวกเขาก็ถูกปัดทิ้งไปทันทีที่เห็นโจวเหว่ยชิงมีสร้อยมิติไว้ในครอบครอง โจวเหว่ยชิงหยิบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ 10 กล่องออกมาและวางไว้บนโต๊ะต่อหน้าพวกเขา

ทั้งคู่ไม่ลังเลอีกต่อไปทั้ง พวกเขารีบตรวจสอบม้วนคัมภีร์ในกล่องอย่างรวดเร็วและพบว่าพวกมันทั้งหมดล้วนแต่เป็นม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานที่บรรจุอยู่ในกล่อง กล่องละ 1,000 ใบ

“เจ้าเป็นคนสร้างพวกมันขึ้นมาเองทั้งหมดเลยรึ?” ชายทางซ้ายถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

โจวเหว่ยชิงตอบด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสาบนใบหน้าของเขา “ใช่! ผู้อาวุโส ถ้าข้าขายทั้ง 10 กล่องทีเดียวจะสามารถขอเงินเพิ่มอีกหน่อยได้หรือไม่? ท่านก็รู้ว่าการกักเก็บทักษะนั้นค่อนข้างแพง…”

ชายวัยกลางคนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ข้าจะต้องไปถามหัวหน้าก่อน บอกตามตรงนะเจ้าหนุ่ม เจ้าไม่ควรเสียเงินไปลองเสี่ยงกักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับราชาโดยเปล่าประโยชน์  เจ้าไม่มีโอกาสที่เจ้าจะทำสำเร็จหรอก 100,000 เหรียญทองไม่ใช่เงินจำนวนน้อย แม้ว่าเจ้าจะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เจ้าก็ไม่ควรผลาญเงินที่หามาอย่างยากลำบากเช่นนั้น”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “ก็อย่างที่ท่านพูด มีเพียงที่ห้องโถงทักษะธาตุมิติของท่านเท่านั้นที่มีทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับราชาเช่นนี้ บางทีนี่เป็นโอกาสเดียวที่ข้าจะได้เห็นมันสักครั้งหนึ่งในชีวิต ถึงแม้ว่าเงิน 100,000 เหรียญทองจะเป็นราคาที่แพงมาก แต่ข้าก็ยังอยากลองดูด้วยตัวเองสักครั้งเพื่อสัมผัสว่ามันเป็นอย่างไร สำหรับการกักเก็บทักษะนั้น แน่นอนข้ารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”

เมื่อเห็นว่าคำชักชวนของเขาไม่เป็นประโยชน์ ชายวัยกลางคนจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นเจ้าก็เข้าไปข้างในก่อนเถิด ข้าจะนำม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของเจ้าไปให้หัวหน้าของข้าตรวจสอบดู เมื่อเจ้าออกมาแล้ว พวกเราจะมอบเหรียญทองที่เหลือให้”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างเหนียมอายว่า “ผู้อาวุโส ท่านคงจะไม่เล่นตุกติกกับคัมภีร์ของข้าหลังจากข้าออกมาใช่ไหม?”

เส้นสีดำปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของชายวัยกลางคนทั้ง 2 ทันที จากนั้นคนที่อยู่ทางซ้ายก็พูดขึ้นด้วยความโกรธ      “เจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหนอย่างนั้นหรือ? ที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรเฟยหลี่ ไม่ใช่ร้านค้า          ธรรมดาๆ ทั่วไป หากเจ้าไม่ได้เป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ล่ะก็ เพียงแค่คำพูดที่เจ้าเพิ่งพูดออกมาก็อาจทำให้สักนักของเราขึ้นบัญชีดำกับเจ้าตลอดไปแล้ว”

“เอ่อ…ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว…ข้าจะไปตอนนี้ขอรับ” แม้ภายในใจโจวเหว่ยชิงกำลังหัวเราะกับตัวเองอย่างบ้าคลั่ง แต่อย่างไรเขาก็ยังคงแสดงสีหน้าหวาดกลัวขณะรีบหันหลังกลับและเดินเข้าไปในทางเข้าที่มีป้ายติดไว้ว่า ‘ราชา’

ขณะที่ชาย 2 คนเฝ้าดูร่างที่หายลับเข้าไปในทางเดินนั้น ชายทางซ้ายก็เอ่ยขึ้นมาว่า “มีคนจำนวนมากที่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับอสูรสวรรค์ระดับราชาและเต็มใจที่จะจ่าย แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่กักเก็บทักษะสำเร็จ เฮ้อ ราวกับถือเงินมาให้พวกเราเฉยๆ เสียอย่างนั้น ผ่านมาแค่ 3 เดือน แต่พวกเรากลับทำเงินจากอสูรตัวนี้กว่า 700,000 เหรียญทองแล้ว ถึงกระนั้นข้าก็ยังคาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กน้อยนั่นจะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์”

คนทางขวาส่งสัญญาณให้เขาเงียบ “พูดให้เบาลงหน่อย มันคงจะไม่ดีหากเขาได้ยินเข้า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องล่วงเกินอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สามารถกลายเป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คิดว่าเขาน่าจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ด้วยเช่นกัน เอาล่ะ ข้าจะไปรายงานหัวหน้าของเราเกี่ยวกับม้วนคัมภีร์พวกนี้ก่อน”

หลังจากเข้าสู่ประตูทางเข้านั้นมาได้ สีหน้าของโจวเหว่ยชิงก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  ความตื่นเต้นกำลังพลุ่งพล่านไปทั่วร่างของเขา เขาออกแรงกำหมัดแน่นด้วยพลังทั้งหมดที่มี อสูรสวรรค์ระดับราชางั้นหรือ…จะมีทักษะที่แข็งแกร่งขนาดไหนกันนะ? บางทีระดับของมันอาจจะสูงกว่าระดับ 9 ดาวด้วยซ้ำ! ฮิๆ 100,000 เหรียญทองอาจมีราคาแพง แต่ถ้าเขาได้รับทักษะที่แข็งแกร่ง นั่นก็ย่อมคุ้มค่าอย่างยิ่ง!

ในขณะที่เขาเดินไปตามทาง เขาก็สังเกตเห็นว่าก้อนหินรอบๆ ทางเดินพวกนี้ดูใหม่มาก นี่คงจะเป็นเส้นทางที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่อย่างแน่นอน ในขณะที่เขาเดินลงไปตามทางลาดสู่เบื้องล่าง โจวเหว่ยชิงก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่น่ากลัว ราวกับว่ามีแรงกดดันที่มองไม่เห็นลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศ ส่งความกระแสไอเย็บวาบแล่นไปตามแนวกระดูกสันหลังของเขา

ทว่าโจวเหว่ยชิงก็พยายามเพิกเฉยต่อแรงกดดันเหล่านั้นและเดินไปตามเส้นทางต่อ  อย่างไรเขาก็ใช้เงินไปกว่า 100,000 เหรียญทองแล้ว เขาไม่ยอมถอยง่ายๆ หรอก!

หลังจากมุ่งหน้าลงไปประมาณ 500 เมตร ในที่สุดเส้นทางข้างหน้าก็กว้างขึ้นกลายเป็นเป็นห้องโถงหินแห่งหนึ่ง

เมื่อเข้ามาในห้อง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ว่าแรงกดดันที่บีบคั้นเขาอยู่ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเขาต้องหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ออกมาเพื่อต่อต้าน กลิ่นอายที่คุ้นเคยพลันถูกส่งต่อเข้ามาในความรู้สึกของเขา

“ทักษะธาตุมืด?” ทั้งห้องเรียงรายไปด้วยหินสีดำที่มีอักขระแปลกๆ จารึกอยู่บนนั้น ภายในนั้นยังมีคบไฟเรียงรายอยู่เพื่อให้แสงสว่าง

แท้จริงแล้วสัมผัสคุ้นเคยที่โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้นั้นคือทักษะธาตุมืด แน่นอนว่าในบรรดาทักษะธาตุทั้งหมด ทักษะธาตุมืดนั้นมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการปิดผนึก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในก้อนหินพวกนั้นมีทักษะธาตุมืดที่แข็ง แกร่งมากมายคอยปิดผนึกกำลังของอสูรสวรรค์ระดับราชาเอาไว้อยู่

หลังจากจมอยู่กับสัมผัสของทักษะธาตุมืดไปชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดการสายตาของโจวเหว่ยชิงก็หยุดอยู่ที่ร่างของอสูรสวรรค์ระดับราชา แต่ทว่าในพริบตานั้นเขาก็อดจะตื่นตะลึงไม่ได้

ที่มุมห้องมีนกน้อยขนสีเงินนอนอยู่ มันมีขนาดเล็กมาก ร่างกายมีความยาวน้อยกว่า 1 ฉื่อและก็ยังมีขนาดตัวเล็กกว่าเจ้าแมวอ้วนอีกด้วย นี่เป็นสาเหตุที่โจวเหว่ยชิงไม่เห็นมันทันทีที่เข้าไปในห้อง

ร่างของเจ้านกตัวน้อยปกคลุมไปด้วยขนสีเงินแซมขาว มันกำลังนอนอยู่บนพื้นในท่าที่ศีรษะของมันห้อยลงต่ำ ขนของมันไร้เงาแวววาว อีกทั้งดวงตาก็ปิดสนิท มีอักขระสีดำแปะอยู่บนหน้าผากของมัน ปีกและกรงเล็บแต่ละข้างต่างก็ถูกโซ่สีดำเล็กๆ ล่ามเอาไว้

นี่คืออสูรสวรรค์ระดับราชา? ดูตัวจ้อยไปหน่อยไหม? หากไม่นับสีขนของมันแล้ว ที่เหลือก็แทบจะดูไม่ต่างจากนกทั่วไปเลยแม้แต่น้อย

โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเองขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า ขณะนั้นในห้องโถงหินแทบไม่มีแสงสว่างเพียงพอเลย เมื่อเข้าไปใกล้เขาจึงมองเห็นแค่เพียงแผ่นหินที่ตั้งอยู่ข้างๆ เจ้านกตัวจ้อยเท่านั้น บนแผ่นโลหะนั้นมีอักษรจารึกไว้ แน่นอนว่า  โจวเหว่ยชิงเคยไปที่วังกักเก็บทักษะมาก่อน เขาจึงรู้ดีว่านี่คือป้ายบันทึกความสามารถของอสูรสวรรค์

ด้านบนของแผ่นโลหะมีอักษรเขียนไว้ต่อไปนี้ จักรพรรดิสีเงิน อสูรสวรรค์ธาตุลมและธาตุมิติ ระดับราชา

แม้ว่าอสูรสวรรค์ตนนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็รวดเร็วและอันตรายมาก โดยปกติแล้วไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

เจ้าแห่งท้องนภา ชำนาญทักษะธาตุมิติเป็นอย่างดี ทักษะกระชากมิติ สามารถตอบโต้ทักษะธาตุมิติส่วนใหญ่ได้และมีความสามารถในการทำลายล้างที่น่าอัศจรรย์

มันมีพละกำลังมาก อาหารที่กินคือสมองของอสูรสวรรค์หรือสมองของมนุษย์ทั่วไป

มีความก้าวร้าวและพลังทำลายล้างสูงตามธรรมชาติ ขึ้นชื่อในเรื่องนำหายนะและความตายไปด้วยทุกที่ๆ มันย่างกรายไป ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกอีกอย่างว่านกแห่งภัยพิบัติ หนึ่งในอสูรสวรรค์ระดับราชาที่ร้ายกาจที่สุด

ทักษะของจักรพรรดิสีเงิน

ธาตุมิติ ทักษะกระชากมิติ

ธาตุลม ทักษะภาพลวงตาทวีคูณ ทักษะสะบัดปีกเฉือน ทักษะทะลวงสายฟ้า

โจวเหว่ยชิงพึมพำกับตัวเอง “อสูรสวรรค์ระดับราชาตนนี้ไม่ได้มีทักษะมากมาย ทั้งหมดมีแค่ 4 ทักษะและมีเพียง 1 ทักษะเท่านั้นที่เป็นทักษะธาตุมิติ” ขณะที่เอ่ยเช่นนั้น เขาก็อ่านคำอธิบายทักษะด้านล่างต่อ

ทักษะกระชากมิติ ทักษะที่มีชื่อเสียงที่สุดของจักรพรรดิสีเงิน สามารถนำพลังปราณธาตุมิติไปใช้ได้อย่างน่าประทับใจ สามารถผ่าแยกมิติออกจากกันได้ในทันทีและบิดเบือนมิติได้ ภายในระยะใกล้ๆ สามารถทำลายทักษะล่องหนหรือทักษะซ่อนเร้น รวมไปถึงทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาได้ ในขณะเดียวกันก็มีพลังการฉีกกระชากที่แข็งแกร่งมาก เมื่อใช้ทักษะกระชากมิติ มันจะบิดเบือนพื้นที่ซึ่งอาจทำให้การโจมตีระยะไกลของศัตรูพลาดเป้าหมายได้ การใช้งานของทักษะกระชากมิติ รัศมีการใช้งานรวมทั้งระยะเวลาที่ใช้ได้ขึ้นอยู่กับระดับพลังปราณสวรรค์ของผู้ใช้

…………………………

Related

ฮูเหยียนเอ้าป๋อถอนหายใจและพูดว่า “ใช่ มันเคยมี แต่นั่นเป็นความพยายามร่วมกันของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะและระดับเทพเจ้าหลายคน ไม่ใช่เพียงคนๆ เดียว นอกจากนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานมีจำนวนศาสตรายุทธ์มากถึง 10 ชิ้น ในอดีตผู้ก่อตั้งของเราทะนงตนมากเกินไป และตั้งเป้าหมายไว้ยิ่งใหญ่แบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน มิฉะนั้นเขาคงจะไม่ร่างชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานที่สร้างได้ยากขนาดนี้ขึ้นมาหรอก”

คำพูดของฮูเหยียนเอ้าป๋อทำให้หัวใจของโจวเหว่ยชิงบีดรัดแน่นขึ้น อันที่จริงเมื่อเทียบกับบรรพบุรุษจ้าวมณีสวรรค์ที่สร้างชุดภาพร่างศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานขึ้นมาคนนั้น โจวเหว่ยชิงก็มีข้อได้เปรียบกว่าเขามาก อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงจะสามารถกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าได้หรือไม่ อย่างน้อยเขาก็น่าจะสามารถประหยัดวัตถุดิบได้จำนวนมหาศาล สำหรับโจวเหว่ยชิงแล้วกระดาษแผ่นเดียวก็เพียงพอที่จะสร้างม้วนคัมภีร์ได้แล้ว ด้วยเหตุนี้มันจึงช่วยประหยัดหมึกศาสตรามณียุทธ์ได้อีกเป็นจำนวนมาก

เช่นเดียวกับม้วนคัมภีร์เพียงแผ่นเดียวที่นิกายของพวกเขาสร้างสำเร็จ สำหรับคนอื่นๆ มันอาจจะไม่เป็นประโยชน์มากนัก แต่สำหรับเขา เพียงแผ่นเดียวก็เพียงแล้ว

ฮูเหยียนเอ้าป๋อลุกขึ้นยืนและพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “เอาล่ะ เจ้าต้องลำบากมาหลายเดือนและคงจะเหนื่อยมาก เจ้าจะต้องออกเดินทางในอีกไม่กี่วันแล้วดังนั้นควรพักผ่อนให้เต็มที่เช่นกัน การสร้างคัมภีร์ระดับพื้นฐาน 2-3 กล่องสุดท้ายให้สำเร็จนั้นสำคัญก็จริง แต่ร่างกายของศิษย์รักอันล้ำค่าของข้าก็สำคัญพอๆ กัน เจ้าควรฝึกปราณสวรรค์ในขณะพักผ่อนด้วย มันจะช่วยฟื้นฟูร่างกายของเจ้าไปพร้อมกัน”

หลังจากฮูเหยียนเอ้าป๋อจากไป โจวเหว่ยชิงก็ยิ้มอย่างขมขื่น ฝึกปราณ? เขาไม่กล้าที่จะจดจ่อไปที่การฝึกปราณอีกแล้ว! หลังจากอาศัยอยู่ในเมืองภูเขาลอยฟ้ามาเป็นเวลา 4 เดือน แม้ว่าเวลาส่วนใหญ่ของเขาจะหมดไปกับการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ แต่นั่นก็ยังทำให้เขาต้องใช้พลังปราณสวรรค์จำนวนมหาศาลไปจนเกือบหมด จากนั้นก็ฟื้นฟูและทำซ้ำใหม่อีกครั้ง…และอีกครั้ง แน่นอนว่านั่นก็คือวิธีฝึกปราณไปในตัวด้วยเช่นกัน! นอกจากนี้ วิชาเทพอมตะของเขายังแตกต่างจากวิชาฝึกปราณอื่นๆ มาก แม้เขาจะไม่ได้เพ่งสมาธิฝึกปราณด้วยตัวเองแต่ก็ร่างกายของเขาก็ยังคงดูดกลืนปราณจากภายนอกเข้ามาได้ด้วยตัวมันเอง ในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมานี้เขาสะสมปราณสวรรค์ไปจนเข้าใกล้จุดที่จะทะลวงผ่านไปอีกขั้นได้แล้ว แต่ทว่าเขาก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาควรจะทะลวงจุดตายที่ 12 ดี

อย่างไรเสียความรู้สึกเจ็บปวดเจียนตายจากการทะลวงจุดตายแต่ละจุดก็ได้ทิ้งบาดแผลลึกไว้ในใจของเขา ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่มีซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่เคียงข้าง เขาก็ไม่กล้าพอจะทะลวงผ่านจุดตายต่อไปเนื่องจากกลัวว่าตนจะไม่อาจอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้ ครั้งก่อนๆ แม้ว่าจะมีปิงเออร์อยู่เคียงข้าง เขาก็แทบจะอดทนผ่านมันไปไหวอยู่แล้ว และด้วยนิสัยเดิมของเขา เขาก็กลัวความเจ็บปวดและกลัวตายอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ต้องการมุ่งเน้นไปที่การฝึกปราณในตอนนี้ เขาคิดว่าจะทำเช่นนั้นก็ต่อเมื่อไปถึงเมืองเฟยหลี่และรวมตัวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์เสียก่อน เพราะฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจจะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน 3 กล่องสุดท้ายให้สำเร็จก่อนเป็นอันดับแรก

ในช่วง 2-3 วันถัดมา โจวเหว่ยชิงก็ปรับลดระยะเวลาที่เขาใช้ไปกับการสร้างม้วนคัมภีร์เพื่อให้แน่ใจว่าตนได้พักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว ด้วยเหตุนั้น ในพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไป 3 วัน ตกกลางคืน ในที่สุดเขาก็สร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แผ่นสุดท้ายสำเร็จ

แสงสีเขียวสลัวเรืองรองออกมาล้อมรอบตัวเขาขณะที่ปลายพู่กันตวัดออกไปเป็นแสงสีเงิน ในขณะนี้มณีธาตุทั้ง  2 ดวงที่ข้อมือขวาของเขาเปล่งประกายแสงสีเงินและสีเขียวตามลำดับ นั่นแสดงถึงทักษะธาตุมิติและธาตุลมที่เขากำลังใช้งานอยู่ ด้วยทักษะธาตุทั้งสอง การเคลื่อนไหวบนปลายพู่กันของเขาก็เหมือนกับสายน้ำที่ไหลผ่านพื้นผิวกระดาษศาสตรามณียุทธ์ เขาได้สร้างม้วนคัมภีร์เช่นนี้มาแล้วกว่า 1,000 แผ่นและคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ในขณะที่เขายกปลายพู่กันขึ้นครั้งสุดท้าย หมึกและกระดาษก็หลอมรวมกันได้อย่างลงตัว พวกมันเปล่งแสงสีทองที่สว่างไสวงดงามออกมา เสร็จสมบูรณ์แล้ว!

“ม้วนคัมภีร์ใบที่ 1,000!! ฮ่าๆๆๆ!! ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ!” โจวเหว่ยชิงโยนพู่กันในมือทิ้งไปก่อนจะหงายตัวไปข้างหลังและนอนลงกับพื้นโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของเขาอีก ในขณะที่เขาถอยกลับไปถึงตรงกลางห้อง เขาก็สูดอากาศเข้าปอดอย่างตะกละตะกลาม อึดใจต่อมาเขาก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ทำม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานครบทั้ง 392 กล่องแล้ว! 4 เดือนแห่งความพยายามและความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้ง ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ! ความรู้สึกราวกับผู้ชัยชนะกำลังท่วมท้นอยู่ในหัวใจของเขา เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน กล้ามเนื้อที่เคยเหยียดตึงก็คลายลง ภาพเหตุการณ์ตลอดทั้ง 4 เดือนที่ผ่านมาก็ไหลย้อนเข้ามาในสมองของเขาขณะที่นอนหงายพลางครุ่นคิดถึงพวกมันไปด้วย

โจวเหว่ยชิงหลับตาลง เขารับรู้ถึงเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขาได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังรู้สึกราวกับว่าไม่อยากจะทำอะไรแม้แต่ขยับนิ้ว เพียงแค่อยากนอนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอกสบายใจ

สายตาของเขาค่อยๆ พร่ามัว ขณะที่ร่างกายของเขาผ่อนคลายลง ความเหนื่อยล้าก็กำลังแผ่กระจายไปทั่วอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย การหายใจของเขาค่อยๆ สม่ำเสมอ จากนั้นก็เผลอหลับไปตรงนั้น

เวลาผ่านไปไม่นาน เจ้าแมวอ้วนสีขาวตัวน้อยซึ่งนอนหลับอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงก็ลุกขึ้นยืน ดวงตาสีม่วงอ่อนของมันพลันไหวระริกเมื่อจ้องไปที่โจวเหว่ยชิง อักษรคำว่า ‘ราชา’ บนศีรษะของมันดูเหมือนจะขยับเล็กน้อย ทันใดนั้นดูเหมือนว่ามันจะค้นพบบางอย่าง ร่างของมันพลันกระโดดไปที่ศีรษะของโจวเหว่ยชิงก่อนจะวางอุ้งเท้าหน้าลงไปบนใบหน้าของเขาและผลักไปมาขณะที่ส่งเสียงคำรามต่ำๆ

“หยุดนะ เจ้าแมวอ้วน…” โจวเหว่ยชิงหันหลังหนีอย่างเกียจคร้าน เขาผลักมันออกไปแล้วกลับเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่ทว่ามันกลับกระโดดไปอีกด้านหนึ่งและผลักศีรษะของเขาต่อ

ครั้งนี้โจวเหว่ยชิงรู้สึกตัวขึ้นมาเล็กน้อย “ฮึ? ทำไมถึงร้อนแบบนี้?” เขาขมวดคิ้วก่อนจะเลิกชายเสื้อขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

*แควก* เสื้อผ้าของโจวเหว่ยชิงแทบจะถูกฉีกกระชากจนสลายกลายเป็นฝุ่น นั่นทำให้แมวอ้วนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขาตกใจและกลิ้งหนีออกไป 2-3 หลา

เมื่อไม่นานมานี้โจวเหว่ยชิงเพิ่งจะหลับฝันอยู่ในห้วงนิทรา ทว่าในขณะนี้ร่างกายของเขากลับอาบไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ความรู้สึกอันน่าหวาดผวาผุดขึ้นมาในหัวใจของเขาจากนั้นลวดลายเสือดำก็ปรากฏขึ้นบนผิวของโจวเหว่ยชิงราวกับมีเวทมนตร์ พวกมันกระเพื่อมเหมือนระลอกคลื่นอยู่รอบๆ ตัวเขา พลังปราณสวรรค์ภายในร่างของเขาดูเหมือนจะพุ่งทะลักออกมาเหมือนน้ำเดือด มันไหลพล่านไปทั่วร่างกายของเขาก่อนจะมุ่งหน้าไปยังจุดตายบนปุ่มกระดูกสันหลังส่วนเอวจุดที่ 3 จุดตายฉีไห่ และนั่นก็เป็นจุดตายที่ 7 ในวิชาเทพอมตะส่วนที่ 2

หลังจากนั้นไม่นานสิ่งที่โจวเหว่ยชิงหวาดกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาทะลวงจุดตายจุดที่ 6 เวลาก็ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น และในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมานี้แม้ว่าเขาจะไม่ได้มุ่งฝึกปราณสวรรค์ แต่การใช้ปราณอย่างต่อเนื่องก็ทำให้หลุมดำพลังปราณของเขาต้องหมุนวนด้วยความเร็วสูงสุด ดึงพลังปราณจากภายนอกเข้ามาเติมเต็มพลังปราณที่ถูกใช้ไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พยายามทะลวงจุดตายอื่นๆ อีก แต่พลังปราณสวรรค์ของเขาก็มาถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว ก่อนหน้านี้ขณะที่เขาสร้างม้วนคัมภีร์แผ่นสุดท้ายเสร็จ ร่างของเขาก็ผ่อนคลายและหลับไปอย่างไม่รู้ตัวจนลืมควบคุมพลังปราณสวรรค์ของเขาเอาไว้ เมื่อพลังปราณของเขาถูกปล่อยให้หมุนเวียนไปตามธรรมชาติ พวกมันจึงไปถึง ‘ขีดจำกัด’ และเริ่มไหลทะลักเข้าไปยังจุดตายจุดถัดไปของเขาอย่างไม่อาจควบคุมได้

เจ้าแมวอ้วนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับร่างกายของเขา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่มันเริ่มพยายามปลุกเขาขึ้นมา ทว่าพลังปราณสวรรค์ของเขากลับพุ่งพรวดไปยังจุดตายที่ 12 ของเขาทันทีโดยที่เขายังไม่ทันได้เตรียมการใดๆ เลย

“ให้ตาย! นี่ไม่ใช่บังคับเด็กสาวขายตัวหรอกหรือ[1]?” โจวเหว่ยชิงร้องออกมาด้วยสีหน้าเศร้าโศกและไม่พอใจ ในเวลานี้เขาไม่อาจแม้แต่จะเปล่งเสียงร้องออกมาได้เนื่องจากพลังปราณสวรรค์ที่พลุ่งพล่านนั้นได้อยู่เหนือการควบคุมของเขาแล้ว มันกำลังมุ่งไปที่จุดตายฉีไห่เหมือนกับกองทัพที่กำลังเคลื่อนพลไปข้างหน้าช้าๆ

เนื่องจากวิชาเทพอมตะส่วนที่ 2 นั้นมีจุดตายทั้งหมดอยู่ที่แผ่นหลัง ดังนั้นขณะที่พลังปราณสวรรค์ของเขาไปถึงจุดตายฉีไห่ มันก็ได้ไหลผ่านจุดตายทั้ง 6 จุดบนแผ่นหลังของเขามาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งทุกครั้งที่มันไหลผ่านจุดตายหนึ่งจุด พลังปราณสวรรค์ก็จะได้รับการกระตุ้นจากหลุมดำพลังปราณบริเวณจุดนั้นจนทำให้มีกำลังรุนแรงมากขึ้น ท้ายที่สุดก็ดูเหมือนว่าพลังปราณสวรรค์ขุมนี้จะมีพลังพลุ่งพล่านมากจนไม่อาจหยุดยั้งได้แล้ว

ตอนนี้โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่ากระดูกสันหลังของเขากลายเป็นแท่งเหล็กร้อนที่ถูกเผาจนขึ้นสีแดง เขารู้สึกเจ็บปวดทรมาณอย่างถึงที่สุด! กระดูกสันหลังมีเส้นประสาทกี่เส้นกันล่ะ? ทุกๆ เส้นล้วนได้รับผลกระทบจากกระแสพลังปราณสวรรค์ที่บ้าคลั่งกลุ่มนั้น และความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์รับไหวอย่างแน่นอน เขาแทบจะทนความเจ็บปวดในครั้งนี้ไม่ไหว ร่างของเขาดิ้นพล่านไปมาบนพื้นอย่างควบคุมไม่ได้ ทุกครั้งที่โจวเหว่ยชิงชักกระตุก ลวดลายสีดำบนร่างกายของเขาก็จะดูชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งกล้ามเนื้อของเขาก็ยังขยายใหญ่ขึ้นจนเส้นเลือดใต้ผิวหนังโป่งพองขึ้นมาอย่างชัดเจน  ขณะที่เขาดิ้นไปมาบนพื้น ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสนั้นก็ทำให้สถานะปีศาจกลายร่างของเขาเริ่มทำ งานอีกครั้ง แต่ถึงแม้เขาจะอยู่ภายใต้สภาวะที่ว่านั่น โจวเหว่ยชิงก็ยังคงไร้เรี่ยวแรงเพราะความเจ็บปวด การเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวคือความเร็วในการฟื้นฟูที่เพิ่มมากขึ้น และดูเหมือนว่านั่นจะทำให้ความทุกข์ทรมานของเขาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

จุดตายฉีไห่เป็นหนึ่งในจุดตายที่สำคัญที่สุดในร่างกาย สาเหตุหลักก็เป็นเพราะว่าที่นั่นเป็นสถานที่กักเก็บพลังปราณสวรรค์ภายในร่างของเขา จุดตายฉีไห่อยู่ในตันเถียน และนั่นก็คือจุดที่พลังปราณสวรรค์มารวมตัวกัน! และขณะนี้พลังปราณสวรรค์ทั้งหมดของเขากำลังพุ่งลงไปที่จุดตายฉีไห่ โจวเหว่ยชิงเชื่อว่าถ้าไม่ใช่เพราะสถานะปีศาจกลายร่างที่ฟื้นฟูเส้นชีพจรของเขาขึ้นมาใหม่ และถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นและพละกำลังที่เขามีหลังจากกลืนไข่มุกสีดำเข้าไป ในตอนนี้จุดตายฉีไห่และตันเถียนของเขาคงจะระเบิดไปแล้ว

โจวเหว่ยชิงกำลังสาปแช่งผู้สร้างวิชาเทพอมตะที่น่ารังเกียจนี้ขึ้นมาพร้อมกับด่ากราดบรรพบุรุษของคนผู้นั้นไปอีก 18 ชั่วโคตร อนิจจา ตอนนี้เขาไม่อาจทำอะไรได้นอกจากมองดูกระแสพลังปราณสวรรค์ที่บ้าคลั่งเคลื่อนไปยังจุดตายฉีไห่ของเขาอย่างช้าๆ

“เอาเถอะ ถ้าวันนี้ต้องตาย ก็ปล่อยให้ข้าตาย!” ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้เขาแทบฟั่นเฟือน ในเวลานี้หัวใจของเขากำลังโหยหาปิงเอ๋อร์ ความปรารถนาอันบ้าคลั่งนี้ช่างรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าปิงเอ๋อร์อยู่ข้างๆก็คงจะดี…

*ตูม*! พลังปราณสวรรค์ของเขาเหมือนกับมหาสมุทรที่มีแม่น้ำหลายสายไหลทะลักเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดมันก็มาถึงจุดตายฉีไห่ พลังปราณของเขาได้รับการเติมเชื้อไฟจนถึงขีดสูงสุดแล้ว ทันทีที่มันเข้าสู่จุดตายฉีไห่ มันก็ทะลวงผ่านไปได้เกือบจะในทันที

โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่าเพิ่งมีบางอย่างระเบิดออกภายในร่างกายของเขา แม้ว่าตันเถียนของเขาจะไม่ได้ถูกทำลายไปโดยตรง แต่ก็มันยังถูกเจาะเป็นรูจากแรงระเบิดนั้น พลังปราณสวรรค์ที่บ้าคลั่งไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น มันพุ่งทะยานต่อไปยังส่วนที่เหลือของร่างกาย ทำให้เลือดสดๆ ของเขาพุ่งทะลักผ่านชั้นผิวหนังออกมา

*พลั่ก* ประตูถูกกระแทกเปิดออก ฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูรีบวิ่งเข้ามาทันที อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องก็ต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจเนื่องจากสภาพของโจวเหว่ยชิงในตอนนี้นั้นน่ากลัวเกินไป

ร่างกายของเขาถูกอาบย้อมไปด้วยเลือดสดๆ เป็นชั้นๆ เส้นชีพจรขาดสะบั้นและกล้ามเนื้อก็ฉีกขาด ลวดลายสีดำที่เห็นได้ชัดทั่วทั้งร่างดูเหมือนจะขยับเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งภายในร่างกายของเขา กลุ่มพลังปราณสวรรค์ก็ค่อยๆขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจควบคุมได้

ในสายตาของฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยู พวกเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการฝึกปราณของโจวเหว่ยชิง ลมปราณแตกซ่าน! ทั้งคู่จ้องมองโจวเหว่ยชิงด้วยความตกใจ ด้วยระดับปราณของพวกเขา พวกเขารู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงกำลังพัดกระหน่ำอยู่ในร่างของเขาอย่างดุเดือด “อะไร…เกิดอะไรขึ้น?” ใบหน้าของฮูเหยียน  เอ้าป๋อเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดด้วยความกังวล เขากำลังจะพุ่งไปช่วยเหลือโจวเหว่ยชิงด้วยตัวเอง แต่ทว่ากลับถูกเฟิงหยูรั้งเอาไว้อย่างรวดเร็ว

…………………………………………………..

[1] บังคับเด็กสาวขายตัว – ถูกสถานการณ์บังคับให้ทำบางอย่างเมื่อจวนตัว

Related

โจวเหว่ยชิงมีสีหน้าตื่นตกใจ “อาจารย์ ท่านให้ข้ามามากแล้ว ข้าจะรับสิ่งอื่นจากท่านอีกได้อย่างไร?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อหัวเราะและพูดว่า “เอาล่ะๆ เจ้าถือว่ามันเป็นข้อแลกเปลี่ยนก็แล้วกัน ในเวลา 3 วัน เจ้าจะต้องสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมด 392 ชนิดที่เหลือให้เสร็จครบ ข้าจะใช้ของขวัญชิ้นนี้แลกเปลี่ยนกับม้วนคัมภีร์ทั้ง 392 กล่องของเจ้า เงินออมทั้งชีวิตของอาจารย์ถูกเจ้าผลาญทิ้งไปหมดแล้ว ถ้าข้ายังไม่รีบหาม้วนคัมภีร์มาขายอีก ข้าก็คงสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ไม่เหลือม้วนคัมภีร์ไว้ให้ข้าสักหน่อยหรือ? อย่างที่ท่านรู้ ข้าก็ต้องใช้จ่ายที่เมืองเฟยหลี่เช่นกัน นอกจากนี้ข้ายังวางแผนจะไปกักเก็บทักษะใส่มณีธาตุดวงที่ 2 ของข้าก่อนออกเดินทางด้วย”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อหัวเราะและพูดว่า “เจ้าเด็กน้อย! เจ้ายังต่อราคากับข้าไม่เลิกอีกนะ เอาล่ะ ข้าจะเหลือไว้ให้เจ้าสัก 10 กล่องก็แล้วกัน นั่นน่าจะเพียงพอสำหรับเจ้าแล้ว นอกจากนี้ข้ายังขอแนะนำให้เจ้าอย่าเพิ่งไปกักเก็บทักษะธาตุที่สำนักกักเก็บทักษะเมืองภูเขาลอยฟ้าเลย เจ้าตรงเข้าไปในเมืองเฟยหลี่เลยจะดีกว่า อย่างไรเสียที่นั่นก็เป็นเมืองหลวงอาณาจักรเฟยหลี่ซึ่งมีสำนักกักเก็บทักษะที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรอยู่ด้วย อีกทั้งที่นั่นยังเป็นสำนักงานใหญ่ที่น่าจะมีอสูรสวรรค์ระดับสูงกว่าที่นี่มาก ด้วยอัตราความสำเร็จและความเร็วในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของเจ้า ยังไงเสียเจ้าก็ถือว่าเป็นเครื่องผลิตเงินอยู่แล้ว ยังจะต้องกังวลอยู่อีกหรือว่าในอนาคตจะไม่มีเงินทองใช้สอย? เอาล่ะ รับไป นี่คือของขวัญของเจ้า” เมื่อเขาพูดจบ ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ถอดสร้อยจากคอของเขาส่งให้โจวเหว่ยชิง

สร้อยเส้นนี้เรืองรองไปด้วยแสงสีทองอ่อนๆ ดูเรียบง่ายและไม่มีการประดับตกแต่งอะไรมาก มองเพียงครั้งเดียวเขาก็รู้สึกว่ามันดูเก่าแก่และติดจะธรรมดาไปเสียหน่อย มีเพียงไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวเหลือบทองทรงกลมที่ฝังอยู่ตรงกลางเท่านั้นที่ดูจะมีค่าที่สุด อย่างไรก็ตาม มันก็ยังเรืองรองไปด้วยม่านพลังของปราณสวรรค์ธาตุมิติ  โจวเหว่ยชิงจึงเดาว่ามันน่าจะเป็นวัตถุธาตุมิติบางอย่าง

ทำไมอาจารย์ถึงมอบสร้อยเส้นนี้ให้กับข้า? ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นมาในใจของโจวเหว่ยชิง ท้ายที่สุดแล้วม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เกือบ 400 กล่องที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยความอุตสาหะก็มีราคาไม่น้อย แม้ว่าม้วนคัมภีร์จะเป็นเพียงแค่คัมภีร์ระดับพื้นฐานและใน 1,000 ใบนั้นไม่ได้รับประกันว่าสามารถหลอมรวมเข้ากับร่างผู้ใช้ได้สำเร็จแน่นอน แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาหากนำไปขายกล่องละ 30,000 เหรียญทอง ด้วยจำนวนที่มากขนาดนั้น อย่างน้อยก็น่าจะขายได้มากกว่า 10 ล้านเหรียญทองด้วยซ้ำ สร้อยเส้นนี้มีค่ามากขนาดนั้นเลยเหรอ?

ในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้โจวเหว่ยชิงไม่ได้พยายามจะเล่นแง่กับฮูเหยียนเอ้าป๋อ เขาแค่เพียงสงสัยเท่านั้น อย่างไรเสียฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ลงทุนทั้งเงินทองและแรงกายไปกับเขามากมายแล้ว เพียงแค่วัตถุดิบที่โจวเหว่ยชิงใช้ไปก็มีราคามาก กว่า 6 ล้านเหรียญทอง นั่นถึงกับถลุงเงินออมทั้งชีวิตของฮูเหยียนเอ้าป๋อไปจนหมด

ดังที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ การจะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยทั่วไปแล้วแม้แต่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานก็แทบจะไม่ได้เงินเลยเนื่องจากวัตถุดิบมีราคาแพงเกินไป มีเพียงอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางหรือระดับสูงกว่านั้นที่จะพอมีรายได้ดีๆ ประทังชีวิตบ้าง แน่นอนว่าบ่อยครั้งวัตถุดิบก็มีราคาแพงตามความหายากของมัน และด้วยจำนวนอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีน้อยมาก นั่นจึงทำให้ราคาของม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานสูงขึ้นด้วย

ฮูเหยียนเอ้าป๋อมีสีหน้าโศกเศร้าขณะใส่สร้อยให้โจวเหว่ยชิงด้วยตนเอง “ของขวัญสำหรับเจ้าอยู่ในสร้อยเส้นนี้”

โจวเหว่ยชิงเริ่มตระหนักถึงความจริงบางอย่างได้ทันที; สร้อยเส้นนี้เป็นเพียงกล่องเก็บของขวัญเท่านั้น

ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวว่า “เจ้าจำได้หรือไม่ส่าเหตุใดข้าถึงไม่ให้เจ้าหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ชนิดอื่นๆ กับมณีชุดที่ 2 ของเจ้า?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “ท่านพูดว่าเป็นเพราะชุดศาสตรามณียุทธ์”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง ชุดศาสตรามณียุทธ์ และของขวัญที่ข้ามอบให้เจ้าก็คือภาพร่างสำหรับชุดศาสตรามณียุทธ์ที่มูลค่าของมันไม่อาจประเมินค่าได้ด้วยเงิน เหว่ยน้อย ข้าขอถามเจ้า เจ้ารู้ไหมว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ถูกจัดประเภทอย่างไร?”

เมื่อได้ยินคำถาม โจวเหว่ยชิงก็รีบนั่งตัวตรงและพูดว่า “ประเภทของม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ถูกจัดแบ่งตามระดับของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ผู้ที่สร้างมันขึ้นมา เรียงจากต่ำไปสูงก็คือ ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูง ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์ ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะ และสุดท้ายก็คือม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า หากจะกล่าวถึงชุดศาสตรามณียุทธ์ พวกมันถือว่ามีระดับสูงกว่าระดับแท้จริงของตัวมันเอง 1 ขั้น ตัวอย่างเช่น ชุดม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์ ถือได้ว่ามีระดับเทียบเท่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะ แต่ก็จะต้องมีครบทั้งชุดเสียก่อน”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดว่า “เจ้าพูดถูกต้อง ของขวัญที่ข้ามอบให้เจ้าคือภาพร่างสำหรับชุดศาสตรามณียุทธ์ 10 ชนิด ศาสตรามณียุทธ์เหล่านี้ได้รับการออกแบบโดยอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าที่มีทักษะสูงส่ง อย่างไรก็ตาม หลังจากเขาออกแบบชุดศาสตรามณียุทธ์ชุดนี้เสร็จเขาก็เหนื่อยล้ามากแล้ว เขาใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้างมันขึ้นมาและสุดท้ายก็ต้องเสียชีวิตลง แต่ทว่าการออกแบบของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าแต่ละชิ้นนั้นก็มีค่าพอๆ กับแก่นพลังของอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าเลยทีเดียว”

เมื่อได้ยินคำว่าอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้า เจ้าแมวอ้วนที่กำลังแอบงีบหลับอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงก็ขยับตัวเล็กน้อย มันลืมตาและจ้องไปที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อ ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงก็ถามอย่างสงสัยว่า “อาจารย์ อสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าคืออะไรหรือ? มันแข็งแกร่งกว่าอสูรสวรรค์ระดับเทวะหรือไม่?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อแค่นเสียงคล้ายดูถูกเหยียดหยามก่อนที่จะตอบว่า “ต่อหน้าอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้า อสูรสวรรค์ระดับเทวะจะนับเป็นอะไรได้? เทียบกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! อย่างที่เจ้ารู้ เมื่อจ้าวมณีสวรรค์มีมณีครบ 9 ชุด พวกเขาก็ยังสามารถเพิ่มระดับขึ้นไปได้อีก 3 ระดับ จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 10 ชุดเรียกว่าราชาสวรรค์ 11 ชุดเรียกว่ามหาราชาสวรรค์ และ 12 ชุดเรียกว่าเทพเจ้าสวรรค์ เหล่าอสูรสวรรค์เองก็มีการจัดระดับแบบเดียวกัน”

โจวเหว่ยชิงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง “ถ้าอย่างนั้น อสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าที่ท่านกล่าวถึงนั้นเทียบได้กับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 12 ชุด?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อพยักหน้าช้าๆ จากนั้นก็พูดด้วยความภาคภูมิใจ “ตอนนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าภาพร่างทั้ง 10 แบบที่ข้า มอบให้เจ้านั้นเปรียบได้กับอะไร? ในนั้นไม่ได้มีแค่ภาพร่างเท่านั้นแต่ยังมีสูตรผสมหมึกที่จำเป็นด้วย ที่สำคัญที่สุดคือม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้านี้ถูกสร้างขึ้นสำหรับจ้าวมณีสวรรค์โดยเฉพาะ ยิ่งไปกว่านั้นมันคือภาพร่างแบบเต็ม ชุด”

โจวเหว่ยชิงทำได้เพียงจ้องมองอาจารย์อย่างโง่งมก่อนที่เขาจะเปล่งเสียงออกมาในที่สุด “ภาพร่าง? ระดับเทพ เจ้า? แบบเต็มชุด? ปกติชุดศาสตรามณียุทธ์ก็ถือว่ามีระดับสูงกว่าปกติอยู่หนึ่งระดับแล้ว แล้วไอ้เจ้านี่มันจะถูกจัดอยู่ไหนระดับไหนล่ะขอรับ?”

ดวงตาของฮูเหยียนเอ้าป๋อทอประกายแวววาว “ในโลกใบนี้ พวกเราเรียกว่า ระดับตำนาน มีชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานไม่ถึง 10 ชุดที่สืบทอดกันมาหลายยุคสมัย ซึ่งข้าไม่แน่ใจว่าชุดไหนมีครบทั้งชุดบ้าง แม้ข้าจะไม่กล้าพูดว่าของที่พวกเรามีนั้นเป็นชุดเดียวบนโลก แต่มันก็ยังคงเป็นผลงานชิ้นเอกตลอดกาล อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ผู้นี้เป็นบรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของเรา เขาเป็นผู้ก่อตั้งนิกายของพวกเรา เหตุผลที่ข้าหวังว่าวันหนึ่งเจ้าจะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะก็เพราะว่าข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับการสร้างคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์จากภาพร่างเหล่านี้คือการเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะ เหว่ยน้อย ภาพร่างชุดนี้ได้รับการถ่ายทอดมาหลายชั่วอายุคน จากอาจารย์สู่ศิษย์ยุคแล้วยุคเล่า แต่พวกเราไม่เคยสร้างคัมภีร์ทั้งชุดได้สำเร็จมาก่อน ตอนนี้ข้าส่งต่อมันให้กับเจ้าด้วยหวังว่าสักวันข้าจะได้เห็นเจ้าสร้างชุดคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานนี้ขึ้นมาให้สำเร็จ”

โจวเหว่ยชิงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ในศีรษะของเขาคล้ายกับมีระเบิดปะทุขึ้น เขายกมือขึ้นจับสร้อยบนคอโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจเริ่มสะดุดและขาดห้วงอย่างรวดเร็ว

ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ชุดคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 10 แผ่นนี้ถูกตรวจสอบและทดสอบโดยละเอียดแล้ว ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าพวกมันถูกออกแบบขึ้นมาตามลำดับ เพราะฉะนั้นควรสร้างแต่ละชิ้นขึ้นมาตามลำดับจากง่ายไปหายาก ภาพร่าง 3 แผ่นแรกต้องอาศัยอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะสร้างขึ้นมา แผ่นที่ 4 ก็ยังอาศัยอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะขั้นแรกสร้างขึ้นมา แผ่นที่ 5 ต้องอาศัยพลังของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะขั้นกลาง แผ่นที่ 6 ต้องอาศัยพลังของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะขั้นสูง และม้วนคัมภีร์ 4 แผ่นสุดท้ายจะต้องอาศัยพลังของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าที่เป็นทั้งจ้าวมณีสวรรค์และมีระดับพลังอย่างน้อยขั้นราชาสวรรค์ นอกจากนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่ยังไม่ใช่ส่วนที่ยากที่สุดด้วยซ้ำ”

ประโยคสุดท้ายของฮูเหยียนเอ้าป๋อเกือบทำให้โจวเหว่ยชิงกระอักเลือดออกมา เขารีบพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “นั่นไม่ใช่ส่วนที่ยากที่สุดอีกหรือขอรับ?? แล้วส่วนไหนล่ะที่ยากที่สุด?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ส่วนที่ยากที่สุดคือการหาวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับผสมหมึก ในความเป็นจริง หลังจากอ่านข้อมูลวัตถุดิบที่จำเป็นแล้วข้าก็หมดกำลังใจจะรวบรวมพวกมันเลยทีเดียว ชุดภาพร่างศาสตรามณียุทธ์นี้ได้รับการส่งต่อมา 1,100 ปีแล้ว ผ่านมืออาจารย์ศาสตรามณียุทธ์มาถึง 21 รุ่น แต่ถึงอย่างนั้นในบรรดาพวกเขามีเพียง     4 คน ที่ไปถึงระดับเทวะ แน่นอนว่าพวกเขาพยายามจะสร้างคัมภีร์พวกนี้ขึ้นมา แต่ท้ายที่สุดก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้สำเร็จ แต่ทว่าเขาก็สร้างม้วนคัมภีร์ได้เพียง 1 ใบเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เพียงแค่นั้นเขาก็ผลาญเงินที่เก็บออมมาทั้งชีวิตทิ้งไปจนหมดแล้ว แม้ว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะจะมีอัตราความสำเร็จ 1 ใน 10 ส่วน (1กล่องมี10ใบ) แต่หากมีเพียงแค่แผ่นเดียว มันก็อาจจะใช้การอะไรไม่ได้มากนัก ด้วยเหตุนั้นมันจึงถูกเก็บไว้ในสร้อยคอมิติเส้นนี้มาโดยตลอด”

โจวเหว่ยชิงสูดอากาศเย็นยะเยือกเข้าปอดขณะที่เขากล่าวว่า “อาจารย์ นั่นหมายความว่าตลอด 1,000 ปีที่ผ่านมา อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทุกคนนอกจากผู้ก่อตั้งของเราแล้วยังไม่มีใครไปถึงระดับเทพเจ้าเลยหรือ?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าคิดว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าเป็นดอกหญ้าที่ขึ้นอยู่ข้างถนนหรือ? เจ้าคิดว่าพวกเขาจะถือกำเนิดขึ้นมาง่ายๆ ขนาดนั้นเลย? ในประวัติศาสตร์อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 3,000 ปีของพวกเรามีการบันทึกว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้านั้นมีแค่ประมาณ 12 คนเท่านั้น ซึ่งคนทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงสูงส่ง สำหรับนิกายของเรา มีเพียงท่านผู้ก่อตั้งที่ออกแบบชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานชุดนี้เท่านั้นที่เป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า หลังจากเขาก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าได้เช่นเดียวกับเขา”

โจวเหว่ยชิงถามว่า “ใครงั้นหรืออาจารย์?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อมองไปที่เขาอย่างนิ่งๆ ก่อนจะพูดว่า “เจ้ายังไงล่ะ”

โจวเหว่ยชิงมีสีหน้าตื่นตกใจ “ข้า?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ใช่ เจ้านั่นแหละ แม้แต่ความสามารถโดยกำเนิดของท่านผู้ก่อตั้งที่ยิ่งใหญ่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับพรสวรรค์ของเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าใช้เวลาสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์พื้นฐานทั้ง 392 กล่องนี้นานแค่ไหน?”

โจวเหว่ยชิงส่ายหน้า

ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวว่า “10 ปี ข้าใช้เวลาทั้งหมด 10 ปีและยังได้รับคำชมจากอาจารย์ว่าเป็นอัจฉริยะอีกด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าความสามารถของข้าถูกจำกัดเพราะข้าไม่ใช่จ้าวมณีสวรรค์ ข้าก็คงจะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะได้อย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ดูเจ้าสิ เจ้าใช้เวลาเพียง 4 เดือน ทำสิ่งที่ข้าใช้เวลามาเป็น 10 ปี! ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานทั้ง 392 กล่องนั้นถือว่าเป็นแบบทดสอบที่สำคัญที่สุดสำหรับนิกายของเรา พวกเราจะถือว่าสำเร็จการศึกษาก็ต่อเมื่อทำแบบทดสอบนี้สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นหมายความว่าหลังจากเจ้าทำเช่นนั้นสำเร็จแล้ว เจ้าก็จะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง ใช้เวลาเพียง 4 เดือนเพื่อกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง…นั่นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เฮ้อ เจ้ามีความพิเศษในด้านนี้จริงๆ…”

“ในอดีต ภาพร่างชุดนี้จะถูกส่งต่อไปยังลูกศิษย์ก็ต่อเมื่ออาจารย์กำลังจะจากไปปรโลกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกว่าความสามารถของเจ้านั้นยอดเยี่ยมเกินไปและข้าเชื่ออย่างแท้จริงว่าเจ้าจะสามารถนำมันไปใช้กับพรสวรรค์ที่เจ้ามีในมือได้ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงจะส่งต่อมันให้กับเจ้า ข้าหวังว่าในอนาคตเจ้าจะสามารถสร้างชุดคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นี้ให้สำเร็จและใช้เป็นศาสตรามณียุทธ์ของตัวเจ้าเอง หากในอนาคตเจ้าสามารถสร้างมันได้จริงๆ เจ้าก็จะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนแรกที่ครอบครองชุดคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานทั้งชุด”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “อาจารย์ ไม่เคยมีใครครอบครองชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานทั้งชุดมาก่อนเลยหรือ?”

…………………………

Related

ฮูเหยียนเอ้าป๋อกระโจนเข้าไปหาโจวเหว่ยชิงทันที พุงขนาดใหญ่ของเขากระแทกเข้ากับร่างของโจวเหว่ยชิงขณะที่เขาคว้าไหล่ของศิษย์รักเอาไว้ ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวอย่างตื่นเต้น “จะใช้คำว่าอัจฉริยะมาอธิบายตัวเจ้าได้อย่างไร เจ้าไม่ใช่อัจฉริยะ เจ้ามันตัวประหลาดในหมู่คนอัจฉริยะ! เร็ว บอกข้าว่าเจ้าทำได้อย่างไร? ข้าไม่เชื่อว่าคนที่ไม่เคยสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มาก่อนจะทำได้สำเร็จหลังทดลองทำไปแค่ครึ่งวัน! ยิ่งไปกว่านั้น อัตราความสำเร็จของเจ้ายังมากกว่า     6 ใน 10 ส่วน !!”

“อาจารย์ ถึงเวลาที่ท่านควรจะลดน้ำหนักได้แล้วนะ! นอกจากนี้พวกเรากินไปคุยไปไม่ได้เหรอ ข้าหิวจริงๆ!” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเหลืออด เขารู้สึกหิวโหยเป็นอย่างมาก หลังจากฝึกหนักและใช้สมาธิจดจ่อกับการสร้างม้วนคัมภีร์มาทั้งวัน พลังปราณสวรรค์ของเขาถูกใช้และฟื้นฟูขึ้นใหม่อีกหลายครั้ง ตอนนี้เรี่ยวแรงของเขาจึงหมดลงอย่างสิ้นเชิง เป็นเช่นนี้เขาจะไม่หิวได้อย่างไร?

“เอาล่ะๆ ไปกันเถอะ ไปกินข้าวกันก่อน แม้เจ้าอยากกินเนื้อของข้า ข้าก็ยอมแต่โดยดี!” ฮูเหยียนเอ้าป๋อแทบจะลุกขึ้นเต้นรำด้วยความสุข เขากวาดมือรวบรวมกองคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่เสร็จสมบูรณ์ไว้ด้วยกัน สีหน้าดูตื่นเต้นมากจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะพูดอะไรต่อไปดี

ถ้ามู่เอินอยู่ที่นี่ เขาจะต้องประเมินท่าทางของฮูเหยียนเอ้าป๋อไว้เช่นนี้แน่นอน เหอะ ตาแก่นี่หัวเราะเสียจนดอกเบญจมาศ[1]เบ่งบาน

ในขณะนี้โจวเหว่ยชิงมีอาการปวดหัวและค่อนข้างสับสนมึนงง เมื่อได้ยินคำพูดของฮูเหยียนเอ้าป๋อ เขาก็พูดออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “อาจารย์ ข้าไม่ชอบกินอาหารที่มีไขมันมากเกินไป”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อชะงักกึก ส่วนเฟิงหยูก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็คงจะส่งฝ่ามือพิฆาตของเขาลอยละล่องไปหาโจวเหว่ยชิงแล้ว อย่างไรก็ตาม คราวนี้เขาเงื้อมือขึ้นสูงแต่ไม่อาจร่อนลงบนตัวของโจวเหว่ยชิงได้ ในสายตาของเขา ตอนนี้ศิษย์รักผู้นี้มีค่ายิ่งกว่าหม้อทองเสียอีก!

หลังจากรับประทานอาหารโจวเหว่ยชิงก็ดูดีขึ้นมาก ร่างกายของเขาฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้การกระหน่ำซักถามของฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยู โจวเหว่ยชิงจึงบอกพวกเขาเกี่ยวกับวิธีที่เขาใช้สร้างคัมภีร์จนสำเร็จ “อะไรนะ?   เวลา? เจ้ามี 1 ใน 3 ทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ ทักษะธาตุกาลเวลา?”

โจวเหว่ยชิงถามด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ ท่านรู้เกี่ยวกับทักษะธาตุกาลเวลาหรือไม่?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวอย่างโมโหว่า “แม้ข้าจะไม่เคยกินหมูมาก่อน แต่ข้าก็เคยเห็นหมูวิ่งมาก่อน![2]  จ้าวมณีที่มีประสบการณ์ทุกคนน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์มาก่อนทั้งนั้น” ขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็สูดหายใจเข้าลึกก่อนที่จะเอ่ยต่อว่า “เหว่ยน้อย เจ้าไม่รู้หรือ ในโลกของจ้าวมณีนั้น หากจ้าวมณีคนใดปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะเป็นแค่จ้าวมณีธาตุก็ตาม เขาหรือเธอจะเป็นที่ต้องการของกองกำลังใหญ่ๆ ระดับโลกเลยทีเดียว พลังที่แท้จริงของทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขาเท่านั้น แต่ทักษะแต่ละชนิดยังมีการพลังที่เป็นเอกลักษณ์อีกด้วย”

โจวเหว่ยชิงได้ฟังถังเซียนพูดถึงทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์เพียงสั้นๆ เท่านั้น เขาจึงไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับพวกมันมากนัก เมื่อได้ยินฮูเหยียนเอ้าป๋อพูดถึงมัน เขาก็อดจะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงถามออกไปว่า “อาจารย์ แล้วทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์พวกนี้มีลักษณะเฉพาะอะไรบ้าง?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวว่า “ยกตัวอย่างง่ายๆ ทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 นั้น แต่ละชนิดมีทักษะพื้นฐานที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ทักษะพื้นฐานของทักษะธาตุเทวาคือการฟื้นคืนชีพ ทักษะพื้นฐานของทักษะธาตุวิญญาณน่าจะเป็นเสน่ห์และการสะกดจิต ในขณะที่ทักษะพื้นฐานของทักษะธาตุกาลเวลาคือการควบคุมเวลา”

“หืม! การฟื้นคืนชีพ?” ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเบิกกว้างขณะที่เขาร้องอุทานออกมา “นั่นหมายความว่าทักษะธาตุเทวาแข็งแกร่งที่สุด?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อส่ายหัวและพูดว่า “ไม่จำเป็นเสมอไป ทักษะธาตุแต่ละชนิดก็มีจุดแข็งของตัวเองซึ่งข้าก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ ท้ายที่สุดแล้วความลึกลับที่แท้จริงของทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่จ้าวมณีระดับข้าจะรู้ แม้ว่าทักษะธาตุเทวาจะมีความสามารถในการฟื้นคืนชีพ แต่ข้าก็ได้ยินมาว่ามันมีข้อจำกัดมากมายและไม่สามารถใช้ได้ง่ายๆ อย่างที่เจ้าคิด”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อหายใจเข้าลึกอีกครั้ง จากนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกายราวกับดวงดาว 2 ดวง “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่ง คนผู้หนึ่งจะมีทักษะธาตุลม ทักษะธาตุมิติ และทักษะธาตุกาลเวลารวมกันอยู่ภายในร่างของเขา และยิ่งไปกว่านั้นคนๆ นั้นยังเป็นลูกศิษย์ของข้า! เหว่ยน้อย เจ้ารู้หรือไม่? ด้วยทักษะธาตุกาลเวลาของเจ้า ตราบใดที่เจ้าควบคุมเวลาได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ เจ้าก็จะมีข้อได้เปรียบที่ไม่มีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนใดในโลกสามารถมีได้ นั่นคืออัตราความสำเร็จเต็ม 10 ส่วน! นอกจากนี้ ตราบใดที่เจ้ามีพลังปราณสวรรค์และวัตถุดิบที่เพียงพอ หากให้เวลาที่เหมาะสมกับเจ้า เจ้าก็จะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ใดๆ บนโลกใบนี้ได้สำเร็จแน่นอน! นอกจากนี้ หากเจ้าสร้างศาสตรามณียุทธ์ชนิดนั้นสำเร็จไปหนึ่งใบ เจ้าก็จะสามารถสร้างใบต่อไปได้เรื่อยๆ!”

“อ้อ! ยังมีความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากทักษะธาตุลมของเจ้าอีก ข้านึกไม่ออกเลยว่าจะมีคนอื่นที่เหมาะสมกับการเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ไปมากกว่าเจ้า!!”

เมื่อหันไปหาเฟิงหยู ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “7 วัน…ในเวลาเพียง 7 วัน เขาก็ทำในสิ่งที่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับแรกไม่อาจทำได้แล้ว…สิ่งเดียวที่เขาขาดในตอนนี้คือความรู้ ประสบการณ์ และพลังปราณสวรรค์ที่เพียงพอ พวกเราไม่อาจใช้บรรทัดฐานของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนอื่นๆ กับเขาได้เลย!”

“ก่อนเริ่มสอนเขา ข้ากังวลว่าเขาอาจใช้เวลาเรียนรู้นานเกินไปจนส่งผลกระทบต่อการฝึกปราณของเขา อย่างไรก็ตาม จากนี้ข้าควรจะต้องกังวลว่าเขาจะเรียนรู้เร็วเกินไปจนอาจารย์อย่างข้าจะไม่มีประโยชน์กับเจ้าเด็กนี่อีกต่อไปแล้ว!”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อจับไหล่ของโจวเหว่ยชิงและพูดว่า “เหว่ยน้อย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าขอให้เจ้าใช้เวลา 4 เดือนต่อจากนี้มุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์อย่างเดียว เมื่อเจ้าออกจากที่นี่ นั่นจะควรเป็นเวลาที่เจ้าไม่เหลืออะไรให้เรียนแล้ว ทุกวันเจ้าจะมีเวลาพักผ่อน 4 ชั่วโมง ใช้เวลาเรียนกับข้า 8 ชั่วโมง ส่วนอีก 12 ชั่วโมงใช้ฝึกสร้างม้วนคัมภีร์ ข้าต้องการให้เจ้าเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ในเวลาที่สั้นที่สุดและหวังว่าถึงเวลานั้นเจ้าจะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับแรกได้แล้ว”

“ขอรับ!” ความสนใจในอาชีพอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้ถูกจุดขึ้นภายในตัวของโจวเหว่ยชิงเช่นกัน สำหรับทุกคนแล้ว หากต้องตั้งใจทำบางสิ่งบาง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย และสำหรับโจวเหว่ยชิงตอนนี้ความตั้งใจก็คือสิ่งที่เขามีอย่างล้นเหลือแน่นอน

แม้แต่ฮูเหยียนเอ้าป๋อเองก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ตนไม่เพียงสั่งสอนอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งอยู่เท่านั้น แต่กำลังสั่งสอนคนที่จะมีทักษะเหนือกว่าเขา…คนที่จะไปถึงจุดสูงสุดของการเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์…คนที่จะกลายเป็นเครื่องผลิตเงินในอนาคต…เห็นได้ชัดจากความเร็วและอัตราความสำเร็จในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของโจวเหว่ยชิง…หึๆๆๆๆๆ

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตารางชีวิตของโจวเหว่ยชิงก็ถูกจับจองจนเต็มทั้งหมด ในทุกๆ วัน แม้ฮูเหยียนเอ้าป๋อจะได้พักผ่อนบ้างหลังจากหมดธุระสอนเขา แต่โจวเหว่ยชิงกลับได้พักผ่อนเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งใน 4 ชั่วโมงนั้นยังรวมถึงเวลาในการรับประทานอาหารด้วย โชคดีที่เขามีพื้นฐานร่างกายดีมาก อีกทั้งเขาก็พอใจกับการดื่มด่ำความสุขของการเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ โจวเหว่ยชิงจึงไม่ได้โวยวายอะไร

ฮูเหยียนเอ้าป๋อเองก็ไม่ได้พยายามดึงต้นกล้าให้โต[3]  หรือทำอะไรข้ามขั้นอย่างเช่นการให้โจวเหว่ยชิงเริ่มสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูง ในทางตรงกันข้าม เขาสั่งให้โจวเหว่ยชิงเรียนรู้และฝึกสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับต่ำทุกชิ้นที่มีอยู่ในความทรงจำอันไม่มีที่สิ้นสุดของเขา ภารกิจที่เขามอบให้โจวเหว่ยชิงคือ ก่อนออกจากที่นี่ ในบรรดาม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์พื้นฐานทั้งหมด 392 ชนิดที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อสอนเขา เขาจะต้องสร้างพวกมันขึ้นมาให้ได้ชนิดละ 1,000 ใบ หรือก็คือชนิดละ 1 กล่องนั่นเอง (คัมภีร์ระดับพื้นฐาน 1 กล่อง = 1,000 ใบ)

ในฐานะปรมาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ ฮูเหยียนเอ้าป๋อรู้ดีว่าการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งนั้นสำคัญเพียงใด ไม่ว่า โจวเหว่ยชิงจะอัจฉริยะแค่ไหน หากเขาไม่สร้างรากฐานที่ดี เขาก็จะไม่มีวันก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเขาจะถ่ายทอดความรู้จำนวนมากให้กับโจวเหว่ยชิง แต่เขาก็ยังห้ามไม่ให้โจวเหว่ยชิงสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางหรือเหนือกว่านั้นขึ้นไป

ตามที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวนั้น คัมภีร์ในระดับที่สูงขึ้นประกอบไปด้วยการผสมผสาน และจับคู่ของม้วนคัมภีร์ระดับพื้นฐาน หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการ “ยกระดับขึ้น” จากขั้นพื้นฐานมาก นั่นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนกว่าทักษะขั้นพื้นฐานทั้งหมด แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะมีทักษะธาตุกาลเวลาที่ดู ‘ขี้โกง’ จนน่ากลัว แต่หากเขาไม่มีความรู้ขั้นต้นและทักษะพื้นฐานที่มั่นคง เขาก็จะเป็นเพียงแค่เครื่องคัดลอกเท่านั้น ไม่ใช่ผู้สร้างที่แท้จริง

4 เดือนให้หลัง

“อาจารย์ วันนี้ท่านจะสอนอะไรข้า?” โจวเหว่ยชิงมีสีหน้ากระตือรือร้นขณะที่เขามองไปยังฮูเหยียนเอ้าป๋อ ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาน้ำหนักของโจวเหว่ยชิงลดลงมากอย่างเห็นได้ชัด เขาผอมลง ดวงตาลึกโหลและมีรอยคล้ำอยู่ใต้ตา ผิวของเขาไม่ได้เป็นสีทองแดงสุขภาพดีอีกต่อไป มันค่อนข้างซีดขาวหลังจากไม่ได้เจอแสงแดดมาเป็นเวลานานถึง 4 เดือน

อย่างไรก็ตาม หากมีใครตรวจสอบอย่างใกล้ชิด พวกเขาจะสังเกตได้ว่าแม้ร่างกายของเขาจะดูทรุดโทรมผิดปกติ แต่ดวงตาของเขากลับดูสดใสมากกว่าเมื่อ 4 เดือนก่อนมาก มันเต็มไปด้วยความกระหายอยากในความรู้ สมองของเขาเต็มไปด้วยข้อมูลอันลึกล้ำของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์

ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ทั้งอาจารย์และศิษย์คู่นี้ไม่ได้โผล่ออกจากเรือนเลยด้วยซ้ำ คนหนึ่งทุ่มเทสั่งสอน ส่วนอีกคนก็เฝ้าเรียนรู้อย่างสุดหัวใจ สำหรับฮูเหยียนเอ้าป๋อ แม้เขาจะมีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียว แต่เขาก็ใช้เงินออมทั้งชีวิตเพื่อซื้อกระดาษศาสตรามณียุทธ์และวัตถุดิบต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับสร้างหมึกศาสตรามณียุทธ์ให้โจวเหว่ยชิงทั้งหมด

สำหรับโจวเหว่ยชิงนั้น เขาได้เรียนรู้พื้นฐานของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทุกอย่าง ทั้งความรู้พื้นฐานและทักษะต่างๆ ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการสร้าง การจดจำสูตรหมึกและกลเม็ดเคล็ดลับอื่นๆ ที่เขายังไม่เคยรู้มาก่อน

“วันนี้เราจะไม่เรียนอะไรแล้ว” ฮูเหยียนเอ้าป๋อมองโจวเหว่ยชิงด้วยกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าโจวเหว่ยชิง แม้ว่าพุงของเขาจะหย่อนคล้อยลงจนเกือบจะติดพื้นก็ตาม

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอ่อนโยนและใจดีของของฮูเหยียนเอ้าป๋อ โจวเหว่ยชิงค่อนข้างประหลาดใจกับคำพูดเขา “ไม่เรียน? แต่…อาจารย์ ข้าต้องออกจากอาณาจักรเฟยหลี่ในอีกไม่กี่วันแล้ว ข้าจะใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้นะขอรับ!”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อยิ้มจางๆและพูดว่า “ฮ่าๆ…เจ้าเด็กโง่ อาจารย์ไม่มีอะไรจะสอนเจ้าอีกต่อไปแล้ว 4 เดือนที่ผ่านมา ข้าได้ส่งต่อทุกสิ่งที่ข้ารู้ให้เจ้าไปหมดแล้ว แม้ว่าเจ้าจะยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะจดจำคำสอนทั้งหมดของข้า อีกทั้งเจ้าก็ยังต้องฝึกฝนอีกมาก แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ข้าไม่มีอะไรจะสอนเจ้าแล้ว”

โจวเหว่ยชิงรู้สึกตกตะลึง เขาพลันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันซับซ้อนจากฮูเหยียนเอ้าป๋อ “อาจารย์…”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวว่า “เหว่ยน้อย  ข้าไม่อาจกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะได้ ไม่ใช่เพราะข้ามีพรสวรรค์ไม่เพียงพอหรือเพราะข้าฝึกฝนไม่หนักพอ แต่เป็นเพราะระดับการฝึกปราณของข้าไม่มีวันพอ ร่างกายของข้าและพลังปราณสวรรค์ของข้าไม่อาจจะสร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แบบหลุมบรรจุมณีเดียวแล้ว”

“การสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะเป็นความใฝ่ฝันของข้ามาตลอด แต่ทว่าความฝันนั้นก็ถูกจำกัดเพราะข้าเป็นเพียงจ้าวมณีธาตุธรรมดา อย่างไรก็ตาม เจ้าแตกต่างจากข้า เจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่จ้าวมณีสวรรค์ธรรมดา แต่เป็นเพียงคนเดียวที่ถูกเลือกสรรมา คนที่มีทักษะธาตุ 6 ชนิดในร่าง และหลายชนิดในนั้นก็หายากมาก แม้ว่าเจ้าจะไปที่โรงเรียนฝึกทหารตระกูลเฟยหลี่แล้ว ข้าก็ยังหวังว่าเจ้าจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงต่อวัน ฝึกสร้างคัมภีร์เพื่อเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า การฝึก 2 ชั่วโมงก็เกินพอแล้ว”

“อย่างไรก็เถอะ อีกไม่นานเจ้าก็จะจากไปแล้ว ตอนนี้ข้าจึงมีของขวัญจะมอบให้เจ้า”

………………………………………………………………….

[1] ดอกเบญจมาศเบ่งบาน: ดอกเบญจมาศมีความหมายโดยนัยว่ารูก้น

[2] แม้ไม่เคยกินหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่งมาก่อน (没吃过猪肉难道还没见过猪跑么) ความหมายพื้นฐานคือ แม้ว่าบางคนอาจไม่เคยสัมผัสบางสิ่งบางอย่าง / มีบางสิ่งบางอย่าง แต่เขาเคยได้ยิน / มีความเข้าใจในเรื่องนี้บ้าง โดยทั่วไปในสมัยโบราณหมูมักถูกเลี้ยงเป็นอาหาร แต่หลายคนจนไม่สามารถกินหมูได้ แต่พวกเขาสามารถเห็นหมูวิ่งไปมาได้โดยง่าย

[3] ดึงต้นกล้าให้โต (拔苗助长) ใช้เปรียบเทียบกับการพยายามฝืนกฏเกณฑ์ธรรมชาติหรือการเร่งให้งานใดๆสำเร็จโดยใช้วิธีที่ผิดจนก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา

Related

ทว่าทักษะนี้อาจมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเขาในตอนนี้ ในความล้มเหลวครั้งก่อนหน้าไม่ใช่ว่าเขาพลาดพลั้งไปแค่วินาทีเดียว แต่เพียงแค่ครึ่งวินาทีหรือน้อยกว่านั้น! ครึ่งวินาทีก็ทำให้เขาสามารถลากพู่กันผ่านไปได้หนึ่งนิ้วแล้ว! อีกทั้งตอนนี้เขายังมีมณี 2 ชุด ดังนั้นในเวลาเดียวกันเขาสามารถใช้ทักษะธาตุอื่นๆ ได้อีก สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ธรรมดาๆ นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถใช้งานได้ แต่สำหรับโจวเหว่ยชิงที่มีทักษะธาตุ 6 ชนิด นั่นเป็นประโยชน์มากสำหรับเขา หลังจากมีไพฑูรย์ตาแมวสองสีชุดที่ 2 แล้ว เขาก็สามารถใช้ทักษะธาตุ 2 ชนิดที่แตกต่างกันได้ในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างก็เช่นทักษะธาตุเวลาและทักษะธาตุมิตินั่นเอง!

จะรู้ได้อย่างไรว่ามันได้ผลหากไม่ลองดู? การทดลองจึงเป็นวิธีเดียวที่เขาใช้ทดสอบทฤษฎีนี้ โจวเหว่ยชิงหยิบกระดาษศาสตรามณียุทธ์อีกแผ่นขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น เขาหลับตาลงเพื่อตั้งสมาธิก่อนที่จะเริ่มต้นกระบวนการอีกครั้ง

เช่นเดียวกับครั้งก่อน พลังปราณสวรรค์ธาตุมิติของเขาถูกส่งเข้าที่ปลายพู่กันจากนั้นเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวไปตามแบบที่เขาวาดไว้ล่วงหน้า มือของโจวเหว่ยชิงขยับไปเร็วมาก ถึงตอนนี้เขาก็ไปถึงจุดที่เขามีปัญหาก่อนหน้าแล้ว

ด้วยทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ โจวเหว่ยชิงปลดปล่อยทักษะที่ 6 ของเขาออกมาโดยไม่ลังเล นั่นทำให้เขาต้องเผาผลาญพลังปราณสวรรค์ออกไปเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าพู่กันในมือของเขาก็สามารถเคลื่อนไปต่อได้ตามความปรารถนาของเขา พื้นที่ปัญหาก่อนหน้านี้จึงถูกเขาลากผ่านไปได้ด้วยดี และตอนนี้เขาก็ลากพู่กันออกมาเป็นระยะทางเกือบ 3 นิ้วแล้ว

เยี่ยมเลยนี่หว่า! หลังจากเสร็จสิ้นส่วนนี้ หมึกศาสตรามณียุทธ์ก็แห้งและแข็งตัวในที่สุด พวกมันเรืองรองแสงสลัวๆ ออกมา บอกเป็นนัยว่าหมึกและภาพร่างส่วนนั้นหลอมรวมกันเสร็จสมบูรณ์แล้ว โจวเหว่ยชิงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจประมาทได้ในตอนนี้ อย่างไรเสีย ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจทำลายม้วนคัมภีร์ทั้งใบ อีกทั้งความพยายามก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่าทั้งหมด

กระดาษศาสตรามณียุทธ์ทุกแผ่นถูกวาดเส้น และลวดลายลงบนนั้นนับไม่ถ้วนเพื่อสร้างชิ้นส่วนอาวุธให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา จังหวะฝีพู่กันที่กวาดผ่านแต่ละส่วนของกระดาษนั้นไม่อาจจะหยุดชะงักได้เลยมิฉะนั้นอาจจะทำให้กระดาษเสียหายได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากวาดส่วนแรกจนเสร็จสิ้นและยกมือขึ้น โจวเหว่ยชิงก็สามารถหยุดพักได้ครู่หนึ่ง อย่างไรเสียพลังปราณสวรรค์ของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง นั่นก็คือในการขั้นตอนการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นั้น ผู้สร้างจะต้องอาศัยพลังปราณสวรรค์จำนวนมาก

เมื่อเห็นว่าความคิดของเขาได้ผล โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจุ่มพู่กันลงในหมึกอีกครั้งจากนั้นก็แตะมันลงไปบนกระดาษบนส่วนที่ 2 เห็นได้ชัดว่าการควบคุมเวลาโดยใช้ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์นั้นเข้ากันได้ดีเมื่อใช้ร่วมกับทักษะธาตุมิติ เมื่อใดก็ตามที่เขาพบปัญหาและไม่อาจจัดการกับจังหวะเวลาที่ถูกต้องได้ ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ก็จะช่วยให้เขาสามารถควบคุมจังหวะการลงฝีพู่กันได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ

แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้กระบวนการทำงานของเขาช้าลงมาก อีกทั้งยังเผาผลาญพลังปราณไปมหาศาล แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาเข้าใกล้ความสำเร็จไปทีละขั้น อนิจจา ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ใบนี้ก็ต้องพบกับความล้มเหลวในตอนสุด ท้ายเช่นกัน เมื่อมาถึงส่วนสุดท้าย เนื่องจากโจวเหว่ยชิงตื่นเต้นเกินไปจนลืมคำนวณปริมาณพลังปราณสวรรค์ที่เขาต้องใช้ อีกทั้งเขาก็ยังเริ่มขยับพู่กันเร็วเกินไปทำให้เขาไม่สามารถใช้ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ในช่วงเวลาที่สำคัญได้ ด้วยเหตุนี้กระดาษศาสตรามณียุทธ์ทั้งแผ่นจึงถูกทำลายไปอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้รู้สึกโศกเศร้ากับการสูญเสียในครั้งนี้แม้แต่น้อย  โจวเหว่ยชิงเพียงจ้องมองไปยังแผ่นกระดาษใบที่เพิ่งเสียหายในมือของเขา จากนั้นก็เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ครั้งแรกมักจะยากที่สุดเสมอ ความผิดหวังที่เกิดขึ้นอาจรุนแรงกว่าความพึงพอใจที่เขาได้รับ แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาก็มีประสบการณ์แล้ว…ฮ่าๆ

โจวเหว่ยชิงนั่งขัดสมาธิ เขาเพ่งสติไปที่หลุมดำพลังปราณทั้ง 11 แห่งของเขาเพื่อสั่งให้มันหมุนวนอย่างเต็มที่และฟื้นพลังปราณสวรรค์ของเขากลับคืนมา เมื่อพลังปราณของเขาฟื้นตัวเต็มที่แล้ว เขาก็เริ่มหยิบกระดาษแผ่นใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้เขามีประสบการณ์แล้ว ยังไงเสียความล้มเหลวก็คือกุญแจของความสำเร็จ ครั้งนี้เขาจึงรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมมาก สำหรับปัญหาก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่าตนมีโอกาสสร้างม้วนคัมภีร์สำเร็จโดยไม่ต้องใช้ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ได้ 2 ใน 10 ส่วน

แน่นอนว่าความคิดของโจวเหว่ยชิงนั้นถูกต้อง การสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นั้น ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือครั้งแรก หากสามารถทำให้สำเร็จได้เพียงหนึ่งครั้ง คนๆ นั้นก็จะสามารถรับรู้และเข้าใจจังหวะเวลาที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แผ่นแรกของเขาให้สำเร็จ โจวเหว่ยชิงจึงไม่กล้าประมาทใดๆทั้งสิ้น เขาใช้ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ทุกครั้งเมื่อเจอปัญหา และเพื่อให้มั่นใจว่าพลังปราณของเขาเพียงพอ เขาจึงพักผ่อนอย่างเต็มที่เพื่อให้สามารถใช้ทักษะธาตุได้อย่างน้อย 3 ครั้ง

ในที่สุดฝีพู่กันสุดท้ายก็ถูกยกขึ้นจากกระดาษ บ่งบอกว่ากระบวนการทั้งหมดเสร็จอย่างสมบูรณ์แล้ว ขณะที่หมึกหลอมรวมกับกระดาษศาสตรามณียุทธ์ แสงสีเงินเจิดจ้าก็กระพริบระยิบระยับอยู่รอบๆ หมึกศาสตรามณียุทธ์ที่มีสีทองจางๆ ทันใดนั้นกระดาษทั้งแผ่นก็สว่างวาบขึ้นเป็นแสงสีทอง คลื่นพลังงานอ่อนๆ พลันปรากฏขึ้นราวกับว่ากระดาษศาสตรามณียุทธ์แผ่นนั้นมีชีวิตขึ้นมา

โจวเหว่ยชิงจ้องมองม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่เสร็จสมบูรณ์ตรงหน้าเขาด้วยสายตาว่างเปล่า สัมผัสได้ถึงความตื้นตันที่ผุดขึ้นมาในใจ ราวกับว่าเขาเพิ่งสร้างบางอย่างที่มีชีวิตขึ้นมา! โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งมอบชีวิตให้กับกระดาษศาสตรามณียุทธ์แผ่นนั้นจนมันกลายเป็นม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์!

โจวเหว่ยชิงหยิบกระดาษศาสตรามณียุทธ์ขึ้นมาอีกแผ่นโดยไม่ลังเล เขาหายใจเข้าลึกๆ หลับตาและนึกถึงกระบวนการทั้งหมดที่เขาเพิ่งจะทำสำเร็จไปก่อนหน้า จากนั้นก็เริ่มกระบวนการนั้นใหม่อีกครั้ง

คราวนี้เขาใช้ความพยายามทั้งหมดของตนโดยไม่พึ่งพาทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ในการลงพู่กันแต่ละส่วน เฉพาะจุดที่เขารู้สึกว่าไม่อาจผ่านไปได้จริงๆ เขาถึงจะใช้ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ แต่ถึงกระนั้นเขาก็สามารถสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ชิ้นที่ 2 นี้ได้สำเร็จโดยใช้ระยะเวลาเพียงครึ่งหนึ่งของครั้งก่อนหน้า!

เมื่อทำแผ่นที่ 2 สำเสร็จ โจวเหว่ยชิงก็เริ่มทำแผ่นที่ 3 จากนั้นก็ต่อด้วยแผ่นที่ 4 เขาเริ่มเชี่ยวชาญมากขึ้นในทุกๆครั้ง ที่สร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น ในทุกๆ ครั้ง ความเร็วของเขาก็จะเพิ่มขึ้นขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน หลังจากเขากลืนไข่มุกสีดำเข้าไป ประสาทสัมผัสของเขาก็แข็งแกร่งเกินกว่าคนทั่วไปมาก นั่นจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในกระบวนการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ทันทีที่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาก็สามารถใช้ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ควบคุมมันไว้ได้ทันที กระบวนการเหล่านี้ดำเนินต่อไปในช่วงที่เหลือของวัน นอกเหนือจาก 2-3 ครั้งแรกที่เขาทำล้มเหลวแล้ว ในช่วงเวลาต่อมาเขาก็สามารถสร้างม้วนคัมภีร์ได้มากกว่า 12 แผ่น

”เหว่ยน้อย ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว” เสียงของฮูเหยียนเอ้าป๋อดังออกมาจากข้างนอก แม้ว่าเขาจะพักผ่อนอยู่ แต่ห้องของเขาก็อยู่ใกล้มากพอที่จะได้ยินเสียงจากห้องของโจวเหว่ยชิง เมื่อได้ยินลูกศิษย์ของเขาฝึกฝนโดยไม่หยุดพัก เขาจึงรู้สึกพออกพอใจมาก

เมื่อฮูเหยียนเอ้าป๋อเปิดประตูเข้ามาในห้องและเห็นโจวเหว่ยชิงกำลังเงยหน้าขึ้นมองเขา ในชั่วพริบตานั้นฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ตกตะลึงจนตาค้าง ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ และใบหน้าของเขาซีดเซียวเป็นอย่างยิ่ง

“เหว่ยน้อย เจ้าไม่ได้หยุดพักเลยหรือ?” ฮูเหยียนเอ้าป๋อถามด้วยความห่วงใย แม้ว่าดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและความสุขก็ตาม ในฐานะปรมาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เขาย่อมรู้ดีว่าการที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเพียรพยายาม โจวเหว่ยชิงเพิ่งเริ่มเรียนรู้วิธีสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แต่เขากลับเริ่มหมกมุ่นอยู่กับมันแล้ว ในฐานะอาจารย์ เขารู้สึกภาคภูมิใจและพึงพอใจเป็นอย่างมาก

“ได้เวลาอาหารเย็นแล้วหรือ เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ!” โจวเหว่ยชิงพึมพำกับตัวเองขณะลุกขึ้นจากพื้น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าโลกกำลังหมุน จากนั้นความมืดก็เริ่มมาเยือนสายตาของเขา ฉับพลันนั้นเขาก็สะดุดจนเอนไปด้านหลัง

ฮูเหยียนเอ้าป๋อประคองเขาไว้อย่างรวดเร็วและไหลเวียนพลังปราณสวรรค์บริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกายของโจวเหว่ยชิง เขาคุ้นเคยกับสภาพเช่นนี้เป็นอย่างดี หากเขาเพ่งสมาธิมากเกินไปและใช้เรี่ยวแรงจนเกินขีดจำกัด เขาก็มักจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ฮูเหยียนเอ้าป๋อประคองโจวเหว่ยชิงนอนลงที่เดิมพร้อมกับบอกให้เขาพักผ่อนเพราะนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

เขาสุ่มหยิบกระดาษศาสตรามณียุทธ์แผ่นหนึ่งที่โจวเหว่ยชิงทิ้งไว้เกลื่อนพื้นขึ้นมาดู หวังว่าจะได้เห็นความคืบหน้าของศิษย์รักของเขา แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติที่โจวเหว่ยชิงจะล้มเหลว แต่เขาก็ยังอยากเห็นว่าลูกศิษย์ของเขาทำสำเร็จไปมากแค่ไหน นี่เป็นการวัดพรสวรรค์แต่กำเนิดซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์

“หืม?” ทันทีที่กระดาษศาสตรามณียุทธ์อยู่ในมือของเขา ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาคุ้นเคยกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มากเกินไป รู้จักพวกมันดีราวกับเป็นหลังมือของเขา คลื่นพลังคุ้นเคยที่แผ่ออกมาจากกระดาษแผ่นนั้นทำให้นิ้วของเขารู้สึกชา ดวงตาของเขาก็จ้องไปที่กระดาษในมืออย่างตกตะลึง และนั่นก็ส่งผลให้เขาเงียบไปครู่หนึ่ง

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาา!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

เฟิงหยูกำลังนั่งอยู่ในห้องพร้อมกับอาหารที่เตรียมจะกินสะดุ้งผุดลุกจากที่นั่งเพราะเสียงร้องแสดงความตกใจอย่างกะทันหันของฮูเหยียนเอ้าป๋อ เขารีบวิ่งตรงไปที่ห้องนั้นทันที “ตาแก่ฮูเหยียน เจ้าโหวกเหวกโวยวายทำไม??” เมื่อ   เฟิง หยูไปถึงห้องนั้นและเห็นว่าฮูเหยียนเอ้าป๋อไม่ได้เป็นอะไรเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธ “เป็นอะไรไปหา? เจ้าเห็นผีรึไง?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อพึมพำกับตัวเอง “นี่มันน่ากลัวกว่าผีอีก ดูนี่!!” ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขาก็ยัดม้วนคัมภีร์ใส่มือของเฟิงหยู

เฟิงหยูหยิบม้วนคัมภีร์ขึ้นมาตรวจสอบอย่างใกล้ชิดก่อนจะพูดด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “นี่เป็นเพียงม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นๆ เอง มีอะไรพิเศษหรือ? สร้างของแบบนี้ขึ้นมาแล้วยังมีหน้ามาโวยวายอีกหรือไง?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อมองเฟิงหยู จากนั้นก็หันกลับไปมองโจวเหว่ยชิง ไม่พูดอะไรออกมาอีก เฟิงหยูมองออกว่าใบหน้าของตาแก่คนนี้กำลังกระตุก ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาของเฟิงหยูเบิกกว้างขณะที่เขาอุทานออกมาว่า “เดี๋ยวนะ…เจ้าอย่าบอกข้านะว่า…ม้วนคัมภีร์นี้…ม้วนคัมภีร์…นี้…เขาสร้างขึ้นมา??!”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อไม่ได้ตอบกลับเฟิงหยู เขารีบหยิบกระดาษศาสตรามณียุทธ์ที่วางกระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เฟิงหยูเดินเข้าไปใกล้ๆ และเข้าร่วมกับฮูเหยียนเอ้าป๋อ คู่เพื่อนที่มีอายุรวมกันกว่า 100 ปีต่างก็กวาดสายตามองกระดาษศาสตรามณียุทธ์แผ่นแล้วแผ่นเล่าบนพื้น หลังจากทำเช่นนั้น สีหน้าของพวกเขาก็แปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ

“นี่มัน…นี่มันเรื่องจริงรึเปล่า!?” ในที่สุด เมื่อพวกเขาเพ่งดูกระดาษศาสตรามณียุทธ์แผ่นสุดท้ายเสร็จแล้ว            ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็แทบทรุดลงกับพื้น

เฟิงหยูพึมพำ “ถ้าเจ้าไม่ได้หลอกลวงข้า แล้วก็ไม่ได้สร้างมันขึ้นมาเอง มันก็คงจะของเรื่องจริงนั่นแหละ นอกจากเจ้าสองคนแล้ว จะมีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนไหนอีก! ตาแก่ฮูเหยียน ข้าคิดว่าครั้งนี้เจ้าเก็บสมบัติมาได้จริงๆ!!!”

ภายใต้สถานการณ์ปกติ เมื่อฮูเหยียนเอ้าป๋อพบเรื่องที่น่าตื่นเต้นยินดีเขาจะหัวเราะออกมาดังๆ อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับตอนที่เขาสร้างม้วนคัมภีร์ที่หายากจนสำเร็จ ทว่าคราวนี้เขากลับไม่อาจจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาได้แม้แต่คำเดียว ร่างกายของเขาพลันรู้สึกอ่อนเปลี้ยขึ้นมาทันที

“เกิดอะไรขึ้นกับข้า? ข้าปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว” ขณะนี้โจวเหว่ยชิงค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นจากพื้น ในฐานะที่เขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ผู้กลืนไข่มุกสีดำเข้าไปในร่างกาย อัตราการฟื้นตัวของเขาจึงอยู่ในระดับ ‘อมนุษย์’ ก็ว่าได้

ชายชราทั้งสองพุ่งเข้ามาล้อมรอบตัวเขาทันที ฮูเหยียนเอ้าป๋อยื่นมือสั่นๆ ที่ถือม้วนคัมภีร์โบกต่อหน้าโจวเหว่ยชิงและพูดว่า “เหว่ยน้อย…เจ้าเป็นคนสร้างคัมภีร์พวกนี้หรือ? เจ้า…เจ้าทำสำเร็จงั้นหรือ?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “ใช่แล้ว? ข้าทำสำเร็จ นั่นรู้สึกดีจริงๆ ราวกับว่าข้าได้มอบชีวิตให้กับกระดาษศาสตรามณียุทธ์พวกนี้ ข้าเกือบจะหลงมัวเมาไปกับความรู้สึกนั้นเลยทีเดียว! อ่าาาา ตอนนี้หัวของข้าปวดจริงๆ อาจารย์ ผู้อาวุโสเฟิงหยู หยุดจ้องข้าแบบนั้นจะได้ไหม! ข้ารู้ว่าข้าเป็นอัจฉริยะ แต่ตอนนี้อัจฉริยะผู้นี้หิวมาก!!!”

………………………

Related

ในพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว ฮูเหยียนเอ้าป๋อได้สอนพื้นฐานการสร้างศาสตรามณียุทธ์ให้กับโจวเหว่ยชิงทั้งหมด นั่นประกอบไปด้วยขั้นตอนต่างๆ ตลอดจนความรู้ยิบย่อยมากมาย

การสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์จำเป็นต้องใช้กระดาษชนิดพิเศษและกระดาษนี้เรียกว่ากระดาษศาสตรามณียุทธ์ ส่วนประกอบหลักในการสร้างกระดาษพวกนี้คือแก่นพลังของอสูรสวรรค์ระดับเทวะ แน่นอนว่าหลังจากพวกมันถูกบดละเอียดจนกลายเป็นผง แก่นพลังหนึ่งอันก็สามารถใช้ทำกระดาษศาสตรามณียุทธ์ได้มากกว่า 10,000 แผ่นเพราะแต่ละแผ่นต้องการผงที่ว่านั่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผงแก่นพลังนั้นจะถูกนำมาบดผสมรวมกับมณีไพฑูรย์ตาแมวที่ถูกบดเป็นผงเช่นกัน (ซึ่งก็มีความหมายโดยนัยว่าต้องอาศัยทักษะธาตุมิติของจ้าวมณี) รวมทั้งต้องอาศัยวัตถุดิบหายากและราคาแพงชนิดอื่นๆอีกมากมายเพื่อสร้างกระดาษแผ่นนี้ขึ้นมา

โดยทั่วไปแล้ว กระดาษศาสตรามณียุทธ์มักจะมีวางขายเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ บางเมืองเท่านั้น และกระดาษจำนวน 10,000 แผ่นจะมีราคาเกือบ 50,000 เหรียญทอง แน่นอนว่านั่นเป็นราคาขั้นต่ำของกระดาษที่สร้างจากแก่นพลังของอสูรสวรรค์ระดับเทวะชั้นล่างๆ ถ้ามันมาจากอสูรสวรรค์ระดับสูงกว่า ราคาก็จะพุ่งสูงขึ้นอีกเช่นกัน

หลังจากมีกระดาษศาสตรามณียุทธ์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวาดแบบ ก่อนอื่นผู้สร้างจะต้องกำหนดประเภทของอาวุธ รูปลักษณ์ การใช้งาน และทักษะธาตุต่างๆ ของศาสตรามณียุทธ์เสียก่อน อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดและเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนที่สุด

ขั้นตอนสุดท้ายคือการสร้างม้วนคัมภีร์จริงซึ่งค่อนข้างยุ่งยากมากและมีขั้นตอนซับซ้อนหลายขั้นตอน ปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดคือการผสมหมึกศาสตรามณียุทธ์ ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แต่ละแผ่นจะใช้หมึกต่างชนิดกัน อีกทั้งยังมีขั้นตอนการผสมหมึกที่แตกต่างกัน โดยปกติแล้วมันคือการผสมเลือดอสูรสวรรค์ แก่นพลัง อัญมณี สมุนไพรและวัตถุดิบหายากอื่นๆ อีกมากมาย เพียงแค่วัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ก็แทบจะนับมูลค่าไม่ได้แล้ว

แน่นอนว่าฮูเหยียนเอ้าป๋อเป็นอาจารย์ที่ใจดีมาก เขาอธิบายกระบวนการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์อย่างละเอียดทุกขั้นตอน การยกตัวอย่างง่ายๆ ของเขายังช่วยแสดงแนวคิดการออกแบบต่างๆ ที่เข้าใจยาก นั่นรวมไปถึงวิธีการผสมหมึก วัตถุดิบหลากหลายชนิด และพื้นฐานอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อให้โจวเหว่ยชิงเข้าใจพวกมันได้อย่างถ่องแท้แทนที่จะท่องจำเพียงอย่างเดียว หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ โจวเหว่ยชิงก็เข้าใจพื้นฐานคร่าวๆ เกี่ยวกับวิธีสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แล้ว

สำหรับฮูเหยียนเอ้าป๋อ การผสมหมึกเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ง่ายมาก แม้ว่าวัตถุดิบอาจจะยุ่งยากไปบ้างเล็กน้อย แต่ตัวเขาเองเชี่ยวชาญสูตรการผสมหมึกมากกว่า 1,000 ชนิดแล้ว  ภายในไม่กี่ปีข้างหน้าโจวเหว่ยชิงก็จะสามารถจดจำและคุ้นเคยกับพวกมันได้เป็นอย่างดี สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องเรียนรู้ในตอนนี้คือการออกแบบ แน่นอนว่าการออกแบบเป็นขั้นตอนที่สามารถเกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายที่สุดเนื่องจากจำเป็นต้องพิจารณาว่าจ้าวมณีแต่ละคนจะต้องใช้กระดาษชนิดไหน

ความจริงแล้วโจวเหว่ยชิงไม่ได้เป็นคนสมองทึบ แต่ด้วยข้อมูลที่อัดแน่นเข้าสู่สมองเขาอย่างไม่ขาดสายเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกราวกับว่าตนกำลังมึนงงอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่โจวเหว่ยชิงไม่ใช่คนที่มัวจมจ่ออยู่กับสิ่งที่เขาไม่อาจควบคุมได้ เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำความเข้าใจและซึมซับแนวคิดการออกแบบทั้งหมดที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อกำลังสอนเขา อย่างไรก็ตาม ก็เหมือนกับที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อได้กล่าวเอาไว้ เขาไม่จำเป็นต้องเร่งรีบจดจำสูตรผสมหมึกศาสตรามณียุทธ์ชนิดต่างๆในตอนนี้เนื่องจากในอนาคตเขาก็จะค่อยๆจดจำไปได้เอง

โจวเหว่ยชิงคิดว่าการออกแบบนั้นเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญมากทีเดียว รายละเอียดบางอย่างที่ซับซ้อนในการออกแบบจึงควรเรียนรู้ภายใต้การสั่งสอนของอาจารย์ในตอนนี้ ดีกว่าจะต้องไปนั่งไขปริศนาด้วยตัวเองในอนาคต

“เหว่ยน้อย ในช่วง2-3วันที่ผ่านมาข้าได้สอนเจ้าไปหลายอย่างแล้ว เจ้าน่าจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการจดจำมันทั้งหมด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเพิ่มเวลาฝึกอีก 4 ชั่วโมง เจ้าจะเรียนรู้และจดจำทุกอย่างได้เร็วขึ้นเมื่อลองสร้างม้วนคัมภีร์ด้วยตัวเอง การได้หยิบจับและลงมือทำจะช่วยให้เจ้าเข้าใจและตระหนักได้ด้วยตัวเอง หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับเราชาวอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คืออัตราความสำเร็จของสิ่งที่เราสร้างขึ้น ด้วยมาตรฐานปัจจุบันของข้า แม้ว่าจะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ในระดับพื้นๆ ที่สุด อัตราความสำเร็จของข้าก็จะอยู่ที่ประมาณ 3 ใน 10 ส่วนเท่านั้น เอาล่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญของอัตราความสำเร็จ?” ในขณะที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อกำลังสอนโจวเหว่ยชิง เขามักก็จะเปลี่ยนเป็นคนที่จริงจังและอาจถือได้ว่าเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดมากคนหนึ่ง

โจวเหว่ยชิงตอบทันที “ปัจจัยสำคัญคือเงิน กระดาษศาสตรามณียุทธ์ทุกแผ่นที่เสียไปก็คือ 5 เหรียญทองที่ต้องทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ หากรวมค่าใช้จ่ายของหมึกศาสตรามณียุทธ์ที่ผสมแล้ว นั่นจะเท่ากับเสียไปทั้งหมดเกือบ 12 เหรียญทอง”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ อย่างไรเขาเป็นคนขี้เหนียวจริงๆ นั่นแหละ “นั่นถูกต้อง ทุกความล้มเหลวก็คือการสูญเสียเงินทอง เวลา และพลังงานมหาศาล ดังนั้นเมื่อเจ้าสร้างม้วนคัมภีร์ เจ้าต้องมีสมาธิและจดจ่อกับทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเต็มที่ ในช่วงเวลานี้ เจ้าควรทุ่มเทจิตวิญญาณของเจ้าด้วยความกระตือรือร้นอย่างถึงที่สุด ให้ตอนนี้ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์คือทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า”

บนโต๊ะมีแผ่นกระดาษศาสตรามณียุทธ์ที่กางออกเผยให้เห็นลายเส้นและลวดลายต่างๆ ที่ปลดปล่อยพลังออกมา ก่อกำเนิดเป็นกลไกที่สลับซับซ้อน การออกแบบนี้เป็นสิ่งที่โจวเหว่ยชิงสร้างขึ้นเมื่อวาน ทำขึ้นมาโดยมีโล่ซวนอู่ของฮูเหยียนเอ้าป๋อเป็นต้นแบบและการออกแบบโล่นี้ก็เน้นไปที่การป้องกันเป็นหลัก หลังจากออกแบบโครงร่างเสร็จสิ้น ขั้นตอนการสร้างจริงก็จะใช้หมึกศาสตรามณียุทธ์ควบคู่ไปกับทักษะธาตุมิติเพื่อหลอมรวมมันเข้ากับกระดาษศาสตรามณียุทธ์ ทั้งหมดทั้งมวลนำไปสู่ผลงานสุดท้ายนั่นก็คือม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นั่นเอง

โจวเหว่ยชิงหยิบแปรงขนพังพอนที่มีด้ามจับทำจากหยกจุ่มลงในหมึกศาสตรามณียุทธ์ที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อเตรียมไว้ให้เขา เขาสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกับปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมา หมุนวงล้อทักษะธาตุของเขาไปยังพื้นที่สีเงินและเพ่งสมาธิไปยังกระดาษศาสตรามณียุทธ์เบื้องหน้าเขาอย่างเต็มที่ จากนั้นก็ค่อยๆ จุ่มพู่กันลงไป

หมึกศาสตรามณียุทธ์นั้นเป็นสีทองอ่อนๆ ในขณะที่เขาค่อยๆ หมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ของเขาเข้าไปที่พู่กัน มันก็เริ่มเปล่งแสงสีเงินออกมาอย่างรวดเร็ว โจวเหว่ยชิงทำตามคำแนะนำของฮูเหยียนเอ้าป๋อ ค่อยๆขยับพู่กันอย่างช้าๆและมั่นคง เคลื่อนมือไปบนกระดาษตามโครงที่เขาร่างเอาไว้อย่างแข็งขัน

ฮูเหยียนเอ้าป๋อที่ยืนอยู่ข้างหลังกำลังจ้องมองผลงานของโจวเหว่ยชิงแบบตาไม่กระพริบด้วยความพึงพอใจ มณียุทธ์ของโจวเหว่ยชิงเป็นประเภทความแข็งแกร่งดังนั้นจึงช่วยให้ฝีแปรงของเขามั่นคงมาก และการค้นพบนี้ก็ทำให้เขาพึงพอใจอย่างคาดไม่ถึง

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงเพิ่งจะขยับมือวาดไปได้ไม่ถึงระยะ 1 นิ้ว เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างกำลังแตกร้าว ทันใดนั้นภาพร่างที่มีแสงเรืองรองขึ้นมาหลังถูกพู่กันของเขาลากผ่านก็ค่อยๆจางลงและหายไปในที่สุด

“หยุดก่อน” ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวอย่างเคร่งขรึม

โจวเหว่ยชิงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาสับสน

ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวว่า “เจ้าเพิ่งเริ่มสร้างม้วนคัมภีร์ จำไว้ว่าต้องทำอย่างช้าๆ ให้หมึกรวมเข้ากับทักษะธาตุมิติของเจ้าก่อน จากนั้นถึงค่อยให้พวกมันหลอมรวมเข้ากับกระดาษศาสตรามณียุทธ์ที่เหลือ เมื่อทำเช่นนั้นเสร็จถึงค่อยลากไปจุดอื่นได้ อย่างไรก็ตาม จงอย่าลืมว่าเจ้าก็ไม่อาจชักช้าเกินไปได้เช่นกัน ไม่เช่นนั้นหมึกจะถูกทิ้งไว้ที่จุดใดจุดหนึ่งมากเกินไปจนทำให้กระดาษเสียหาย ในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ สิ่งที่ยากที่สุดคือการกะเวลาที่เหมาะสม เพราะฉะนั้นเจ้าจะทำสำเร็จก็ต่อเมื่อผ่านการฝึกมานับครั้งไม่ถ้วน จนกว่ามันจะฝังแน่นอยู่ในความจำของกล้ามเนื้อ หมึกศาสตรามณียุทธ์และกระดาษศาสตรามณียุทธ์แต่ละชนิดจะมีอัตราความเข้ากันได้ที่แตกต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมันหลอมรวมกันแล้วก็ยังให้สัมผัสที่แตกต่างกันออกไปด้วย เจ้าเพิ่งเริ่มต้นเรียนดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ หากไม่ผ่านมืออย่างน้อย 10,000 แผ่นเจ้าก็ยังไม่อาจประสบความสำเร็จได้ เพราะฉะนั้นเจ้าจะต้องอดทนและใจเย็น”

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยสีหน้าเศร้าใจ “หากเป็นเช่นนั้น กระดาษศาสตรามณียุทธ์แผ่นนี้ก็ใช้การไม่ได้แล้วหรือขอรับ? เพียงพริบตาเดียวก็เสียไปแล้วตั้ง 5 เหรียญทอง! นี่คือการเผาเงินเผาทองทิ้งอย่างแท้จริง! อาจารย์ ข้าไม่กล้าคิดว่าราคาที่ท่านตั้งไว้สำหรับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของท่านมีราคาแพงอีกต่อไป!”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อแค่นเสียงพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าการฝึกอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนหนึ่งเป็นเรื่องง่ายขนาดนั้นเลยหรือ! นั่นมันผลาญทั้งเวลาทั้งเงินทอง! เจ้ายังมีเวลาร่วมกับข้าอีก 4 เดือน ข้าหวังว่าเมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องออกจากโรงเรียนฝึกทหารเฟยหลี่ เจ้าจะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นๆ ได้สำเร็จ 1 ใบ และเมื่อเจ้าทำสำเร็จแล้ว เจ้าก็ยังต้องฝึกฝนทุกวันต่อไปเรื่อยๆ ข้าหวังว่าเจ้าจะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับแรกได้ภายใน 3 ถึง 5 ปี อย่าลืมว่าความรู้พื้นฐานมีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นเจ้าจะต้องมั่นใจว่าเข้าใจมันเป็นอย่างดี อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องวัตถุดิบ ข้าจะจัดเตรียมเอาไว้ให้เจ้าเอง”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่อาจทำใจผลาญเงินและวัตถุดิบทิ้งไปเช่นนี้ แต่เขาก็ทำได้เพียงโยนเศษกระดาษทิ้งไปด้านข้างอย่างจำใจ มองไปที่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ จากนั้นก็หยิบกระดาษแผ่นใหม่จากกองกระดาษที่วางอยู่ที่นั่น ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวว่า “เจ้าค่อยๆ ฝึกไปช้าๆ ก็แล้วกัน ข้าจะเรียกเจ้าเมื่อถึงเวลากินข้าว”

“อย่างน้อยการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์นัก แม้ว่ามันจะไม่ช่วยเพิ่มระดับพลังปราณสวรรค์ของเจ้า แต่มันก็เป็นการฝึกฝนที่ดีมากในแง่ของการขัดเกลาจิตใจและจิตวิญญาณ อีกทั้งยังช่วยให้เจ้าสามารถควบคุมพลังปราณสวรรค์ได้ดียิ่งขึ้นด้วย ในขณะที่เจ้าฝึกสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ เจ้าจะพบว่าความสามารถในการควบคุมทักษะที่กักเก็บไว้ของเจ้าดีขึ้นมาก เอาล่ะ เจ้าฝึกต่อเถิด ข้าจะไปพักผ่อนก่อน” ฮูเหยียนเอ้าป๋อไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไปแล้ว ด้วยเหตุนั้นเขาจึงต้องการเวลาพักฟื้นหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาเป็นเวลานานถึง 2 ปี

หลังจากฮูเหยียนเอ้าป๋อจากไปแล้ว โจวเหว่ยชิงก็พยายามสร้างคัมภีร์อีกครั้ง ทว่าคราวนี้เขาก็ยังคงล้มเหลวหลังจากวาดไปได้ไม่ถึง1นิ้ว แม้ว่าความล้มเหลวในครั้งนี้จะเกิดจากการที่เขาลากมือช้าเกินไปจนทำให้หมึกไปรวมตัวกระจุกกันอยู่ในจุดเดียว

เขาสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนขณะที่หมึกและกระดาษกำลังหลอมรวมเข้าด้วยกัน ฮูเหยียนเอ้าป๋อชี้ให้เห็นหลายประเด็นที่เขาจำเป็นต้องจดบันทึก แต่เมื่อเขาลงมือทำจริงๆ ขณะหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ไปที่พู่กัน เขาก็พบว่ามันไม่ได้ควบคุมง่ายอย่างที่เขาคิด เช่นเดียวกับสิ่งที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อเคยพูดเอาไว้ มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างลึกล้ำและแปลกประหลาดเมื่อทั้งกระดาษและหมึกหลอมกำลังผสานเข้าด้วยกัน อาจกล่าวได้ว่าสำหรับกระดาษเกือบทุกแผ่นนั้น แม้ว่าพวกมันจะทำมาจากแก่นพลังชิ้นเดียวกัน แต่พวกมันก็ยังแตกต่างกันเล็กน้อย บางครั้งความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนี่แหละที่ทำให้กระบวนการทั้งหมดของเขาล้มเหลว

โจวเหว่ยชิงยังคงพยายามต่อไป กระทั่งผ่านไป 7 แผ่นแล้ว ทั้งหมดก็ยังคงล้มเหลว ตอนนี้หน้าผากของเขาเคลือบไปด้วยชั้นเหงื่อบางๆ เขาเพ่งสมาธิและจดจ่อมากเกินไปจนตอนนี้ดวงตาของเขาแทบจะปูดโปนออกมาแล้ว

โจวเหว่ยชิงวางพู่กันลงพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง เขาพยายามกรุ่นคิดด้วยความรู้ที่เขามีทั้งหมด “เวลาที่พอดี…ประสาทสัมผัส…เวลา…ประสาทสัมผัส…ข้าจะใช้ประสาทสัมผัสควบคุมเวลาให้พอเหมาะได้อย่างไร? นี่มันยากเกินไปจริงๆ ไม่แปลกใจที่อาจารย์บอกว่าต้องฝึกฝนอย่างน้อย 10,000 แผ่นถึงจะทำสำเร็จได้ ข้าคงต้องพักสักครู่เพื่อจะได้เพ่งสมาธิได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง มิฉะนั้นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็คงจะน้อยลงไปอีก”

ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็นอนลงกับพื้น ปลดปล่อยพลังปราณสวรรค์และมณีของเขาออกมา ในขณะที่เขาพักผ่อนจู่ๆ แสงสว่างแห่งปัญญาก็ผุดขึ้นมาช่วยชีวิตเขาไว้ได้ทันที

ทักษะธาตุ…กาลเวลา ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็พลิกกลับขึ้นไปนั่งด้วยดวงตาทอประกายความยินดี “ใช่แล้ว! นั่นไม่ใช่กุญแจสำคัญในการจับจังหวะเวลาให้พอดีหรอกหรือ? ถ้าข้าไม่อาจควบคุมประสาทสัมผัสได้ ทำไมไม่ควบคุมเวลาไปโดยตรงเลยล่ะ? อย่างไงซะ ทักษะธาตุที่ 6 ของข้าก็คือทักษะธาตุกาลเวลาอยู่แล้วนี่นา!”

เมื่อคิดได้แบบนั้น จิตใจของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น หลังจากได้รับมณีชุดที่ 2 ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ที่กักเก็บไว้ในมณีดวงแรกของเขาก็วิวัฒน์ขึ้นเช่นกัน แต่ประสิทธิภาพของมันยังคงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับทักษะอื่นๆ ของเขา ระยะโจมตีเพิ่มขึ้นจาก 5 หลาเป็น 6 หลา ในแง่ของระยะเวลาที่ควบคุมได้ก็เพิ่มระดับขึ้นเช่นกัน ข้อดีเพียงอย่างเดียวของทักษะนี้คือมันใช้เวลาฟื้นฟูต่ำมาก หรือก็คือ 3 วินาทีเท่านั้น ทว่า มันก็เผาผลาญพลังปราณสวรรค์ของเขาไปค่อนข้างมากเช่นกัน  ด้วยระดับพลังปราณในปัจจุบันของเขา เขาสามารถใช้มันได้ 8 ครั้งต่อเนื่องกัน และด้วยพลังฟื้นฟูของหลุมดำพลังปราณ เขาก็สามารถใช้ทักษะนี้ต่อเนื่องกันได้มากที่สุด 9 ครั้ง ด้วยระยะการโจมตีสั้นๆ และความสามารถในการหน่วงเวลาเพียง 1 วินาทีดังกล่าว โจวเหว่ยชิงจึงคิดว่าทักษะนี้มีประโยชน์ในการต่อสู้ไม่มากนัก อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้เพราะเขารู้สึกเสมอว่าการหน่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีนั้นไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่

………………………………

Related

เมื่อได้ยินฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวว่าเขาใช้เวลาถึง 2 ปีในการสร้างคัมภีร์หลุมบรรจุมณีชิ้นนี้เพื่อเขาโดยเฉพาะ ภายในใจของโจวเหว่ยชิงก็พลันรู้สึกถึงกระแสความอบอุ่นที่ไหลเอ่อขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ขณะมองไปยังรอยเหี่ยวย่นที่เพิ่มขึ้นบนร่างของฮูเหยียนเอ้าป๋อ แสงสลัวในดวงตาของเขาก็ปักตรึงเข้าไปกลางใจของโจวเหว่ยชิง เขาไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกนี้ออกมาอย่างไร ดังนั้นเขาจึงคุกเข่าลงต่อหน้าฮูเหยียนเอ้าป๋อและกล่าวคำสาบานอย่างแน่วแน่ คราวนี้เขาทำจากใจจริงและไม่มีความคิดเจ้าเล่ห์เจือปนอยู่แม้แต่น้อย

ฮูเหยียนเอ้าป๋อชะงักขึ้นมาครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาพลันเกิดประกายวูบไหวแปลกๆ อย่างไรก็ตาม ผ่านไปสักพักเขาก็ถอนหายใจและช่วยประคองโจวเหว่ยชิงขึ้นมา “เหว่ยน้อย จริงๆ แล้วข้ารู้สึกขัดแย้งในใจมาก พูดตามตรงข้าอยากให้เจ้าเรียนรู้วิชาจากข้าและกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะให้ได้ แต่ข้าก็กลัวว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการทำลายอนาคตของเจ้าเช่นกัน ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า เจ้าสามารถเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังได้…แต่ถ้าเจ้าต้องทุ่มเทเวลาและแรงกายไปกับการเรียนรู้วิธีสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มากๆ เข้า ข้าเกรงว่า…”

โจวเหว่ยชิงไม่คาดคิดว่าฮูเหยียนเอ้าป๋อจะเตือนเขาเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าอาจารย์กำลังพูดถึงสิ่งเดียวกันกับที่ถังเซียน แม่ยายในอนาคตของเขาเตือนเอาไว้

โจวเหว่ยชิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “อาจารย์ สายไปแล้วสำหรับเรื่องนั้น ข้าได้สาบานด้วยมณีสวรรค์ของข้าไปแล้วและไม่อาจกลับคำได้ นอกจากนี้ ใครจะรู้ ลูกศิษย์ของท่านอาจจะเป็นอัจฉริยะในด้านการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ด้วยก็ได้ ข้าอาจทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกันได้!”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อส่ายหัวอย่างปลงๆและพูดว่า “เด็กเหลือขอตัวน้อยอย่างเจ้ามักจะมองโลกในแง่ดีเกินไปจริงๆ ข้าหวังว่าเจ้าจะยังคงเชื่อมั่นเช่นนั้นเมื่อได้เริ่มเรียนกับข้า หากการเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ง่ายดายขนาดนั้น ราคาของม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์คงจะไม่สูงขนาดนี้หรอก เอาเถอะ ใช้คัมภีร์หลุมบรรจุมณีนี้ก่อน แล้ววันพรุ่งนี้ค่อยเริ่มบทเรียนแรกของเจ้า”

“ขอรับ” โจวเหว่ยชิงยกมือขวาขึ้นและตั้งสมาธิ ฉับพลันนั้นมณีสวรรค์ของเขาก็ปรากฏขึ้นมา แน่นอนว่าแทนที่จะเป็นดวงเดียวเหมือนคราวก่อน คราวนี้เขามีมณี 2 ดวง

บนข้อมือขวาของเขาปรากฏหยกน้ำแข็งบริสุทธิ์ 2 ดวงกำลังหมุนวนอยู่ด้านบน ทันใดนั้นก็พวกมันก็สว่างวาบขึ้น ไม่นานธนูราชันย์ก็ปรากฏในมือของเขาพร้อมกับกลุ่มไอหมอกน้ำแข็งเย็นจัด

ธนูราชันย์ในมือเขาตอนนี้ดูแตกต่างจากรูปลักษณ์ก่อนหน้าเล็กน้อย คันธนูดูหนาขึ้นและหนักขึ้น  ลวดลายสีทองซึ่งเดิมมีเฉพาะบนลำตัวของคันธนูได้แผ่ขยายออกไปถึงสายธนูแล้ว สายธนูสีทองในตอนนี้จึงดึงดูดสายตาอย่างมาก แสงสว่างอ่อนๆ กำลังอาบไล้อยู่รอบๆ คันธนูทำให้มันดูน่าเกรงขามมากขึ้นกว่าเดิม

อันที่จริงแล้ว เมื่อโจวเหว่ยชิงได้รับมณีสวรรค์ชุดที่ 2 นั้น ธนูราชันย์และทักษะที่กักเก็บไว้ทั้งหมดของเขาก็ได้วิวัฒน์ขึ้นเช่นกัน หรืออาจจะเรียกได้ว่าพวกมัน ‘เพิ่มระดับขึ้น’ และเนื่องจากเขามีทักษะกักเก็บไว้มากมายในมณีดวงแรก หัวเฟิงจึงบอกเขาว่าอย่าเพิ่งรีบกักเก็บทักษะลงในมณีดวงที่ 2 ของเขา

“ทำไมรวดเร็วเช่นนี้? เหว่ยน้อย ตอนนี้ปราณสวรรค์ของเจ้าอยู่ในระดับใด?” เฟิงหยูที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อพบว่าตอนนี้โจวเหว่ยชิงมีมณีถึง 2 ชุด เห็นดังนั้นเขาจึงอดถามออกไปไม่ได้

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าอยู่ในระดับที่ 11 ขาดเพียง 1 ระดับข้าก็จะผ่านขั้นพื้นฐานไปสู่ขั้นทะลวงพิภพแล้ว”

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงพูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าลึก 2 ครั้ง ทั้งฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูต่างก็มีสีหน้าแตกตื่น เพราะว่าหลังผ่านไปสองปี โจวเหว่ยชิงก็มีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากจะบอกว่าการที่เขาได้รับมณีชุดที่ 2 ภายใน 2 ปีนั้นเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากแล้ว การเพิ่มระดับปราณสวรรค์ถึง 4 ระดับในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นถือว่าเป็นอัจฉริยะอย่างหาตัวจับได้ยากมากกว่า พวกเขาไม่คาดคิดจริงๆ ว่าพลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงจะเพิ่มเป็นขั้นพื้นฐานระดับ 11 ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้! เขาเป็นแค่เด็กอายุ 16 ปีและมีพลังปราณสวรรค์อยู่ห่างจากขั้นทะลวงพิภพเพียงหนึ่งก้าว! และสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ หมายความว่าเขากำลังจะก้าวสู่ระดับปรมะ!  ช่วงเวลานี้จึงถือว่าเขาไม่ใช่พวกอ่อนหัดอีกต่อไป

เฟิงหยูพึมพำว่า “ตาแก่ฮูเหยียน ข้าเริ่มคิดแล้วว่าการให้เหว่ยน้อยเรียนรู้การสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์จากเจ้าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของข้า”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าข้าโชคดีหรือโชคร้ายที่เลือกเขาเป็นศิษย์”

ในขณะที่พวกเขากำลังโต้ตอบกันอยู่นั้น โจวเหว่ยชิงก็หยิบคัมภีร์หลุมบรรจุมณีขึ้นมาแล้ว ภายใต้การชี้นำของฮูเหยียนเอ้าป๋อ เขาหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ของเขาเข้าไปในม้วนคัมภีร์อย่างรวดเร็ว

ทันทีที่พลังปราณสวรรค์ของเขาไหลเวียนเข้าไปในก้อนทองคำขนาดเล็กก้อนนั้น จู่ๆมันก็เปล่งแสงสว่างออกมา ดูๆไปแล้วก็คล้ายกับว่ามณีแวววาวสีต่างๆกำลังอวดแสงเจิดจ้าแข่งกัน สีสันของพวกมันผสมกลมกลืนเข้าด้วยกัน จากนั้นคลื่นพลังรุนแรงขุมหนึ่งก็ดูเหมือนจะทะลักออกมาจนสามารถพุ่งทะลุผ่านผนังห้องออกไปได้

ฮูเหยียนเอ้าป๋อมีสีหน้าเคร่งขรึมขณะโบกมือขวาขึ้น ชั้นแสงสีเงินขยายออกจากร่างของเขาไปห่อหุ้มโจวเหว่ยชิงเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คลื่นพลังจากคัมภีร์หลุมบรรจุมณีรั่วไหลออกมา อย่างไรซะ แถวๆ นี้ก็มีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก หากคลื่นพลังจากคัมภีร์รั่วไหลออกมา มันอาจจะไปดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ และสร้างปัญหาให้กับพวกเขาได้โดยไม่จำเป็น “กดมันเข้าไปบนคันธนูราชันย์  เหนือหลุมบรรจุมณีเดิมประมาณหนึ่งนิ้ว” ฮูเหยียนเอ้าป๋อร้องบอกเขา

แสงวูบวาบปรากฏขึ้นในดวงตาของโจวเหว่ยชิงขณะที่เขาส่งปราณสวรรค์ไปหล่อเลี้ยงธนูราชันย์และคัมภีร์หลุมบรรจุมณี เขาใช้มือซ้ายกดคัมภีร์ลงไปที่คันธนูตามคำแนะนำของฮูเหยียนเอ้าป๋อ เมื่อของทั้งสองชิ้นสัมผัสกัน ร่างของโจวเหว่ยชิงก็พลันสั่นสะท้านเช่นเดียวกับคันธนูราชันย์ในมือ จากนั้นไม่นานเขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคัมภีร์หลุมบรรจุมณีเริ่มหลอมรวมเข้ากับธนูราชันย์และค่อยๆ เกิดหลุมบรรจุมณีขนาดเล็กขึ้นในตำแหน่งเดียวกัน

สาเหตุหนึ่งที่คัมภีร์หลุมบรรจุมณีมีราคาแพงมากเป็นเพราะอัตราความสำเร็จที่แน่นอนของมัน แม้ว่าคัมภีร์นี้จะสร้างได้ยากมาก แต่มันก็ค่อนข้างใช้งานง่ายและถือว่าเป็นสมบัติที่หายากมากเช่นกัน จะมีจ้าวมณีสวรรค์คนไหนไม่อยากมีหลุมบรรจุมณีเพิ่มบนศาสตรามณียุทธ์ของพวกเขาบ้าง? หากระดับปราณสวรรค์และจำนวนมณีสวรรค์เป็นเครื่องมือพื้นฐาน(hardware)สำหรับศาสตรามณียุทธ์ ทักษะที่เก็บไว้ก็คือชุดคำสั่ง(software) เครื่องมือพื้นฐานมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่บ่อยครั้งชุดคำสั่งก็เป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดผลลัพธ์ของการต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้ระหว่างจ้าวมณีสวรรค์ในระดับเดียวกัน

เมื่อโจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ว่าพลังปราณสวรรค์ของตนถูกใช้ไปประมาณ 1 ใน 3 ส่วนแล้ว เขาก็ได้ยินเสียง *ตึง* เบาๆ จากนั้นคัมภีร์หลุมบรรจุมณีก็ได้หลอมรวมเข้ากับธนูราชันย์อย่างสมบูรณ์ แสงสีทองตรงเข้าไปห่อหุ้มคันธนูทั้งหมดก่อนจะอาบไล้ไปรอบๆตัวมันทันที ในชั่วพริบตาต่อมาธนูราชันย์ก็หายไปและเปลี่ยนกลับเป็นหยกน้ำแข็งที่อยู่หมุนรอบข้อมือขวาของเขาอย่างเคย

“สำเร็จแล้ว!” ฮูเหยียนเอ้าป๋ออุทานด้วยความโล่งใจ แม้จะรู้ว่าตามทฤษฎีนั้นคัมภีร์หลุมบรรจุมณีของเขาจะต้องหลอมรวมสำเร็จแน่นอน ทว่าเขาก็ยังไม่มั่นใจจนกว่าจะได้เห็นกับตาว่ามันสำเร็จจริงๆ “หลังจากเพิ่มหลุมบรรจุมณีแล้วเจ้าจะไม่สามารถใช้งานธนูราชันย์ได้ไปอีก 3 วันเพราะต้องใช้ระยะเวลาฟื้นฟูเพื่อให้หลุมบรรจุมณีหลุมที่ 2 ประสานกันให้เสร็จสมบูรณ์”

โจวเหว่ยชิงตอบด้วยสีหน้าเบิกบานใจว่า “ ขอบคุณท่านอาจารย์!”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อโบกมือและพูดว่า “เจ้าเดินทางมาไกลแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าเองก็ต้องพักผ่อนเช่นกัน” เมื่อพูดจบ ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็เดินจ้ำอ้าวไปที่ห้องนอนของเขาทันที โจวเหว่ยชิงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแม้ฮูเหยียนเอ้าป๋อจะมีพลังปราณสวรรค์อยู่ในระดับสูงส่ง แต่ทว่าจังหวะการย่างก้าวของเขาก็ยังคงดูสั่นๆ แสดงให้เห็นว่า 2 ปีที่ผ่านมานี้เขาทุ่ม เทพลังกาย และพลังใจไปกับของชิ้นนี้มากแค่ไหน

เดิมทีโจวเหว่ยชิงคิดว่าด้วยความเหนื่อยล้าของฮูเหยียนเอ้าป๋อ เขาคงจะต้องหนีไปพักผ่อนอย่างน้อยสัก 2-3 วัน  แต่ทว่าในเช้าวันรุ่งขึ้นเขากลับถูกอาจารย์ปลุกตั้งแต่รุ่งสาง

หลังจากรับประทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็พาโจวเหว่ยชิงไปยังห้องที่เขาพักก่อนหน้านี้ ในห้องมีโต๊ะตัวเล็กตั้งอยู่ ข้างบนนั้นมีอุปกรณ์และวัตถุดิบต่างๆ วางเอาไว้เป็นจำนวนมาก โจวเหว่ยชิงพลันคิดกับตัวเองว่า อาจารย์นี่ช่างกระตือรือร้นจริงๆ!

เห็นได้ชัดว่าร่างกายของฮูเหยียนเอ้าป๋อยังไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดีนัก เขายังพักผ่อนไม่เพียงพอที่จะฟื้นตัวได้เต็มร้อย “เหว่ยน้อย ความสามารถของเจ้าโดดเด่นเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งไพฑูรย์ตาแมวสองสีที่มีทักษะธาตุชั้นยอดอยู่หลากหลายชนิดในนั้น อาจารย์ไม่อยากทำให้เจ้าต้องเสียเวลามากเกินไป ดังนั้นอาจารย์จึงหวังว่าเจ้าจะใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงต่อวันเพื่อฝึกสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์  บทเรียนของเจ้าจะเริ่มตั้งแต่วันนี้”

ทันทีที่เขาเริ่มพูดถึงม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ นัยน์ตาของฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ดูมีชีวิตชีวาพร้อมกับมีแสงระยิบระยับเกิดขึ้นในนั้น “ก่อนที่ข้าจะสอนวิธีสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ให้กับเจ้า ข้าขอถามเจ้าหนึ่งอย่าง เจ้ารู้หรือไม่ว่ามณีพลังของพวกเราคืออะไร? หรือลองใช้ประโยคง่ายๆ อธิบายมณีพลังมาซิ”

โจวเหว่ยชิงกรุ่นคิดชั่วขณะและพูดว่า “มณีพลังเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายพวกเรา”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อยิ้มจางๆ และพูดว่า “เจ้าพูดถูก แท้จริงแล้วมณีพลังเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายพวกเรา พวกมันมีชีวิต ไม่ใช่แค่มณีธรรมดาๆ หรือก้อนหินก้อนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นมณียุทธ์หรือมณีธาตุ เมื่อมณีพลังของเราตื่นขึ้น แท้จริงแล้วมันคือแก่นชีวิตแต่กำเนิดของเราที่ถูกปลดผนึกออกมาเพื่อมอบพลังให้กับเรา ข้าจะพูดถึงมณีธาตุในภายหลัง เนื่องจากตอนนี้ข้าจะให้ความสำคัญกับมณียุทธ์ก่อน สำหรับข้าแล้ว มณียุทธ์ก็เหมือนกับเลือดเนื้อ กระดูก อวัยวะภายใน หรือแม้แต่ตัวอ่อนทารกในร่างของเรา สำหรับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ สิ่งนี้จะเป็นตัวการทำให้อวัยวะพวกนั้นเติบโตขึ้นเป็นรูปร่างสุดท้ายที่เราต้องการ กล่าวได้ว่าเราเป็นเหมือนช่างฝีมือที่ป้อนกระดาษเขียนโครงร่างลงในมณียุทธ์  ทำให้มันก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างตามที่เราออกแบบเอาไว้และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้มันปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนอยู่ออกมาได้ดีที่สุด สำหรับการออกแบบเช่นนี้จำเป็นต้องมีการป้อนพลังปราณสวรรค์ธาตุมิติลงไปด้วย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมทักษะธาตุพื้นฐานของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์จึงเป็นธาตุมิติ”

“เจ้ายังจำได้ใช่ไหมว่าข้ารู้สึกตื่นเต้นเพียงใดตอนที่รู้ว่าเจ้ามีทั้งทักษะธาตุมิติและธาตุลม นั่นเป็นเพราะทักษะธาตุลมจะช่วยให้การสร้างคัมภีร์ของเจ้าเร็วขึ้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะธาตุลมยังช่วยให้เจ้าควบคุมงานของเจ้าได้ดีกว่ามณียุทธ์ประเภทความว่องไวเนื่องจากเจ้าสามารถควบคุมมันได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น ทุกครั้งที่เจ้าสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ เจ้าจะสามารถทำงานเสร็จได้เร็วมากกว่าคนอื่น และเจ้าก็ยังสามารถเร่งความเร็วขึ้นได้อีกหากผ่านฝึกฝนให้มากขึ้น ซึ่งนั่นก็จะเหมือนเจ้าลงแรงทำงานไปเพียงครึ่งเดียว แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าถึง 2 เท่า”

“เมื่อเหล่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ฝึกฝนการสร้างคัมภีร์พวกนี้ พวกเขาจะถูกปิดกั้นด้วยความเข้าใจผิดบางอย่าง นั่นคือการมุ่งมั่นปรับปรุงคุณภาพแต่ไม่สนใจเรื่องความเร็ว อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วข้ารู้สึกว่าวิธีนี้ไม่ถูกต้อง จากมุมมองของข้านั้นคุณภาพและความเร็วมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ตัวอย่างเช่น แม้ว่าเจ้าจะสามารถสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่ดีที่สุดขึ้นมาได้ แต่ชั่วชีวิตนี้เจ้าสร้างได้เพียงชิ้นเดียว แล้วนั่นจะนับเป็นประโยชน์อะไรได้? แม้ว่าเจ้ามณีจะมีจำนวนน้อย แต่ก็ไม่ได้ถือว่าน้อยเกินไป อีกทั้งการได้มาซึ่งศาสตรามณียุทธ์ก็มีข้อแม้มากมายเหลือเกิน จ้าวมณีหลายคนไม่อาจหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์กับมณีของพวกเขาได้ทั้งหมดเพราะไม่มีเงินพอซื้อคัมภีร์พวกนั้น”

เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้ เสียงของฮูเหยียนเอ้าป๋อก็แข็งกร้าวขึ้น “ความฝันของข้าคือวันหนึ่งจ้าวมณีทุกคนจะมีม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ใช้กันอย่างเพียงพอ…”

“เหว่ยน้อย ตอนนี้ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับพื้นฐานของการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์…”

…………………………

Related

โจวเหว่ยชิงตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นจึงพูดว่า “อาจารย์ฮูเหยียน เหตุใดท่านอ้วนขึ้นขนาดนี้! แล้วที่ว่าข้านำโชคมาให้นั่นหมายความว่าอะไรหรือ?” เมื่อโจวเหว่ยชิงมองไปที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อ เขาก็ถามขึ้นมาอย่างสงสัย

หลังแยกกันไปได้ 2 ปี เฟิงหยูนั้นไม่ได้ดูแตกต่างไปจากเดิมเท่าไหร่ แต่ทว่าฮูเหยียนเอ้าป๋อกลับดูแก่ชราลงอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมของเขาขาวโพลนเต็มศีรษะ อีกทั้งยังมีรอยดำคล้ำอยู่ใต้ตาทั้งสองข้าง

เฟิงหยูกล่าวว่า “เขาหมายความว่าการมาถึงของเจ้าเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป พอเด็กเหลือขออย่างเจ้ามาถึง เขาก็สร้างคัมภีร์หลุมบรรจุมณีสำเร็จพอดี เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะไม่ใช่เป็นตัวนำโชคได้อีกหรือ?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า  “นั่นสำหรับข้าใช่หรือไม่!? อาจารย์ฮูเหยียน ข้ามีมณีชุดที่ 2 แล้วนะ แต่ข้าก็ยังทำตามคำแนะนำของท่าน ไม่ได้หลอมรวมมณียุทธ์กับศาสตรามณียุทธ์ใดๆ เลย!”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อยกมือขึ้นลากโจวเหว่ยชิงเข้ามาในลานบ้านขณะที่เฟิงหยูรีบเดินไปปิดประตูตามหลังอย่างรวดเร็ว “เข้ามาก่อนแล้วพวกเราค่อยคุยกัน”

โจวเหว่ยชิงเดินตามทั้งสองคนเข้าไปในห้องทำงานของฮูเหยียนเอ้าป๋อ ก่อนจะพบว่าทั่วทั้งห้องมีเศษกระดาษและวัตถุดิบที่ไม่รู้จักกระจายอยู่เกลื่อนกลาดไปเต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งของพวกนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์อีกด้วย

โจวเหว่ยชิงมองใบหน้าอวดความภาคภูมิใจของฮูเหยียนเอ้าป๋อ จากนั้นก็ถามอย่างสงสัยว่า “อาจารย์ ท่านเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์อยู่แล้ว ทำไมถึงยังตื่นเต้นเวลาสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์สำเร็จล่ะ?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อร้องตวาดและพูดว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร! ข้าไม่ได้สร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ธรรมดาๆ! ดูนี่!!” พูดจบเขาก็หงายมือ จากนั้นก้อนทองขนาดเล็กเท่าเล็บมือก็ปรากฏขึ้นมา

เมื่อมองแวบแรก ก้อนทองคำทรงกลมลูกนั้นไม่ได้ดูน่าประทับใจอะไรนัก แต่เมื่อโจวเหว่ยชิงตรวจสอบอย่างละเอียด เขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก

ผิวด้านบนของก้อนทองนั้นมีลวดลายเส้นโค้งถูกแกะสลักจนบางละเอียดและนูนเด่นขึ้นมาจากพื้นผิวทองคำ ดูเหมือนพวกมันจะมีกลไกบางอย่างเชื่อมต่อกัน เห็นได้ชัดจากมณีขนาดเล็กจำนวนมากที่ฝังอยู่ท่ามกลางลวดลายกลไกเหล่านั้น ทั้งทับทิม  ไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวทอง โอปอลสีดำของจ้าวมณีธาตุมืด และยังมีมณีชนิดอื่นๆ ที่โจวเหว่ยชิงไม่คุ้นเคยอยู่อีกมากมาย

บนก้อนทองคำขนาดเล็กนั้นมีมณีขนาดกะจ้อยร่อยจำนวนมากกว่าร้อยชิ้นฝังอยู่ในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร โจวเหว่ยชิงสัมผัสได้ว่ามีคลื่นพลังแปลกๆกำลังหมุนเวียนอยู่ในก้อนทองคำนี้ แม้เขาจะไม่ทราบราคาของมัน แต่เพียงแค่ฝีมืออันยอดเยี่ยมของผู้สร้างเพียงอย่างเดียวก็ควรค่าแก่การยกย่องแล้ว “อาจารย์ นี่ช่างเป็นงานฝีมือที่ดีจริงๆ มันมีไว้เพื่ออะไรหรือ?” โจวเหว่ยชิงเงยหน้าขึ้นมองฮูเหยียนเอ้าป๋อ

ฮูเหยียนเอ้าป๋อยื่นอกรับอย่างภาคภูมิใจและพูดด้วยน้ำเสียงพออกพอใจว่า “นั่นเรียกว่าคัมภีร์หลุมบรรจุมณี อย่าเข้าได้ใจผิดเพราะขนาดของมันเชียว แท้จริงแล้วไอ้เจ้านี่มีมูลค่ามากมายมหาศาลหรือเรียกได้ว่าหาค่ามิได้เลยทีเดียว ในหอประมูลนั้น คัมภีร์หลุมบรรจุมณีนี้จะมีมูลค่าอย่างน้อย 1,000,000 เหรียญทอง ครั้งก่อนที่เจ้ามาที่นี่ เจ้าล้วนเห็นราคาของม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 3 ชิ้นของข้า แต่แม้จะนำของทั้ง 3 ชิ้นนี้รวมกันก็ยังมีมูลค่าน้อยกว่าคัมภีร์หลุมบรรจุมณีอยู่ดี! แค่ค่าวัตถุดิบที่ใช้ในการสร้างสิ่งนี้เพียงอย่างเดียวก็ปาไป 200,000 เหรียญทองแล้ว นั่นยังไม่รวมถึงจำนวนเงินยิบย่อยที่ข้าต้องเสียไปในช่วง 2 ปีมานี้อีก ซึ่งนั่นน่าจะมากกว่า 100,000 เหรียญทองเลยทีเดียว”

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างสงสัย “มันดูแตกต่างจากม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์อันก่อนหน้านี้มากเลย!”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวอย่างขบขันว่า “เจ้าเด็กโง่เง่า แน่นอนว่าต้องไม่เหมือนกันเพราะนี่ไม่ใช่ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ มันคือคัมภีร์หลุมบรรจุมณี ตามชื่อที่ก็บอกอยู่แล้วว่าช่วยให้เจ้าสามารถสร้างหลุมบรรจุมณีเพิ่มบนศาสตรามณียุทธ์ได้”

“ยกตัวอย่างเช่น ธนูราชันย์ของเจ้า เดิมทีมันมีหลุมบรรจุมณีหลุมเดียว นั่นหมายความว่าเจ้าจะสามารถบรรจุมณีธาตุลงไปได้เพียงดวงเดียว ด้วยคัมภีร์หลุมบรรจุมณีนี้ เจ้าจะสามารถเพิ่มหลุมบรรจุมณีได้อีกหนึ่งหลุม ทำให้เจ้าสามารถบรรจุมณีธาตุได้ 2 ดวง ด้วยเหตุนี้ เมื่อเจ้าโจมตีคู่ต่อสู้ เจ้าจะสามารถใช้ทักษะธาตุได้สองชนิด…จากนั้นข้าก็คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มแล้วใช่ไหม? สิ่งนี้เป็นประโยชน์สำหรับเด็กเหลือขออย่างเจ้าเนื่องจากเจ้ามีทักษะธาตุมากมาย การมีหลุมบรรจุมณีหลุมที่ 2 บนศาสตรามณียุทธ์นั้นจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้เจ้ามากกว่าการมีหลุมบรรจุมณีหลุมเดียวอย่างน้อย 10 เท่า”

โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย “ทำไมท่านไม่สร้างศาสตรามณียุทธ์ที่มีหลุมบรรจุมณี 2 หลุมไปเลยล่ะ?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อมองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อนก่อนจะพูดว่า “เจ้าว่าข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อนหรือ? นั่นก็เป็นเพราะข้าไม่อาจทำเช่นนั้นได้ต่างหาก ในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีหลุมบรรจุมณี 2 หลุม ผู้สร้างจะต้องเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่อยู่ในระดับเทวะเป็นอย่างน้อย กล่าวง่ายๆก็คือผู้สร้างจะต้องเป็นจ้าวมณีสวรรค์ ดังนั้นข้าจึงไม่อาจทำได้ แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะสามารถทำได้ในอนาคต ศาสตรามณียุทธ์ทุกชิ้นของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะเปรียบได้กับอาวุธของเทพชั้นสูงทั้งนั้น เจ้าคิดว่าอาวุธพวกนั้นหามาได้ง่ายๆ รึไง?”

“รับไป นำสิ่งนี้ไปใช้กับธนูราชันย์ของเจ้า” ขณะที่พูดเช่นนั้น ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ได้ส่งคัมภีร์หลุมบรรจุมณีให้กับโจวเหว่ยชิงแล้ว

โจวเหว่ยชิงรู้สึกตกละลึง เขากล่าวว่า “อาจารย์ นี่มันมีค่ามากเกินไป ข้าไม่อาจรับเอาไว้ได้” แม้ว่าเขาจะคิดว่าศิษย์รับของอาจารย์นั้นถูกต้องแล้ว แต่คัมภีร์หลุมบรรจุมณีนี้มีค่ามากเกินไป ไม่ต้องพูดถึงราคาที่มากกว่า 1,000,000 เหรียญทองของมันเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่ฮูเหยียนเอ้าป๋อใช้เวลาทุ่มเทสร้างมันขึ้นมากว่า 2 ปี เจ้าสิ่งนี้ก็ไม่อาจนับมูลค่าได้อยู่แล้ว

“เจ้าโง่! นี่เจ้าไม่เข้าใจอีกเหรอ? บิดาสร้างไอ้สิ่งนี้ขึ้นมาให้เจ้าโดยเฉพาะอย่างไรเล่า! ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้ายอมเสียทั้งเวลา ทั้งแรงกาย และความพยายามมากมายไปเพื่ออะไร? ยังไงเสียข้าก็กลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการสร้างศาสตรามณียุทธ์ธรรมดาๆ จะไม่ง่ายและสร้างกำไรให้ข้ามากกว่าหรือ?” ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวอย่างโกรธเคือง

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเบิกกว้าง “อาจารย์ หมายความว่า ท่านสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อข้าโดยเฉพาะ?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อพยักหน้าและกล่าวว่า “เนื่องจากข้าห้ามเจ้าหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ชนิดอื่นกับมณียุทธ์ของเจ้า ดังนั้นข้าจึงต้องช่วยให้เจ้าสามารถปกป้องตัวเองได้มากพอ หากเจ้าเพิ่มหลุมบรรจุมณีให้กับธนูราชันย์ของเจ้า แม้ว่าพลังของมันอาจจะอาจเทียบไม่ได้กับอาวุธระดับเทพเจ้าของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะ  แต่อย่างน้อยพลังของมันก็น่าจะยังใกล้เคียงอยู่บ้าง เฮ้อ เสียดายที่ข้าไม่มีแรงเหลือพอจะสร้างใหม่อีกอันแล้ว มิฉะนั้นเจ้าอาจจะได้มีหลุมบรรจุมณีหลุมที่ 3! หึ!”

โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นแน่วแน่ เขาคุกเข่าลงต่อหน้าฮูเหยียนเอ้าป๋อ รับคัมภีร์หลุมบรรจุมณีมาด้วยท่าทางอย่างเคร่งขรึมและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้า โจวเหว่ยชิง สาบานด้วยมณีสวรรค์ของข้า ในชีวิตนี้ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไร ข้าจะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะหรือสูงกว่านั้นให้ได้ เพื่อทำตามความปรารถนาของอาจารย์ฮูเหยียนให้สำเร็จ หากข้าทำสิ่งนี้ไม่สำเร็จ ขอให้ถูกสวรรค์ลงโทษ!”

…………………………………

Related

โจวเหว่ยชิงค่อนข้างตกใจเพราะสิ่งที่ถังเซียนพูดนั้นถูกต้องทั้งหมด หลังจากทดทดสอบมาหลายครั้ง เขาก็พบว่าต้องรอ 10 วินาทีหลังจากใช้ทักษะสัมผัสมืดเขาจึงจะสามารถใช้มันอีกครั้ง นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการขาดแคลนพลังปราณสวรรค์ แต่เป็นช่วงเวลาฟื้นฟูหลังจากใช้ทักษะธาตุมืด

ถังเซียนกล่าวต่อไป “สำหรับเจ้าในตอนนี้ 10 วินาทีอาจดูสั้นมาก แต่เมื่อระดับพลังของเจ้าเพิ่มสูงขึ้น 10 วินาทีก็มากพอจะตัดสินความเป็นความตายของเจ้าได้ 10 ครั้งแล้ว ยิ่งเจ้ามีทักษะการควบคุมมากขึ้นเท่าไหร่ เจ้าก็จะสามารถใช้ทักษะประสานงานที่คาบเกี่ยวกันได้ดีขึ้น สามารถพลิกแพลงใช้ทักษะต่างๆ ในสนามรบกับศัตรูของเจ้าได้ดีกว่าเดิม หากเจ้าสามารถควบคุมศัตรูของเจ้าได้ เจ้าก็จะเอาชนะหรือฆ่าพวกมันได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าพวกมันจะแข็งแกร่งแค่ไหน ตราบใดที่ถูกเจ้าควบคุมเอาไว้อย่างสมบูรณ์ มันก็จะไม่มีแม้แต่โอกาสได้โต้กลับด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม จ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังก็มักจะมีการป้องกันที่แข็งแกร่งมากเช่นกัน หากเจ้าควบคุมและโจมตีมันแค่ครั้งเดียว เจ้าก็อาจจะยังไม่สามารถฆ่ามันได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าจะต้องควบคุมพวกมันด้วยทักษะหลายๆ ชนิด จำไว้ แม้ว่าสหายร่วมรบจะสำคัญ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อถือได้เท่ากับตัวเอง อย่าฝากชีวิตไว้ในมือคนอื่น ถ้าเจ้าต้องการจะแข็งแกร่ง เจ้าต้องเรียนรู้วิธีควบคุมตัวเอง”

“ควบคุมตัวเอง” โจวเหว่ยชิงทวนคำพูด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับมีประตูบานหนึ่งถูกเปิดออกในใจของเขา คำว่า ‘ควบคุมตัวเอง’ นั้นดูเรียบง่าย แต่ก็มีความลับที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่มากมาย อีกทั้งยังความหมายที่ล้ำลึกซ่อนอยู่เบื้องหลัง

จู่ๆ ถังเซียนก็เคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน เธอยกมือขึ้น จากนั้นแสงสีเทาก็พุ่งตรงมาที่โจวเหว่ยชิง เขายกมือขึ้นรับโดยไม่รู้ตัว เมื่อคว้ามันได้เขาก็พบว่ามันเป็นแหวนสีดำวงหนึ่ง เมื่อเขาตรวจสอบอย่างใกล้ชิดก็พบว่าสีของมันเป็นสีดำสนิทไม่สะท้อนแสงใดๆ เลย อีกทั้งยังดูค่อนข้างธรรมดามาก

ถังเซียนลูบผมของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างอ่อนโยนขณะที่เธอพูดว่า “อ้วนน้อย แหวนนั้นเรียกว่า ‘แหวนปกปิดตัวตน’ และถือว่าเป็นสินสอดของปิงเอ๋อร์ที่ข้ามอบให้เจ้า หากเจ้าสวมมันที่นิ้วนางข้างซ้ายและหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์บางส่วน เจ้าจะสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของไพฑูรย์ตาแมวสองสีให้กลายเป็นทักษะธาตุบางชนิดที่เจ้ามีได้ นั่นจะสามารถช่วยปกปิดตัวตนของไพฑูรย์ตาแมวสองสีได้”

โจวเหว่ยชิงรู้สึกพอใจมาก ของชิ้นนี้อาจจะดูไร้ประโยชน์สำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ทว่ามันกลับเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับเขา นี่ไม่เพียงแต่จะสามารถป้องกันเขาจากปัญหาที่เกิดขึ้นหากมีคนค้นพบไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขา แต่มันยังสามารถใช้หลอกล่อศัตรูที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ ทำให้พวกมันประหลาดใจด้วยทักษะธาตุชนิดอื่นที่พวกมันคาดไม่ถึง ราวกับว่าของชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขา!

“ท่านป้า…เอ่อไม่สิ ท่านแม่ เพราะนี่คือสินสอดของปิงเอ๋อร์ เพราะฉะนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะขอรับ” โจวเหว่ยชิงสวมมันที่นิ้วนางอย่างรวดเร็วด้วยความยินดี ทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นมากอดแขนมารดาเอาไว้ด้วยความเขินอาย

ถังเซียนยิ้มจางๆ และพูดว่า “อ้วนน้อย จำไว้ ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าทำร้ายปิงเอ๋อร์ ข้าจะเอาแหวนวงนี้คืนพร้อมกับชีวิตของเจ้า”

แม้ว่าเธอจะยิ้มในขณะที่พูด แต่โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลังและทำได้เพียงแค่ยิ้มโง่เง่าไม่ตอบอะไร

ถังเซียนกล่าวว่า “เจ้าทั้งสองคนพูดคุยกันสักพักเถิด ข้าจะเข้าไปข้างในก่อน” ขณะที่พูด เธอก็จ้องไปที่โจวเหว่ยชิงก่อนจะเดินกลับเข้าไปข้างใน

ทันทีที่ถังเซียนจากไป โจวเหว่ยชิงก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เขาขยับเข้าไปด้านข้างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เพียงไม่กี่ก้าวและโอบกอดเธอเอาไว้ แต่ทว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับร้องออกมาด้วยความตกใจ “ปล่อยข้าเร็ว เดี๋ยวท่านแม่จะเห็น!”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ท่านแม่ของพวกเราได้ยืนยันความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าแล้ว นางคงไม่ว่าอะไรหากเห็นพวกเรากอดกัน มา มามอบจูบสามีของเจ้าหน่อย”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นปิดปากของเขา “หยุดเล่นได้แล้ว อ้วนน้อย เฮ้อ ให้ข้ากอดเจ้าสักพักได้ไหม”

โจวเหว่ยชิงชะงัก สายตาของเขาดูนุ่มนวลขึ้นขณะวางเธอลงกับพื้นและโอบกอดเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยน ต่อมาเขาก็บอกเธอถึงเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวังและแผนการณ์ของเขา

“หากเจ้าปฏิเสธงานแต่งกับองค์หญิง เจ้าจะผ่านองค์จักรพรรดิและบิดาของเจ้าไปได้อย่างไร?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ปิงเอ๋อร์ ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแยกตัวออกมาและสร้างประโยชน์ให้กับอาณาจักร ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่มีวันแต่งงานกับตี้ฝูหยา ข้าชอบเจ้ามากกว่า ไม่ใช่เพราะเจ้างดงามกว่านาง แต่เป็นเพราะนิสัยของเจ้าดีกว่านางมาก ในใจของข้า เจ้าดีมาก เจ้าสมบูรณ์แบบสำหรับข้า ปิงเอ๋อร์ ข้ารักเจ้า” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สั่นสะท้าน เธอสวมกอดเขาแน่นขึ้น

โจวเหว่ยชิงอยู่ที่นี่เกือบ 4 ชั่วโมงก่อนจากไปอย่างไม่เต็มใจ อย่างไรก็ตาม ก่อนจะไปเขาก็ได้ส่งแหวนมิติให้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ยังไงซะ เธอก็ต้องมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเฟยหลี่เพียงลำพังและนั่นก็ยังกินเวลาหลายเดือน เขาคงจะรู้สึกดีขึ้นหากเธอมีต้าหวงและเอ้อหวงเดินทางไปด้วยเพื่อคอยปกป้องเธอตลอดการเดินทาง

หลังออกจากบ้านของปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็มุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อบอกลามารดาของเขาและเก็บข้าวของ เขาสะพายคันธนูอุษาดำไว้บนหลังและออกจากเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ไปยังอาณาจักรเฟยหลี่

ระดับปราณในปัจจุบันของโจวเหว่ยชิงแตกต่างจากในอดีตอย่างมาก ทันทีที่เขาออกจากเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ หลุมดำพลังปราณทั้ง 11 บริเวณจุดตายที่เขาทะลวงไปทั้งหมดก็เริ่มหมุนด้วยความเร็วสูงสุด ดึงพลังปราณจากชั้นบรรยากาศภายนอกเข้ามาอย่างตะกละตะกลามเพื่อเติมเต็มพลังปราณในร่างของเขา เขาพุ่งเข้าไปในป่าดารา ใช้เส้นทางลัดมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเฟยหลี่ ในเวลานี้จุดตายทั้ง 6 ของวิชาเทพอมตะส่วนที่ 2 ได้ถูกเขาทะลวงไปแล้ว

วิชาเทพอมตะส่วนที่ 2 คือจุดตาย 8 จุดที่แผ่นหลัง จุดตายที่เขาทะลวงไปแล้วมีดังต่อไปนี้

จุดตายเฟ่ยซู อยู่บนปุ่มกระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 3

จุดตายเจวี๋ยหยิน อยู่บนปุ่มกระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 4

จุดตายซินฉวย อยู่บนปุ่มกระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 5

จุดตายเจี่ยนชู อยู่บนปุ่มกระดูกสันหลังส่วนเอวชิ้นที่ 2

จุดตายหมิงเหมิน อยู่บนปุ่มกระดูกสันหลังส่วนเอวระหว่างชิ้นที่ 2 และ 3

และจุดตายจื่อซีที่อยู่ห่างจากจุดตายหมิงเหมินไป 3 นิ้ว

เมื่อเทียบกับจุดตายทั้ง 5 ของวิชาส่วนแรกแล้ว จุดตายในส่วนที่สองนั้นถือว่าอันตรายกว่ามาก มีหลายจุดที่หากทะลวงแล้วสามารถทำให้เสียชีวิตได้ทันที ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ แม้ระดับพลังของโจวเหว่ยชิงจะดูเหมือนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบตามทันซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ทุกครั้งที่เขาทะลวงจุดตาย มันก็คือการต่อสู้ระหว่างความเป็นความตายของเขานั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เขาต้องเผชิญก็ทำให้เขารู้สึกราวกำลังจะตายเสียให้ได้ มันเป็นความทรมานที่เขารู้สึกรวดร้าวไปทุกส่วน โชคดีที่ทุกครั้งที่เขาทะลวงจุดตาย เขาจะมีซ่างกวนปิงเอ๋อร์คอยอยู่ใกล้ๆ เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยให้เขาเสมอ เมื่อเขาทะลวงผ่านจุดตายหมิงเหมิน ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็ทำให้เขาคลั่งจนกัดลิ้นของตัวเองแทบขาด ในเวลานั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นคนส่งแขนของเธอเข้าปากเขาเพื่อไม่ให้เขาทำเช่นนั้น จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงเห็นรอยกัดจางๆ บนแขนของเธอจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นอยู่

วิชาเทพอมตะนั้นง่ายต่อการฝึกฝนและให้ผลลัพธ์รวดเร็วมาก แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นคือข้อเสียของมัน อย่างไรก็ตาม ข้อดีของมันก็เห็นได้ชัดมากเช่นกัน ในขณะนี้หลุมดำพลังปราณทั้ง 11 จุดของเขากำลังหมุนไปพร้อมๆ กัน ระดับปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงจึงเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเดิมหลายเท่า แม้ว่าในตอนนี้ปริมาณพลังปราณสวรรค์ที่เขาต้องการจะมากขึ้น แต่อัตราการเพิ่มขึ้นของปราณสวรรค์ก็ไม่ได้ช้าลง อีกทั้งประโยชน์สูงสุดของมันก็คือความเร็วในการฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ เมื่อเขาใช้ทักษะระหว่างการต่อสู้ พลังปราณสำรองของเขาอาจจะอยู่ได้นานพอๆ กันกับอาจารย์ของเขา มู่เอิน ผู้ซึ่งมีพลังปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพอยู่ในระดับที่ 5 แล้ว ดูจากข้อได้เปรียบนี้ ทุกคนก็พอจินตนาการได้แล้วว่าวิชาเทพอมตะนั้นร้ายกาจเพียงใด

เมื่อเขาทะลวงจุดตายได้มากขึ้น เกราะเทพอมตะของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเช่นกัน และด้วยความเร็วของหลุมดำพลังปราณทั้ง 11 จุด พลังการป้องกันของเกราะนี้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเกราะนี้จะถูกกระตุ้นให้เปิดใช้เองเมื่อถูกโจมตี ตอนนี้ร่างของเขาจึงแทบจะต้านทานลูกศรธรรมดาได้ทุกประเภท

“เจ้าแมวอ้วน ข้าไม่ได้บอกให้เจ้ารีบขยายตัวให้ใหญ่ขึ้นแล้วให้ข้าขึ้นขี่หรอกหรือ?” โจวเหว่ยชิงบิดหูของเสือขาวตัวน้อยที่งีบหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างสบายอกสบายใจ

“กรรรร!” เจ้าแมวอ้วนส่งเสียงขู่เล็กน้อย จากนั้นมันก็ทำท่าทีไม่สนใจเขาและกลับไปพักผ่อนต่อ

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างโกรธเคือง “ไอ้เจ้าตัวน้อยนี่! เจ้าขยายร่างให้ใหญ่ขึ้นได้แล้ว! ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว เจ้าควรจะรับใช้เจ้านายของเจ้าบ้าง!  2 ปีนี้มานี้ข้าเลี้ยงดูเจ้าอย่างดีและยังพาเข้านอนด้วยทุกคืน แต่เจ้าก็ยังกล้าเพิกเฉยข้า! ฮึ่ม ระวังตัวให้ดีเถิด บิดาจะทุบตีเจ้า! ดูต้าหวงและเอ้อหวงสิ อย่างน้อยข้าก็ขี่พวกมันได้ เทียบกับพวกมันแล้ว เจ้าน่ะไร้ประโยชน์มาก!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าแมวอ้วนก็เบิกตาด้วยความโมโห มันส่งเสียงขู่อย่างโกรธเกรี้ยว ราวกับจะบอกว่าเจ้ากล้าเปรียบเทียบข้ากับหมีโง่สองตัวนั้นได้อย่างไร!

อนิจจา ท้ายที่สุดแล้วโจวเหว่ยชิงไม่อาจทำอะไรเจ้าแมวอ้วนได้ นับตั้งแต่วันที่เจ้าหนูน้อยช่วยชีวิตพวกเขา มันก็ไม่เคยเปลี่ยนร่างอีกเลย แม้เขาจะบอกว่าเลี้ยงมันอย่างดี แต่นั่นก็ยังขัดต่อความรู้สึกผิดชอบของเขามาก สองปีที่ผ่านมา เจ้าตัวน้อยนี้ไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลยแม้แต่น้อย ทั้งมันยังไม่ได้เติบโตขึ้นเลยด้วยซ้ำ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่เห็นได้ชัดคือการเปลี่ยนแปลงของเส้นขนของมัน ตอนนี้โจวเหว่ยชิงเริ่มคุ้นเคยกับการมีมันอยู่เคียงข้าง การได้เย้าแหย่และเล่นกับมันก็กลายเป็นสิ่งที่เขาชอบทำในยามว่างเช่นกัน

7 วันให้หลัง ณ เมืองภูเขาลอยฟ้า

หลายวันที่โจวเหว่ยชิงเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด ในที่สุดเขาก็เดินทางมายังเมืองได้อย่างง่ายดายเพราะคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี  ก่อนหน้านี้ขณะที่เขาอยู่ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เขาได้เขียนจดหมายถึงฮูเหยียนเอ้าป๋อเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขาเนื่องจากเกรงว่าอาจารย์จะคิดว่าเขายังอยู่ในค่ายทหารและไปตามหาเขาที่นั่น หลังจากเข้าสู่เมืองภูเขาลอยฟ้าแล้ว  โจวเหว่ยชิงก็รีบมุ่งหน้าไปยังลานเล็กๆ ที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อพักอยู่ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะเคาะประตู เขาก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาอย่างภาคภูมิใจ

“วะฮ่าๆ วะฮ่าๆ! หลังจากผ่านไปสองปี ในที่สุดบิดาก็ทำสำเร็จ! ใครบอกว่ามีเพียงอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะเท่านั้นที่สามารถสร้างคัมภีร์หลุมบรรจุมณีได้! บิดาก็สำเร็จเช่นกัน! วะฮ่าๆ นี่ถ้าหากข้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ล่ะก็ ข้าคงกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะไปนานแล้ว!”

“ตาแก่ฮูเหยียน เจ้าทำสำเร็จจริงๆ เหรอ?” น้ำเสียงตื่นเต้นอีกเสียงดังออกมา

“ใช่! ในที่สุด ข้าก็ทำสำเร็จหลังจากผ่านไปสองปี ไอ้เจ้ากระดาษแผ่นน้อยๆ นี้ทำยากกว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มากทีเดียว”

โจวเหว่ยชิงเคาะประตูพลางคิดกับตัวเอง: อะไรทำให้อาจารย์ฮูเหยียนตื่นเต้นขนาดนี้? ใช้เวลาสองปีในการสร้างม้วนคัมภีร์? ไอ้เจ้าคัมภีร์นั่นต้องมีอะไรดีแน่ๆ! เขาอาจจะทำให้ข้า? ฮ่าๆ!

“เจ้าไม่เห็นป้ายที่ประตูหรือ?” น้ำเสียงฉุนเฉียวของฮูเหยียนเอ้าป๋อดังออกมาจากภายใน

โจวเหว่ยชิงหันไปมองก็เห็นป้ายที่แขวนอยู่ข้างประตู มันเขียนเอาไว้ว่า“ ไม่ขายศาสตรามณียุทธ์”

“อาจารย์ฮูเหยียน ข้าเอง โจวเหว่ยชิง!” เขาทำได้เพียงแค่ตะโกนออกมาอย่างช่วยไม่ได้

น่าแปลกที่ทันทีที่เขาตะโกนออกไป ในบ้านก็เกิดความเงียบขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีประตูก็เปิดออก ใบหน้าประหลาดใจของฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูก็โผล่ออกมา ฮูเหยียนเอ้าป๋อกระพริบตาใส่เขาและพูดว่า “เด็กเหลือขอตัวน้อย เจ้าเป็นตัวนำโชคหรือ?”

……………………………

Related

ดวงตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เผยความสับสนออกมา แต่ในที่สุดเธอก็ยืนยันสิ่งที่ตนคิดอีกครั้ง “อ้วนน้อย ท่านแม่เป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ของข้า เจ้าจะให้อภัยข้าได้ไหม?”

โจวเหว่ยชิงโอบเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน ครั้งนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ขัดขืนและเอนตัวเข้าหาอ้อมกอดของเขาอย่างว่าง่าย “อ้วนน้อย ข้าก็ไม่อยากจากเจ้าไปเช่นกัน นับตั้งแต่ที่พวกเราพบกัน แม้ว่าเจ้าจะทำให้ข้าโกรธอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่กี่ปีที่อยู่กับเจ้าข้าก็คุ้นเคยกับการมีเจ้าอยู่ข้างกายเสียแล้ว แม้ว่าเจ้าจะกลัวตายบ้างเล็กน้อย ไร้ยางอายนิดหน่อย อีกทั้งยังเจ้าเล่ห์ แต่ข้าก็รู้ว่าภายในใจของเจ้า เจ้าเป็นคนที่มีจิตใจดี หากความรู้สึกของพวกเราเป็นของจริง การต้องแยกจากกันก็ไม่สำคัญมากเท่าไหร่หรอก เมื่อเราไปถึงที่โรงเรียนแล้ว พวกเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกหรือ?”

โจวเหว่ยชิงวางศีรษะไว้บนกลุ่มผมของเธอพลางพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ ข้าจะขัดขวางความกตัญญูของเจ้าได้อย่างไร? หากข้าไม่ได้ให้สัญญาไว้กับอาจารย์ฮูเหยียน…ข้าก็ควรใช้เวลาอยู่กับท่านแม่ของข้าให้มากขึ้นเช่นกัน ช่วงที่ข้าไม่อยู่ หากเจ้าว่างก็ช่วยไปเยี่ยมเยียนท่านแม่ของข้าด้วยได้ไหม? เอ่อ ไม่ใช่สิ ท่านแม่ของเรา ท่านพ่อมักจะอยู่ในแนวหน้าและนางก็เหงามากด้วย”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าและพูดว่า “อืม เจ้าไปเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็จะยิ่งตัดใจแยกจากกันลำบากกว่านี้”

โจวเหว่ยชิงจับไหล่ของเธอและก้มศีรษะลงต่ำ เมื่อมองเห็นดวงตาที่งดงามเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ เขาก็จูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของเธอและพูดว่า “เมื่อเราไปถึงโรงเรียนทหารเฟยหลี่ จะไม่มีใครควบคุมพวกเราได้อีกต่อไป ถึงตอนนั้นพวกเราจะทำ ‘นั่น’ ได้หรือยัง?”

“จิตใจของเจ้านี่คิดสกปรกอยู่ตลอดเวลาเลยหรืออย่างไร!” น้ำตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ เธอชกไหล่ของเขาเบาๆ

โจวเหว่ยชิงหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “นั่นเกี่ยวข้องกับความสุขของข้านี่นา ข้าจะไม่ต่อสู้เพื่อมันได้อย่างไร เอาล่ะ ข้าจะไปก่อนก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังและวิ่งหายไปในมุมหนึ่งอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองเห็นร่างนั้นลับตาไป ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยืนอยู่ที่นั่นต่ออีกครู่หนึ่ง น้ำตาพลันไหลเอ่อขึ้นมาในดวงตา หลังจากนั้นไม่นานเธอกลับมาเป็นปกติและมุ่งหน้ากลับบ้านเช่นกัน

โจวเหว่ยชิงวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะเขารีบร้อน แต่เพราะเขาเองก็ไม่อยากจะจากไปเช่นกัน โจวเหว่ยชิงไม่อยากทนมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องไห้ เขากลัวว่าตัวเองจะละทิ้งทุกอย่างและผิดสัญญากับฮูเหยียนเอ้าป๋อเพื่อไปอยู่กับเธอ

เมื่อกลับบ้านและใช้เวลาร่วมกับมารดาของเขาได้ 2 วัน ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่พระราชวัง อันดับแรกคือการไปเยี่ยมพ่อทูนหัวของเขาเพื่อกล่าวอำลาและเพื่อถอนหมั้นกับองค์หญิงตี้ฝูหยา

“อะไรนะ? เจ้าต้องการจะยกเลิกการหมั้นหมาย? ไม่มีทาง!” ณ ห้องทรงงาน พระราชวังเกาทัณฑ์สวรรค์  ตี้เฟิงหลิงที่สวมเสื้อคลุมกษัตริย์นั่งอยู่บนบัลลังค์มังกร เขาปฏิเสธคำขอของโจวเหว่ยชิงโดยไม่ลังเล

โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าตี้ฝูหยาไม่ชอบข้า นางดูถูกข้ายิ่งกว่าอะไรดี  อีกทั้งด้วยรูปลักษณ์ของข้า ข้ายิ่งไม่คู่ควรกับนาง!”

จักรพรรดิตี้เฟิงหลิงส่งเสียงฮึ่ม เขากะขนาดร่างกายของโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาก่อนที่จะพูดว่า “รูปลักษณ์ของเจ้ามีปัญหาตรงไหน? เจ้าออกจะตัวสูงใหญ่และดูแข็งแรงดี ตรงไหนที่เป็นปัญหา? อย่างไรก็ตาม ชอบหรือไม่ชอบ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะเลือกได้ นอกจากนี้ เจ้าก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เจ้าปลุกมณีสวรรค์ขึ้นมาและกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว ในอาณาจักรแห่งนี้ข้าจะไปหาคู่หมายคนอื่นที่ดีกว่าเจ้าได้ที่ไหนอีก!? การยกเลิกการหมั้นหมายนั้นเป็นไปไม่ ได้! เจ้าก็รู้ว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ หึ ข้า บิดาของเจ้า เจ้าอับอายที่มีข้าเป็นพ่อตาหรือ?”

“ ข้า…” โจวเหว่ยชิงอ้าปากค้างพลางจ้องไปที่ตี้เฟิงหลิง แม้ว่าตี้เฟิงหลิงจะไม่ใช่จ้าวมณี แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังคงเป็นเหมือนเด็กตัวเล็กๆ เวลาอยู่ต่อหน้าเขาอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ตี้เฟิงหลิงได้เห็นเขาเติบโตขึ้นตั้งแต่เด็กแล้ว เขาเหมือนบิดาของโจวเหว่ยชิงมากกว่าบิดาแท้ๆ ของเขาเสียอีก แม้ว่าจะรู้ว่าเขาเส้นชีพจรของอุดตันและไม่อาจฝึกปราณสวรรค์ได้ ตี้เฟิงหลิงก็ยังปฏิบัติกับเขาเหมือนเดิม อาจกล่าวได้ว่านอกจากบิดาแท้ๆของเขาแล้ว คนที่โจวเหว่ยชิงเกรงกลัวและเคารพมากที่สุดก็คือพ่อทูนหัวคนนี้ คนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายและอำนาจของราชา “พ่อทูนหัว…ข้ามีคนที่ข้ารักแล้ว” โจวเหว่ยชิงกล่าวออกมาอย่างประหม่า

“โอ้ ใครล่ะ? นางงามกว่าตี้ฝูหยาของข้าไหม? เหว่ยน้อย ข้ารู้ว่าตี้ฝูหยาเด็กคนนั้นทำร้ายเจ้าก่อนหน้านี้ แต่ไม่กี่ปีมานี้เธอก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน ในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง เจ้าก็ไม่ควรเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้น”

“พ่อทูนหัว ข้าพูดความจริง! ข้าขอนางแต่งงานและนางก็ตอบตกลงแล้ว นอกจากนี้ พวกเราก็ได้…เอ่อ…ทำไปแล้ว ที่เหลือก็แค่รอมอบหลายชายที่แข็งแรงให้ท่านเท่านั้น ข้าก็ต้องรับผิดชอบนางเช่นกัน”

“อะไรนะ?!” ตี้เฟิงหลิงจ้องไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างตกตะลึง แม้ว่าเขาจะรู้เรื่องที่โจวเหว่ยชิงปลุกมณีสวรรค์ของเขาขึ้นมาได้ แต่ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แม่ทัพโจวจะมีหน้าบอกตี้เฟิงหลิงได้อย่างไร นั่นเป็นผลให้เขาไม่รู้เรื่องนี้ไปโดยปริยาย

“เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย ตอนนี้เจ้าอายุเท่าไหร่? และเจ้าก็ทำกับนางไปแล้ว? เจ้า…เฮ้อ…“ ตี้เฟิงหลิงยืนขึ้นจากบัลลังค์มังกรของเขา ขณะที่โจวเหว่ยชิงคิดว่าเขากำลังจะโดนดุ เขาก็ได้ยินเสียงพ่อทูนหัวของเขาถอนหายใจและพูดว่า “เอาล่ะ อย่างไรซะข้าก็ไม่อาจตำหนิเจ้าได้ เด็กสมัยนี้โตเร็วกันจริงๆ ถ้าข้ารู้ว่ามันจะเกิดขึ้น ข้าควรจะจัดงานแต่งให้เจ้ากับตี้ฝูหยาก่อนหน้านี้ไปเสียเลย  เจ้าจะได้ไม่ออกไปเก็บดอกไม้ป่าข้างทางมาเชยชมเช่นนี้!”

“เอ๋?” ทำไมเหตุการณ์ถึงกลับตาลปัตรเป็นเช่นนี้ไปได้? ครู่หนึ่งโจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกสงสัยว่าตี้ฝูหยาเป็นลูกสาวของตี้เฟิงหลิงจริงๆ หรือว่าเป็นเขาเองที่เป็นลูกชายของตี้เฟิงหลิง ท้ายที่สุดแล้วตี้เฟิงหลิงก็ดูเหมือนจะเข้าข้างเขาอย่างเห็นได้ชัด

“เหว่ยน้อย เจ้าต้องจำเอาไว้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ชายคืออำนาจ เมื่อเจ้ามีอำนาจ เจ้าก็มั่นใจในตนเองได้ ผู้ชายที่มีความเชื่อมั่นในตนเองจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิง บิดาไม่ได้ต่อต้านการมีภรรยาหลายคน แต่เจ้าจงจำไว้ว่าต้องมีความยับยั้งชั่งใจ การทำแบบนั้นมากเกินไปก็ไม่ดีสำหรับเจ้าเช่นกัน เข้าใจหรือไม่?”

เมื่อเห็นตี้เฟิงหลิงพร่ำบอกเขาด้วยใบหน้าที่จริงจัง โจวเหว่ยชิงก็ได้แต่เสียวแปลบข้างในใจ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าพ่อทูนหัวของเขาคล้ายกับอาจารย์ของเขามาก ทั้งคู่ต่างก็สนับสนุนให้เขามีภรรยาหลายๆ คน! ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือคนหนึ่งกำลังบอกให้เขาทำเช่นนั้นด้วยใบหน้าวิปลาส ส่วนอีกคนกำลังบอกเขาด้วยท่าทีที่จริงจังและสง่างาม แต่ในความเป็นจริง พวกเขาก็พูดถึงสิ่งเดียวกันชัดๆ! “ท่านพ่อทูนหัว เรื่องการหมั้นหมาย…” โจวเหว่ยชิงถามอย่างมีความหวัง

ตี้เฟิงหลิงจ้องเขาด้วยสายตาจริงจัง “ข้า บิดาของเจ้า อนุญาตให้เจ้าแต่งภรรยารองแล้ว เจ้ายังเถียงกับข้าอยู่เหรอ? ฮึ่ม! ข้าจะบอกอะไรให้ ตี้ฝูหยายังอยู่ในโรงเรียนทหารเฟยหลี่ ข้าหวังว่าเจ้าทั้งสองคนจะเข้ากันได้ดี หลังจากจบการศึกษา ข้าจะจัดพิธีแต่งงานให้เจ้าทั้งคู่เป็นการส่วนตัว” โจวเหว่ยชิงอ้าปากจะพูดค้าน แต่ตี้เฟิงหลิงก็เดินออกจากห้องทันที ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอะไรอีก

อ๊ากกกกก!!!

ตอนนี้โจวเหว่ยชิงค่อนข้างรู้สึกหดหู่ ข้าจะบอกปิงเอ๋อร์อย่างไรดี?

ถึงกระนั้น ในไม่ช้าเขาก็คิดแผนการณ์หนึ่งขึ้นมาได้ ตี้ฝูหยาอยู่ในโรงเรียนด้วย? หืม นางไม่ได้บอกว่าอยากแต่งงานกับหมูกับหมามากกว่าข้าหรอกหรือ? บิดาจะสอนให้เจ้ารู้ว่าคนเหลี่ยมจัดที่แท้จริง คนอันธพาลที่แท้จริงคืออะไร! และนางก็จะได้รู้ว่าความเจ็บปวดที่แท้จริงคืออะไร! หลังจากจบการศึกษา นางจะต้องไปบอกยกเลิกงานแต่งพร้อมกันกับข้าแน่นอน หรือว่าในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ข้าอาจจะต้องหนีไปกับปิงเอ๋อร์ ฮ่าๆ!

สำหรับตี้เฟิงหลิงที่เพิ่งเดินออกจากห้องนั้น เขามีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่บนใบหน้าขณะที่คิดกับตัวเองว่า เด็กน้อย จะงัดข้อกับข้า บิดาของเจ้า หึ! เจ้ายังเด็กและไร้เดียงสาเกินไปที่จะทำเช่นนั้น! ตี้ฝูหยา อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ ข้าส่งเจ้าไปที่อาณาจักรเฟยหลี่เป็นกรณีพิเศษเพื่อให้เจ้าช่วงชิงหัวใจของเจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อยนี่มาให้ได้! หัวเฟิงได้บอกข้าแล้วว่าอนาคตของเหว่ยน้อยจะต้องเหนือกว่าพี่ใหญ่โจวอย่างแน่นอน ด้วยความงามของลูกสาวข้า นางจะหลอกล่อโจวเหว่ยชิงไม่ได้เชียวหรือ!?

อนิจจา ถ้าตี้เฟิงหลิงรู้ว่าคนรักที่โจวเหว่ยชิงพูดถึงคือหญิงงามอันดับหนึ่งของอาณาจักรอย่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาก็คงไม่มองโลกในแง่ดีเช่นนั้นแน่

หลังจากเขาออกจากวัง โจวเหว่ยชิงก็ตรงไปที่บ้านของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ในช่วงสองปีที่พวกเขาอยู่ที่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขากลับมาที่นี่ทุกปีและเขาก็ติดตามเธอมาด้วยเป็นครั้งคราว ด้วยเหตุนั้นเขาจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆที่ค่อนข้างเรียบง่ายในย่านที่พักของคนธรรมดาในเมืองหลวง แม้ว่าเธอจะได้รับตำแหน่งขุนนางขั้นที่ 4 อันสูงส่ง แต่เธอกับแม่ก็ไม่ได้ย้ายไปที่อื่น แน่นอนว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่เต็มใจที่จะย้ายออกเพราะเธอต้องการให้แม่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี อย่างไรก็ตาม ถังเซียนก็ยืนยันว่าเธอคุ้นเคยกับการอยู่ที่นั่นและปฏิเสธที่จะย้ายไปที่อื่น

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงมาถึงหน้าบ้าน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อยู่ในสวนกับแม่ของเธอ ทั้งคู่กำลังปลูกผักอยู่ด้วยกัน สวนนั้นค่อนข้างเล็ก กินพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของลานหน้าบ้าน โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ที่ทางเข้ามองดูคู่แม่ลูกผู้งดงามปลูกผักอยู่ในสวน เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองอย่างเผลอไผล

“ทำไมเจ้าไม่เข้ามาล่ะ?” แม้ว่าถังเซียนจะไม่ได้เหลือบมองไปทางเขา แต่เสียงของเธอก็ดังขึ้นแทรกความเงียบขึ้นมา

“สวัสดีขอรับท่านป้า” โจวเหว่ยชิงยิ้มแย้มและเดินเข้าไปในลานบ้าน เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็นเขา ใบหน้าของเธอก็เผยท่าทางดีใจออกมา อย่างไรก็ตาม วินาทีต่อมามันก็ถูกแทนที่ด้วยความโศกเศร้าอย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียพวกเขาก็กำลังจะแยกจากกันไปอีกหลายเดือน เธอจึงค่อนข้างรู้สึกหดหู่ในใจ

ถังเซียนลุกขึ้นยืน แม้แต่เสื้อผ้าเรียบง่ายบนร่างก็ไม่อาจซ่อนความงามของเธอเอาไว้ได้ เธอยิ้มให้โจวเหว่ยชิงและพูดว่า “อ้วนน้อย จากที่ปิงเอ๋อร์เล่าให้ฟัง เจ้ากำลังจะมุ่งหน้าไปที่เมืองภูเขาลอยฟ้า?”

ต่อหน้าถังเซียน โจวเหว่ยชิงเป็นคนซื่อสัตย์และประพฤติตัวดีเสมอ เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ใช่ขอ รับ! ข้าอายุ 16 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าได้สัญญากับอาจารย์ฮูเหยียนว่าจะไปเรียนรู้วิชาจากเขา”

ถังเซียนพยักหน้าและกล่าวว่า “อ้วนน้อย มีสองสิ่งที่เจ้าต้องจำไว้ ก่อนอื่น อย่าเสียเวลาและพลังปราณไปกับการสร้างคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มากจนเกินไป เจ้าต้องแลกหลายสิ่งหลายอย่างไปกับการฝึกสร้างคัมภีร์ และนั่นจะส่งผลต่อการฝึกปราณของเจ้าแน่นอน ด้วยทักษะธาตุที่เจ้ามี พรสวรรค์ของเจ้ายอดเยี่ยมเกินกว่าจะเสียมันไปโดยเปล่าประโยชน์” โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว สำหรับท่านแม่ผู้ลึกลับของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาค่อนข้างให้ความเคารพและเกรงกลัว คำเตือนของท่านแม่ที่ให้เขาเชื่อฟังคำสอนของเธอยังคงสดใหม่อยู่ในใจของเขา

ถังเซียนยิ้มบางเบาและพูดต่อว่า “สิ่งที่สองคือ…เมื่อเจ้ากักเก็บทักษะ พยายามกักเก็บทักษะประเภทการควบคุมให้ได้มากที่สุด จำไว้ว่า ไม่มีการจำกัดจำนวนทักษะประเภทควบคุมที่เจ้าสามารถมีได้ เจ้าเข้าใจความหมายของมันไหม?”

โจวเหว่ยชิงตอบอย่างซื่อๆ “เอ่อ ไม่ค่อยเข้าใจขอรับ”

ถังเซียนหัวเราะและพูดว่า “อย่างน้อยเจ้าก็ซื่อสัตย์กับเรื่องนั้น พูดง่ายๆ คือทุกครั้งที่จ้าวมณีสวรรค์ใช้ทักษะชนิดหนึ่ง ช่วงเวลาสั้นๆหลังจากนั้นพวกเขาจะที่ไม่สามารถใช้ทักษะนั้นได้ ตัวอย่างเช่น ในระดับปราณของเจ้า หลังจากเจ้าใช้ทักษะสัมผัสมืดแล้ว ในช่วงเวลา 10 วินาทีหลังจากนั้นเจ้าอาจจะไม่สามารถใช้งานทักษะนี้ได้ ข้าพูดถูกมั้ย?”

………………………

Related

มู่เอินหัวเราะและพูดว่า “นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าเจ้ากราบตาแก่ฮูเหยียนเอ้าป๋อนั่นเป็นอาจารย์ด้วยรึ? ตาแก่นั่นมีของดีมากมาย ไม่ต้องไปเกรงใจมากล่ะ!…รีบๆ ไปเถอะ! ชิ่ว!”

โจวเหว่ยชิงจับมือของมู่เอินไว้แน่น เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วเงยหน้าขึ้นราวกับจะสงบสติอารมณ์ “อาจารย์ ข้าไม่อยากจากท่านไปเลย”

รอยยิ้มของมู่เอินแข็งค้าง จากนั้นการแสดงออกของเขาก็ค่อยๆ ดูอบอุ่นขึ้นเช่นกัน “เจ้าอันธพาลน้อย ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าจากไปเช่นกัน!”

โจวเหว่ยชิงกะพริบตาและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น…ข้าอยู่ต่อดีไหม?”

สมาชิกทุกคนในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ร้องขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความโมโหว่า “ไม่!”

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ต้องออกจากค่ายไปอย่างไม่เต็มใจ ในขณะที่สมาชิกของหน่วยเกา ทัณฑ์สวรรค์กลับไปที่ห้องของตนด้วยท่าทีหดหู่ใจ พวกเขาทุกคนก็พบจดหมายจากโจวเหว่ยชิงวางไว้บนโต๊ะ

หัวเฟิงเปิดจดหมาย เขาเห็นเพียงอักษรเขียนไว้เพียง 2 บรรทัด “หัวหน้า ข้ารู้ว่าท่านชอบท่านพ่อของข้ามาโดยตลอด แต่ข้าก็รู้ว่าด้วยนิสัยของท่านพ่อ เขาคงจะไม่มีวันตอบรับท่านได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของท่าน ข้าจะยังคงเรียกท่านว่าแม่รอง แม้ข้ากับปิงเอ๋อร์กำลังจะจากไป ข้าก็ยังก่อปัญหาให้ท่านเป็นครั้งสุดท้ายอยู่ อย่างไรซะ ข้าก็อยากพิสูจน์ว่าไม่ใช่เพราะข้าที่ทำให้หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์วุ่นวาย!”

ในขณะที่หัวเฟิงอ่านจดหมาย เขาก็พบว่าตัวเองกำลังหัวเราะและน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างเชื่องช้า ทว่าจู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “เข้ามา” เขาพูด

หญ้าน้อยเดินเข้ามาจากด้านนอก ใบหน้าของเธอขึ้นสีแดงซ่านขณะที่พูดว่า “พี่เฟิง ถ้าท่านต้องการ ท่านก็แค่บอกข้า ข้าจะไม่มอบให้ท่านได้อย่างไร?”

หัวเฟิงรู้สึกงงงวยขณะที่เขาถามกลับ “ ข้าต้องการอะไรหรือ?”

หญ้าน้อยส่งจดหมายในมือของเธอให้เขาอย่างเขินอาย เมื่อหัวเฟิงหยิบมันขึ้นมา เขาก็เห็นข้อความในนั้นเขียนเอาไว้ว่า “พี่หญ้าน้อย จริงๆ แล้วหัวหน้าชอบท่านมาก เมื่อวานข้าเห็นเขาขโมยกางเกงในที่ตากทิ้งของท่านไว้ไปซ่อนใต้หมอนของเขา”

มือของหัวเฟิงสั่นระริกขณะที่เขามองไปที่หญ้าน้อย หญิงสาวกำลังมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนและรักใคร่ เส้นสีดำสามเส้นปรากฏขึ้นเหนือหัวของเขา [1](- -”’) หัวเฟิงกัดฟันและพูดว่า “โจว…เหว่ย…ชิง… !!”

สำหรับคนอื่นๆ ใจความในจดหมายมีดังนี้

จดหมายของเกาเฉิน “พี่เฉิน ท่านรู้หรือไม่ว่ายี่ฉือคนนั้น จริงๆ แล้วตุ๊ดนั่นหลงรักท่าน? อันที่จริงข้าเห็นเขาขโมยกางเกงในของท่านไป! ข้าไม่ใช่คนที่ชอบกวนน้ำให้ขุ่น ทั้งยังไม่รู้ว่านิสัยของท่านเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นข้า ข้าก็คงไม่ยอมง่ายๆ แน่!”

จดหมายของฮั่นโม่ “พี่โม่ ข้ารู้สึกกระดากอายเล็กน้อยที่จะพูดเช่นนี้ แต่เพราะข้าจะต้องจากไปแล้ว ตอนนี้ข้าเลยต้องบอกความจริงกับท่าน ลูกศรโลหะผสมไททาเนียมจำนวน 100 ดอกที่ท่านสั่งขึ้นมานั้น ข้ารู้สึกว่าพวกมันใช้งานได้ดีมาก ดังนั้นข้าเลยจะขอยืมท่านมาใช้เสียหน่อย ข้าขอยืมสัก 100 ปีเท่านั้น ระหว่างเราพี่น้องไม่จำเป็นต้องมีคำขอบคุณอยู่แล้ว ความจริงข้ารู้ว่าท่านอยากให้ของขวัญกับข้ามาโดยตลอด ใช่หรือไม่?”

จดหมายของยี่ฉือ “รองหัวหน้า ที่จริงข้ารู้ว่าภายในใจของท่านนั้นเจ็บปวดแค่ไหน ในฐานะที่เป็นทั้งตุ๊ดและหญิงงาม ท่านแตกต่างจากทุกคนเป็นอย่างมาก! แต่ทว่าข้าก็ต้องบอกความจริงกับท่าน แท้จริงแล้วอาจารย์ของข้าชอบท่านมาก แต่เขามักจะเขินอายที่จะต้องบอกเช่นนั้น เหตุผลที่เขายังโสดมาตลอดก็เพราะท่าน! ท่านรู้ไหมว่าเขาเก็บภาพวาดของท่านเอาไว้ด้วย ในเวลากลางคืนเขามักจะจ้องมองรูปนั้นและใช้มัน “ฝึกข้อมือ” อยู่เสมอ เฮ้อ…หากท่านไม่ชอบเขา ท่านก็ควรบอกให้เขารับรู้เสีย เขาอายุมากแล้ว ถ้าขืนยัง “ฝึกข้อมือ” อยู่แบบนั้นมากเกินไป ย่อมไม่ดีต่อร่างกายของเขาแน่! “

จดหมายของหลัวเขอตี้ “อาจารย์ลุง  วันนั้นข้าแอบได้ยินหัวหน้าพูดกับตัวเองภายในห้องของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรามีเพียงท่านและเขาเท่านั้นที่สง่างามมากพอ เขายังบอกด้วยว่าท่านพ่อของข้าอายุมากแล้ว เขาจึงไม่ควรวาดฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจจะเปลี่ยนเป้าหมาย ข้าจะไม่พูดอะไรอีก ท่านก็น่าจะรู้ดีว่าข้าหมายถึงอะไร หัวหน้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก เขาสง่างามและสุขุมรอบคอบ ท่านทั้งสองเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ!”

จดหมายของมู่เอิน “อาจารย์ ข้าทิ้งรูปวาดไว้ใต้เตียงของท่าน แต่ข้าเผลอทำโจ๊กหกใส่โดยไม่ได้ตั้งใจ โปรดช่วยเป็นธุระแทนข้านำไปมอบให้ยี่ฉือด้วย”

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวก็ดังขึ้นภายในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ น่าแปลกที่เสียงของทุกคนฟังดูคล้ายกันมาก พวกเขาล้วนแต่กัดฟันพูดขึ้นมาพร้อมกันว่า! “ โจวเหว่ยชิง!!!!!”

ในเวลานั้น โจวเหว่ยชิงที่เดินไปได้ค่อนข้างไกลแล้วพลันหยุดกะทันหัน เขาหันกลับไปทางค่ายหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์พร้อมกับยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า โจวเหว่ยชิงหัวเราะเล็กน้อยขณะที่เขาพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าก็แค่กลัวว่าทุกคนจะลืมข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งพวกท่านหรอกนะ! อืม…ข้าไม่ได้มีเจตนา…ไม่ได้วางแผนไว้ก่อนอย่างแน่นอน…ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าเลยด้วย ฮิๆๆ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างสงสัยและถามว่า “มีอะไรหรือ? อ้วนน้อย เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”

โจวเหว่ยชิงรีบดึงตัวเองกลับมาจากความคิดนั้นและพูดว่า “เอ่อ…ไม่มีอะไร! ปิงเอ๋อร์ เจ้าไม่คิดว่าตอนนี้ข้ากลายเป็นผู้ชายเต็มตัวหรือโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ หรือ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ชะงัก เธอมองไปที่โจวเหว่ยชิงซึ่งตอนนี้มีร่างกายใหญ่โตสมส่วน หน้าตาที่แม้ใสซื่อแต่ก็ดูกล้าหาญ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างจริงใจพร้อมกับกล่าวว่า “อันที่จริง แม้ว่าเจ้าจะอายุเพียงแค่ 16 ปี แต่ผู้ชายที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ส่วนมากก็ไม่ได้สูงหรือล่ำสันเท่าเจ้าเลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าตอนนี้เจ้าถือว่าเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวจริงๆ”

ในใจโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยความสุข เขาขยิบตาให้เธอแล้วพูดว่า “ ถ้าเป็นเช่นนั้น…พวกเราทำ…ได้ไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างมึนงงว่า “ทำอะไร?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างขวยเขิน “ เจ้าก็…รู้! เพราะเจ้าบอกแล้วว่าข้าเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้ว ตอนนี้เจ้าก็เป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้วเช่นกัน… และเราก็เป็นคู่หมั้นกัน…นั่น…นั่น…”

ในที่สุดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร ใบหน้าของเธอจึงขึ้นสีอย่างรวดเร็ว “ฝันไปเถอะ! ทำไมสมองของเจ้าถึงมีแต่ความคิดสกปรกเช่นนี้นะ ฮึ่ม! เดินให้ห่างๆข้าเลยนะ ใครคือคู่หมั้นของเจ้า? เจ้าจัดการเรื่องงานหมั้นกับองค์หญิงตี้ฝูหยาแล้วหรือไง?”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างหมดหนทาง “ข้ายังไม่มีโอกาส…ตอนนี้พวกเรากำลังมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ เพราะฉะนั้นข้าจะจัดการเรื่องนี้เมื่อเรากลับไปถึงแล้วดีไหม ข้าจะไปหาท่านพ่อบุญธรรม แม้ว่านิสัยของตี้ฝูหยาจะค่อนข้างน่ารังเกียจ แต่ข้าก็ไม่ควรประวิงเวลาปล่อยให้นางเสียความเยาว์วัยไปเช่นนั้น”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลอกตาไปทางเขา แต่เธอก็ดูมีความสุขมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โจวเหว่ยชิงพยายามตีเหล็กตอนกำลังร้อน เขาขยับเข้าใกล้เธอมากขึ้นเพื่อทำความสนิทสนม แต่ทว่าเธอกลับวิ่งจ้ำอ้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับสายลม แว่วเสียงหัวเราะคิกคักตามหลังเธอไป โจวเหว่ยชิงยิ้มออกมาและออกวิ่งตามไปเช่นกัน คนหนึ่งไล่ คนหนึ่งหนี ไม่นานพวกเขาก็เร่งความเร็วผ่านป่าดาราไปถึงเขตเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ในที่สุด

เจ้าหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็ง ‘ตัวเล็กๆ’ ที่น่าสงสารทั้ง 2 ตัวทำได้เพียงวิ่งไล่ตามด้วยกำลังทั้งหมดของพวกมัน  หมีทั้งสองหอบหายใจขณะที่พวกมันพยายามวิ่งไล่ตามให้ทันคนทั้งคู่ รูปลักษณ์ที่ดูโง่เขลาและซื่อๆ นั้นทำให้พวกมันดูน่ารักน่าชังมาก ตรงกันข้ามกับเจ้าแมวอ้วนตัวน้อยยังคงนอนหลับอยู่บนไหล่ของโจวเหว่ยชิงอย่างเฉื่อยชาราวกับว่ามันจะไม่มีวันตื่น

ขณะที่พวกเขามาถึงเขตสิ้นสุดป่าดารา โจวเหว่ยชิงก็กวักมือเรียกหมีทั้งสองตัวว่า “มานี่ ต้าหวง เอ้อหวง”

เจ้าหมีที่กำลังหอบหนักอย่างเหนื่อยล้าทั้ง 2 ตัวเดินมาหาโจวเหว่ยชิงอย่างงุนงง ถูไถส่วนหัวของพวกมันกับร่างกายของโจวเหว่ยชิง ไร้สิ้นซึ่งความทะนงตัวของอสูรสวรรค์ระดับเทวะ เพื่อนตัวน้อยทั้ง 2 ถูกโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เลี้ยงดูมาด้วยกัน แต่คนที่พวกมันกลัวที่สุดกลับเป็นเจ้าแมวอ้วน บ่อยครั้งถ้าเจ้าแมวอ้วนส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา เจ้าหมีทั้ง 2 ตัวจะนอนหมอบลงกับพื้นโดยใช้มือปิดศีรษะเอาไว้ ดูท่าทางน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง

โจวเหว่ยชิงยกมือขวาขึ้น จากนั้นแหวนไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวทองที่นิ้วของเขาก็กระพริบแสงเจิดจ้า แหวนวงนั้นส่งลำแสงสีเหลือง 2 ดวงพุ่งตรงไปยังหมีทั้งสองตัว เมื่อแสงนั้นกระพริบทีหนึ่ง เจ้าหมียักษ์ทั้ง 2 ตัวก็หายตัวไปกลางอากาศทันที

หัวเฟิงเป็นคนมอบแหวนมิติวงนี้ให้กับโจวเหว่ยชิงแลกกับการที่เขาต้องสละส่วนแบ่งทั้งหมดจากภารกิจตลอด 2 ปีนี้ให้กับหัวเฟิง เดิมทีโจวเหว่ยชิงไม่ควรได้รับส่วนแบ่งจากภารกิจเหล่านี้ แต่เมื่อพลังของเขาเพิ่มขึ้น ทักษะการควบคุมของเขาก็เริ่มมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือระหว่างปฏิบัติภารกิจ นั่นเป็นผลให้สมาชิกของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ตกลงมอบส่วนแบ่งให้เขาด้วย แม้โจวเหว่ยชิงจะไม่รู้ว่าส่วนแบ่งจาก 2 ปีที่ผ่านมานี้เป็นจำนวนเงินเท่าใด แต่เพื่อประโยชน์ของต้าหวงและเอ้อหวง เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมตัดใจและรับแหวนมิติซึ่งมีพื้นที่ภายในประมาณ 20  ตารางเมตรมา

สิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่รู้ก็คือแท้จริงแล้วเขาได้รับของขวัญชิ้นใหญ่จากหัวเฟิง แหวนมิติดังกล่าวมีมูลค่าอย่างน้อย 200,000 เหรียญทองขึ้นไป นั่นเป็นเพราะมันไม่ใช่แหวนมิติธรรมดาที่เก็บได้แค่สิ่งของ ข้างในนั้นยังมีพื้นที่มิติขนาดเล็กที่สร้างขึ้นเพื่อทำให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ภายในได้ นั่นคือมูลค่าที่แท้จริงของมันและถือว่าเป็นสมบัติที่ค่อนข้างหายากมาก

หลังจากเก็บต้าหวงและเอ้อหวงเข้าสู่แหวนมิติแล้ว โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ ตามที่หัวเฟิงบอก พวกเขาจะต้องไปยังอาณาจักรเฟยหลี่เพื่อเรียนรู้และฝึกฝนในระดับที่สูงขึ้น

แน่นอนว่าอาณาจักรเฟยหลี่เป็นอาณาจักรขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวที่มีความสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรเกา ทัณฑ์สวรรค์ อีกทั้งอาณาจักรนี้ก็ยังเจริญขึ้นมากในทุกๆ ด้าน ครั้งนี้โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต้องมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนทหารเฟยหลี่เพื่อเรียนรู้วิธีการเป็นผู้นำและการบัญชาการกองทัพ สิ่งนี้อยู่ภายใต้การคำสั่งของแม่ทัพโจว เขาต้องการให้พวกเขาเตรียมพร้อมเพื่อช่วยเหลือกองทัพของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ในอนาคต

ยังมีเวลาอีก 5 เดือนจนกว่าภาคการศึกษาใหม่ของโรงเรียนทหารเฟยหลี่จะเริ่มขึ้น แต่หัวเฟิงให้พวกเขากลับไปที่เมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ก่อนล่วงหน้า สาเหตุหลักมาจากการที่โจวเหว่ยชิงต้องมุ่งหน้าไปยังเมืองภูเขาลอยฟ้าของอาณาจักรเฟยหลี่ก่อน ตอนนี้เขาอายุ 16 ปีแล้ว ถึงเวลาที่เขาจะต้องไปร่ำเรียนกับฮูเหยียนเอ้าป๋อตามที่ได้สัญญาเอาไว้ นอกจากนี้เขายังไม่ได้หลอมรวมศาสตรามณียุทธ์หรือกักเก็บทักษะกับมณีสวรรค์ชุดที่ 2 ของเขาเลย

“ปิงเอ๋อร์ พวกเราพักผ่อนที่บ้านสัก 3 วันเถิด ในช่วงนั้นข้าจะจัดการยกเลิกการหมั้นหมายกับองค์หญิงตี้ฝูหยาให้เรียบร้อย หลังจากนั้นพวกเราจะไปที่เมืองภูเขาลอยฟ้าด้วยกัน แผนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” โจวเหว่ยชิงจับมือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้แน่นอย่างไม่เต็มใจจะแยกจาก เธอเพิ่งจะหายไปพักหนึ่งเพื่อกักเก็บทักษะลงมณีธาตุดวงที่ 3 ของเธอ ในที่สุดก็กลับมาอยู่ข้างๆเขาเสียที ด้วยเหตุนั้นเขาจึงทนไม่ได้ที่จะต้องแยกจากกับเธอไปอีก 2-3 วัน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มีท่าทีลังเลก่อนจะพูดว่า “อ้วนน้อย พวกเราใช้เวลาร่วมกันมาแล้ว 2 ปีในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ ในช่วงเวลานี้ข้าไม่ได้อยู่กับท่านแม่เลย ข้าจะใช้โอกาสช่วงก่อนที่พวกเราจะไปเรียนที่โรงเรียนทหารเฟยหลี่อยู่กับแม่ของข้า ท่านแม่เป็นญาติคนเดียวของข้า และคราวนี้พวกเราจะใช้เวลาอีก 2-3 ปีที่โรงเรียนนั่นเพราะมันอยู่ไกลมาก อีกทั้งการเดินทางไปไหนมาไหนก็ยากลำบาก ทำไมเจ้าไม่ไปที่เมืองภูเขาลอยฟ้าก่อนแล้วเราค่อยพบกันที่เมืองหลวงของอาณาจักรเฟยหลี่ในอีก 5 เดือนข้างหน้าล่ะ?”

“เอ๋?” เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้น โจวเหว่ยชิงก็ก้มหน้าและพูดอย่างหดหู่ว่า “นั่นหมายความว่าเราจะต้องห่างกัน 5 เดือนเลยไม่ใช่เหรอ?”

………………………………

Related

ขณะที่พายุแสงสีเหลืองพุ่งทะยานขึ้นสูงเกือบ 10 เมตร มันได้ก็ได้หอบเอาหิมะและเศษน้ำแข็งพุ่งตรงเข้าโจมตีพวกเขาด้วย อานุภาพของพายุลูกนั้นแข็งแกร่งจนน่าใจหาย  พวกเขาทั้งหมดรีบถีบตัวขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงพายุน้ำแข็งเหล่านั้น แต่ทว่าการโจมตีของราชาหมียักษ์ตัวนั้นรวดเร็วเกินไป หัวเฟิงที่อยู่ข้างหน้าจึงถูกมันพัดกระแทกจนล้มลงหมดสติไปขณะที่ยังลอยตัวอยู่กลางอากาศ แน่นอนว่าสมาชิกคนอื่นๆ ของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ก็ไม่ต่างกัน แม้ว่าพวกเขาจะสามารถกระโดดขึ้นสูง 10 เมตรได้สบายๆ แต่ปัญหาก็คือในตอนที่อุ้งเท้าของราชาหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งฟาดลงกับพื้นอย่างเกรี้ยวกราดนั้น ผลที่ตามมาคือแผ่นดินใต้เท้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และนั่นจึงทำให้ทุกคนไม่สามารถถีบตัวขึ้นไปเหนืออากาศได้มั่นคงเหมือนเคย

หลัวเขอตี้เพิ่งจะกระโดดขึ้นไปได้เพียง 5 เมตรก่อนที่จะถูกพายุหิมะของทักษะผืนดินคำรามกลืนกินเข้าไป เช่นเดียวกับเกาเฉินและฮั่นโม่ที่กระโดดขึ้นไปได้สูงกว่าเขาเพียงเล็กน้อย ส่วนมู่เอินนั้นย่ำแย่ที่สุด ในขณะที่เขาพยายามจะหันกลับไปคว้าตัวซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิง ยังไม่ทันแม้แต่จะกระโดดขึ้นเหนือพื้นดินร่างทั้งร่างก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้แล้ว

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนอยู่ในระยะที่ไกลกว่าคนอื่นๆ มาก แต่ทว่าเมื่อพายุน้ำแข็งลูกนั้นถูกซัดเข้ามา มันก็อยู่ห่างจากพวกเขาออกไปเล็กน้อยเท่านั้น โจวเหว่ยชิงจึงใช้ประโยชน์จากสัญชาตญาณของคนวัยหนุ่มสาว นั่นก็คือความสามารถในการขยับตัวตอบสนองอย่างรวดเร็ว

ความทรงจำเกี่ยวกับแท่งน้ำแข็งแหลมๆ ก่อนหน้านี้ยังคงสดใหม่อยู่ในใจของเขา และทันทีที่เขาเห็นพายุลูกนั้นพุ่งตรงมา เขาก็ไม่เหลือเวลาให้รั้งรออีก รีบพุ่งไปคว้าร่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก่อนจะหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ทั้งหมดไปที่ขาขวาและกระแทกลงกับพื้นสุดแรงเกิด เคราะห์ดีที่ขาของเขากระแทกกับพื้นเกือบจะในเวลาเดียวกับที่หมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งฟาดอุ้งมือกับพื้น ขาขวาข้างนั้นส่งเขาพร้อมกับร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ในอ้อมแขนกระโจนขึ้นเหนืออากาศได้สูงเกือบ 15 เมตร กระทั่งหลุดพ้นจากพลังโจมตีจากทักษะของหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งไปได้อย่างเฉียดฉิว

เหมือนที่โบราณว่าไว้ บางครั้งกำลังของมนุษย์ก็มีข้อจำกัด สมาชิกของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ล้วนแล้วแต่สร้างปาฏิหาริย์มามากมาย พวกเขาเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งและทรงพลังด้วยความสามารถที่ด้อยกว่า ทั้งกลยุทธ์ ประสบการณ์การต่อสู้ หรือการประสานงานกันของพวกเขา ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นการใช้พลังขั้นสูงสุดของแต่ละคน หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งตัวที่ถูกพวกเขากำจัดไปก็คงจะสังหารทั้งคนกลุ่มไปได้อย่างง่ายดายราวกับใช้เข็มแทงทะลุกระดาษบางๆ

ทว่าเมื่อหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งทั้ง 4 ได้ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาทั้งหมดต่างก็รู้ดีว่าไม่มีโอกาสจะชนะพวกมันได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ราชาหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งยังเข้าสู่สถานะบ้าคลั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นพวกเขามันก็ไม่รั้งรอที่จะใช้พละกำลังของมันอย่างเต็มประสิทธิภาพ ในเวลาที่กระชั้นชิดเช่นนี้พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะวางแผนหรือใช้ทักษะใดๆ ของพวกเขาออกมาด้วยซ้ำ แม้ว่าแรงระเบิดจะไม่ได้ทำให้พวกเขาบาดเจ็บสาหัส แต่ทักษะผืนดินคำรามก็ยังทำให้พวกเขากระเด็นออกไปไกลกว่าร้อยหลา จากนั้นก็หมดสติไปทันที

ดวงตากราดเกรี้ยวกระหายเลือดทั้ง 4 คู่จับจ้องไปที่โจวเหว่ยชิง และซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ อย่างไรก็ตาม ในชั่วพริบตาต่อมาดวงตาทั้งสี่คู่ก็หรี่ลงเล็กน้อย และพวกมันก็ไม่ได้โจมตีทั้งคู่อย่างที่พวกเขาคาดคิดไว้

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ทั้งหมดของเขาไปยังขาขวาของปีศาจ กลิ่นอายชั่วร้ายของเขาก็พลันระเบิดออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ดังนั้นเมื่ออสูรสวรรค์ระดับเทวะทั้ง 4 สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าเกรงขามนั้น พวกมันจึงเกิดอาการลังเลไปชั่วขณะ

ในบรรดาหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งที่ทรงพลังทั้ง 4 นอกเหนือจากราชาหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งที่มีขนาดตัวใหญ่ยักษ์ที่สุดแล้ว อีก 3 ตัวก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่ไปกว่าหมีตัวที่พวกเขาเพิ่งสังหารไปแม้แต่น้อย พวกมันคือบรรดาภรรยาของราชาหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งตัวนั้นนั่นเอง

เดิมทีพวกมันทั้งหมดเคยอาศัยอยู่ในฝูงหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่านี้มาก ส่วนราชาหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งนั้นแต่เดิมก็เป็นถึงน้องชายของหมีจ่าฝูง แต่ทว่าเนื่องจากมันพยายามจะท้าชิงตำแหน่งผู้นำและพ่ายแพ้ลง ในที่สุดจึงถูกเนรเทศออกจากฝูงและมาลงเอยอยู่ที่นี่ ทว่าทุกคนก็ควรรู้เอาไว้ว่า การที่มันเอาชีวิตรอดจากการพ่ายแพ้ในการท้าประลองมาได้ นั่นก็พิสูจน์แล้วว่าราชาหมีตัวนี้ทรงพลังเพียงใด ไม่ต้องพูดถึงสมาชิกของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์เลยด้วยซ้ำ แม้แต่แม่ทัพโจวบิดาของโจวเหว่ยชิงเองก็ต้องตกที่นั่งลำบากเช่นกันหากต้องรับมือกับพลังของราชาหมียักษ์ตัวนี้

แม้ว่าโจวเหว่ยชิงกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะหลบหลีกการโจมตีครั้งแรกได้สำเร็จ แต่ก็พลันมีคำพูดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจอย่างหลีกเลี้ยงไม่ได้ พวกเขากำลังตกที่นั่งลำบากอย่างแท้จริง เดิมทียังไม่มีปัญญาแม้แต่จะจัดการกับหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งเพียงตัวเดียวด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับ 4 ตัวในตอนนี้ล่ะ!

“ปิงเอ๋อร์ รีบหนีไป ข้าจะพยายามกันพวกมันเอาไว้ให้นานที่สุด” ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็กำลังจะโยนซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยมณีคู่ประเภทความว่องไวพร้อมกับรองเท้าวายุประสานของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธออาจมีโอกาสหลบหนีไปได้ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้โยนตัวเธอออกไป ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รีบคว้าคอเสื้อของเขาและพูดว่า “อ้วนน้อย เจ้าคิดว่าข้ากลัวตายงั้นหรือ? ข้าเป็นของเจ้าแล้ว ถ้าเราจะต้องตาย พวกเราก็ต้องตายด้วยกัน”

โจวเหว่ยชิงมองเห็นความมุ่งมั่นในดวงตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขณะที่ทั้งคู่ร่อนลงบนพื้นพร้อมกัน เดิมทีเขากลัวตายมาก แต่เมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอและเห็นความสิ้นหวังอยู่ในนั้น เขาก็รู้สึกราวกับว่าเลือดในกายเริ่มเดือดพล่านขึ้นมาทันที

ลวดลายเสือดำปรากฏขึ้นทั่วร่างกายของเขาขณะที่ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำอีกครั้ง มือขวาของเขาปล่อยซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ให้เป็นอิสระ จากนั้นกลิ่นอายป่าเถื่อนรุนแรง รังสีกระหายเลือดก็แผ่กระจายออกมาจากร่างของเขาในชั่วพริบตานั้น อักษรสีดำปรากฏขึ้นกลางหน้าผากของเขาเป็นคำว่า ‘ราชา’ อีกครั้งในขณะที่กระดูกของเขาดูเหมือนจะกำลังบิดงอจนได้ยินเสียงแตกละเอียดจากภายใน แม้จะอยู่ในดินแดนน้ำแข็งและหิมะ แต่โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขากำลังร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าแกนความร้อนภายในร่างกำลังระเบิดออกมาจากภายใน

นี่คือสถานะปีศาจกลายร่างหรือ? เขาไม่อยากคลุ้มคลั่งจนเสียสติ! ข้าอยากมีสติ! ข้าต้องการควบคุมร่างกายด้วยตัวเอง! โจวเหว่ยชิงที่ถูกกระตุ้นด้วยความสิ้นหวังในดวงตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้จมลึกเข้าไปในห้วงสถานะปีศาจกลายร่าง ขณะนี้ทั่วร่างของเขามีไอรังสีชั่วร้ายซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านี้ถึง 10 เท่าลอยโอบล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา อย่างไรก็ตาม เขายังคงสวดภาวนาคำเหล่านั้นอยู่ในใจ ข้าต้องการควบคุมร่างกายด้วยตัวเอง!

เห็นได้ชัดว่าหิมะรอบๆ ตัวโจวเหว่ยชิงกำลังเปลี่ยนเป็นสีเทา และระเหิดขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ผลกระทบนี้ดูเหมือนจะขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ รอบตัวของเขา

หากเทียบกับหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งเหล่านั้น กลิ่นอายของเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่ทว่ามันก็ทำให้อสูรสวรรค์ระดับเทวะทั้ง 4 ตัวรู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่าง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาที่แดงก่ำและคำว่า ‘ราชา’ ที่สลักอยู่บนหน้าผากของเขา นั่นทำให้พวกมันตื่นขึ้นจากสภาวะบ้าคลั่งทันที

ทันใดนั้นเอง เสือขาวตัวน้อยที่ยืนอยู่บนไหล่ของโจวเหว่ยชิงกลับมีดวงตาเปล่งประกายขึ้นมา มันสูดหายใจเข้าลึกอย่างตะกละตะกลามราวกับว่ากลิ่นอายชั่วร้ายรอบๆ ตัวโจวเหว่ยชิงนั้นเป็นอาหารจานโปรดของมัน

โจวเหว่ยชิงดูเหมือนจะทรุดตัวลงเล็กน้อย กล้ามเนื้อของเขากำลังถูกสถานะปีศาจกลายร่างปรับแต่งให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มที่ นั่นจึงทำให้ร่างของเขาขยายขึ้นเล็กน้อยและมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังสามารถใช้พลังปราณสวรรค์และทักษะต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพไร้ที่ติ ตราบใดที่เขามีพลังปราณสวรรค์เพียงพอ เขาก็จะสามารถใช้ทักษะทั้งหมดได้อย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด

อนิจจา หมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งทั้ง 4 ตัวนี้ไม่ใช่หมาป่าโลกันตร์ตัวเล็กๆ ที่พวกเขาเคยพบเจอก่อนหน้า แม้จะรู้สึกได้ถึงอันตรายจากกลิ่นอายชั่วร้ายที่โจวเหว่ยชิงแผ่ออกมา แต่พวกมันก็ไม่ถอดใจหรือยอมถอยง่ายๆ การสูญเสียทารกน้อยส่งผลให้พวกมันโกรธแค้นและโศกเศร้าเป็นอย่างมาก พวกมันจึงก้าวเข้าหาโจวเหว่ยชิงอีกครั้งอย่างช้าๆ ทว่าแม้จะอยู่ภายใต้สถานะปีศาจกลายร่าง โจวเหว่ยชิงก็ยังคงอ่อนแอเกินไปเมื่อเทียบกับหมียักษ์ทั้ง 4 ตัว ดังนั้นในทันทีที่พวกมันเริ่มเปิดฉากโจมตี โจวเหว่ยชิงก็คงจะถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่าในพริบตานั้นเสือขาวตัวน้อยบนไหล่ของโจวเหว่ยชิงกลับขยับตัวอย่างเกียจคร้าน อุ้งเท้าสีชมพูอ่อนนุ่มแสนน่ารักทั้ง 4 ของมันย่ำลงบนไหล่ของเขาขณะที่มันพุ่งกระโจนออกไปข้างหน้า โจวเหว่ยชิงซึ่งแต่เดิมสูญเสียการควบคุมจิตใจของตัวเองจู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงสติสัมปชัญญะที่กลับคืนมา ทว่าในพริบตาต่อมารูม่านตาแดงก่ำของเขาก็ต้องหดแคบลงด้วยความประหลาดใจ

ในขณะที่เสือขาวตัวน้อยหรือเจ้าแมวอ้วนกระโจนออกจากไหล่ของโจวเหว่ยชิง ร่างกายของมันดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาที่มันร่อนลงถึงพื้นอย่างเงียบๆ เจ้าแมวอ้วนก็กลายเป็นเสือขาวขนาดมหึมาที่มีลำตัวยาว 3 เมตร สูง 1.3 เมตร ดวงตาสีฟ้าเข้มของมันเปล่งประกายแวววาว และเมื่อเจ้าแมวอ้วนเงยหน้าขึ้น มันก็ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างทะนงตัว

เมื่อเสียงคำรามดังสะท้อนไปทั่วทั้งป่า ฉับพลันนั้นก็เกิดความเงียบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ถึงพลังแปลกประหลาดที่กำลังปะทุขึ้นภายในร่างของเขา จากนั้นเขาก็กางแขนทั้งสองข้างออกและร้องคำรามออกไปเช่นกัน

มันเป็นเสียงคำรามของเสืออีกตัวหนึ่งที่ทุ้มต่ำและคมชัด ในขณะที่เสียงคำรามของเสือขาวนั้นแหลมเล็กและมีชีวิตชีวามากกว่า สำหรับเสียงคำรามทั้งสอง เสียงหนึ่งเสียงต่ำเสียงหนึ่งสูง พวกมันทั้งคู่ต่างก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน แสดงให้เห็นถึงอำนาจและความสง่างามอันหาที่เปรียบมิได้ของราชาสัตว์ป่า

เมื่อมองไปยังร่างขนาดมหึมาของเจ้าแมวอ้วนที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าพวกมัน  ทันใดนั้นหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งทั้ง 4 ก็หยุดชะงักด้วยความประหลาดใจ นอกจากราชาหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งแล้ว ภรรยาที่เหลือของมันทั้ง 3 ตัวต่างก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวในดวงตา และเมื่อโจวเหว่ยชิงคำรามร่วมกับเจ้าแมวอ้วน แม้แต่ร่างของราชาหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งก็ยังหดลงเล็กน้อย แม้ว่าดวงตาของมันจะยังคงดุร้าย แต่ก็ไม่ได้ดูน่าเกรงขามเหมือนเมื่อก่อนหน้าอีก

“โฮกกกกกกกก” เมื่อเสียงคำรามสิ้นสุดลง เจ้าแมวอ้วนก็ส่งเสียงขู่ต่ำๆ อีกครั้ง คราวนี้มันหันไปหาโจวเหว่ยชิง ตวัดกรงเล็บเข้าที่อกเสื้อของเขาแล้วดึงหมีน้อยทั้งสองตัวออกมาวางบนพื้น

หมีน้อยทั้งสองตัวถูกปกคลุมไปด้วยชั้นพลังสีเทา ร่างเล็กๆ ของพวกมันสั่นสะท้านราวกับได้รับความเจ็บปวดอย่างมาก

ทันใดนั้นดวงตาของเจ้าแมวอ้วนก็เปลี่ยนเป็นสีขาววาววับราวกับผลึกแก้ว แสงสีขาวสว่าง 2 สายพุ่งออกมาจากดวงตาของมันก่อนจะกระทบเข้ากับร่างของหมีน้อยทั้งสองตามลำดับ นั่นทำให้หมอกสีเทาที่อยู่รอบตัวพวกมันจางลงไป หมีน้อยทั้งสองจึงหยุดสั่นในทันที

วินาทีต่อมา เจ้าแมวอ้วนก็ยกอุ้งเท้าขนาดใหญ่วางไว้บนตัวหมีตัวน้อยทั้งสอง มันหันกลับไปทางหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งทั้ง 4 ตัวก่อนจะส่งเสียงคำรามต่ำๆ อีกครั้งราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง

หลังจากถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เจ้าแมวอ้วนก็หันศีรษะไปทางทิศเหนือและดวงตาสีขาวก็เปลี่ยนกลับไปเป็นสีฟ้าตามปกติ ทว่าดวงตาของมันก็ยังคงเย็นชาและดูอันตราย รังสีฆ่าฟันเริ่มแผ่ขยายออกมาจากร่าง

………………………………

Related

“เจ้าโง่ ลงมาเร็ว รีบตามข้ามา” ทันใดนั้นเสียงของมู่เอินก็ดังขึ้นจากด้านล่าง โจวเหว่ยชิงจึงคว้าตัวซ่างกวนปิง   เอ๋อร์กระโดดลงมาอย่างรวดเร็ว

“อาจารย์ ลูกศรของท่านโหดเหี้ยมมาก!” ‘ร่างกายส่วนล่าง’ ของโจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะอ่อนยวบลงเล็กน้อยเมื่อเห็นมู่เอิน

มู่เอินแสยะยิ้มและกล่าวว่า “จำไว้ ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะแข็งแกร่งแค่ไหน อย่างไรก็ต้องมีจุดอ่อนอยู่เสมอ อสูรสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน เอาล่ะ ตอนนี้รีบไปได้แล้ว เจ้านั่นคลุ้มคลั่งไปแล้ว มันจะเป็นแบบนั้นไปอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง”

เมื่อพูดจบก็พาโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์หนีไปยังพื้นที่ปลอดภัยที่ห่างจากหมีคลั่งนั้นประมาณ 500 หลา เมื่อมองไม่เห็นมันในระยะสายตา พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่เงี่ยหูฟังความพิโรธของมันจากระยะไกลๆ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าในขณะที่พวกเขากำลังจะจากไปนั้น ลูกเสือสีขาวตัวน้อยน่ารักหรือเจ้าแมวอ้วนก็เหลือบมองหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม

หลังจากที่มู่เอินพาทั้งสองคนไปยังพื้นที่ปลอดภัย เขาก็พูดอย่างพอใจ “ลูกศร 2 ดอกนั้นของอาจารย์เป็นยังไงบ้าง? ทรงพลังไหม?”

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น การที่อสูรสวรรค์ระดับเทวะได้รับบาดเจ็บจากลูกศรของมู่เอิน เขาก็รู้สึกว่าอาจารย์ของตนทรงพลังมากและนั่นก็เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจมาก

มู่เอินแสยะยิ้มและกล่าวว่า “หึ นี่เป็นวิธีการยิงธนูแบบพิเศษที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเอง แต่มันเหมาะสำหรับจ้าวมณียุทธ์ที่มีทักษะประเภทความแข็งแกร่งเท่านั้น อนิจจา พลังของข้าไม่เพียงพอที่จะควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นข้าจึงหมุนคันธนูได้เพียงแค่ครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นพลังของมันคงจะยิ่งใหญ่มากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ทักษะนี้ก็ควบคุมยากมาก ยิ่งหมุนคันธนูมากเท่าไหร่ พลังก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่ก็ยิ่งควบคุมได้ยากขึ้นด้วย”

“เหตุผลที่พวกเราทุกคนต้องล่าถอยอย่างรวดเร็วนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องเรียนรู้ เมื่ออสูรสวรรค์รู้สึกว่าพวกมันถูกคุมด้วยความอันตรายถึงชีวิต บางครั้งพวกมันก็จะเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่ง ภายใต้สภาวะเช่นนี้พวกมันจะน่ากลัวที่สุด พวกมันกำลังใช้พลังชีวิตและความสามารถโดยกำเนิดของพวกมันระเบิดพลังภายในอันน่าสะพรึงกลัวออกมา และนั่นจะทำให้พวกมันสามารถใช้พลังได้มากขึ้นหลายเท่า จริงๆแล้วนั่นค่อนข้างคล้ายกับสถานะปีศาจกลายร่างของจ้าวมณีสวรรค์ธาตุปีศาจ ความแตกต่างคือแม้จะอยู่ภายใต้สภาวะบ้าคลั่ง อสูรสวรรค์ก็ยังคงมีสติอยู่ ด้วยความแข็งแกร่งของหน่วยเรา การพยายามฆ่าหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งในสภาพเช่นนี้เป็นไปไม่ได้แน่นอน เจ้าเองก็เห็นว่าการป้องกันของมันนั้นแข็งแกร่งเกินไป อย่างไรก็ตาม หลังจากอสูรสวรรค์ผ่านพ้นสภาวะบ้าคลั่งไปแล้ว มันจะเข้าสู่ช่วงที่ร่างกายอ่อนแอลงเป็นระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นเราทุกคนจึงล่าถอยเพื่อรอให้มันเข้าสู่สภาวะนั้น และก็มีเพียงช่วงเวลานั้นที่เราจะมีโอกาสจัดการมันได้สำเร็จ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าพร้อมกัน แน่นอนว่าคำสอนในสนามรบย่อมฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของพวกเขาอยู่แล้ว

เมื่อนึกไปถึงการโจมตีเพื่อก่อกวนของสมาชิกแต่ละคนในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ รวมไปถึงความจริงที่ว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนทำไปโดยมีจุดประสงค์ในใจ การที่พวกเขาใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นเพื่อสร้างความสับสนให้กับหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็ง ทุกอย่างทำไปเพื่อลูกศรดอกสุดท้ายของมู่เอิน ทำให้มันโกรธเกรี้ยวและเข้าสู่สถานะบ้าคลั่ง อาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่เริ่ม สมาชิกทุกคนเข้าใจหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีและดำเนินการตามแผนอย่างรอบคอบเพื่อทำให้สุดท้ายหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งเข้าสู่สถานะอ่อนแอ ในช่วงเวลานั้น พวกเขาทุกคนต่างก็รับผิดชอบหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

เวลาผ่านไปค่อนข้างเร็ว ไม่นานเสียงการทำลายล้างที่น่าหวาดกลัวก็ค่อยๆ หยุดลง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงโหยหวนลากยาวของหมียักษ์ตัวนั้น มู่เอินให้สัญญาณกับทั้งสองคนก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับไปหาหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งตัวนั้น

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินตามหลังมู่เอินไป ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นเศษซากของป่าที่ถูกหมีตัวนั้นทำลายล้าง หัวใจของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะบีบรัดแน่น ภายในรัศมีหลายร้อยหลานั้นเต็มไปด้วยหลุมขนาดใหญ่บนพื้นดินและซากต้นไม้ที่ถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ตอนนี้หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งตัวใหญ่กำลังนอนหมอบอยู่บนพื้น หน้าอกของมันกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความหอบเหนื่อย ในปากยังมีลูกหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งตัวเล็กๆ กำลังถูกเคี้ยวอยู่ บริเวณไม่ไกลออกไปมีลูกหมีตัวน้อยอีกสองตัว ลูกหมีตัวที่ถูกเคี้ยวอยู่ในปากมีเลือดไหลออกมาอาบร่างและน่าจะไร้ชีวิตไปแล้ว ส่วนอีกสองตัวที่เหลือต่างก็กำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวอยู่ที่ด้านข้าง

หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งตัวเล็กๆ ทั้งสามตัวมีขนาดเล็กพอๆ กับเสือขาวตัวน้อยหรือเจ้าแมวอ้วน เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นทารกแรกเกิด ด้วยเหตุนั้นทุกคนจึงรับรู้ได้ว่าเป้าหมายดั้งเดิมของหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งตัวเต็มวัยนั้นคือการตามล่าพวกลูกหมีนั่นเอง

“แย่แล้ว! เราต้องรีบจัดการมันและหนีให้เร็วที่สุด! หากมีลูกหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งที่เพิ่งเกิดใหม่ที่นี่ก็หมายความว่ามีหมีผู้ใหญ่ตัวอื่นๆอยู่ด้วย เจ้านี่น่าจะมาที่นี่เพื่อล่าทารกแรกเกิดของศัตรูของมัน!”

ในขณะที่พูดเช่นนั้น มู่เอินก็ขยับตัวอย่างรวดเร็วและใช้ทักษะการยิงธนูที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้ลูกศรของเขาพุ่งทะยานเข้าใส่ศีรษะของหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งอย่างโหดเหี้ยม โล่พลังปราณสีน้ำเงินของหมีตัวใหญ่ได้หายไปแล้วและลูกศรของมู่เอินก็พุ่งเข้าใส่ศีรษะของมันอย่างจัง แรงระเบิดทำให้ขนและผิวหนังของมันปริแตกออกมาทันที

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง แสงสีเขียวประหลาดก็ปรากฏขึ้น มันมีรูปร่างเหมือนดาวหางเนื่องจากมีปลายหางลากยาวอยู่ด้านหลัง ลูกศรดาวหางนั้นเจาะทะลวงเข้าไปในดวงตาของหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งทันที อันที่จริงมันคือการเก็บงานสุดท้ายของ ‘สุดยอดนักฆ่า’ และเขาได้เลือกเป้าหมายดั้งเดิมของพวกเขา นั่นก็คือจุดอ่อนที่ดวงตา

หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งตัวใหญ่เริ่มสั่นเทา มันยังไม่อยากตาย ร่างของมันกระตุกด้วยความโกรธแค้น ทว่าศีรษะของมันกลับถูกลูกศรดอกสุดท้ายของหัวเฟิงแทงทะลุจนทำให้พลังปราณสวรรค์ถูกปลดปล่อยมาออกจากร่างกายอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในที่สุดร่างขนาดใหญ่ของมันก็ล้มลงบนพื้น เลือดสดๆ ไหลออกมาจากดวงตา จมูก และปากของมัน ในที่สุดอสูรสวรรค์ระดับเทวะตัวใหญ่นี้ก็เสียชีวิตลง

ร่างหลายร่างปรากฏขึ้นในชั่วพริบตานั้น พวกเขาทั้ง 5 เริ่มลงมือหั่นศพของหมียักษ์ตัวนี้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีการพูดคุยใดๆ พวกเขาจำเป็นต้องนำสิ่งที่พวกเขาต้องการออกมาก่อน จากนั้นก็รีบเผ่นหนีให้เร็วที่สุดก่อนที่สัตว์ร้ายตัวอื่นจะกลับมา

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขยับเข้าไปใกล้พวกเขา ทว่าเนื่องจากการระดับการฝึกปราณที่ต่ำเกินไป พวกเขาจึงไม่อาจสอดมือเข้าไปช่วยเหลือ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รีบเดินไปหาลูกหมีแรกเกิดทั้งสองตัว อุ้มพวกมันขึ้นมาจากนั้นก็โอบกอดเอาไว้ ลูกหมีตัวน้อยทั้ง 2 ยังไม่ทันลืมตาด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าพวกมันเพิ่งคลอดออกมา ร่างกายจึงถูกปกคลุมไปด้วยขนนุ่มบางๆ ดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างมากและตอนนี้พวกมันก็กำลังสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บและความหวาดกลัว

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยากจะถอดชุดชั้นนอกเพื่อคลุมพวกมันเอาไว้ แต่เนื่องจากเธอก็ไม่ได้สวมชุดมาหลายชั้นดังนั้นจึงไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้  เธอหันไปหาโจวเหว่ยชิงด้วยใบหน้าขึ้นสีและมองเขาอย่างอ้อนวอน “อ้วนน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าใจดีที่สุด” โจวเหว่ยชิงเปิดเสื้อคลุมของเขาอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “มานี่ ข้าคิดว่าหนึ่งตัวหรือสามตัวก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่”

“กรร…!” เสือขาวตัวน้อยร้องอย่างไม่พอใจและแยกเขี้ยวใส่หมีตัวน้อยทั้งสองอย่างดุร้าย มันไม่พอใจที่ลูกหมีทั้งสองบุกรุกเข้าไปในอาณาเขตของมัน

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “เจ้าแมวอ้วน เจ้าหวงอาณาเขตขนาดนี้เลยหรือ? ยังไงเจ้าก็อายุเยอะกว่าพวกมันมาก จะรังแกพวกมันได้ลงหรือ?” เมื่อพูดเช่นนั้น เขาก็ลูบหัวเสือสีขาวตัวน้อยเบาๆ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งหมีน้อยทั้ง 2 ตัวให้เขาอย่างมีความสุข เมื่อเขาวางพวกมันลงในเสื้อคลุมของเขา ในที่สุดทั้งสองตัวก็หยุดสั่น อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาสีหน้าของโจวเหว่ยชิงก็เปลี่ยนไป จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าปากเล็กๆ ที่เปียกชื้นของทั้งสองตัวกำลังดูดดึงหน้าอกของเขาอยู่

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของโจวเหว่ยชิงดูแปลกไป ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะถามเขาอย่างสงสัย “อ้วนน้อย เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่?”

“อะ…ข้าสบายดี” โจวเหว่ยชิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขาไม่มีทางบอกความจริงกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์เพราะมันน่าขายหน้าเกินไป นอกจากนี้ เขายอมทรมาณกับสิ่งนี้ดีกว่าให้ภรรยาของเขาถูกหมีตัวน้อยจอมโกงทั้ง 2 ตัวนี้ดูดทึ้งหน้าอกแทน!

หัวเฟิงและคนที่เหลือนั้นรวดเร็วมาก  แม้ว่าขนของหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งจะเหนียวและยืดหยุ่นมาก ทว่าพวกเขากลับใช้เวลาเพียงไม่ถึง 1 มื้ออาหารก็ทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ช้าทั้งอุ้งเท้าทั้งสี่ ถุงน้ำดี และแก่นพลังอยู่ในมือของพวกเขาเรียบร้อย

มู่เอินกล่าวด้วยท่าทางเสียใจ “เฮ้อ เสียดายที่ไม่มีเวลาถลกหนังหมี หนังหมีผืนใหญ่เช่นนี้เราสามารถนำไปขายได้อย่างน้อยตั้ง 50,000 เหรียญทอง!”

ฮั่วเฟิงส่งเสียงเย็นๆ ในลำคอแล้วพูดว่า “ถอยเดี๋ยวนี้ เอาชีวิตให้รอดก่อน ค่อยพูดถึงเรื่องหาเงินเพิ่ม พ่อแม่ของเจ้าตัวน้อยพวกนี้น่าจะออกไปล่าอาหาร ด้วยเสียงรบกวนก่อนหน้านี้ พวกมันน่าจะกลับมาในไม่ช้า ไปได้แล้ว!”

ฮั่วเฟิงยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดก็ดังออกมาใกล้ๆ ร่างขนาดมหึมา 4 ร่างพุ่งออกมาจากป่าพร้อมกันด้วยความเร็วดั่งพายุ พวกมันพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วพอๆ กับหมีตัวก่อนหน้าจากระยะ 100 หลา ก่อนที่จะระเบิดพลังโจมตีออกมา สีหน้าของหัวเฟิงเปลี่ยนไปทันที เขาออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว “มู่เอิน เร็วเข้า นำตัวเหว่ยน้อยและปิงเอ๋อร์ออกไปเดี๋ยวนี้”

ปฏิกิริยาของเขาไม่ได้ถือว่าช้า แต่พวกเขาก็ยังสายเกินไป ร่างขนาดมหึมาทั้ง 4 คือหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งทั้ง 4 ตัว นอกเหนือจากขนาดตัวแล้ว พวกมันก็ยังเร็วกว่าอสูรสวรรค์ทั่วไปมากเนื่องจากพวกมันมีทักษะธาตุลม และยิ่งพวกมันใช้ทักษะการโจมตี ความเร็วในการระเบิดพลังของพวกมันก็เหลือเชื่อมาก

หมีจ่าฝูงมีขนาดตัวมหึมามาก อาจะเรียกได้ว่าใหญ่กว่าตัวที่พวกเขาฆ่าก่อนหน้านี้เสียอีก ทันทีที่มันพุ่งออกมาและเห็นศพของหมีตัวเต็มวัยที่ตายแล้วพร้อมกับลูกหมีตัวเล็กในปากของมัน ร่างสูง 8 เมตรก็เข้าสู่สภาวะบ้าคลั่งทันที

คนผู้หนึ่งกระโจนหลบการโจมตีของมัน ร่างกายของเขาคล้ายกับจะโค้งออกเป็นรูปคันธนูกลางอากาศขณะที่อุ้งเท้าขนาดใหญ่พาดลงมาโดนพื้นเปล่าๆ แทน

“วิ่ง!” ในขณะนี้ไม่มีใครอยากจะอยู่ต่อสู้กับฝูงหมีร่างยักษ์เหล่านี้แล้ว พวกเขาทั้งหมดต่างก็รีบเผ่นหนีด้วยความเร็วสูงสุด

อนิจจา หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งตัวนี้คือเจ้าป่าบริเวณนี้ มันคือราชาหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งและเป็นอสูรสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้นคือมันเป็นบิดาของลูกหมีตัวน้อยเหล่านั้น เมื่อเห็นลูกของตนถูกฆ่าตาย ทุกคนก็อาจจะจินตนาการความโกรธของมันได้

อุ้งเท้าทั้งสองของมันฟาดลงบนพื้นอย่างไร้ความปรานี ราวกับว่าตอนนี้เกิดแผ่นดินไหวหรือดินถล่ม เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นมา คลื่นพลังที่สั่นสะเทือนรุนแรงหลอมรวมเข้ากับแสงสีเหลือง ก่อนจะสาดกระจายออกมาทางพวกเขาที่กำลังวิ่งหนีตายด้วยความเร็วสูงสุด

หมีตัวนี้ไม่เพียงแต่เป็นราชาหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งที่มีขนาดตัวมหึมามากเท่านั้น มันยังมีทักษะธาตุ 3 ชนิดนอกเหนือจากทักษะธาตุลมและน้ำแข็งตามปกติ นั่นก็คือมันมีธาตุดินอยู่ด้วย ขณะนี้ทักษะที่มันใช้ก็คือทักษะธาตุดินที่เรียกว่า ‘ทักษะผืนดินคำราม’ ทักษะนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นหนึ่งในทักษะการโจมตีที่โหดเหี้ยมที่สุด แต่ก็ยังเป็นทักษะการควบคุมที่แข็งแกร่งที่สุดอีกทักษะหนึ่งด้วย! หากจะมีใครสามารถกักเก็บทักษะนี้ได้ มันก็คงจะเป็นทักษะระดับ 9 ดาวที่แข็งแกร่งที่สุดของธาตุดินอย่างไม่ต้องสงสัย

…………………………………

Related

“ช่างเป็นอสูรสวรรค์ที่เฉลียวฉลาดจริงๆ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาอย่างตื่นตะลึง

“หลังจากถูกซุ่มโจมตี มันก็ยังรู้วิธีเก็บกวาดสิ่งกีดขวางรอบๆ ตัวเพื่อเปิดทางให้ตัวเองมองเห็นรอบด้านได้ชัดเจน ทั้งยังสามารถป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้ามาใกล้ได้ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่อาจารย์พูดว่าอสูรสวรรค์ระดับเทวะมีสติปัญญาเกือบจะอยู่ในระดับเดียวกันกับมนุษย์แล้ว”

ขณะที่เธอพูดอยู่นั้น ในสนามรบก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แสงสีแดงดูเหมือนจะพุ่งทะยานเข้าใส่พายุหมุนลูกนั้น ก่อนจะกระแทกใส่เกราะพลังสีฟ้ารอบๆ ตัวหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งอย่างแรงจนทำให้มันคำรามอีกครั้งด้วยความโกรธเกรี้ยว

โจวเหว่ยชิงสังเกตเห็นว่าแสงสีแดงนี้คือลูกศรอีกดอกซึ่งยิงมาจากทิศทางตรงกันข้ามกับลูกศรดอกแรก หมีตัวใหญ่จึงหมุนตัวไปรอบๆ เพื่อเปลี่ยนทิศทาง เห็นได้ชัดว่ามันถูกดึงดูดด้วยลูกศรดอกที่ 2 เนื่องจากพลังของลูกศรดอกนี้แข็งแกร่งกว่าดอกแรกมาก

หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งคำรามด้วยโทนเสียงโกรธจัด มันทุบอุ้งเท้าลงบนพื้น แสงสีฟ้าเรืองรองจากตัวมันค่อยๆขยับออกไปกอบโกยหิมะบนพื้นให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า หิมะเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นก้อนน้ำแข็งแหลมๆ นับพันเล่ม ก่อนจะพุ่งไปในทิศทางที่ลูกศรดอกนั้นจากมา เสียงลมโหยหวนดังขึ้นขณะก้อนน้ำแข็งแหลมๆ พวกนั้นพุ่งตัดผ่านอากาศ ภาพนั้นราวกับว่าพลธนูจำนวนหลายร้อยคนกำลังยิงลูกศรออกมาพร้อมๆ กัน

ทว่าในขณะนั้นเอง พายุหมุนสีเขียวก็ปรากฏขึ้นกีดขวางเส้นทางของเศษน้ำแข็งพวกนั้นอย่างไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า จากที่เห็น ความรุนแรงของพายุหมุนสีเขียวลูกนั้นถือว่ามีพลังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับมวลน้ำแข็งจำนวนมหาศาลพวกนั้น แต่จุดประสงค์ของพายุลูกนี้ไม่ใช่เพื่อหยุดยั้งพวกมัน แต่เพื่อเปลี่ยนแปลงเส้นทางให้เบี่ยงออกไปเล็กน้อยต่างหาก นี่คือพลังธาตุลม และเห็นได้ชัดว่ามาจากหัวเฟิง

ในขณะนี้มู่เอินอยู่ห่างจากหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งในระยะไม่เกินหนึ่งร้อยหลา มณียุทธ์ของเขาเปล่งพลังความแข็งแกร่งและความว่องไวออกมา จากนั้นธนูยาวสีดำขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นในมือของเขา ในพริบตาถัดไป ลูกศรที่เปล่งประกายสีทองเรืองรองก็ปรากฏขึ้นมาเช่นกัน มู่เอินพาดมันไว้กับสายธนู เขากำลังจะง้างสายขึ้น  ทันใดนั้นภาพแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิง

มู่เอินไม่ได้ง้างสายธนูขึ้นโดยตรง แต่กลับทำสิ่งที่ทำให้ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์มึนงง มือขวาของเขายังคงง้างสายธนูไว้อย่างนั้น แต่มือซ้ายที่ถือคันธนูกลับไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งเดิมเหมือนอย่างเคยเนื่องจากเขาหมุนคันธนูทั้งคันขึ้นเป็นวงกลม 1 ทบ!

สายธนูของเขาก็มีสีดำเช่นกัน ในขณะที่เขาหมุนคันธนูขึ้น มันก็ถูกง้างขึ้นถึงขีดสุดจนอยู่ในรูปกระแสน้ำวน โจวเหว่ยชิงมองเห็นได้ไม่ชัดเจนว่านิ้วของมู่เอินถือสายธนูอยู่ตรงไหนเพราะมันถูกบิดเป็นเกลียวโดยที่ก้านลูกศรนั้นถูกบิดจนเป็นวงกลมอยู่ตรงกลาง!

นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้เห็นวิธีการยิงธนูที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ยังไรก็ตาม คนทั้งคู่รู้ว่าสายธนูนั้นแข็งมาก หากไปบิดมันเหมือนที่มู่เอินทำ นิ้วนั่นจะต้องรองรับแรงดึงมากแค่ไหน?! นอกจากนี้ หากว่าลูกศรถูกบิดเป็นวงกลมในขณะที่สายธนูเองก็พันกันอยู่เช่นนั้น เมื่อมู่เอินปล่อยมันออกไป โดยธรรมชาติแล้วลูกศรดอกนั้นย่อมจะต้องพุ่งสะบัดออกไปเป็นวงกลม และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาจะควบคุมทิศทางของมันได้อย่างไร? คำถามมากมายถาโถมเข้ามาในจิตใจของพวกเขา ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิงกำลังจดจ่ออยู่กับความคิดเหล่านั้น สายตาก็จับจ้องไปที่มู่เอินเมื่อเฝ้ามองดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

ขณะที่มู่เอินกำลังง้างธนูขึ้นในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของเขานั้นเอง ห่าลูกศรจากจาก 4 ทิศทางก็พุ่งเข้าหาหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งไปพร้อมกันด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ลูกศรเหล่านั้นล้วนถูกเตรียมการมาเป็นอย่างดี หากมันปัดป้องไว้ได้ทางหนึ่ง ลูกศรจากทิศตรงกันข้ามก็เตรียมพุ่งเข้าซ้ำทันที สิ่งนี้ทำให้มันเกิดความสับสนอยู่ชั่วขณะจนไม่รู้ว่าจะปัดป้องในทิศทางใดก่อน

อย่างไรก็ตาม หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งก็เป็นถึงอสูรสวรรค์ระดับเทวะที่มีสติปัญญาเกือบเท่ามนุษย์ มันไม่ใช่อสูรสวรรค์ธรรมดาที่เคี้ยวได้ง่ายๆ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดมันก็ตัดสินใจได้ แต่ในขณะที่มันกำลังจะปัดป้องลูกศรที่มาจากทิศทางหนึ่งนั่นเอง ธนูของมู่เอินก็แหวกอากาศออกมาแล้ว

เสียงของลูกศรดอกนี้แปลกประหลาดมาก มันไม่ใช่เสียงหวีดหวิวคล้ายกับลูกศรที่พุ่งเสียดอากาศออกมาเป็นเส้นตรง แต่กลับเป็นเสียงลมพัดคำรามคล้ายกับพายุหมุนลูกใหญ่ โจวเหว่ยชิงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่มู่เอินยิงออกมาไม่ใช่แค่ลูกธนู แต่เป็นลูกบอลแสงสีดำดวงหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น เสียงของมันก็ดูเหมือนจะเพิ่มระดับความดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะพุ่งทะยานออกไป

*ตูม*! หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งที่กำลังจะพุ่งเข้าโจมตีใส่ห่าธนูฝั่งหนึ่งถูกก้อนแสงสีดำพุ่งเข้าชนอย่างแรง และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็ทำให้กรามของโจวเหว่ยชิงแทบจะอ้าค้างจนหุบไม่ลง

ก่อนหน้านี้ ลูกศรจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าหามันจากทั้ง 4 ทิศทางนั้นถูกยิงออกมาโดยสมาชิกคนอื่นๆ ของหน่วยหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ แต่ทว่าห่าธนูพวกนั้นก็ไม่อาจทำให้ร่างของหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งระแคะระคายได้แม้แต่ส่วนเดียว อย่างไรก็ตามลูกศรของมู่เอินกลับทำให้มันสะดุดถอยหลังไปสองสามก้าว เกราะป้องกันสีฟ้าสดใสที่อยู่กางอยู่รอบๆตัวมันกำลังอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่เกิดเสียงระเบิดขึ้น ความสนใจของหมีตัวนั้นจึงพุ่งตรงไปยังมู่เอินอย่างเต็มที่

พลังระเบิดทำลายล้าง! นั่นคือพลังระเบิดทำลายล้าง! และแน่นอนว่านั่นคล้ายกับพลังของธนูราชันมาก! เนื่องจากเขายิงธนูราชันมาหลายครั้ง โจวเหว่ยชิงคุ้นเคยกับพลังของมันเป็นอย่างดีและทำให้เขาตระหนักถึงบางอย่างได้

“โฮกกกกก!” หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว อุ้งเท้าหน้าทั้งสองข้างของมันกระแทกลงกับพื้นอีกครั้งจนทำให้เกิดเสียงตูมตามครั้งใหญ่ พายุหิมะพัดกรรโชกเข้าหามู่เอินราวกับว่านั่นคือพายุความโกรธของมัน โจวเหว่ยชิงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหมีตัวนั้นมีร่องรอยบาดแผลที่ได้รับจากการโจมตีของมู่เอิน ลูกศรของอาจารย์ทำร้ายมันได้จริงๆ หรือนี่? ร้ายกาจจริงๆ

หลังจากที่มู่เอินยิงลูกศรดอกนั้นออกไป เขาก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที ด้วยรูปร่างที่ผอมแห้งและต่ำเตี้ย มู่เอินจึงสามารถเคลื่อนไหวไปในหิมะด้วยท่าทางว่องไวและปราดเปรียวคล้ายลิงหิมะตัวหนึ่ง ไม่นานเขาก็หายตัวไปท่ามกลางพายุหิมะอันหนาวเหน็บ แม้แต่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่จดจ้องเขาตาไม่กระพริบก็ไม่รู้ว่าเขาหายตัวไปเช่นนั้นได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนั้นการโจมตีของหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งจึงคลาดไปจากตัวมู่เอินเช่นกัน ทว่าการโจมตีเรียกเลือดของเขาก็ทำให้อสูรสวรรค์ตัวนี้โมโหเป็นอย่างมาก ดวงตาสีฟ้าเยือกเย็นของมันจึงฉายแววอำมหิตออกมา ร่างกายขนาดมหึมาดูเหมือนจะหดลงเล็กน้อย ในพริบตาเดียวมันก็กระโจนออกไป ร่างยักษ์ของมันดูเหมือนจะวูบไหวเป็นเงามัวๆ ขณะที่มันกระโจนเข้าใกล้มู่เอินด้วยความเร็วสูงเพื่อปิดช่องว่าง 100 หลาระหว่างทั้งคู่ ขณะที่มันวิ่งผ่านต้นไม้ที่เหลือรอดจากการโจมตีครั้งก่อน ต้นไม้เหล่านั้นต่างก็โดนลูกหลงจนโค่นล้มระเกะระกะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เมื่อมันมาถึงที่หมาย หมียักษ์ก็ยืดตัวขึ้นยืนตรง ในอุ้งมือของมันเต็มไปด้วยแสงสีฟ้าที่ดูแข็งแกร่ง ทันใดนั้นมันก็ฟาดอุ้งมือกระแทกลงกับพื้นอีกครั้ง

ภาพที่น่าประหลาดใจปรากฏสู่สายตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิงอีกครั้ง ขณะที่หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งกระแทกอุ้งมือลงกับพื้นพร้อมกับคำรามออกมาเสียงดังกึกก้อง ทันใดนั้นเศษน้ำแข็งแหลมคมขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนก็ลอยขึ้นก่อนจะพุ่งทะยานออกไปสู่ทุกทิศทางเป็นรูปวงกลมในรัศมี 50 หลา

เศษน้ำแข็งเหล่านั้นมีความยาวอย่างน้อย 3 เมตร พวกมันส่องแสงประกายวิบวับและมีบริเวณส่วนปลายคมกริบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งมีชีวิตในรัศมีรอบๆนั้นจะต้องถูกเศษน้ำแข็งเหล่านี้เจาะทะลุร่างแน่ๆ

เห็นได้ชัดว่าหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งเองก็หามู่เอินไม่พบเช่นกัน ทว่าเพื่อร่นระยะทางระหว่างกัน มันจึงวิ่งเข้ามายังบริเวณที่มู่เอินเคยยืนอยู่ก่อนหน้าและปลดปล่อยเศษน้ำแข็งรูปร่างแหลมคมออกไปเพื่อหวังกำจัดมู่เอินไปพร้อมกับการโจมตีเพียงครั้งเดียว

ช่างเป็นพลังที่แข็งแกร่งขนาดอะไรนี้! โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเองขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นปิดปากไม่ให้ตัวเองร้องออกมาด้วยความตกตะลึง

เมื่อพลังมหาศาลของหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งระเบิดออกมา กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวก็แผ่กระจายไปทั่วบริเวณ เศษน้ำแข็งคมกริบก็พุ่งทะลุออกมาจากพื้นดินอีกครั้ง แต่ทว่ามันก็ยังหามู่เอินไม่พบและชัดเจนว่าเขายังอยู่ดี

ขณะที่หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งได้ปลดปล่อยระเบิดน้ำแข็งอันทรงพลังออกมา สมาชิกคนอื่นๆของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ก็เริ่มจู่โจมมันอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาโจมตีพร้อมกันในครั้งเดียว ห่าลูกศรที่เรืองรองไปด้วยแสงสีแดงและเงาสีดำทั้งหมดต่างก็พุ่งทะยานออกมาจากทุกทิศทางตรงเข้าหาสัตว์ร้ายที่กำลังโกรธเกรี้ยว เป้าหมายของลูกศรพวกนั้นอยู่ที่ตาและหูของมัน เนื่องจากระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของมัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจุดอ่อนทั้ง 2 นี้เป็นวิธีเดียวที่พวกเขาจะสามารถจัดการกับหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งได้

ขณะที่หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งพยายามจะหมุนร่างหลบหนี เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าลูกศรเหล่านี้ราวพวกมันกับมีตา ไม่ว่าอสูรสวรรค์จะขยับหนีและหลบเร็วแค่ไหน ลูกศรเหล่านั้นก็ยังคงพุ่งตรงไปยังเป้าหมายอย่างไม่ลดละ พริบตาเดียวก็สามารถเข้าใกล้ตาและหูของมันแล้ว แม้จะมีโล่พลังปราณคอยปกป้อง แต่การโจมตีจากลูกศรเหล่านั้นก็จำกัดการมองเห็นและการได้ยินของมันเป็นอย่างมาก

ทันใดนั้นเอง เสียงพายุหมุนก็พัดคำรามขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่าในครั้งนี้แสงสีดำฉวยโอกาสในขณะหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งกำลังจดจ่อกับการปกป้องศีรษะของมันพุ่งกระแทกเข้าที่ ‘ส่วนล่าง’ ลำตัวของหมียักษ์ตัวนั้นอย่างจัง เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง และแม้จะหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งมีร่างกายที่ใหญ่โตแค่ไหน มันก็ยังต้องเดินโซซัดโซเซไปมา

ก่อนหน้านี้หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งเพิ่งจะร้องขู่คำรามออกไปอย่างเกรี้ยวกราด แต่ทว่าเมื่อลูกศรดอกนี้พุ่งเข้าใส่    ‘ส่วนนั้น’ ของมัน ในชั่ววินาทีนั้นเสียงของหมียักษ์ก็พลันเงียบกริบลงทันที ดวงตาของมันปูดโปนออกมาพร้อมๆ กับที่มันยกอุ้งมือขึ้นมาปกป้องส่วนล่างของมันไว้คล้ายกับท่าทางของมนุษย์ กรามของมันอ้าค้าง ราวกับว่ามีบางอย่างติดคออยู่จนไม่อาจจะส่งเสียงใดๆ ออกมาได้

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของโจวเหว่ยชิงส่งเสียงในลำคอเบาๆ ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อยขณะที่เธอหันหน้าหนีไปอีกด้านอย่างไม่เต็มใจมอง ในทางกลับกัน โจวเหว่ยชิงกลับจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยดวงตาที่ปูดโปนออกมาเหมือนหมียักษ์ตนนั้นแทน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่าการที่สมาชิกของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ยืนกรานจะโจมตีแค่ดวงตาและหูของหมีตัวนั้นก็เพื่อลวงให้มันเพ่งความสนใจทั้งหมดไปกับการป้องกันส่วนศีรษะ ทุกอย่างนั้นถูกจัดฉากเอาไว้ก็เพื่อรอลูกศรปิดท้ายจากมู่เอินนั่นเอง

จริงๆ แล้วการโจมตีที่จุดอ่อนแบบนั้น…ตรงส่วนนั้น…เอ่อ…’ส่วนลับ’ ของหมี…แม้ว่าเกราะพลังปราณของมันจะสามารถป้องกันลูกศรได้ แต่แค่แรงระเบิดเพียงอย่างเดียวก็ทำให้หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งไม่มีปัญญาจะสนใจอย่างอื่นได้แล้ว ช่างไร้ยางอาย…ขี้โกง…เจ้าเล่ห์…สัปดน…พวกเขาถึงกับยิงตรงนั้นของหมีจริงๆ!

ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างในอกของเขากำลังเคลื่อนไหว จากนั้นก้อนขนสีขาวน้อยๆ ก็โผล่ออกมาส่งเสียงร้องอย่างไม่พอใจ มันคือเสือสีขาวตัวน้อย เจ้าแมวอ้วนนั่นเอง

หลายวันนี้มานี้เจ้าหนูน้อยกระหายการนอนหลับมาก มันไม่กินอะไรเหมือนอย่างเคยและเอาแต่นอนหลับสนิทอยู่ในอกเสื้อของโจวเหว่ยชิง นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงแทบจะลืมเรื่องของเจ้าตัวน้อยไปซะสนิท แต่ทว่าในตอนที่เขาโอบกอดซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ เขาก็ได้บีบอัดเจ้าตัวน้อยๆ ที่น่าสงสารนี้ไว้ตลอด ทำให้ตอนนี้มันสะดุ้งตื่นและโผล่หัวออกมาเพื่อแสดงความไม่พอใจ อุ้งเท้าเล็กๆ ที่น่ารักของมันโผล่ออกมายึดไหล่ของโจวเหว่ยชิงเอาไว้ จากนั้นมันก็ดิ้นรนพาตัวออกมาจากอกเสื้อของเขาแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนนั้น มันหย่อนก้นลงบนไหล่ของโจวเหว่ยชิงด้วยท่าทีผ่อนคลาย จากนั้นก็สังเกตเห็นท่าทางแปลกประหลาดของหมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งที่กำลังใช้อุ้งมือปกปิดอวัยวะ ‘บางอย่าง’ ของมันไว้โดยไม่อาจส่งเสียงร้องใดๆออกมาได้

สิ่งที่น่าแปลกคือ หลังจากการโจมตีของมู่เอิน สมาชิกหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์คนอื่นๆ ก็หยุดชะงักลงหลังจากนั้นเช่นกัน ไม่นานความเงียบก็โรยตัวขึ้นภายในป่า

“อู้วววววววววว!!!!” เสียงร้องโหยหวนแปลกๆคล้ายเสียงหอนของหมาป่าดังออกมาจากริมฝีปากของหมียักษ์ หากหมีต้องร้องโหยหวนออกมาเหมือนหมาป่าเช่นนี้ ทุกคนก็จินตนาการได้แล้วว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน

หมีสวรรค์ญาณน้ำแข็งเจ็บปวดเป็นอย่างมาก หลังจากที่ร่างกายแข็งค้างไปชั่วครู่ มันก็ร้องโหยหวนออกมา ในเวลาถัดมาดวงตาสีฟ้าเยือกเย็นของมันเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเลือด ไอพลังที่บ้าคลั่งดูเหมือนจะระเหยออกมาจากร่างกายของมันก่อนจะหลอมรวมเข้ากับแสงสีเขียวเหลือบน้ำเงิน เห็นเป็นแสงวูบวาบราวกับน้ำพุกำลังพวยพุ่งออกมา ร่างกายของมันเหมือนพายุหมุนขนาดใหญ่ที่สามารถทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวให้สิ้นซากได้ แม้ว่าโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะอยู่ห่างออกไปมากกว่า 200 หลา  แต่พวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลและกลิ่นอายอำมหิตเยือกเย็นที่ดูเหมือนจะแผ่ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ

……………………………….

Related

มู่เอินกล่าวตอบ “แหงสิ มีอยู่แล้ว แม้พวกลูกมังกรจะเป็นทารกแรกเกิด พวกมันก็ยังคงเป็นอสูรสวรรค์ระดับเทวะที่ทรงพลัง ส่วนพวกที่โตเป็นผู้ใหญ่ก็ถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ในบรรดาอสูรสวรรค์เลยทีเดียว ปกติแล้วจะไม่พบพวกมันที่อื่นนอกจากในอาณาจักรวั่นโซ่ว ที่นี่มีอสูรสวรรค์ที่มีลักษณะคล้ายมังกรอยู่มากมาย ชุดเกราะหนังของพวกเราถูกสร้างขึ้นในอดีตตอนที่เราซื้อหนังมังกรผืนใหญ่มาได้และสั่งตัดขึ้นเป็นเกราะแบบพิเศษ ไม่เพียงแต่น้ำหนักเบาและยืดหยุ่น หนังมังกรเหล่านี้ยังมีสามารถป้องกันการโจมตีได้ในระดับดีเยี่ยม ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งสำคัญสำหรับภารกิจของเราคือกลิ่นอายของมังกรที่แผ่ออกมานั้นสามารถกันอสูรสวรรค์ธรรมดาตัวอื่นๆ ออกไปได้ นี่จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นของวิเศษเลยทีเดียว”

โจวเหว่ยชิงแสยะยิ้มและกล่าวว่า “ ท่านอาจารย์! มีหนังมังกรเหลืออยู่บ้างไหมขอรับ?”

มู่เอินจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าศิษย์ของตนกำลังคิดอะไรอยู่ “จะมีเหลืออยู่ได้อย่างไร หากมี ข้าจะใช้มันครอบคลุมทุกส่วนในร่างกายให้หมดเลยทีเดียว”

ในขณะเดียวกันเสียงของหัวเฟิงดังขึ้นก็มาจากด้านหน้า “เงียบก่อน”

ในขณะที่ลอบเข้ามาในป่าหิมะแห่งนี้พวกเขาก็พบว่าหิมะใต้เท้านั้นลึกประมาณหนึ่งฟุตแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงยากมากที่พวกเขาจะสำรวจภูมิประเทศแถวนี้ให้ทั่ว อากาศบริเวณนี้หนาวจัดมาก โจวเหว่ยชิงจึงสวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าขนสัตว์หนาๆ แต่ทว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับสวมเสื้อผ้าเพียงชุดเดียวเท่านั้น เธอมองไปยังโจวเหว่ยชิง การจ้องมองที่อ่อนโยนของเธอทำให้เขารู้สึกคันยิบในใจ

ก่อนหน้านี้แม่ทัพโจวให้ชุดคลุมผ้าไหมหิมะเป็นของขวัญวันเกิดให้กับเขา ชุดนี้มีน้ำหนักเบาและรัดรูป ไม่เพียงแต่สามารถใช้เป็นเกราะป้องกันชั้นในได้เท่านั้น แต่ชุดนี้ยังสามารถรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมออีกด้วย เหตุผลที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่รู้สึกหนาวก็เป็นเพราะว่าโจวเหว่ยชิงเป็นคนมอบชุดคลุมผ้าไหมหิมะนี้ให้กับเธอนั่นเอง เขากล่าวว่านี่เป็นของหมั้นสำหรับเธอและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธ อนิจจา เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเขาจำเป็นต้องหยุด

ไว้สักพักเนื่องจากสมาชิกของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา โจวเหว่ยชิงจึงไม่สามารถฉวยโอกาสทำตัวสนิทสนมกับเธอได้อย่างที่หวัง

ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในป่า หลัวเขอตี้ก็หายตัวไปทันที ส่วนคนที่เหลือก็จัดขบวนเช่นนี้ หัวเฟิงเดินนำด้านหน้า เกาเฉินและฮั่นโม่ประกบด้านข้าง มู่เอินระวังด้านหลัง ในขณะที่ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินอยู่ในใจกลางของขบวน

หลังจากเดินทางมาร่วมหนึ่งชั่วโมง หลัวเขอตี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ตอนนี้เขาดูไม่เหมือนพวกตาแก่ขี้เมาผู้เกียจคร้านเหมือนอย่างเคยแต่กลับดูกระฉับกระเฉงจนผิดปกติ เขากล่าวกับฮั่วเฟิงด้วยนัยน์ตาเป็นประกายว่า “หัวหน้า ข้าสอดแนมในรัศมี 5 กม.จากที่นี่แต่ก็ยังไม่พบอะไรเลย ตามข้อมูลของผู้ว่าจ้าง หมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งที่อาศัยอยู่ในป่านี้เป็นพวกที่ถูกเนรเทศออกมาจากฝูงของพวกมัน อสูรสวรรค์ตัวอื่นๆ ซึ่งแต่เดิมอาศัยอยู่ที่นี่ก็ถูกไล่ล่าโดยหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งพวกนั้น”

หัวเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ภารกิจครั้งนี้เรียบง่าย แต่ความยากลำบากก็ยังคงเป็นพลังของหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็ง สำรวจต่อไป พวกเราจะค้นหาให้ลึกกว่านี้” ขณะที่พูดเช่นนั้นหัวเฟิงก็ใช้ลูกศรวาดเส้นทางบนหิมะไปด้วย หลัวเขอตี้พยักหน้าและหลังจากสนทนากันอีกสักพักเขาก็หายตัวไปอีกครั้ง

หลังจากหลัวเขอตี้จากไป ภายใต้การนำของหัวเฟิง คนที่เหลือต่างก็หมุนเวียนพลังปราณสวรรค์และเคลื่อนที่ไปต่อด้วยความเร็วสูงสุด ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่หัวเฟิงกล่าว หลังผ่านไป 5 กิโลเมตรพวกเขาก็ชะลอตัวลงและหยุดพักอีกครั้ง โจวเหว่ยชิงตระหนักได้ว่าเหตุผลที่หัวเฟิงทำเช่นนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าคนในกลุ่มจะอยู่ในสภาพดีที่สุดและพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดได้ทุกเมื่อ

พวกเขาเดินทางลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆ จากนั้นเวลา 2 วันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของพวกเขาค่อนข้างช้า คนทั้งกลุ่มสามารถเดินทางได้เพียง 30 กิโลเมตรต่อวัน ส่วนคนที่ยุ่งวุ่นวายที่สุดในหมู่พวกเขาก็น่าจะเป็นหลัวเขอตี้อย่างไม่ต้องสงสัย ในฐานะหน่วยสอดแนม เขามักจะต้องเดินทางไปมาตลอดเวลา โจวเหว่ยชิงถามมู่เอินว่าทำไมพวกเขาถึงเดินทางช้าขนาดนี้และคำตอบก็ง่ายดายมาก เพื่อความปลอดภัย

ในป่าที่อสูรสวรรค์ระดับเทวะอาศัยอยู่ พวกเขาไม่อาจก้าวพลาดไปแม้แต่ก้าวเดียว แค่อสูรสวรรค์ระดับเทวะจำนวน 3 ตัวก็เพียงพอแล้วที่จะกวาดล้างทั้งหน่วยของพวกเขาทิ้งจนสิ้นซาก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหลัวเขอตี้จึงต้องเคลื่อนไหวและสอดแนมทางข้างหน้าตลอดเวลา เพราะเขาไม่เพียงแค่ต้องค้นหาหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งเท่านั้น แต่ยังต้องหาเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเพื่อนร่วมหน่วยของเขาด้วย หากมีสิ่งใดผิดปกติทุกคนจะสามารถหลีกเลี่ยงได้ทันที

หลังจากสังเกตอย่างรอบคอบ โจวเหว่ยชิงก็พบว่าแม้กลุ่มของพวกเขาจะเดินทางในป่าน้ำแข็งแห่งนี้เป็นเวลาสองวันแล้ว ทั้งที่มีอาหารอุ่นๆ ให้กินอย่างมีความสุข แต่สมาชิกในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์กลับยังคงสงบนิ่งและเคร่งขรึมราวกับว่าเคยชินกับเรื่องแบบนี้มาทั้งชีวิต  “ศัตรูโดยธรรมชาติของมือสังหารคือความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ทักษะที่ดีที่สุดของนักฆ่าที่เก่งกาจคือความอดทน” หัวเฟิงบอกกับเขาเช่นนั้น

ในที่สุดใน ณ เวลาใกล้เที่ยงของการเดินทางในวันที่ 3 หลัวเขอตี้ก็กลับมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูตื่นเต้น เขามีข่าวดีที่ทำให้ทุกคนต้องลุกพรวดขึ้นมา เขาพบหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งตัวหนึ่งอยู่ห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่ประมาณ 4 กิโล เมตร

ฮั่วเฟิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เหลี่ยมจัด เจ้าแน่ใจหรือว่ามันอยู่เพียงลำพัง?”

หลัวเขอตี้พยักหน้าและกล่าวว่า “ทันทีที่ข้าพบมัน ข้าเฝ้าดูมันอยู่ระยะหนึ่ง ทั้งยังตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบๆตัวมันด้วย ข้าสำรวจพื้นที่ในรัศมี 2-3 กิโลเมตรรอบๆ นั้นอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีร่องรอยของหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งตัวอื่นๆ หมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งที่อยู่ลำพังตัวนี้ดูเหมือนว่ามันกำลังตามหาอะไรบางอย่าง ทว่ามันรูปร่างกำยำและดูแข็งแรงมาก ข้าคิดว่ามันเป็นตัวที่โตเต็มวัยแล้ว โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว แม้ว่ามันจะไม่จำเป็นต้องจำศีลเหมือนหมีทั่วไป แต่ประสาทสัมผัสของมันก็ค่อนข้างช้ากว่าปกติ”

หัวเฟิงตัดสินใจทันที เขาออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึม “หากเป็นเช่นนั้น พวกเรามาลงมือกันเถอะ ทุกคนจำไว้ว่าเราต้องฆ่าหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งให้ได้ภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุดและรีบหลบหนีทันที เหลี่ยมจัด เจ้าหลอกล่อมัน เกาเฉิน ฮั่นโม่ เจ้าทั้งสองขัดขวางการใช้ทักษะของมัน ส่วนข้าจะรับผิดชอบในการทำลายจุดอ่อนของมัน”

ในขณะที่พูดถึงประโยคนี้ สายตาของเขาก็จ้องไปที่มู่เอิน “ตาแก่อันธพาล ข้าจะฝากแนวหน้าไว้กับเจ้า”

มู่เอินพยักหน้า

เมื่อได้ฟังหัวเฟิงแจกแจงหน้าที่ในภารกิจ โจวเหว่ยชิงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูจากรูปร่างที่เล็กและผอมบางที่สุดของอาจารย์ เขากลับได้รับหน้าที่อยู่ในแนวหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็ง? นี่เขาไม่ได้ยินอะไรผิดไปใช่หรือไม่?

หัวเฟิงสังเกตเห็นโจวเหว่ยชิงมีท่าทีกรุ่นคิดเขาจึงพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “เหว่ยน้อย เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น เจ้ากับปิงเอ๋อร์จะต้องซ่อนตัวและห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม เจ้าทั้งสองจะคอยสนับสนุนและเฝ้าระวังระหว่างที่พวกเราล่าถอย อย่าได้แปลกใจกับการเตรียมการของข้าเลย ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอาจารย์เจ้าและทำให้เจ้าตระหนักว่า ‘ไม่มีใครเอาชนะได้ในระยะร้อยหลา’ ของเขาหมายถึงอะไร”

โจวเหว่ยชิงรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาติดตามคนอื่นๆ ไปข้างหน้า คนที่เดินนำอยู่คือหลัวเขอตี้ พวกเขาเดินทางเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรก่อนที่หลัวเขอตี้จะชะลอความเร็วลงและให้สัญญาณมือในที่สุด พวกเขาทั้งหมดลดความเร็วลงและกลั้นหายใจด้วยประหม่า คนทั้งกลุ่มเริ่มก้าวไปหน้าอย่างช้าๆ พยายามไม่เปิดเผยร่องรอยใดๆ ออกมา

หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เดินผ่านหมู่ต้นสนหนาทึบออกมาอีกฝั่ง ในพริบตานั้นเป้าหมายของพวกเขาก็พลันปรากฏตัวขึ้นมาในระยะสายตาทันที

หมีสีดำขนาดใหญ่ตัวหนึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 200 หลา มันกำลังนอนหมอบในท่าที่อุ้งเท้าทั้ง 2 ข้างยื่นออกมาแนบพื้น ดูเหมือนว่ามันกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่

เมื่อได้เห็นสัตว์ขนาดมหึมาเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะเคยเห็นอสูรสวรรค์ระดับเทวะในสำนักกักเก็บทักษะมาก่อน แต่ยังไงซะพวกมันแต่ละตัวก็ถูกผนึกไว้และมีร่างกายอ่อนแอมาก ดังนั้นพวกมันจึงประพฤติตัวดีและไม่ทำให้เขาตกใจ อย่างไรก็ตาม หมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง มันสูงอย่างน้อย 6 เมตรและอุ้งเท้าขนาดใหญ่ของมันก็กระแทกกระทั้นลงบนพื้นดินอย่างต่อเนื่อง เกิดเสียงดัง *ตึง* *ตึง* ออกมา แม้จะอยู่ห่างออกไป 200 หลา แต่พวกเขาทั้งหมดก็ยังรู้สึกได้ว่าพื้นดินบริเวณนั้นกำลังสั่นสะเทือนจากเสียงสะท้อนที่ได้ยิน

หมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งสีดำนั้นมีส่วนขนสีขาวขนาดเท่าอุ้งมือแปะอยู่ที่ด้านหลังของมันลากยาวลงไปจนถึงหาง ร่างของมันถูกล้อมรอบไปด้วยหมอกน้ำแข็งจางๆ เมื่อมันหันหลังให้โจวเหว่ยชิง เขาก็ไม่อาจบอกความแตกต่างระหว่างมันกับหมีธรรมดาได้นอกจากขนาดตัวที่ใหญ่เกินธรรมดาของมัน

เสียงนุ่มๆ ของมู่เอินดังขึ้นในหูของโจวเหว่ยชิง “อสูรสวรรค์ระดับเทวะทุกตัวถือได้ว่าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่แข็งแกร่ง”

“ตัวอย่างเช่นหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งนี้ถือได้ว่าเป็นอสูรสวรรค์ที่มีมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่ง มันมีทักษะธาตุ 2 ชนิดคือธาตุน้ำแข็งและธาตุลม ในบรรดาอสูรสวรรค์ระดับเทวะ หมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งถือว่าเป็นหนึ่งในสัตว์ที่แข็งแกร่งและจัดการได้ยาก นอกจากนี้ การป้องกันของมันยังทรงพลังมาก เจ้ากับปิงเอ๋อร์ควรมุ่งหน้าไปที่ต้นไม้ต้นนั้น ต่อจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด เข้าใจไหม?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและยิ้มให้เขา “ปลอดภัยไว้ก่อน ข้าเข้าใจดี”

หัวเฟิงโบกมือเล็กน้อย นิ้วของเขาขยับเป็นสัญญาณต่างๆ จากนั้นสมาชิกทั้ง 5 ก็เริ่มลงมือโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก

หลัวเขอตี้รีบวิ่งไปอีกด้าน ในขณะที่หัวเฟิง เกาเฉินและฮั่นโม่ต่างก็เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่แตกต่างกัน มีเพียงมู่เอินที่ยกมือขวาของเขาขึ้นมาเพื่อปลดปล่อยมณียุทธ์ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปหาหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งจากทางด้านหน้า

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาในฉับพลันนั้น นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้ออกล่าอสูรสวรรค์ระดับสูงเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงชี้ไปที่ต้นไม้ จากนั้นก็เอามือโอบรอบเอวของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และยกตัวเธอกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้พร้อมกัน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลอกตามองเขาแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร พริบตานั้นเธอกลับเอนตัวเข้าสู่อ้อมกอดของเขาเองด้วยซ้ำ โจวเหว่ยชิงยิ้มด้วยความยินดีก่อนจะกอบกุมมือเธอไว้เบาๆ ในดินแดนน้ำแข็งผสมหิมะแห่งนี้ การได้สูดดมกลิ่นหอมจากร่างกายของปิงเออร์พร้อมกับรับชมการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ไปด้วยนั้นทำให้โจวเหว่ยชิงมีความสุขอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกเศร้าสร้อยที่เป็นผลมาจากการถูกบังคับให้วิ่งทั้ง 20 วันนั้นดูเหมือนจะสลายหายไปในทันที

ในอีกด้านหนึ่ง สมาชิกของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ก็เริ่มลงมือแล้วเช่นกัน ศรไร้เสียงพุ่งเข้าหาหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งจากทุกทิศทาง ทว่าลูกศรทุกดอกต่างก็พุ่งเป้าไปยังจุดอ่อนของมันเช่นส่วนหูและตา เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าอวัยวะเหล่านั้นมักเป็นจุดที่เปราะบางที่สุดของพวกมัน

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ลูกศรเหล่านั้นกำลังจะเจาะเข้าสู่อวัยวะที่บอบบางของเป้าหมายนั้นเอง พริบตานั้นชั้นแสงสีฟ้าก็ผุดขึ้นมาจากร่างของหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็ง ส่งผลให้ลูกศรทั้งหมดกระแทกเข้ากับกำแพงแสงสีฟ้านั้นจนกระเด็นออกไป

หมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว มันไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ทว่ามันกลับโมโหมากเพราะถูกลอบโจมตีอย่างกะทันหัน เห็นดังนั้นมันจึงหันศีรษะไปยังทิศทางที่ลูกศรพวกนั้นจากมา

เมื่อหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งหันกลับมาทางพวกเขาพอดี โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงสามารถมองเห็นมันได้จากระยะไกลๆ ดวงตาของมันเป็นสีฟ้าเย็นยะเยือก เต็มไปด้วยความกระหายเลือดและแรงอาฆาต มันจดจ้องไปทั่ว ราวกับว่าในอึดใจนั้นมีแสงพุ่งทะลุออกมาจากดวงตาของมันคล้ายกับประกายสายฟ้า

*วืดดดด* บรรยากาศรอบๆ ตัวของหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งดูเหมือนจะถูกพลังของมันพัดให้หมุนขึ้นเป็นวงกลมจนเกิดเป็นพายุหมุนรุนแรงและหอบเอาหิมะรอบๆ ขึ้นมาด้วย เมื่อพายุหมุนลูกนั้นได้พัดผ่านไป เสียงต้นไม้หักโค่นก็ดังขึ้นพร้อมกับพุ่มไม้บริเวณรอบๆ ถูกทำลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปด้วย

………………………………

Related

“เมื่อวานที่ข้าขอให้ปิงเอ๋อร์แสดงทักษะของเธอให้ดู ข้าจะบอกระดับศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บของเธอแบบง่ายๆ ตามนี้ ในบรรดาศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 2 ชิ้นของปิงเอ๋อร์นั้น ศรติดตามไร้เสียงได้ 3 ดาว แต่ทว่าในฐานะศาสตรามณียุทธ์ เธอจะไม่ค่อยได้ใช้มันอีกเมื่อระดับปราณเพิ่มขึ้นมากกว่านี้”

“สำหรับรองเท้าวายุประสานนั้นน่าจะได้อย่างน้อย 6 ดาว เมื่อปิงเอ๋อร์พัฒนาปราณสวรรค์ไปถึงระดับเทวะขั้นสูงสุดและมีมณีอย่างน้อย 9 ชุด ตอนนั้นเธอก็อาจใช้ประโยชน์จากรองเท้านี้เหาะเหินบนอากาศได้ รองเท้าวายุประสานของเธอยังมีหลุมบรรจุมณีอยู่อีกด้วย ดังนั้นมันอาจเลื่อนไปอยู่ที่ระดับ 7 ดาวและเป็นศาสตรามณียุทธ์ที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ธาตุลม สำหรับทักษะแรกของเธอ กงจักรวายุนั้นเป็นเพียงทักษะระดับ 2 ดาวและอัตราการวิวัฒน์ของมันค่อนข้างน้อยมาก โชคดีที่มันถูกกักเก็บในมณีดวงแรกของเธอ”

หลังฟังคำพูดของหัวเฟิง ทุกคนก็พลันหันมาจ้องโจวเหว่ยชิง เขากระพริบตาและหดตัวกลับไปที่นั่งอย่างระมัดระวัง “ทำไมพวกท่านถึงจ้องมาที่ข้าล่ะ?”

หลัวเขอตี้ยิ้มแย้มและพูดว่า “ แน่นอนว่าเพื่อตรวจดูทักษะกักเก็บและศาสตรามณียุทธ์ของเจ้าเพื่อให้คะแนนยังไงล่ะ!”

หัวเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เหว่ยน้อย แม้เจ้าจะเป็นสมาชิกของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์แล้ว แต่ข้าก็จะไม่บังคับให้เจ้าเปิดเผยความลับของเจ้า อย่างไรก็ตาม ข้าหวังว่าเจ้าจะบอกให้พวกเราเข้าใจถึงพลังของเจ้า สิ่งนี้จะช่วยให้พวกเราประสานงานกันได้ดีขึ้นในระหว่างการต่อสู้ แม่ทัพโจวส่งเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อฝึกในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้ว่าบิดาของเจ้าเชื่อใจพวกเราแค่ไหน หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์จะเป็นผู้พิทักษ์อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เสมอ”

โจวเหว่ยชิงมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ จากนั้นก็มองเลยไปยังมู่เอิน อาจารย์ของเขายักไหล่ให้เขาและพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ให้พวกเขาดูเถอะ ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตาย ข้าหวังว่าพวกหัวใจของตาแก่พวกนั้นจะรับไหว หึ!”

หลัวเขอตี้พูดอย่างเคืองๆ “ตาแก่อันธพาล อย่าคุยโวหน่อยเลยน่า ไม่ได้อวดนิดอวดหน่อยเจ้าจะตายเหรอ? เอาล่ะ ว่ามาสิ หัวใจของบิดาของเจ้าแข็งแกร่งอยู่แล้ว!”

มู่เอินไม่แม้แต่จะโต้กลับ เขาเพียงแค่ยิ้มให้หลัวเขอตี้อย่างเย็นชา

อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ประตูหลังของรถม้าที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูงก็ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน ร่างหนึ่งทะยานออกมาจากรถม้า หรือหากพูดให้ถูกก็คือถูกเตะออกมา

น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของหลัวเขอตี้ดังตามออกมาจากภายในรถม้า “เจ้าตัวน่ารังเกียจ! เจ้าเป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุด! อ๊าาาาาาาาาาาาาาาา…! หัวใจที่บอบบางของข้า! ข้าทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว อิจฉาๆๆๆๆๆ ทั้งเกลียดทั้งอิจฉาเลยว๊อยยยยยยย!!!”

แน่นอนว่าเงาร่างน่าสงสารที่ถูกเตะออกจากรถม้านั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโจวเหว่ยชิง หลังจากที่พวกเขาจัดระดับทักษะทั้งหมดของโจวเหว่ยชิง รถม้าทั้งคันก็เงียบฉี่จนได้ยินเสียงของหัวใจที่เต้นระรัวของทุกคน แม้แต่มู่เอินเองก็ยังไม่มีข้อยกเว้น สิ่งที่ตามมาคือเขาถูกเตะออกจากรถม้าด้วยข้ออ้างว่าเขาต้องเสริมสร้างร่างกาย ต้องฝึกฝนและออกกำลังให้มากขึ้น…

“เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแค่ความอิจฉาริษยา!!!” โจวเหว่ยชิงร้องไห้ออกมาด้วยสีหน้าหดหู่เขาวิ่งตามหลังรถม้าสุดชีวิต ในขณะนั้นธนูอุษาดำที่มีน้ำหนักมากก็ถูกสะพายอยู่บนหลังของเขาด้วย

เมื่อโจวเหว่ยชิงนำไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขาออกมา พริบตานั้นบรรยากาศแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้นในรถม้าทันที เกาเฉินที่กำลังดื่มน้ำอยู่ก็พลันพ่นของเหลวในปากออกมาเต็มหน้าฮั่นโม่ หัวเฟิงลืมไปชั่วขณะว่าเขาอยู่ในรถม้าและเผลอลุกพรวดขึ้นด้วยความประหลาดใจจนศีรษะของเขากระแทกกับหลังคา กรามของฮั่นโม่อ้าค้าง ทำให้เขาเผลอดื่มน้ำที่เกาเฉินพ่นใส่หน้าเขาเข้าไปเต็มๆ จากนั้นเขาก็พยายามจะสำรอกออกมาอย่างไม่ลดละ หลัวเขอตี้ตบหน้าตัวเองดังฉาดอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น ทว่าเขาควบคุมมือของของตัวเองได้ไม่ดีพอ ดังนั้นใบหน้าซีกขวาของเขาจึงบวมเป่งมาจนถึงตอนนี้

เมื่อโจวเหว่ยชิงเปิดเผยทักษะของเขาออกมาทีละอย่าง นอกเหนือจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว ใบหน้าของสมาชิกที่เหลือต่างก็กระตุกเป็นพักๆ หากไม่ใช่เพราะระดับพลังปราณของของพวกเขาสูงส่งอยู่แล้ว บางทีพวกเขาอาจจะเส้นเลือดแตกตายก็เป็นได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ โจวเหว่ยชิงจะไม่ถูกเตะออกจากรถม้าได้อย่างไร…

ในท้ายที่สุด การจัดอันดับดาวของเขามีดังนี้

ธนูราชัน ถูกจัดว่าอยู่ในระดับ 7 ดาว หากเพิ่มหลุมบรรจุมณีเข้าไปแล้ว ระดับของมันก็คือ 8 ดาว

สำหรับทักษะที่กักเก็บไว้ในมณีธาตุของเขา ทักษะโซ่ตรวนวายุถูกจัดว่าอยู่ในระดับ 8 ดาว ทักษะฝ่ามืออัสนีบาต 7 ดาว ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา 9 ดาว เนื่องจากมันเป็นทักษะที่สามารถใช้ช่วยชีวิตในยามคับขันได้ และสุดท้ายก็คือทักษะสัมผัสมืดที่ระดับ 8 ดาว ทว่าทั้งทักษะกลืนกินและทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์ก็ไม่ได้ถูกจัดระดับเนื่องจากแม้แต่สมาชิกของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ก็ยังไม่อาจระบุระดับของพวกมันได้อย่างถูกต้อง

ตามที่หัวเฟิงกล่าว มณีดวงแรกของโจวเหว่ยชิงมีทักษะกักเก็บไว้ยอดเยี่ยมกว่าทักษะทั้งหมดของแม่ทัพโจวเสียอีก!

หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนพบเห็นสิ่งแปลกประหลาดในอาณาจักรเฟยหลี่ รถม้าที่หรูหรากำลังแล่นไปข้างหน้าขณะที่ชายหนุ่มผู้สวมเสื้อผ้าสกปรกและขาดรุ่งริ่งกำลังวิ่งไล่ตามหลังอย่างดุเดือดไม่ยอมหยุดพัก

20 วันหลังจากนั้น

ชายแดนทางเหนือของอาณาจักรเฟยหลี่

“เจ้าเห็นป่าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะข้างหน้าไหม? ภารกิจของเราในวันนี้ก็คือการตามล่าและสังหารอสูรสวรรค์ระดับเทวะที่เรียกว่าหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็ง มันอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ หลังจากฆ่ามันแล้ว เราต้องนำแก่นพลัง ขน อุ้งมือ และถุงน้ำดีของมันออกมา”

“แก่นพลังคืออะไรหรือ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าผิวของเขามีสีแทนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทว่าเขาก็ดูมีกำลังวังชามากขึ้นด้วยเช่นกัน

ตั้งแต่เมื่อวาน ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ได้รับอนุญาตให้หยุดวิ่งและสามารถเปลี่ยนไปสวมชุดใหม่ได้ ตั้งแต่พวกเขาเข้าสู่อาณาจักรเฟยหลี่ โจวเหว่ยชิงก็ต้องวิ่งตามรถม้ามาตลอดทาง ร่างกายทุกส่วนของเขาก็ดูแตกต่างออกไปมาก มันดูมีพละพลังและแข็งแกร่งขึ้น ทั้งดูสูงขึ้นอีกด้วย แม้ว่ารูปลักษณ์ของเขาจะยังคงดูเรียบง่ายและใสซื่อ แต่บางครั้งดวงตาของเขาก็ส่องประกายเจิดจ้า แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์อันเยี่ยมยอดของเขา

หลังจากวิ่งอย่างบ้าคลั่งเป็นเวลา 20 วัน ประโยชน์ที่เขาได้รับคือพลังปราณสวรรค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ในขณะที่หลุมดำพลังปราณทั้ง 5 ดูดกลืนพลังปราณจากชั้นบรรยากาศเข้ามาอย่างต่อเนื่องเพื่อเติมเต็มพลังปราณที่ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วขณะวิ่งไล่ตามรถม้า หลุมดำพวกนั้นถูกเร่งความเร็วจนถึงขีดสูงสุด วิชาเทพอมตะให้ผลเร็วกว่าวิชาฝึกปราณทั่วๆ ไปอยู่แล้ว และด้วยความเร็วในการดูดกลืนที่เพิ่มขึ้นในทุกขณะ โจวเหว่ยชิงจึงรู้สึกว่าพลังปราณสวรรค์ระดับที่ 5 ของเขากำลังเริ่มกระสับกระส่าย ราวกับใกล้ถึงเวลาที่เขาจะต้องทะลวงจุดตายจุดแรกของวิชาส่วนที่สองแล้ว ด้วยประสบการณ์จากวิชาเทพอมตะส่วนแรก โจวเหว่ยชิงเข้าใจได้คร่าวๆ ว่าจุดตายแรกของแต่ละส่วนนั้นง่ายที่สุดในการทะลวง ทว่าก็อันตรายมากที่สุดอีกด้วย จำไม่ได้หรือว่าเขาเกือบจะตายตอนพยายามทะลวงจุดตายแรกตรงกระดูกไหปลาร้า?

นอกจากระดับพลังปราณสวรรค์จะเพิ่มขึ้นแล้ว การทะลวงจุดตายยังมีประโยชน์อื่นๆ อีก 2 ประการ ประการแรกคือช่วยให้ความสามารถมณียุทธ์ของเขาหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาได้อย่างเหมาะสม นอกเหนือจากขาขวาปีศาจที่ถูกหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว ทันทีที่เขาเพ่งสติไปที่มณียุทธ์ ร่างกายของเขาก็จะได้รับพลังจากมณียุทธ์ทันที ร่างกายแข็งแกร่งจึงขึ้นและไม่อ่อนแอเหมือนที่เคยเป็น

มู่เอินยืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิง เขากล่าวว่า “แก่นพลังจะปรากฏขึ้นเฉพาะกับอสูรสวรรค์ระดับเทวะขึ้นไป อย่างไรก็ตาม อสูรสวรรค์ก็มีพลังปราณสวรรค์เช่นกัน ที่สำคัญคือมันไม่แตกต่างจากพลังปราณสวรรค์ของมนุษย์มากนัก เมื่ออสูรสวรรค์ไต่ขึ้นไปถึงระดับเทวะ  พวกมันจะสามารถสร้างจินถานขึ้นมาได้ นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่าแก่นพลัง จ้าวมณีสามารถนำแก่นพลังที่มีทักษะเดียวกันไปใช้ได้ มันสามารถช่วยเร่งระดับการฝึกปราณและยังช่วยจ้าวมณีทะลวงไปสู่มณีดวงใหม่ได้อีกด้วย แก่นพลังสามารถนำไปใช้กับหลุมบรรจุมณีบนศาสตรามณียุทธ์ได้เช่นกัน หลุมบรรจุมณีนั้นนอกจากจะบรรจุมณีธาตุที่มีทักษะธาตุเดียวกันแล้ว ยังสามารถบรรจุแก่นพลังที่มีทักษะธาตุเดียวกันได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น เจ้าสามารถบรรจุแก่นพลังของอสูรสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่งไว้ในธนูราชันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธนูของเจ้า นอกจากนี้ เนื่อง จากแก่นพลังสามารถดูดซับปราณสวรรค์จากชั้นบรรยากาศภายนอกเพื่อเติมเต็มพลังของตัวเองได้ พวกมันจึงไม่อาจถูกทำลายได้ง่ายๆ และเมื่อเจ้าไม่ต้องการใช้พวกมันแล้ว เจ้าก็สามารถนำพวกมันออกจากหลุมบรรจุมณีได้”

เมื่อโจวเหว่ยชิงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยความยินดี “นั่นมีประโยชน์มาก! อย่างนั้นพวกเราจะรออะไรกันอีกล่ะ รีบไปหาสักสองสามดวงมาไว้ใช้เถอะ!”

มู่เอินกล่าวอย่างโมโห “เจ้าโง่! หุบปากซะ อย่าทำให้ข้าขายหน้าอีก!”

นอกจากหัวเฟิง สมาชิกคนอื่นๆต่างก็จ้องมองโจวเหว่ยชิงราวกับเขาเป็นคนโง่ นับตั้งแต่พวกเขาตระหนักถึงทักษะธาตุของโจวเหว่ยชิง คนเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นว่าความอิจฉาตาร้อนนั้นเป็นเช่นไร พวกเขาไม่ลืมจะคว้าทุกโอกาสรุมทึ้งโจวเหว่ยชิง และเยาะเย้ยเขา

หลัวเขอตี้พูดอย่างประชดประชัน “หาเพิ่มอีกสองสามดวงงั้นรึ? เจ้าคิดว่าพวกมันจะหล่นมาจากสวรรค์รึไง? พวกเราจะเก็บมันมาได้ง่ายๆ ตามใจชอบหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าอสูรสวรรค์ระดับเทวะนั้นอันตรายแค่ไหน? แม้กระทั่งบิดาของเจ้า หากต้องเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ระดับเทวะ แม้เขาจะมีทักษะธาตุมืดที่สามารถสยบพวกมันได้ เขาก็แทบจะเอาชนะอสูรสวรรค์ระดับเทวะพวกชั้นล่างๆไม่ได้ด้วยซ้ำ เจ้าคิดว่าพวกเราขนกันมาเป็นโขยงเพราะอะไรล่ะ?”

หัวเฟิงกล่าวสอดขึ้นมาว่า “เอาล่ะ พอแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม ตามที่ผู้ว่าจ้างของเราให้ข้อมูลมานั้น มีหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งอย่างน้อย 20 ตัวอาศัยอยู่ในป่านี้ มู่เอิน เจ้าปกป้องเหว่ยน้อย ปิงเอ๋อร์ อยู่ข้างๆ ข้าไว้ ไปกันเถอะ”

เมื่อพูดจบ เขาก็เดินไปที่ด้านข้างของรถม้าและกดปุ่มอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น ลิ้นชักที่ซ่อนอยู่ก็โผล่ออกมาจากทั้งสองฝั่งของรถม้า เสียงเสียดสีกระทบกันของโลหะดังขึ้น ข้างในนั้นเต็มไปด้วยสิ่งของต่างๆ มากมาย

สมาชิกของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์รีบแต่งตัวและสวมใส่อุปกรณ์ต่างๆ อย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งหมดสวมเกราะหนังสีแดงเพิ่ม เกราะหนังไม่เพียงปกป้องร่างกายส่วนบนของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมบริเวณข้อต่อและจุดอ่อนที่สำคัญบางอย่าง รวมถึงหมวกเกราะด้วย ในเวลาเดียวกัน พวกเขาแต่ละคนก็ถือคันธนูสองคัน โดยเอาคันธนูขนาดใหญ่พาดไว้ด้านหลัง สำหรับหัวเฟิง หลัวเขอตี้และมู่เอิน แล่งธนูของพวกเขามีลูกศรบรรจุประมาณ 200 ดอก แต่สำหรับฮั่นโม่และเกาเฉิน แล่งธนูของพวกเขามีมากจนครอบคลุมไปทั่วแผ่นหลัง จากการประเมินคร่าวๆ โจวเหว่ยชิงคิดว่ามีลูกศรอย่างน้อย 500 ดอกในแล่งธนูแต่ละอันของพวกเขา ด้านล่างแล่งธนูมีถุงน้ำและอาหารแห้งแขวนเอาไว้

ทันทีที่พวกเขาเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ที่ดูทึมทื่อก็เปลี่ยนไปเป็นพวกเอาการเอางาน ราวกับมีรัศมีความเยือกเย็นลอยออกมาจางๆ จากร่างของพวกเขา

ขณะที่โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาก็รู้สึกได้ถึงความกระหายเลือดที่เพิ่มขึ้นในตัวเขาขณะมองดูพวกอาวุโสกำลังสวมชุดเกราะหนัง โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ถึงความหยิ่งผยองบางอย่างกำลังคลืบคลานบุกรุกเข้ามาในตัวเขาเรื่อยๆ

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้รับแล่งธนูที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเหมือนคนอื่นๆ ทั้งคู่ได้รับแล่งธนูธรรมดา 4 อันที่บรรจุลูกศรรวมกันทั้งหมด 200 ดอก แน่นอนว่ามีอุปกรณ์บางอย่างเพิ่มเข้ามาด้วย

พวกเขาทั้ง 7 คนเดินเข้าไปในป่าอย่างเงียบๆ ที่นี่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชายแดนระหว่างอาณาจักรวั่นโซ่วและอาณาจักรเฟยหลี่

“อาจารย์ ชุดเกราะหนังที่ท่านใส่ทำมาจากอะไรหรือ? ทำไมข้ารู้สึกแปลกๆเช่นนี้?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

มู่เอินแสยะยิ้มและพูดว่า “ไอ้เจ้าเด็กโง่เง่า! นี่เป็นสมบัติล้ำค่า ทำมาจากหนังมังกร”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเบิกกว้างขณะที่เขาอุทานว่า “หนังมังกร?? มังกรมีอยู่ในโลกนี้จริงๆ หรือ?”

…………………………………

Related

มือของมู่เอินดูเหมือนจะขยับอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพพร่ามัวในอากาศ เขาขว้างลูกศรเหล่านั้นกลับคืนไปแบบส่งๆ อย่างไรก็ตาม ลูกศรที่เขาขว้างกลับไปนั้นกลับเหมือนว่าพวกมันมีดวงตา เสียงกรีดร้องจึงทยอยดังขึ้นมาตามไหล่เขา โจรหลายสิบคนที่เคยง้างธนูใส่พวกเขาต่างก็นอนเรียงรายกันอยู่ทั้งสองฝั่งของภูเขา ทั้งหมดตายคาที่โดยมีลูกศรปักคาอยู่กลางลำคอ โจรธนูเหล่านั้นอยู่ห่างจากบริเวณที่มู่เอินยืนอยู่ประมาณ 50 หลา ทั้งพวกมันยังอยู่บนที่สูง แต่มู่เอินที่ขว้างลูกศรออกไปแบบส่งๆ กลับสามารถโจมตีเป้าหมายได้มากกว่า 20 คนอย่างแม่นยำ ด้วยความยากระดับนี้ พูดได้เพียงแค่ว่าเขาทำได้ดีเกินมนุษย์ไปแล้ว!

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงเห็นอาจารย์ของเขาโจมตีเป้าหมาย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองด้วยความตกตะลึง

*ผลั่วะ* มู่เอินเตะก้นของโจวเหว่ยชิงอย่างแรงก่อนจะพูดอย่างโมโห “เจ้ามัวแต่จ้องอะไรอยู่!? อยากถูกฆ่าตายเรอะ? รีบไปจัดการกับกลุ่มข้างหน้าซะ ถ้ามีใครหนีไปได้ ข้าจะไม่ให้เจ้าสักแดงเดียว! อ้อ เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ธนู!” เมื่อเขาพูดจบ ธนูอุษาดำที่เคยอยู่ในมือของโจวเหว่ยชิงเมื่อครู่ก็ไปปรากฏอยู่ในมือของมู่เอินทันที

ถึงเวลานี้ กลุ่มโจรก็ตื่นตัวกับสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว แม้แต่คนที่โง่เขลาที่สุดก็คงตระหนักได้ว่ารถม้าคันนี้ไม่ใช่หญ้าที่เคี้ยวได้ง่ายๆ หัวหน้าโจรเพิกเฉยต่ออาการปวดแสบปวดร้อนที่ใบหูของเขาและตะโกนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “วิ่ง! ส่งสัญญาณเตือนภัยเดี๋ยวนี้!” เมื่อพูดจบเขาก็รีบเผ่นหนีไปทันที เห็นได้ชัดว่ากลุ่มโจรกลุ่มนี้มีประสบการณ์ในการหลบหนีอย่างโชกโชน พวกมันรีบสลายตัวเพื่อหลบหนีไปในทุกทิศทาง แทบจะไม่มีใครวิ่งไปทางเดียวกันด้วยซ้ำ

เมื่อได้รับการเตือนจากมู่เอิน โจวเหว่ยชิงก็กระแทกเท้าขวาลงบนพื้นก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าทันที เขารู้ว่าการที่มู่เอินไม่อนุญาตให้เขาใช้ธนู และลูกศรก็เพื่อทดสอบทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของเขาบนสนามรบจริงนั่นเอง ถึงแม้เขาจะไม่รู้สึกอะไรมากนักหากต้องเสียหน้า แต่เขาก็ไม่อยากทำให้บิดาของตนต้องขายหน้าเช่นกัน! เมื่อคิดได้ดังนั้น โจวเหว่ยชิงจึงรู้สึกถึงเลือดในกายที่ร้อนเร่าขึ้นมา

ทันทีที่ขาขวาของโจวเหว่ยชิงกระแทกพื้น แรงระเบิดครั้งใหญ่ก็ทำให้มู่เอินชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อร่างกายของโจวเหว่ยชิงพุ่งทะยานออกไปดั่งลูกศร ดวงตาของมู่เอินก็เผยความประหลาดใจออกมา

ในชั่วพริบตานั้นโจวเหว่ยชิงจับโจร 2 คนได้เกือบจะทันที โจรพวกนั้นมีร่างกายแข็งแรงกำยำพอๆ กับทหารธรรมดา พละกำลังของพวกเขาจึงไม่อาจจะเปรียบเทียบกับจ้าวมณีสวรรค์เช่นโจวเหว่ยชิงได้ มือแต่ละข้างของเขาคว้าคอโจรทั้ง 2 คนเอาไว้จากนั้นก็จับทั้งคู่กระแทกศีรษะเข้าด้วยกันเพื่อทำให้หมดสติไป ในเวลาเดียวกันร่างของเขาก็กระโดดไปข้างหน้าอีกครั้ง ครั้งนี้มือซ้ายของโจวเหว่ยชิงยื่นออกมาเพื่อยิงแสงสีดำที่คล้ายกับสายฟ้าออกไป เส้นแสงเหล่านั้นพุ่งทะยานไปยังกลุ่มโจรส่วนใหญ่ที่วิ่งอยู่เบื้องหน้า ร่างของเขากระโจนหายวับไปยังอีกทางหนึ่งด้วยแรงส่งอันทรงพลังจากขาขวาปีศาจ เขาจับโจรคนแล้วคนเล่า ก่อนจะโยนร่างที่หมดสติของพวกเขากลับไปยังบริเวณที่มู่เอินยืนอยู่ สำหรับแสงสีดำนั้นแน่นอนว่ามันคือผลจากทักษะสัมผัสมืด ตอนนี้กลุ่มโจรจำนวนมากกว่า 12 คนจึงถูกมันยึดร่างเอาไว้ก่อนจะลากมารวมกันเป็นกลุ่มก้อน มีเพียงแค่หัวหน้าโจรเท่านั้นที่เร็วพอจะวิ่งไปถึงภูเขา

แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงไม่อาจปล่อยมันหนีไปได้ เขาจึงเร่งความเร็วให้สูงขึ้นจากนั้นก็พุ่งทะยานไปหาหัวหน้าโจรผู้นั้นในชั่วพริบตา

ทว่าราวกับหัวหน้าโจรมีตาอยู่ด้านหลัง จู่ๆ ในขณะที่วิ่งอยู่เขาก็เตะสะบัดไปทางขวาอย่างแรง นั่นทำให้ร่างกายของเขาหมุนควงเป็นวงกลมด้วยท่าทางแปลกประหลาด มีดขนาดใหญ่ในมือของเขาหมุนเข้าหาโจวเหว่ยชิงอย่างอาฆาตมาดร้าย จากความแรงของการหมุนและเสียงหวีดหวิวตัดอากาศ เห็นได้ชัดว่ากระบวนท่านั้นมีพลังปราณสวรรค์ผสมอยู่

หัวหน้าโจรมีพลังปราณสวรรค์อยู่ในระดับที่ 2 แม้ว่าเขาจะไม่สามารถปลุกพลังมณีขึ้นมาได้ แต่มันก็ยังเป็นจุดแข็งที่ทำให้เขากลายเป็นหัวหน้าโจร แต่ทว่าคราวนี้เขากลับได้พบจ้าวมณีสวรรค์ของจริงเสียแล้ว

เหลืออีกเพียงครึ่งทางใบมีดขนาดใหญ่ก็หมุนเข้าตัดร่างโจวเหว่ยชิงแล้ว ทว่าจู่ๆ แสงสีเขียวก็สว่างวาบขึ้นมา จากนั้นหัวหน้าโจรพบว่าตนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้! ฉับพลันนั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็คว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้ ด้วยระดับพลังปราณสวรรค์ที่เพิ่มขึ้นของโจวเหว่ยชิง หัวหน้าโจรผู้ซึ่งมีน้ำหนักอย่างน้อย 200 จินก็ถูกโยนกลับไปไกลกว่า 20 หลา อย่าง ไรก็ตาม โปรดอย่าลืมว่าโจวเหว่ยชิงมีมณียุทธ์บริสุทธิ์ประเภทความแข็งแกร่ง

ตั้งแต่โจวเหว่ยชิงระเบิดพลังขาขวาของเขาจนกระทั่งจับกุมกลุ่มโจรทั้งหมดมาได้ เขาใช้เวลาไปเพียงแค่หายใจเข้าออก 10 ครั้งเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นมู่เอินหรือสมาชิกคนอื่นๆ ในรถม้า ทุกคนต่างก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะจบเรื่องได้เร็วขนาดนี้

ดวงตาของหัวเฟิงสว่างวาบขึ้น เขามองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างครุ่นคิด

โจวเหว่ยชิงกลับไปยืนข้างๆ มู่เอินและพูดว่า “อาจารย์ พวกท่านชั่วร้ายเกินไปแล้ว! ถึงขั้นใช้รถม้าล่อโจรและปล้นพวกมันกลับ!”

ในเวลานี้มู่เอินยืนอยู่ต่อหน้าหัวหน้าโจร เขาเตะมันซ้ำๆ ขณะที่พึมพำว่า “เรียกข้าว่าตาแก่งั้นรึ? เรียกข้าว่าตา  แก่…” โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับมุมปากที่กระตุกเบาๆ อาจารย์โหดร้ายเกินไปแล้ว!

“โปรดช่วยข้าด้วย ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิดนายท่าน…” หัวหน้าโจรร้องเสียงโหยหวน เขาพยายามจะดิ้นขัดขืนแต่ก็ไม่อาจรวบรวมกำลังทำเช่นนั้นได้เพราะทักษะโซ่ตรวนวายุของโจวเหว่ยชิงไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถจัดการง่ายๆ

มู่เอินมองกลุ่มโจรที่ถูกมัดอยู่ด้านหน้าพร้อมกับพูดว่า “เจ้าเด็กเหลือขอ ทักษะแรกที่เจ้าเก็บไว้ในมณีธาตุมืดของเจ้าคือทักษะสัมผัสมืด?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “อาจารย์ ท่านช่างรอบรู้และเก่งกาจมากจริงๆ!”

มู่เอินกล่าวอย่างมีน้ำโห “รอบรู้บ้านเจ้าสิ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตาแก่นั่นส่งเจ้ามาที่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เจ้าไม่รู้หรือว่าทักษะในมณีดวงที่ 8 ของบิดาเจ้าคือทักษะสัมผัสมืด? ด้วยเหตุนั้นเขาถึงไม่มีหน้าจะสั่งสอนเจ้าด้วยตัวเองยังไงล่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ ตาแก่โจวก็มีวันเช่นนี้เช่นกันหรือนี่ ฮ่าๆๆๆๆ เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าเป็นสมาชิกของพวกเราชาวสำนักสวรรค์พิสดารอย่างเป็นทางการแล้ว รู้หรือไม่ว่าเจ้าก็เป็นเด็กแปลกประหลาดคนหนึ่งเช่นกัน! ฮ่าๆๆ”

มู่เอินหันไปหาหัวหน้าโจร จากนั้นก็จับเขาขึ้นมาและพูดว่า “ที่ซ่อนของเจ้าอยู่ที่ไหน! พาพวกเราไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”

ประมาณหนึ่งชั่วโมงให้หลัง โจรสิบคนที่มีใบหน้าซีดเซียวก็ช่วยกันถือเหรียญทองกลับไปที่รถม้าและวางกระสอบเข้าไปในช่องลับใต้ท้องรถภายใต้การควบคุมของมู่เอินและโจวเหว่ยชิง ก่อนจากไปมู่เอินตบหน้าหัวหน้าโจรแล้วพูดว่า “จำไว้! แม้ตกนรกไปแล้วเจ้าก็ยังต้องเก็บเงินให้มากกว่านี้ก่อนจะคิดมาปล้นพวกข้า!”

ในชั่วพริบตาต่อมา มู่เอินก็ยิงธนูออกไปอย่างโหดเหี้ยมเพื่อปลิดชีพโจรทั้งหมด “อาจารย์ พวกเขาก็ให้เงินพวกเรามาแล้ว ทำไมถึงต้องฆ่าพวกเขาด้วย?” โจวเหว่ยชิงยังเด็กอยู่พอสมควร เมื่อเห็นมู่เอินสังหารพวกเขาอย่างเลือดเย็น เขาก็รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง

มู่เอินพูดขึ้นว่า “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร เจ้าคิดว่าเราเป็นเป้าหมายแรกของโจรพวกนี้งั้นรึ? หากพวกเราไม่มีความสามารถเช่นนี้ เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น? ไอ้โจรพวกนี้สมควรตายมากกว่า 10 ครั้งด้วยซ้ำ”

ในขณะที่ทั้งคู่กลับไปที่รถม้า หลัวเขอตี้ก็ขยับเข้ามาถามว่า “ตาแก่อันธพาล คราวนี้เจ้าได้เงินเท่าไหร่?”

มู่เอินกล่าวอย่างโกรธเคือง “ไอ้โจรสารเลวพวกนี้มีเงินไม่ถึงแสนเหรียญทอง ไม่มีจ้าวมณี โจรเหล่านี้จะแข็งแกร่งแค่ไหนกันเชียว? หวังว่าเราจะโชคดีและพบกับกลุ่มโจรอีกในภายหลัง”

หัวเฟิงกล่าวว่า “อย่าบ่นนักเลย อย่าลืมส่วนแบ่ง 3 ใน 10 ของข้าด้วยล่ะ”

มู่เอินส่งเสียงครวญครางและกล่าวว่า “เจ้าคนหน้าเลือด!”

ริมฝีปากของปากของฮั่วเฟิงยกยิ้มอย่างสง่างาม “ถ้าไม่มีรถม้าของข้า เจ้าคิดว่าโจรพวกนั้นจะมาปล้นหรือ? เหว่ยน้อย ทักษะแรกในมณีธาตุมืดของเจ้าคือทักษะสัมผัสมืดงั้นหรือ เจ้าวางแผนที่จะฝึกในวิถีการควบคุมหรือ?”

โจวเหว่ยชิงชะงักและพูดว่า “วิถีการควบคุมคืออะไรหรือ?”

ในขณะที่เขาถาม มู่เอินก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาปกปิดใบหน้าของเขาและทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ เกาเฉินรู้สึกประหลาดใจมากจนตาของเขาแทบจะปูดโปนออกมา ขณะที่ลั่วเค่อตี้กล่าวว่า “นี่เจ้าไม่รู้จริงๆรึเหว่ยน้อย? ในฐานะบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพโจว เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือวิถีการควบคุม? แล้วใครสอนเจ้าเกี่ยวกับมณีสวรรค์?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงและกล่าวว่า “ข้าเป็นคนสอนเขาเอง แม่ทัพโจวเพิ่งรู้เรื่องมณีสวรรค์ของเขาก่อนที่เราจะมายังหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ แม่ทัพโจวไม่ได้มีโอกาสสอนเขาเลย”

หัวเฟิงกล่าวว่า “พูดง่ายๆ ก็คือเมื่อจ้าวมณีทุกคนฝึกปราณ พวกเขาจะเลือกวิถีที่เหมาะสมกับทักษะธาตุของตนเอง ตัวอย่างเช่น จ้าวมณีธาตุไฟมักจะเลือกวิถีการโจมตีที่รุนแรง ในขณะที่จ้าวมณีธาตุลมมักจะเลือกวิถีความว่องไวหรือความยืดหยุ่น  เมื่อข้ากล่าวถึงวิถีการควบคุม นั่นหมายถึงการมุ่งเน้นไปที่การควบคุมศัตรูในสนามรบโดยการจำกัดการเคลื่อนไหวและการโจมตีของพวกมัน ทักษะสัมผัสมืดของเจ้ามีทักษะการควบคุมเป็นพื้นฐาน มีข้อได้เปรียบเพิ่มเติมคือการประสาทสัมผัสที่เพิ่มมากขึ้นและอาจมีประโยชน์อื่นๆ อีก ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากักเก็บมันมาได้อย่างไร แต่ข้าต้องบอกว่าข้าไม่เคยเห็นทักษะในมณีดวงแรกอยู่ในระดับที่สูงเช่นนี้มาก่อน”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “หัวหน้า ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจว่าทักษะกักเก็บและศาสตรามณียุทธ์นั้นแยกแยะพลังอย่างไร ระดับของพวกมันไม่ได้พัฒนาขึ้นตามจำนวนมณีที่เพิ่มขึ้นหรอกหรือ?”

หัวเฟิงตอบกลับเบาๆ ว่า “แน่นอนว่ามีความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะที่กักเก็บไว้ พวกมันจะถูกจำแนกตามระดับพลังของมันและถูกกำหนดโดยปัจจัยหลายประการ ประการแรกคือปัจจัยการเพิ่มระดับของพวกมัน เจ้าพูดถูกที่ทักษะทั้งหมดจะพัฒนาขึ้นเมื่อจำนวนมณีเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกมันมีอัตราการวิวัฒน์ที่แตกต่างกัน และเมื่อมณีเพิ่มจำนวนขึ้น แต่ละทักษะอาจมีการเพิ่มระดับที่แตกต่างกันมาก ตัวอย่างเช่นหากเจ้าเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับปฐม เมื่อทักษะนั้นพัฒนาขึ้น ระดับของมันอาจจะเพิ่มขึ้นทีละ 1 ส่วน ในขณะที่ทักษะของอสูรสวรรค์ระดับ  ปรมะอาจเพิ่มขึ้นทีละ 2 ส่วน ระดับเทวะ 4 ส่วน และอื่นๆ ดังนั้นสำนักกักเก็บทักษะจึงมีการจัดระดับดาวสำหรับศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บเพื่อพิจารณาว่ามีความแข็งแกร่งในระดับไหน แน่นอนว่ายิ่งทักษะนั้นแข็งแกร่งมาก จำนวนดาวก็ยิ่งมีมากเท่านั้น  ระดับต่ำที่สุดก็คือ 1 ดาว ส่วนระดับสูงสุดคือ 12 ดาว”

“ยกตัวอย่างเช่นทักษะสัมผัสมืดของเจ้า มันถูกจัดว่าเป็นทักษะระดับ 8 ดาวโดยสมาคมสำนักกักเก็บทักษะ โดยทั่วไปแล้วทักษะของอสูรสวรรค์ระดับปฐมจะมีตั้งแต่ 1-3 ดาว  ระดับปรมะ 4-6 ดาว ระดับเทวะ 7-9 ดาว สำหรับทักษะที่มีระดับเหนือกว่า 9 ดาวนั้นจะมีเพียงจ้าวมณีสวรรค์เท่านั้นที่สามารถครอบครองได้ โดยปกติแล้วเจ้าจะต้องกักเก็บทักษะที่มีระดับดาวใกล้เคียงกันกับจำนวนมณีของเจ้า หากเจ้าเก็บทักษะที่มีระดับดาวต่ำกว่าจำนวนมณีของเจ้า เจ้าก็อาจจะไม่สามารถดึงพลังของเจ้าออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ถึงกระนั้น การกักเก็บทักษะระดับ 8 ดาวในขณะที่มีมณีเพียงชุดเดียวก็เป็นสิ่งที่พวกเราไม่เคยได้ยินมาก่อน”

“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพูดถึงการจัดระดับทักษะ ทักษะการควบคุมจะถือว่าเหนือกว่าทักษะอื่นๆ ในระดับเดียวกันถึง 1 ดาว ดังนั้นแม้ว่าทักษะสัมผัสมืดจะเป็นทักษะระดับ 8 ดาว แต่ก็ยังเทียบได้กับทักษะระดับ 9 ดาว สำหรับศาสตรามณียุทธ์เองก็เหมือนกัน ศาสตรามณียุทธ์ที่มีหลุมบรรจุมณีมักจะได้รับการจัดอันดับดาวเพิ่มขึ้นจากศาสตรามณียุทธ์ธรรมดาๆ นอกจากนี้ ยังอาจกล่าวได้ว่าระดับดาวของทักษะจ้าวมณียังเป็นสิ่งที่พวกเราใช้กำหนดความสามารถและความเป็นไปได้ในอนาคตของบุคคลนั้นด้วย”

……………………………

Related

แม้ว่ามู่เอินจะไม่ได้ให้ของขวัญต้อนรับใดๆ แก่ลูกศิษย์ของเขา ทว่าเมื่อคนทั้งกลุ่มออกเดินทางจากที่ตั้งหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ อุปกรณ์ประจำกายของโจวเหว่ยชิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าธนูอุษาม่วงของเขาถูกเปลี่ยนเป็นธนูสีดำขนาดใหญ่คันหนึ่ง หากจะกล่าวว่าธนูอุษาม่วงที่ยาว 1.5 เมตรนั้นค่อนข้างใหญ่เทอะทะแล้ว ธนูสีดำที่เขาถืออยู่ตอนนี้กลับใหญ่กว่าเสียอีกเนื่องจากมันยาวเกือบ 2 เมตร! ดังนั้น เมื่อมองเผินๆ ธนูคันนี้จึงให้ความรู้สึกแตกต่างกับธนูวิญญาณมรกตคันเล็กๆ ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างชัดเจน

แน่นอนว่าคนที่มอบธนูสีดำคันใหญ่ให้กับโจวเหว่ยชิงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากหลัวเขอตี้ แม้ว่าเขาจะชอบดื่มสุราและมีนิสัยเจ้าเล่ห์โดยธรรมชาติ แต่เขาก็รักษาคำพูดเสมอ ถึงกระนั้น สิ่งที่ทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกเศร้าใจที่สุดก็คือธนูสีดำขนาดใหญ่นี้กลับมีน้ำหนักถึง 80 จินหรือก็คือเกือบ 4 เท่าของธนูอุษาม่วง! การง้างธนูคันนี้จึงไม่ได้ง่ายไปกว่าธนูราชันของเขาเลยแม้แต่น้อย และถึงแม้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากจากผลลัพธ์ของมณียุทธ์หยกน้ำแข็งบริสุทธิ์ เขาก็ยังคงต้องหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์และปลดปล่อยมณียุทธ์ออกมาก่อนจึงจะสามารถง้างธนูสีดำคันนี้ขึ้นจนสุดสายได้

มู่เอินบอกโจวเหว่ยชิงว่าคันธนูนี้เรียกว่าธนูอุษาดำ ยิ่งไปกว่านั้นคือธนูนี้ไม่มีขาย มันทำมาจากไม้ดาราอายุพันปีและมีระยะการยิงที่กว้างที่สุดในบรรดาธนูทั้งหลายที่มีบนโลก อ้อ ยกเว้นไว้ก็แต่พวกศาสตรามณียุทธ์ประเภทธนูคันอื่นๆเท่านั้น สิ่งนี้จึงเหมาะที่สุดสำหรับใช้ระหว่างการฝึกความแข็งแกร่งและความอึดทนของร่างกาย

โชคดีที่การปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องเดินทางด้วยเท้า ในขณะที่พวกเขากำลังเดินออกจากลานกว้าง หัวเฟิงก็พาพวกเขาไปยังรถม้าหรูหราคันหนึ่งที่จอดอยู่ด้านนอก แม้โจวเหว่ยชิงจะยังไม่รู้ว่ามันมาจอดอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ตาม

รถม้าคันนี้มีขนาดใหญ่กว่ารถม้าธรรมดาถึงสองเท่า ตัวรถด้านนอกถูกทาสีและเคลือบไว้ด้วยทองคำและหินหยก พร้อมกันนั้นก็ตกแต่งด้วยของประดับหรูหรา รถคันนี้ถูกลากโดยม้าขนาดใหญ่จำนวน 4 ตัว

ภายในรถม้ามีกำแพงสี่ด้าน แต่ละด้านขึงไว้ด้วยพรมขนสัตว์ ที่นั่งในนั้นกว้างขวางและมีขนาดใหญ่จนเกือบจะเหมือนเก้าอี้นวม เพียงหย่อนก้นลงก็ให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มแต่ทว่าก็ยังแข็งแรงทนทาน แน่นอนว่าข้างในนั้นดูสะดวกสบายมาก รถม้าประเภทนี้สามารถบรรจุอย่างน้อย 12 คนได้สบายๆ

“อาจารย์ พวกท่านทุกคนฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว รถม้าคันนี้ราคาเท่าไหร่หรือ?” แม้โจวเหว่ยชิงจะกล่าวเช่นนั้น แต่เขาก็ยังเกือบน้ำลายไหลเมื่อมองเห็นสภาพภายใน รถม้าที่สะดวกสบายและหรูหราเช่นนี้ หากเขาสามารถเป็นเจ้าของได้ เขาจะเดินทางไปรอบโลกพร้อมกับสาวงามเต็มคันรถ! แน่นอนว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลกสำหรับเขาเลยทีเดียว แม้ว่าการตกแต่งภายนอกจะค่อนข้างหรูหราโอ่อ่าเกินไปหน่อยก็ตาม

เมื่อได้ยินโจวเหว่ยชิงพูดถึงรถม้า มู่เอินก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าขุ่นเคือง “รถม้าคันนี้ไม่ใช่ของพวกเรา มันเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของของหัวเฟิง เจ้าคิดว่าพวกเราได้นั่งโดยไม่ต้องเสียเงินงั้นหรือ? ตาแก่ขี้เหนียวนั่นจะเก็บเงินตามระยะทางที่พวกเราไป และทุกครั้งที่เราไปปฏิบัติภารกิจ เราจะต้องจ่ายให้เขาอย่างน้อย 1 ใน 5 ของส่วนแบ่งที่ได้รับ”

หัวเฟิงนั่งอยู่ข้างในสุดของรถม้า เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เอินเขาก็พูดส่งเสียงหึในลำคอทันที “ตาแก่อันธพาล เจ้าพูดจาไร้สำนึกผิดชอบชั่วดีแบบนี้ได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าการเดินทางด้วยรถม้าของข้านั้นคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มหรอกหรือ? ยังไงซะ มันก็ถูกสร้างขึ้นจากโลหะผสมไทเทเนียมทั้งคัน ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีแม้กระทั่งกลไกดูดซับแรงกระแทก เมื่อเดินทางระยะไกลๆ ไม่เพียงแต่จะทำให้ไปถึงเร็วกว่าเท้าเปล่า แต่ก็ยังทำให้พวกเจ้าสะดวกสบายและช่วยให้เราสามารถมุ่งความสนใจไปที่ภารกิจเพียงอย่างเดียวด้วย ยิ่งกว่านั้น ส่วนแบ่งที่เจ้าจ่ายให้ข้าไม่ได้มีไว้สำหรับค่ารถม้าเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆที่ใช้ในภารกิจด้วย หากพวกเจ้าเต็มใจที่จะรับผิดชอบจัดหาอุปกรณ์เหล่านั้น ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะถอยออกมาให้พวกเจ้าจัดการกันเอง”

มู่เอินหันหน้าหนีไปอีกทางด้วยความขุ่นเคือง ในขณะที่หลัวเขอตี้ผู้กำลังนั่งเอนหลังพร้อมกับขวดเหล้าในมือนั้นกล่าวว่า “พอแล้ว ตาแก่อันธพาลนี่! ขนาดเจ้ากับศิษย์รักของเจ้าปล้นเงินข้าไปมากขนาดนี้!  บิดายังไม่บ่นอะไรมากมายเลย!”

มู่เอินตบหัวของเขาแล้วพูดว่า “เหลี่ยมจัดน้อย เจ้าอายุน้อยที่สุดที่นี่ กล้าจะเรียกตัวเองว่าบิดา เจ้าเป็นบิดาใครไม่ทราบหา!?”

หลัวเขอตี้ตอบด้วยน้ำเสียงโมโหร้าย “โง่เง่า เจ้าคนโง่เง่าตัวเหม็น! ลูกศิษย์ของเจ้าไม่ใช่คนรึ? ลูกศิษย์ของหัวหน้าหัวเฟิงไม่ใช่คนรึ? พวกเขาแก่กว่าข้ารึ? ข้าก็หมายถึงพวกเขานั่นแหละ!”

ฮั่นโม่มองไปที่หลัวเขอตี้อย่างเฉยเมยและพูดสอดว่า “ถ้าเจ้ายังทำเสียงดังอีก ข้าจะโยนเจ้าออกไป!”

หลัวเขอตี้พูดด้วยน้ำเสียงโมโห “ตาแก่อันธพาลนั่นมันเริ่มก่อนนะ มันล้อเลียนข้า ทำไมเจ้าถึงไม่โยนมันออกไป?”

ฮั่นโม่พูดอย่างอดทน “ข้าเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ข้าเอาชนะเจ้าได้ ตบมือข้างเดียวยังไงก็ไม่ดัง แค่ข้าโยนเจ้าออกไปก็เพียงพอแล้ว “

“ฮึ่ม!! เกรงกลัวผู้แข็งแกร่งแต่เอาเปรียบคนอ่อนแองั้นรึ โมโม่น้อย ข้าจะจดจำเอาไว้!!!” หลัวเขอตี้มีสีหน้าอึมครึมขณะที่เขากระดกเหล้าเข้าปากมากขึ้น จากนั้นเขาก็สงบปากสงบคำลง

รถม้าคันนี้มีคนขับประจำอยู่คนหนึ่ง เขามีอายุประมาณ 40 ปี ใบหน้าดูซื่อๆ ทุก 4 ชั่วโมงพวกเขาจะหยุดพักม้าและจะเดินทางเพียง 14-16 ชั่วโมงต่อวัน อย่างไรก็ตาม หัวเฟิงก็ไม่ได้พูดเกินจริง แม้ว่าพวกเขาจะเดินทางไกลมาก แต่การนั่งในรถม้าก็สะดวกสบายมากจริงๆ สบายจนเหมือนกับว่านี่เป็นการเดินทางเพื่อไปเที่ยวพักผ่อนชมนกชมไม้ ไม่ใช่ทำภารกิจเสี่ยงตาย นอกจากนี้ ใต้รถม้ายังมีช่องลับซ่อนอยู่ พวกมันใช้เก็บอาหาร เครื่องดื่มและอุปกรณ์ทุกประเภทเอาไว้เป็นจำนวนมาก

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่โจวเหว่ยชิงชนเข้ากับกำแพงรถม้าโดยบังเอิญ หลังจากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าแม้ตนจะใช้ธนูราชันยิงเข้าใส่รถม้าคันนี้โดยตรง มันก็ยังไม่สามารถเจาะทะลุผ่านโครงสร้างโลหะผสมไทเทเนียมหนาๆ ของรถม้าคันนี้ได้ เขาแทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่ารถม้าคันนี้ใช้เงินเท่าไหร่สร้างขึ้นมา นอกจากนั้นเขาก็ยังอดจะยินดีกับตัวเองไม่ได้ว่า อย่างไรซะ เขากับปิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ส่วนแบ่งจากภารกิจอยู่แล้ว ดังนั้นก็แสดงว่าพวกเขาไม่ต้องเสียเงินนั่งรถม้าคันนี้ด้วยน่ะสิ!

สำหรับภารกิจที่กำลังมุ่งหน้าไปทำนั้นยังไม่มีใครอธิบายรายละเอียดให้พวกเขาฟังแม้แต่คนเดียว สิ่งเดียวที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้ก็คือมันน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในเขตแดนของอาณาจักรเฟยหลี่

หลังจากนั่งรถม้าหรูหรามาเป็นเวลา 7 วัน พวกเขาก็มาถึงพรมแดนของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และอาณาจักรเฟยหลี่แล้ว เมื่อรถม้าเดินทางต่อไปข้างหน้า พวกเขาก็เข้าสู่หุบเขาหนึ่ง แม้ว่าจะมีถนนตัดเข้าไปในหุบเขา แต่มันก็ค่อนข้างเล็กและแคบมาก ก่อนหน้านี้ที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เข้าสู่อาณาจักรเฟยหลี่ พวกเขาไม่ได้เดินทางโดยใช้เส้นทางนี้แต่ใช้อีกเส้นทางที่เล็กกว่าและมีระยะทางค่อนข้างใกล้กว่า อย่างไรก็ตาม เพราะขนาดของรถม้า พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้เส้นทางนี้เนื่องจากมันใหญ่เพียงพอจะให้รถม้าผ่านไปได้ ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังหลับตาทำสมาธิขณะที่กำลังฝึกปราณสวรรค์ ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงร้องของม้าและรถม้าก็ถูกม้ากระชากไปข้างหน้าเล็กน้อย เสียงร้องโวยวายของคนขับรถม้าดังขึ้นก่อนที่รถม้าจะหยุดชะงักดังเอี๊ยด

หัวเฟิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆเขาพูดกับมู่เอินโดยไม่มองออกไปข้างนอกแม้แต่น้อย “ตาแก่อันธพาล งานเสริมของเจ้ามาถึงแล้ว พาเหว่ยน้อยออกไปเปิดหูเปิดตาด้วยก็ได้”

ดวงตาของมู่เอินดูสดใสขึ้น เขายิ้มกว้างขณะที่พูดว่า “ข้าไม่ปฏิเสธข้อเสนอที่ดีเช่นนี้แน่นอน เหว่ยน้อย ไปกันเถอะ”

สมาชิกคนอื่นๆ ต่างก็แสดงท่าทางไม่พอใจ นั่นยังรวมไปถึงฮั่นโม่ที่ปกติมักจะทำสีหน้าไร้อารมณ์ด้วย หลัวเขอตี้มอบรอยยิ้มประจบสอพลอให้กับมู่เอิน “ตาแก่อันธพาล เจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคู่หูหรือ?”

มู่เอินจ้องมองเขาและพูดว่า “ช่วยมารดาเจ้าสิ…” เมื่อพูดจบ หลัวเขอตี้ก็ตอบกลับเขาด้วยการชูนิ้วกลาง

ในหัวของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยคำถามขณะก้าวลงจากรถม้าพร้อมกับมู่เอิน “อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

มู่เอินกล่าวพร้อมกับยิ้มกว้าง “เป็นโอกาสของพวกเราที่จะทำเงิน! หัวเฟิงมอบโอกาสที่ดีมาให้ขนาดนี้ อาจนับได้ว่าเป็นของขวัญต้อนรับสำหรับเจ้าเลยทีเดียว หัวหน้าของพวกเราชาญฉลาดมาก เขารู้ทุกอย่างราวกับปีศาจ เจ้าคิดว่าทำ ไมเขาถึงต้องทำด้านนอกของรถม้าให้ดูหรูหราขนาดนี้ล่ะ? นั่นก็คือเหตุผลสำหรับเรื่องนี้”

เมื่อมู่เอินพูดจบก็มีเสียงตะโกนดังมาจากด้านหน้า “หยุดเดี๋ยวนี้! ภูเขาลูกนี้เป็นของข้า ต้นไม้พวกนี้ข้าก็เป็นคนปลูก หากเจ้าต้องการผ่านถนนเส้นนี้ ทิ้งของมีค่าเอาไว้ซะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องตาย!”

“โจร?” โจวเหว่ยชิงเป็นคนฉลาด แน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของมู่เอินทันที คาดไม่ถึงว่าพวกเขากลับใช้รถม้าหรูหราเพื่อล่อความสนใจจากกลุ่มโจร เพื่อจะปล้นโจรคืน…ช่างเป็นความคิดที่…เอ่อ…มีเพียงคนประหลาดเท่านั้นแหละที่จะคิดแบบนี้ได้…

ขณะที่ทั้ง 2 คนเดินลงมาจากรถม้า พวกเขาก็เห็นว่าด้านหน้าของถนนถูกกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งขวางทางเอาไว้ พวกมันมีจำนวนคนมากกว่า 20 คน ยิ่งไปกว่านั้นคือทุกคนยังถืออาวุธเอาไว้ติดกาย ที่ด้านข้างของภูเขายังมีโจรอีกจำนวนหนึ่งยืนง้างธนูเล็งมาทางพวกเขา โจรเหล่านี้แต่งกายด้วยชุดสีน้ำเงิน แม้กระทั่งหัวหน้าของพวกมันยังสวมใส่เกราะอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นกลุ่มโจรที่มีระบบระเบียบกลุ่มหนึ่ง

หัวหน้าโจรดูเหมือนจะอายุประมาณ 40 ปี ในมือถือมีดขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง “พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าจะข้ามช่องแคบภูเขาสายลมอ่อนของพวกเราไปด้วยรถม้า! ดั่งที่โบราณว่าเอาไว้ คนล้มอย่าข้าม จงเหลือหนทางไว้ให้ผู้อื่นบ้าง ดังนั้นหากพวกเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่ต่อก็ให้ทิ้งข้าวของมีค่าไว้ครึ่งหนึ่งบนรถม้า ส่วนอีกครึ่งหนึ่งพวกเจ้าสามารถนำติดตัวไปได้ พวกเจ้าจะต้องทิ้งม้าและรถม้าไว้ที่นี่ เพราะตอนนี้มันเป็นของข้า!”

มู่เอินที่ดูน่าสังเวชขยับร่างกายสั่นเทาออกไปสองสามก้าวแล้วพูดด้วยสีหน้าอ้อนวอน “พี่ชายใหญ่ท่านนี้ ดูสิ พวกเรามีแต่คนแก่และเด็ก ถ้าไม่มีรถม้าคันนี้ เราจะเดินทางไปต่อได้อย่างไร! โปรดช่วยเราด้วย ให้พวกเราผ่านไปเถิด ท่านสามารถนำข้าวของของเราไปได้ครึ่งหนึ่ง แต่พวกเราต้องการรถม้าจริงๆ”

สีหน้าของหัวหน้าโจรเปลี่ยนไปทันที “ไอ้แก่! เจ้าเรียกใครว่าพี่ใหญ่? บิดาจะตีเจ้าให้ตาย! เจ้าแก่กว่ากว่าเกือบ 20 ปี ยังมีหน้ามาเรียกข้าว่าพี่ชาย? เจ้าด่าว่าข้าแก่รึ?”

โจวเหว่ยชิงมองจากด้านข้างและเห็นได้ชัดว่าจังหวะหายใจของมู่เอินถี่ขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ ท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โจวเหว่ยชิงยิ้มร่าอยู่ในใจ เขารู้ดีว่าอาจารย์ของเขาไม่ชอบถูกเรียกว่าไอ้แก่ “เจ้าเด็กเหลือขอ! พวกด้านหน้าเป็นของเจ้า ส่วนด้านข้างข้าจะจัดการเอง”

“ยังไงซะ อย่าลืมเหลือไอ้เจ้านั่นไว้ให้ข้าด้วย ข้าจะดูแลมันเป็นการส่วนตัว! ไปได้แล้ว!” มู่เอินถูกหัวหน้าโจรทำให้ของขึ้นจนไม่อยากจะเล่นละครต่อไปอีกแล้ว

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตกลง!” ในขณะที่พูด เขาก็ได้ถอดธนูอุษาดำออกมาจากหลังของเขาและไหลเวียนพลังปราณสวรรค์อย่างรวดเร็ว เขาปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมา ง้างธนูอุษาดำขึ้นเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวงก่อนจะปล่อยลูกศรพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

หัวหน้าโจรเริ่มตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าชายชราและเด็กหนุ่มคู่นี้จะกล้าต่อต้านเขา “ฆ่าพวกมัน!”

กลุ่มโจรที่อยู่ด้านข้างของภูเขายิงธนูออกมาโจมตีทั้งคู่ทันที แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเองมู่เอินกลับขยับไปก่อนแล้ว ส่วนโจวเหว่ยชิงเองก็ปล่อยลูกศรของเขาออกไปเช่นเดียวกัน

*สวบ* ลูกศรสายฟ้าสีดำพุ่งทะยานออกไปทันที หัวหน้าโจรผู้หยิ่งผยองรู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่พุ่งเฉียดใบหูของเขาไป บริเวณติ่งหูของเขารู้สึกเจ็บปวดและแสบร้อน ขณะที่โจร 4 คนข้างๆ เขาถึงกับล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว ลูกศรทะยานผ่านทั้ง 4 คนก่อนจะพุ่งต่อไปในระยะไกลๆ

แม้แต่โจวเหว่ยชิงเองก็ยังอดตกตะลึงกับพลังที่แท้จริงของธนูอุษาดำไม่ได้ รัศมีการยิงนั้นไกลมาก อีกทั้งพลังการโจมตีก็ยังแข็งแกร่งพอๆ กับธนูราชันของเขาเลยทีเดียว

ในขณะนั้นเอง ห่าธนูก็กำลังตกลงมาหาพวกเขาราวกับสายฝน มู่เอินขยับไปในเวลาเดียวกัน และก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะทันได้ขยับตัวทำอะไร เขาก็พบว่ามีเงาพร่ามัวสีเทาเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเขา จากนั้นมู่เอินก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยลูกศรในมือมากกว่า 20 ดอก

…………………………….

Related

ขณะเดินทางมายังหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ หลุมดำพลังปราณทั้ง 5 ของโจวเหว่ยชิงก็ได้ดูดกลืนพลังปราณภาย นอกเข้ามาด้วยความเร็วเต็มอัตรา ดังนั้นตอนนี้พลังปราณสวรรค์ของเขาอย่างน้อยครึ่งหนึ่งจึงได้ฟื้นกลับคืนมาแล้ว ในขณะที่เขายกมือขวาขึ้น ไอหมอกน้ำแข็งก็พวยพุ่งออกมา จากนั้นธนูราชันปรากฏตัวขึ้นในมือของเขา

เมื่อมองเห็นธนูราชัน ดวงตาของมู่เอินก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที “ช่างเป็นธนูที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้! ลายเส้น ความแข็งแกร่ง รูปแบบ หรือแม้กระทั่งพลังปราณสวรรค์ที่สัมผัสได้ สิ่งนี้ควรทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่ง  แน่นอนว่ามันทรงพลังมาก หากเจ้ามีมณีมากกว่านี้ ข้าสงสัยนักว่าธนูนี้จะมีพลังทำลายล้างมากถึงขนาดไหนกันแน่ ชื่อของมันคือ?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “ธนูราชัน”  ในปีนี้เขามีอายุ 14 ปี และอาจกล่าวได้ว่าช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขาคือช่วงที่เขาติดตามมู่เอิน ในเวลานั้น เขาไม่รู้ว่ามู่เอินป็นจ้าวมณีที่ทรงพลังจากหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาใช้เวลาไปกับการกินดื่มและเที่ยวรอบโลกอย่างสนุกสนาน แน่นอนว่าสิ่งนี้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ของแม่ทัพโจว ไม่เช่นนั้นการไปเยี่ยมเยียนหอโคมเขียวและเล่นการพนันคงจะถูกเพิ่มเข้าไปในรายการเที่ยวเล่นของพวกเขาแล้ว

“ ‘ธนูราชัน’ หรือว่า ‘บังคับสอดตัวเองเข้าไปในตัวใครซักคน’ [1] ? (คือออกเสียงคล้ายกัน) ชื่อช่างลามกเสีย  จริงๆ”

โจวเหว่ยชิงพูดไม่ออก “อาจารย์! ความคิดของท่านนั่นแหละที่ลามก!”

มู่เอินพูดว่า “มาที่ห้องของข้าแล้วเล่าให้ข้าฟังว่าปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าจินตนาการไม่ออกเลยว่าระดับปราณสวรรค์ของเจ้าพุ่งขึ้นถึงสี่ระดับในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร อีกทั้งยังเจ้าปลุกมณีสวรรค์ของเจ้าได้ด้วย”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “อาจารย์ ตอนนี้ข้าอยู่ในระดับที่ 5 แล้ว! ฮี่ๆ ข้าเป็นศิษย์ของท่าน  เพราะฉะนั้นก็ย่อมเป็นอัจฉริยะเหมือนท่าน”

มู่เอินครุ่นคิดสักครู่แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “นั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมาก อย่างน้อยเจ้าก็ได้รับความอัจฉริยะของข้าไปบ้าง”

ขณะที่พวกเขาเข้าไปในบ้านไม้ของมู่เอิน โจวเว่ยชิงเห็นว่าข้างในระเกะระกะมาก ผนังห้องเรียงรายไปด้วยภาพของหญิงงามร่างกายเปลือยเปล่า และบางภาพก็ยังมีรอยแปลกๆ สีขุ่นๆ กระเซ็นติดอยู่

โจวเหว่ยชิงใช้เวลาสักครู่ในการหาที่นั่งที่สะอาดๆ จากนั้นเขาก็เล่าให้มู่เอินฟังเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เนื่องจากมู่เอินเป็นอาจารย์ที่เขาเคารพนับถือ โจวเหว่ยชิงจึงไม่ได้ปกปิดเรื่องราวใดๆ กับเขาเลยแม้แต่น้อย

หลังจากฟังเรื่องเล่าของเขาและมองสำรวจไพฑูรย์ตาแมวสองสีอย่างถี่ถ้วนแล้ว มู่เอินก็บอกให้โจวเหว่ยชิงแสดงทักษะธาตุที่เขากักเก็บเอาไว้ ในที่สุดเขาก็เชื่อว่าเรื่องทั้งหมดที่โจวเหว่ยชิงเล่าเป็นความจริง

“ให้ตาย! ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ!…ความสามารถของเจ้าแข็งแกร่งกว่าบิดาของเจ้าเสียอีก! ไม่แปลกใจเลยที่ข้าค้นพบว่าปิงเอ๋อร์ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อีกต่อไป เจ้าเป็นคนลงมือนั่นเอง! อิจฉา อิจฉาโว๊ยยยย! ข้าทั้งอิจฉาและเกลียดเจ้า!” ดวงตาของมู่เอินเกลือกกลิ้งไปมา

“อาจารย์ ข้าควรบอกคนอื่นๆ ในหน่วยเกี่ยวกับทักษะธาตุของข้าหรือไม่?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

มู่เอินส่ายหัวทันที สีหน้าของเขาดูชั่วร้ายขึ้นมาวูบหนึ่งขณะที่เขายิ้มออกมา “ทำไมต้องบอกพวกเขาด้วย? เมื่อช่วงเวลาสำคัญมาถึง บางทีเจ้าอาจทำให้พวกเขาตกตะลึงก็เป็นได้ หึๆ เจ้าและปิงเอ๋อร์จะออกไปทำภารกิจพร้อมกับพวกเรา แต่ส่วนใหญ่พวกเจ้าจะเป็นผู้สังเกตการณ์มากกว่า ในช่วงเวลานั้น เจ้าแค่ตามอยู่ข้างๆ ข้าก็พอ เมื่อพวกเรากลับมา ข้าจะเริ่มสอนทักษะการยิงธนูของข้าให้เจ้า เนื่องจากเจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์อยู่แล้ว มีหลายสิ่งที่เจ้าต้องเรียนรู้ อาจารย์ของเจ้าจะสั่งสอนเจ้าด้วยตัวเองอย่างสุดความสามารถแน่นอน”

“อาจารย์ ท่านอย่าใช้คำว่าสั่งสอนด้วยตัวเอง[2] ที่นี่จะได้ไหม? อ่า ใช่แล้ว เมื่อไหร่ท่านจะพาข้าไปแอบดูผู้หญิงอาบน้ำที่โรงอาบอีกครั้งล่ะ? แล้วก็ยังต้องไปโรงเตี๊ยมเหลาสุราเพื่อฝึกใช้สายตาประเมิน ‘ขนาดหน้าอก’ อีกด้วย? อ๊า ใช่แล้ว ครั้งสุดท้ายที่เราขโมยไก่ของใครสักคนมาปิ้งกิน คราวนั้นรสชาติของมันน่าทึ่งมากจนข้าลืมไม่ลงมาถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว! อาจารย์! ท่านยังไม่ได้สอนวิธีปรุงรสกับย่างไก่ตัวนั้นให้ข้าเลย!”

“อ้อ อาจารย์ ข้าคิดว่ารสนิยมของข้าเริ่มแตกต่างไปจากของท่านแล้ว…ข้าคิดว่าตอนนี้ผู้หญิงที่มีสะโพกใหญ่นั้นเข้าท่ากว่า… ”

“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร! ไม่ใช่ว่าข้างล่างใหญ่อย่างเดียว พวกนางจะต้องร้อนแรงด้วย!   เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก เจ้าเด็กเหลือขอ…”

หากมีวลีที่จะอธิบายอาจารย์เช่นมู่เอิน ก็คงจะเป็น ‘มีเพียงหนึ่งเดียว’ แน่นอน

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็ได้รับมอบบ้านไม้หลังเล็กๆ ให้อาศัยอยู่ ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาต้องดูแลอาหารการกินของตัวเองและจะไม่มีคนรับใช้หรืออะไรประเภทนั้นเด็ดขาด แน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโจวเหว่ยชิงต้องเป็นคนเตรียมอาหารสำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ สำหรับมู่เอินนั้น ในเมื่อตัวเขามีศิษย์อาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน เช่นนั้นเขาจะใช้ประโยชน์จากโจวเหว่ยชิงได้อย่างไร ท้ายที่สุดแล้วโจวเหว่ยชิงจึงต้องเตรียมอาหารไว้เผื่อคนทั้ง 2 ด้วย

โจวเหว่ยชิงเห็นว่าสมาชิกคนอื่นๆ ของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์มักจะหลบอยู่ในห้องของตัวเอง แม้ว่าหลัวเขอตี้จะเดินทางออกไปในช่วงบ่ายอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าเขาน่าจะออกไปดื่ม ส่วนมู่เอินนั้นอยู่ในห้องของตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังดูรูปบนกำแพงและ ‘ฝึกฝนมือของเขา’ หรือเขากำลังฝึกปราณสวรรค์อยู่กันแน่

สำหรับโจวเหว่ยชิง เขาใช้เวลานั้นฝึกปราณสวรรค์อย่างหนักหน่วง นี่ไม่ได้หมายความว่าโจวเหว่ยชิงเป็นคนขยัน แต่เพราะในขณะที่เขามีทักษะยอดเยี่ยมมากมาย พลังปราณสวรรค์ของเขากลับไม่เพียงพอที่จะใช้มันได้ นั่นทำให้เขาเจ็บปวดใจมาก นอกจากนี้ เขายังรู้สึกได้ชัดเจนว่าความเร็วในการดูดกลืนของวิชาเทพอมตะนั้นได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่านับตั้งแต่เขาสำเร็จวิชาส่วนแรก ดังนั้นหลุมดำพลังปราณทั้ง 5 จึงดูดกลืนพลังปราณภายนอกเข้ามาในอัตราความเร็วที่จ้าวมณีสวรรค์คนใดก็ไม่อาจทำได้

อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงก็ยังคงกังวลลึกๆ เกี่ยวกับเทคนิคเทพอมตะ เขารู้สึกเจ็บปวดมากทุกครั้งขณะที่ทะลวงผ่านจุดตาย แต่ก็ยังโชคดีที่เขามีพลังจากไข่มุกสีดำคอยช่วยเหลือเสมอ อนิจจา การเริ่มฝึกวิชาเทพอมตะนี้ก็เหมือนขึ้นหลังเสือ จะลงก็ลงไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงได้แต่หวังว่าจะสำเร็จวิชานี้และทะลวงจุดตายทั้ง 36 จุดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะถึงยังไงซะ เจ็บตอนนี้ก็ยังดีกว่าตาย นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขากระตือรือร้นในการฝึกฝนมากขนาดนี้

ขณะนี้โจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และมู่เอินกำลังนั่งล้อมรอบซุปของโจวเหว่ยชิงอยู่ ในซุปนั้นประกอบด้วยหน่อไม้และผักชนิดอื่นๆ ที่ดูแปลกประหลาดจากป่าดารา

“เหว่ยน้อย เสือขาวตัวน้อยของเจ้าไม่หิวเหรอ?” มู่เอินมองไปที่เสือขาวตัวน้อยซึ่งนั่งอยู่ในตักของโจวเหว่ยชิง เขาไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยนี้เป็นอสูรสวรรค์จริงๆ หรือไม่ แต่เขาบอกกับโจวเหว่ยชิงว่า แม้มันจะเป็นอสูรสวรรค์ มันก็ยังเป็นเด็กและต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่ามันจะเติบโตขึ้น แน่นอนว่าการเลี้ยงมันเป็นสัตว์เลี้ยงนั้นไม่ได้แย่อะไร

โจวเหว่ยชิงเคี้ยวหน่อไม้ที่เขาเพิ่งขุดขึ้นมาแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เจ้าตัวน้อยนี้ยังคงแข็งแรงแม้มันจะไม่ได้กินอะไรเลย เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่ได้ให้อาหารมัน”

สายตาของมู่เอินเผยให้เห็นถึงความสงสัย “แปลกมาก ข้าคิดว่าถ้ามันไม่ใช่อสูรสวรรค์มันก็คงตายไปนานแล้ว แต่ว่าถ้ามันเป็นอสูรสวรรค์จริง ข้าก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอสูรสวรรค์ที่มีรูปร่างคล้ายเสือขาวเช่นนี้มาก่อน หรือว่ามันจะเป็นโรคผิวหนัง?”

“อะไรนะ?! เป็นไปได้หรือ?” โจวเหว่ยชิงมองดูเสือขาวตัวน้อยด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ราวกับว่าเขากำลังจะเขวี้ยงมันออกจากตักด้วยความกลัวว่ามันจะเป็นโรคติดต่อ

เสือขาวตัวน้อยดูเหมือนจะรู้สึกถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น มันส่ายศีรษะไปมาอย่างน่ารักน่าชังและคำรามใส่มู่เอิน

“เอ๊ะ เจ้าตัวน้อยนี้ช่างฉลาดจริงๆ! ดูเหมือนมันจะเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดด้วย เหว่ยน้อย หากเจ้าตัวน้อยๆ นี้เป็นอสูรสวรรค์ เจ้าก็โชคดีจริงๆ! ยิ่งอสูรสวรรค์มีระดับสูงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งฉลาดมากเท่านั้น เฮ้อ เสียดายที่เจ้าตัวน้อยนี้ยังคงเป็นเด็ก ไม่เช่นนั้นหากมันตัวใหญ่กว่านี้สักเล็กน้อย เจ้าก็สามารถใช้มันเป็นพาหนะได้”

เมื่อเสือขาวตัวน้อยได้ยินดังนั้น ดวงตาเล็กๆ ของมันเบิกกว้าง มันหยุดสั่นหัวราวกับจะบอกว่า อะไรนะ! พวกเจ้าเป็นแค่มนุษย์ กล้าจะใช้ข้าเป็นม้าเชียวรึ!?

มู่เอินยิ้มแย้มและหัวเราะร่าขณะที่เขาสูบท่อยาสูบของเขาต่อ ซ่างกวนปิงเอ๋อเสตาหลบเขาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้ความอยากอาหารลดลง

“เหว่ยน้อย หากเจ้าตัวน้อยนี้เป็นอสูรสวรรค์จริงๆ มันก็น่าจะเป็นราชาแห่งสัตว์ร้ายเพราะว่ามันเป็นอสูรสวรรค์ประเภทเสือ อย่างน้อยเจ้าตัวจ้อยนี่ก็น่าจะระดับเทวะขึ้นไป ดูแลมันให้ดีๆ ล่ะ ดูจากอายุของมันแล้ว แม้ว่าเจ้าจะไม่ทันได้ใช้งานมัน แต่บางทีเจ้าอาจจะมอบให้กับลูกๆของเจ้าก็เป็นได้”

“ผู้อาวุโสมู่เอิน ท่านพูดอะไรน่ะ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกเขินอายมาก เธอเตะขาโจวเหว่ยชิงเล็กน้อยก่อนจะรีบกินจนหมดชาม

มู่เอินพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ “เดี๋ยวเจ้าก็ชินเอง…อืม เหว่ยน้อย ข้าว่าจะขอตัวปิงเออร์จากหัวเฟิงมาเป็นลูกศิษย์ของข้าอีกคนร่วมกันกับเจ้า”

“อะไรนะ? อย่าเลย ท่านเป็นอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของข้า ด้วยความสามารถอันน่าอัศจรรย์ที่แม้แต่เทพเจ้าและปีศาจก็ยังหวาดกลัวเช่นนี้ ท่านจะยอมลดตัวไปสั่งสอนคนอื่นง่ายๆ ได้อย่างไร! ข้าอยากจะเป็นศิษย์คนเดียวของท่านและไม่อยากจะแบ่งปันความรู้ของท่านกับใครเลย แม้แต่ภรรยาของข้า! ความรู้ทั้งหมดของท่านควรเป็นความลับระหว่างเรา!” น่าขันอะไรเช่นนี้! เขาจะปล่อยให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เรียนรู้จากตาแก่จอมเจ้าเล่ห์ของเขาได้อย่างไร…สวรรค์! จะเป็นอย่างไรถ้าเธอกลายเป็นอันธพาลหญิง ถึงตอนนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว! แม้ว่าหัวเฟิงจะเป็นพวกตัดแขนเสื้อ แต่ยังไงเขาก็ดีกว่าชายชรานิสัยเสียนี่! โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกว่าพวกตัดแขนเสื้อนั้นยอดเยี่ยมขึ้นมาในทันที! แม้ว่าเขาจะรักบิดา แต่อย่างน้อยก็รู้สึกปลอดภัยที่จะให้ภรรยาของเขาเรียนรู้จากหัวเฟิง! ต้องปลอดภัยเอาไว้ก่อน!

ในวันรุ่งขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์มาเยือนยามรุ่งสาง โจวเหว่ยชิงก็ถูกปลุกให้ตื่นโดยมู่เอิน ทว่าด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมขึ้นของเขา เขาก็ยังไม่รู้ว่ามู่เอินเข้ามาในห้องของเขาโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวได้อย่างไร

“อรุณสวัสดิ์ท่านอาจารย์ ทำไมท่านตื่นเช้าขนาดนี้?” โจวเหว่ยชิงฝึกปราณมาตลอดทั้งคืนและเพิ่งเริ่มนอนเมื่อไม่นานมานี้เอง ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ท่านอนของเขายังสบายเกินไป ทำให้เขายังคงง่วงงุนอยู่มาก “อย่ามัวพูดจาไร้สาระ ตื่นขึ้นมาเร็วๆ พวกเราจะไปทำภารกิจหลังทานอาหารเช้า” มู่เอินคว้าผ้านวมออกจากตัวของโจวเหว่ยชิงทันที

โจวเหว่ยชิงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปีนป่ายออกมาจากเตียง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามู่เอินนั้นแต่งตัวแตกต่างจากเมื่อวานมาก เขาสวมชุดสีเทาสง่างาม ดูไม่เหมือนชายชราเกียจคร้านและซุกซนเมื่อวานนี้นัก ตอนนี้ตัวเขากลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและดูมีกำลังวังชาอย่างน่าเหลือเชื่อ

โจวเหว่ยชิงแต่งตัวตัวอย่างรวดเร็วและติดตามมู่เอินเข้าสู่ลานกว้าง เขาพบว่ามู่เอินได้เตรียมอาหารเช้าไว้แล้ว ขณะนี้คนที่เหลือทั้งหมดต่างก็นั่งกินข้าวกันอยู่ในลานกว้างนี้ด้วย เมื่อเขาหันไปเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาก็พบว่าเธอแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ธนูอุษาม่วงคันเดิมของเธอหายไปและตอนนี้เธอก็กำลังถือคันธนูสีเขียวขนาดเล็กอยู่ ธนูอุษาม่วงถือเป็นธนูที่ยาวและค่อนข้างใหญ่ แต่ธนูสีเขียวอันใหม่ที่เธอถืออยู่นั้นมีขนาดเล็กเกือบครึ่งหนึ่งของธนูอุษาม่วง

มู่เอินตบหัวของเขาและพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องมองแล้ว นั่นคือธนูที่หัวเฟิงมอบให้กับเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนั้น แน่นอนว่าเขาใจกว้างมาก ธนูวิญญาณมรกตนั้นเบาและมีอัตราการยิงที่สูงมาก นั่นเป็นหนึ่งในคันธนูที่ดีที่สุดสำหรับจ้าวมณีธาตุลม แน่นอนว่าดีกว่าธนูอุษาม่วงที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “อาจารย์ ดูสิ อาวุโสหัวเฟิงใจดีๆ มากเลยทีเดียว เขาถึงขั้นมอบของขวัญให้กับลูกศิษย์เป็นการต้อนรับ…ข้าติดตามท่านมานาน อย่างน้อยก็ 2 ปีแล้ว ท่านจะไม่มอบธนูดีๆ ให้ข้าสักคันหรือ?”

มู่เอินส่งเสียงหึในลำคอและพูดว่า “เพราะหัวเฟิงนั้นร่ำรวย แต่ข้ากลับยากจนนัก  ถึงแม้ข้าจะมีเงิน แต่มันก็ถูกใช้ไปกับอาจารย์หญิงชั่วคราว[3] ของเจ้าหมดแล้ว เฮ้อ…เหว่ยน้อย ให้อาจารย์สอนบทเรียนชีวิตให้กับเจ้าตอนนี้เถิด นั่นคือเจ้าควรพึ่งพาตนเอง!”

โจวเหว่ยชิงเพิ่งตักซุปใส่ในปาก เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ เขาก็เกือบจะพ่นซุปนั้นออกมาจนหมด โจวเหว่ยชิงพลันคิดกับตัวเอง: อาจารย์ฮูเหยียนนั้นถือว่าเป็นคนขี้เหนียวแล้ว ดูเหมือนว่าอาจารย์มู่เอินนั้นจะขี้เหนียวพอๆ กับเขาเลยทีเดียว! บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ!!

……………………………………………………….

[1] นักเขียนเล่นคำ – 霸王弓 (ธนูราชัน) 霸王攻 (บังคับตัวเองเข้าไปในตัวใครซักคน) คำว่า 弓 และ 攻 เสียงเหมือนกัน]

[2] 调教 จริงๆแล้วแปลว่าสั่งสอน แต่ตอนนี้ในอินเตอร์เน็ตมักจะใช้ไปในทางเหน็บแนมว่าสอนสวาท สั่งสอนด้วยร่างกาย

[3]  师母 หมายถึงอาจารย์หญิง ในบริบทแปลว่าหญิงนางโลมค่ะ  ( ͡° ͜ʖ ͡°)

Related

หัวเฟิงยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “ไม่ใช่ พวกเราไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของอาณาจักร แม้แต่ราชวงศ์ก็ยังไม่สามารถออกคำสั่งพวกเราตามอำเภอใจได้ ปกติแล้วหน่วยของพวกเราจะออกโรงก็ต่อเมื่ออาณาจักรใกล้จะสูญสลายเท่านั้น ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าจ้าวมณีต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการฝึกฝน ดังนั้นพวกเราจึงต้องการรายได้ เพราะฉะนั้นเงินเหล่านั้นก็มาจากภารกิจพวกนี้ พูดง่ายๆ ก็คือพวกเราเป็นกลุ่มนักฆ่าที่เป็นที่รู้จักในนาม ‘สำนักสวรรค์พิสดาร’

แน่นอนว่านอกจากพวกเราแล้ว ไม่มีใครในโลกนี้รู้ว่าหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์คือสำนักสวรรค์พิสดาร ในโลกของสำนักนักฆ่าบนดินแดนไร้ขอบเขตแห่งนี้ สำนักสวรรค์พิสดารของเราถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 7 ของกลุ่มนักฆ่าทั้งหมด สำนักของพวกเราถูกจัดตั้งขึ้นมานานกว่าร้อยปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น อัตราความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจของพวกเราก็อยู่ที่ประมาณ 79% ส่วนสำนักอื่นๆที่อยู่ในอันดับต้นๆ นั้น พวกเขามีจำนวนสมาชิกในสำนักมากกว่าพวกเราอย่างน้อยสิบเท่า”

“สำนักสวรรค์พิสดาร?”  ริมฝีปากของโจวเหว่ยชิงกระตุกขณะที่เขาคิดกับตัวเองว่า:ให้ตายเถอะ! ช่างเป็นชื่อที่สร้างสรรค์จริงๆ!

หัวเฟิงยิ้มบางเบาขณะที่เขาเอ่ยคำกลอนของสำนักว่า “พวกเราคือกลุ่มคนพิสดาร อาจหาญจะยิงศร ทำลายเจ้าให้ม้วยมอญ จนจากจรไปสู่สวรรค์”

“จากนี้ไปพวกเจ้าจะเป็นสมาชิกของสำนักสวรรค์พิสดารอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก 2 ปีต่อจากนี้คือช่วงเวลาฝึกฝนของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจะไม่ได้ส่วนแบ่งจากภารกิจที่ได้รับมอบหมาย แต่เมื่อความสามารถของพวกเจ้าสูงถึงมาตรฐานที่ทุกคนยอมรับและเห็นพ้องต้องกันแล้ว พวกเราก็จะเริ่มมอบส่วนแบ่งให้เจ้า”

มู่เอินมองโจวเหว่ยชิงก่อนที่จะพูดว่า “หึ เจ้าเด็กเหลือขอ! อย่าคิดจะตัดสินฝีมือของมือสังหารอย่างพวกเราด้วยมาตรฐานจ้าวมณีทั่วไปล่ะ แต่ก่อนหากหน่วยของเราต้องต่อสู้โดยไม่ใช้ธนู เมื่อเผชิญหน้ากับจ้าวมณีธรรมดาๆที่มีมณี 5 ดวง เจ้ามณีคนนั้นก็สามารถทำลายหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราลงได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมานี้ อัตราความสำเร็จในการต่อสู้ของพวกเราเป็นอย่างไรน่ะรึ? ข้าจะพูดถึงพวกระดับสูงๆ ให้ฟัง บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดที่เราเคยลอบสังหารคือจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 9 ชุด เขาแค่เพียงคนเดียวก็แข็งแกร่งพอจะต่อสู้กับจ้าวมณีธรรมดาที่มีมณี 9 ดวงได้นับร้อยคนแล้ว! นอกจากนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจำนวนผู้คนที่เราเคยลอบสังหารก็คือ จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะที่มีมณี 9 ดวงจำนวน 11 คน  จ้าวมณีที่มีมณี 8 ดวง 43 คน จ้าวมณีที่มีมณี 7 ดวง 114 คน…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ผู้อาวุโส พวกเราจะฝึกฝนอย่างหนักและตั้งใจทำภารกิจอย่างเต็มที่ด้วยกำลังทั้งหมดของเรา ได้โปรดชี้แนะพวกเราด้วย”

ฮั่นโม่ยืนขึ้นแล้วพูดกับหัวเฟิงว่า “หัวหน้า ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขออนุญาตกลับก่อน”

หัวเฟิงพยักหน้าและพูดว่า  “ปิงเอ๋อร์มากับข้า ข้าจะจัดสถานที่พักให้เจ้าพร้อมกับทดสอบความแข็งแกร่งของเจ้าด้วย”

“รับคำสั่ง ท่านอาจารย์” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนทันที ขณะที่เธอกำลังจะจากไปโจวเหว่ยชิงก็คว้ามือเธอไว้อย่างรวดเร็ว เขาขยับเข้าไปใกล้หูของเธอแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “ปิงเอ๋อร์ ระวังตัวด้วย อย่าให้ตาแก่หน้าตาหล่อเหลาผู้คนนั้นหลอกล่อเอาเปรียบเจ้าได้ล่ะ!” พูดจบเขาก็มองไปยังหัวเฟิง ด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและสง่างามของหมอนั่น เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงอันตรายบางอย่าง

ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขึ้นสีแดงระเรื่อ เธอหยิกเขาจมเนื้อหนึ่งทีก่อนจะจากไปพร้อมกับหัวเฟิง

โจวเหว่ยชิงทันได้มองเห็นท่าทางของหัวเฟิงขณะเดินออกไปอย่างชัดเจน ริมฝีปากของเขากระตุกขึ้นด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย หรือว่า…อาจจะเป็นไปได้ที่… ข้ากระซิบเบาๆ แต่เขากลับได้ยินทุกอย่าง?

ทันทีที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และหัวเฟิงเดินออกไป มู่เอิน หลัวเขอตี้และเกาเฉินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโจวเหว่ยชิงก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังสนั่น ในบรรดาพวกเขาทั้ง 3 คน หลัวเขอตี้เป็นคนที่แสดงออกเกินจริงมากที่สุด เขาหัวเราะจนน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง กระทั่งทุบกำปั้นของเขาลงบนโต๊ะเสียงดัง ขณะที่มู่เอินหัวเราะจนเก้าอี้ไม้หนักๆ ที่เขานั่งทับอยู่แทบจะขยับออกจากที่ โจวเหว่ยชิงถามงงงวย “ทำไมพวกท่านถึงหัวเราะล่ะ มีอะไรน่าขำหรือ?”

เกาเฉินเอ่ยตอบขณะที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เหว่ยน้อย เจ้าคิดหรือว่าเสียงกระซิบของเจ้านั้นเบามากและมีปิงเอ๋อร์เพียงคนเดียวที่ได้ยิน?”

“อะไรนะ? นี่…ทุกคนได้ยินที่ข้าพูดหรือ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ

หลัวเขอตี้ยกนิ้วให้เขาและพูดว่า “เหว่ยน้อย ข้าจะบอกอะไรให้ ถ้ามีคนอื่นพูดเรื่องคล้ายๆ กับที่เจ้าเพิ่งพูดกับปิงเออร์ไป แม้ว่าพวกเขาจะไม่ตาย อย่างน้อยก็ต้องโดนหัวหน้าเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส เจ้าคิดว่าเสียงของเจ้าเบางั้นรึ? เจ้าลืมอาชีพที่พวกเราใช้ทำมาหากินไปแล้วหรือไง? พวกข้าทุกคนล้วนเป็นพลธนูและมือสังหาร! สำหรับพลยิงธนู การคำนวณระยะทางและความเร็วจากการได้ยินคือเรื่องง่ายๆสำหรับพวกเรา แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะก็ยังไม่อาจเทียบเคียงพวกเราได้! เสียงกระซิบของเจ้าไม่แตกต่างอะไรกับมาพูดอยู่ข้างๆหูของข้าเลยด้วยซ้ำ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!! และเจ้า…เจ้ายังกลัวว่าหัวหน้าจะขโมยคนรักของเจ้า…ฮ่าๆๆๆๆๆๆ โอย ข้าขำจนเกือบตายแล้ว”

“มีอะไรน่าขำนักหรือ!? ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ข้ากังวลเกี่ยวกับภรรยาของข้ามันผิดตรงไหน” โจวเหว่ยชิงร้องออกมา จากความอับอายก็เปลี่ยนไปเป็นความโกรธ

“ปัดโถ่! เจ้าเด็กเหลือขอนี่! หยุดทำให้ข้าเสียหน้าจะได้ไหม!” มู่เอินบอกกับเขา “เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหัวหน้าหัวเฟิงหวังอยากให้เจ้าเรียกเขาว่าอะไรมากที่สุด?”

โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย “อะไรล่ะ?”

มู่เอินหยุดเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “แม่รอง ”

“อะไรนะ?!” ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเกือบจะถลนออกมาจากเบ้า “เจ้าหมายความว่าท่านหัวหน้าเป็นผู้หญิง?”

“ไม่ ไม่…แน่นอนว่าหัวหน้าของเราเป็นผู้ชาย แต่อย่างไรซะ เขาก็ชอบผู้ชายคนอื่นอยู่เช่นกัน คนที่เขาตกหลุมรักก็คือบิดาของเจ้ายังไงล่ะ! ฮ่าๆๆๆๆๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้าควรกังวลว่าใครบางคนอยากจะเป็นแม่อีกคนของเจ้ามากกว่าจะไปขโมยภรรยาของเจ้านะ ฮ่าๆๆๆๆ โอ้ย ช่วยด้วย ข้าหยุดหัวเราะไม่ได้ ฮ่าๆๆๆๆ”

โจวเหว่ยชิงจ้องมองบุคคลทั้ง 3 อย่างตกตะลึง กรามของเขาอ้าค้าง ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ทันใดนั้นเอง ทั้ง 3 คนที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก็หยุดชะงักอย่างไร้สาเหตุ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปมา จากนั้นทั้งหมดก็ลงไปนอนหมอบอยู่กับพื้นภายในชั่วพริบตา ผนังไม้ด้านหลังพวกเขามีรูเล็กๆ 3 รูปรากฏขึ้นในบริเวณที่พวกเขานั่งรวมกันอยู่เมื่อสองวินาทีก่อน

เสียงของหัวเฟิงดังมาจากที่ไกลๆ “ถ้าพวกเจ้า 3 คนอยากตายมากนัก ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของพวกเจ้า”

ใบหน้าของหลัวเขอตี้นั้นหน้าซีดขาว ในขณะที่เกาเฉินกลับมามีสีหน้าเคร่งขรึมทันที “ตาแก่เหลี่ยมจัด เจ้ากล้านินทาหัวหน้าได้อย่างไร? ข้าจะจับตาดูเจ้าไว้! เอาล่ะ ข้าจะกลับแล้ว ต้องรีบไปเก็บของสำหรับภารกิจในวันพรุ่งนี้” ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็หายตัวออกไปจากห้องด้วยความรีบร้อน

มีเพียงมู่เอินเท่านั้นที่นั่งลงบนเก้าอี้ของเขาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขามองไปยังโจวเหว่ยชิงที่กำลังตะลึงงันอยู่และพูดอย่างเฉยเมย “เหว่ยน้อย ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง?”

“เข้าใจ? แน่นอนตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ไม่แปลกใจที่ที่นี่ถูกเรียกว่าสำนักสวรรค์พิสดาร  มีแต่คนพิสดารทั้งนั้น ไม่มีใครปกติสักคน…” โจวเหว่ยชิงมีสีหน้าแปลกๆ เนื่องจากในหัวของเขาเกิดจินตนาการฉากบางอย่างขึ้นมา…บิดาของเขาและหัวเฟิงผู้หล่อเหลากำลังจับมือกัน…

เมื่อรู้สึกว่าลำไส้ของตนเริ่มแปรปรวน โจวเหว่ยชิงก็ตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติทันที

ในบรรดาสมาชิกทั้ง 7 คน เขาได้พบแล้ว 5 คน หนึ่งในนั้นเป็นพวกตัดแขนเสื้อ คนหนึ่งเป็นคนเหลี่ยมจัด คนหนึ่งเป็นอันธพาล คนหนึ่งเป็นพวกบ้าเลือด ส่วนอีกคนก็เป็นก้อนน้ำแข็งเดินได้

เขาถามอย่างลังเล “อาจารย์ ฉายาของสมาชิก 2 คนสุดท้ายคืออะไรหรือ?”

มู่เอินลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาโจวเหว่ยชิง “เจ้าจะต้องระวังสมาชิก 2 คนสุดท้ายให้ดี หนึ่งในนั้นคือผู้หญิงเพียงคนเดียวในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรา หญิงสาวผู้งดงามนางนั้นหลงรักหัวเฟิงมานานกว่า 20 ปี เช่นเดียวกับที่หัวเฟิงหลงรักบิดาของเจ้า นางชื่อสุยเฉา แต่พวกเรามักจะเรียกนางว่าหญ้าน้อย [1] อย่างไรก็ตาม นางเป็นพวกหยินหยางพร่อง อารมณ์จึงรุนแรงมาก นอกจากหัวเฟิงแล้ว นางดุร้ายกับคนอื่นๆ มาก ฉายาของนางก็คือ ‘ภูเขาไฟ’ ไฟหมายถึงอารมณ์     คุกรุ่นของนาง ในขณะที่ภูเขาหมายถึงทักษะธาตุของนาง แน่นอนว่านางคือจ้าวมณีธาตุดิน นางเป็นคนที่เจ้าต้องระวังมากที่สุดเพราะว่าในสายตาของนาง บิดาของเจ้าเป็นผู้ขโมยคนที่นางรักไป”

“สมาชิกคนสุดท้ายคือรองหัวหน้าของเรา เขาชื่อว่ายี่ฉือ ความสามารถพิเศษของเขาคือการซุ่มโจมตีและยิงสนับสนุน เขาเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดในสนามรบ อีกทั้งในแง่ของแผนการชั่วร้ายตลบตะแลงก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้ เพศของเขา เอ่อ…ค่อนข้างไม่เหมือนใครเท่าไหร่…ก็เหมือนกับฉายาของเขานั่นแหละ ‘ลักเพศ’ “

บนหัวของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยขีดสีดำ 5 ขีด[2] กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกเล็กน้อย ที่นี่มันศูนย์รวมคนประเภทไหนเอาไว้บ้างเนี่ย? มีพวกลักเพศและราชสีห์ตัวเมียเพิ่มเข้ามาอีก! พวกเขาจะใช้เวลาอีก 2 ปีถัดไปที่นี่ได้จริงๆ หรือ!

“เอาล่ะ พวกเราก็ไปกันเถอะ ข้าจะจัดหาสถานที่พักให้เจ้า จากนั้นเจ้าก็แสดงพลังของเจ้าให้ข้าดู ข้าได้ยินว่าเจ้าได้หลอมรวมศาสตรามณียุทธ์กับมณีของเจ้าเรียบร้อยแล้ว  แล้วเจ้ากักเก็บธาตุลงในมณีหรือยัง?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “อืม ข้าทำหมดแล้ว”

ดวงตาของมู่เอินกรอกไปมาขณะที่เขาพูดว่า “ตาแก่โจวคงจะยินดีจ่ายให้เจ้าสินะ!”

ขณะนี้ ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ทำใจได้แล้ว อย่างไรซะ เขาก็เรียนรู้กับมู่เอินมานานกว่า 2 ปี ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานที่แปลกประหลาดนั้น เขาก็ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เมื่อฟังคำพูดของมู่เอิน เขาได้แต่ยิ้มให้กับตัวเอง

หลัวเขอตี้กล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าจะกลับไปดื่มเหล้าก่อน เหว่ยน้อย อย่าลืมสิ่งที่ข้าบอกเจ้าก่อนหน้านี้ล่ะ”

โจวเหว่ยชิงยกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านพูดว่าอะไรนะ? ข้าลืมไปแล้ว”

“อะไรนะ?!” หลัวเขอตี้กระแทกมือลงบนโต๊ะและโบกไม้โบกมือให้โจวเหว่ยชิง “เด็กเหลือขอตัวน้อย เจ้าอยากตายรึ?”

มู่เอินกรอกตาแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าคนที่อยากตายคือเจ้ามากกว่า! ลูกศิษย์ของข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ แต่เจ้ากลับขู่เขาแล้ว? เช่นนี้เจ้าจะเป็นอาจารย์ลุงของเขาได้อย่างไร?”

โจวเหว่ยชิงรีบหนีไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังมู่เอินอย่างรวดเร็ว เขาพยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ลุง! ความจำของข้ามักจะไม่ค่อยดี แต่ถ้าข้าได้รับของขวัญต้อนรับ บางทีมันอาจช่วยฟื้นความทรงจำของข้าให้นึกถึงสิ่งที่ท่านพูดก่อนหน้านี้ก็เป็นได้”

ริมฝีปากของหลัวเขอตี้กระตุกเล็กน้อย “ลูกมังกรก็คือมังกร นกฟงหวงก็ยังออกไข่เป็นนกฟงหวง ลูกหนูยังไงก็ต้องรู้วิธีขุดรู[3] มีคนสั่งสอนมาเช่นไรก็เป็นเช่นนั้นแหละ เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้าเพิ่งจะมาถึงที่นี่แต่กลับพยายามจะหลอกลวงข้าแล้วงั้นรึ!”

มู่เอินหัวเราะออกมาและพูดว่า “พูดได้ดี ข้าจะส่งต่อคำพูดของเจ้าไปที่โจวสุ่ยหนิวอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความมั่นใจในการประมือกับเขาแล้ว! ฮ่าๆ!”

หลัวเขอตี้พูดด้วยความโมโห “ข้ากำลังพูดถึงเจ้าต่างหาก!”

มู่เอินพูดอย่างไร้เดียงสา “แต่เหว่ยน้อยไม่ใช่บุตรชายของข้า เขาเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ของข้า เจ้าบอกว่าลูกหนู แต่เขาไม่ใช่ลูกข้าเสียหน่อย เฮ้ออออ นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นโจวสุ่ยหนิวสั่งสอนใครบางคน ข้าแทบจะรอไม่ไหวเลยที เดียว!”

หลัวเขอตี้จ้องมองที่คู่ศิษย์อาจารย์ตรงหน้าอย่างเหลืออด ในที่สุดเขาก็สบถออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ข้าล่ะกลัวพวกเจ้าสองคนจริงๆ! ตาแก่อันธพาล ข้าจะให้ของขวัญต้อนรับกับเขา!”

มู่เอินพูดอย่างใจกว้าง “ไม่มีปัญหา! แค่จำเอาไว้ว่าต้องนำมันมามอบให้ก่อนที่เราจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ไปกันเถอะ เหว่ยน้อย”

โจวเหว่ยชิงมอบรอยยิ้มงดงามให้กับหลัวเขอตี้และกล่าวว่า “อาจารย์ลุง ขอบคุณมาก! ข้าคิดว่าของขวัญของท่านจะต้องยอดเยี่ยมมากแน่ๆ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หลัวเขอตี้ก็เกือบจะโขกหัวของเขาเข้ากับผนัง คู่ศิษย์อาจารย์นี้ไม่อาจจะเอาชนะได้ง่ายๆจริงๆ พวกเขาประสานรับกันได้อย่างรวดเร็วราวกับเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี หึ เมื่อโจวเหว่ยชิงพูดเช่นนี้ ของขวัญต้อนรับ ธรรมดาๆ ก็คงจะไม่พอ เขาจะต้องมอบของขวัญที่ยอดเยี่ยมมากให้กับเจ้าเด็กนั่น! เมื่อมองไปยังทั้งสองคนที่กำลังเดินออกไป หลัวเขอตี้ก็อดจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า บางทีมันอาจถึงเวลาแล้วที่ข้าควรจะหาศิษย์เช่นกัน!

ขณะที่พวกเขาเดินออกมายังลานกว้าง มู่เอินก็หันไปหาโจวเหว่ยชิงและพูดว่า “เหว่ยน้อย เจ้าเหลี่ยมจัดนั่นกล่าวว่าศาสตรามณียุทธ์ของเจ้าเป็นธนูที่ยอดเยี่ยมมาก นำออกมาให้ข้าดูหน่อย เจ้านั่นมีสายตาเฉียบคมและยังพิถีพิถันมาก การที่เขาชื่นชมธนูของเจ้าแสดงว่ามันน่าจะใช้การได้ดีทีเดียวง”

………………………………………………………………..

[1] สุยเฉา – เฉา Cao (草) แปลว่าหญ้า

[2] คืออารมณ์ประมาณนี้ [ -.-“’’’]

[3] เปรียบเทียบว่าความเจ้าเล่ห์ของโจวเหว่ยชิงได้รับการสั่งสอนมาจากมู่เอิน

Related

เนื่องจากตอนนี้พวกเขามาอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงต้องทำให้ดีที่สุด ทั้งคู่พยักหน้าให้หัวเฟิงเป็นการตกลง

“เดี๋ยวก่อน เหว่ยน้อย เจ้าแก้ปัญหาเส้นชีพจรอุดตันของเจ้าได้แล้วหรือ!? ข้าไม่ได้พบเจ้ามานานเป็นปีแล้ว ดูสิ เจ้าโตขึ้นมากทีเดียว!” มู่เอินพูดด้วยท่าทางประหลาดใจ แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขารู้จักสภาพร่างกายของโจวเหว่ยชิงเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงไม่คาดคิดว่าโจวเหว่ยชิงจะกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยความพึงพอใจ “อาจารย์ ท่านจากไปโดยไม่บอกอะไรข้าเลย! ศิษย์ของท่านไม่เพียงแก้ไขปัญหาเส้นชีพจรอุดตันได้ ดูนี่!!” ในขณะที่เขาพูด โจวเหว่ยชิงก็ยกมือขวาขึ้น และเมื่อเขาหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ มณีสวรรค์ของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นมาทันที บริเวณรอบๆ ข้อมือขวาของเขามีหยกน้ำแข็งกำลังส่องแสงเจิดจ้าอยู่ เผยประกายบริสุทธิ์ของมันออกมาต่อหน้าทุกๆ คน

มู่เอินกะพริบตาถี่ๆ แม้ว่าเขาจะอายุมากที่สุดในกลุ่ม แต่สายตาและทัศนวิสัยของเขานั้นกลับไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้ มิฉะนั้นเขาคงจะไม่มีฉายาว่าอันธพาลตาเทพหรอก ทว่าเมื่อหยกน้ำแข็งบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มู่    เอินก็พลันตกตะลึงจนตัวแข็งค้าง

สายตาของหลัวเขอตี้มองเลยไปยังมือซ้ายของโจวเหว่ยชิงเพื่อสอดส่องหามณีธาตุ อนิจจา โจวเหว่ยชิงนั้นมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว มือซ้ายของเขาจึงถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยแขนเสื้อตัวยาว

ดวงตาของหัวเฟิงดูเหมือนจะเจิดจ้าขึ้นด้วยความตื่นเต้น เขามองไปยังโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาอ่อนโยน ดวงตาดูเหมือนจะมีร่องรอยความสับสนและความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมาพร้อมๆ กัน ราวกับว่าเขากำลังหวนคิดไปถึงอะไรบางอย่าง…

“เป็นไปไม่ได้! พวกเราไม่ได้เจอกันแค่ปีเดียว ถึงแม้เจ้าจะแก้ไขปัญหาเส้นชีพจรอุดตันได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปลุกมณีสวรรค์ขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้! จะ เจ้า…เจ้าเด็กเหลือขอ! นี่เป็นเจ้าตัวจริงแน่รึ?” ในขณะที่เขาพูด มู่เอินก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเอื้อมมือหยิกเข้าที่ใบหน้าของโจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างทะนงตนว่า “ถ้าท่านอิจฉา ก็แค่พูดว่าอิจฉา! ข้าเป็นสุภาพบุรุษที่อ่อนโยนและหล่อเหลาเสียขนาดนี้ ใครจะกล้าปลอมตัวเป็นข้าได้อีก! ท่านก็รู้จักนิสัยบิดาข้าดี เขาย่อมไม่ทำอะไรเพื่อประโยชน์ส่วนตัวแน่ หากไม่ใช่เพราะมณีสวรรค์ของข้าตื่นขึ้นมาจริงๆ เขาจะกล้าส่งข้ามาที่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์พร้อมกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์หรือ? อาจารย์ ข้าจะแนะนำท่าน นี่คือภรรยาของข้า ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หญิงงามอันดับหนึ่งของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์! หึๆๆๆ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กรอกตาขึ้นมองเขาอย่างเคืองๆ แต่ทว่าก็ไม่ได้มีทีท่าปฏิเสธอะไร… อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งจะได้รู้จักกับคน ‘เหลี่ยมจัด’ และตาแก่ ‘อันธพาล’ เธอจึงรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอจึงต้องการอ้วนน้อยโจวไว้ใช้เป็นเกราะกำบังเพื่อทำให้ตนรู้สึกปลอดภัยจากสองคนนี้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่องของเจ้าเด็กหน้าด้านคนนี้จะทำให้มู่เอินอยากลงไม้ลงมือกับเขาแค่ไหน แต่ยังไงก็ตาม ความจริงที่ว่ามณีสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงถูกปลุกขึ้นมาแล้วก็ยังสามารถสั่นสะเทือนจิตใจของสมาชิกในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ทั้ง 3 คนได้เป็นอย่างมาก อย่างไรซะ ก่อนหน้านี้อาณาจักรก็มีจ้าวมณีสวรค์เพียงแค่ 2 คนเท่านั้น หนึ่งคือแม่ทัพใหญ่โจว ส่วนอีกคนก็คืออัจฉริยะรุ่นเยาว์อย่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์

สำหรับอาณาจักรใหญ่ๆ นั้น จ้าวมณีสวรรค์ที่เพิ่มมาคนหนึ่งอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สำหรับอาณาจักรเล็กๆ เช่นเกาทัณฑ์สวรรค์ นี่อาจเป็นสิ่งที่สามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงสถานะของอาณาจักรเล็กๆ แห่งนี้ในดินแดนไร้ขอบเขตไปได้สิ้นเชิง อาจกล่าวได้ว่าเป็นไพ่ตายที่กำหนดชะตากรรมของทุกๆ คนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าได้เลยด้วยซ้ำ! เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าหากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ไม่มีแม่ทัพโจวผู้ครอบครองมณี 8 ดวงและหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์คอยปกป้องเอาไว้  อาณาจักรนี้ก็อาจจะถูกกำจัดไปนานแล้ว

หลัวเขอตี้มองไปที่มู่เอินและกล่าวว่า “ตาแก่อันธพาลนี่! มณียุทธ์ของเขาเป็นของจริงแน่นอน ข้าทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเขาก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนเขาก็ใช้ศาสตรามณียุทธ์ที่เป็นธนูกับข้า ความแข็งแกร่งของธนูนั่นค่อนข้างน่าประทับใจเลยทีเดียว”

หัวเฟิงกล่าวว่า “เอาล่ะ ไปกันเถอะ พวกเราควรรีบมุ่งหน้าไปห้องประชุมเพื่อหารือกันให้มากกว่านี้”

“เหลี่ยมจัด ไปเรียกป้อมธนูและปืนใหญ่มาด้วย” เขาเรียกแต่ละคนด้วยฉายา พูดจบก็เดินไปหาโจวเหว่ยชิงและตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะเดินนำไปยังบ้านไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดหลังหนึ่ง

คนที่เหลืออยู่ทั้งหมดต่างก็เดินตามเขาเข้าไปในบ้านไม้หลังนั้น ข้างในบ้านเป็นพื้นที่โล่งๆ มีโต๊ะยาวขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางล้อมรอบไปด้วยเก้าอี้ทรงกลมหลายตัว เห็นได้ชัดว่านี่คือที่ๆ พวกเขาจัดประชุมกันตามปกติ หัวเฟิงนั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะ จากนั้นหลัวเขอตี้ก็นำสมาชิกอีก 2 คนตามเข้ามาด้วย

“หัวหน้า” ฮั่นโม่และเกาเฉินพยักหน้าทักทายหัวเฟิง เขายิ้มบางเบาและพูดว่า “เอาล่ะ ทุกคน นั่งลงเถอะ” ทุกคนนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนโจวเหว่ยชิงก็นั่งลงข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์

หัวเฟิงหันไปมองโจวเหว่ยชิงอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “ให้ข้าแนะนำสองคนนี้ก่อน สาวน้อยคนนี้คือซ่างกวนปิง เอ๋อร์ อัจฉริยะรุ่นเยาว์ของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรา ก่อนหน้านี้แม่ทัพโจวได้แนะนำเธอมา ดังนั้นเธอจะร่วมฝึกกับเราเป็นเวลา 2 ปี ส่วนเด็กหนุ่มคนนี้ เขาเป็นลูกชายคนเดียวของแม่ทัพโจว โจวเหว่ยชิง ก่อนหน้านี้เขาได้เรียนรู้วิถีการเอาชีวิตรอดกับมู่เอินมาเป็นเวลา 2 ปี และตอนนี้มณีสวรรค์ของเขาได้ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว เขาคือจ้าวมณีสวรรค์คนที่ 3 ของอาณาจักรเราและจะเข้าร่วมฝึกกับหน่วยของพวกเราพร้อมกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แม่นางซ่างกวน เจ้ามีมณีคู่ประเภทเสริมความว่องไวและข้าก็เป็นจ้าวมณีธาตุลม เพราะฉะนั้นเจ้าเต็มใจจะรับข้าเป็นอาจารย์หรือไม่?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สะดุ้งเพียงเล็กน้อยก่อนจะเผยสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ สำหรับหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นเธอเคยได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับพวกเขาและปรารถนาที่จะเข้าร่วมกับพวกเขามาโดยตลอด ก่อนหน้านี้เธอได้เห็นการยิงธนูที่น่าทึ่งของหลัวเขอตี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ผู้นำของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ ผู้ซึ่งมีมณีธาตุเดียวกันกับเธอต้องการจะรับเธอเป็นลูกศิษย์อีกด้วย! เป็นเช่นนี้แล้วเธอจะไม่เต็มใจได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้น ในบรรดาสมาชิกทั้ง 5 คนของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ที่เธอเห็นมาในวันนี้ ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่หัวหน้าท่านนี้เท่านั้นที่ดูค่อนข้างปกติกว่าคนอื่นๆ…

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยืนขึ้นและสาวเท้าเข้าไปหาหัวเฟิง เธอคุกเข่าลงและกล่าวว่า “อาจารย์” ขณะที่พูด เธอก็ก้มลงคำนับเขาสามครั้ง

หลังจากโค้งคำนับเสร็จ หัวเฟิงก็ช่วยประคองเธอลุกขึ้นมา “เจ้าสามารถติดตามข้าได้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะส่งต่อทุกๆ อย่างที่ข้ารู้ให้แก่เจ้า เจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีความสามารถ ข้ามั่นใจว่าอีกไม่นานความสามารถของเจ้าจะแซงหน้าข้าไปได้แน่นอน”

หลังจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับไปที่นั่งของตนแล้ว หัวเฟิงก็หันไปหาโจวเหว่ยชิงและกล่าวว่า “ มณีสวรรค์ของเจ้าน่าจะเป็นทักษะธาตุมืดเช่นเดียวกับแม่ทัพโจว น่าเสียดายที่ในหมู่พวกเราไม่มีใครที่มีทักษะธาตุเดียวกับเจ้าเลย เพราะฉะนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าเรียนรู้จากมู่เอินต่อไป ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรา มู่เอินอาจไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ทักษะการยิงธนูของเขานั้นยอดเยี่ยมที่สุด”

ทันทีที่หัวเฟิงพูดจบ เสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจดังขึ้นมาเกรียวกราวทันที แน่นอนว่าเสียงเหล่านั้นมาจากสมาชิกหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ทั้ง 3 คนที่นั่งอยู่

น้ำเสียงของหลัวเขอตี้นั้นเต็มไปด้วยความดูถูก ส่วนเกาเฉินนั้นแฝงไปด้วยการยั่วยุ ในขณะที่เสียงของฮั่นโม่นั้นค่อนข้างแข็งห้วน

“พวกเจ้าฮึดฮัดอะไรกันมิทราบ!!!! มีใครอยากจะแข่งธนูกับข้างั้นรึ?! ในระยะ 100 หลา แม้ว่าเจ้าทั้ง 3 คนจะเผชิญหน้ากับข้าเพียงคนเดียว ข้าก็ยังเอาชนะพวกเจ้าได้อยู่ดี ว่าไง มีใครอยากจะลองไหมล่ะ?” มู่เอินกล่าวด้วยท่าทีสบายๆขณะเอนหลังลงบนเก้าอี้

โจวเหว่ยชิงพบว่าเมื่อมู่เอินพูดจบ ทั้ง 3 คนก็ไม่มีใครกล้าสบตากับเขาอีกเลย

หัวเฟิงหัวเราะออกมาเสียงดังขณะที่พูดว่า “ถ้าพูดถึงเรื่องการยิงธนู ข้ามั่นใจเป็นอย่างมากว่าในระยะ 100 หลา มู่เอินไม่มีทางแพ้ใครบนโลกนี้แน่นอน เหว่ยน้อย ปิงเอ๋อร์ ในอนาคตข้าจะเรียกพวกเจ้าเช่นนั้น ตกลงไหม? เอาล่ะ ต่อจากนี้ข้าจะแนะนำหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของพวกเราให้ฟัง”

“หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราได้รับการจัดตั้งขึ้นมาเป็นเวลามากกว่า 130 กว่าปีแล้ว และหน่วยของเราก็เคยช่วยอาณาจักรนี้ให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้าง อีกทั้งยังช่วยพลิกสถานการณ์ใหญ่ๆ ไว้ได้ 3 ครั้ง ด้วยเหตุนี้ เมื่อ 86 ปีก่อนอาณาจักรจึงเปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เพื่อเป็นเกียรติแก่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรา หน่วยของเรากลายเป็นหน่วยจู่โจมที่รู้จักกันในนามกองธนูระดับตำนานของอาณาจักร และพื้นที่บริเวณนี้ก็ถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักร หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์รุ่นแรกมีจำนวน 7 คน ด้วยเหตุนั้น ต่อมาหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์จึงคงจำนวนสมาชิกไว้ที่ 7 คนเสมอ พวกเราคือรุ่นที่สอง และเราแต่ละคนก็ได้สืบทอดทักษะการยิงธนูประเภทต่างๆมาจากผู้อาวุโสคนก่อนๆ  ข้าหวังว่าพวกเจ้าทั้งคู่จะตั้งใจเรียนรู้ทักษะพวกนี้ให้ดีแล้วสืบทอดมันต่อไป”

“หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราเคยมีจ้าวมณีสวรรค์ แต่ก็มีไม่มากนักเท่าไหร่ แท้จริงแล้วแม่ทัพโจวเคยเป็นผู้นำหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์มาก่อน แต่เนื่องจากเหตุผลจำเป็นบางอย่าง ข้าจึงต้องเข้ารับตำแหน่งแทน เอาล่ะ ตอนนี้ในบรรดาพวกเราทั้ง 7 คน ข้าจะแนะนำคุณสมบัติและจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนให้ฟังอย่างง่ายๆ”

“ข้าเป็นจ้าวมณีธาตุลมที่มีมณี 7 ดวง ในฐานะผู้นำหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ ส่วนใหญ่ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบด้านกลยุทธ์ วางแผนเส้นทางการหลบหนีและแผนการณ์ลอบสังหาร ฉายาของข้าคือ ‘สุดยอดนักฆ่า’ ” ขณะที่หัวเฟิงพูดคำ 4 คำนี้ออกมา แม้ว่าเขาจะยิ้ม แต่ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็รู้สึกเย็บวาบไปถึงกระดูกสันหลัง

หัวเฟิงหันไปที่มู่เอินและพูดว่า “มู่เอิน จ้าวมณียุทธ์ที่ครอบครองมณี 6 ดวง ครึ่งหนึ่งเป็นประเภทเพิ่มความคล่อง แคล่ว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเพิ่มความแข็งแกร่ง เขามักจะรับหน้าที่ทำลายล้างที่มั่นศัตรูและลอบโจมตีทุกปรเภท สามารถสังหารศัตรูในทุกๆ สภาพแวดล้อมได้อย่างไม่มีเงื่อนไข เขายังรับผิดชอบด้านการปลอมตัวและปกปิดตัวตน และเพราะว่าสายตาของเขาที่ดีที่สุดในหมู่พวกเรา เขาจึงถูกเรียกว่า ‘อันธพาลตาเทพ’ ”

“หลัวเขอตี้ จ้าวมณียุทธ์ที่มีมณี 5 ดวง ครึ่งหนึ่งเพิ่มความยืดหยุ่น อีกครึ่งหนึ่งเพิ่มการสอดประสาน เขารับผิดชอบการสอดแนม สำรวจพื้นที่และหลอกล่อศัตรู เขาเป็นหน่วยลาดตระเวนเพียงหนึ่งเดียวของเรา ฉายาของเขาคือ ‘ขี้เมาเหลี่ยมจัด’ และเพราะเขาเป็นคู่หูกับมู่เอิน นั่นจึงทำให้ทุกคนเรียกเขาว่า ‘หลิวที่ไม่เข้ากับคู่หู’ ” ที่ด้านข้างมู่เอินส่งเสียงหึในลำคอแล้วกล่าวว่า “หึๆๆ ที่หลัวเขอตี้เป็นคนสอดแนมก็เพราะว่าเขาอ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเราทุกคนยังไงล่ะ”

หลัวเขอตี้พูดด้วยความเกรี้ยวกราด “หมายความว่ายังไงที่ว่าข้าอ่อนแอที่สุดน่ะหา!? ถึงยังไงข้าก็อายุน้อยกว่าพวกเจ้าเป็นสิบๆ ปีเชียวนะ!” แม้ว่าเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเพียงแค่แกล้งโมโหเท่านั้น

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์แลกเปลี่ยนสายตากัน ใบหน้าของทั้งคู่ต่างก็ไม่อาจซ่อนความตกตะลึงเอาไว้ได้ หากทักษะการยิงธนูของหลัวเขอตี้ที่พวกเขาชื่นชมกันหนักหนานั้นถือว่าอ่อนแอที่สุดในหน่วยแล้ว พวกเขาก็แทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ จะเก่งกาจแค่ไหน

มู่เอินเบ้ปากอย่างเหยียดหยาม แต่หัวเฟิงกลับเมินเขาและพูดต่อว่า “ฮั่นโม่ จ้าวมณียุทธ์ที่มีมณี 6 ดวง มณียุทธ์ประเภทเพิ่มความทนทานและความทรหด เขามีพลังโจมตีรุนแรงมากและยังโจมตีได้ต่อเนื่องอีกด้วย ในหน่วยของเรา เขารับผิดชอบการระดมยิงอย่างต่อเนื่องและรับการโจมตีจากศัตรู ฉายาของเขาคือป้อมธนู ซึ่งหมายความว่าเขาเป็นเหมือนป้อมธนูที่ยิงลูกศรออกไปไม่หยุดหย่อน”

“เกาเฉิน จ้าวมณีธาตุไฟที่มีมณี 6 ดวง เขาเชี่ยวชาญในด้านการจู่โจมและการทำลายล้าง ฉายาของเขาคือ ‘ปืนใหญ่’ ในสถานการณ์ปกติ คู่หูเกาเฉินและฮั่นโม่ที่ทำงานประสานกันจะสามารถสังหารทหารธรรมดาๆจำนวนมากกว่า 1000 คนได้อย่างสบายๆ”

หัวเฟิงกล่าวว่า “จริงๆแล้วยังมีสมาชิกอีก 2 คน แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในระหว่างปฎิบัติภารกิจ ข้าจะแนะนำพวกเขาให้เจ้าทั้งคู่รู้จักเมื่อได้พบกันในอนาคต”

โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “หัวหน้า ที่ว่าพวกเราจะออกไปปฏิบัติภารกิจนั่นคือภารกิจอะไรหรือขอรับ? ภารกิจของอาณาจักรหรือ?”

…………………………………..

หลังจากเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดนานกว่าสองชั่วโมง ในที่สุดหลัวเขอตี้ก็ชะลอความเร็วลงเล็กน้อย ที่บริเวณเบื้องหน้าของเขา ค่ายทหารที่โจวเหว่ยชิงเคยมาพบโดยบังเอิญก็ปรากฏในสายตาทันที ส่วนทหารลาดตระเวนก็เห็นพวกเขาเช่นกัน

โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย “ นี่คือหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์?”

หลัวเขอตี้ส่งเสียงหึๆ แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ พวกเขาเป็นเพียงทหารยามที่ประจำการอยู่ภายนอกที่นี่ ที่แถวนี้มีทหาร  3 กองพันที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของกรมทหารที่ 5 ประจำอยู่และพวกเขาขึ้นตรงต่อราชวงศ์เท่านั้น ที่นี่มีหอสังเกต การณ์หลายแห่ง และป้อมยามที่ซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆเพื่อคอยอารักขาค่ายแห่งนี้ ส่วนบริเวณด้านในสุดเป็นที่ๆ หน่วยเกา ทัณฑ์สวรรค์ของเราตั้งอยู่”

ขณะที่กำลังอธิบาย เขากเดินนำทั้งสองคนเข้าไปแล้ว ทหารที่ลาดตระเวนอยู่บริเวณนั้นตื่นตัวอย่างมาก แต่เมื่อเห็นว่าเป็นหลัวเขอตี้ พวกเขาก็หยุดทำความเคารพอย่างนอบน้อมทันที และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้คุมตัวเหว่ยชิงหรือซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอาไว้ เพียงแค่มองดูพวกเขาด้วยสายตาแปลกๆ เท่านั้น

เมื่อพวกเขาเข้าไปในค่ายทหาร ทั้งสองคนก็ตระหนักได้ว่ามีคนจำนวนมากอยู่ภายใน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทหารส่วนใหญ่ที่ประจำการอยู่ที่นี่น่าจะเป็นหน่วยลาดตระเวนและทหารยาม จากการลาดตระเวนที่เข้มงวดซึ่งเห็นได้ชัดเจนเมื่อสักครู่นี้ หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ต้องเป็นศูนย์กลางการคุ้มครองของกองพันทหารทั้ง 3 กองอย่างแน่นอน

หลังจากผ่านเข้าไปในค่ายได้ประมาณ 500 เมตร พวกเขาเดินก็ผ่านป่าผืนหนึ่ง จากนั้นก็เดินทะลุเข้าไปถึงสถานที่โล่งๆแห่งหนึ่ง ทันใดนั้น ลานกว้างขนาดย่อมๆ ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ลานนี้ถูกล้อมไว้ด้วยรั้วกำแพงสูง 3 เมตรที่ทำจากแผ่นไม้กระดานหนาๆ มัดด้วยเถาวัลย์เพื่อป้องกันสัตว์ป่าขนาดเล็กๆ เข้ามากล้ำกรายพื้นที่ข้างใน ลานแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่ จากการประมาณด้วยสายตาดูเหมือนจะกว้างประมาณ 100 เมตร ประตูไม้ขนาดใหญ่ 2 บานแง้มออกกว้าง เผยให้เห็นลานกว้างและบ้านไม้ที่เรียงรายเป็นแถวยาวอยู่ด้านหลัง บ้านไม้แต่ละหลังตั้งอยู่แยกกันบริเวณส่วนหลังสุดของลานกว้างนี้ และทั้งหมดมีจำนวนประมาณ 12 หลัง

เมื่อหลัวเขอตี้นำทั้งสองคนเข้าไปในลานนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นอย่างที่คาดคิดไว้ เมื่อพวกเขาเข้ามาในลาน แม้มันจะให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในป่าอีกต่อไป แต่อากาศจะยังคงสดชื่นและบริสุทธิ์เหมือนอยู่ในป่า

โจวเหว่ยชิงได้แต่คิดกับตัวเองในใจว่า: คนในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์นี้ช่างรู้จักสรรหาความสุขให้ตัวเองจริงๆ!

“เด็กใหม่มาแล้ว ออกมา!” หลัวเขอตี้ยืนอยู่กลางลานและตะโกนออกมาจนสุดเสียง

“ตาแก่เจ้าเล่ห์คนนี้นี่! เจ้าจะตะโกนทำไม ไม่รู้หรือว่าพวกเราทุกคนมีภารกิจที่จะต้องทำวันพรุ่งนี้?” ประตูบ้านไม้ที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือเปิดออกอย่างกะทันหัน จากนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมา ชายคนนี้เป็นคนที่มีขนาดร่างกายสมส่วน ความสูงประมาณ 1.7 เมตร ผมสั้นสะอาด ไหล่กว้าง กล้ามเนื้อบนไหล่ดูตึงแน่นและนูนขึ้นมาราวกับเนินเขาลูกเล็กๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้สูงมาก แต่กลิ่นอายของเขาก็แผ่ความรู้สึกหนักแน่นและมั่นคงออกมา มองแล้วเขาอาจมีอายุประมาณ 40 ปี หน้าตาของเขาจัดว่าธรรมดา แต่ดวงตาของเขากลับคมกริบและแฝงความดุร้ายราวกับภูเขาไฟที่รอวันปะทุ

หลัวเขอตี้ยิ้มแย้มและพูดว่า “โมโม่น้อย เด็กใหม่ทั้ง 2 คนนี้ถูกตาแก่โจวแนะนำมา เราไม่มีเด็กใหม่มานานแล้ว และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะรับคนใหม่เข้ามา แต่ท้ายที่สุดข้าก็พบกับพวกเขาจนได้ และในเมื่อพวกเขามาถึงทันเวลาพอดี นั่นหมายความว่าข้าก็สามารถเข้าร่วมภารกิจในวันพรุ่งนี้ได้เช่นกัน”

ชายวัยกลางคนหันมามองซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิง ท่าทีของเขาดูเฉื่อยชาเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นเขาก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้าชื่อฮั่นโม่ ตาแก่เจ้าเล่ห์! ถ้าเจ้าเรียกข้าว่าโมโม่น้อยอีกครั้ง ข้าจะทำลายเหล้าที่เจ้าซ่อนไว้” เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังกลับเข้าไปในบ้านของเขาก่อนจะกระแทกประตูปิดเสียงดังปัง

หลัวเขอตี้ยักไหล่อย่างขอไปทีและพูดว่า “อย่าไปถือสาเขาเลย เขาเป็นแบบนั้นกับทุกคนนั่นแหละ ในบรรดาหน่วยของพวกเรา เขาเป็นคนที่เย็นชาที่สุด”

“โอ้ เด็กใหม่อยู่ที่นี่หรอกหรือ? วะฮ่าๆ มีหญิงงามด้วย! ยอดเยี่ยมมาก! ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่พวกเจ้าทั้งคู่มาเข้าร่วมกับพวกเรา!” ในขณะนั้นเอง ร่างใหญ่โตของใครบางคนก็โผล่ออกมา เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็มาอยู่ตรงหน้าโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว

ชายคนนี้สูงมาก อาจพูดได้ว่า 1.9 เมตรเลยทีเดียว อีกทั้งเขายังมีร่างกายล่ำสันแข็งแรง ดูเหมือนว่าเขาจะแก่กว่าฮั่นโม่ ผมสีแดงของเขายุ่งเหยิงแทบไม่เป็นทรง ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นถูกจัดวางอยู่บนที่ใบหน้าที่ดูห้าวหาญ เต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักรบและความแข็งแกร่ง บนใบหน้าของเขาแสดงถึงการต้อนรับอย่างอบอุ่น ซึ่งแตกต่างกับสีหน้าของฮั่นโม่ก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก

“ข้าชื่อเกาเฉิน น้องชาย น้องสาว พวกเจ้าชื่ออะไรรึ?” เกาเฉินเดินมาข้างหน้าก่อนจะโอบแขนรอบไหล่ของหลัว  เขอตี้และถามคนตรงหน้า

“ข้าคืออ้วนน้อยโจว นางคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ท่านสบายดีหรือ ท่านอาวุโสเกา” โจวเหว่ยชิงทักทายอย่างเรียบง่าย

เกาเฉินหัวเราะออกมาเสียงดัง เขากล่าวว่า “ผู้อาวุโสอะไร? ข้าแก่กว่าพวกเจ้าไม่กี่ปี เรียกข้าว่าพี่ชายเกาเฉินก็พอ ตาแก่เจ้าเล่ห์ เจ้าดูแลพวกเขาให้ดี ข้าจะกลับไปเตรียมลูกธนูของข้ากับฮั่นโม่” หลังพูดจบ เขาก็โบกไม้โบกมือให้โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก่อนจะหันหลังกลับไป

หลัวเขอตี้ยักไหล่อีกครั้งแล้วพูดว่า “หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของพวกเรามีทั้งหมด 7 คน แต่ตอนนี้เหลือพวกเราเพียง 5 คน ที่อยู่บ้านเพราะอีก 2 คน ออกไปทำภารกิจ เกาเฉินกับฮั่นโม่เป็นเพื่อนร่วมบ้านกัน แล้วก็มีอีก 2 คน ที่มีบ้านอยู่ใกล้ๆ นี่”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “พี่ชายเกาเฉินดูเหมือนจะเป็นคนดีมากทีเดียว”

ริมฝีปากของหลัวเขอตี้กระตุกเบาๆ เขายิ้มแล้วพูดว่า “คนดีเรอะ!? ในบรรดาสองคนนี้ ถ้าข้าต้องเลือกเพียงคนใดคนหนึ่งมาเป็นเพื่อน ข้าจะต้องเลือกฮั่นโม่แทนเกาเฉินอย่างแน่นอน! แม่นางน้อย เจ้ารู้ฉายาของเกาเฉินไหม? ฉายาของฮั่นโม่คือป้อมธนู ส่วนฉายาของเกาเฉินคือลูกปืนใหญ่ ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรา ระหว่างที่การประเมินผลทดสอบ เกาเฉินได้รับคำชมโดยพร้อมเพรียงกันว่า: หากจะลอบสังหารคนหรือฆ่าวางเพลิง ให้เรียกหาเกาเฉิน แม้จะนับจำนวนศพที่พวกเราทั้งหมด 6 คนเคยฆ่ารวมกันก็ยังไม่เท่าที่เขาฆ่าเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ เกาเฉินนั้นเป็นนักฆ่าที่กระหายเลือดอย่างแท้จริง”

“ตาแก่เจ้าเล่ห์นี่! อย่าไปทำให้เด็กๆ กลัวได้ไหม!” ในขณะนั้น เสียงที่น่าฟังเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลังพวกเขา เมื่อโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันกลับไป พวกเขาก็เห็นชาย 2 คนกำลังเดินเข้ามา ทั้งคู่ต่างก็มีรูปร่างหน้าตาที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน

ชายที่อยู่ทางซ้ายดูสูงและผอมแห้งไปเสียหน่อย ส่วนอายุน่าจะราวๆ 40 ปี หากรูปร่างหน้าตาของหลัวเขอตี้จัดได้ว่าค่อนข้างหล่อเหลาและดูเป็นสุภาพบุรุษแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับชายวัยกลางคนนี้ หลัวเขอตี้ก็เทียบเขาไม่ได้เลย เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา ผิวขาว คิ้วตรงพาดเฉียงขึ้น ดวงตามีเสน่ห์ดึงดูดแต่ทว่ายังคมกริบ จมูกตรง และริมฝีปากสุขภาพดี ผมสีทองยาวสลวยของเขาถูกพาดไว้ข้างหลัง ทำให้รอบตัวของเขามีบรรยากาศที่นุ่มนวลอ่อนโยน โดยเฉพาะนัยน์ตาโศกสีน้ำเงินเข้มคู่นั้น นั่นคือดวงตาที่สามารถสยบหญิงสาวทุกคน ยิ่งกว่านั้น เขายังสวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาดตาช่วยเสริมรูปลักษณ์ของเขาให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สังเกตว่ามือทั้งสองข้างของชายวัยกลางคนผู้นั้นใหญ่มาก อีกทั้งผิวของเขายังกระจ่างใสดั่งหยก

ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังสำรวจชายวัยกลางคนที่ดูอ่อนโยนผู้นั้น โจวเหว่ยชิงก็จ้องมองไปที่ยังชายอีกคนที่อยู่ข้างกัน ชายผู้นี้ยืนขนาบชายวัยกลางคนที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนผู้นั้น ลักษณะท่าทางของพวกเขาทั้งคู่จึงตัดกันอย่างเห็นได้ชัด ชายคนนี้สูงเพียงประมาณ 1.6 เมตร ภายใต้โครงกระดูกผอมๆ ของเขาแทบไม่มีกล้ามเนื้อที่สามารถมองเห็นได้เลย อายุน่าจะราวๆ 50 ปี ผมหงอกสีเทายุ่งๆ ถูกรวบอยู่ด้านหลัง  ดวงตาของเขากวาดไปรอบๆ จากนั้นก็แอบจ้องมองซ่างกวนปิง เอ๋อร์อย่างลับๆ ลำคอของเขาขยับเบาๆ ราวกับลอบกลืนน้ำลาย ชายคนนี้มาพร้อมกับท่อยาสูบที่ยังคาอยู่ในปาก ทั้งหมดนั่นจึงทำให้เขาดูหยาบกระด้างและเหมือนพวกตัวโกงเหลือเกิน

ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันไปมองเขา สายตาของเธอพลันประสานเข้ากับชายชราคนนั้นในทันที ทว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและเคลื่อนตัวไปหลบหลังโจวเหว่ยชิงอย่างไม่รู้ตัว สายตาที่ดูเหมือนพวกอันธพาลของชายคนนี้ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าหลัวเขอตี้เสียอีก!

ในพริบตานั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็ร้องออกมา “อาจารย์ !!” นั่นทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกตะลึงอย่างมาก

โจวเหว่ยชิงขยี้ดวงตาของเขาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตนไม่ได้ตาฝาดไป เขารีบจ้ำอ้าวไปข้างหน้าด้วยความดีใจ     “อาจารย์ !! เป็นท่านจริงๆ ด้วย!”

ชายวัยกลางคนที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนผู้นั้นคืออาจารย์ของเขา? ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขบคิดอย่างแปลกใจ ทว่าหลังจากนั้นเธอก็เห็นโจวเหว่ยชิงโผเข้าไปกอดชายชราคนนั้น!

ใบหน้าที่งดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แสดงความตกตะลึงออกมาอีกครั้ง ราวกับว่าเธอเพิ่งตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างได้ เหตุผลที่โจวเหว่ยชิงแก่แดดและไร้ยางอาย…เหตุผลที่ทำให้จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดสกปรก…

“เอ๋ เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย! ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่? บิดาของเจ้าให้เจ้ามาเรอะ?” ชายชราผู้นั้นกลอกตาไปมา เขาดูประหลาดใจมาก แต่ทว่าหลังจากนั้นก็พูดอย่างโมโห “ปล่อยตาแก่อย่างข้าเดี๋ยวนี้! บิดามันเถอะ! ข้าไม่ได้ชอบผู้ชายนะโว้ยยย! มากอดข้าทำไมหา!!”

หลัวเขอตี้มองดูพวกเขาอย่างตะลึงงันและพูดว่า “มู่เอิน เจ้าเด็กน้อยนี่เป็นลูกศิษย์ของเจ้างั้นรึ? งั้นก็หมายความว่าเขาเป็นลูกชายของตาแก่โจว? ไหนเจ้าบอกว่าเด็กเหลือขอนั่นเป็นเศษสวะไง? ตาแก่โจวเป็นคนหัวโบราณและจริงจังจะตายไป เขาจะกล้าปล่อยให้ลูกชายมาเรียนรู้จากคนอย่างเจ้าจนเสียผู้เสียคนเรอะ? ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย ทั้งยังดูคุ้นเคยมากอีกด้วย เขาเรียนรู้มาจากเจ้านั่นเอง ตาแก่อย่างเจ้านั่นแหละ!”

มู่เอินเริ่มโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว เขาผลักโจวเหว่ยชิงออกและกล่าวว่า “หลัวเขอตี้ ตาแก่เจ้าเล่ห์! เจ้ากำลังพูดว่าอะไรนะ? เจ้าหมายความว่ายังไง? เขาเสียผู้เสียคนเพราะข้า? ข้าไปทำแบบนั้นตอนไหน? บิดามันเถอะ! ข้าแค่สอนศิษย์ให้ได้ดี! เข้าใจหรือไม่! หากเจ้ายังขืนพูดไร้สาระไปมากกว่านี้ ข้านี่แหละจะทำให้เจ้า ‘เสียผู้เสียคน’ เอง!”

“เอาล่ะๆ เจ้าทั้งสองอย่างขึ้นเสียงใส่กันหน่อยเลย เบาลงได้แล้ว อย่าทำให้เด็กๆ หวาดกลัวสิ” ชายวัยกลางคนผู้หล่อเหลาส่ายหัวอย่างปลงๆ เขาหันมาที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิงก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “อย่าไปสนใจพวกเขาเลย ถึงแม้พวกเขาจะทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ แต่จริงๆแล้วพวกเขาสนิทกันมากเลยอดไม่ได้ที่จะต้องเถียงกันทุกครั้งที่พบหน้า อย่าไปสนใจเลย พวกเขาไม่มีความแค้นต่อกันหรอก ให้ข้าแนะนำตัวเองก่อนเถิด ข้าชื่อว่าหัวเฟิง เป็นหัวหน้าหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์”

ทันทีที่หัวเฟิงเปิดปากของเขา มู่เอินและหลัวเขอตี้ต่างก็เงียบลงในพริบตา โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์โค้งคำนับให้หัวเฟิงและกล่าวว่า “คำนับท่านอาวุโสหัวเฟิง”

โจวเหว่ยชิงไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะได้พบกับมู่เอินที่นี่ 4 ปีที่แล้ว ในวันเกิดครบรอบ 10 ปีของโจวเหว่ยชิง แม่ทัพ  โจวก็นำชายชราสกปรกผู้นี้มาหาเขา และขอให้โจวเหว่ยชิงคำนับเขาเป็นอาจารย์ หลังจากนั้นเขาก็ไปไหนมาไหนกับมู่เอินเป็นเวลาถึง 2 ปีและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เขาสอน เขาไม่ได้เรียนรู้วิธีการต่อสู้หรือวิธีการการฆ่าฟันใคร เพียงแค่เรียนรู้วิธีเอาตัวรอดในสังคม ทำตัวอย่างไรให้อยู่บนโลกนี้ได้อย่างปลอดภัย รวมถึงวิธีรับมือและจัดการกับผู้คนประเภทต่างๆ แน่นอนเขายังได้เรียนรู้กลโกงต่างๆ และเล่ห์เหลี่ยมแยบพรายอีกนับไม่ถ้วน

แม่ทัพโจวประเมินชายชราสกปรกผู้นี้ให้โจวเหว่ยชิงฟังว่า เขาอาจไม่มีพลังอำนาจมากนัก แต่ในสังคมนี้เขาเป็นคนประเภทที่มีความสามารถเอาตัวรอดได้ดีที่สุด หากเจ้าสามารถเรียนรู้ความสามารถของเขาได้ อย่างน้อยในอนาคตเจ้าก็จะไม่มีวันอดตาย

ในความเป็นจริง สิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่รู้ก็คือแม่ทัพโจวต้องกรุ่นคิดและต่อสู้กับตนเองอย่างหนักเป็นเวลานานกว่าจะตัดใจขอให้มู่เอินสอนบุตรชายของเขาเช่นนี้ ฉายาของมู่เอินก็คือวายร้ายตาเทพ  เพราะฉะนั้นทุกคนจึงสามารถจินตนาการได้ว่าโจวเหว่ยชิงจะเรียนรู้อะไรจากเขาไปบ้าง สำหรับโจวเหว่ยชิงที่อายุเพียง 14 ปีแต่กลับรู้เรื่องราวต่างๆ มากจนแก่แดดเกินวัย นั่นอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะช่วงเวลา 2 ปีที่เขาเรียนรู้จากมู่เอินนั่นเอง

หัวเฟิงยิ้มแย้มและพูดว่า “ยินดีต้อนรับพวกเจ้าทั้งคู่เข้าสู่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ผู้อาวุโสหัวเฟิง ไม่มีการทดสอบครั้งสุดท้ายก่อนที่พวกเราจะเข้าร่วมอย่างเป็นทางการหรอกหรือ?”

หัวเฟิงกล่าวว่า “พวกเจ้าทั้ง 2 คน ถูกแม่ทัพโจวแนะนำมา นั่นหมายความว่าพวกเจ้ามีสิทธิ์และมีความสามารถเพียงพอจะเข้าร่วมหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นตาแก่เจ้าเล่ห์คนนี้คงจะไม่พาพวกเจ้ามาที่นี่หรอก สำหรับการทดสอบนั้น  พวกเจ้าทั้ง 2 คนจะต้องเข้าร่วมภารกิจกับพวกเราในวันพรุ่งนี้และแสดงความสามารถของพวกเจ้าออกมา…”

………………………………………

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของเขาก็ทำให้หลัวเขอตี้ประหลาดใจมาก สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทักษะการยิงลูกศรต่อเนื่องที่หลัวเขอตี้ใช้อยู่ในขณะนี้ขึ้นอยู่กับการคำนวณที่แม่นยำของเขา ทว่าในช่วงเวลาที่โจวเหว่ยชิงถอดเกราะเทพอมตะออกจนร่างของเขาไม่อาจทนรับแรงกระแทกของลูกศรและกระเด็นออกไปไกลเกินกว่าที่หลัวเขอตี้ได้คำนวณไว้ นั่นหมายความว่าลูกศรที่เขายิงออกไปก่อนหน้านี้จะต้องพลาดเป้าไปเช่นกัน

ในเวลานี้ลูกศรดอกที่ 11 เพิ่งจะจู่โจมโจวเหว่ยชิงไป ส่วนลูกศรดอกที่ 12 และ 13 ก็กำลังลอยอยู่กลางอากาศแล้ว แต่ดูเหมือนว่าหลังจากองศาของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไป พวกมันก็กำลังจะพุ่งพลาดเป้าไปด้วย

ในที่สุด เวลานี้หลัวเขอตี้ก็ได้เปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของเขาออกมา เขายิงลูกศรดอกที่ 14 ออกไปทันที ลูกศรดอกนั้นพลันเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าบ่งบอกว่าเต็มไปด้วยพลังปราณสวรรค์ ลูกศรดอกนี้เร็วมาก เร็วกระทั่งทำให้ทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ชมรู้สึกตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ลูกศรนั้นพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่าศรติดตามไร้เสียงของเธอ หรือแม้กระทั่งลูกศรจากธนูราชันของโจวเหว่ยชิงด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็นได้ชัดว่าหลัวเขอตี้ใช้เพียงแค่ลูกธนูธรรมดาๆ กับธนูอุษาม่วงเท่านั้น

ลูกศรที่อาบย้อมไปด้วยแสงสีขาวเจิดจ้านั้นไม่ได้พุ่งออกไปเป็นเส้นตรงแต่กลับโค้งผ่านอากาศและตรงเข้าไปเบียดลูกศรดอกที่ 12 และ 13 ก่อนที่จะทะยานเข้าไปชนบั้นท้ายของโจวเหว่ยชิงอีกครั้งอย่างแรง สิ่งที่น่าเหลือเชื่ออีกอย่างก็คือ เมื่อลูกศรดอกนั้นพุ่งเข้าไปถึงตัวของโจวเหว่ยชิง แสงสีขาวเจิดจ้าบนร่างของมันกลับอันตธานหายไปทันที

ผลที่ตามมาก็คือลูกศรทั้ง 3 ดอก ที่ถูกชนจนเปลี่ยนทิศทางก็พุ่งทะยานตามมาซ้ำรอยเดิมบนบั้นท้ายของโจว  เหว่ยชิงทันทีก่อนจะส่งเขากระเด็นออกไปไกลมากกว่า 12 เมตร คราวนี้หลัวเขอตี้หยุดยิงลูกศรต่อเนื่องของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าการยิงของเขาถูกขัดจนเสียจังหวะ โจวเหว่ยชิงจึงร่วงลงบนพื้นบริเวณด้านหน้าของเขาทันที

พระเจ้า! นั่นมันทักษะการยิงธนูแบบไหนกัน? ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกตะลึง ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าหลัวเขอตี้ไม่ได้สนใจจะโจมตีเธอเลยแม้แต่น้อย และเขาก็ทำเช่นนี้เพื่อแก้แค้นอ้วนน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เขาก็

ไม่ได้มุ่งร้ายต่อโจวเหว่ยชิงจนถึงขั้นเอาชีวิตเช่นกัน เพราะไม่เพียงแต่เขาจะหักหัวลูกศรออกและใช้แค่ธนูอุษาม่วง เขายังไม่ใช้ปราณสวรรค์เพื่อทำร้ายโจวเหว่ยชิงอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ลูกศรดอกสุดท้ายนั้นก็ยังน่าทึ่งมากอยู่ดี นอกจากมันจะแก้ไขเส้นทางของลูกศร 2 ดอกก่อนหน้า มันก็ยังพุ่งเข้าชนเป้าหมายได้อีกด้วย! ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จ้องมองหน้าฉากตรงหน้าด้วยสายตาสับสน ไม่รู้ว่าจะนิยามความสามารถของหลัวเขอตี้ไว้ว่าอย่างไร

ตั้งแต่อายุยังน้อย ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้ตัวว่าตนเองชอบคลุกคลีกับธนูและลูกศรแล้ว เธอตกหลุมรักการยิงธนูจนหมดหัวใจ อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เธอเพิ่งตระหนักได้ว่าทุกสิ่งที่เธอเรียนรู้มาก่อนหน้าไม่อาจเปรียบเทียบได้กับการยิงธนูที่หลัวเขอตี้เพิ่งแสดงออกมาเมื่อสักครู่ได้เลย หากชายคนนี้ต้องการเอาชีวิตพวกเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้มณียุทธ์หรือแม้แต่พลังปราณสวรรค์เลยแม้แต่น้อย อาศัยเพียงแค่ทักษะการยิงธนูของเขา เขาก็สามารถฆ่าพวกเขาทั้งคู่ได้แล้ว

“หึๆ เด็กน้อย นี่เป็นของขวัญชิ้นสุดท้าย จงรับไป 6 ดอกเท่าเลขมงคล[1] เจ้าจะได้โชคดีเป็นสองเท่า!!” หลัวเขอตี้ขยับธนูอุษาม่วงลูกศรของเขา จากนั้นลูกศร 6 ดอกก็พลันปรากฏขึ้นพาดบนสายธนู เขากำพวกมันไว้ด้วยกันจากนั้นก็ง้างขึ้นด้วยแรงมหาศาลจนร่างของเขาบิดเป็นเกลียว ในเสี้ยววินาทีลูกศรทั้ง 6 ดอกก็พุ่งทะยานออกไปพร้อมๆกัน!

ครั้งนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยายามเพ่งมองการกระทำของหลัวเขอตี้ แต่ทว่าพอทำเช่นนั้นเธอก็ทันได้เห็นเพียงแค่ลูกธนูที่พุ่งออกไปเสียดสีกับอากาศจนเกิดเสียงหวีดหวิว มือขวาของหลัวเขอตี้ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเพียงภาพสั่นๆ การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของเขาทำให้เกิดภาพเงาติดตาหลายภาพก่อนที่ลูกศรทั้ง 6 จะพุ่งทะยานออกไป

ในบรรดาลูกศรทั้ง 6 ดอกนั้นไม่มีดอกใดที่เดินทางเป็นเส้นตรงเลย พวกมันทั้งหมดพุ่งไปในทิศทางที่ต่างกัน แต่ทว่าก็ยังมุ่งตรงไปยังเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือโจวเหว่ยชิงนั่นเอง

ด้วยสายตาอันชาญฉลาดของหลัวเขอตี้ เขาจะไม่เห็นได้อย่างไรว่าเจ้าเด็กเหลือขอคนนั้นไม่มีพลังปราณสวรรค์เหลือเพียงพอจะหลบหลีกลูกศรของเขาได้แม้แต่ดอกเดียว นอกจากนี้เขายังใช้ทักษะอันยอดเยี่ยมของเขาด้วยความแม่นยำสูงสุด ปิดเส้นทางหลบหนีที่เป็นไปได้ทั้งหมดของโจวเหว่ยชิงเอาไว้แล้ว หากร่างของเขาปะทะเข้ากับลูกศรดอกแรก ลูกศร 5 ดอกที่เหลือก็ย่อมเข้าเป้าด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้โจวเหว่ยชิงก็มุทะลุไปแล้ว

หลังจากโดนลูกศร 14 ดอกพุ่งเข้าใส่บั้นท้ายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกศร 4 ดอกสุดท้ายที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงเกิดผุดความโกรธแค้นขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ นี่เป็นแค่ความโกรธเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ชัดเจนว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย! ข้าจะไม่ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาอีกต่อไป!

แม้ว่าร่างกายของโจวเหว่ยชิงจะชาหนึบจากความเจ็บปวด แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่หลัวเขอตี้ยังไม่รู้ แน่นอนว่าตอนนี้โจวเหว่ยชิงกำลังเจ็บหนักจนแทบขยับไม่ได้ แต่ทว่าขาขวาของเขากลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย! หลังจากถูกลูกศร 3 ดอกพุ่งเข้าใส่เขาอย่างต่อเนื่องจนกระเด็นออกไป เขาไม่ได้พยายามจะลุกขึ้นอย่างที่ทุกคนคาดคิด ในทางกลับกัน วินาทีนั้นเขากลับเงื้อขาขวาขึ้นสูง หมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ที่เหลือทั้งหมดไปที่ขาขวาปีศาจของเขา จากนั้นก็กระแทกมันลงกับพื้นอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็ฟาดมือทั้งสองข้างลงกับพื้นสุดแรงเกิด

ในชั่วพริบตานั้นพื้นที่ตรงนั้นก็เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ บริเวณที่เขาเคยนอนอยู่ก็ถล่มลงไปกลายเป็นหลุมลึก  2 เมตร ปากหลุมกว้าง 1 เมตร และนั่นก็เป็นผลมาจากแรงปะทะจากขาข้างนั้นล้วนๆ!

ด้วยแรงโน้มถ่วง เขาจึงร่วงลงไปในหลุมนี้อย่างรวดเร็ว

*ฉึก* *ฉึก**ฉึก**ฉึก* *ฉึก**ฉึก*…เสียงลูกศร 6 ดอกสุดท้ายพุ่งเข้าชนกันในบริเวณที่เคยมีร่างของโจวเหว่ยชิงนอนอยู่ ส่วนตัวจริงนั้นกลับหายวับไปจากแนวสายตาของหลัวเขอตี้และซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว

ดวงตาของหลัวเขอตี้เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ แม้เขาจะมีประสบการณ์และความรู้มากมาย แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นใครหลบเลี่ยงลูกศรในลักษณะเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ลูกศร 6 ดอกที่เขายิงออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจก็ยังกลับกลายเป็นพลาดเป้าไปเสียอย่างนั้น ดังนั้นแม้โจวเหว่ยชิงจะตกอยู่ในสถาณการณ์ยากลำบาก เขาก็ยังพึ่งพาพละกำลังของตัวเองเพื่อหลบลูกศรชุดสุดท้าย

“อ้วนน้อย! ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รีบวิ่งเข้าหาเขา จากนั้นก็ดึงเขาออกมาจากหลุมในพื้นดิน

นอกจากขาขวาของเขาแล้ว โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่าร่างกายทุกส่วนกำลังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจนอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งหลัวเขอตี้ในใจ บ้าเอ้ย! ตาแก่นั่นร้ายกาจจริงๆ! ก้นของข้า!

แน่นอนเขารู้ว่าหลัวเขอตี้ไม่ได้พยายามจะเอาชีวิตเขา มิฉะนั้นเขาคงจะไม่เล็งมาที่บั้นท้ายที่มีเนื้อมากเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้กับเขาต่อหน้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ทำให้เขาเสียหน้าเป็นอย่างมาก!

“เจ้าบ้า! นี่เจ้าเป็นช้างหรือ? ช่างแข็งแกร่งอะไรขนาดนี้!? เอาล่ะ นั่นนับว่าเป็นชัยชนะของเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าทั้งคู่ก็ถือว่าผ่านการทดสอบด่านที่ 2 แล้ว” หลัวเขอตี้เดินไปหาพวกเขาทั้งคู่ ทว่าเมื่อเห็นหลุมขนาดใหญ่บนพื้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ

ฉับพลันนั้น หัวน้อยๆที่ดูน่ารักน่าชังของลูกเสือขาวก็โผล่ออกมาจากอ้อมอกของโจวเหว่ยชิงในสภาพเปื้อนคราบฝุ่นและสิ่งสกปรกทั่วตัว มันกระโดดขึ้นไปยืนบนไหล่ของโจวเหว่ยชิงและคำรามเสียงต่ำไปทางหลัวเขอตี้เพื่อแสดงความไม่พอใจ

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ลุกขึ้นยืนได้อย่างยากลำบาก ร่างกายทุกส่วนของเขาร้าวระบมไปหมด ขณะนี้เขาพลันรู้สึกได้ถึงความกระหายเลือดที่กำลังบุกรุกเข้ามาในจิตใจของเขา ไม่ หรือว่านี่จะเป็นสถานะปีศาจกลายร่างที่ปรากฏขึ้นมาเพราะบาดแผลของเขา! โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึก เขาพยายามควบคุมสติและอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง เขาพร่ำบอกซ้ำๆว่านี่เป็นเพียงด่านทดสอบ จนกระทั่งในที่สุดความรู้สึกกระหายเลือดของเขาก็เริ่มสงบลง

มีเพียงเสือขาวตัวน้อยบนไหล่ของเขาเท่านั้นที่มองเห็นประกายสีแดงเลือดที่ผุดขึ้นมาในดวงตาของเขา มันกระพริบตาขึ้นถี่ๆ หากใครอยู่ใกล้มากพอก็จะสังเกตเห็นความตื่นเต้นที่ปรากฏขึ้นในดวงตาคู่น้อยของมัน

“เอ๊ะ เจ้าตัวน้อยนี้ ช่างน่ารักน่าชังจริงๆ ลูกเสือขาวตัวน้อยหรือ? อืม นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเรื่องแบบนี้ มันคืออสูรสวรรค์ที่เจ้าเลี้ยงไว้หรือ?” หลัวเขอตี้มองดูเสือขาวตัวน้อยบนไหล่ของโจวเหว่ยชิงอย่างสงสัย

โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนที่จะถอนหายใจและพูดว่า “ใช่ มันเป็นของข้า”

หลัวเขอตี้ยิ้มแย้มและพูดว่า “เฮ้ เด็กน้อย เจ้าอย่าอารมณ์ไม่ดีไปเลย มีเพียงคนที่ประสบกับความยากลำบากเท่านั้นจึงจะกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นได้ ดูสิ ขนาดข้าถูกลูกศรของเจ้ากระแทกจนกระเด็นออกไปตั้งไกล ข้ายังไม่โกรธ เลย! ในอนาคตเราอาจจะกลายเป็นสหายในหน่วยเดียวกันก็ได้ ข้าก็แค่ทำไปตามกฎ นั่นไม่ถูกต้องหรอกหรือ?”

ทำตัวตามกฏงั้นรึ! หึ! ระดมยิงใส่ข้าคนเดียวเนี่ยนะ!? โจวเหว่ยชิงขึงตาใส่เขา แม้ความเป็นจริงเขาจะยังหลงเหลือความโกรธอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งเขายังรู้สึกเคารพในความสามารถของหลัวเขอตี้ด้วย เขาอาจมองเห็นไม่ชัดเจนว่าการยิงธนูของหลัวเขอตี้เป็นเช่นไร แต่เพียงแค่วิธีการที่หลัวเขอตี้ใช้ตรึงเขาไว้ในอากาศด้วยลูกศรต่อเนื่องนั้นก็ทำให้เขาตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างหลัวเขอตี้กับพวกเขาได้แล้ว   แน่นอนว่าระดับของพวกเขาห่างชั้นกันเกินไป

หลัวเขอตี้เดินเข้ามาตบหลังโจวเหว่ยชิงแล้วกระซิบเบาๆ เพื่อให้เขาได้ยินเพียงคนเดียว “เฮ้ เจ้าหนู เรามาต่อรองเรื่องนี้กันดีไหม? พอพวกเราไปถึงหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ หากเจ้าไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ข้าจะช่วยให้เจ้าสอบผ่านด่านทดสอบครั้งที่ 3 ข้อเสนอนี่ฟังดูดีไหม?”

โจวเหว่ยชิงสับสนเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เข้าใจความนัยได้ทันที ตาแก่นี่ก็แค่กลัวจะเสียหน้า! แน่นอนว่าคนระดับเขา การถูกโจวเหว่ยชิงที่อ่อนแอกว่าหลอกลวงได้นั้นเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก อีกทั้งยังมีเหตุการณ์น่าอับอายที่เขาอาเจียนเพราะได้เห็น ‘สุดยอดอาวุธสังหาร’ ก่อนหน้านี้อีกด้วย

โจวเหว่ยชิงยกมือขึ้นลูบไหล่หลัวเขอตี้ด้วยใบหน้ายิ้มๆและพูดว่า “ทักษะการยิงธนูของท่านอาวุโสนั้นไม่มีใครเทียบเทียมได้ ที่พวกเราสามารถผ่านด่านทดสอบได้นั้นต้องเป็นเพราะโชคช่วยแน่นอน! ด่านทดสอบของท่านนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย! ท่านอาวุโส ท่านต้องเป็นบุคคลที่พวกเราอยากจะเรียนรู้ด้วยแน่นอนขอรับ!”

พวกเขาทั้งคู่แลกเปลี่ยนสายตากันด้วยท่าทางแฝงความนัย ราวกับจะบอกกันและกันว่า เจ้าก็รู้ว่าข้าหมายถึงอะไร

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะจ้องมองพวกเขาจากด้านข้างพร้อมกับอ้าปากกว้าง 2 คนนี้เป็นอริต่อกันตั้งแต่ที่พวกเขาพบกัน จากนั้นพวกเขาก็แก้แค้นกันไปมา แต่ตอนนี้พวกเขากลับดูเหมือนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน? จะเปลี่ยนนิสัยกันเร็วเกินไปหน่อยแล้วเจ้าพวกนี้! ด้วยนิสัยตามธรรมชาติของเธอ เธอจึงไม่เข้าใจการสื่อสารระหว่างคนเจ้าเล่ห์ทั้ง 2 คนเลยแม้แต่น้อย

“เอาล่ะ น้องชายคนนี้เป็นเด็กที่มีพรสวรค์และควรค่าที่จะได้รับคำแนะนำจากแม่ทัพโจวให้เข้าร่วมหน่วยเกา ทัณฑ์สวรรค์ของเรา มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าทั้งสองคนกลับไปที่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ การทดสอบครั้งสุดท้ายของพวกเจ้าจะถูกจัดขึ้นที่นั่น”

สิ่งที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่เคยรู้มาก่อนคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์สามารถไปที่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ได้โดยไม่ต้องผ่านการทดสอบ 2 ครั้งแรก อย่างไรก็ตามเธอก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ อีกทั้งซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ได้พิสูจน์ให้แม่ทัพโจวเห็นถึงความจงรักภักดีต่ออาณาจักรมานานแล้ว ด้วยพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดของเธอ เธอยังต้องทดสอบอยู่อีกหรือ? การทดสอบเพียงอย่างเดียวที่จำเป็นก็คือด่านทดสอบครั้งที่ 3 นั่นก็เพื่อดูว่าความสามารถในปัจจุบันของเธอเพียงพอหรือไม่

สำหรับการทดสอบ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ ความจริงแล้วมันถูกสร้างขึ้นโดยหลัวเขอตี้เพื่อใช้แก้แค้นโจวเหว่ยชิงที่แกล้งทำให้เขาอับอายโดยเฉพาะ อย่างไรซะ หากพวกเขาไม่ได้ถูกกำหนดให้เข้าร่วมหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์อยู่แล้ว หลัวเขอตี้ก็คงจะไม่ทดสอบพวกเขาและนำพวกเขาไปยังหน่วยธนูสวรรค์ด้วยตัวเอง เพราะสถานที่แห่งนั้นถือว่าเป็นความลับระดับสูงสุดในอาณาจักรเลยทีเดียว! เพราะฉะนั้น แม้แต่ปีศาจจิ้งจอกตัวน้อยอย่างโจวเหว่ยชิงก็ยังไม่อาจจะต่อสู้กับกลอุบายของปีศาจจิ้งจอกแก่ๆอย่างหลัวเขอตี้ได้

ภายใต้การนำของหลัวเขอตี้ พวกเขาทั้ง 3 คนก็เข้าสู่ป่าดาราอย่างรวดเร็ว หลัวเขอตี้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปยังบริเวณแนวป่าลึก ทักษะความยืดหยุ่นของมณียุทธ์ของเขาช่างน่าประทับใจจริงๆ ใช้เพียงปราณสวรรค์จำนวนเล็กน้อย เขาก็สามารถเดินผ่านต้นไม้ระเกะระกะรวมถึงพุ่มไม้หนาๆในป่าดาราได้อย่างสบายๆราวกับกำลังเดินอยู่ในที่โล่งๆ ทว่าทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับต้องใช้ทักษะธาตุลมของพวกเขาเพื่อไล่ตามหลัวเขอตี้ให้ทัน อีกทั้งโจวเหว่ยชิงก็ยังจำเป็นต้องใช้ขาขวาของเขาเพื่อเสริมความเร็วอีกด้วย

โจวเหว่ยชิงคุ้นเคยกับป่าดาราเป็นอย่างมาก หลังจากเดินทางได้ไม่นานเขาก็เดาได้ว่าหลัวเขอตี้กำลังมุ่งหน้าไป ที่ใด

ประมาณ1ปีที่ก่อนหน้านี้ เขาเคยเข้ามาสำรวจบริเวณป่าลึกแห่งนี้มาก่อน แต่ทว่าเมื่อไปถึงจุดหนึ่ง เขากลับถูกกองทหารหยุดเอาไว้ ในเวลานั้นเขาสงสัยเป็นอย่างมากว่าทำไมจึงมีกองทหารประจำการอยู่ที่นั่น แต่เขาก็ไม่ได้ทำการสำรวจอะไรเพิ่มเติม ตอนนี้ดูเหมือนว่าหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ที่ลึกลับจะถูกส่งไปประจำการอยู่ที่นั่น หรืออย่างน้อยก็พื้นที่ใกล้ๆ กับที่นั่น

……………………………………………………..

[1]เลข 6 เลขมงคลของคนจีน เสียง 6(ลิ่ว) นั้นพ้องกับคำในภาษาจีนที่แปลว่าราบรื่น เป็นตัวแทนของความร่ำรวยในภาษาจีนกวางตุ้ง

หลัวเขอตี้ถูกลูกธนูของโจวเหว่ยชิงกระแทกกลับจนกระเด็นออกไป โชคดีที่เขาเป็นจ้าวมณียุทธ์ที่มีมณี 5 ดวง ร่างกายของเขาจึงแข็งแกร่งและทนทานเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังสามารถตอบสนองได้อย่าง ทันท่วง ทีและลดทอนความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ในขณะที่โจวเหว่ยชิงยิงลูกศรดอกสุดท้ายออกมา เขาได้ดึงหัวลูกศร ออกไปแล้วเช่นกัน ดังนั้นหลัวเขอตี้จึงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ มิฉะนั้น หากถูกยิงอย่างกะทันหันด้วยธนูราชัน ที่ทรงพลังเช่น นี้ แม้ระดับการฝึกฝนของเขาจะสูงกว่าโจวเหว่ยชิงมาก แต่เขาก็ต้องได้รับบาดเจ็บหนักแน่นอน และนี่ก็คือราคาที่หลัวเขอตี้ ต้องจ่ายเมื่อเข้ากล้าประเมินศัตรูต่ำไป

แท้จริงแล้วการยิงหลัวเขอตี้ให้โดนเป็นเรื่องยากมากสำหรับโจวเหว่ยชิง ลูกศร 4 ดอกแรก คือการทดสอบและ ประเมินสถานการณ์ทั้งหมด มีเพียงลูกศรดอกที่ 5 ซึ่งพุ่งเป้าไปที่พื้นจึงจะนับว่าเป็นกุญแจสำคัญในแผนการณ์ของเขา หลัวเขอตี้ไม่รู้เกี่ยวกับพลังศาสตรามณียุทธ์ของโจวเหว่ยชิงและพลังระเบิดทำลายล้างของธนูราชัน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตื่น ตกใจกับแรงระเบิดจนพุ่งตัวออกไปลอยคว้างอยู่กลางอากาศ แน่นอนว่าเมื่อมาถึงจุดนั้น แผนของโจวเหว่ยชิงก็สำเร็จไป ครึ่งทางแล้ว

ในวินาทีต่อมา ขณะที่โจวเหว่ยชิงยิงลูกศรดอกถัดไป เขาก็ได้ปลดปล่อยทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาจากมณีธาตุ ของเขาออกมาหลอมรวมเข้ากับธนูราชันด้วย ก่อนหน้านี้เขาตระหนักได้ว่าหลัวเขอตี้เคลื่อนไหวได้จำกัดมากขณะที่ลอย อยู่กลางอากาศ ด้วยเหตุนั้น ลูกเล่นของลูกศรราชันเคลื่อนย้ายพริบตาจึงค่อนข้างเรียบง่ายมาก มันไม่ได้มีอำนาจทะลุ ทะลวงเพิ่มมากขึ้น แต่มันสามารถทำให้ลูกศรพุ่งออกไป จากนั้นก็หายตัวไปกลางอากาศ และไปปรากฏตัวอีกฝั่งได้ในชั่ว พริบตา หรือก็คือเมื่อลูกศรพุ่งไปถึงระยะ 250 หลาจากหลัวเขอตี้ มันก็จะหายตัวไปปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ด้วยระยะ ทางที่ร่นขึ้นมาใกล้เช่นนี้ พลังระเบิดทำลายล้างของธนูราชันจะไม่แสดงผลได้อย่างไร? ที่จริงการตัดสินใจของหลัวเขอตี้ ก็ไม่ได้ผิดพลาดอะไรเลย แต่ทว่าเขากลับไม่นึกเผื่อไว้ว่าลูกศร อาจจะเคลื่อนย้ายตัวเองมาอยู่ตรงหน้า เขาในชั่วพริบตา เช่นนี้! แม้โจวเหว่ยชิงจะยังควบคุมลูกศรราชันเคลื่อนย้ายพริบตาได้ไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็ยังโชคค่อนข้างดี ดังนั้นเขาจึง ประสบความสำเร็จในการลองเพียงครั้งเดียว

หัวกลมๆ เล็กๆ สีขาวน่ารักโผล่พรวดออกมาจากหน้าอกของโจวเหว่ยชิงทันที เจ้าตัวน้อยกระพริบตาสีน้ำเงินเข้ม ปริบๆ อย่างสงสัยแม้จะไม่ส่งเสียงอะไรออกมาก็ตาม นั่นไม่ใช่เสือขาวตัวน้อยที่ทุกคนหลงลืมไปหรอกหรือ? ไม่มีใครรู้ว่า ทำไมเสือขาวตัวน้อยถึงติดหนึบอยู่กับโจวเหว่ยชิง และแม้ว่ามันจะถูกเขา“กลั่นแกล้ง” อยู่บ่อยครั้ง แต่เจ้าตัวน้อยนี้ก็ยัง ปฏิเสธที่จะผละจากข้างกายเขาไป ด้วยเหตุนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงรู้สึกหดหู่อยู่บ่อยครั้ง

ขณะที่ร่างของหลัวเขอตี้กำลังจะร่วงลงไปกระแทกพื้น เขาก็จัดการม้วนตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบก่อนจะกระโดด กลับไปยืนอย่างมั่นคง แต่ทว่าก็ยังรู้สึกเจ็บปวดและอึดอัดที่หน้าอกเล็กน้อย ไม่นานเขาก็ตกอยู่ในอารมณ์อึมครึม ท้ายที่สุด แล้วเขาก็ยังไม่รู้ว่าเขาถูกลูกศรดอกนั้นโจมตีได้อย่างไร! หูของเขาผิดปกติไปหรือ!? นั่นเป็นไปไม่ได้! ความสามารถในการ แยกแยะระยะทางและการโจมตีจากการได้ยินเพียงอย่างเดียวนั้น กระทั่งคนอื่นๆ ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ก็สู้เขาไม่ได้!

เขาได้แต่คิดกับตัวเองว่า ข้าคือนายพรานล่าห่านป่าที่โดนห่านจิกจนตาปูด ไต้ก๋งเรือที่พลาดจมเรือในสระน้ำ เล็กๆ!! เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดและเต็มไปด้วยดินทราย ตอนนี้ใบหน้าสุภาพเรียบร้อยของหลัวเขอตี้จึงค่อนข้างบึ้งตึงเป็น อย่างมาก

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินเข้ามาหาเขาอีกครั้ง จากนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ถามด้วยน้ำแสียงแสดงความ กังวลอย่างชัดเจน “ท่านอาวุโส ท่านสบายดีหรือไม่?”

หลัวเขอตี้ยิ่งได้ฟังคำพูดปลอบโยนของเธอก็ยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นไปกว่าเดิม หากเธอเย้ยหยันหรือหัวเราะเยาะเขา เขาก็ อาจจะยังไม่รู้สึกแย่มากนัก แต่เมื่อถูกเด็กหญิงตัวเล็กๆ มาเอ่ยปากปลอบโยนเช่นนี้ แม้ว่าผิวของเขาจะหนา แต่ก็ยังอดไม่ ได้ที่จะหน้าแดงด้วยความอับอาย เขามองไปยังใบหน้าซื่อๆของโจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้าล้ำลึกก่อนจะกล่าวว่า “หึ เจ้าเด็ก เหลือขอตัวน้อย! ไม่เลวเลยนี่หว่า! ดูเหมือนข้าจะมองเจ้าผิดไป!” ด้วยทักษะการยิงธนูของเขา เขาจึงรู้ว่าหัวลูกศรดอกสุด ท้ายนั้นถูกถอดออกไป มิเช่นนั้นเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บไปแล้วก็เป็นได้

โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างร่าเริงและพูดว่า “ท่านอาวุโส ข้าแค่โชคดีเท่านั้นแหละ ตอนที่ข้ายิงลูกศรดอกสุดท้าย ออกไป มือของข้าดันลื่นพอดี มันเลยพุ่งออกไปกระยึกกระยือไม่ตรงเป้าเท่าไหร่ ใครจะรู้ว่าท่านจะไปกระแทกโดนมันโดย ไม่ตั้งใจ เฮ้อ สรุปว่าข้าผ่านการทดสอบด่านแรกหรือไม่?”

มือลื่น? คิ้วของหลัวเขอตี้กระตุกขณะที่เขาสบถในใจว่า เจ้าคิดว่าเจ้าโกหกใครอยู่รึ?? ลูกศรดอกก่อนหน้าเจ้า ไม่ได้เอาหัวลูกศรออก แต่ดอกสุดท้ายนี้เจ้ากลับเอาออก เจ้าคงจะไม่ทำเช่นนั้นหากไม่มั่นใจว่าลูกศรดอกนั้นจะพุ่งโดนร่าง ข้าแน่นอน  ฮึ่ม! จอมเจ้าเล่ห์ตัวน้อยนี้รู้วิธีแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือจริงๆ[1]  ทำไมท่าทางของเขาถึงได้ดูคุ้นๆ นักนะ?

หลัวเขอตี้กัดฟันพูดว่า “ใช่ เจ้าทั้งคู่ผ่านด่านทดสอบแรกแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาเข้าสู่ด่านที่ 2 เจ้าเด็กเหลือขอ ส่งธนู อุษาม่วงมาให้ข้าพร้อมกับแล่งธนูของเจ้า”

โจวเหว่ยชิงมองเขาอย่างระมัดระวัง “เอาไปทำอะไรหรือ?”

แววตาของหลัวเขอตี้เผยเล่ห์เหลี่ยมออกมาขณะที่เขาอมยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะได้ทันตอบโต้หรือ แม้แต่เห็นหลัวเขอตี้ขยับตัว เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่วูบวาบเบื้องหน้า จากนั้นร่างของเขาก็ถูกยกขึ้น พริบตา เดียวธนูอุษาม่วงและแล่งธนูก็ไปปรากฏอยู่ในมือของหลัวเขอตี้เรียบร้อยแล้ว

“ก่อนหน้านี้เจ้าทั้งคู่ยิงลูกศร 20 ดอกใส่ข้าแล้ว ตอนนี้ถึงตาข้ายิงลูกศร 20 ดอกใส่พวกเจ้าทั้ง 2 คนบ้างหากลูก ศรของข้ายิงไม่โดนพวกเจ้าครบทั้ง 2 คน พวกเจ้าทั้งคู่ก็จะผ่านด่านทดสอบที่ 2 ไปได้ทันที ไม่ต้องกังวล ข้าจะถอดหัวลูกศร ออกแน่นอน ตอนนี้พวกเจ้าวิ่งออกไปได้เลย ข้าจะนับถึง 1 ถึง 5”

“1…”

ปัดโถ่เอ้ย! นี่คือการใช้อำนาจแก้แค้นส่วนตัวอย่างไม่ถูกต้องชัดๆ! โจวเหว่ยชิงพลันสบถด่าอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้า จะชักช้าอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว เขาและซ่างกวนปิงเอ๋อร์แลกเปลี่ยนสายตากันว่าให้แยกไปคนละทิศ จากนั้นทั้งคู่ก็หัน หลังกลับและวิ่งออกไปด้วยความเร็วสูงสุดอย่างไม่ลังเลฃ

ในขณะเดียวกัน หลัวเขอตี้ก็รีบหยิบลูกธนูออกจากแล่ง เขาใช้นิ้วมือแตะที่หัวลูกศร จากนั้นพวกมันก็ปริแตกออก จากกันทันที เขาหักมันออก จากนั้นก็ง้างธนูขึ้น ก่อนจะนับอย่างช้าๆ “2  3  4  5…นี่คือลูกศรดอกแรก!”

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ยินเสียงของเขาจึงกระโดดหลบและพลิกตัวไปด้านข้างทันที อย่างไรก็ตามทัน ทีที่พวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเนื่องจาก ไม่มีใครได้ยินเสียงของลูกศรที่แหวกผ่าน อากาศมาเลย

หรือว่านั่นคือศรไร้เสียง?

“เจ้าโง่! ถ้าข้าบอกว่าลูกศรกำลังจะพุ่งออกไป นั่นหมายความว่ามันจะพุ่งออกไปจริงๆรึไง?” ในขณะที่โจวเหว่ย ชิงม้วนตัวกับพื้นและกำลังจะกระโดดขึ้นเพื่อเปลี่ยนทิศทาง เขาก็รู้สึกเจ็บที่บั้นท้ายขึ้นมาอย่างฉับพลัน แรงปะทะนั่นทำให้ เขากระเด็นไปไกลถึง 3 ฟุตทันที

นั่นคือศรไร้เสียง? เห็นได้ชัดว่าลูกศรดอกนั้นถูกยิงออกมาหลังจากพูดเตือนพวกเขาจริงๆ แต่ถึงแม้ว่าลูกศรนั่นจะ มีเสียง เขาก็ยังไม่อาจหลบมันพ้นอยู่ดี ท้ายที่สุดแล้ว ลูกศรดอกนั้นก็มาถึงตัวเขาในขณะที่ร่างของเขายังอยู่บนพื้นด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาไม่ได้ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา เขาก็ไม่อาจจะหลบมันพ้นแน่ แต่อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงไม่ต้อง การเปิดเผยความลับของมณีธาตุของเขาในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะใช้ทักษะนี้ในการทดสอบด่านแรก แต่นั่นก็ยังอยู่ภายใต้ เงื่อนไขที่ว่าหลัวเขอตี้ไม่สามารถมองเห็นลูกศรดอกนั้นได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ถ้าหากเขาใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาอีก แน่นอนว่าหลัวเขอตี้ต้องรู้แน่

แม้ว่าหัวลูกศรจะถูกถอดออกแล้ว แต่ด้วยพลังของธนูอุษาม่วง ขณะที่ลูกศรนั้นกระแทกเข้าที่ก้นของเขา โจว เหว่ยชิงก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงปะทะขนาดย่อมๆ อย่างไรก็ตาม ลูกศรดอกนั้นก็ได้พุ่งชนเข้ากับเกราะเทพอมตะที่ถูกกางออก เพื่อปกป้องเขาไว้ในเวลาเดียวกัน พลังโจมตีนั้นจึงถูกเกราะเทพอมตะกระจายออกไปทั่วร่างกายของเขา อีกทั้งแรงปะทะ ส่วนใหญ่ยังถูกสลายออกไปอีกด้วย เช่นนี้เขาจึงกระเด็นกลับไปด้านหน้าเพียง 2-3 ฟุต ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเพียงเล็ก น้อย

นี่คือวิธีการใช้ประโยชน์จากเกราะเทพอมตะอย่างแท้จริง! โจวเหว่ยชิงตระหนักได้ถึงพลังของของเกราะเทพ อมตะทันที เมื่อร่างกายของเขาถูกโจมตี เกราะป้องกันจากหลุมดำพลังปราณทั้ง 5 เป็นเพียงแค่การป้องกันในระดับพื้น ฐานเท่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่าคือการกระจายแรงปะทะออกไปทั่วร่างกาย แม้ว่าร่างกายของเขาจะยังคงได้รับความเสียหาย แต่พลังโจมตีที่รุนแรงก็ได้ถูกกระจายออกไปแล้ว และนั่นก็ช่วยลดอาการบาดเจ็บของเขาลงได้มากเลยทีเดียว

“ฮึ? เจ้ารับลูกศรได้เก่งจริงๆ!” หลัวเขอพูดด้วยความประหลาดใจเมื่อมองไปยังโจวเหว่ยชิงที่พลิกตัวกลับไปยืน แล้ววิ่งต่อได้หลังจากโดนลูกศรของเขายิงใส่ครั้งแรก

ตามแผนเดิมของเขา ลูกศรดอกแรกควรจะทำให้ก้นของโจวเหว่ยชิงชาหนึบจนขยับไม่ได้ จากนั้นก็เปิดโอกาสให้ หลัวเขอตี้ยิงลูกศรตามไปอีก 20 ดอกตามความตั้งใจของเขาเพื่อเป็นการลงโทษเจ้าเด็กเหลือขอคนนั้น แท้จริงแล้วเขา สงวนลูกศรทั้ง 20 ดอกไว้สำหรับโจวเหว่ยชิงโดยเฉพาะเลยทีเดียว ท้ายที่สุดเขาก็เพียงแค่ต้องการจะระบายความโกรธที่ ตนถูกโจวเหว่ยชิงยิงจนกระเด็นออกไปก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ตอนนี้โจวเหว่ยชิงก็ยังคงอยู่ดีหลังจากโดนลูกศรแรกของ เขายิงเข้าใส่ และสิ่งนี้ก็ท้าทายอารมณ์โกรธของหลัวเขอตี้อย่างมา

*สวบ* ลูกศรอีกดอกพุ่งออกมา คราวนี้โจวเหว่ยชิงได้ขยายประสาทสัมผัสของเขาให้ตึงถึงขีดสุด และเมื่อทำเช่น นั้นเสร็จ เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าลูกศรอีกดอกได้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว นั่นทำให้ใจของเขาร่วงไปอยู่แทบเท้าเลยทีเดียว เป็นเพราะเขาพบว่ามันไม่ใช่ศรไร้เสียง!!

ลูกศรที่หลัวเขอตี้ยิงออกมานั้นมีเสียงดังออกมาจริงๆ แต่มันก็เบาบางมากๆ แม้กระทั่งประสาทสัมผัสที่ถูกขยาย ออกจนถึงขีดสุดของโจวเหว่ยชิงก็ยังเพิ่งจะได้ยินเสียงของมันเพียงแผ่วเบาเมื่อลูกศรดอกนั้นพุ่งมาใกล้เขาในระยะ 10 หลา แล้ว

เขาทำแบบนั้นได้อย่างไร? โจวเหว่ยชิงคิดอย่างสับสนขณะที่บั้นท้ายของเขาปะทะเข้ากับลูกศรอีกดอก ในคราวนี้ ขณะที่ร่างกายของเขาเพิ่งจะโผทะยานไปข้างหน้าด้วยแรกผลัก ลูกศรดอกที่ 3 ก็ตามมาถึงแล้ว ยังไม่ทันที่เขาจะได้ กระเด็นออกไปจากแรงปะทะครั้งที่ 2 ลูกศรดอกที่ 3 4 และ 5 ก็ตามมาติดๆ อย่างไม่ให้โอกาสเขาได้ขยับเคลื่อนไหวแม้แต่ น้อย!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เริ่มวิ่งออกไปในเวลาเดียวกันกับโจวเหว่ยชิงและทั้งคู่ก็ได้แยกย้ายกันไปคนละทางก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าภาพเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดก็โผล่เข้ามาในสายตาของเธอ

โจวเหว่ยชิงถูกหลัวเขอตี้ระดมยิงอย่างต่อเนื่อง ลูกศรเหล่านั้นพุ่งใส่เขาติดๆกันในขณะที่เขาลอยคว้างอยู่กลาง อากาศ และเขาก็ยังไม่ทันจะได้ยันตัวกับพื้นเลยด้วยซ้ำ!!

นี่มันทักษะการยิงธนูแบบไหนกันแน่? ร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แข็งค้าง เธอจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตก ตะลึง ยังไงซะ ทั้งสองฝ่ายก็อยู่ห่างกันตั้ง 300 หลา และเพื่อให้เกิดผลเช่นนั้น ขณะที่ลูกศรดอกแรกปะทะเข้ากับร่างของ โจวเหว่ยชิง ลูกศรดอกที่ 3 ของ หลัวเขอตี้ก็ต้องทะยานอยู่กลางอากาศแล้ว! มีเพียงลูกศรที่ยิงออกไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่ หยุดพักเท่านั้นจึงจะสามารถขึงเขาไว้กลางอากาศเช่นนั้นได้  นี่ก็หมายความว่า ทันทีที่หลัวเขอตี้ยิงลูกศรดอกแรกออกไป เขาก็ต้องขบคิดไว้แล้วว่าโจวเหว่ยชิงจะขยับไปที่ไหนและขยับอย่างไร จากนั้นก็ยิงลูกศรดอกถัดไปในเส้นทางนั้นทันที นี่จึง ไม่ใช่แค่เพียงทักษะการมองเห็นที่เฉียบคมและการคิดคำนวณอย่างง่ายๆแน่!

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเธอหันไปมองหลัวเขอตี้ เธอก็เห็นว่าเขากำลังเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ทั้งๆ ที่ยิงธนูออกไป อย่างรวดเร็วเช่นนั้น อีกทั้งเธอแทบจะมองตามไม่ทันว่าเขายิงธนูออกไปอย่างไร ท่าทางของเขาดูสบายๆ มาก เขา อารมณ์ดีกระทั่งหันกลับมายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนและแทบจะไม่มองกลับไปที่โจวเหว่ยชิงแม้แต่น้อย สิ่งที่น่าตกใจยิ่ง กว่านั้นคือหลัวเขอตี้ไม่ได้ใช้ศรไร้เสียง แต่เขาก็สามารถลอกเลียนทักษะของศรไร้เสียงได้มากกว่า 8 ใน10 ส่วน!

ทักษะที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้! มันคือทักษะการยิงธนูดั่งเทพเจ้าชัดๆ!!

คำเหล่านั้นคือสิ่งที่ใช้อธิบายทักษะการยิงธนูของเขาได้เพียงอย่างเดียว ทักษะการยิงธนูดั่งเทพเจ้า! แม้ว่าเขาจะ มีมณีเพียง 5 ดวง แต่ด้วยการทักษะการยิงธนูเช่นนี้ นั่นก็ทำให้เขาเกือบจะเกินความสามารถของมนุษย์ไปแล้ว! นี่คือจุด แข็งที่แท้จริงของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์งั้นหรือ?

ถึงตอนนี้ ระดับพลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงก็กำลังลดลงอย่างต่อเนื่องจนอาจเป็นอันตรายได้ หลังถูกยิง ด้วยลูกศร 8 ดอกหรือมากกว่านั้น แม้ว่าเขาจะมีพลังการดูดกลืนปราณสวรรค์ที่น่าประทับใจจากหลุมดำทั้ง 5 พลังปราณ สวรรค์ของเขาก็ยังคงแห้งเหือดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้เขาได้เผาผลาญปราณสวรรค์ไปกับธนูราชัน และลูกศรราชัน เคลื่อนย้ายพริบตาไปส่วนหนึ่งแล้ว ประกอบกับการใช้เกราะเทพอมตะ ทำให้พลังปราณสวรรค์ของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว

โจวเหว่ยชิงทำการตัดสินใจหยุดการป้องกันจากเกราะเทพอมตะในทันที เนื่องจากเขาต้องการสำรองพลังปราณ สวรรค์ไว้เพื่อใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาในครั้งสุดท้าย เขาไม่อยากจะล้มเหลวในการทดสอบครั้งที่ 2 นี้!

หลังจากระงับพลังของเกราะเทพอมตะเอาไว้ได้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกคือความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้น อย่างมาก ปกติแล้วโจวเหว่ยชิงจะถูกลูกศรแต่ละดอกผลักให้กระเด็นออกไปเพียง 3 เมตรเท่านั้น แต่หลังจากเขาปลด เกราะเทพอมตะออก ลูกศรดอกต่อมาก็ทำให้เขากระเด็นออกไปไกลถึง 5 เมตร ส่วนความเจ็บปวด และอาการชาหนึบที่ ก้นของเขาก็ทำให้โจวเหว่ยชิงต้องร้องออกมาเสียงดัง

……………………………………………………..

[1] แสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือ แปลว่า คนที่แท้จริงแล้วมีความสามารถ แต่กลับแกล้งเซ่อซ่าหลอกให้ผู้อื่นหลงกลเพราะมุ่งหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่าย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่มั่นใจนักว่าลูกศรของตนจะทำร้ายหลัวเขอตี้ได้ แต่ในการทดสอบในครั้งนี้ เธอแค่ต้องทำให้เขาขยับตัวปัดป้องลูกศรของเธอให้ได้เท่านั้น เธอจึงค่อนข้างมั่นใจว่าตนจะทำสำเร็จ ยังไงซะ เธอก็มีศรติดตามไร้เสียงซึ่งเป็นสิ่งที่ดูจะได้เปรียบที่สุดสำหรับการทดสอบในครั้งนี้ ดังนั้นเธอจึงคิดว่าตนน่าจะผ่านการทดสอบในครั้งนี้แน่นอน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอมีท่าทีผ่อนคลายหลังจากได้ยินรายละเอียดเกี่ยวกับบททดสอบด่านแรก

ตามที่คาดไว้ หลังจากที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปล่อยลูกศรออกไป หลัวเขอตี้ก็สามารถเอี้ยวตัวหลบธนูดอกนั้นได้ในพริบตา แต่ทว่าศรติดตามไร้เสียงกลับหมุนตัวกลางอากาศอย่างรวดเร็วและพุ่งเขาหาเขาอีกครั้ง ในครั้งนี้มันเกือบจะพุ่งถึงใบหน้าของเขาแล้ว หลัวเขอตี้จึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะยกมือของเขาขึ้นมาป้องกันตนเอง แสงสีขาวสว่างเรืองรองขึ้นมาจากมือของเขา จากนั้นศรติดตามไร้เสียงก็หยุดชะงักอยู่กลางอากาศทันที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เก็บธนูอุษาม่วงพาดไว้บนหลังด้วยรอยยิ้ม เธอพูดกับโจวเหว่ยชิงว่า “เขาเป็นผู้อาวุโสจากหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์จริงๆ ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!”

เธอย่อมไม่รู้ว่าในอีกด้านหนึ่ง หลัวเขอตี้เองก็กำลังประหลาดใจเป็นอย่างมากเช่นกัน แม้เขาจะสามารถหยุดยั้งศรติดตามไร้เสียงได้ง่ายๆเพียงปลายนิ้ว แต่ตอนนี้เขาปลายนิ้วข้างนั้นกลับรู้สึกชาหนึบ จากประสบการณ์ของหลัวเขอตี้ เขาจึงสามารถจำแนกระดับพลังปราณสวรรค์และทักษะธาตุของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ในทันที เขาคิดกับตัวเองว่า แม่นางน้อยผู้นี้สมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์จริงๆ! อายุเพียงแค่นี้แต่กลับมีพลังปราณสวรรค์อยู่ในขั้นพื้นฐานระดับที่ 10 แล้ว! ไม่แปลกใจเลยที่ตาแก่โจวจะแนะนำให้เธอเข้าร่วมหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เธอจะต้องมีอนาคตที่รุ่งโรจน์อย่างแน่นอน!

“เอาล่ะ เจ้าผ่านการทดสอบในครั้งนี้ ส่วนเจ้า เจ้าเด็กเหลือขอคนนั้นน่ะ ตาเจ้าแล้ว”

ในครั้งนี้เป้าหมายหลักของหลัวเขอตี้ไม่ใช่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ในที่สุดเมื่อถึงคราวของโจวเหว่ยชิง เขาก็ผุดรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมาบางเบาก่อนจะคิดกับตัวเองอย่างลับๆว่า: ไอ้เจ้าเด็กตัวเหม็น! กล้าล้อเล่นกับข้ารึ! ข้าจะทำให้เจ้าเห็นเองว่าข้าจะเอาคืนอย่างไร! ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นจ้าวมณีสวรรค์ ดังนั้นเธอจึงผ่านด่านนี้ไปได้อย่างง่ายดาย  แต่เจ้า เจ้าเป็นแค่จ้าวมณีทั่วๆไป…หึๆๆ!

ในอีกด้านหนึ่ง โจวเหว่ยชิงเพิ่งเรียกธนูราชันย์ของเขาออกมา เนื่องจากพวกเขาอยู่ห่างกันถึง 300 หลา แม้ว่าหลัวเขอตี้จะเห็นศาสตรามณียุทธ์ของเขา แต่เขาก็ไม่อาจมองเห็นมณีรอบข้อมือของเขาได้อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตัดสินว่าโจวเหว่ยชิงเป็นจ้าวมณียุทธ์ธรรมดาๆ ที่มีมณีเพียงดวงเดียว แน่นอนว่าสำหรับหลัวเขอตี้แล้ว หากจะโทษเขาที่ฟันธงไปเช่นนั้นก็อาจไม่ถูกนัก เนื่องจากเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์มีจ้าวมณีสวรรค์เพียง 2 คนเท่านั้น และแม้ว่าจ้าวมณีสวรรค์อีกคนอาจจะถือกำเนิดขึ้น พวกเขาก็อาจไม่เลือกอยู่ในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ต่อเนื่องจากรู้ดีว่าอาณาจักรไม่มีกำลังสนับสนุนพวกเขาได้เพียงพอ

โจวเหว่ยชิงนำลูกศรออกมาจากแล่งแล้วพาดไปบนธนูราชันย์  เขาง้างสายธนูขึ้นมาประมาณครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็  *หวืด* ลูกศรดอกแรกพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

ธนูราชันย์คือธนูชนิดใดน่ะหรือ? มันเป็นหนึ่งในธนูที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศาสตรามณียุทธ์ อีกทั้งอำนาจการทำลายล้างของมันต่างก็เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง มีเพียงจ้าวมณีสวรรค์ผู้ครอบครองมณียุทธ์บริสุทธิ์ประเภทเพิ่มความแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะหลอมรวมเข้ากับมันได้ แม้ว่ามันจะถูกง้างขึ้นเพียงครึ่งเดียว ลูกศรที่พุ่งทะยานออกไปก็ยังมีความเร็วมากกว่าธนูอุษาม่วงที่ง้างขึ้นจนสุดสายเสียอีก

เมื่อลูกศรดอกแรกแหวกอากาศออกไป ลูกศรดอกที่สองก็พุ่งตามออกไปติดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ในครั้งที่ 2 นี้โจวเหว่ยชิงยังง้างธนูขึ้นจนสุดสายก่อนจะปล่อยออกไปเสียด้วย

ทักษะการยิงธนูเช่นนี้เรียกว่าการยิงคู่; ลูกศรดอกแรกจะถูกยิงออกไปด้วยความเร็วค่อนข้างช้า จากนั้นจึงตามด้วยลูกศรดอกที่สองซึ่งเร็วกว่า และแน่นอนว่าด้วยความเร็วระดับนั้น ลูกศรดอกที่สองย่อมจะต้องพุ่งแซงดอกแรกไปถึงจุดหมายก่อน ทักษะนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นคนสอนให้กับเขา โดยทักษะนี้มักจะใช้กับศัตรูที่แข็งแกร่งเพื่อทำให้พวกเขาตั้งตัวไม่ทัน

ม่านตาของหลัวเขอตี้หดแคบลงเมื่อลูกศรของโจวเหว่ยชิงพุ่งเข้าหาเขาพร้อมกับเสียงแหวกอากาศที่ดังจนแสบแก้วหู สายตาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย นั่นเป็นธนูที่ทรงพลังจริงๆ แต่มันก็อาจกลายเป็นธนูที่ไร้ประโยชน์ได้เช่นกัน ในสถานการณ์ที่ต้องต่อสู้แบบตัวต่อตัว สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักธนูคือความเงียบ เพราะฉะนั้น ธนูที่ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นเช่นนี้ค่อนข้างจะไร้ประโยชน์มากเนื่องจากศัตรูส่วนใหญ่จะสามารถไหวตัวทันและพุ่งตัวหลบได้

ในขณะที่เขากำลังขบคิดเกี่ยวกับลูกศรของโจวเหว่ยชิง เขาก็เริ่มขยับเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน เมื่อลูกศร         2 ดอก พุ่งมาถึงตัวเขา หลัวเขอตี้ก็ไม่ได้ขยับขาของเขาเลยแม้แต่น้อย ร่างกายส่วนบนของเขาหักหลบไปทางซ้ายจนดูเหมือนกับว่าร่างกายส่วนบนของเขาถูกถอดออกจากบั้นเอวเลยทีเดียว

แม้ว่าลูกศรของโจวเหว่ยชิงจะดูเหมือนพุ่งเป้าไปที่จุดเดียวกัน แต่ความจริงแล้ว ทิศทางของลูกศรทั้ง 2 ดอกมีความแตกต่างกันเล็กน้อยเนื่องจากลูกศรดอกแรกเบี่ยงไปทางซ้าย ในขณะที่อีกดอกเบี่ยงไปทางขวา อย่างไรก็ตาม ทักษะการหลบหลีกของหลัวเขอตี้เองก็ยังน่าตกใจอยู่มาก แน่นอนว่าเขาสามารถหลบลูกศรทั้ง 2 ดอกนี้ได้อย่างง่ายดาย

โจวเหว่ยชิงนึกถึงคำพวกนี้ขึ้นมาทันที: จ้าวมณียุทธ์ประเภทความยืดหยุ่น เขาแน่ใจว่าหลัวเขอตี้ผู้นี้เป็นจ้าวมณียุทธ์ และในบรรดามณียุทธ์ของเขา หนึ่งในนั้นมีคุณสมบัติเพิ่มความยืดหยุ่นอย่างแน่นอน

ขณะที่เขากรุ่นคิดอยู่เช่นนั้น มือของโจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้ลดความเร็วลงเลย ลูกศรอีกสองลูกถูกยิงออกไปอีกครั้ง  คราวนี้ดอกแรกมีเป้าหมายอยู่ที่ร่างกายส่วนบนของหลัวเขอตี้ซึ่งโค้งออกมาทางซ้าย ส่วนอีกดอกหนึ่งก็เล็งไปยังกลางลำตัวของเขา ด้วยวิธีนี้หากหลัวเขอตี้กลับมายืนตัวตรงเขาจะต้องปะทะกับลูกศรดอกที่ 2 แต่ถ้าเขาไม่ทำเช่นนั้น เขาก็จะถูกโจมตีด้วยลูกศรดอกแรก แม้โจวเหว่ยชิงจะรู้ว่าลูกศรทั้งสองดอกนี้อาจไม่ได้ทำให้หลัวเขอตี้ถึงกับยกมือขึ้นมาปัดป้องพวกมันออกไป แต่เป้าหมายของเขาก็คือพยายามทำให้หลัวเขอตี้ขยับเท้าออกจากจุดที่เขายืนอยู่ แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

อย่างไรก็ตาม หลัวเขอตี้เองก็ตกใจกับลูกศรของโจวเหว่ยชิงจริงๆ เขาขยับเคลื่อนไหวอีกครั้งด้วยความยาก ลำบาก ร่างกายส่วนบนของเขาที่โค้งไปทางซ้ายดูเหมือนจะหักโค้งไปด้านหลังแทน ท้ายที่สุดเขาก็ลงเอยในตำแหน่งสะพานโค้งโดยที่ขาของเขาไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย โจวเหว่ยชิงได้แต่อ้าปากค้างและคิดสงสัยว่าขาของหลัวเขอตี้ถูกตอกติดพื้นเอาไว้หรืออย่างไร

“เจ้าเด็กเหลือขอ! นั่นคือทั้งหมดที่เจ้ามีแล้วรึ? เจ้าคิดว่าเจ้าจะเข้าร่วมหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ด้วยความสามารถระดับนั้นหรือ? ในพื้นที่โล่งๆเช่นนี้ หากเจ้าไม่สามารถทำให้ข้าขยับเท้าได้ เจ้าก็ควรกลับบ้านไปดูดนมมารดาต่อไป!” โจวเหว่ยชิงได้ยินคำเยาะเย้ยของหลัวเขอตี้ดังมาจากระยะไกลๆ

ตอนนี้เขากระจ่างแจ้งแล้ว  ไอ้เจ้านั่น! ตอนนี้กำลังแก้แค้นข้าอยู่อย่างแน่นอน! แม้ว่าลูกศรของซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะทรงพลังจริงๆ แต่ด้วยความสามารถที่หลัวเขอตี้ได้เปิดเผยออกมาเมื่อสักครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถหลบลูกศรของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างง่ายดาย แม้แต่จะรอจนกระทั่งปราณสวรรค์ที่ควบคุมลูกศรดอกนั้นหมดไปก็ยังได้ ถึงกระนั้น เขาก็ยังยอมให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผ่านด่านนี้ไปได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วว่าส่วนเป้าหมายที่แท้จริงของหลัวเขอตี้ก็คือเขานั่นเอง!

รอยยิ้มเย็นๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโจวเหว่ยชิงทันที หึ! ไม่ขยับขางั้นรึ? ข้าจะดูว่ารอบนี้เจ้าจะยังไม่ขยับอยู่ไหม! เมื่อคิดได้เช่นนั้น ลูกศรดอกที่ห้าของเขาก็ถูกยิงออกไป

เสียงแหวกอากาศดังขึ้นอีกครั้ง ลูกศรดอกที่ห้าพุ่งไปทางขาซ้ายของหลัวเขอตี้ทันที ทว่าหลัวเขอตี้กลับหัวเราะเสียงดัง เขายกขาซ้ายขึ้นกวาดโค้งเหนือศีรษะของตนไปอย่างง่ายดายคล้ายกับท่า ‘ไก่ทองยืนขาเดียว'[1] อย่างไรก็ตาม หลังจากหัวเราะได้เพียงชั่วครู่ ในวินาทีถัดมาความโชคร้ายก็มาเยือนเขาทันที

ก่อนหน้านี้ ลูกศรถูกยิงไปในระยะไกลมาก และข้อจำกัดของธนูราชันย์คือ หากลูกศรพุ่งออกไปไกลกว่า 1.5 กิโลเมตร พลังปราณสวรรค์ในลูกศรพวกนั้นจะกระจายตัวออกไปจนหมด ส่วนความสามารถในการระเบิดทำลายล้างของธนูราชันย์จะไม่มีผลเช่นกัน อย่างไรก็ตาม คราวนี้ถึงแม้หลัวเขอตี้จะหลบลูกศรดอกนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่มันก็ยังพุ่งลงไปยังพื้นดินเบื้องล่างเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เสียงระเบิดลูกใหญ่ดังกึกก้องขึ้นมาทันที ในเสี้ยววินาทีนั้นหลัวเขอตี้พลันรู้สึกตกตะลึงมากจนการตอบสนองของเขาช้าลงกว่าปกติเล็กน้อย แรงระเบิดครั้งนี้ทำให้เขาต้องโผนทะยานขึ้นไปเหนืออากาศทันที และแม้ว่าเขาจะตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยการปลดปล่อยมณียุทธ์ของเขาออกมาและพลิกตัวกลับกลางอากาศเพื่อลดแรงกระแทกของกระเบิดลูกนั้น แต่เสื้อผ้าของเขาก็ยังคงฉีกขาดออกจากกันเนื่องจากแรงปะทะที่เกิดขึ้น

“เวรเอ้ย! ไอ้ธนูนั่นคือ…” หลัวเขอตี้ได้แต่สบถสาปแช่งอยู่ในใจของเขา แต่ปัญหาของเขายังไม่จบลงเพียงเท่านี้ หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นมาใกล้ๆ หูของเขาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มาพร้อมกับพลังที่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มาก

อารมณ์โกรธเกรี้ยวของหลัวเขอตี้พุ่งทะยานขึ้นมาทันที ในขณะนี้ร่างของเขาลอยคว้างอยู่กลางอากาศจึงยากที่จะหาสิ่งใดเป็นที่ยึดเกาะเพื่อเหวี่ยงตัวหลบวิถีของลูกศรดอกนั้นได้ ดังนั้นเขาจึงพุ่งลงไปฟาดฝ่ามือลงกับพื้นอย่างไม่มีตัวเลือก พลังปราณสวรรค์ขุมหนึ่งกระแทกกับพื้นดินจนเป็นรอย เขาใช้แรงปะทะพลิกตัวไปด้านหลังและกลับไปลอยคว้างอยู่กลางอากาศอีกครั้ง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงจ้าวมณียุทธ์ที่มีมณียุทธ์ 5 ดวง แม้ว่าในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เขาจะถูกพิจารณาว่าเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด แต่เนื่องจากทักษะมณียุทธ์ของเขาคือความยืดหยุ่นและการประสอดประสาน เพราะ ฉะนั้นแม้ว่าขณะนี้เขาจะลอยตัวอยู่กลางอากาศ เขาก็ยังมั่นใจว่าตนเองจะสามารถหลบลูกศรที่พุ่งเข้ามาได้

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่เขาจะได้หัวเราะออกมา เรื่องเหลือเชื่ออีกอย่างก็ปรากฏขึ้นตามมาติดๆ ขณะที่เขาใช้แรงกระแทกเพื่อพลิกตัวกลับขึ้นไปในอากาศนั้นเอง ดูเผินๆเหมือนว่าเขาจะหลบลูกศรดอกนั้นพ้นแล้ว แต่ในวินาทีนั้นเขากลับรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหน้าอกอย่างรุนแรง ร่างของเขาถูกผลักกระเด็นออกไปด้านหลังทันที ด้วยแรงระเบิดขนาดย่อมๆเขาจึงกระเด็นออกไปไกลกว่า 10 เมตรเลยทีเดียว

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายอยู่ในระยะไกลๆ “หวังว่าท่านจะสนุกกับ ‘ลูกศรราชันย์เคลื่อนย้ายพริบตา’ ของข้านะ ฮิๆ! ”

…………………………………………………..

[1] ท่า ‘ไก่ทองยืนขาเดียว’ (金鶏独立) เป็นท่ารำไทเก๊กชนิดหนึ่ง

“หืม?” ชายวัยกลางคนผู้นั้นลุกขึ้นพรวดพราดอย่างกระทันหัน เขาผลักโจวเหว่ยชิงออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่ดูเลื่อนลอยจับจ้องไปยังทิศทางหนึ่ง จากนั้นก็สบถอย่างหัวเสีย “เจ้าเด็กสารเลว! ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า! เห็นมั้ย! แม่นางหน้าอกตูมคนนั้นลุกไปแล้ว! เฮ้อ ยากนักที่จะหาหญิงสาวที่มีตรงนั้นสะบึ้มขนาดนี้ บิดามันเถอะ! เดี๋ยวนะ! ทำไมเจ้าเป็นผู้ชาย? ตาแก่โจวบอกว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่งไม่ใช่เรอะ!” ในขณะที่เขากล่าว เขาก็คว้าคอโจวเหว่ยชิงเข้ามา ใกล้เพ่งดูใกล้ๆ

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “เฮะๆ นี่คงจะเป็นท่านอาวุโสหลัวเขอตี้สินะขอรับ พวกเรามี 2 คนขอรับ อีกคน เป็นผู้หญิง ส่วนข้าเพิ่งจะมาเข้าร่วมภายหลัง แม่ทัพโจวบอกให้พวกเราทั้งคู่ตามหาท่านด้วยกัน”

“หืม สรุปว่ามีหญิงงามอยู่ด้วยจริงๆ สินะ! หึๆๆ งั้นนางอยู่ที่ไหนล่ะ!!!?” หลัวเขอตี้เงยหน้าขึ้นสอดส่องสายตา     หาหญิงงามอีกคนทันที

โจวเหว่ยชิงกระพริบปริบๆก่อนจะคิดกับตัวเองในใจว่า: ท่านผู้นี้สรุปแล้วเป็นคนแบบไหนกันแน่? นี่ใช่ เอ่อ หน่วย เกาทัณฑ์สวรรค์ผู้น่าเคารพนับถือที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เคยพูดถึงจริงๆหรือ? ทำไมเขาช่างมีนิสัยละม้ายคล้ายคลึงกับตาแก่ แปลกประหลาดคนนั้นเหลือเกิน! แม้เขาอาจไม่ได้พูดจาหยาบคายเหมือนกับตาแก่นิสัยเสียคนนั้น แต่เขาก็ยังเป็นคนที่มี นิสัยเปิดเผยและตรงไปตรงมามากเกินไปจริงๆ

โจวเหว่ยชิงหันไปโบกมือให้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก่อนจะกวักมือเรียกให้เธอมาหาเขา ในไม่ช้าเธอก็เดินตรงมา ทางนี้ ขณะที่กำลังจะก้าวถึงตัวพวกเขานั่นเอง โจวเหว่ยชิงก็พลันได้ยินหลัวเขอตี้พูดพึมพำกับตัวเอง “ไม่เลว ไม่เลว อืม แต่ ว่าแค่ 33 นิ้ว เฮ้อ นั่นยังไม่ใช่แบบที่ข้าชอบสักเท่าไหร่…” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาถึงบริเวณที่พวกเขายืนอยู่อย่างรวดเร็ว เธอ โค้งคำนับหลัวเขอตี้ด้วยท่าทางนอบน้อม “คาราวะท่านอาวุโส”

ทันใดนั้นดวงตาของหลัวเขอตี้ก็สว่างวาบขึ้น เขาพูดโพล่งขึ้นมาทันทีว่า “หืม!…รอยขีดข่วนบนหยกมิอาจปิดบัง เนื้อแท้! [1] ถึงแม้ว่าจะเล็กไปหน่อย แต่ก็ยังน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ดี….”

สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ขณะที่ได้ยินหลัวเขอตี้พูดว่า ‘เล็ก’ เธอก็คิดไปเองโดยธรรมชาติว่าเขากำลังพูดถึงอายุ ของเธอ แต่ทว่าโจวเหว่ยชิงกลับเข้าอกเข้าใจหลัวเขอตี้เป็นอย่างดี เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าเขากำลังพูดถึงสิ่งใด ด้วยเหตุนั้น เขาจึงรีบพูดออกมาโดยไม่ได้กระพริบตาแม้แต่น้อย “ท่านอาวุโส แม่นางตรงนั้นยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งเลยขอรับ!”

“หืม? ไหน?” หลัวเขอตี้เงยหน้าขึ้นมองตามนิ้วของโจวเหว่ยชิงทันที

โจวเหว่ยชิงชี้ไปยังหญิงนางหนึ่งที่นั่งอยู่คนเดียวบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา มีอาหารหลายจานเรียงราย อยู่บนโต๊ะแต่เธอกลับกำลังกินอาหารอยู่เพียงคนเดียว สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือแม้ว่าจำนวนโต๊ะทั้งชั้นจะเต็มเกือบ 8 ใน 10 ส่วน แต่โต๊ะในรัศมีรอบๆ เธอกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน

หญิงนางนั้นนั่งหันหลังให้กับหลัวเขอตี้และแน่นอนว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นโต๊ะของเธอมาก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเพ่งมองเข้าไปใกล้ๆ หัวใจของเขาก็ต้องสั่นไหวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นรูปร่างของเธอ ผมสีดำขลับเหยียดตรงดูงดงาม เส้นผมถูกปล่อยสยายลงมาปิดบังแผ่นหลังที่ดูบอบบางเอาไว้ อีกทั้งเธอยังสวมชุดสีเขียวที่ดูเหมือนจะทำมาจากวัตถุดิบ ชั้นเลิศ จากมุมที่หลัวเขอตี้มองเห็น สิ่งที่ดึงดูดเขาได้มากที่สุดก็คือหน้าอกอวบอิ่มของเธอที่มีขนาด เอ่อ มหึมามาก! “อย่าง น้อยก็สัก 38 นิ้ว! สวรรค์! นั่นคือ ‘สุดยอดอาวุธสังหาร’ จริงๆ! อาจจะคัพ F ด้วยซ้ำ! ช่างเป็นทรวดทรงที่หายากและงดงาม อย่างแท้จริง!”

หลัวเขอตี้กลืนน้ำลายคงคออึกใหญ่ก่อนที่จะหันไปหาโจวเหว่ยชิงและพูดอย่างเคร่งขรึม “เฮ้ เจ้าเด็กน้อย ข้าจะ ไปจ่ายเงิน แต่พอข้าเดินผ่านโต๊ะนั่น ให้เจ้าตะโกนเรียกข้า เจ้ารู้ว่าข้าหมายถึงอะไร!” เมื่อพูดจบ เขาก็ขยิบตาให้โจวเหว่ย ชิงจากนั้นก็เริ่มเดินไปทางโต๊ะของหญิงสาวที่สวมชุดสีเขียวผู้นั้น โจวเหว่ยชิงแลกเปลี่ยนสายตาที่แสดงถึงความเข้าอกเข้า ใจให้กับเขา อย่างไรก็ตาม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับถามขึ้นมาอย่างสงสัย “เขาหมายถึงอะไรงั้นหรือ?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างมีเลศนัยและพูดว่า “เขาจะเดินผ่านโต๊ะของหญิงนางนั้น พอข้าตะโกนเรียกเขา จังหวะนั้น เขาจะหันกลับมาแล้วถือโอกาสมองนางยังไงล่ะ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มีสายตาแปลกๆขณะที่เธอกล่าวว่า “ เขา…เป็นคนที่เรากำลังมองหาจริงๆใช่ไหม? ทำไมเขาถึง เลวร้ายกว่าเจ้าอีกล่ะ…”

มาถึงตอนนี้ หลัวเขอตี้ก็ได้เดินผ่านโต๊ะของผู้หญิงชุดเขียวไปแล้ว โจวเหว่ยชิงจึงรีบให้ร่วมมืออย่างรวดเร็ว เขา ตะโกนตามหลังออกมาว่า “หลัวเขอตี้ ท่านยังเหลือเหล้าอีกครึ่งขวดที่นี่!”

เมื่อได้รับสัญญาณแล้ว หลัวเขอตี้ก็หันกลับมาด้วยท่าทางอ่อนโยนอย่างเป็นธรรมชาติ การเคลื่อนไหวของเขา ราวกับชายหนุ่มผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา จากนั้นสายตาของเขาก็หันมาประสานเข้ากับเรือนร่างของผู้หญิงชุดเขียวที่นั่งอยู่ผู้ เดียวบนโต๊ะตัวนั้น

พลันสายตาของหลัวเขอตี้ก็ดูเหมือนจะหยุดชะงักอยู่กับที่ ร่างกายของเขาแข็งทื่อไม่ไหวติง ภายในใจของเขา มีเพียงสองคำที่ดังก้องกังวานอยู่…ใหญ่มาก…สวรรค์….ช่วยข้าด้วย!…หญิงสาวชุดเขียวผู้นั้นมี ‘สุดยอดอาวุธสังหาร’ จริงๆ!

อย่างที่คาดไว้ น่าจะเป็นคัพF พระเจ้า! นั่นเป็นอาวุธร้ายแรงถึงตายได้เลยทีเดียว! อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามองเลย ขึ้นมายังใบหน้าของเธอ ปัญหาคือส่วนนั้นก็เป็นสุดยอดอาวุธสังหารเช่นกัน!

ใบหน้าซีกซ้ายเต็มไปด้วยหลุมและรอยตะปุ่มตะป่ำคล้ายกับพื้นผิวของดวงจันทร์  ส่วนใบหน้าซีกขวาก็เต็มไป ด้วยสิวเห่อแดง ริมฝีปากหนาๆ ของเธอเหยียดยาวจนเกือบจะถึงหูทั้งสองข้าง ดวงตาสะท้อนสีเหลืองหม่นออกมา สิ่งที่ น่ากลัวที่สุดคือสัดส่วนของใบหน้าที่แปลกประหลาดมาก ช่วงหัวแคบ ส่วนช่วงกรามกว้าง คางของเธอยังเต็มไปด้วยตอ หนวด… นี่มันความงามระดับเหนือไปอีกขั้น…สุดยอดอาวุธสังหารอย่างแท้จริง! ยากจะหาคนอื่นมาลอกเลียนแบบได้!

จากมุมของโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ พวกเขาเห็นได้ชัดว่าใบหน้าของหลัวเขอตี้เปลี่ยนเป็นสีแดงสลับขาว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวสลับม่วง…หน้าอกของเขาหอบสะท้อนขึ้นลงขณะพยายามปลอบประโลมจิตใจของตนเอง

ในช่วงเวลานั้นเอง ผู้หญิงชุดเขียวที่มี ‘สุดยอดอาวุธสังหาร’ ก็เงยหน้าขึ้นสบตากับหลัวเขอตี้ที่กำลังจ้องมองเธอ อยู่ เห็นดังนั้นเธอจึงชะม้ายชายตาใส่เขาด้วยท่าทางยั่วยวนก่อนจะเอ่ยปากถามว่า  “สุภาพบุรุษรูปหล่อท่านนี้ ไม่ทราบว่า อยากทานอาหารกับข้าหรือ?”

ท่าทางของหลัวเขอตี้สงบเยือกเย็นลงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ากำลังถูกเธอชักชวนจึงรีบเอ่ย ปากตอบกลับอย่างรีบร้อนว่า “ขอโทษนะแม่นางคนงาม ข้าก็อยากจะทานอาหารกับท่านเช่นกัน แต่เกรงว่าตอนนี้ข้ามีเรื่อง เร่งด่วนจะต้องไปจัดการก่อน ไว้ครั้งหน้าละกันนะ” พูดจบเขาก็หันไปมองโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และพูดอย่าง เฉยเมย “ข้าจะไปรอเจ้าสองคนข้างนอก” เขาหันหลังกลับและออกไปด้วยท่าทางราวกับสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยนและมีเสน่ห์ เหลือล้น แม้ว่าท่าทางของเขาจะดูเงียบสงบมาก แต่โจวเหว่ยชิงก็ทันได้เห็นว่าเขาพยายามสาวเท้ายาวๆ และเดินให้เร็ว กว่าเดิม และทันทีที่เขาไปถึงประตูทางออกโรงเตี๊ยมตี้ฮ่าว โจวเหว่ยชิงก็ได้ยินเสียงเขาสบถออกมา

โจวเหว่ยชิงเผยรอยยิ้มที่ดูงดงามและซื่อสัตย์ของเขาออกมา ก่อนจะหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์และกล่าวว่า “ดูเหมือนผู้อาวุโสหลัวคนนี้จะไม่ค่อยสบาย! ปิงเอ๋อร์ พวกเรารีบไปกันเถอะ อย่าหันกลับไปเชียว!” ขณะที่พูดเขาก็ดึง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไปยังทางออกพลางคิดกับตัวเองว่า หึ ตาแก่นี่! กล้าคิดลามกกับภรรยาในอนาคตของข้า เจ้าสมควรโดน ลงโทษแล้ว! ฮึ่ม!

หลังก้าวออกจากโรงเตี๊ยมพวกเขาก็ทันได้เห็นหลัวเขอตี้กำลังนั่งยองๆอยู่ที่มุมทางออกพร้อมกับอาเจียนออกมา กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งไปในอากาศ เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งจะอาเจียนทุกอย่างที่เพิ่งทานเข้าไปทั้งหมด

โจวเหว่ยชิงดึงมือซ่างกวนปิงเอ๋อร์เข้าไปหาเขาพร้อมกับรอยยิ้มซื่อๆอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แม้ซ่างกวนปิง เอ๋อร์จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เธอก็ยังคาดเดาได้บางส่วน เธอจึงพูดขึ้นมาเบาๆว่า “อ้วนน้อย นี่มันหมายความว่ายัง ไง!”

โจวเหว่ยชิงเอ่ยตอบเบาๆ “ก็อย่างที่โบราณเขาว่าไว้นั่นแหละน้า หนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่ง นั่นไม่ใช่สิ่งที่ ยุติธรรมหรือ? ข้าสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่บิดาของข้าพูดเกี่ยวกับหลิวต้าวไร้ผู้ทัดเทียมคนนี้จริงๆ หรือว่าหลิวนี้จะมาจากหลิว หมาง(อันธพาล)[2]กันแน่”

หลังจากนั้นไม่นาน หลัวเขอตี้ก็ผงกหัวขึ้นมา ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาก็ทำ ท่าทีราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลัวเขอตี้เดินเข้ามาใกล้กับพวกเขา 2 คน ก่อนจะยิ้มแย้มและเอ่ยกับโจวเหว่ย ชิงว่า “น้องชาย แม่นางคนนั้นคือคนที่เจ้าเรียกว่า ‘ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่ง’ รึ?”

การแสดงออกทางสีหน้าของโจวเหว่ยชิงนั้นดูซื่อสัตย์และไร้มารยามาก เขาร้องตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งสับสนว่า “ใช่ ขอรับ! ตอนที่ข้าเดินผ่านนางเมื่อสักครู่นี้ ข้าก็ตกใจมากเช่นกัน ผู้หญิงที่อัปลักษณ์ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งเช่นนี้ ท่านว่าจะ หาที่ไหนพบได้อีกเล่า? เอ๊ะ ท่านอาวุโส ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? กระเพาะท่านไม่ค่อยดีหรือ?” สีหน้าของหลัวเขอตี้ดู ค่อนข้างบึ้งตึง เขาถอนหายใจเบาๆ ขณะที่พูดว่า “อืม! ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งจริงๆ!!!…ฮึ่ม!…เอาล่ะ…เจ้าทั้งคู่ ตามข้ามา” พอพูดจบ เขาก็เดินนำไปยังประตูทางออกของเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์

เมื่อมองเห็นสีหน้าอาฆาตแค้นของหลัวเขอตี้ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกราวกับว่าตนเพิ่งถูกงูพิษกัดจนต้องหนาวสั่นไปถึง กระดูกสันหลัง เขาพลันขบคิดในใจว่า ตอนนี้ใบหน้าของหลัวเขอตี้ผู้นั้นก็ดู ‘ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่ง’ เช่นกัน!!

หลัวเขอตี้เดินนำไปช้าๆ เขานำทั้งคู่เลี้ยวซ้ายออกจากเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ไปเป็นระยะทางประมาณ 500 เมตร ก่อนที่จะหยุดลงในที่สุด

เมื่อหันกลับมา เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึม “เจ้าทั้งคู่มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ใช่ไหม? เจ้า สองคนควรรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าร่วมกับหน่วยของพวกเรา ไม่ว่าตัวตนหรือสถานะที่แท้จริงของเจ้าคืออะไร ไม่ว่าเจ้า จะมีภูมิหลังแบบไหน หากต้องการเข้าร่วมหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เจ้าต้องผ่านการทดสอบทั้ง 3 ด่านไปให้ได้ก่อน ส่วนข้า จะเป็นผู้คุมสอบให้กับพวกเจ้า

หลัวเขอตี้ในตอนนี้ดูเหมือนจะเอาจริงเอาจังมาก เมื่อรวมกับรูปลักษณ์ที่สุภาพหล่อเหลาของเขา นั่นจึงเป็นเรื่อง ยากที่จะเชื่อมโยงหลัวเขอตี้กับคนป่าเถื่อนที่พูดจาลามกก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงก็สัมผัสได้ถึงอันตรายบาง อย่างจากร่างของหลัวเขอตี้ บางอย่าง…ที่คล้ายคลึงกันกับเขา นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดว่าบุคคล ผู้นี้สามารถควบคุม อารมณ์ของตนได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเล่นละครได้เก่งมาก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ท่านอาวุโส แล้วเราจะทดสอบอย่างไรหรือ?”

หลัวเขอตี้กล่าวตอบ “การทดสอบนั้นง่ายมาก ตอนนี้ให้พวกเจ้าเดินไปข้างหน้า 300 หลาและหันกลับมายิงธนู ใส่ข้า พวกเจ้าแต่ละคนจะได้รับลูกธนูคนละ 10 ดอก พวกเจ้าจะต้องทำให้ข้าขยับขาออกจากตำแหน่งที่ข้ายืนอยู่ หรือไม่ ก็ทำให้ข้าขยับตัวปัดป้องลูกศรของพวกเจ้าทิ้งไป หากทำได้ พวกเจ้าถึงจะผ่านด่านนี้ไปได้”

เดิมทีซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น เธอจึงรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ท่านผู้อาวุโส โปรดชี้แนะข้าด้วย” เมื่อเธอพูดจบ เธอก็ดึงโจวเหว่ยชิงวิ่งไปด้านหน้าทันที

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงวิ่งตามเธอไป เขาก็กล่าวว่า “คนผู้นั้นช่างให้ความรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก ข้ารู้สึก ทะแม่งๆ อย่างไรชอบกล ปิงเอ๋อร์ เจ้าควรระวังตัวให้ดี”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างสงสัยว่า “ผู้อาวุโสหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ได้อุทิศตนให้กับอาณาจักรของเราอย่าง กล้าหาญ พวกเขานับว่าเป็นวีรบุรุษของพวกเรา เพราะฉะนั้น อ้วนน้อย เจ้าคิดมากเกินไปหรือเปล่า? ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโส อาจดื่มมากเกินไป นั่นจึงทำให้เขาสูญเสียการควบคุมตัวเองไปบ้าง ดูสิ ตอนนี้เขาดูดีขึ้นมากหลังจากอาเจียนเอาเหล้า พวกนั้นออกมาจนหมด เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรอกหรือ?”

โจวเหว่ยชิงยักคิ้วแล้วกล่าวว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะคิดถูก”

เมื่อพวกเขามาถึงบริเวณที่ทำเครื่องหมายกำกับไว้ว่า 300 หลา ทั้งคู่ก็พลันหันกลับไปมองหลัวเขอตี้ ในระยะทาง ดังกล่าว รูปร่างของหลัวเขอตี้กลายเป็นจุดเล็กๆที่อยู่ในระยะไกลๆ แต่ทว่าพวกเขาทั้งคู่ก็เป็นผู้จ้าวมณีสวรรค์ ดังนั้นวิสัย ทัศน์ของพวกเขาจึงดีกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปมาก ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงสามารถมองเห็นหลัวเขอตี้ที่อยู่อีกฝั่งได้อย่างชัด เจน

“เจ้าทั้งสองคนผลัดกันยิง แม่นางน้อย เจ้าเริ่มก่อน” เสียงของหลัวเขอตี้ดังมาถึงหูของพวกเขา แม้ว่าจะไม่ดังมาก แต่ก็ยังได้ยินชัดเจน โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์แลกเปลี่ยนสายตากันด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นระยะทางไกลถึง 300 หลา! การทำเช่นนั้นได้ เขาจะต้องมีพลังปราณสวรรค์อยู่ในระดับที่สูงมาก!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถอดธนูอุษาม่วงออกมาจากด้านหลังของเธอ จากนั้นก็ปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมา ทันทีมณี ยุทธ์ดวงแรกเคลื่อนตัวออกมา มันก็กลิ้งลงไปยังฝ่ามือของเธอ แสงสีเขียวสว่างวาบ จากนั้นศรติดตามไร้เสียงก็ปรากฏขึ้น บนมือของเธอ

…………………………………………………

[1] 瑕不掩瑜 รอยขีดข่วนบนหยกมิอาจปิดบังเนื้อแท้ แปลว่า จุดด่างพร้อยเล็กๆน้อยๆไม่สามารถจะปิดบังจุดเด่นได้

[2] 流氓 Líu Máng – แปลตรงตัวว่า กุ๊ย อันธพาล ตัวโกง

หลิงจื่อหานถอนหายใจเบาๆ และพูดว่า “พี่ชายซ่างกวนเยว่นั้นมีอายุมากกว่าท่านพี่ถังเซียน 20 ปี แต่ครั้งแรก ที่ข้าเห็นพวกเขา เขาก็ยังดูเป็นชายหนุ่มวัยกลางคนทั่วๆ ไป ในเวลานั้นท่านพี่ถังเซียนก็อายุมากกว่าข้า แต่ดูสิ ตอนนี้เธอ ก็ยังดูเด็กมากใช่ไหมล่ะ? ข้าเดาว่าอย่างน้อยระดับพลังปราณของเธอน่าจะเทียบเท่ากับบิดาของเจ้า และเช่นเดียวกับพี่ ชายซ่างกวน เขาน่าจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีระดับพลังสูงส่งเกินกว่าที่พวกเราจะจินตนาการได้ อนิจจา ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไร ขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งคู่ ตามที่ท่านพี่ถังซานเอ่ยปาก พวกเขาแยกทางกันมานานกว่า 10 ปีแล้วและเธอก็ไม่ยอมพูดอะไร เกี่ยวกับเรื่องนี้อีก”

โจวเหว่ยชิงเกาหัวพลางยิ้มออกมา เขาปลอบโยนตัวเองว่า “ไม่ว่าจะยังไง ข้าวสารก็กลายเป็นข้าวสุกแล้ว แม้ว่า พวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ข้ากังวลมากนักหรอก ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลไป สุดท้ายแล้วลูกชายของท่านก็ จะแข็งแกร่งเหมือนพวกเขา!” ในขณะที่เขาพูดแบบนั้น เขาก็กอดหลิงจื่อหานไว้ในอ้อมแขนแล้วก็หอมแก้มเธอเบาๆ

หลิงจื่อหานขยี้ผมของลูกชายก่อนจะถอนหายใจและพูดว่า “เหว่ยน้อย พ่อของเจ้าทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมาน มากมายเพื่อให้บุตรชายที่ไร้พลังเช่นเจ้าเรียนรู้วิธีปกป้องตนเอง แต่ตอนนี้เจ้ากลับมีพลังเช่นนี้ ต่อจากนี้เจ้าวางแผนจะทำ อะไรงั้นหรือ? แล้วการแต่งงานของเจ้ากับตี้ฝูหยาล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “การแต่งงานของข้ากับตี้ฝูหยา ข้าจะต้องไปคุยกับพ่อทูนหัวเกี่ยวกับเรื่องนี้…การแต่งงาน นั้นต้องให้ทั้งสองฝ่ายรักใคร่กันกลมเกลียวกัน แต่พวกเราหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้นข้ามั่นใจว่าพ่อทูนหัวจะเข้าใจและไม่ บังคับข้า เขาต้องการมอบตี้ฝูหยาให้กับข้าเพื่อตอบแทนท่านพ่อสำหรับสิ่งที่เขาทำเพื่ออาณาจักร เพื่อให้ข้าซึ่งครั้งหนึ่งเคย เป็นเศษสวะมีตำแหน่งอยู่ในอาณาจักรนี้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้ากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ก็คงไม่จำเป็น อีกต่อไป”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่แต่งงานกับตี้ฝูหยาแน่นอน ข้าได้พบกับท่านพ่อก่อนหน้านี้แล้วที่ค่ายทหาร และ เขาก็ขอให้ข้าเข้าร่วมหน่วยหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์เพื่อฝึกฝนตนเอง ดังนั้นพรุ่งนี้ปิงเอ๋อร์กับข้าจะไปรายงานตัวที่นั่น”

“หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์?” การแสดงออกของหลิงจื่อหานเริ่มแปลกประหลาดออกไปเล็กน้อย “เหว่ยน้อย เมื่อเจ้า ไปที่นั่น เจ้าอย่าได้หลงกลพวกเขาและกลายเป็นคนไม่ดีไปเสียล่ะ”

“ท่านแม่ ข้าเป็นลูกชายของท่าน ข้าเป็นคนเลวที่ถูกชักจูงได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? นอกจากนี้ ทำไมข้าถึงจะถูก หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์พวกนั้นหลอกล่อด้วย?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ

หลิงจื่อหานส่งเสียงหึในลำคอก่อนจะพูดว่า “เอาเถิด เมื่อเจ้าไปถึงที่นั่น เจ้าจะรู้เองว่าข้าหมายถึงอะไร อย่างไรก็ ตาม หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมาก เจ้าอย่าลืมกลับมาเยี่ยมข้าบ่อยๆล่ะ!”

ในวันถัดมา ขณะที่โจวเหว่ยชิงมาถึงโรงเตี๊ยมตี้ฮ่าวก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว วันนี้เขาเตรียมตัวมาอย่างดี นำเงิน ออมทั้งหมดมากับเขาพร้อมด้วยทองคำ 10 ก้อนที่มารดาของเขามอบให้ ความพิเศษของโรงเตี๊ยมตี้ฮ่าว คือการบริการ ลูกค้าทุกระดับ และอาหารของพวกเขาก็ยังเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของความอร่อย ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงวางแผนที่จะเลี้ยง อาหารดีๆ กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปฝึกในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์

เมื่อเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใกล้เข้ามา เขาก็โบกมือให้เธออย่างรวดเร็วก่อนจะร้องเรียก “ปิงเอ๋อร์ ข้าอยู่นี่!”

วันนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังคงแต่งกายด้วยชุดผ้าธรรมดา เธอมักไม่ค่อยแต่งตัวหรือแต่งหน้า แต่ทว่าความงามตาม ธรรมชาติของเธอก็ยังคงส่องประกายออกมา สิ่งที่แตกต่างจากเมื่อวานนี้ก็คือเธอมีหมวกลมเป็นของตัวเองแล้ว ตอนนี้เธอ ก็กำลังสวมมันอยู่เพื่อปกปิดใบหน้าที่งดงามของเธอ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ชอบการถูกจ้องมองโดยผู้คนจำนวนมากๆ นอก จากนี้เธอยังเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีที่เธอตัดสินใจใช้ป้องกันตัว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาหาเขา แก้มของเธอขึ้นสีแดงจางๆ ขณะที่พูดเบาๆ ว่า “เข้าไปข้างในกันเถอะ”

เมื่อมองไปยังใบหน้าที่งดงามและดูประหม่าของเธอ หัวใจของโจวเหว่ยชิงก็เต้นแรงขึ้นเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไป จับมือของเธอไว้อย่างรวดเร็ว แต่ทว่าเขากลับต้องรู้สึกทั้งประหลาดใจ และมีความสุขไปในเวลาเดียวกัน เมื่อซ่างกวนปิง เอ๋อร์ขัดขืนเขาแค่เพียงเล็กน้อยก่อนจะอนุญาตให้เขาจับมือเธอต่อไป

ทั้งคู่เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมตี้ฮ่าวในสภาพเช่นนั้น ตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวันและชั้นแรก ก็มีผู้คนจับจองอยู่ เต็มแล้วถึง 7 ใน 10 ส่วน โจวเหว่ยชิงพาเธอไปที่โต๊ะว่างและกำลังจะเรียกหาเมนูอาหาร แต่เธอกลับพูดแทรกขึ้นมาว่า “อ้วนน้อย ข้ากินอาหารมาแล้ว อย่าลืมว่าเรามาที่นี่เพื่อตามหาคน!”

โจวเหว่ยชิงมองไปยังซ่างกวนปิงเอ๋อร์และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าทานกับข้าอีกรอบได้หรือไม่? สามีที่ดีต้อง ดูแลภรรยา นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ? ข้าไม่งกเรื่องนี้หรอก มาเถอะ เรามาสั่งอาหารกัน”

ในขณะที่เขาพูด เขาก็จ้องไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และเห็นว่าเธอกำลังก้มหน้าซ่อนแก้มแดงๆ ของเธอเอาไว้อย่าง น่ารักน่าชัง เห็นได้ชัดว่าความเขินอายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่มีต่อเขานั้นเพิ่มขึ้นมากอย่างก้าวกระโดด…แน่นอนว่านั่น ย่อมเป็นผลมาจากการยอมรับของท่านแม่ยาย!

ในความเป็นจริงนั้น เขาคาดเดาได้ถูกต้อง การเปลี่ยนแปลงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่มีต่อเขานั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นผล มาจากท่าทีของถังเซียน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เติบโตขึ้นพร้อมกับมารดาของเธอโดยไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อของเธอแม้แต่ น้อย อาจกล่าวได้ว่ามารดาของเธอเป็นญาติเพียงคนเดียวของเธอ นอกจากนี้ เธอก็ยังเป็นคนกตัญญูมากอีกด้วย เมื่อถัง เซียนยอมรับโจวเหว่ยชิงเป็นลูกเขย นั่นจึงขจัดอุปสรรคสุดท้ายระหว่างพวกเขาทั้งคู่ออกไป เธอเหลือบมองไปทางโจว เหว่ยชิงอีกครั้ง ขณะนี้เธอไม่มีความกังวลใดๆ อีกต่อไป กำแพงในใจของเธอได้พังทลายลงไปแล้ว แต่โชคดีที่โจวเหว่ยชิงยัง ไม่รู้ความจริงข้อนี้ ไม่อย่างนั้นคนเจ้าเล่ห์นั่นอาจจะทำตัวได้คืบจะเอาศอกก็ได้!

โจวเหว่ยชิงสั่งอาหาร แต่ภายใต้การสังเกตของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอพบว่าเขาก็ไม่ได้สั่งอาหารมามากมายจนดู เกินงาม มีเมนูเนื้อ 2 จาน ผัก 2 จาน และข้าว 2 ชามใหญ

หลังจากนั้นไม่นาน อาหารก็ถูกนำมาวางพร้อมกับกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ “ปิงเอ๋อร์ เร็ว กินตอนที่มัน กำลังร้อนๆ เจ้าผอมเกินไป ต้องกินให้มากกว่านี้หน่อย ร่างกายจะได้โตไวๆ หึๆ” โจวเหว่ยชิงคีบอาหารวางลงในชามของ เธออย่างรวดเร็ว เขาเติมอาหารใส่ในชามข้าวของเธอจนกลายเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ

เมื่อมองเห็นท่าทีเอาใจใส่ของโจวเหว่ยชิงและอาหารที่พูนอยู่ในชามข้าวด้านหน้า  ดวงตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ แดงระเรื่อขึ้นมาทันที เธอเหลือบมองโจวเหว่ยชิงเล็กน้อยและพูดว่า “อ้วนน้อย เจ้าจะดีกับข้าแบบนี้ตลอดไปไหม?”

“เอ๋?” โจวเหว่ยชิงมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย เขาคาดไม่ถึงว่าคำพูดหยอกล้อของเขาจะทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเช่นนี้ “เจ้ากำลังคิดอะไร อยู่หรือปิงเอ๋อร์? แน่นอนว่าข้าจะดีกับเจ้าตลอดชั่วชีวิตของข้า ทำไมอยู่ๆเจ้าถึงถามล่ะ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก้มหน้าแล้วพูดพึมพำ “ท่านแม่ของข้าบอกว่าท่านพ่อทิ้งพวกเราเมื่อข้าอายุแค่2ขวบ ท่านแม่ ออกจากบ้านมาพร้อมกับข้าและย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ด้วยกัน ท่านแม่น่าสงสารมาก ข้ามักจะเห็นนางนั่งเหม่อลอย อยู่คนเดียวที่บ้าน ข้าคิดว่าท่านแม่คงจะคิดถึงท่านพ่อ ข้ากลัว กลัวว่าวันหนึ่งข้าก็จะมีจุดจบเหมือนนาง…”

เมื่อมองเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเธอ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกเจ็บปวดในใจอย่างรุนแรง เขาลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ เธอก่อนจะ โอบกอดเธอด้วยอ้อมกอดอบอุ่นของเขา “ปิงเอ๋อร์ อย่าร้องไปเลย พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อีกอย่างเรื่องของ ผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราควรเข้าไปยุ่ง แต่สำหรับข้า ข้าขอสาบานว่าข้าจะเป็นอ้วนน้อยของเจ้าตลอดไป เว้นเสียแต่ว่า เจ้าจะไม่ต้องการข้าอีกต่อไปแล้ว”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองเขาและพูดว่า “เจ้าจะเป็นหมีโง่ของข้าตลอดไปใช่ไหม?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและจูบบนหน้าผากของเธอเบาๆ การกระทำนั้นทำให้เธอเปลี่ยนจากเสียงร้องไห้เป็นเสียง หัวเราะทันที เธอแอบขยับซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอีกเล็กน้อยและพูดว่า “ทานเถอะ ก่อนที่อาหารพวกนี้จะเย็นชืด ไปหมด”

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ให้ข้ากอดเจ้าอีกสักพักก่อน แค่นั้นข้าก็อิ่มแล้ว เจ้าเป็นอาหารรสเลิศสำหรับดวง ตาของข้า เป็นอาหารที่ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงินทองเพียงอย่างเดียว! ปิงเอ๋อร์ ดูสิ… เจ้าไม่คิดหรือว่าเราควร เมินปัญหา เรื่องอายุของข้าไปก่อน?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผลักเขาออกอย่างว้าวุ่นใจและพูดว่า “หึ! ข้าให้คืบ แต่เจ้าจะเอาศอก! เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้น หรอกนะ! ท่านแม่ของข้าบอกว่าผู้ชายจะไม่รู้คุณค่าของสิ่งต่างๆหากพวกเขาได้มันมาง่ายเกินไป ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจจะ ขยายเวลาให้นานขึ้นไปอีก พวกเราจะรอจนกว่าเจ้าอายุครบ 20 ปี ถึงเวลานั้นเราค่อยมาคุยกัน!”

“ม่ายยยยยยยยยย!!” โจวเหว่ยชิงร้องโหยหวนออกมาเสียงดัง และนั่นก็ดึงดูดความสนใจของลูกค้าที่อยู่บริเวณ ใกล้เคียงทันที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อับอายมาก เธอฟาดไหล่เขาเบาๆ “รีบๆ กินเลย! เรามาที่นี่เพื่อจัดการธุระให้เสร็จ”

โจวเหว่ยชิงถามด้วยน้ำเสียงโง่งมว่า “จะมีธุระอะไรที่น่ายินดีไปกว่างานฉลองการแต่งงานของพวกเรา?”

ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ เธอกล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่หยุดพูดเรื่องไร้สาระและกินอาหารกับข้า ต่อดีๆ ข้าจะยืดเวลาออกไปอีก!”

“ข้ากินแล้วๆๆ!” โจวเหว่ยชิงโอดครวญออกมา แต่ทว่าภายในใจของเขา เขาก็ตัดสินใจไปแล้วอย่างแน่วแน่ว่าเมื่อ พวกเขาไปถึงหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เขาจะต้องหาโอกาสเหมาะๆหลอกล่อเธอให้ได้ หากมีรอบแรกไปแล้ว รอบที่ 2 รอบที่ 3 จะไม่ตามมาได้หรือ?? เมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น เขาก็ยิ้มกว้างออกมาราวกับคนบ้า

โจวเหว่ยชิงจ้วงกินอาหารของเขาอย่างรวดเร็ว ผิดกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่กำลังเคี้ยวช้าๆด้วยท่าทีสง่างาม ไม่ช้าเธอ ก็ค้นพบสาเหตุที่โจวเหว่ยชิงตักอาหารใส่ชามของเธอจนพูนในตอนแรกแล้ว นั่นเป็นเพราะขณะที่เธอเพิ่งจะกินอาหารใน ชามตนเองไปได้เพียง 1 ใน 3 ส่วน เขาก็กินอาหารที่เหลือบนโต๊ะไปแล้วทั้งหมด รวมถึงข้าวในชามของเขาจนเกลี้ยง  “อ่า เยี่ยมมาก! นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ทานอาหารอร่อยๆเช่นนี้ ถึงแม้ว่ากองทัพจะไม่ขาดแคลนอาหาร แต่ในแง่ของรสชาติมัน ก็ยังขาดแคลนความอร่อยไปมาก!” โจวเหว่ยชิงกล่าวขณะที่เขาลูบพุงไปมา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคักแล้วผลักชามไปหาเขา “ถ้าเจ้าไม่อิ่ม เจ้าก็กินส่วนที่เหลือของข้าได้ ก่อนหน้านี้ข้า กินอาหารไปแล้ว เจ้าก็รู้นิสัยของข้าดีว่าข้าไม่กินเยอะเท่าไหร่”

โจวเหว่ยชิงกระพริบตา เขาดึงชามของเธอเข้าหาตัวเองอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็สวาปามอาหารที่เหลือลงไปอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนว่าใบหน้าของเขาจะมีความสุขมากกว่าเดิม “ได้กลืนของดีๆแบบนี้ลงกระเพาะ อืม รสชาติและกลิ่นอัน หอมหวนที่เหลืออยู่ในปากเช่นนี้…” ขณะที่เขาพูด เขาก็มองไปยังริมฝีปากของเธออย่างมีเลศนัย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่สนใจคำพูดของเขาและกระซิบเบาๆว่า “อ้วนน้อย ดูสิ  นั่นใช่คนที่เรากำลังตามหาไหม?”

โจวเหว่ยชิงมองตามนิ้วของเธอและเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่มุมห้องโถง ชายผู้นี้ดูเหมือนจะมีอายุ ประมาณ 30 ปี สวมชุดสีขาวและดูหล่อเหล่ามาก ข้างหลังของเขามีเสื้อคลุมสีดำพาดอยู่ทำให้เขาดูสุภาพและสง่างาม อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนสายตาของเขาจะกำลังสอดส่องไปมาขณะที่เขามองกวาดผ่านฝูงชนที่นั่งอยู่

บนโต๊ะข้างหน้าเขามีขวดเหล้าตั้งอยู่ราวๆ 12 ขวด ถึงแม้ว่าเหล้าพวกนั้นจะเป็นเหล้าคุณภาพต่ำที่มีปริมาณ แอลกอฮอล์น้อย แต่การที่เขาดื่มเหล้าเข้าไปหลายขวดเช่นนี้ มันจึงค่อนข้างแรงเกินไปทำให้เมาได้อยู่ดี นี่คือเหตุผลหลัก ว่าทำไมซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงสงสัยว่าเขาอาจเป็นเป้าหมายของพวกเขาในครั้งนี้

เนื่องจากแม่ทัพโจวบอกให้พวกเขามองหาขี้เมาในโรงเตี๊ยมตี้ฮ่าว เป้าหมายของพวกเขาจึงน่าจะเป็นคนที่มาดื่ม ที่นี่ทุกวัน จากการสังเกตของซ่างกวนปิงเอ๋อร์  ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สังเกตได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นั้น เป็นคนที่ดื่มเหล้ามากที่สุดอย่างแน่นอน

โจวเหว่ยชิงรีบอาสาทันที “ข้าจะไปถาม” พูดจบเขาก็มุ่งหน้าไปหาชายคนนั้น เมื่อโจวเหว่ยชิงไปถึงเบื้องหน้าของ เขา เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงที่ตรงไปตรงมา “ขอโทษนะขอรับ ท่านคือหลัวเขอตี้ใช่หรือไม่?”

คนขี้เมากลอกตาและเปล่งเสียงที่แหลมเล็กออกมา “ไปซะ อย่าบังข้า! บิดามันเถอะ! ข้ากำลังดูสาวงาม…อืม คนนั้นน่าจะ 38E เฮ้ย ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ ถอยไป!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา โจวเหว่ยชิงรู้สึกมึนงงและเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว “ข้ากำลังตามหาคน แซ่หลิว หลิวที่ไม่เข้ากับคู่หู…”

………………………………..

“ทักษะธาตุ 6 อย่างงั้นรึ!” ถังเซียนจ้องมองโจวเหว่ยชิง จากนั้นเธอก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เดิมเธอก็ งดงามอย่างไม่อาจหาใครเปรียบได้แล้ว แต่ทว่าหลังเธอหัวเราะออกมา ความงามของเธอยิ่งเฉิดฉายจนสภาพแวดล้อม รอบๆตัวดูไร้สีสันไปทันตาเห็น “ฮ่าๆๆๆๆๆ…ตาแก่ซ่างกวนเยว่เอ๋ย  หึ อย่าได้ภูมิใจในความสามารถของเจ้าไปนักเลย! ไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเจ้ามีแค่ 4 ทักษะธาตุเท่านั้น!”

ขณะที่เธอพูด เธอก็จ้องมองโจวเหว่ยชิงอีกครั้ง  “เจ้าบอกว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่รู้ว่าทักษะธาตุที่ 6 คืออะไร… ถ้าอย่างนั้นเจ้าได้กักเก็บทักษะลงในทักษะธาตุที่ 6 นี้ไหม?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “อืม ข้าได้กักเก็บทักษะลงไปแล้ว ในสำนักกักเก็บทักษะ ข้าบังเอิญพบแมวน้อย ที่มี 3 ตาจ้องมองมาที่ข้า ข้าไม่รู้ว่าทักษะธาตุของแมวน้อยตัวนั้นคืออะไร แต่ข้าก็ลองกักเก็บทักษะจากมันดู ไม่คาดคิด เลยว่าจะประสบความสำเร็จเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถของมันดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์มากเท่าไหร่เพราะ ระยะการใช้งานคือ 5 หลาเท่านั้น ข้าจึงคิดว่ามันน่าจะไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าไหร่”

“แมว 3 ตางั้นหรือ?” ร่างกายของถังเซียนสั่นสะท้านเล็กน้อยขณะที่เธอกล่าว “ใช้ทักษะนั้นกับข้าซิ”

“ตกลง” โจวเหว่ยชิงพยักหน้ารับ ทักษะธาตุที่ 6 ของเขาดูเหมือนจะไม่ใช่ทักษะการโจมตี ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อย กังวลหากจะลองใช้กับถังเซียน

เมื่อวงล้อทักษะธาตุในดวงตาของเขาหมุนไปสู่ส่วนที่ไร้สี เขาก็เปิดใช้ทักษะที่กักเก็บไว้ และก็เป็นไปตามที่คาด ทักษะนี้ไม่ได้เผาผลาญพลังปราณสวรรค์ไปจำนวนมากเหมือนทักษะโซ่ตรวนวายุ

ในขณะที่ยกมือซ้ายขึ้นมา ถังเซียน หลิงจื่อหาน และซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เห็นไพฑูรย์ตาแมวสองสีบนข้อมือซ้าย ของเขาสว่างวาบขึ้นมา ลำแสงนั้นพลันขยับบิดเบี้ยวและหายไปปรากฏอยู่บนร่างของถังเซียน

ถังเซียนค่อยๆยกมือขวาขึ้นอย่างช้าๆ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “นี่คือทักษะของนักล่าที่ไร้ความ ปราณีอย่างแมวมังกร 3 ตา ทักษะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของพวกมัน หรือก็คือทักษะ ‘หน่วงเวลาสมบูรณ์’ นั่นเอง พระเจ้า! เจ้ามันสัตว์ประหลาดชัดๆ เดี๋ยวก่อน! นั่นไม่ถูกต้อง! แม้ว่าจะเป็นสำนักกักเก็บทักษะของอาณาจักรเฟยหลี่ ที่นั่นก็ไม่น่าจะมีอสูรสวรรค์ที่หายากเช่นแมวมังกร 3 ตาได้ โจวเหว่ยชิง แมวมังกร 3 ตาตัวที่เจ้ากักเก็บทักษะไว้มีสีอะไร?”

โจวเหว่ยชิงกรุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับ “ข้าคิดว่าน่าจะเป็นสีเหลือง”

ถังเซียนกล่าวด้วยสีหน้ากระจ่างแจ้งว่า “มิน่าล่ะ สำนักกักเก็บทักษะของอาณาจักรเฟยหลี่ช่างโชคดีจริงๆ พวก เขาจับลูกแมวมังกร 3 ตามาได้ แมวมังกร 3 ตาที่โตเต็มที่นั้นมีระดับพลังเหนือว่าอสูรสวรรค์ระดับเทวะเสียอีก นั่นจึงเป็น ฝันร้ายสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ส่วนใหญ่เลยทีเดียว เพราะเหตุนั้นจึงไม่ค่อยมีใครกล้าจับมัน”

ขณะที่เธอกล่าว เธอก็มองไปยังโจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้าแปลกๆ “แม้แต่ลูกแมวมังกร 3 ตา มันก็ยังเป็นถึงอสูร สวรรค์ระดับเทวะ เจ้ามีมณีเพียงแค่ชุดเดียว เหตุใดถึงสามารถกักเก็บทักษะของมันได้? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังได้รับความ สามารถพิเศษอย่างทักษะ ‘หน่วงเวลาสมบูรณ์’ อีก นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะอธิบายว่าเกิดจากโชคช่วยได้”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “บางทีแมวมังกร 3 ตาตัวน้อยอาจจะพอใจในตัวข้า มันจึงตัดสินใจมอบทักษะนี้ ให้ข้า”

หลิงจื่อหานเห็นท่าทีราวกับคนหลงตัวเองของบุตรชายแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิเขาเสียงดัง “เจ้าเด็กตัวเหม็น! ต่อ หน้าป้าถังเซียนของเจ้า เจ้ายังกล้าพูดไร้สาระอยู่อีก!”

ใครจะรู้ว่าถังเซียนกลับตอบแทนเขาว่า “ปล่อยให้เขาหลงตัวเองไปเถิด เขามีสิทธิ์ทำเช่นนั้นได้อยู่แล้ว  น้องจื่อ หานเจ้าไม่รู้หรอกว่าทักษะหน่วงเวลานั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่ตาแก่ซ่างกวนเยว่ก็ยังต้องอิจฉา”

โจวเหว่ยชิงถูจมูกของเขาแล้วถามอย่างสงสัย “แต่ท่านป้า ข้าไม่คิดว่าทักษะนี้จะมีประโยชน์มากขนาดนั้น! ขอบ เขตการใช้งานของมันแคบมาก อีกทั้งดูเหมือนว่าจะใช้งานได้แค่ 1 วินาทีเท่านั้นเอง”

ถังเซียนส่งเสียงฮึในลำคอและพูดว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร! ทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์เป็นทักษะที่แข็งแกร่งมาก มัน ถูกเรียกขานว่าเป็นทักษะที่ท้าทายอำนาจสวรรค์เลยทีเดียว แม้แต่ในบรรดาอสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิก็ยังถือว่าเป็นหนึ่ง ในทักษะชั้นยอด นอกจากนี้ เจ้าอย่าลืมว่าเจ้ายังมีมณีสวรรค์แค่ชุดเดียวเท่านั้น และทักษะที่เจ้ากักเก็บมาจะพัฒนาขึ้น เมื่อเจ้ามีจำนวนมณีสวรรค์มากขึ้น เมื่อใดที่เจ้ามีมณีครบ 6 ชุด เจ้าจะรู้เองว่าความน่ากลัวของทักษะนี้เป็นอย่างไร”

“ข้าจะให้คำแนะนำแก่เจ้า ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของทักษะหน่วงเวลาสมบูรณ์นั้นมีอยู่ 2 ข้อ … ”

“ข้อแรกคือทักษะนี้สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างง่ายดายและใช้ได้กับศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะธาตุอื่นๆ ทุกชนิด เจ้ากับปิงเอ๋อร์เป็นนักธนูทั้งคู่ ดังนั้นข้าจะยกตัวอย่างง่ายๆให้ฟัง หากศัตรูใช้อาวุธป้องกันลูกศรของเจ้า แต่ลูกธนู ของเจ้ากลับหยุดอยู่กลางอากาศเป็นเวลา 1 วินาทีก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าต่อ เจ้าเดาสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของถังเซียน โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา

ถังเซียนกล่าวต่อว่า “ข้อที่ 2 คือคำว่า ‘สมบูรณ์’ กล่าวคือจะทักษะนี้มีผลกับทุกคนอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าคู่ต่อ สู้ของเจ้าจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ไม่ว่าระดับการฝึกฝนจะแตกต่างกันแค่ไหนก็ตาม แม้ว่าเวลา 1 วินาที อาจดูเหมือนเป็น ระยะเวลาสั้นๆ แต่ในการต่อสู้ระหว่างปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่ง ช้าไปเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็อาจจะเป็นตัวตัดสินระหว่างชัย ชนะและพ่ายแพ้ ความเป็นและความตายได้เลยทีเดียว เจ้าควรจะฝึกฝนการใช้งานทักษะนี้ให้มากๆ เพราะเจ้าจะต้องใช้ ประโยชน์จากมันไปชั่วชีวิต”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ขอบคุณมากขอรับท่านป้า”

ถังเซียนดูเหมือนจะไม่ได้ยินที่เขาตอบ เธอพึมพำกับตัวเองต่อไปว่า “หากเจ้าสามารถกักเก็บทักษะหน่วงเวลา สมบูรณ์ได้จริงๆ นั่นก็แปลว่าทักษะธาตุลึกลับที่ 6 ของเจ้าคือทักษะธาตุกาลเวลา มันคือ 1 ใน 3 ทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่มี เพียงแค่เจ้าของไพฑูรย์ตาแมวสองสีเท่านั้นจึงจะมีได้ นอกจากนี้ เจ้ายังมีทักษะธาตุมิติคอยส่งเสริมอีกด้วย…”

“ทักษะธาตุลมสำหรับเพิ่มความเร็ว ทักษะธาตุสายฟ้าสำหรับสร้างความเสียหาย ทักษะธาตุมิติสำหรับการ เคลื่อนย้ายอย่างต่อเนื่อง ทักษะธาตุมืดสำหรับความลึกลับที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ทักษะธาตุปีศาจสำหรับการเติม เต็มพลังร่างกาย และทักษะธาตุกาลเวลาสำหรับจังหวะที่เหมาะสม นี่เกือบจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างยิ่ง!”

ซ่างกวนปิงเออร์ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามารดาของตนมีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้ อีกทั้งยังรู้เกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์อย่าง ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ เมื่อได้ยินมารดาของตนพูดจบ เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านแม่ ทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 คืออะไรหรือ?”

ถังเซียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 หมายถึงทักษะธาตุเทวา ทักษะธาตุวิญญาณ และทักษะ ธาตุกาลเวลา ที่จริงแล้วทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์เคยมีอยู่ 4 ชนิด ซึ่งอีกชนิดที่เหลือก็คือทักษะธาตุปีศาจ อย่างไรก็ตามเนื่อง จากทักษะธาตุปีศาจนำมาซึ่งผลกระทบในด้านลบมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่ได้จำกัดอยู่เพียง แค่ในบรรดาผู้ครอบ ครองไพฑูรย์ตาแมวสองสีเท่านั้น เพราะฉะนั้นพลังโดยรวมของมันจึงถือว่าน้อยกว่าทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 ชนิดที่ข้า กล่าวถึงก่อนหน้า และด้วยเหตุนั้นทักษะธาตุปีศาจจึงถูกลบออกจากการเป็นทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ ปิงเอ๋อร์ ข้าต้องบอกว่า เจ้าค่อนข้างโชคดีจริงๆ ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงขึ้นมาทันที เธอหันไปหยิกโจวเหว่ยชิงที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ก่อนที่จะก้มศีรษะลงด้วย ความเขินอาย

ถังเซียนมองโจวเหว่ยชิงด้วยน้ำเสียงเข้มงวดจริงจัง “โจวเหว่ยชิง ข้าต้องเตือนเจ้าไว้ แม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์และ มีความสามารถอย่างหาตัวจับได้ยาก แต่เจ้าก็ต้องตระหนักไว้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถมากเพียงใด หากไม่ตั้งใจฝึก ฝนให้หนัก เจ้าก็ไม่นับว่าเป็นตัวอะไรได้ นอกจากนี้ ก่อนที่เจ้าจะทะลวงไปถึงมณีสวรรค์ชุดที่ 6 ได้ ช่วงเวลานั้นก็ง่ายมาก ที่จะฆ่าเจ้า จ้าวมณีสวรรค์ที่มีระดับการฝึกฝนที่สูงกว่าพวกนั้นยังคงสามารถจัดการกับเจ้าได้ง่ายๆ ตอนนี้อย่างมากเจ้าก็ แค่ถูกมองว่าโดดเด่นขึ้นมาในสายตาของคนที่อยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้น”

โจวเว่ยชิงถามกลับว่า “แล้วหลังจากข้ามีมณีสวรรค์ครบ 6 ชุดล่ะ?”

ถังเซียนกล่าวตอบ “หากเจ้ามีมณีสวรรค์ครบ 6 ชุด เวลานั้นเจ้าก็น่าจะมีพลังเพียงพอจะป้องกันตัวเองได้แล้ว และหลังจากเจ้ามีมณีครบ 9 ชุด ในเวลานั้นก็ยากที่จะหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับเจ้าแล้ว”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “แฮ่ๆ ขอบคุณท่านป้ามากสำหรับคำสั่งสอนของท่าน”

ถังเซียนจ้องเขาและพูดว่า “เจ้าคบหากับลูกสาวของข้าอยู่ ทำไมเจ้าถึงยังเรียกข้าว่าป้า?”

โจวเหว่ยชิงกระพริบตาและเข้าใจในความหมายของเธอทันที เขาพูดต่ออย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงประจบประแจง “ท่านแม่…” ในขณะที่เขาพูดแบบนั้น เขาก็บ่นอยู่ภายในใจ ตอนที่ท่านมาหาข้าครั้งแรก ท่านยังกล่าวว่าข้าไม่เหมาะสม กับลูกสาวของท่าน ผ่านไปแค่ชั่วอึดใจเดียว ท่านกลับยอมรับข้าเป็นลูกเขยเสียแล้ว! ช่างเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เกินไปจริงๆ!

แน่นอนเขาย่อมไม่รู้ว่ามีเพียงคนระดับถังเซียนเท่านั้นจึงจะสามารถตระหนักได้ถึงความน่ากลัวและความยิ่งใหญ่ของผู้ที่ครอบครองทักษะธาตุ 6 ชนิดได้อย่างถ่องแท้

ถังเซียนพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจในขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองดูพวกเขาอย่างตกตะลึง เจ้าคนไร้ยางอายนี่! ผิว ของเขาหนาเกินไปจริงๆ อีกทั้งมารดาของเธอยัง…

ถังเซียนเหลือบมองลูกสาวของเธอและกล่าวว่า“ ไม่เป็นไร ตอนนี้เจ้าเรียกข้าว่าท่านป้าไปก่อนก็แล้วกัน เมื่อพวก เจ้าทั้งคู่แต่งงานกัน เจ้าสามารถเปลี่ยนมาเรียกข้าว่าท่านแม่ได้ ปิงเอ๋อร์ เจ้าต้องคอยดูเขาดีอย่าให้ใครมาฉกเขาไปจาก เจ้าได้ เมื่อพวกเจ้าทั้ง 2 คนโตกว่านี้ ในเวลาอีกไม่กี่ปีพวกเจ้าก็สามารถแต่งงานกันได้แล้ว จื่อหาน พวกเราสองพี่น้องไม่ ได้เจอกันมานานแล้ว เจ้าจะไม่เชิญพวกเราเข้าไปข้างในหน่อยหรือ?”

“อ๊ะ! ท่านพี่ถังเซียน มาเถิด เข้ามาข้างในก่อน!” หลิงจื่อหานตอบกลับอย่างรวดเร็ว ถึงตอนนี้ หากจะถามว่าผู้ใด มีความสุขที่สุด คำตอบก็ย่อมต้องเป็นหลิงจื่อหานอย่างไม่ต้องสงสัย ในความคิดของเธอนั้น ซ่างกวนเยว่และถังเซียน เปรียบเสมือนผู้ที่สืบทอดเชื้อสายเทพเจ้าลงมาอยู่บนโลกมนุษย์! เมื่อเห็นว่าลูกชายของตนจะได้แต่งงานกับลูกสาวของ พวกเขา อันที่จริง ถังเซียนดูเหมือนจะกระตือรือร้นที่จะจัดงานแต่งมาก ถ้าไม่ใช่เพราะลูกชายของเธอยังเด็ก ก็มีแนวโน้ม ว่าพวกเขาจะเป็นคนจัดงานให้ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะไม่ให้เธอมีความสุขและตื่นเต้นได้อย่างไร? แม้ว่านี่จะ เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่หลังจากได้ฟังคำพูดของเธอก่อนหน้านี้

หลิงจื่อหานก็ชื่นชอบในตัวลูกสะใภ้ในอนาคตคนนี้เสียแล้ว  นอกจากนี้เธอก็ยังเคยได้ยินชื่อเสียงของหญิงสาวที่ งดงามที่สุดในอาณาจักรมาหลายครั้งแล้วด้วย

เมื่อเห็นว่าทั้งมารดาของตนและถังเซียนเข้าไปในบ้านแล้ว ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป เขายื่น มืออกมาเท้าเอวแล้วเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่งด้วยความดีใจ “วะฮ่าๆ! ภรรยา ตอนนี้เจ้าหนีข้าไปไม่พ้นแล้ว! แม้แต่ท่านแม่ ยายยังเห็นดีเห็นงามด้วยขนาดนี้!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้แต่หวังว่าตอนนี้จะมีหลุมเปิดออกแล้วกลืนเธอลงไป เธอเตะเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะวิ่งหนีไป

ถังเซียนและหลิงจื่อหานคุยกันจนดึกดื่น ก่อนถังเซียนจะกลับไป พวกเขาทั้งคู่ก็ตกลงปลงใจกันว่าจะมาพบปะ กันให้บ่อยขึ้น

หลังจากที่มารดาของเขามองส่งถังเซียนกลับไปแล้ว ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็วิ่งเข้าไปในห้องของเธอก่อนจะถาม ด้วยความสงสัย “ท่านแม่ ท่านรู้จักกับท่านแม่ยายในอนาคตของข้าได้อย่างไร? จากปฏิกิริยาของท่านดูเหมือนว่านางจะ มีพลังมากกว่าท่านพ่อใช่หรือไม่?”

หลิงจื่อหานอารมณ์ดีมากในตอนนี้ เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย! เจ้าโชคดี เหลือเกิน!”

“ในปีนั้น ข้าเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ขณะนั้นข้าได้พบกับอสูรสวรรค์ริมฝั่งแม่น้ำและเกือบจะต้องตายตรงนั้นแล้ว โชคดีที่ข้าได้รับการช่วยเหลือจากท่านพี่ซ่างกวนเยว่และท่านพี่ถังเซียนที่เดินทางผ่านมา ในเวลานั้นบิดาของเจ้ายัง คงเรียนอยู่ในโรงเรียนเจ้ามณีและไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน อีกทั้งในเวลานั้นเรายังไม่ได้แต่งงานกัน เพื่อตอบแทนพวกเขา ข้าเชิญ พวกเขากลับไปที่บ้านของข้าเพื่อพักผ่อน พวกเขาชอบบรรยากาศรอบๆบ้านของท่านตาเจ้ามาก พวกเขาจึงพักอยู่กับพวก ข้าระยะหนึ่ง ข้าไม่รู้ต้นกำเนิดของพวกเขา แต่ข้ารู้ว่าพวกเขามีพลังมหาศาลอย่างแน่นอน ข้าไม่รู้ระดับพลังปราณที่แน่นอน ของท่านพี่ถังเซียน แต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ขณะที่พี่ชายซ่างกวนฆ่าอสูรสวรรค์ เพื่อช่วยข้า มณีธาตุรอบข้อมือของเขามีสีคล้าย กับของเจ้ามาก แต่เขามีมณีเช่นนั้นถึง 10 ชุด!”

“10 ชุด?!” ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเบิกกว้าง เขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความแตกตื่น จ้าวมณีสวรรค์ที่มี ไพฑูรย์ตาแมวสองสี 10 ชุด! เขาจะมีพลังมหาศาลขนาดไหนกันนะ? ขนาดบิดาของเขา ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร เกาทัณฑ์สวรรค์ยังมีมณีสวรรค์เพียง 8 ชุดและมีทักษะธาตุเพียงแค่ชนิดเดียวด้วยซ้ำ หากเมื่อ 20 ปีที่แล้วเขามีมณีสวรรค์ 10 ชุด ซึ่งนั่นก็เกินระดับเทวะไปแล้วด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้ใครจะรู้ว่าระดับพลังของเขาเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ โจวเหว่ยชิงสั่น สะท้าน เขาไม่เคยคาดคิดว่าบิดาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะทรงพลังมากถึงขนาดนี้!

……………………………………………

“เจ้าจะปลิดชีวิตตัวเอง หรือจะให้ข้าช่วยจัดการให้?” แม่ยายในอนาคตของเขา ลากซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาที่หน้า ประตูบ้าน และสิ่งแรกที่เธอพูดก็คือสิ่งนี้ นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แม้ว่าเขาจะเดาได้ว่าแม่ยายใน อนาคตของเขาอาจจะโกรธมาก หลังจากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะกล้ามาหาเขา ด้วยตัวเองเช่นนี้

เมื่อมารดาของโจวเหว่ยชิงมองเห็นมารดาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอก็รู้สึกราวกับว่าตนถูกสายฟ้าฟาดเข้าอย่างจัง เธอยืนทื่ออยู่ที่เดิมด้วยอารามตกใจและมีสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านแม่!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รีบวิ่งมาขวางมารดาของตนเองอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ท่านแม่ ฟังข้าก่อน! ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด นั่นไม่ใช่ความผิดของอ้วนน้อย!” แม้ว่าเธอจะรู้ชื่อที่แท้จริงของโจวเหว่ยชิงแล้ว แต่เธอก็ยังเคย ชินกับการเรียกเขาว่าอ้วนน้อย

วันนี้ขณะเธอกลับถึงบ้าน แม่ของเธอก็ได้ค้นพบว่าเธอได้เปลี่ยนจากเด็กสาวเป็นหญิงสาวเรียบร้อยแล้ว แม่ที่ใจ ดีและอ่อนโยนผู้นั้นโมโหมากและบังคับให้เธอสารภาพว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นเธอก็ถูกลากมาจนถึงคฤหาสน์ของแม่ ทัพโจวมารดาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเย็นชา “ฆ่าคนโดยบังเอิญก็ยังหมายความว่าฆ่าคนอยู่ดี

เจ้าเป็นใครถึงกล้าใช้ความบริสุทธิ์ของลูกสาวข้าเป็นเครื่องสังเวยปลุกมณีสวรรค์ของเจ้า? โจวเหว่ยชิงหากเจ้า ยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ เจ้าควรรีบฆ่าตัวตายต่อหน้าข้าเพื่อรับผิดชอบการกระทำของเจ้า!”

เมื่อได้ฟังคำพูดของเธอ โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธขึ้นมาเช่นกัน “ท่านน้า ท่านอย่าได้กังวลไป ข้าจะ ต้องรับผิดชอบปิงเอ๋อร์อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ข้าก็จะไม่บ่ายเบี่ยงเด็ดขาด ข้าได้พรากสิ่งที่มีค่าของเธอมาแล้ว  แต่ข้าจะไม่ฆ่าตัวตายต่อหน้าท่านเด็ดขาด นั่นไม่ได้ช่วยแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย ทั้งยังเป็นการทำร้ายปิงเอ๋อร์อีก ด้วย ข้าจะใช้ทั้งชีวิตของข้าเพื่อตอบแทนเธอ รักเธอและดูแลเธอ”

มารดาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเหยียดหยาม “เจ้านะรึ!? เจ้าคิดว่าสารรูปอย่างเจ้าเหมาะสมกับบุตรสาว ข้าแล้วหรือ!?”

“ท่านแม่!!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กังวลเป็นอย่างมาก ฝั่งหนึ่งคือมารดา ส่วนอีกฝั่งก็เป็นผู้ชายที่เธอตกลงใจด้วยการ ต้องเป็นคนกลางเช่นนี้ทำให้เธอปวดใจมาก

โจวเหว่ยชิงมองไปที่มารดาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ท่านพูดถูก ข้ารู้ว่าด้วยรูปร่างหน้าตา ของข้า ข้าอาจจะไม่เหมาะสมกับปิงเอ๋อร์เท่าใดนัก แต่ท่านคิดว่าผู้ชายรูปร่างหน้าตาดีพวกนั้นจะทำอะไรเพื่อเธอได้บ้าง? พวกเขาจะปฏิบัติต่อเธออย่างดีหรือไม่? ข้าสามารถเป็นหมีให้เธอได้ ในวันธรรมดาข้าจะเป็นหมีโง่ตัวใหญ่ นอนนิ่งๆ ทำตัว โง่ๆ แต่ดูน่ารักให้ปิงเออร์กอดข้าเพื่อความอบอุ่นหรือใช้ข้าต่างหมอน ในฤดูหนาวอันแสนโหดร้าย เมื่อพวกเราไม่มีอะไรจะ กิน ข้ายินดีที่จะเสียสละ เฉือนเนื้อตัวเองเป็นอาหารสำรองให้เธอ ในยามที่อันตรายมาเยือน ข้าก็จะยืนหยัดต่อสู้และกลาย เป็นสัตว์ร้ายที่เหี้ยมโหดเพื่อเธอ” เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง เธอก็คล้ายถูกคำพูดของเขาแทรกซึมทำ ให้รู้สึกอ่อนไหว ดวงตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ฉายชัดถึงความมั่นใจในตัวเขา

เมื่อมารดาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ยินคำพูดของเขา ร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านไปเล็กน้อยการแสดงออกของ เธอพลันเปลี่ยนไปทันที ดวงตาที่เคยจ้องมองเขาอย่างโหดเหี้ยมก็ดูเหมือนจะอ่อนลงเล็กน้อย ราวกับว่าเธอเพิ่งจะระลึก ถึงเรื่องบางอย่างที่ไม่อยากนึกถึงขึ้นมา จากนั้นไม่นาน กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวก็แผ่ออกมาจากร่างของเธอ และนั่นเป็น สิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่เคยสัมผัสมาก่อน

“หึ! เล่นลิ้นเก่งดีนัก งั้นจงแสดงให้ข้าดูว่าเจ้ามีอะไรให้ลูกสาวข้าพึ่งพาได้บ้าง” ขณะที่เธอพูดดวงตาของเธอก็มี แสงวาบผ่านขึ้นมา เธอกวาดมือซ้ายขึ้น จากนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ก็ถูกผลักออกไปด้านข้าง และพบว่าตนเองไม่สามารถ ขยับได้ เธอตาค้างอย่างตกตะลึงเนื่องจากไม่เคยรู้มาก่อนว่ามารดาของตนมีพลังที่น่ากลัวเช่นนี้

วินาทีต่อมา หญิงวัยกลางคนผู้งดงามก็มาปรากฏตัวต่อหน้าโจวเหว่ยชิง มือของเธอกำลังพุ่งเข้าหาไหล่ของเขา แม้ว่าการพูดจาของเธอจะฟังดูรุนแรงและป่าเถื่อน แต่เธอก็รู้ว่าตอนนี้ลูกสาวของตนกำลังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กหนุ่ม คนนี้ อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดี เพราะฉะนั้นหากเธอคิดจะระบายความโกรธกับเขาเสียหน่อย เธอก็รู้สึกว่าตน เองไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปแม้แต่น้อย

โชคดีที่โจวเหว่ยชิงฝึกฝนอย่างหนักหน่วงในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ดังนั้นเมื่อเขาถูกจู่โจมกะทันหันเช่นนี้ เกราะเทพอมตะที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังของเขาจึงถูกเปิดใช้งานทันที หลุมดำพลังปราณทั้ง 5 ของเขาเริ่มหมุนด้วยความเร็ว สูงสุด จากนั้นมณีสวรรค์ของเขาก็ปรากฏขึ้นเหนือข้อมือ ทันใดนั้นแสงสีเงินสว่างวูบขึ้นมา เขาเผลอใช้ทักษะเคลื่อนย้าย พริบตาเพื่อหลบหลีกการโจมตีของมารดาซ่างกวนปิงเอ๋อร์โดยไม่รู้ตัว

โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าขนอ่อนทั่วทั้งร่างกายของเขากำลังลุกชันและไอเย็นสายหนึ่งก็ไหลลงมาตามแนวกระดูกสัน หลัง เขารู้สึกว่าหากร่างกายของเขาปะทะเข้ากับแรงโจมตีเมื่อสักครู่ เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสแน่ หญิงวัย กลางคนผู้งดงามคนนั้นดูค่อนข้างบอบบาง แต่ความกดดันที่เธอมอบให้เขานั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่พบเจอที่ไหนมาก่อน แม้แต่ ตอนที่บิดาของเขาพยายามจะทุบตีเขาอย่างจริงจัง บิดาของเขาก็ยังไม่แผ่รังสีกดดันออกมาน่าหวาดกลัวขนาดนี้

“ฮึ!? ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา?!” หญิงวัยกลางคนมองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาประหลาดใจ ปกติแล้วการที่เขา จะหลบหนีจากการโจมตีที่เปลี่ยนทิศทางได้ของเธอเช่นนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก

“ช้าก่อน!” ขณะเดียวกันนั้นเอง อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ เป็นหลิงจื่อหานนั่นเองที่ตื่นขึ้นมาจากอาการ ตกตะลึง เธอก้าวไปข้างหน้าเพื่อขวางทางลูกชายของเธอเอาไว้และพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ท่าน…ท่านคือพี่ถังเซียนใช่หรือ ไม่?”

เมื่อหลิงจื่อหานพูดประโยคนั้นจบ ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจวเหว่ยชิง เขา คิดในใจว่า จริงๆ แล้วท่านแม่ของเขาดูแก่กว่าผู้หญิงคนนี้อย่างน้อย 7-8 ปีด้วยซ้ำ ที่แปลกยิ่งกว่าคือพวกนางรู้จักกัน! ถัง เซียนมองไปยังหลิงจื่อหานด้วยสีหน้างงงวย เธอกล่าวว่า “ท่านคือ…?”

หลิงจื่อหานรีบพูดอย่างกระตือรือร้นขณะที่เธอก้าวเข้าไปหาอีกคน “ท่านพี่ถังเซียน! ดูให้ดี นี่ข้าเอง จื่อหาน! เมื่อ หลายปีก่อน ท่านกับพี่ชายซ่างกวนช่วยชีวิตข้าไว้ที่ริมแม่น้ำหลุมมังกร ท่านยังพักอยู่ที่บ้านของข้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน ใน เวลานั้นท่านบอกว่าท่านชอบสภาพแวดล้อมของบ้านของข้ามากอีกด้วย ตอนนั้นข้ายังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ และชุยหนิว ก็กำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนเจ้ามณี” ดวงตาของถังเซียนเผยความประหลาดใจและดีใจออกมาขณะที่เธอพูดว่า “เจ้าคือจื่อ หานตัวน้อยหรือ? ดูเหมือนว่าเรื่องราวทั้งหมดเพิ่งเกิดเมื่อวาน แต่จริงๆ แล้วกลับผ่านไปถึง 20 ปี”

หลิงจื่อหานจับมือของถังเซียนและพูดว่า “ใช่! ข้าเอง! เวลาผ่านไปถึง 20 ปีแล้ว ส่วนข้าก็โตขึ้นมาก แต่ดูสิท่าน พี่ถังเซียนยังคงงดงามอยู่เหมือนเดิม”

ริมฝีปากของโจวเหว่ยชิงกระตุกขึ้น เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่ามารดาของตนและท่านแม่ยายในอนาคตจะรู้จักกัน แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่พวกเขารู้จักกัน แม่ยายในอนาคตผู้นี้ดูเหมือนจะมีพลังบางอย่างที่น่าเกรงขามมาก ถ้าเมื่อสักครู่ ท่านแม่ของเขาไม่พูดแทรกขึ้นมา เขาก็คงจะต้องเผชิญหน้าปัญหาร้ายแรงแน่

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังกรุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ค่อยๆ ขยับไปด้านข้างและช่วยประคองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลุก ขึ้นมาจากพื้นอย่างเงียบๆ ในขณะนี้เธอสามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว และทั้งคู่ต่างก็แลกเปลี่ยนสายตากันด้วยท่าที ประหลาดใจ ทัฉับพลันนั้นเอง ดวงตาของถังเซียนก็เปลี่ยนไป เธอตวัดสายตาไปจ้องที่โจวเหว่ยชิง “จื่อหานน้อย เจ้าเด็ก คนนี้เป็นอะไรกับเจ้า?”

หลิงจื่อหานรู้ดีว่าพลังของถังเซียนนั้นน่าเกรงขามมาก เธอรีบกุมมือถังเซียนไว้แน่นก่อนจะกล่าวว่า “ท่านพี่ถัง เซียน นี่คือบุตรชายของข้า เขาเป็นบุตรชายของข้ากับชุยหนิว โจวเหว่ยชิงเป็นบุตรชายคนเดียวของพวกเรา เพราะฉะนั้น หากเขาทำสิ่งใดผิดไป ท่านพี่ได้โปรดลงโทษข้าแทนเถิด”

ถังเซียนสูดหายใจเข้าลึกแล้วค่อยๆ ปล่อยออกมาขณะที่เธอยังคงจดจ้องไปยังโจวเหว่ยชิงอย่างไม่ละสายตา “จื่อ หาน ถ้าเป็นเรื่องอื่นข้าอาจจะให้อภัยเขาได้ แต่ทว่าบุตรชายของเจ้าคนนี้พรากความบริสุทธิ์ของลูกสาวข้าไป ข้าจะปล่อย เขาไปได้อย่างไร?”

“หา? เขาเพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน ข้าไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหว่ยชิง มานี่แล้วคุกเข่าให้ท่านป้าถังเซียนของ เจ้าเดี๋ยวนี้” หลิงจื่อหานกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดกับโจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงปลอบตัวเองขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า คุกเข่าให้ท่านแม่ยายก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียเกียรติอะไร อย่างน้อย เธอก็ไม่ได้เป็นคนนอก

เขาก้มศีรษะ เดินไปข้างหน้าเธอแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าถังเซียน หลิงจื่อหานกล่าวต่อว่า “ท่านพี่ถังเซียนเราไม่ได้ เจอกันมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ท่านพักที่ไหน? แล้วพี่ชายซ่างกวนอยู่ที่ไหนหรือ? เขาสบายดีหรือไม่?”

“อย่าพูดถึงเขา” ถังเซียนเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวและทุกข์ทรมานออกมา “ข้าพาปิงเอ๋อร์มายังเมืองหลวงเกาทัณฑ์ สวรรค์ แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่ และข้าก็ยังคิดไม่ถึงว่าชุยหนิวที่เจ้าพูดถึงเมื่อหลายปีก่อนจะกลายเป็นแม่ทัพ โจวแห่งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์”

หลิงจื่อหานยกขาขึ้นเตะลูกชายของเธอแล้วพูดว่า “เด็กเหลือขอตัวน้อย พูดซิว่าเกิดอะไรขึ้น?”

โจวเหว่ยชิงเล่าเรื่องของเขาอีกครั้ง  ขณะที่ได้ฟังเรื่องราวจากเขา ใบหน้าของถังเซียนยังคงเย็นยะเยือกเช่นเดิม แต่ทว่าฝ่ายหลิงจื่อหานกลับตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

ฉับพลันนั้นเอง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ก้าวไปด้านข้างของโจวเหว่ยชิงและคุกเข่าลงต่อหน้าแม่ของเธอด้วย “ท่านแม่ ข้าก็ชอบอ้วนน้อยเช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นความผิดพลาดและไม่ใช่ความผิดของเขา ยิ่งกว่านั้นในสนามรบ อ้วน น้อยก็ยังช่วยชีวิตข้าไว้ถึง 2 ครั้ง เขายินดีที่จะเสียสละชีวิตของเขาเพื่อข้า ครั้งที่พวกเราถูกฝูงหมาป่าโลกันตร์ล้อมไว้ เขาก็ เสียสละตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้ข้าหลบหนีไป ท่านแม่ ในชีวิตของข้า ข้าคงจะไม่สามารถชอบผู้ชายคนอื่นอีกแล้ว ถ้าท่านฆ่า เขา ท่านต้องฆ่าข้าด้วย”

คำพูดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำให้ทั้งโจวเหว่ยชิงและหลิงจื่อหานซาบซึ้งไปด้วย ความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นภายใน หัวใจของโจวเว่ยชิงเกือบทำให้เขาสูญเสียความเยือกเย็นไป นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดยอมรับว่าเธอชอบเขาจาก ปากของเธอจริงๆ โดยเฉพาะประโยคที่เธอพูดว่าจะไม่ชอบผู้ชายคนอื่นอีก นั่นสั่นสะเทือนจุดอ่อนไหวในหัวใจของโจว เหว่ยชิงเข้าอย่างจัง ในขณะเดียวกันหลิงจื่อหานก็รู้สึกประทับใจในตัวซ่างกวนปิงเอ๋อร์มากเช่นกัน เธอคิดกับตัวเองว่าเด็ก หญิงตัวน้อยคนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้รับถ่ายทอดนิสัยโมโหร้ายมาจากมารดาของเธอ ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ

“เจ้า…” ถังเซียนขมวดคิ้วแน่นเป็นปม เธอถอนหายใจออกมาและพูดว่า “ยากนักที่จะเก็บหญิงสาววัยออกเรือน เอาไว้แต่ในบ้าน…เฮ้อ ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าจะไม่ทำอะไรเขา แสดงมณีสวรรค์ของเจ้าออกมาซิ”

แต่เดิมนั้น ถังเซียนนำลูกสาวของเธอมาที่นี่ไม่ใช่แค่เพราะอารมณ์โกรธของเธอ แต่เป็นเพราะต้องการข่มขู่และ แสดงให้เห็นถึงพลังที่เหนือกว่าของเธอด้วย ในฐานะคนเป็นแม่ เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าลูกสาวของเธอชอบโจวเหว่ยชิง จริงๆ แต่ด้วยฐานะแม่นั้นเอง เธอจึงต้องแสดงความโกรธของเธอออกมาและทดสอบจอมเจ้าเล่ห์ตัวน้อยคนนี้เช่นกัน เมื่อ สักครู่นี้ความสามารถของโจวเหว่ยชิงทำให้เธอประทับใจอยู่บ้าง และด้วยท่าท่างขอประนีประนอมของหลิงจื่อหาน นั่นทำ ให้เขาสามารถเอาตัวรอดไปจากเธอได้หวุดหวิด ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุมิติ และบางทีเขา อาจจะเหมาะสมกับลูกสาวของเธอก็เป็นได้ เธอแค่ต้องการตรวจสอบว่าทักษะธาตุทั้งหมดของเขาคืออะไร

โจวเหว่ยชิงยกข้อมือของเขาขึ้นมาแสดงมณีธาตุให้เธอดู และเมื่อถังเซียนเห็นไพฑูรย์ตาแมวที่มีสีฟ้าเหลือบเขียว ลอยวนอยู่รอบข้อมือของเขา สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา เธอจับข้อมือซ้ายของโจวเหว่ยชิงขึ้นมาก่อนจะพูด ด้วยความตกใจ “ไพฑูรย์ตาแมวสองสี?”

โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่ามือของถังเซียนแข็งราวกับคีมเหล็ก นั่นจึงทำให้เขารู้สึกเจ็บมากเมื่อเธอจับข้อมือของเขา เขา ยิ้มอย่างขมขื่นขณะพยักหน้า “ใช่! ท่านป้า นั่นคือไพฑูรย์ตาแมวสองสี”

ถังเซียนรู้สึกตื่นตระหนก เธอพูดอย่างขาดสติ “มีทักษะธาตุอะไรบ้าง?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ธาตุลม ธาตุสายฟ้า ธาตุมิติ ธาตุมืด ธาตุปีศาจ…” เมื่อเขาพูดถึงตรงนั้น เขาก็หยุดครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่ออย่างแน่วแน่ “และอีกชนิดเป็นทักษะธาตุที่ข้ายังไม่รู้จัก” ในเวลานี้ แม้แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เองก็แปลกใจ  เธอไม่รู้เช่นกันว่าโจวเหว่ยชิงมีทักษะธาตุที่ 6 ด้วย

โจวเหว่ยชิงมองหน้าเธอ เขาพยักหน้าให้อย่างขอโทษขอโพย เขาไม่อยากจะปกปิดอะไรจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ อีกเนื่องจากตอนนี้คำพูดของเธอทำให้เขาซึ้งใจเป็นอย่างมาก

………………………………

“ปิงเอ๋อร์ หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์คืออะไร? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหน่วยนี้มาก่อน?”

“เจ้าไม่รู้จักหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์หรือ?”

“ใช่ ข้าไม่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนฝึกทหารหรือโรงเรียนฝึกเจ้ามณี ดังนั้นข้าจึงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหน่วยนี้มาก่อน”

“หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ถือว่าเป็นตำนานของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราเลยทีเดียว ความจริงแล้วในอดีต อาณาจักรของเรายังไม่ได้เป็นที่รู้จักในนามอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ แต่เป็นเพราะหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ และแสนยา นุภาพของหน่วยนี้ ทำให้อาณาจักรของเราเปลี่ยนชื่อไปเป็นเกาทัณฑ์สวรรค์”

“ว้าว! แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ? เป็นไปได้ไหมที่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าบิดาของข้า?”

“ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิ่งนั้น แต่ข้าได้ยินมาว่าในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์มีสมาชิกเพียงไม่กี่คน พวกเขาทั้งหมด ล้วนเป็นนักธนูที่มีฝีมือระดับสูงส่ง และพวกเขาจะรับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิเพียงคนเดียวเท่านั้น ตามประวัติศาสตร์ที่ บันทึกไว้ เมื่อใดก็ตามที่อาณาจักรของเราตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย เพียงแค่พวกเขาลงมือ พวกเขาก็สามารถกำจัด สมาชิกคนสำคัญในกองทัพข้าศึกได้แล้ว และนั่นก็มักจะพลิกสถานการณ์ในสนามรบได้ พวกเขาจึงช่วยพวกเราทุกคนเอา ไว้เสมอมา ข้าได้ยินมาว่า แม้ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของสมาชิกแต่ละคนอาจไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่พวก เขาเชี่ยวชาญการลอบฆ่าเป็นอย่างยิ่ง ชื่อเสียงของพวกเขาถือว่าสูงส่งมาก แม้แต่บรรดาจ้าวมณีสวรรค์ ก็ยังต้องเกรงกลัว”

“ในเวลานั้นอาณาจักรคาลิเซกำลังอยู่ในจุดสูงสุดของอำนาจ พวกเขามีจ้าวมณีสวรรค์ 7 คน ในขณะที่อาณาจักร ของเรามีแม่ทัพโจวเพียงคนเดียว ขณะนั้นพวกเราจึงตกอยู่ในอันตราย เผชิญหน้ากับความสูญเสีย เนื่องจากกองทัพคาลิเซ เคลื่อนพลมาประชิดอยู่ที่ชายแดนของเรา อย่างไรก็ตาม ภายในคืนเดียว จ้าวมณีสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดจำนวน 1 ใน 4 ของอาณาจักรคาลิเซก็ต้องเสียชีวิตภายใต้ลูกศรของพวกเขา นั่นทำให้ผู้บัญชาการกองทัพคาลิเซ และจักรพรรดิของพวก เขาตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก พวกเขาสั่งให้กองทัพล่าถอยออกจากชายแดน และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แม้เวลาจะผ่าน ไปแล้ว 16 ปี พวกเขาก็ยังไม่สามารถฟื้นกำลังขึ้นมาเต็มที่เทียบเท่าตอนนั้นได้อีกเลย อาจกล่าวได้ว่าผู้อาวุโสในหน่วยเกา ทัณฑ์สวรรค์เป็นผู้ที่ช่วยปกป้องอาณาจักรของเราเอาไว้ หากเราสามารถผ่านการทดสอบ และเข้าร่วมกับหน่วยเกาทัณฑ์ สวรรค์ได้ นั่นถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

“น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นเชียว? ข้าอยากไปพบพวกเข้าแล้ว!” โจวเหว่ยชิงพูดอย่างตื่นเต้น

10 วันให้หลัง

ณ เมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์

หลังเดินทางอย่างเร่งรีบมาตลอด 10 วัน ในที่สุดโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กลับมาถึงเมืองหลวง “ปิงเอ๋อร์ เราจะไปตามหาหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ได้ที่ไหน? ตอนที่ข้าจากมา ท่านพ่อของข้าไม่ได้แนะนำอะไรเลย” โจวเหว่ยชิงถาม ขณะที่เขามองไปรอบๆ ซ้ายทีขวาที

ทั้งคู่แต่งตัวในชุดเรียบง่าย สำหรับโจวเหว่ยชิงแล้ว เนื่องจากเขามีรูปร่างหน้าตาที่ดูใสซื่อ นั่นจึงทำให้เขาสามารถ กลมกลืนไปกับฝูงชนได้อย่างดีเยี่ยม แต่ทว่าด้วยความงดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอจึงไม่อาจปกปิดตัวตนเอาไว้ได้เลย ถึงแม้ว่าเธอจะสวมใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่าย แต่เธอก็ยังคงเป็นจุดสนใจที่ทำให้คนอื่นต้องเหลียวหลังมอง  โชคดีที่โจวเหว่ยชิง ลงมืออย่างรวดเร็ว เขาสวมหมวกลมใบใหญ่ให้เธอเพื่อปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ แม้นั่นอาจจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ เพียงเล็กน้อยก็ตาม

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “แม่ทัพโจวมอบจดหมายให้ข้าและบอกให้ข้าเปิดมันเมื่อมาถึงเมืองหลวง”

โจวเหว่ยชิงถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “เอาล่ะ เปิดดูสิ เจ้าอยากจะกลับไปที่ตระกูลของข้าด้วยกันหลังจากนี้ หรือไม่? หรือข้าควรจะไปบ้านเจ้า?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยิบจดหมายออกมาจากอกของเธอและเมื่อเธอได้ยินคำพูดของเขา เธอก็อดเขินอายไม่ได้ “อ้วน น้อย ไม่ พวกเรายังเด็กเกินไป…บางทีอาจจะต้องเป็นหลังจากที่เรากลับมาจากการฝึกในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์”

เมื่อพวกเขาได้เดินทางมาด้วยกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เริ่มยอมรับในตัวโจวเหว่ยชิง แต่ สำหรับโจวเหว่ยชิง เขากลับรู้สึกว่าตนเองยังคงติดอยู่ในฝันร้าย ก่อนหน้านี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มักจะเยือกเย็นต่อเขาเสมอ เขาจึงไม่กล้าคิดอะไรเกินเลยกับเธอมากนัก แต่ทว่าในตอนนี้พวกเขามีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกันแล้ว เช่นนั้นแล้วเขา จะไม่มีความคิดอยากจะสนิทสนมกับเธอได้อย่างไร? อนิจจา เนื่องจากเขาเด็กเกินไป ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงปฏิเสธที่จะใกล้ ชิดกับเขา สิ่งที่เธอยอมให้เขาทำได้ อย่างมากที่สุดก็แค่จับมือกันหรือโอบกอดเขาบ้างนานๆ ครั้ง นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงได้ แต่คันในใจยุบยิบ แต่ทว่าเขาก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้ว

โจวเหว่ยชิงใช้สายตาร้อนแรงของเขาให้กวาดมองไปทั่วร่างกายของเธอ เขาพึมพำกับตัวเอง “เด็ก? ข้าไม่คิดว่า ส่วนนั้นของเจ้ามันเล็กไปด้วยหรอกนะ! ข้าว่ามันออกจะดูดีและสมบูรณ์แบบ…อืม…ขนาดน่าจะสัก 33 หรือ 34C ตอนนี้ เจ้าเพิ่งอายุ 16 นั่นถือว่ายังสามารถพัฒนาไปได้อีกไกล…”

“อ้วนน้อยโจว !!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คว้าหูของเขาและบิดอย่างแรง “นี่เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่?”

“เอ๋? เปล่าๆๆๆ! ข้ากำลัง…เอ่อ…พูดว่าตามกฎหมายของอาณาจักร พวกเราไม่เด็กแล้วต่างหาก อายุ 16 คืออายุ ที่ถึงวัยออกเรือนได้แล้ว เจ้าอยู่ในวัยที่เหมาะสมแล้ว ส่วนร่างกายของข้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเช่นกัน!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าขึ้นสีอีกครั้งขณะที่เธอกล่าวว่า “การที่ร่างกายของเจ้าโตกว่าวัยนั้นไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีเท่าไหร่ อ้วนน้อย ข้ายังไม่พร้อมจริงๆ ข้าอาศัยอยู่กับท่านแม่มาตั้งแต่เด็ก พวกเราพึ่งพากันและกันมาก แต่ว่าท่านแม่ข้าค่อนข้าง เกรี้ยวกราดโมโหร้าย เจ้าจะรอข้าอย่างน้อยอีก 2 ปีได้หรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “เอาล่ะ ข้าจะฟังคำแนะนำจากภรรยาสุดที่รักของข้าก็แล้วกัน”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไปทางเขา แต่เมื่อเห็นว่าเขารับฟังเธอ นั่นทำให้เธออารมณ์ดีมาก เธอจึงไม่ได้ต่อว่าเขาเรื่อง พูดจาสองแง่สองง่ามกับเธออีก ขณะที่เธอเปิดจดหมายในมือ เธอก็เห็นว่ามีข้อความเพียงหนึ่งบรรทัดเขียนอยู่ “ไปที่ชั้น แรกของโรงเตี๊ยมตี้ฮ่าว แล้วมองหาขี้เมาที่ชื่อว่าหลัวเขอตี้ บอกเขาว่า ‘ข้ากำลังมองหาคนแซ่หลิว หลิวที่ไม่เข้ากับคู่หู’ เขา จะนำเจ้าไปทำการทดสอบเพื่อเข้าสู่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งจดหมายให้โจวเหว่ยชิงดู จากนั้นพวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตากัน โรงเตี๊ยมตี้ฮ่าวเป็นสถานที่ ขึ้นชื่อที่ผู้คนในเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์รู้จักกันดี มันมีความสูง 6 ชั้น และเป็นหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุด และมีชื่อเสียง ที่สุดในเมือง สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรงเตี๊ยมนี้ก็คือมันให้ความสำคัญกับเงินทอง ยิ่งพักชั้นสูงขึ้นเท่าไหร่ ราคาก็จะสูงขึ้น เท่านั้นในฐานะที่เป็นประชาชนในเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาย่อมรู้จักที่นั่นดี

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ข้าจะกลับบ้านเพื่อไปพบแม่ของข้าก่อน พวกเรามาพบกันตอนเที่ยงที่ด้านนอกโรง เตี๊ยมตี้ฮ่าว ตกลงไหม?”

ใจของโจวเหว่ยชิงไม่อยากจะแยกจากเธอเลย เขาจึงจับมือเธอไว้แน่น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะออกมาเสียงดัง เธอพูดว่า “ดูท่าทางโง่เง่าของเจ้าสิ” เธอกางแขนและโอบกอดเขา ทว่า เมื่อเธอกำลังจะผละออก เธอก็ถูกโจวเหว่ยกอดกลับ แน่นอนว่าเขาไม่กล้าทำเกินไปกว่านี้ จึงได้แต่จูบเบาๆ บนหน้าผาก ของเธอ

เขายืนมองดูซ่างกวนปิงเอ๋อร์หายลับไปจากหัวมุมถนน โจวเหว่ยชิงควบคุมอารมณ์ของเขาให้สงบ จากนั้นก็มุ่ง หน้ากลับบ้านตนเองเช่นกัน

เรือนของแม่ทัพโจวเป็นคฤหาสน์ที่มีลานค่อนข้างเล็ก พื้นที่ทั้งหมดมีขนาดน้อยกว่า 1,000 ตารางเมตร ประกอบ ด้วยคนรับใช้ประมาณ 12 คน และไม่มียามเฝ้ารักษาการณ์แม้แต่คนเดียว หากคนทั่วไปไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง ย่อมไม่มี ใครเชื่อแน่ว่า แม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์จะมีบ้านเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตาม แม่ทัพโจวนั้นกลับบอกว่า ทหาร ควรจะตั้งใจต่อสู้ในสนามรบ ไม่ได้มีหน้าที่มาเฝ้ายาม

แม้จักรพรรดิตี้เฟิงหลิงจะยกเรื่องการปรับปรุงหรือขยายคฤหาสน์มาพูดกับแม่ทัพโจวบ่อยแค่ไหน แต่เขาก็มักจะ ปฏิเสธองค์จักรพรรดิอยู่เสมอ ในอาณาจักรนี้ ท่านแม่ทัพใหญ่โจวเป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุด ไม่ใช่เพียงเพราะเขาเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรหรือเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ แต่เป็นเพราะเขาเป็น แบบอย่างที่ดีอย่างยิ่ง ด้วยการมีผู้นำเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ระดับสูงในอาณาจักรจะริอาจคิดยักยอกเงินได้อย่างไร

“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว!” ทันทีที่โจวเหว่ยชิงเข้ามาในเขตบ้านของตน เขาก็ตะโกนเต็มเสียง

“เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย! เจ้ายังรู้ว่าต้องกลับบ้านอยู่หรือ! เจ้าได้ยินว่าพ่อของเจ้ากลับไปที่แนวหน้าล่ะสิ ถึงได้วิ่ง แจ้นกลับมาบ้านเช่นนี้? มาเถอะ ให้แม่ดูหน่อย เจ้าได้กินข้าวกินปลาบ้างหรือไม่? เจ้าผอมลงหรือ?” ทันทีที่เสียงร้องของ โจวเหว่ยชิงดังออกมา เสียงหนึ่งก็ตอบกลับทันทีพร้อมกับน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น ความรัก และความโกรธผู้ หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากลานด้านใน นางคือภรรยาของแม่ทัพโจว หรือก็คือมารดาของโจวเหว่ยชิง นั่นเอง

มารดาของโจวเหว่ยชิง หลิงจื่อหาน ไม่ใช่คนสะสวยนัก หรืออาจจะพูดได้ว่าเธองดงามกว่าคนทั่วไปอยู่เล็กน้อย เธอเป็นเพื่อนในวัยเด็กของแม่ทัพโจว และความรักของพวกเขาก็ลึกซึ้งต่อกันมาก แม้หลังจากแม่ทัพโจวมีชื่อเสียงขึ้นมา และพบว่าเส้นชีพจรของลูกชายจนอุดตัน เขาก็ยังคงไม่ยอมปล่อยให้ภรรยาให้กำเนิดลูกคนที่ 2 ทุกๆ คนจึงเห็นได้ชัดเต็ม ตาว่าเขารักภรรยาของเขามากแค่ไหน และเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงไม่ได้แต่งใครเข้ามาอีก

“ท่านแม่!!” เมื่อเห็นมารดาของเขา โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะกระโดดเข้าใส่และกอดเธอไว้แน่น

เดิมทีหลิงจื่อหานโกรธโจวเหว่ยชิงมากเรื่องที่เขาหนีออกจากบ้าน แต่ด้วยอ้อมกอดแนบแน่นนั่น ความโกรธส่วน ใหญ่ของเธอจึงทุเลาลงไปมาก เธอยกมือขึ้นเคาะหัวโจวเหว่ยชิงและดุเขา “เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย! เจ้าคิดว่าปีกของเจ้า พร้อมที่จะสยายออกไปแล้วหรือ? ถึงกับกล้าหนีออกจากบ้านไปจริงๆ! หึ ข้าว่าคงไม่ใช่แค่เรื่องแอบดูเจ้าหญิงอาบน้ำ ใช่หรือไม่? นั่นมันเรื่องใหญ่ขนาดนั้นหรือ? ตี้ฝูหยา ผู้หญิงคนนั้นเป็นคู่หมั้นของเจ้า แค่มองนางอาบน้ำเจ้าจะมีความผิด อะไรได้! นางได้เสียเลือดเสียเนื้อไปแม้แต่นิดหรือ ก็ไม่! ทำไมเจ้าต้องหนีไปด้วย!?” หากซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ที่นี่เธอจะต้อง ตกใจกับความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของหลิงจื่อหานอย่างแน่นอน

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ ไม่ใช่เพราะท่านพ่ออยู่บ้านหรอกเหรอ? หากเขาไม่อยู่บ้านข้าก็คงไม่หนีไป หรอก”

หลิงจื่อหานส่งเสียงหึ “แล้วถ้าเขาอยู่บ้านจะเป็นอะไร? ทำอย่างกับว่าเขาจะทุบตีเจ้าจนตายพ่อของตีเจ้าเพื่อตัว เจ้าเอง ทุกครั้งที่เขาฟาดเจ้า เจ้าก็ยังแข็งแรงดีอยู่ไม่ใช่หรือ? แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถฝึกพลังปราณสวรรค์ได้ แต่เมื่อเขา ฟาดเจ้า เขาก็จะใช้พลังปราณสวรรค์ฟื้นฟูร่างกายให้เจ้าเสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนั้น หากตาแก่คนนั้นทุบตีเจ้าอย่างไม่มี เหตุผล ข้าก็คงจะจัดการเขาไปแล้ว!”

โจวเหว่ยชิงจ้องมองมารดาของเขาอย่างตกตะลึง แน่นอนว่าตอนนี้เขารู้ว่าบิดาของเขาอดทนกับเขามามากเพียง ใด การทุบตีของบิดาไม่เพียงแต่จะสั่งสอนเขาให้รู้ผิดชอบชั่วดี แต่ก็ยังช่วยฝึกความอดทนของร่างกายเขาด้วย อย่างไรก็ ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าบิดาของเขารักเขามากแค่ไหน เขาก็มักจะคิดว่ามารดาของเขารักเขามากกว่าเสมอ แต่เมื่อเขาได้ ฟังคำพูดของมารดา ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าความรักของบิดาที่มีต่อเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าผู้เป็นมารดาเลย ถึงแม้เขาจะ ไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนก็เถอะ

ทันใดนั้น เสียงตะโกนอย่างโกรธแค้นก็ดังขึ้นมาจากนอกคฤหาสน์ เสียงนั่นทำให้เขายืนหยุดชะงักด้วยความ ตกใจ และรู้สึกสับสนจนพูดไม่ออก

“โจวเหว่ยชิง! ออกมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”

เสียงนั้นมีพลังมากและทำให้โจวเหว่ยชิงสะดุ้ง แม้แต่หลิงจื่อหานที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ยังตกใจไปกับเขาด้วย เธอคิดในใจว่า เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้เพิ่งกลับมาถึงบ้าน เขาจะทันไปหาเรื่องใครได้เร็วขนาดนี้? “เกิดอะไรขึ้น? นั่นใครน่ะ เด็กเหลือขอตัวน้อย?” หลิงจื่อหานถามอย่างสงสัย

ความจำของโจวเหว่ยชิงนั้นดีมาก แต่เขาไม่พบร่องรอยของเสียงดังกล่าวในความทรงจำของตนเลย เขาพูดด้วย ใบหน้างงๆ ว่า “ข้าไม่รู้เหมือนกัน! เช่นนั้นข้าจะลองออกไปดู” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินออกไปที่ประตู

คฤหาสน์ตระกูลโจวไม่ได้มีทหารยามและมีเพียงแค่คนรับใช้เท่านั้น  แต่ทว่าในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้ง แรกที่มีคนกล้าตะโกนอยู่นอกคฤหาสน์ของแม่ทัพใหญ่ และยังกล้าแม้กระทั่งใช้น้ำเสียงข่มขู่เช่นนี้ คนใช้ทั้งหมดในบริเวณ นั้นจึงค่อนข้างงงวย และสงสัยว่าใครกันที่กล้ามาหาเรื่องถึงที่นี่

คฤหาสน์ตระกูลโจวมักจะเปิดประตูทิ้งไว้เสมอ และก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะทันได้ออกจากตัวบ้าน เจ้าของเสียงก็ เดินเข้ามาก่อนแล้ว

มีคนสองคนยืนอยู่ตรงนั้น และเมื่อโจวเหว่ยชิงมองเห็นพวกเขาเต็มตา หัวใจของเขาก็ต้องบีบแน่น

มีผู้หญิงสองคนกำลังก้าวเข้ามา คนที่เดินตามมาด้านหลังเป็นคนที่เพิ่งแยกทางกับเขาเมื่อไม่ถึง 1 ชั่วโมงที่ผ่าน มาเธอ คือซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่นเอง ทว่าในขณะนี้ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล มือของเธอยังถูกจับโดยผู้หญิงคน ข้าง หน้าราวกับว่าเธอถูกลากมาที่นี่

ผู้หญิงคนที่จับแขนซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ดูเหมือนจะมีอายุราวๆ 30 ปี และหากเปรียบความงดงามของซ่างกวน ปิงเอ๋อร์เป็นดั่งผลไม้ที่ใกล้จะสุก ผู้หญิงคนนี้ก็คงอยู่ในช่วงเวลาที่สุกงอมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย มองจากรูปลักษณ์ที่โดด เด่นอย่างไม่มีใครเทียบได้นี้ เขาพบว่าเธอมีความงามที่สามารถเขย่าจิตวิญญาณคนมองได้เลยทีเดียว แม้ว่าใบหน้าของ เธอจะเยือกเย็นเพราะความโกรธ แต่โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะแอบมอง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และผู้หญิงคนนั้นมีรูปร่างหน้าตา คล้ายกันมาก และโจวเหว่ยชิงก็รู้ได้ทันทีว่าเธอเป็นใคร

“คนไหนคือโจวเหว่ยชิง?” หญิงวัยกลางคนถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น การหายใจของเธอนั้นติดขัดราวกับว่า ความโกรธที่อยู่รอบตัวของเธอกำลังเผาไหม้อยู่ในอากาศ

“ท่านน้า ท่านสบายดีหรือ ข้าคือโจวเหว่ยชิง” โจวเหว่ยชิงไม่กล้าลังเลอีกต่อไป  เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และมองเธอด้วยสีหน้าประดับรอยยิ้มซื่อๆ ของเขา

“ใครเป็นน้าเจ้าไม่ทราบ? เจ้าคือโจวเหว่ยชิง? ดี ข้ากำลังตามหาเจ้าอยู่พอดี เจ้าจะปลิดชีวิตตัวเอง หรือจะให้ข้า ช่วยจัดการ?” เมื่อหญิงวัยกลางคนมองมาที่โจวเหว่ยชิง เขาก็รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูก ราวกับร่างของเขาถูกดาบคมๆ 2 เล่มแทงเข้าพร้อมกัน

“ท่านต้องโหดเหี้ยมกับข้าขนาดนี้เลยหรือ…?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างตะลึง

……………………………………………….

เมื่อเห็นว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์นิ่งเงียบไม่ยอมตอบ มือขวาของโจวเหว่ยชิงก็ไม่ลังเลที่จะแทงลูกธนูลงไปอีกครั้ง คราวนี้จุดหมายของเขาคือบริเวณหน้าอกของตนเอง ก่อนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะทันได้ขยับตัวทำอะไร เลือดสดๆ ก็พุ่ง กระเซ็นออกมาจากบาดแผลเมื่อลูกศรถูกกดจนจมเข้าไปในเนื้อของเขา

โจวเหว่ยชิงกำลังแสดงให้เห็นถึงความอำมหิตของตนเอง เขากัดฟันแน่น แม้เหงื่อจำนวนมากจะเกาะอยู่เต็ม หน้าผากของเขา แต่เขาก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างแน่วแน่ ไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ราวกับว่าลูกธนู 2 ดอกนั้นไม่ได้ ปักคาอยู่ในตัวเขาสักนิด ทันใดนั้นมือของเขาขยับไปที่แล่งธนูอีกครั้งเพื่อนำลูกธนูอีกดอกออกมา

“พอแล้ว!” ในที่สุดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ขยับตัว แสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นรอบตัวเธอ จากนั้นเธอก็มาปรากฏตัวอยู่ เบื้องหน้าเขาพร้อมกับยื้อลูกธนูที่อยู่ในมือของเขาเอาไว้

“เจ้าโง่!!! เจ้าไม่กลัวตายแล้วหรือ? ไม่เจ็บหรือไง? ทำไมเจ้าต้องทำร้ายตัวเองด้วย?” ตั้งแต่เห็นร่างกายท่อนบน ของโจวเหว่ยชิงอาบย้อมไปด้วยเลือดสดๆ ความโกรธในใจของเธอก็พลันสลายหายไปนานแล้ว เธอยกมือขึ้นพยายาม จะปิดบาดแผลของเขาไว้ไม่ให้เลือดไหล แต่โจวเหว่ยชิงกลับยกมือขึ้นมาจับมือของเธอไว้แทน…

“ให้ข้าอธิบายให้เจ้าฟังก่อน พอเล่าจบแล้ว เราค่อยจัดการได้” น้ำเสียงของโจวเหว่ยชิงนุ่มนวลและอ่อนโยน เขามองเธอด้วยสายที่ตาเต็มไปด้วยความรักลึกซึ้ง สิ่งที่เขาทำเมื่อสักครู่คือการเดิมพัน เขาเดิมพันว่าเธอมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเขาเช่นกัน และเธอจะต้องเข้ามาห้ามเขาแน่ แน่นอนว่ามันได้ผล และเมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องไห้ออกมา เขาก็รู้ว่า ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จแล้ว

“ไม่! เจ้าอยากตายเหรอ? ให้ข้าห้ามเลือดให้เจ้าก่อน จากนั้นข้าจะฟังคำอธิบายของเจ้า ตกลงไหม?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดพลางสะอื้น ดึงมือของเธอจากการกอบกุมของโจวเหว่ยชิง เธอแย่งลูกธนูจากมือของเขาแล้วโยนมันทิ้ง จากนั้นก็วางมือของตนไว้บนบาดแผลของเขาเพื่อไหลเวียนพลังปราณสวรรค์ของเธอเข้าไปในภายใน

เธอดึงลูกธนูที่ยังฝังคาอยู่ในร่างกายของเขาออกมาอย่างคล่องแคล่วก่อนจะทำการปิดผนึกบาดแผลที่มีเลือดไหลออกมาอย่างรวดเร็ว

จากนั้นเธอก็ฉีกแขนเสื้อของเขาออก และเมื่อเธอเห็นบาดแผลของเขา เธอก็ต้องสูดหายใจเข้าอย่างหนักหน่วง เพราะว่าบาดแผลพวกนั้นดูลึกมาก

ในความเป็นจริงเธอไม่รู้ว่าหากตอนนี้โจวเหว่ยชิงไม่ได้เปิดใช้มณีสวรรค์ของเขา และดูดซับกลิ่นอายชั่วร้ายของ ไข่มุกสีดำไปด้วยเขาก็อาจจะตายไปแล้วก็ได้ เมื่อเขากลืนไข่มุกสีดำลงไปครั้งแรก ในตอนนั้นเขาแม้เขาจะเสียเลือดไปมาก แต่เลือดหนึ่งหยดจากกำปั้นของเขาก็ยังสามารถละลายต้นดาราขนาดใหญ่ให้กลายเป็นฝุ่นผงได้

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นำชุดสำรองสีขาวสะอาดออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังของเธอ ฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ และใช้ พันแผลของเขาอย่างระมัดระวัง

โจวเหว่ยชิงยืนอยู่นิ่งๆ มองดูเธอพันแผลให้เขา ในขณะนี้ลมหายใจที่เครียดเขม็งของเขาในที่สุดก็กลับมาสงบลง และดวงตาที่จริงจังก็กลับไปมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผูกผ้าพันแผลของเขาอย่างรวดเร็ว หน้าผากของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ มือทั้งสองข้างก็มีเลือดของ โจวเหว่ยชโลมไว้จนทั่ว

“มานั่งพักตรงนี้ก่อน” เธอเงยหน้าขึ้นมองโจวเหว่ยชิงและพบว่าใบหน้าของเขาซีดเซียวมาก ดวงตาของเขา เริ่มปิดลงช้าๆ ร่างกายเริ่มซวนเซเนื่องจากเขาเสียเลือดมากเกินไป ทันใดนั้นเธอก็คว้าแขนอีกข้างของเขาไว้แน่น แต่เมื่อ เธอทำเช่นนั้น ร่างของเขาก็ล้มลงมาในอ้อมแขนของเธอทันที

“อ้วนน้อย อ้วนน้อย อย่าทำให้ข้ากลัวนะ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รีบพยุงเขาไว้อย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่เวลาเขาเผชิญหน้า กับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นฝูงหมาป่าโลกันตร์ เธอก็ไม่เห็นเขาจะได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ แต่เพื่อเธอ

โจวเหว่ยชิงผู้ซึ่งกลัวความตายคนนี้ถึงขั้นทำร้ายตัวเองจนบาดเจ็บสาหัส และเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เธอจะยัง พูดอะไรได้อีก?

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ช่วยพยุงเขาไปนั่งพักริมถนนอย่างรวดเร็ว เธอพิงตัวเองไว้กับต้นไม้ ในขณะที่โอบโจวเหว่ยชิง เอาไว้ในอ้อมแขนของตน

โจวเหว่ยชิงเปิดตาของเขาขึ้นเล็กน้อย เขายิ้มอย่างอ่อนโยนในขณะที่พูดว่า “ปิงเอ๋อร์ ข้าสบายดี ตราบใดที่เจ้า เต็มใจฟังคำอธิบายของข้า จะให้ข้าแทงตัวเองอีก 2 แผลก็ย่อมได้” นี่ไม่ใช่การพูดจาไร้สาระของเขา ด้วยร่างกายของเขา ตอนนี้ ตราบใดที่เขาไม่ได้ถูกแทงเข้าที่หัวใจ เขาก็ยังสามารถฟื้นตัวจากการแทงอีก 2 ครั้ง ในช่วงเวลาที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ กำลังอ่อนไหวเช่นนี้ ถ้าเขาไม่รีบใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ตรงหน้า เขาก็ไม่ใช่โจวเหว่ยชิงแล้ว! โจวเหว่ยชิงนอนอยู่ใน อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของเธอ แม้ว่าไหล่ของเขาจะรู้สึกปวดมากจนชาไปทั้งแถบ แต่หัวใจของเขากลับรู้สึกหวานล้ำราว กับได้ชิมน้ำผึ้งเดือนสิบ ดังนั้นตอนนี้โจวเหว่ยชิงจึงรู้สึกสบายอกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง

น้ำตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยดลงมาราวกับไข่มุกเม็ดงาม “อ้วนน้อย เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว ข้าเชื่อเจ้า แม้เจ้าจะโกหกข้า ข้าก็จะให้อภัยเจ้า” ก่อนหน้านี้ แม้ในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าโลกันตร์  ในตอนนั้นเป็นโจวเหว่ยชิงที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องเธอไว้ แต่ทว่าหัวใจของเธอก็ยังสับสนอยู่ เพราะเธอไม่รู้ว่าเธอรู้สึก อย่างไรกับเขา

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่โจวเหว่ยชิงแทงลูกธนูดอกนั้นเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างเด็ดเดี่ยว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้ สึกราวกับมีมีดแทงเข้าไปในหัวใจของเธอเช่นกัน จากนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าเจ้าคนไร้ยางอายผู้นี้ ได้ช่วงชิงพื้นที่ในหัวใจ ของเธอไปเสียแล้ว

โจวเหว่ยชิงปิดตาลงอย่างช้าๆ น้ำเสียงของเขาดูจริงจังมากยิ่งขึ้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ปิงเอ๋อร์ ข้าไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ ข้าไม่เคยเลย เจ้าจำได้ไหม ครั้งแรกที่เจ้าถามข้าเกี่ยวกับอดีตของข้า ข้าบอกว่าข้าไม่อยากจะ โกหกเจ้า ดังนั้นข้าจึงอ้อนวอนให้เจ้าอย่าได้ถามอะไรข้าอีก ข้ายอมรับว่าข้าปกปิดอดีตของตัวเอง แต่ข้าไม่เคยโกหกเจ้า ในเวลานั้น ถ้าข้าบอกตัวตนที่แท้จริงของข้าออกไป เจ้าจะอนุญาตให้ข้าอยู่ในค่ายทหารต่อหรือไม่? แน่นอนว่าข้ากลัวว่า เจ้าจะส่งข้ากลับไปหาท่านพ่อ ข้าจึงต้องทำเช่นนั้น”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กัดริมฝีปากของเธอแล้วพูดว่า “แต่…ทั้งๆที่เจ้ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว เจ้าก็ยังทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไร เกิดขึ้นเวลาอยู่กับข้า เจ้าคิดว่าเจ้าปฏิบัติต่อนางอย่างเป็นธรรมหรือ? ปฏิบัติกับข้าอย่างยุติธรรมหรือไม่? เจ้าจะสู้หน้าพวกเราทั้งคู่ได้อย่างไร?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างขมขื่น “ข้าไม่เคยปฏิบัติกับตี้ฝูหยาเหมือนนางเป็นคู่หมั้นของข้าเลย ดังนั้นทำไมข้าต้อง ทำตัวดีกับนาง หรือทำไมข้าจะต้องสู้หน้านางไม่ได้ด้วย? ผู้หญิงที่พยายามจะฆ่าคู่หมั้นของตนเองเช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้าจะ คิดถึงนางหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงได้กลืนไข่มุกสีดำเข้าไปในตอนแรก?” หลังจากนั้นเขาก็เล่าให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ฟังเกี่ยวกับเรื่องที่เขาไปอาบน้ำ พบตี้ฝูหยา และตอนที่เขาถูกเธอทิ้งให้ตายด้วย

“ …หลังจากที่ข้าหนีออกจากบ้าน ข้าก็ฝากจดหมายถึงบิดาของข้า ขอให้เขาช่วยข้าปฏิเสธการแต่งงาน ยังไงซะ ตี้ฝูหยาก็ไม่ชอบข้าอยู่แล้ว ซึ่งข้าเองก็เข้าใจดี แล้วข้าก็ไม่ได้ชอบนางเหมือนกัน ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะงดงามแค่ไหน แต่ถ้าจิตใจของนางเลวร้ายถึงเพียงนี้ ข้าจะชอบนางลงได้อย่างไร? นางไม่เคยอยู่ในใจของข้า และคนที่ข้ารักคือเจ้าจริงๆ เจ้าอ่อนโยนและใจดีมาก แต่กับตี้ฝูหยา ตอนนั้นข้าแค่เห็นเพียงนางกำลังอาบน้ำอยู่ ไม่ได้เห็นนางเปลือยกายจริงๆ เสีย หน่อย แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังพยายามจะฆ่าข้า ในทางกลับกัน สำหรับเจ้า แม้ว่าข้าจะข่มเหงเจ้าเช่นนั้น แต่เจ้ากลับยัง นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมของอาณาจักรและห้ามตัวเองไม่ให้ฆ่าข้า แม้ว่าเจ้าจะสามารถฆ่าข้าได้อย่างชอบธรรมก็ตาม ยิ่ง ไปกว่านั้น เจ้ายังช่วยฝึกฝนให้ข้ากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์อีกด้วย นับตั้งแต่วันนั้น ความอ่อนโยนและความใจดีของเจ้า ทำให้ข้าซาบซึ้งใจมาก หลังจากข้าได้ใช้เวลาร่วมกับเจ้ามากขึ้น ข้าก็ตกหลุมรักเจ้าจริงๆ ปิงเอ๋อร์ ข้าไม่อาจอยู่ได้โดยขาด เจ้า”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงและพูดตะกุกตะกัก “แต่…แม่ทัพโจว…เขาได้ขอยกเลิกการหมั้นหรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ท่านพ่อต้องรักษาหน้าขององค์จักรพรรดิ สำหรับเขาแล้วมันง่ายเลยที่จะยกเลิก งานแต่ง ต่อหน้าพ่อทูนหัวของข้า ข้าจะไปบอกเขาเองเป็นการส่วนตัวเองเมื่อเรากลับไปถึงแล้ว ปิงเอ๋อร์เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย แม้ ว่าในอนาคตข้าจะมีภรรยาหลายคน แต่ในนั้นจะต้องไม่มีตี้ฝูหยาแน่นอน”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าเบาๆและพูดว่า “อืม …” อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จาก นั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง “เจ้าพูดว่าอะไรนะ!!? เจ้ายังอยากมีภรรยาคนอื่น??!”

“เอ่อ…ข้าพูดผิด…โอ้ยๆๆๆๆ ข้าเจ็บแผลนะ!!” ศีรษะของโจวเหว่ยชิงถูกผลักไปด้านข้าง ใบหน้าของเขา ซีดเผือก จากนั้นเขาก็ ‘เป็นลม’ ไปทันที ขณะที่เขาหมดสติไปนั้น เขาก็ยังไม่ลืมวางศีรษะของเขาตนในที่เหมาะๆ โจวเหว่ยชิงล้มลง ไปซุกอยู่บนหน้าอกของเธอพอดิบพอดี ในขณะนั้นแน่นอนว่าเป็นเขาลมไปจริงๆ แต่นั่นก็ยังไม่สามารถ หยุดนิสัยเจ้าเล่ห์ โดยธรรมชาติของเขาเอาไว้ได้

ในขณะที่เขาเพิ่งจะได้เพลิดเพลินกับความรู้สึกที่ได้กดทับอยู่บนส่วนที่อ่อนนุ่มของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาย่อมรู้ดีว่า ความรู้สึกนั้นช่างยอดเยี่ยมมาก แต่ทว่าเนื่องจากเขาสูญเสียเลือดไปมากจริงๆ เพียงไม่นานโจวเหว่ยชิง ก็ผล็อยหลับไป อย่างไม่รู้ตัว

หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็ตื่นขึ้นมาในที่สุด ทันทีที่เขาลืมตาขึ้นมาเขาก็พบว่า ตัวเองนอน อยู่บนตักของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาใช้ตักของเธอหนุนต่างหมอน และใช้เสื้อผ้าสำรองของเธอแทนผ้าห่ม ความอบอุ่นพลัน ท่วมท้นอยู่ในหัวใจของเขาทันที โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะแอบหวังให้ช่วงเวลาเช่นนี้คงอยู่ตลอดไป

มือเล็กๆ ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทาบลงบนหน้าผากของเขา “ในที่สุดเจ้าก็ตื่น เจ้าไม่มีไข้แล้ว รู้สึกยังไงบ้าง?”

โจวเหว่ยชิงบิดขี้เกียจบนตักของเธออย่างสบายตัว และเมื่อเห็นหน้าตาที่แสดงความกังวลใจของเธอ หัวใจของ เขาก็พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เขาลองขยับไหล่อย่างเก้ๆ กังๆ และพบว่าแม้ว่ามันจะยังเจ็บอยู่ แต่อาการก็ดี ขึ้นมากแล้ว เขารู้ ว่าเพราะไข่มุกสีดำในร่างของเขาทำให้ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่ง กว่ามนุษย์ทั่วไปมากหลัก ฐานที่เห็นได้ชัดก็คืออาการบาดเจ็บจากการโจมตีของราชาหมาป่าโลกันตร์สามารถฟื้นฟู กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว

“ปิงเอ๋อร์ เจ้าจะไม่ทิ้งข้าไปใช่ไหม?” โจวเหว่ยชิงยกมือขวาขึ้นกอดเธอไว้

“อืม” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ แก้มของเธอขึ้นสีแดงระเรื่อ

โจวเหว่ยชิงพยายามลุกขึ้นแล้วเอนตัวเข้าหาเธออย่างไร้เรี่ยวแรง เขาวางแขนขวาไว้บนไหล่ของเธอดันตัวเองขึ้น และเอนตัวเข้าใกล้…

เมื่อใบหน้าของเขาขยับเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น ใบหน้าที่งดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยิ่งแดงก่ำ เธอก็พูดเบาๆว่า        “เอาแขนออกไปซะ เจ้ายังบาดเจ็บอยู่”

โจวเหว่ยชิงตอบเธออย่างร่าเริง “นั่นหมายความว่า ทันทีที่อาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว พวกเราจะ…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอ็ดใส่เขา “เจ้าทำตัวดีๆ หน่อยจะได้ไหม!”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “ก็ทำตัวดีๆ มันไม่ใช่นิสัยของข้านี่! ถึงยังไงผู้หญิงก็ชอบผู้ชายเลวๆอยู่ดี! ปิงเอ๋อร์ เจ้ารู้ไหมว่าวันนี้เป็นวันเกิดของข้า วันเกิดครบรอบอายุ 14 ปี ก่อนหน้านี้ ตอนที่เราอยู่กับท่านอาจารย์ฮูเหยียน ข้าบอกเขา ว่าอีก 2 เดือนข้าจะอายุ 14 แต่ตอนนั้นข้าแค่เดาไปสุ่มๆ อันที่จริง วันนี้เป็นวันเกิดของข้าอย่างแท้จริง ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะไม่ จูบข้าเป็นของขวัญวันเกิดหน่อยหรือ?”

“14…” เมื่อได้ยินอายุของเขา สีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็แปลกประหลาดขึ้นเล็กน้อย เธอก็ยื่นมือไปตีปากของ เขาแล้วพูดว่า “อ้วนน้อย เจ้าเพิ่งอายุแค่ 14 ปี ถือว่ายังไม่โตเต็มที่เท่าไหร่ พวกเราไม่ควรสนิทสนมกันมากเกินไป ไม่อย่าง นั้นมันอาจจะส่งผลต่อการการเจริญเติบโตของเจ้าก็ได้”

โจวเหว่ยชิงรู้สึกสับสน เขาไม่คาดคิดเลยว่าตนจะเผลอยกหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง[1]เช่นนี้ การแสดงออกบนใบหน้า ของเขาจึงดูแปลกประหลาดมาก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คิดว่าเขากำลังโกรธ เธอจึงหันไปจูบแก้มเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะผละออกในพริบตา “สุขสันต์ วันเกิดอ้วนน้อย ข้าเป็นของเจ้าอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจะรอให้เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่”

“ข้า…” โจวเหว่ยชิงไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไรต่อ ขณะนี้ความรู้สึกของเขาซับซ้อนมาก จนไม่รู้ว่าตนควรหัวเราะ หรือร้องไห้ก่อนดี

4 ชั่วโมงต่อมาทั้งคู่ก็ตัดสินใจเดินทางต่อ ที่ใช้เวลานานเช่นนี้เป็นเพราะซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต้องการ ยืนยันให้แน่ใจ ว่าบาดแผลของโจวเหว่ยชิงนั้นทุเลาลงแล้ว เมื่อเห็ฯเขาอาการดีขึ้น เธอจึงตกลงเดินทางต่อ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้วิ่งไล่ ตามกันต่อไปแล้ว เนื่องจากตอนนี้มือของทั้งคู่กำลังประสานกันอยู่อย่างแนบแน่นนั่นเอง

 …………………………………………………….

[1] ยกหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง คือการก่อเรื่องให้ตัวเอง นับเป็นการกระทำของคนโง่

โจวเหว่ยชิงไม่รู้ว่าหลังจากมา บิดาของเขาก็ยังคงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งกับตัวเองอยู่อีกนาน แต่อย่างไรก็ตาม หลบหนีจากกำปั้นของบิดามาได้เช่นนี้ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกพออกพอใจเป็นอย่างมาก เขารีบกลับไปที่กระโจมของตน อย่างรวดเร็ว อันที่จริงเขาไม่ได้มีข้าวของมากมายที่จะต้องเก็บอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงกระโดดขึ้นไปบนเตียงเพื่อนอนหลับ พักผ่อนอย่างสบายอกสบายใจ

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเรียกที่น่าสะพรึงกลัวดังออกมาจากภายนอก “อ้วนน้อยโจว เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”

โจวเหว่ยชิงตกใจและกระโดดขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว “ใครอยู่ตรงนั้น? ตอนนี้มันดึกแล้วนะ อย่าทำให้ข้ากลัวสิ!”

เมื่อประตูกระโจมถูกเลิกขึ้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาข้างใน ขณะนี้เธอแต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้าย ท่าทาง ดูสงบนิ่ง แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำสีหน้าเย็นชาเหมือนปกติ แต่เขากลับไม่รู้ว่าทำไมท่าทางของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ในตอนนี้ถึง ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก “ปิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างกังวลใจ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดในระยะที่ห่างจากเขาประมาณ 2 เมตร เธอพูดอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าไม่ใช่อ้วนน้อยโจว เจ้าคือโจวเหว่ยชิงใช่ไหม? เจ้าเป็นบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพโจว”

ในเวลานี้โจวเหว่ยชิงไม่อาจปิดบังความจริงได้อีกต่อไป เขาพูดด้วยท่าทีเขินๆ “ใช่แต่ชื่อเล่นในวัยเด็กของข้า คืออ้วนน้อยโจวจริงๆ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผงกหัวรับเบาๆแล้วพูดว่า “ดี….ดีมาก ข้าควรจะรู้ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่แปลกใจที่เจ้าดูสนิทสนม คุ้นเคยกับเซียวเซ่อ ข้าช่างโง่เขลาเหลือเกิน …อ้วนน้อยโจว…โจวเหว่ยชิง …ท่านแม่ของข้าพูดเสมอว่าคนที่เลวที่สุด   คือคนที่โกหกหลอกลวงให้ตายใจ เจ้าช่างแสดงเก่งเหลือเกิน..ดีจริงๆ” ขณะที่เธอพูดเช่นนั้น เธอก็หันหลังกลับและเดิน ออกไป

โจวเหว่ยชิงกำลังจะตามเธอไป แต่เธอกลับหันกลับมาแล้วขว้างดาบใส่เขา เธอพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “อย่า ตามข้ามา ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้า!” หลังจากพูดจบ เธอก็หันหลังกลับและออกไปอีกครั้ง

โจวเหว่ยชิงได้แต่มองดูเธอจากไปด้วยสีหน้าตกตะลึง เขารู้สึกอยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสัก หยด ปิงเออร์เจ้าจะโทษข้าได้อย่างไร? ถ้าข้าบอกเจ้าว่าข้าเป็นใคร เจ้าจะอนุญาตให้ข้าอยู่ในค่ายทหารหรือ?

ทันใดนั้นก็เกิดเสียง *พรึ่บ* และกระโจมก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง โจวเหว่ยชิงกำลังรู้สึกดีใจที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เปลี่ยนใจกลับมาเขา แต่ทว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับเป็นบิดาของเขาเอง

“เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย ข้าลืมถามบางอย่างไป ถ้าตอนนี้เจ้าอยู่ด้วยกันกับปิงเอ๋อร์ แล้วเจ้าหญิงล่ะ เจ้า จะทำอย่างไร?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างฉงนใจ “องค์หญิงตี้ฝูหยา? ข้าไม่ได้ขอให้ท่านยกเลิกการแต่งงานไปแล้วหรือ?”

แม่ทัพโจวส่งเสียงหึออกมา “ล้มเลิกการแต่งงานหรือ? เจ้าอย่าบอกข้าเลย ไปบอกพ่อทูนหัวของเข้าเถิด หากเจ้ามีความสามารถในการโน้มน้าวเขา บิดาของเจ้าก็ยินดีจะทำตามคำสั่งของเขา”

เมื่อพูดจบ แม่ทัพโจวก็หันหลังกลับไปทันที แต่เมื่อเขากำลังยกผ้ากระโจมขึ้น เขาก็หยุดชะงักและพูดกับโจวเหว่ย ชิงที่ยืนอยู่ด้านหลังว่า “ก่อนจะมีคนที่ 2 เจ้าต้องแน่ใจว่าจัดการคนที่ 1 เรียบร้อยแล้ว! ตระกูลโจวของเรามีสมาชิกน้อย มาก ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะนำภรรยากลับบ้านกี่คน ตระกูลของเราก็สามารถสนับสนุนพวกนางได้ บ้าเอ้ย! เจ้าเด็กเหลือขอ ตัวน้อย เจ้ายังไม่ถึง 14 เลยด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับทำสิ่งนั้นลงไปแล้ว! ตอนที่บิดาของเจ้าอายุ 14…ข้า…อ่ะแฮ่ม! พรุ่งนี้เจ้า ควรรีบไปซะ แต่เอาเถอะ นี่เป็นของขวัญวันเกิดของเจ้า”

วัตถุสีดำพุ่งเข้ามาหาโจวเหว่ยชิง และในขณะที่เขาคว้ามันไว้ได้ แม่ทัพโจวก็หายตัวไปแล้ว

วัตถุสีดำนั้นมีน้ำหนักเบาและให้สัมผัสอ่อนนุ่มมาก เมื่อโจวเหว่ยชิงนำมันเข้าใกล้กับโคมไฟเพื่อส่องดูรูปลักษณ์ ของมัน เขาก็พบว่ามันเป็นเสื้อกล้ามสีดำรัดรูปที่นุ่มลื่นราวกับผ้าไหม แต่เนื้อผ้านั้นกลับเรืองรองไปด้วยแสงสีเงินเบาบาง

ท่านพ่อยังจำวันเกิดของข้าได้…โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าดวงตาของเขารื้นขึ้นมา เขาอยากจะไล่ตามบิดาออกไปขอบ คุณเขา แต่ทว่าท้ายที่สุดเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น “ท่านพ่อ ขอบคุณ ในอนาคตข้าจะทำให้ท่านภูมิใจอย่างแน่นอน ข้าจะทำให้ ท่านเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘บิดาของโจวเหว่ยชิง’ ไม่ใช่ตัวข้าเป็นที่รู้จักในนาม ‘บุตรชายของแม่ทัพโจว’ อีกต่อไป”

“อืม ใช่ ข้าต้องไปบอกลาท่านพี่หรูเซ่อเช่นกัน”

ตอนรุ่งเช้า

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังถือกระเป๋าสัมภาระของเธอ ใบหน้าของเธอมีสีดำทะมึนขณะที่กำลังเดินออกจากค่ายทหาร ทันทีที่เธอออกโผล่พ้นประตู เธอก็เห็นโจวเหว่ยชิงยืนรออยู่ข้างนอกพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา บนหลังของเขายังมี กระเป๋า สัมภาระสะพายอยู่อีกด้วย “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดเดิน ดูไม่อยากจะเข้าใกล้เขาเท่าใดนัก

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “แน่นอนว่าข้าจะไปหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์กับเจ้า ข้าบอกเจ้าก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตวัดสายตามองเขาอย่างเย็นชา “ที่นี่คือค่ายทหาร เจ้ากล้าออกไปโดยพละการได้อย่างไร? ไม่กลัวถูกลงโทษบ้างหรือ?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “บิดาของข้าเป็นคนขอให้ข้าไปที่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์กับเจ้าเอง”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็เผยสีหน้าเย้ยหยันตัวเองออกมา “อ้อ ใช่ เจ้าเป็นบุตรชายของแม่ทัพ โจวนี่” เมื่อพูดจบ เธอก็ชักนำปราณสวรรค์ออกมาเพื่อเปิดใช้มณีสวรรค์ จากนั้นก็พุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงสุด

โจวเหว่ยชิงไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป เขาหมุนวงล้อทักษะธาตุไปยังส่วนธาตุลมและชักนำปราณสวรรค์ไปยังขา ขวาของเขา จากนั้นพวกเขาทั้ง 2 คนก็มุ่งหน้าออกจากค่ายแบบตามกันไปติดๆ

เมื่อร่างของพวกเขาหายวับไปแล้ว เซียวหรูเซ่อก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูทางออก เธอยิ้มออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ แสดงความเศร้าโศก เธอพึมพำเบาๆ กับตัวเอง “ขอให้เจ้าทั้งสองคนโชคดี เหว่ยน้อย พี่สาวจะรอพวกเจ้าทั้งคู่อยู่ที่นี่”

เมื่อพูดจบ เธอหันกลับไปพูดกับอากาศ เสียงไพเราะของเธอเอื้อนเอ่ยกวีบทหนึ่งออกมา “เจ้ายังไม่เกิดตอนที่ข้า เกิด ข้าอายุมากแล้วเมื่อเจ้าเกิด ข้าเสียใจที่เจ้าเกิดช้า เจ้าเสียใจที่ข้าเกิดก่อน …[1]”

ระดับพลังปราณสวรรค์ของเขาเพิ่มขึ้นในขณะที่เขาสำเร็จวิชาเทพอมตะส่วนแรกพร้อมกันด้วย ดังนั้นความเร็ว ของโจวเหว่ยชิงจึงเพิ่มขึ้นจากเดิมค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของขาขวาปีศาจใน การช่วยเสริมแรงให้วิ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว และมีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นเขาจึงจะสามารถไล่ตามซ่างกวน ปิงเอ๋อร์ทันได้ อย่างไรก็ตามเธอก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะในด้านความว่องไว แต่ทว่าหลังจากสำเร็จวิชาเทพอมตะ ส่วนแรก การฟื้นฟูพลังปราณของเขาก็เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า ดังนั้นเขาจึงสามารถวิ่งตามเธอไปได้ติดๆ

ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะโกรธเขาจริงๆ ทันทีที่เธอเห็นว่าโจวเหว่ยชิงกำลังไล่ตามเธออยู่ เธอส่งเสียง ในลำคออย่างโกรธแค้น มณีธาตุของเธอกลิ้งลงไปยังหลุมบรรจุมณีบนรองเท้าวายุประสานทันที ไม่ช้าความเร็วของเธอก็ พุ่งสูงขึ้นอย่างกระทันหัน จากนั้นเธอก็ทะยานไปข้างหน้าราวกับสะเก็ดดาวตก

เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะทิ้งระยะห่างกับเขาอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้โจวเหว่ยชิงก็ไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว มือซ้ายของเขายื่นออกไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ จากนั้นทักษะโซ่ตรวนวายุก็เข้าจู่โจมเธอทันที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่คาดคิดว่าโจวเหว่ยชิงจะใช้ทักษะธาตุกับเธอ ร่างกายของเธอจึงแข็งทื่อทันทีที่เธอถูกควบคุม และเนื่องจากเกิดแรงต้านจากการหยุดอย่างกะทันหัน  เธอจึงกำลังจะร่วงลงไปนอนบนพื้นแข็งๆ ข้างล่างอย่างไม่ทันได้ตั้ง ตัว

ในขณะนี้ โจวเหว่ยชิงกำลังแสดงให้เห็นถึงผลงานการผสมผสานทักษะธาตุของเขาในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อแสง สีเขียวของโซ่ตรวนวายุหายไป แสงสีดำก็สว่างวาบตามมาทันที แสงสีดำนั้นย่อมเป็นผลมาจากทักษะสัมผัสมืด หนวดสีดำ โอบรอบร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอาไว้และดึงเธอกลับมาเพื่อช่วยไม่ให้เธอล้มลงไปกระแทกพื้น อนิจจา ความเร็วที่แท้จริง จากรองเท้าวายุประสานที่ใช้ร่วมกับทักษะธาตุลมนั้นเร็วเกินไป และแม้ว่าทักษะสัมผัสมืดจะสามารถรั้งตัวเธอเอาไว้ได้ แต่ แรงกระชากที่รุนแรงของเธอก็ทำให้หนวดพวกนั้นขาดสะบั้นออกจากกันทันที

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นโจวเหว่ยชิงก็สามารถไล่ตามเธอทันพอดี  เมื่อเขาอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่ เมตร เขาก็เปิดใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาทันที ท้ายที่สุดเขาจึงมาปรากฏตัวอยู่ด้านล่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ขณะที่เธอ กำลังร่วงลงมาจากท้องฟ้า เธอจึงหล่นลงมาทับตัวเขาพอดิบพอดี

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ล้มลงทับโจวเหว่ยชิงเสียงดังโครม และในชั่วพริบตานั้นเขาก็ฉวยโอกาสโอบกอดเธอไว้ทันที แม้ ว่าเธอจะตัวเบามาก แต่เนื่องจากเธอหล่นกระแทกเขาอย่างจัง ด้วยแรงเหวี่ยงที่รุนแรงใบหน้าของโจวเหว่ยชิงจึงดูซีดเซียว ด้วยความเจ็บปวด  อย่างไรก็ตาม แขนของเขาก็ไม่ได้ผละหนีไปจากร่างของเธอ ราวกับจะบอกว่าเขาไม่ยอมปล่อยเธอไป ไหนแน่ๆ

ในสถานการณ์เช่นนี้ ความได้เปรียบจากมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งของเขาก็ถูกนำมาใช้ทันที แม้ว่าซ่าง กวนปิงเอ๋อร์จะมีพลังปราณอยู่ในระดับที่ 10 และมีมณี 2 ชุด แต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเธอ ก็ไม่อาจเทียบได้กับ โจวเหว่ยชิงที่มีมณียุทธ์ประเภทเพิ่มความแข็งแกร่ง

“ปล่อยข้านะ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว

“ไม่! ข้าไม่ปล่อย! ถ้าข้าปล่อยเจ้าไปตอนนี้ ข้าก็จะต้องเสียภรรยาของข้าไปน่ะสิ!!” โจวเหว่ยชิงพูดอย่างดื้อรั้น

“ เจ้า…” ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เย็นชาและโกรธเกรี้ยว “ถ้าเจ้าไม่ปล่อยข้าไป ข้าจะตายต่อหน้าเจ้าเดี๋ยวนี้!”

โจวเหว่ยชิงตกตะลึงอยู่ในเสี้ยววินาที  จากนั้นเขาก็อุ้มเธอขึ้นและปล่อยเธอไป

ทันทีที่เขาปล่อยมือ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ถอดธนูอุษาม่วงออกจากหลังของเธอ พาดลูกธนู ง้างมันออกมาจนสุด จากนั้นก็เล็งไปที่เขา โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “แม้ว่าใจเจ้าจะตัดสินโทษตายให้ข้าไปแล้ว เจ้าก็ควรให้โอกาส ข้าอธิบายสักหน่อย”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา “อธิบาย? มีอะไรต้องอธิบาย? เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่หรืออย่างไร? เจ้าคิดว่าข้า ไม่รู้เกี่ยวกับลูกชายคนเดียวของแม่ทัพโจว คนที่หมั้นหมายกับองค์หญิงตี้ฝูหยามาตั้งแต่เด็กหรือ? ขุนนางขั้นที่ 4 โจว… องค์ชายโจว นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป โปรดอย่าติดตามข้าอีก มิฉะนั้นข้าจะฆ่าเจ้า”

โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเองในใจว่า ถึงแม้ปิงเอ๋อร์จะดูอ่อนโยนมาก แต่เมื่อเธอตัดสินใจอะไรแล้ว ใจของเธอก็จะ แน่วแน่และไม่ยอมฟังอะไรง่ายๆ ดูเหมือนว่าตอนนี้คำอธิบายใดๆ ก็ไม่อาจช่วยได้แล้ว

เขาสูดหายใจเข้าลึก มองลูกธนูเย็นเยียบที่ชี้มาทางเขา โจวเหว่ยชิงขยับมือออกไปดึงลูกธนูออกมาจากแล่งธนู ของตนทันที

“เจ้าไม่ต้องลงมือเองหรอก ข้าปกปิดตัวตนจากเจ้า นั่นคือความผิดของข้า และข้าจะลงมือทำเอง”

เมื่อโจวเหว่ยชิงพูดจบ เขาก็หยิบลูกธนูขึ้นมาดอกหนึ่งแล้วแทงใส่ไหล่ซ้ายของตนทันที เลือดสดๆ ไหลทะลักออก มาอาบย้อมแขนเสื้อของเขาจนกลายเป็นสีแดงฉานในชั่วพริบตา โจวเหว่ยชิงไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา เขากัดริมฝีปากไว้ แน่นขณะที่ร่างกายกำลังสั่นเทา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกฉากที่น่าสะพรึงกลัวเบื้องหน้าทำให้ตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง มือของเธอพลันคลายออกจากคัน ธนูโดยไม่รู้ตัว “เจ้า…เจ้าเป็นบ้าไปแล้วเหรอ??”

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างจริงจัง “ตอนนี้ข้าไม่ได้บ้า แต่ถ้าเจ้าจากข้าไป ข้าอาจจะกลายเป็นบ้าไปจริงๆ ก็ได้ ตราบ ใดที่มันสามารถรักษาเจ้าไว้ข้างกายข้า แม้ว่าจะต้องจ่ายด้วยอะไร ข้าก็ยินดี” ขณะที่พูด มือของเขาพลิกไปด้านข้างอีก ครั้งเพื่อหยิบลูกธนูอีกดอกออกมา ตอนนี้เขาไม่ได้เสแสร้งหรือแสดงละคร เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์มากขึ้น เขาก็พบว่าตนเองตกหลุมรักเธออย่างแท้จริง ความไร้เดียงสา บุคลิกที่อ่อนโยน และความแน่วแน่ของเธอทั้งหมดนี้ดึงดูดเด็กหนุ่มราวกับเหล้าบ่มชั้นยอด แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะยังเด็ก แต่เขาก็มีสัมผัสพิเศษที่ถ่ายทอดมาจากไข่มุกรัตติกาล เด็กหนุ่มรับรู้ได้ว่า หากปล่อยเธอไปตอนนี้ เขาจะไม่ได้เธอกลับคืนมาอีกเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาต้องรั้งเธอไว้ที่นี่เพื่อ อธิบายสิ่งต่างๆ จนกระจ่างให้ได้ โจวเหว่ยชิงไม่ต้องการให้ความสุขหลุดลอยจากมือของเขาไปเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงกำลูกธนูพร้อมกับชี้ไปที่ตัวเองอีกครั้ง เขาเอ่ยถามเธอว่า “ปิงเอ๋อร์ เจ้าให้โอกาสข้าอธิบายได้ไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จ้องมองเขา หยดน้ำตาไหลทะลักออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างไม่รู้ตัว  ในเวลาเดียวกัน ธนูอุษาม่วงและลูกธนูก็ร่วงหล่นลงมาจากมือของเธอ ร่างกายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์สั่นสะท้านเมื่อมองไปยังร่างของโจวเหว่ยชิงทั้งน้ำตา และขณะนั้นหัวใจของเธอก็พลันสั่นไหวไปด้วย

………………………………………………

 [1] ข้ายังไม่เกิดเมื่อเจ้าเกิด เจ้าอายุมากแล้วเมื่อข้าเกิด: บทกลอนในยุคราชวงศ์ถัง《君生我未生,我生君已老》ไม่มีชื่อผู้แต่ง บทกวีที่เขียนด้วยภาษาธรรมดา เป็นการแสดงออกถึงความเสียดายและความคิดถึงของผู้เขียนต่อคนรักที่มีอายุมากกว่า

โดยปกติเมื่อบิดาจะทุบตีเขา โจวเหว่ยชิงก็มักจะไม่ต่อต้านเท่าไหร่นัก  เพราะถึงอย่างไรบิดาตีสั่งสอนบุตรก็เป็นหลักการที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย แต่ทว่าในครั้งนี้เขารู้ว่ามันเป็นความเข้าใจผิด หากยอมรับ นั่นก็จะไม่ยุติธรรมสำหรับตัวเอง และเขาก็ไม่ได้โง่เง่าขนาดจะรอรับโทษที่ตนไม่ผิดด้วย

“เจ้ายังกล้าหนีอีกหรือ? ฮึ!” แม้ว่าการโจมตีของแม่ทัพโจวในตอนนี้มาจากอารมณ์โกรธล้วนๆ แต่ความเร็วของบุตรชายก็ยังทำให้เขาต้องประหลาดใจ ชายหนุ่มกำลังกรุ่นคิดว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้กำลังพูดความจริง?

“ท่านพ่อ ท่านเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นกลาง อย่าบอกข้าว่าท่านไม่รู้จักไพฑูรย์ตาแมวสองสี!” โจวเหว่ยชิงตะโกนบอกอย่างไม่พอใจ ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นและชักนำพลังปราณสวรรค์ออกมา ทันใดนั้น ท่ามกลางไอหมอกที่เย็นยะเยือก ธนูราชันก็ปรากฏตัวขึ้นในมือเขา การกระทำสำคัญกว่าคำพูด โจวเหว่ยชิงไม่อยากจะเสียเวลาอีกต่อไป และเขาก็เชื่อว่าศาสตรามณียุทธ์จะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดเอง

ทันทีที่ธนูราชันปรากฏตัวขึ้น ทั่วทั้งกระโจมก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม ไอพลังหนาแน่นของมณียุทธ์บริสุทธิ์ดึงดูดความสนใจของแม่ทัพโจวในทันที

แม่ทัพโจวจ้องมองธนูราชันในมือของบุตรชายในระยะประชิด และต่อมาการกระทำที่แปลกประหลาดของเขาทำให้ทั้งโจวเหว่ยชิงและเซียวหรูเซ่อไม่ทราบว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แม่ทัพใหญ่ที่องอาจคนนั้นกำลังยกมือทั้ง 2 ข้างขึ้นมาขยี้ตาด้วยท่าทีพึลึกพิลั่นเป็นอย่างมาก

“ศาสตรามณียุทธ์?”

โจวเหว่ยชิงกลัวบิดาจะตีเขาอีกครั้งจึงรีบร้อนตอบกลับ “ใช่! นั่นคือศาสตรามณียุทธ์ของมณีธาตุดวงแรกของข้าชื่อว่าธนูราชัน มีระยะการโจมตีมากกว่า 1.5 กิโลเมตร และมีพลังเสริมคือระเบิดทำลายล้าง นอกจากนี้ยังมีหลุมบรรจุมณีสำหรับใส่มณีธาตุเพื่อใช้ประสานร่วมกับทักษะธาตุอื่นๆ ด้วย”

ร่างของแม่ทัพโจวสั่นสะท้านเล็กน้อยขณะที่เขาก้าวถอยหลังไปอย่างเลื่อนลอย เห็นได้ชัดว่าจังหวะหายใจของเขาหนักขึ้นกว่าเดิมมาก “เหว่ยชิง ใช้ทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้ายิงธนูใส่ข้าเดี๋ยวนี้”

ในฐานะนักธนู โจวเหว่ยชิงย่อมมีลูกธนูติดกายอยู่เสมอ แต่หากจะให้เขายิงบิดาของตนเอง เด็กหนุ่มก็คงไม่กล้าทำเช่นกัน “ท่านพ่อ…นั่น…”

“อย่าพูดพล่ามเสียเวลา! ใช้ความแข็งแกร่งของเจ้าให้เต็มที่หรือจะให้ข้าตีเจ้า!” แม่ทัพโจวเพิ่งจะฟื้นจากอาการตื่นตระหนก สับสนและมึนงง ชั่วขณะนั้น ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นยินดี

โจวเหว่ยชิงคุ้นเคยกับนิสัยของบิดาเป็นอย่างดีและรู้ว่าเขาจะทำตามที่พูดแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงไม่ต่อล้อต่อเถียงบิดาอีก เขาเงียบลงและตั้งสมาธิให้แน่วแน่ ขณะที่ดึงลูกธนูออกมาแล้วพาดมันลงบนธนูราชัน ไหล่ของเขาเกร็งแน่นเมื่อต้องง้างสายธนูขึ้นให้เป็นรูปพระจันทร์เต็มดวงและเพ่งสมาธิไปที่มณีธาตุอย่างรวดเร็ว จากนั้นมณีธาตุที่ข้อมือซ้ายก็กลิ้งลงไปในหลุมบรรจุมณีบนธนูราชันเงียบๆ อย่างไรก็ตาม แม่ทัพโจวก็เป็นบิดาของเขา แม้จะได้รับคำสั่งให้ใช้ทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อโจมตีอีกฝ่าย แต่วงล้อทักษะธาตุของเขากลับขยับไปยังพื้นที่สีดำที่แสดงทักษะธาตุมืดแทนที่จะเป็นส่วนสีน้ำเงินที่สร้างความเสียหายมากที่สุดอย่างธาตุสายฟ้า

ขณะนี้โจวเหว่ยชิงอยู่ห่างจากบิดาประมาณ 10 เมตร และทันทีที่แม่ทัพโจวเห็นธนูราชันในมือของโจวเหว่ยชิง เขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ด้วยระดับการฝึกฝนของเขา ชายหนุ่มย่อมรู้สึกถึงพลังปราณสวรรค์ที่ไหลเวียนอยู่ในธนูราชันได้อย่างชัดเจน

“ท่านพ่อ ระวังตัวด้วย!” หลังจากพูดจบ โจวเหว่ยชิงก็ปล่อยสายธนูทันที

เสียงแหวกอากาศดังขึ้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นเกือบจะพร้อมกันในทันที และก่อนที่ทุกคนจะเห็นลูกศรของโจวเหว่ยชิง ลูกศรสีดำดอกนั้นก็ไปปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าแม่ทัพโจวแล้ว

กรามของโจวเหว่ยชิงอ้าค้างเมื่อจ้องมองไปยังอีกฝ่าย ลูกศรที่ยิงออกไปด้วยธนูราชันนั้นกำลังหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าบิดาของตนเอง และเขาก็ไม่ทันได้เห็นหรือสัมผัสได้ถึงทักษะที่ฝ่ายนั้นนำออกมาใช้แม้แต่น้อย

*ปัง* เสียงระเบิดที่เบาบางกว่าดังขึ้นมาอีกครั้งและลูกศรดอกนั้นก็พลันสลายตัวกลายเป็นฝุ่นผงไปในพริบตา เขาเห็นแล้วว่าบิดาใช้ทักษะสัมผัสมืดและหนวดสีดำ 12 เส้นที่ยาวประมาณครึ่งเมตรก็เปล่งแสงริบหรี่ออกมาในชั่วพริบตาก่อนที่จะหายตัวไป ราวกับว่าพวกมันคือปลาหมึกตัวเล็กๆ ที่กำลังลอยล่องไปมารอบๆ ตัวแม่ทัพโจก่อนจะสลายหายไปกลางอากาศ

โจวเหว่ยชิงรู้แน่ชัดอยู่แล้วว่าพลังทำลายล้างของธนูราชันแข็งแกร่งเพียงใด และสำหรับลูกศรดอกนั้น แน่นอนว่าเขาใช้กำลังของตนอย่างเต็มที่  แต่แม่ทัพโจวสามารถหยุดลูกศรดอกนั้นได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องปลดปล่อยมณีสวรรค์ของเขาด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มไม่เคยเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของบิดาตนเองมาก่อน และตอนนี้เขาก็ตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของจ้าวมณีสวรรค์ที่อยู่ในระดับเทวะขั้นกลางนั้นเป็นเช่นไร

เซียวหรูเซ่อยืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงและเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เธอเห็นว่าเมื่อโจวเหว่ยชิงปล่อยลูกธนูของตนออกไป แม่ทัพโจวก็ระเบิดลูกศรดอกนั้นได้ในเสี้ยววินาที

โจวเหว่ยชิงตกตะลึง แต่ทว่าในอีกด้านหนึ่ง แม่ทัพโจวเองก็อึ้งไปเช่นกัน แน่นอนว่าด้วยระดับการฝึกปราณที่แตกต่างกันมากเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงจะทำร้ายเขาได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม เมื่อสัมผัสลูกศรดอกนั้น เขาก็สามารถประเมินความแข็งแกร่งของลูกชายได้แล้วเช่นกัน

“หรูเซ่อ โปรดกลับไปก่อน ข้าต้องคุยกับเด็กเหลือขอตัวน้อยคนนี้เพียงลำพัง” แม่ทัพโจวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“น้อมรับคำสั่ง” เซียวหรูเซ่อทำความเคารพก่อนที่จะหันหลังกลับไป

ใบหน้าของแม่ทัพโจวดูสงบนิ่งราวกับน้ำทะเลลึก ไม่ช้าเขาก็ปรากฏกายขึ้นข้างๆ โจวเหว่ยพร้อมกับชิงคว้าไหล่ของเขาเอาไว้ ในชั่วพริบตาเดียว สภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวโจวเหว่ยชิงก็กลายเป็นภาพมัวๆ เด็กหนุ่มมองไม่เห็นอะไรเลย รู้สึกได้แค่เพียงว่ามีกระแสลมรุนแรงกำลังพัดผ่านตัวเขาอยู่ในขณะนี้ โจวเหว่ยชิงเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว เขาจึงสามารถสัมผัสได้ว่าบิดาของตนไม่ได้ใช้มณีสวรรค์เลยแม้แต่ดวงเดียว ความเร็วที่บ้าคลั่งขนาดนี้อาศัยแค่ปราณสวรรค์ของเขาเท่านั้น ความเร็วดังกล่าวทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่าตนกำลังบินโฉบไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง นี่คือพลังที่แท้จริงของเจ้ามณีสวรรค์ 8 ชุด จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นกลาง!

หลังจากผ่านไปประมาณ 15 นาที แม่ทัพโจวก็หยุด ในที่สุดโจวเหว่ยชิงเห็นว่าบิดาพาตัวเองมาไปที่เนินเขาเล็กๆแห่งหนึ่ง

แม่ทัพโจววางลูกชายของตนไว้บนพื้น ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือไปเท้าเอวของตนเองแล้วหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆๆ!  ลูกชายข้าไม่ใช่เศษสวะ! วะฮะฮ่า!”

เสียงหัวเราะอึกทึกครึกโครมของแม่ทัพโจวเกือบทำให้โจวเหว่ยชิงตกใจจนกลิ้งตกหน้าผา ในความทรงจำของเด็กหนุ่ม เขาไม่เคยเห็นบิดาหน้าดำของตนมีความสุขเช่นนี้มาก่อน

แม่ทัพโจวหัวเราะออกมาเสียงดังเป็นเวลานานจนโจวเหว่ยชิงสามารถพักกินอาหารเสร็จไปได้ 2 มื้อ ในที่สุดเขาก็หยุดจนได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาหันกลับมามองโจวเหว่ยชิงอีกครั้ง ชายหนุ่มก็กลับไปใช้ใบหน้าที่เข้มงวดตามปกติ

“เจ้าเด็กเหลือขอ! เล่าให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้ว่าเจ้ากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ได้อย่างไร อย่าได้ตกหล่นแม้แต่คำเดียวเชียว!”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างลังเลเล็กน้อย “ท่านพ่อ เอ่อ…การตื่นของมณีสวรรค์ของข้านั้นค่อนข้างจะแปลกประหลาดไปเสียหน่อย…ถ้าข้าทำอะไรผิดไป ท่านจะไม่ตีข้าใช่หรือไม่?”

แม่ทัพโจวส่งเสียงฮึและพูดว่า “เอาล่ะ ข้าจะไม่ตีเจ้า ตอนนี้เจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเจ้าอีก! ทำไมข้าจะต้องทุบตีเจ้าด้วย! เจ้าคิดว่าข้าสนุกกับการทุบตีเจ้าหรือ? หัวใจของข้าเองก็เจ็บปวดเช่นกัน! ฮึ่ม! ถ้าไม่ใช่เพราะข้ากลัวว่าเจ้า เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อยคนนี้จะอดตายง่ายๆ หากไม่มีจะกินหลังข้าตายจากไป เจ้าคิดว่าข้ามีเวลาว่างมากพอจะมานั่งตีลูกชายของตัวเองเล่นทุกวันหรือ?”

แม้ว่าน้ำเสียงของบิดาของเขาจะยังดูองอาจและเย็นชา แต่หลังจากฟังคำพูดของอีกฝ่าย โจวเหว่ยชิงก็พลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แน่นอน! ไม่ว่าเขาจะตีข้ามากแค่ไหน ตาแก่ผู้นี้ก็ยังเป็นบิดาของข้า!

สำหรับมนุษย์ ในเวลาที่พวกเขาตื่นเต้นก็มักจะโพล่งความจริงออกมาอย่างง่ายดาย บิดาของโจวเหว่ยชิงเองก็กำลังแสดงให้เห็นถึงความจริงในข้อนี้  “ท่านพ่อ ข้า…เอ่อ..ทำกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไปแล้ว”

“ทำไปแล้วก็แล้วไปเถิด…เจ้าทำอะไรไปบ้างตอนมณีสวรรค์ตื่นขึ้นมา?” ถึงตอนนี้ แม่ทัพโจวก็ยังคงตื่นเต้นอย่างยิ่ง แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อ เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าโจวเหว่ยชิงเพิ่งพูดอะไรออกมา ชายหนุ่มคว้าชุดเกราะหนังของโจวเหว่ยชิงขึ้น ทำให้เสือขาวตัวน้อยต้องหดหัวกลับลงไปที่เดิมอีกครั้ง “เจ้าพูดว่าอะไรนะ!!? เจ้าทำอะไร?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างโง่งมและพูดว่า“ เอ่อ…นั่น…” หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเรื่องที่ตัวเองกลืนกินไข่มุกสีดำเข้าไป จากนั้นก็หนีออกจากบ้าน และบอกทุกสิ่งทุกอย่างกับบิดาของเขาทั้งหมด

แม้ว่าแม่ทัพโจวจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นกลาง แต่ฟังหลังจากฟังประสบการณ์ของบุตรชายเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นั่นก็ยังทำให้สีหน้าของเขาต้องเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง การเปลี่ยนแปลงสีหน้าครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือเมื่อโจวเหว่ยชิงเล่าถึงการตื่นขึ้นของมณีสวรรค์ของเขาและการเสียสละของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และสีหน้าแตกตื่นก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อลูกชายเล่าว่าตนถูกฮูเหยียนเอ้าป๋อรับเป็นศิษย์

โจวเหว่ยชิงเล่าเรื่องราวของตนจนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง เมื่อเขาเล่ามาจนถึงสิ่งที่ประสบในเดือนที่ผ่านมา เด็กหนุ่มก็ส่งคัมภีร์วิชาเทพอมตะให้บิดาดู

เมื่อแม่ทัพโจวพลิกดูคัมภีร์วิชาเทพอมตะนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีที่อ่านไปได้ไม่กี่บรรทัด มือของเขาเงื้อขึ้นสูงราวกับกำลังจะทุบตีโจวเหว่ยชิงอีกครั้งอย่างลืมตัว แต่ทว่าชายหนุ่มก็หยุดตัวเองได้หลังผ่านไปครึ่งทาง

“ท่านพ่อ ท่านต้องรักษาคำพูดของท่านนะ ท่านบอกว่าจะไม่ตีข้าตอนนี้” โจวเหว่ยชิงพูดจาน่าสงสารกับบิดาของเขา

แม่ทัพโจวโยนคัมภีร์วิชาเทพอมตะคืนให้ลูกชาย โจวเหว่ยชิงจึงรีบเก็บมันไว้ที่อก

แม่ทัพโจวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จะพูดว่า…เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อยเช่นเจ้ากินไข่มุกสีดำแปลกๆ เข้าไปและฝึกฝนวิชาเทพอมตะที่ไร้สาระเล่มนี้ กระตุ้นกลิ่นอายปีศาจภายในไข่มุกสีดำเม็ดนั้นให้ตื่นขึ้นมา จากนั้นเจ้าก็ยังเอาเปรียบซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยการจับเธอเป็นเครื่องสังเวยเพื่อปลุกมณีสวรรค์ของเจ้า? และปิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ฆ่าไอ้ลูกหมาเช่นเจ้าอีกด้วย?”

โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเองอย่างเย้ยหยัน ท่านพ่อ ถ้าท่านเรียกข้าว่าไอ้ลูกหมา นั่นไม่ได้หมายความว่าท่านเป็น…

“เอ่อ…ใช่…ถูกต้องแล้ว”

คิ้วที่ขมวดคิ้วแน่นของแม่ทัพโจวผ่อนคลายเล็กน้อย เขาถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “ปิงเอ๋อร์เป็นผู้หญิงที่ดีเกินไปจริงๆ! เฮ้อ…เจ้าควรจะปฏิบัติต่อเธอให้ดีและดูแลเธอสุดความสามารถของเจ้า จากนี้ไปปิงเออร์จะเป็นลูกสะใภ้ตระกูลโจวของเรา ฮึ่ม! เจ้าไม่ได้แสดงละครเก่งมากนักหรือ? แถมยังเรียนรู้กลอุบายมามากมาย ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะทำอะไรลงไป แต่เจ้าต้องหาทางพาปิงเออร์กลับไปตระกูลให้เร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม เจ้าควรจำไว้ว่าเจ้าห้ามบังคับเธอเด็ดขาด ปิงเออร์ต้องยินดีที่จะมากับเจ้าด้วยตัวเอง!”

โจวเหว่ยชิงกระพริบตาด้วยความประหลาดใจ เขารู้สึกดีใจมากจึงพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “ท่านพ่อ หมายความว่าท่านยอมรับข้ากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช่หรือไม่?”

แม่ทัพโจวส่งเสียงฮึอีกครั้งแล้วพูดว่า “ในครั้งนี้เจ้าถือว่าได้เปรียบมาก เด็กเหลือขอตัวน้อย สำหรับฮูเหยียน      เอ้าป๋อ เมื่อเจ้าอายุ 16 ปี เจ้าควรพยายามอย่างหนักเพื่อเรียนรู้วิธีสร้างศาสตรามณียุทธ์กับเขา เจ้าน่าจะตระหนักถึงความสำคัญของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ต่ออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรา เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว มุ่งหน้าไปทางตะวันตกเพื่อกลับไปที่ค่าย เมื่อถึงแล้วก็ให้รีบไปเก็บข้าวของซะ พรุ่งนี้เจ้าจะออกเดินทางไปกับปิงเอ๋อร์ ไปรายงานตัวที่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์”

โจวเหว่ยชิงสับสนเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่าบิดาจะยอมรับในตัวเขาได้อย่างง่ายดายหลังจากที่ได้รู้เกี่ยวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ อย่างน้อยเขาก็คิดว่าตนเป็นพ่ออาจจะชกเขาสักหมัด

เขาถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ “ท่านพ่อ…นั่นมัน? ท่านไม่ขอให้ข้าฝึกฝนให้หนักยิ่งขึ้นหรือ?”

แสงแปลกประหลาดแวบเข้ามาในดวงตาของแม่ทัพโจว และเขาพูดอย่างโมโห “ ทำไมต้องรีบ? ทำไมข้าต้องเร่งรัดเจ้า วิชาเทพอมตะที่ไร้สาระเช่นนี้รีบร้อนได้หรือ? ไอ้ลูกหมา! เจ้าควรจำไว้ว่าถ้าเจ้ากล้าตายต่อหน้าบิดาของเจ้าล่ะก็ ข้าจะทำให้ตัวเองกลายเป็นผีและตามไปหักขาของเจ้า ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว!”

โจวเหว่ยชิงเห็นว่าบิดาของเขาใกล้จะถึงจุดระเบิดอีกครั้งจึงไม่รั้งรออีกต่อไป เด็กหนุ่มรีบกระโจนวิ่งแจ้นออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองดูบุตรชายที่วิ่งจากไป แม่ทัพโจวก็พลางหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เขาพึมพำกับตัวเอง “ฮึ่ม! ใครยังกล้าพูดว่าลูกชายของข้าเป็นเศษสวะอีก! ฮ่าๆ! เขาเป็นสุดยอดอัจฉริยะท่ามกลางอัจฉริยะทุกคน! ปิงเอ๋อร์ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นก็เก่งมากเช่นกัน หากนางคอยควบคุมเขา เจ้าเด็กเหลือขอนั่นก็ไปไหนไม่รอดแล้ว! หึ! เจ้าเด็กนั่นยังอยากจะให้ข้าสอนเขาอีก ข้าจะมีอะไรสอนเขาอีกล่ะ! ทักษะธาตุที่ดีที่สุดในมณีธาตุดวงที่ 8 ของข้าคือทักษะสัมผัสมืด แต่เด็กเหลือขอตัวน้อยนั่นกลับ… วะฮ่าๆ!”

…………………………….

แม่ทัพโจวยิ้มออกมาเบาบางและพูดว่า “ดีมาก เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตะลึงงัน เธออดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่เขา

แม่ทัพโจวยืนขึ้นอย่างช้าๆ เขาเดินไปตรงหน้าเธอ ก่อนจะยิ้มขณะที่พูดว่า “ตอนแรก ที่องค์จักรพรรดิและข้าได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้ายืนยันจะให้เจ้าเข้ากองทัพแม้ว่าองค์จักรพรรดิจะทรงคัดค้านก็ตาม เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงเลือกเช่นนั้น?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวด้วยความสับสน

แม่ทัพโจวกล่าวต่อไปว่า “นั่นเป็นเพราะค่ายทหารเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการใช้กระตุ้นนิสัยที่แท้จริงของเจ้าออกมา หากเจ้าอยากจะเป็นทหาร ทุกอย่างก็ต้องเริ่มที่ค่ายทหาร เมื่อเจ้าได้สัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง เมื่อได้เห็นการนองเลือดที่แท้จริงและทหารที่ถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา ในอนาคตเจ้าจะรู้เส้นทางของตนเอง รู้ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นการลาออกของเจ้า ข้าจะยอมรับมัน ในอนาคต หากเจ้ากลับมายังค่ายทหาร เจ้าจะได้รับเงินเดือนเทียบเท่าผู้บัญชาการกองพัน และในเวลานั้น ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่พูดคำว่า ‘ขอลาออก’ อีก”

หลังจากกล่าวจบ แม่ทัพโจวก็กลับไปที่เก้าอี้ของผู้บัญชาการสูงสุดของตน เขานั่งลงพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ คำตัดสินของเจ้ามาถึงแล้ว”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คุกเข่าลงข้างเดียว ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยอยู่ที่นี่”

แม่ทัพโจวกล่าวต่อ “อนุญาตให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันที่ 3 กรมทหารราบที่ 5  ตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันจะถูกครอบครองต่อโดยเซียวเซ่อ พรุ่งนี้เช้า ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะกลับไปที่เมืองหลวงและจะไปรายงานตัวที่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์”

เมื่อเธอได้ยินคำว่า ‘หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์’ ร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็สั่นสะท้านเล็กน้อย เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพโจวอีกครั้ง ดวงตาที่งดงามของเธอแสดงให้เห็นถึงความสุขสม แม่ทัพโจวกล่าวพร้อมกับความนัยลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเขา “หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์เป็นสถานที่ที่จะทำให้เจ้ารู้จักตนเองมากยิ่งขึ้น แต่คราวนี้เจ้าจะไม่มีคนคอยหนุนหลังอีกต่อไป เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?”

ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หรืออาจพูดได้ว่ากระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ข้าเข้าใจ ขอขอบคุณท่านแม่ทัพที่ให้โอกาสนี้กับข้า ไม่ว่าข้าจะต้องฝึกหนักแค่ไหน ข้าก็จะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อข้ากลายเป็นสมาชิกที่แท้จริงของหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ให้ได้”

แม่ทัพโจวพยักหน้าและพูดว่า “ดีมาก กลับไปเก็บข้าวของของเจ้า พรุ่งนี้เช้าเจ้าสามารถออกเดินทางได้”

“น้อมรับคำสั่ง” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน มองไปยังโจวเหว่ยชิงที่กำลังคุกเข่าลงด้านข้างท่านแม่ทัพด้วยท่าทียอมจำนน ก่อนจะเดินออกจากกระโจมไป

ทันทีที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกจากกระโจมไป ใบหน้าของแม่ทัพโจวก็เปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน เผลอๆ อาจจะดำกว่าก้นหม้อด้วยซ้ำ เขามองไปที่เกาเฉินและเฉียนจ้านเทียนที่ยืนอยู่ด้านข้าง จากนั้นก็กล่าวว่า “เจ้าทั้งคู่ออกไปได้แล้ว หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ห้ามใครเข้ามาขัดจังหวะ”

เจ้าหน้าที่ 2 คนเป็นนายทหารระดับสูงสุดในกองทัพอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ แต่พวกเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะน้อมรับคำสั่งของแม่ทัพโจว  ทั้งคู่คำนับแสดงความเคารพเขาก่อนจะมุ่งหน้าออกไปทันที ในขณะนี้จึงมีเพียง 3 คนที่เหลืออยู่ในกระโจม แม่ทัพโจว โจวเหว่ยชิงและเซียวหรูเซ่อ

“เจ้าเด็กเหลือขอ มานี่เดี๋ยวนี้!” แม่ทัพโจวตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

“อา” โจวเหว่ยชิงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปพร้อมกับใบหน้าเศร้าหมอง ในขณะที่เดินผ่านเซียวหรูเซ่อ เขาก็ตวัดสายตาจ้องเธอทันที

เซียวหรูเซ่อยักไหล่ใส่เขาด้วยสีหน้าหมดหนทาง เหว่ยน้อย ในกองทัพ หากรู้ข้อมูลแต่ไม่รายงานถือว่าเป็นเรื่องใหญ่และร้ายแรงมาก ถ้าลุงโจวไม่มา ข้าก็ยังสามารถปกปิดมันไว้ได้ แต่เพราะตอนนี้เขามาด้วยตัวเอง ถ้าข้าไม่บอกความจริงกับเขา หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าในอนาคต ข้าจะสู้หน้าแม่ทัพโจวได้อย่างไร?

เท้าของพลเอกโจวพุ่งทะยานเข้าหาโจวเหว่ยชิงโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า *ปั่ก* ร่างของโจวเหว่ยชิงถูกกระแทกจนเซถลากลับไปข้างหลัง 5 เมตร เขากลิ้งตัวหลายตลบบนพื้นก่อนนอนจะไปแอ้งแม้งอยู่ตรงนั้น

กรามขอเซียวหรูเซ่ออ้าค้างอย่างตกตะลึง แม้เธอจะรู้ว่าแม่ทัพโจวมักมีอารมณ์รุนแรง แต่เธอกลับไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะโหดเหี้ยมกับลูกชายตนเองขนาดนี้

“หืม?” ดวงตาของแม่ทัพโจวเผยความประหลาดใจออกมา เมื่อกี้ตอนที่เขาเตะโจวเหว่ยชิง จุดที่เท้าของชายหนุ่มเตะลงไปกลับรู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มและความยืดหยุ่นที่ช่วยลดแรงกระแทกได้เกือบทั้งหมด

โจวเหว่ยชิงนอนบนพื้นและร้องไห้ออกมา เขาร้องโวยวายว่า “ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว! ยังไงซะ ข้าก็เป็นลูกชายคนเดียวของท่าน เห็นแก่ท่านแม่ ท่านตีข้าเบาๆ หน่อยจะได้ไหม!?”

แม่ทัพโจวกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้ายังจำแม่ของเจ้าได้อยู่เหรอ? นางเกือบจะโมโหตายเพราะเจ้า เลิกแสดงละครได้แล้ว ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้”

โจวเหว่ยชิงไม่กล้าแสดงละครต่อหน้าบิดาของเขาอีกต่อไป เด็กหนุ่มลุกพรวดพราดขึ้นมาทันทีจนทำให้หมวกลมบนศีรษะของเขาหล่นลงมา โจวเหว่ยชิงรีบฉวยโอกาสเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของบิดาอย่างรวดเร็ว ท่าทางของเขาราวกับว่าตนเองเป็นเพียงกระสอบทรายเก่าๆ ใบหนึ่ง เมื่อรวมกับใบหน้าที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์และอารมณ์เศร้าโศกของเขา แม้แต่เซียวหรูเซ่อเองก็ยังอดรู้สึกสงสารไม่ได้เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวหรูเซ่อได้เห็นแม่ทัพโจวสั่งสอนโจวเหว่ยชิง และเธอก็คิดกับตัวเองว่า บิดากับบุตรชายคู่นี้แน่นอนว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างแท้จริง คนเป็นพ่อเตะลูกกระเด็นออกไปไกลถึง 5 เมตร แต่คนลูกกลับยังลุกขึ้นยืนหน้าตาเฉย

“ท่านพ่อ ให้โอกาสข้าอธิบายก่อน! ครั้งนี้มันไม่ใช่ความผิดของข้า!” ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกล่าวเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้เซียวหรูเซ่อ หากบิดาพยายามจะตีเขาอีกครั้ง เขาจะวิ่งไปที่หลบข้างหลังเธอ!

แม่ทัพโจวมาปรากฏตัวต่อหน้าเขา “คุกเข่าลง อธิบายมา”

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ “ท่านพ่อ ต่อหน้าท่านพี่หรูเซ่อ ท่านช่วยรักษาหน้าข้าบ้างจะได้ไหม?”

แม่ทัพโจวกรอกตาและจ้องมองเขาอีกครั้ง “หน้า? เจ้ายังมีหน้าให้รักษาอีกหรือ? อยากให้บิดาของเจ้าฟาดหน้าเจ้าแทนหรือไม่? ฮึ่ม! บอกไว้ก่อน ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ! ตอนนี้ในกระเพาะของพ่อเจ้าอัดแน่นไปด้วยความโกรธ ถ้าตอนนี้เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอีก ข้าจะตีเจ้าจนแม่เจ้าจำเจ้าไม่ได้เลยทีเดียว!”

แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงเคยถูกทุบตีมานับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะคุกเข่าลงพลางคิดกับตัวเองถ้าท่านตีข้าจนท่านแม่จำไม่ได้ นางย่อมต้องตีท่านคืนแน่!

“ท่านพ่อ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเช่นนี้ วันนั้นข้าไปที่ป่าดาราเพื่อเล่นน้ำคลายร้อน นั่นเป็นจุดเดิมที่ข้าไปอาบน้ำตามปกติ ใครจะรู้ว่าข้าจะเจอเจ้าหญิงที่ไปอาบน้ำที่นั่นเหมือนกัน! นั่นเป็นเรื่องบังเอิญชัดๆ! ตี้ฝูหยาคนนั้นหยิ่งผยองและดื้อรั้นเกินไป นางไม่ยอมฟังคำอธิบายของข้าเลยสักนิด ทั้งยังใช้มณีธาตุของนางโจมตีข้า รู้หรือไม่ว่าท่านเกือบสูญเสียลูกชายไปแล้วนะ!”

“ด้วยเหตุนั้น เจ้าจึงหนีไปเช่นนั้น?” แม่ทัพโจวกล่าวเสียงเยือกเย็น ในความเป็นจริง ตี้ฝูหยาได้บอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นแล้ว เพราะเธอรู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมาก เธอจึงไม่กล้าปิดบังอะไรเลย เช่นนี้เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น หากไม่ใช่เพราะแท้จริงแล้วโจวเหว่ยชิงไม่ได้ทำอะไรผิด ฝ่าเท้าของเขาคงไม่ได้โผล่เข้าไปทักทายลูกชายแค่เพียงข้างเดียวแน่ ด้วยอารมณ์โกรธของแม่ทัพโจว เขาอาจจะทุบโจวเหว่ยชิงจนบวมฉึ่งกลายเป็น ‘อ้วนน้อยโจว’ ไปแล้วจริงๆ ก็ได้ ไม่สิ บางทีอาจจะต้องเรียกว่า ‘อ้วนใหญ่โจว’ ต่างหาก

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างโศกเศร้า “ข้าจะไม่หนีไปแบบนั้นได้ยังไง? ใครจะรู้ว่าตี้ฝูหยาจะพูดอะไรบ้างเมื่อนางกลับไป ถ้านางโบ้ยความผิดมาให้ข้าล่ะ ด้วยอารมณ์ของท่าน ท่านจะไม่หักขาข้าหรือ? ดังนั้นเพื่อหลานชายในอนาคตของท่าน ข้าเลยตัดสินใจเอาชีวิตรอดไว้ก่อน เมื่อคิดได้ดังนั้นข้าเลยหนีออกมาและพยายามจะหาทางสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองก่อน ถึงเวลานั้น พอข้ากลับไปที่ตระกูล นั่นจะไม่ทำให้ท่านพ่อภาคภูมิใจหรอกหรือ? ข้าไปเห็นประกาศรับสมัครทหารใหม่พอดี ดังนั้นข้าจึงสมัครเข้าร่วมกองทัพ”

เมื่อมองดูผู้เป็นบิดา เขาก็คิดกับตัวเอง: ดูเหมือนท่านพี่หรูเซ่อจะไม่ได้บอกความจริงกับเขาทั้งหมด ท่านพ่อยังไม่รู้เกี่ยวกับมณีสวรรค์ของข้า ฮ่าๆ!

เพื่อได้ฟังคำอธิบายจากลูกชาย สีหน้าของแม่ทัพโจวก็คลี่คลายลงเล็กน้อย เขารู้จักตนเองดี หากตี้ฝูหยาโบ้ยความผิดให้โจวเหว่ยชิงและโกหกว่าเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มคงไม่ยอมอภัยให้โจวเหว่ยชิงเป็นแน่

“งั้นบอกข้าหน่อยสิ ตั้งแต่เจ้าเข้าร่วมกองพันที่ 3 เจ้าใช้ชื่อปลอมว่าอะไร?” แม่ทัพโจวพูดอย่างเฉยเมย ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะอ้าปากพูดอะไร เซียวหรูเซ่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ตอบออกมาอย่างรวดเร็ว “ลุงโจว เหว่ยน้อยแสดงฝีมือการต่อสู้ของเขาออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก เขาไม่เพียงแต่จะได้รับรางวัลทหารใหม่ที่โดดเด่นที่สุดในการแข่งขันระหว่างทหารใหม่และได้รับยศเป็นนายหมู่ แต่ยังได้รับการแต่งตั้งจากผู้บัญชาการกองพันให้เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเธออีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างการซุ่มโจมตีครั้งก่อนหน้า ขณะที่ผู้บัญชาการซ่างกวนปิงเออร์ถูกโจมตี ลูกศรของเขาเป็นตัวพลิกสถานการณ์ในสนามรบและช่วยชีวิตเธอเอาไว้อีกด้วย หากพูดถึงผลงานของเขาในสนามรบ เขาต้องได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้บัญชาการกองร้อยด้วยซ้ำ!”

คำพูดของเซียวหรูเซ่อทำให้ท่าทางของแม่ทัพโจวดูดีขึ้นมาก เขาพูดอย่างอ่อนโยน “หรูเซ่อ เจ้ายกย่องเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้มากเกินหรือเปล่า? ข้าจะไม่รู้ความสามารถของลูกข้าได้อย่างไร ปิงเอ๋อร์ยังจะต้องให้เขาช่วยอีกหรือ?”

เซียวหรูเซ่อยิ้มบางเบาและพูดว่า “ลุงโจว ข้าควรให้เหว่ยน้อยเล่าให้ท่านฟังเอง ข้ามั่นใจว่าท่านจะต้องประหลาดใจแน่ นักปราชญ์จากไปเพียง 3 วัน หลังกลับมาก็ยังต้องมองพวกเขาใหม่ เหว่ยน้อยในตอนนี้ไม่เหมือนกับเหว่ยน้อยคนเดิมอีกต่อไปแล้ว”

“หืม?” แม่ทัพโจวมองบุตรชายของตนอย่างสงสัย ชายหนุ่มไม่ได้คิดไปถึงเรื่องที่ว่าโจวเหว่ยชิงอาจกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์เลยเพราะเขาย่อมรู้อาการของบุตรชายตนเองดีที่สุด หากลมปราณของโจวเหว่ยชิงอุดตัน อย่างไรก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถฝึกปราณสวรรค์ แม่ทัพโจวใช้เวลาหลายปีในการทดลองใช้วิธีการต่างๆ เสียเวลาและเหน็ดเหนื่อยอย่างมากเพื่อเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าบุตรชายของเขาไม่สามารถฝึกปราณสวรรค์ได้ แต่ถึงแม้ตนเองจะมีพลังปราณสวรรค์ระดับเทวะขั้นกลาง เขาก็ยังไม่สามารถช่วยบุตรชายเกี่ยวกับความบกพร่องในเส้นลมปราณที่อุดตันได้อยู่ดี และตอนนี้ชายหนุ่มก็ได้สูญเสียความหวังทั้งหมดไปแล้ว

“พูดออกมา เกิดอะไรขึ้น?” แม่ทัพโจวพูดอย่างเย็นชาขณะที่จ้องไปยังบุตรชายของตน

คราวนี้โจวเหว่ยชิงเหยียดหลังตรงและยืดตัวขึ้นเต็มความสูง เขาคิดกับตัวเองในใจ ฮ่าๆ ในที่สุดข้าก็สามารถยืดอกต่อหน้าท่านพ่อได้อย่างภาคภูมิใจแล้ว! เขายิ้มแย้มแจ่มใสและพูดว่า “ท่านพ่อ ตอนนี้ลูกชายของท่านเป็นจ้าวมณีสวรรค์!” ในขณะที่พูด จอมเจ้าเล่ห์น้อยก็ดึงแขนเสื้อของเขาขึ้นและชักนำพลังปราณสวรรค์ออกมา มณียุทธ์หยกน้ำแข็งและมณีธาตุไพฑูรย์ตาแมวพลันปรากฏขึ้นพร้อมกันเหนือข้อมือของเขา จากนั้นก็เริ่มหมุนวนไปรอบๆ

แม่ทัพโจวมองดูมณีสวรรค์ที่ลอยวนอยู่รอบข้อมือของโจวเหว่ยชิงอย่างตกตะลึง ทันใดนั้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน ชายหนุ่มตะโกนออกมาว่า “เจ้าเด็กสารเลว!”

“เอ๋?” โจวเหว่ยชิงค่อนข้างตกใจกับการดุด่าของบิดา เขาคิดกับตัวเองว่า เกิดอะไรขึ้น? ตอนนี้ข้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว แต่ท่านพ่อกลับยังด่าทอข้าอีก?

“เจ้า… เจ้ากล้าแสร้งทำตัวเป็นจ้าวมณีสวรรค์เพื่อหลอกลวงข้าและหลบหนีการลงโทษจากข้าหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังใช้ไพฑูรย์ตาแมวสีน้ำเงินอีก? เจ้าไม่รู้วิธีหลอกให้มันเนียนๆ กว่านี้หรือ? ฮึ! ทำให้บิดาของเจ้ามีความสุขแค่ชั่วพริบตาก่อนจะต้องฝันสลาย รอก่อนเถิด ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย!” ในขณะที่เขาพูด แม่ทัพโจวก็ก้าวไปข้างหน้าแล้ว  มือของเขาพลันพุ่งตรงไปยังศีรษะของโจวเหว่ยชิง

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะไม่เชื่อโจวเหว่ยชิง เนื่องจากความคิดที่ฝังใจไปแล้วมักจะมีผลอย่างมากต่อผู้คน และสำหรับเขา คนที่เคยทนทุกข์ทรมานและพยายามทุกวิถีทางมานานนับ10ปีเพื่อที่จะลองแก้ไขเส้นชีพจรของบุตรชายตนเองแต่ก็ยังไม่สามารถหาวิธีช่วยได้ นั่นจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเจ็บปวดมากสำหรับเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงคิดไปเองทันทีว่าโจวเหว่ยชิงกำลังโกหกหลอกลวงตน ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ไพฑูรย์ตาแมวสีน้ำเงินที่เขาเห็นก็ยังมีความพิเศษและแปลกออกไปจากปกติมาก เป็นธรรมดาที่ชายหนุ่มจะไม่นึกถึงมณีที่หายากเช่นไพฑูรย์ตาแมวสองสี

เมื่อฝ่ามือของเขากำลังพุ่งเข้าไปหาโจวเหว่ยชิง แน่นอนว่ามันย่อมเต็มไปด้วยพลังรุนแรงที่มาจากความโกรธล้วนๆ อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วเด็กคนนี้ก็เป็นบุตรชายคนเดียวของตน ดังนั้น ก่อนที่มือข้างนั้นจะพุ่งไปถึงตัวโจวเหว่ยชิง ฝ่ามือของเขาก็พลันเปลี่ยนทิศทาง พุ่งเป้าไปที่ไหล่ของโจวเหว่ยชิงแทน มิเช่นนั้นเมื่อฝ่ามือนั้นกระทบใบหน้าโจวเหว่ยชิง เขาก็อาจจะกลายเป็น ‘โจวไร้ฟัน’ ก็ได้

“แง้ววว แง้ววว” เสียงร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น จากนั้นหัวน้อยๆ ของลูกสัตว์สีขาวน่ารักตัวก็หนึ่งโผล่ออกมาจากชุดเกราะหนังของโจวเหว่ยชิง มันข่มขู่แม่ทัพโจวด้วยเขี้ยวเล็กๆ ของมัน แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงไม่ยืนเฉยๆ รอรับการโจมตีครั้งนี้แน่ ขาขวาของเขากระแทกกับพื้นอย่างแรง จากนั้นร่างของเขากระโจนถอยหลังออกไป 2-3 เมตร ทันหลบระเบิดลูกย่อมๆ ที่พุ่งเข้ามาหาได้อย่างพอดิบพอดี

…………………………

“เอามือเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว “เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น? ฮึ่ม! ให้ข้าตัด ‘เจ้านั่น’ ออกสิ แล้วข้าก็จะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม!”

โจวเหว่ยชิงเผลอหนีบขาทั้ง 2 ข้างเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะก้าวถอยหลังกลับไป 2-3 ก้าวด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าของเขาซีดเผือก “ปิงเอ๋อร์ อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นไป! เพื่อความสุขในอนาคตของเจ้า…ข้า…ไม่เอารางวัลก็ได้”

“หึ แสดงละครของเจ้าต่อไปเถอะ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทั้งรู้สึกรำคาญและขบขันไปในเวลาเดียวกันเมื่อเห็นท่าทีหวาดกลัวของโจวเหว่ยชิง ทันใดนั้น ความทรงจำเมื่อคืนวานก็แวบผ่านเข้ามาในหัวเธออีกครั้ง นัยน์ตาของเธอจึงค่อยๆอ่อนลงทันที จู่ๆ แสงสีเขียวก็สว่างวาบขึ้นมาโอบล้อมรอบตัวเธอเอาไว้ โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าอากาศเบื้องหน้าเขาขยับวูบไหว จากนั้นร่างนุ่มนิ่มก็พุ่งเข้ามาสวมกอดตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะได้ทันขยับตัว ทั่วร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เปล่งแสงสีเขียวขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเธอก็หายไปวับไปในทันที ทิ้งไว้เพียงการเคลื่อนไหวของม่านกระโจมที่บ่งบอกว่าเมื่อสักครู่เคยมีคนเข้ามา

“ฮ่าๆ…ฮ่าๆ…” โจวเหว่ยชิงยืนหัวเราะอย่างโง่เง่ากับตัวเอง เขาก้มหน้าลงไปมองเสือขาวตัวน้อยในอ้อมแขนแล้วพูดอย่างมีความสุข  “เจ้าเห็นไหม! เห็นนั่นไหม?! ปิงเออร์กอดข้า เธอเพิ่งกอดข้าด้วยตัวเอง! ฮ่าๆ! การทำตัวเป็นสุภาพบุรุษนี่ช่างให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

เสือขาวตัวน้อยกลอกตาราวกับกำลังจะบอกว่า ดูเจ้าสิ เฮ้อ จากนั้นมันก็ไม่ใส่ใจเด็กหนุ่มอีก ลูกเสือขาวขยับตัวซุกเข้าไปในอ้อมแขนของเขามากยิ่งขึ้นก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆ

เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปถึงครึ่งเดือนแล้ว ดูเหมือนว่าหลังจากเหตุการณ์ที่พวกเขาลอบเข้าไปโจมตีในวันนั้น อาณาจักรคาลิเซก็ไม่ได้มีท่าทีตอบโต้อะไรกลับมา และการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ทั้งยังเป็นการปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ ตามปกติอีกด้วย

ในครึ่งเดือนนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกปราณอย่างเงียบๆ นอกจากรับประทานอาหาร 3 มื้อแล้ว ทั้งวันเธอก็ไม่เคยก้าวออกจากกระโจมเลย ด้านโจวเหว่ยชิง เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกปราณเช่นกัน นอกเหนือจากการเพิ่มระดับปราณสวรรค์แล้ว เขายังใช้เวลาไปกับการพยายามรื้อฟื้นความรู้สึกในช่วงเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างและวิธีที่เขาใช้ฆ่าหมาป่าโลกันตร์ พยายามค้นหาวิธีที่จะใช้ทักษะธาตุของเขาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และเรียนรู้วิธีการจับคู่ทักษะธาตุต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อใช้ประสานในการต่อสู้ ด้วยอัตราการฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ที่รวดเร็ว เขาจึงสามารถผสมทักษะธาตุบางชนิดเข้าด้วยกันได้

สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดสำหรับโจวเหว่ยชิงคือ ใน 15 วันที่ผ่านมานี้เสือขาวตัวน้อยของตนไม่ยอมกินอาหารใดๆ เลย ตอนแรกเขาค่อนข้างกังวลและพยายามบังคับป้อนอาหารให้มัน แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเจ้าตัวน้อยก็ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยพละกำลังมากขึ้นโดยไม่ต้องกินอะไรทั้งสิ้น มันไม่มีท่าทางหิวโหยหรือหดหู่ซึมเศร้าอะไรเลยด้วยซ้ำ โดยปกติแล้วโจวเหว่ยชิงเป็นคนไม่พิถีพิถันอะไรมากนัก เขาจึงทึกทักเอาว่านั่นน่าจะเป็นพลังของอสูรสวรรค์ตัวนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก

ในตอนเย็น

“เหว่ยน้อย เจ้าอยู่ไหม?” เสียงที่คุ้นเคยของเซียวหรูเซ่อดังออกมาจากข้างนอกกระโจม สำหรับโจวเหว่ยชิง เขาสามารถหยุดการฝึกปราณได้ทุกเมื่อเนื่องจากหลุมดำพลังปราณทั้ง 5 นั้นสามารถดูดกลืนพลังปราณจากภายนอกได้ตลอดเวลา หากพูดว่าฝึกปราณ นั่นหมายความว่าเขากำลังมุ่งสมาธิไปที่หลุมดำพวกนั้น เพื่อเร่งความเร็วในการดูดกลืนพลังปราณให้เพิ่มขึ้นมากกว่าปกตินั่นเอง เมื่อเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงจึงสามารถฝึกปราณได้ทุกท่า ไม่ว่าจะท่านั่งหรือท่านอนราบโดยไม่มีความแตกต่าง โดยปกติแล้วส่วนใหญ่เขาเลือกที่จะนอนราบ ถึงแม้บางครั้งเขาจะเผลอหลับไปบ้างก็ตาม

เมื่อได้ยินว่าเซียวหรูเซ่ออยู่ข้างนอก เขาก็หยุดฝึกปราณอย่างรวดเร็วและร้องตอบออกไป “ท่านพี่หรูเซ่อ ข้าอยู่ที่นี่ เข้ามาสิ”

เซียวหรูเซ่อเข้ามาข้างในกระโจม ชุดเครื่องแบบของเธอประดับไปอุปกรณ์ทหารเต็มรูปแบบ เสริมให้บุคลิกของเธอดูองอาจและสง่างาม ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ในขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิงกำลังฝึกปราณอย่างอิสระเสรี เธอต้องทำงานอย่างหนักเพื่อจัดตั้งกองทหาร ฝึกทหารและแบ่งทหารใหม่ออกเป็นหมู่และกองร้อยต่างๆ เมื่อเธอเข้ามาข้างใน โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ถึงรัศมีของทหารกล้าที่แผ่ออกมาจากร่างของเธอได้อย่างชัดเจน

“หืมมมม” โจวเหว่ยชิงแอบจ้องที่หน้าอกของเซียวหรูเซ่อและถอนหายใจออกมาเบาๆ

เซียวหรูเซ่อจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจอมเจ้าเล่ห์ตัวน้อยคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เธอจึงพูดอย่างเคืองๆ ว่า “เจ้าโง่เหว่ยน้อย เจ้ากำลังมองอะไรอยู่?”

โจวเหว่ยชิงมองเธอด้วยสีหน้าไร้เดียงสาและพูดว่า “เปล่า! ข้ามองอะไรหรือ?” การแสดงออกว่าตนไร้เดียงสาอย่างหน้าด้านๆคือความสามารถเฉพาะตัวที่ดีที่สุดของเขาอยู่แล้ว

เซียวหรูเซ่อส่งเสียงฮึแล้วพูดว่า “อ้วนน้อยตัวเหม็น! ตามข้ามา ข้าต้องไปเรียกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วย”

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเกียจคร้าน “เรากำลังจะไปทำอะไรหรือ?”

การแสดงออกของเซียวหรูเซ่อค่อนข้างมีพิรุธเล็กน้อย เธอยิ้มกว้างและพูดว่า “มากับข้าแล้วเจ้าจะรู้เอง กองบัญชาการใหญ่ได้ส่งคำตัดสินของซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาแล้ว เจ้าไม่อยากรู้เหรอ? ท่านพี่ของเจ้าจะพาไปดูเอง เพราะยังไงซะเจ้าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของซ่างกวนปิงเอ๋อร์”

เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวหรูเซ่อ โจวเหว่ยชิงก็แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นทันที เขาได้บอกกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าไม่ว่าเธอจะทำอะไรเขาก็จะติดตามเธอไปแน่นอน อย่างไรก็ตามนี่คือกองทัพ และทหารก็ต้องทำตามคำสั่ง หากรู้ว่าคำตัดสินของเธอคืออะไร มันก็จะง่ายสำหรับพวกเขาที่จะวางแผนสิ่งต่างๆ ในอนาคต ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงซุกเสือขาวตัวน้อยเข้าไปในชุดเกราะหนังของเขาและติดตามเซียวหรูเซ่อออกจากกระโจมไป

เซียวหรูเซ่อเดินไปที่กระโจมด้านข้างเพื่อเรียกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ก่อนนำทั้งสองไปมุ่งหน้าไปยังกระโจมขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการใหญ่ของกรมทหารที่ 5

ขณะที่พวกเขากำลังเดินตามเซียวหรูเซ่อไป โจวเหว่ยชิงก็สังเกตว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังก้มหน้าลงต่ำและสีหน้าของเธอก็ค่อนข้างซีดเซียว เขาสะกิดเธอด้วยไหล่ของเขาและถามเบาๆ “ปิงเอ๋อร์ เป็นอะไรหรือ? เจ้ากำลังคิดเรื่องอะไร?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “อ้วนน้อย ฝ่าบาทและแม่ทัพโจวไว้วางใจข้ามาก พวกเขาให้ข้าดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพัน…แต่ข้ากลับทำให้ทั้งคู่ผิดหวัง ถึงขั้นลาออกด้วยตัวเอง…”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างสง่าผ่าเผย “อย่าเศร้าไปเลย มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตัดสินใจผิดพลาดไป ด้วยความใจดีและอ่อนโยนของเจ้า เจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำกองทัพหรอก หึ จ้าวมณีสวรรค์ที่มีความสามารถเช่นเจ้า พวกเขาไม่ยอมให้ฝึกปราณดีๆ กลับส่งเจ้าไปให้กองทัพแทน เพราะฉะนั้นพวกเขามีสิทธิอะไรมาตำหนิเจ้าล่ะ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตื่นตระหนกอย่างมาก เธอรีบยกมืออุดปากเขาอย่างรวดเร็วและจ้องเขม็งไปยังเซียวหรูเซ่อที่เดินนำอยู่ข้างหน้า “อ้วนน้อย อย่าพูดอะไรเหลวไหล ทำไมเจ้าถึงกล้าพูดถึงองค์จักรพรรดิกับแม่ทัพโจวแบบนั้น? ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นความผิดของข้าเอง”

โจวเหว่ยชิงรีบฉวยโอกาสจับมือเธอและบีบมันไว้ขณะที่เขาพูด “นั่นไม่สำคัญหรอก  ไม่ว่าคำตัดสินของเจ้าคืออะไร ข้าก็จะไปกับเจ้า”

เซียวหรูเซ่อที่อยู่ข้างหน้าหันมามองพวกเขา รอยยิ้มเล็กๆ ที่แฝงด้วยเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกใจกับการกระทำที่ใกล้ชิดของโจวเหว่ยชิง นี่มันกลางค่ายทหารเลยนะเจ้าบ้า! เธอรีบดึงมือของเธอกลับมาอย่างรวดเร็วและมองเขาด้วยความโกรธ “ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของข้าแล้ว ทำตัวดีๆ หน่อย!”

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาพูดคุยกัน ในที่สุดพวกเขามาถึงกระโจมกองบัญชาการใหญ่เสียที นี่เป็นครั้งแรกของโจวเหว่ยชิงที่จะได้เข้าไปในกระโจมที่ใหญ่ขนาดนี้ กระโจมกองบัญชาการใหญ่นั้นมีขนาดกว้างมาก ตัวกระโจมทำมาจากหนังวัวที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี โครงสร้างเป็นโลหะผสมอย่างดีเพื่อรองรับน้ำหนักผ้าที่ทำจากหนังวัว หากมีการประชุมทหารเกิดขึ้น ข้างในนี้ก็มีขนาดใหญ่พอที่จะจุคนได้กว่า 100 คนเลยทีเดียว

ในขณะที่ประตูทางเข้ากระโจมถูกเลิกขึ้น เซียวหรูเซ่อก็หยุดและพูดเสียงดัง “กองพันที่ 3 เซียวเซ่อ รายงานตัว”

“กองพันที่ 3 ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ รายงานตัว”

เมื่อได้ฟังพวกเขาร้องตะโกน โจวเหว่ยชิงก็มองเข้าไปในกระโจมอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าเมื่อกวาดสายตามองเข้าไปภายใน เด็กหนุ่มก็ต้องตกใจจนวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง

ตรงกลางกระโจมมีชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างแข็งแรงกำยำ อายุประมาณ 50 ปีกำลังนั่งปักหลักอยู่ กล้ามเนื้อสีทองแดงของเขาดูเปล่งปลั่งสุขภาพดี ชายหนุ่มมีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมองอาจ ดวงตาคมกริบและสันจมูกตรง แม้ว่าเขากำลังนั่งอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีรูปร่างขนาดสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแข็งแกร่งคล้ายสลักเสลาขึ้นมาจากหินผาทำให้ชุดเครื่องแบบทหารสีดำแทบปริออกมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักรบผู้กล้าหาญ

แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงเห็นใบหน้าเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน นั่นคงไม่ใช่บิดาของเขา คนที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ โจวสุ่ยหนิว แม่ทัพใหญ่โจวใช่ไหม?

ข้างกายแม่ทัพโจวมีผู้บัญชาการกรมทหารที่ 5 เกาเฉิน และรองผู้บัญชาการเฉียนจ้านเทียนยืนอยู่คนละข้าง เนื่องจากตอนนี้พวกเขากำลังยืนตรงทำความเคารพอยู่ด้วยสีหน้าหวาดกลัวและเคารพนอบน้อม จึงดูเหมือนว่าทั้ง 2 นั้นกลายเป็นใครอีกคนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับสูงผู้ซึ่งมักจะออกคำสั่งกับทหารทั้งกรมอย่างเยือกเย็นดั่งเช่นที่เคยเป็นมาตลอด

“เข้ามา” น้ำเสียงทุ้มหนักของแม่ทัพโจวเอ่ยขึ้น

ในใจของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยความเศร้าสลด เขาเสียใจมากที่ติดตามทั้งสองคนมาที่นี่ ทันใดนั้นเขาก็จ้องไปที่เซียวหรูเซ่อ คิดกับตัวเองว่า ท่านพี่หรูเซ่อ ครั้งนี้ท่านทำให้ข้าเดือดร้อนมาก! หากบิดาจับตัวข้าได้ เขาจะต้องตีข้าจนตายแน่!

จอมเจ้าเล่ห์น้อยคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว เขาเคลื่อนตัวออกไปด้านข้าง ก้มหัวลงและปรับหมวกลมให้บังใบหน้าของเขาเอาไว้ แผนการของโจวเหว่ยชิงคือทำตัวกลมกลืนไปกับเจ้าหน้าที่ทหารคนอื่นๆ เพื่อให้บิดาไม่สามารถสังเกตเห็นตนได้

เซียวหรูเซ่อมองเห็นสิ่งที่โจวเหว่ยชิงกำลังทำอยู่ เธอจึงถอนหายใจออกมาและคิดกับตัวเองว่า ขอโทษนะเหว่ยน้อย ไม่ใช่ว่าท่านพี่คนนี้ไม่ต้องการช่วยเหลือเจ้า แต่ลุงโจวมีเจ้าเป็นลูกชายเพียงคนเดียว หากเขาไม่ได้มาด้วยตัวเอง ข้าก็จะยังสามารถช่วยเจ้าซ่อนตัวจากเขาและไม่รายงานอะไรเกี่ยวกับเจ้า แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่ ข้าจะซ่อนเจ้าไว้ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มุทะลุเกินไป พวกเจ้ากล้าถึงขนาดลอบเข้าไปโจมตีค่ายทหารอาณาจักรคาลิเซ เจ้าสองคนคิดจริงๆ หรือว่าไม่มีใครรู้? ยุ้งฉางเก็บเสบียงของพวกเขาถูกทำลายไปถึง 1 ใน 10 ปัญหาใหญ่ขนาดนี้เจ้าจะปิดบังพวกเราได้อย่างไร?

ในคืนนั้น เมื่อโจวเหว่ยชิงยิงลูกศรราชันอัสนีบาตออกไป ยุ้งฉางหลัก 1 ใน 10 ของอาณาจักรคาลิเซที่มีเสบียงของกองทัพจำนวนมากเก็บไว้ในนั้นถูกเผาไม้จนไม่เหลือซากเพราะไฟจากสายฟ้าของเขา ไม่นานหลังจากนั้น หน่วยสอดแนมและสายลับของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ก็ได้รายงานข่าวนี้กลับมายังกองบัญชาการใหญ่ทันที หลังจากตรวจสอบอย่างรวดเร็วว่าจ้าวมณีคนใดออกจากกระโจมไปบ้าง มันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะคาดเดาตัว ‘ผู้ร้าย’ ได้ แน่นอนสำหรับเซียวหรูเซ่อมันง่ายมากที่จะเดาได้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ย่อมไม่ทำเรื่องนี้คนเดียวแน่

เซียวหรูเซ่อและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ยินคำตอบรับของแม่ทัพโจว พวกเขาจึงเดินเข้าไปในกระโจมทันที ในเวลาเดียวกัน โจวเหว่ยชิงก็พยายามจะหลบเลี่ยงไปอยู่ด้านข้าง เด็กหนุ่มถอยออกไปด้านหลังและคิดว่าตนทำสำเร็จแล้วจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ในขณะที่เขากำลังจะหมุนตัวหันหลังกลับเพื่อวิ่งหนีไปนั่นเอง ณ เวลานั้นน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของแม่ทัพโจวก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังกึกก้อง “เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้ารีบเข้ามาข้างในเดี๋ยวนี้! อย่าให้บิดาของเจ้าต้องออกไปหาแล้วจับเจ้าด้วยตัวเอง”

โจวเหว่ยชิงถูกเสียงนั้นตรึงอยู่กับที่ทันที เขากระจ่างแจ้งแล้วว่าตนถูกท่านพี่หรูเซ่อขาย ตอนนี้ไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัวเลยแม้แต่น้อย กับบิดาผู้แข็งแกร่งของเขา เขาจะหนีพ้นได้อย่างไร? ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นสะท้าน จากนั้นก็เดินคอตกกลับเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง

เซียวหรูเซ่อรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอะไร แต่สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้น ในตอนนี้เธอกลับกำลังตกตะลึงเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ทัพโจวยังนั่งอยู่ตรงหน้า เธออาจจะรีบพุ่งตัวเข้าไปถามโจวเหว่ยชิงแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

แม่ทัพโจวไม่แม้แต่จะปรายตามองไปยังโจวเหว่ยชิง เขาพูดอย่างเยือกเย็น “ไปคุกเข่าที่มุมนั้น เมื่อข้าทำธุระเสร็จ ข้าจะไปจัดการกับเจ้า”

แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่เต็มใจและไม่พอใจเพียงใดเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินลีบๆไปที่มุมด้านข้างของบิดาแล้วคุกเข่าลง ศีรษะของเขาก้มต่ำและหมวกลมก็เลื่อนลงมาปิดบังสีหน้าของเด็กหนุ่มเอาไว้

แม่ทัพโจวหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ น้ำเสียงของเขากลายเป็นอบอุ่นขึ้นมาทันที “ปิงเอ๋อร์ บอกข้าว่าทำไมเจ้าถึงไม่ต้องการเป็นผู้บัญชาการกองพันอีกต่อไปแล้ว?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ปิงเอ๋อร์ยังขาดความสามารถและมีความรู้ตื้นเขินนัก ข้าไม่เคยเรียนรู้วิธีบัญชาการกองทัพมาก่อน และข้าก็ไม่คิดว่าข้าจะสามารถดำรงตำแหน่งที่สำคัญเช่นนั้นได้ ในฐานะทหาร ข้าไม่เคยหวาดกลัวความตาย ข้ายินดีที่จะต่อสู้และตายในสนามรบ แต่ข้าทนไม่ได้ที่จะเห็นสหายของข้าล้มตายเพราะข้าไม่มีความสามารถในการบัญชาการรบพวกเขา ดังนั้น ท่านแม่ทัพ ปลดข้าออกจากตำแหน่งนี้เถิด ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวสามารถรับช่วงต่อจากข้าได้ดีมากกว่า”

………………………………

หลังจากที่ข้าทะลวงผ่านจุดตายที่ 5 สำเร็จข้าก็ได้ค้นพบสิ่งที่น่าอัศจรรย์นี้เข้า ด้วยความคิดนี้ ข้าจึงคาดเดาว่าในวิชาเทพอมตะทุกๆ ส่วนจะนำมาซึ่งผลพลอยได้เพิ่มเติมเช่นนี้ หากข้าสำเร็จส่วนที่ 2 ข้าจะบันทึกลงไปด้วย หากว่าข้าทำไม่สำเร็จ ผู้สืบทอดของข้า เจ้าจงทดสอบด้วยตัวเอง

ความลึกล้ำของวิชาเทพอมตะคือการพัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าเจ้าจะไม่ต้องมุ่งเน้นไปที่การฝึกปราณเพราะว่าหลุมดำพลังปราณจะดึงพลังงานจากชั้นบรรยากาศรอบตัวมาให้เจ้าอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว แต่ทว่าเมื่อเจ้าเริ่มเรียนรู้วิชาเทพอมตะไปแล้ว ตัวเลือกเดียวของเจ้าก็คือต้องเดินหน้าฝึกต่อไป หรือก็คือต้องทำลายจุดตายต่อไปให้สำเร็จเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีความจำเป็นจะต้องคอยควบคุมเกราะเทพอมตะ เนื่องจากมันจะปกป้องผู้ใช้เองโดยธรรมชาติ

หลังจากอ่านตัวหนังสือที่เขียนกำกับไว้ในกระดาษหนังแพะ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกสับสนมึนงง เขาเหม่อมองอากาศอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็สบถออกมา “ปัดโธ่เอ้ย!! นี่ข้าตกกระไดพลอยโจนไปแล้วหรือนี่! ไม่แปลกใจเลยที่อาจารย์นอกคอกผู้นี้จะตายขณะพยายามทะลวงจุดตายที่ 11 เขาก็สมควรตายแล้วจริงๆ นั่นแหละ ตาแก่นี่กำลังพยายามทำให้คนอื่นเดือดร้อนจริงๆ! ทำไมเขาไม่เขียนไว้ในบทสรุปเลยว่าเมื่อเริ่มฝึกวิชานี้แล้วคนผู้นั้นจะไม่สามารถหยุดได้ เกราะเทพอมตะบ้าบออะไร…นี่มันขยะชัดๆ! ตาแก่นั่นยังไม่ทันได้ฝึกวิชานี้สำเร็จเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ยังกล้าทิ้งคัมภีร์นี้ไว้ล่อคนอื่นให้ติดกับอีก…ไอ้คนสารเลวเอ้ย!”

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วโจวเหว่ยชิงได้เข้าใจผู้สร้างวิชาเทพอมตะผิดไปเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าผู้ฝึกจะไม่สามารถหยุดฝึกได้หลังจากเริ่มฝึกวิชานี้ไปแล้ว แต่เขาก็ได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่ามีเพียงคนที่มีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะตายเท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้วิชานี้ได้

ขณะนี้โจวเหว่ยชิงกำลังหวาดกลัวอย่างมาก เขารู้อยู่แก่ใจว่าเหตุผลแท้จริงที่ทำให้ตนทะลวง 5 จุดตายแรกสำเร็จนั้นไม่ใช่เพราะความสามารถหรือพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ แต่เป็นเพราะไข่มุกรัตติกาลที่กลืนลงไปก่อนหน้านี้ได้ปกป้องตัวเขาไว้ต่างหาก อย่างไรก็ตาม มีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าไข่มุกสีดำนี้จะปกป้องเขาไปได้นานอีกเท่าไหร่ นอกจากนี้โจวเหว่ยชิงยังหวาดกลัวความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทุกครั้งขณะที่ทะลวงผ่านจุดตายแต่ละจุดอีกด้วย

หลังจากระบายความโกรธของเขาด้วยการสบถด่าเจ้าของคัมภีร์ โจวเหว่ยชิงก็ตัดสินใจทดสอบความแข็งแกร่งของเกราะเทพอมตะ เขาหยิบลูกธนูขึ้นมาแล้วแทงลงไปที่แขนของตนอย่างระมัดระวัง เด็กหนุ่มไม่ได้ใช้กำลังมากในคราวเดียว แต่ค่อยๆ เพิ่มแรงกดให้มากขึ้นทีละเล็กละน้อย จากนั้นบางอย่างที่อัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า ในครั้งแรกเขาไม่ได้รู้สึกชัดเจนมากนัก แต่เมื่อออกแรงมากขึ้น ไม่ช้าโจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้ว่าหลุมดำพลังปราณ ณ จุดตายทั้ง 5 ของเขากำลังเพิ่มความเร็วในการหมุนวนมากยิ่งขึ้น และนั่นก็ทำให้ชั้นอากาศไหลเวียนมาป้องกันอยู่เหนือผิวหนังของเขา  ลูกศรที่จ่ออยู่ที่แขนก็ดูเหมือนจะไถลเลื่อนออกไปด้านข้างเนื่องจากกระแทกโดนชั้นอากาศเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหนุ่มยังไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย

“เอ๊ะ ใช้ได้เลยนี่นา แม้ว่าข้าจะยังสงสัยว่าขีดจำกัดการป้องกันของเกราะนี้มีมากแค่ไหนก็เถอะ” คืนนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจฝึกปราณและใช้เวลาตลอดทั้งคืนไปกับการทดลองเกี่ยวกับข้อจำกัดต่างๆ ของเกราะเทพอมตะแทน หลังจากทดสอบทั้งคืน โจวเหว่ยชิงก็พบว่าความสามารถในการป้องกันของมันนั้นแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว และมันก็ยังเชื่อมโยงกับพลังปราณสวรรค์ของตนอีกด้วย โดยพื้นฐานแล้ว ยิ่งเขาถูกโจมตีแรงขึ้นเท่าไร พลังปราณสวรรค์ก็ยิ่งถูกใช้ไปมากเท่านั้น โจวเหว่ยชิงยังค้นพบขีดจำกัดของระดับการโจมตีที่เกราะนี้สามารถป้องกันได้ นั่นก็คือเมื่อพลังการโจมตีของศัตรูรุนแรงเกินกว่าที่เกราะนี้จะต้านได้  มันจะดูดกลืนพลังของเจ้าของร่างเพื่อใช้ดูดซับความเสียหายส่วนใหญ่ไว้ แต่ทว่าก็ต้องใช้พลังปราณของคนผู้นั้นไปถึง 3 ส่วนเต็มๆ นอกจากนี้เด็กหนุ่มยังพบว่าเกราะเทพอมตะจะหายไปเมื่อพลังปราณสวรรค์ของเขาเหลือน้อยกว่าครึ่ง

หลังจากการทดสอบตลอดทั้งคืน ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็นั่งลงและพูดพึมพำสรุปกับตัวเองว่า “บ้าเอ้ย! ทำไมทุกอย่างถึงต้องใช้ปราณสวรรค์ไปหมด…” ถึงกระนั้นเขาก็พอใจมากกับผลการทดสอบของเขา ที่สำคัญโจวเหว่ยชิงยังค้นพบว่าเมื่อเขาฝึกวิชาเทพอมตะส่วนแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว การดูดกลืนปราณสวรรค์ผ่านหลุมดำพลังปราณทั้ง 5 ของเขายังเพิ่มความเร็วขึ้นเป็น 2 เท่าอีกด้วย แน่นอนว่าสิ่งนี้จะช่วยให้เด้กหนุ่มเพิ่มขีดจำกัดในการต่อสู้ที่กินเวลานานๆ ได้

“อ้วนน้อย อ้วนน้อย!” ในเวลาเกือบรุ่งสาง เสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ และเมื่อประตูกระโจมถูกเปิดขึ้น เธอก็ก้าวเข้ามาข้างในกระโจมของโจวเหว่ยชิงอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าในเวลาถัดมา เธอก็ต้องพุ่งพรวดออกไปพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำ

“อ้วนน้อยโจว! เจ้าคนไร้ยางอาย! ใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้!!” เสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เต็มไปด้วยโกรธ แต่ทว่าก็เจือปนไปด้วยความขบขัน

โจวเหว่ยชิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาคิดกับตนเอง ปกติข้าก็ไม่ใส่เสื้อผ้านอนอยู่แล้ว  ข้าจะเป็นพวกโรคจิตไร้ยางอายได้อย่างไร?

โจวเหว่ยชิงสวมเสื้อผ้าของเขาอย่างรวดเร็ว เขายืดเส้นยืดสายและพูดว่า “ข้าแต่งตัวเสร็จแล้ว ท่านเข้ามาได้!” ในขณะที่พูด เด็กหนุ่มก็มองลงไปข้างล่างและเห็นเสือขาวตัวน้อยกำลังนอนหลับสนิทอยู่ เพื่อนตัวน้อยกำลังโอบหัวเล็กๆ ของมันไว้ด้วยอุ้งเท้าหน้า ช่างดูน่ารักน่าชังอย่างเหลือเชื่อ

โจวเหว่ยชิงอมยิ้ม จากนั้นก็ตบก้นมันเบาๆ

“แง้วววววววว!” ฉับพลันนั้นเสือขาวตัวน้อยก็พลิกตัวสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจ ทันทีที่มันเห็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายของโจวเหว่ยชิง มันก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและร้องออกมาอย่างโกรธเคือง “กรร…!”

“แมวอ้วน ก้นน้อยๆ ของเจ้าให้ความรู้สึกดีมาก! แต่ห้ามนอนขี้เกียจต่อแล้ว มานี่เร็ว” เขาคว้าตัวมันขึ้นมาและกอดไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง ทันทีที่เสือขาวตัวเล็กเข้ามาในอ้อมกอดของโจวเหว่ยชิงมันก็เงียบสงบลงทันที ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์เข้ามาในกระโจมอีกครั้ง ใบหน้าของเธอก็ยังคงแดงก่ำอยู่ แต่ทว่าเธอก็ดูมีเสน่ห์อย่างมาก

“เจ้าอ้วนน้อยโง่เง่า เจ้ารังแกเสือน้อยที่น่าสงสารอีกหรือเปล่า?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว และก่อนที่   โจวเหว่ยชิงจะตอบกลับ เสือขาวตัวน้อยในอ้อมแขนของเขาพยักหน้าให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ดวงตากลมโตของมันดูเหมือนจะคลอไปด้วยหยาดน้ำตา นั่นทำให้หัวใจของเธอหลอมละลายทันที

“มาเถอะ มาให้พี่สาวกอดหน่อย” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขยับเข้าไปใกล้และพยายามจะโอบกอดมัน แต่ทว่าเสือขาวตัวน้อยก็ยังคงปฏิเสธเธอด้วยการกัดเสื้อของโจวเหว่ยชิงไว้แน่นและไม่ยอมผละออกจากอ้อมกอดของเขา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ค่อนข้างมึนงงเล็กน้อย “เจ้าตัวน้อย เขารังแกเจ้า แต่เจ้าก็ยังยืนยันที่จะให้เขากอดเจ้า”

“แง้วว แง้วววว” เสือขาวตัวน้อยจ้องมองที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อีกครั้ง จากนั้นจึงมุดหัวกลับเข้าไปในอ้อมแขนของโจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างพึงพอใจ “เฮ้ ปิงเอ๋อร์ เจ้าเห็นมั้ย! เสน่ห์ของนายน้อยคนนี้ใช้ได้ทั้งกับมนุษย์และสัตว์เลยทีเดียว!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงหึในลำคอ เธอชอบเสือขาวตัวน้อยที่น่ารักตัวนี้มาก แต่มันไม่ยอมให้เธอแตะเลย เธอจึงไม่รู้จะทำอย่างไรดี

อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเหตุผลที่เธอมาหาเขา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “อ้วนน้อย! ระดับพลังปราณของข้าเพิ่มขึ้นล่ะ!”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ว้าว วิเศษมาก! สมกับเป็นหญิงสาวที่มีพรสวรรค์เป็นอันดับต้นๆ ของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์! มีเพียงคนที่ฉลาดและอ่อนโยนเช่นข้าเท่านั้นที่จะเหมาะสมกับเจ้า!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นหยิกแก้มของเขาแล้วพูดว่า “เจ้านี่ช่างหน้าหนาจริงๆ!” หลังจากหยิกเขาเสร็จ เธอก็ตระหนักได้ว่าตนเองกำลังแสดงท่าทางใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากแค่ไหน ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเขินอายและรีบปล่อยมือออกอย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ว่าคนเจ้าเล่ห์จะขยับเข้ามาใกล้เธออีกครั้งพร้อมกับยื่นแก้มอีกข้างของเขาให้ “ปิงเอ๋อร์ แล้วข้างนี้ล่ะ? ข้าต้องการความเป็นธรรมให้กับมันบ้าง!”

“หยุดเล่นได้แล้ว! ตอนนี้ข้ากำลังจริงจัง หลังจากคืนที่ผ่านมา พลังปราณสวรรค์ของข้าเพิ่มขึ้นจากระดับที่ 8 เป็นระดับที่ 10” คำพูดถัดมาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำให้โจวเหว่ยชิงตกใจอย่างยิ่ง เขาจ้องมองเธอด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “ขึ้น2 ระดับพร้อมกันในทีเดียวเลยรึ? ปิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ใช่อัจฉริยะแต่เป็นปีศาจแล้ว!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวแล้วพูดว่า “มันเป็นเพราะเจ้าจริงๆ เมื่อคืน ตอนที่ข้าพยายามช่วยให้เจ้าปิดผนึกจุดตาย  หยงฉวน ปราณสวรรค์ธาตุลมจำนวนมากไหลทะลักเข้ามาในร่างกายของข้าทำให้ข้าหมดสติไป เมื่อข้ากลับไปถึงกระโจมและเริ่มฝึกปราณ ข้าก็ค้นพบว่าพลังปรานสวรรค์ของข้าเพิ่มขึ้นมาก แม้ว่ามันจะยังไม่ค่อยเสถียร แต่ข้ามั่นใจว่าระดับพลังปราณของข้าได้ทะลุไปถึงระดับที่ 10 แล้ว อ้วนน้อย นั่นคือทักษะกลืนกินของเจ้าใช่หรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “อย่าพูดถึงทักษะนั้นเลย…มันไม่ได้ใช้งานได้ง่ายๆ อย่างที่เจ้าคิด คืนนั้นข้ากลืนกินพลังปราณสวรรค์จากหมาป่าโลกันตร์พวกนั้นมากเกินไปจนเกือบทำให้ร่างข้าระเบิดออกจากภายใน ข้าคิดว่าข้าไม่สามารถกักเก็บปราณสวรรค์ที่ข้าดูดกลืนมาจำนวนมากๆ ได้ นอกจากนี้ เมื่อคืนข้าลองใช้ทักษะนี้ดูอีกครั้ง แต่ข้าค้นพบว่าหากอยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติ ข้าจะไม่สามารถใช้ทักษะกลืนกินได้ นี่อาจหมายความว่าทักษะนี้สามารถใช้ได้เฉพาะช่วงเวลาที่ข้าเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง และในระหว่างนั้นข้าก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เช่นกัน ทักษะกลืนกินเช่นนี้…ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับข้าเท่าไหร่ ทั้งยังอาจทำให้ข้าตายได้อีกด้วย! หากข้ากลืนกินปราณสวรรค์มากเกินไป เมื่อสิ้นสุดสถานะปีศาจกลายร่าง ร่างกายของข้าจะต้องระเบิดออกมาจากภายในเพราะพลังปราณที่ปั่นป่วน! นอกจากนี้ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างอีกครั้งยังไง ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กรุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “อ้วนน้อย จริงๆ แล้วข้าคิดว่านั่นเป็นเรื่องดีต่างหาก”

“เรื่องดี? ทำไมล่ะ?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย ในเวลาเดียวกันเขาก็ขยับเข้าไปใกล้เธอมากยิ่งขึ้น

ในเวลานี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังกรุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องการฝึกปราณอย่างเต็มที่จึงไม่ได้สังเกตเห็นการกระทำเล็กๆน้อยๆ ของเขา เธอกล่าวว่า “สวรรค์ย่อมยุติธรรมเสมอ ไข่มุกสีดำที่เจ้ากลืนเข้าไปนั้นมีพลังมหาศาล แต่มันก็มีข้อจำกัดเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะโชคชะตาและความบังเอิญครั้งยิ่งใหญ่แล้วล่ะก็ เจ้าสมควรจะตายไปนานแล้วด้วยซ้ำ นี่ก็เหมือนกันกับวิชาเทพอมตะของเจ้า พลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้มักมาพร้อมกับความเสี่ยงมหาศาล จากตำราที่ข้าอ่านไปก่อนหน้านี้ สถานะปีศาจกลายร่างที่พวกเขาเขียนไว้ดูเหมือนจะแตกต่างจากสถานะปีศาจกลายร่างของเจ้ามากทีเดียว”

“นี่เป็นเพราะสถานะปีศาจกลายร่างที่อธิบายไว้ในตำรา ผู้ที่ตกอยู่ในสถานะนั้นส่วนใหญ่ไม่มีใครสามารถคงสติไว้ได้เช่นเจ้า เมื่อคืนนี้ หากเป็นสถานการณ์ปกติ เจ้าควรจะฆ่าข้าทิ้งไปแล้ว อีกทั้งเจ้ายังไม่อาจรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาได้รวดเร็วดั่งที่เจ้าทำเมื่อคืนด้วย หากเป็นไปตามที่เขียนไว้ในตำรา หลังจากออกจากสถานะปีศาจกลายร่างแล้ว เจ้ายังจะต้องนอนหลับไปเป็นเวลาหลายวันก่อนจะตื่น และหลังจากออกจากสถานะปีศาจกลายร่าง สิ่งที่ตามมามักจะเป็นความอ่อนแอของคนผู้นั้น แต่ทว่าสิ่งนี้กลับไม่ได้เกิดขึ้นในกรณีของเจ้า เพราะระดับพลังปราณของเจ้าดันพุ่งขึ้นไปยังระดับที่ 5 แทน”

“เช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าสถานะปีศาจกลายร่างของเจ้าแตกต่างจากที่เขียนไว้ในประวัติศาสตร์จริงๆ บางที เจ้าอาจจะเป็นผู้ค้นพบกุญแจดอกสำคัญที่ใช้ควบคุมพลังนี้ได้”

หลังจากฟังที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เล่า โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตนกำลังถูกล่อลวง เขาย่อมรู้ดีว่าตนแข็งแกร่งเพียงใดในระหว่างเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง  ไม่เพียงแต่ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งมากขึ้น แต่ยังรวมไปถึงความประสาทสัมผัสของเขาที่เฉียบคมมากกว่าเดิม ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 เท่า

ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วในการใช้ทักษะธาตุต่างๆ ของเขายังเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และก็ยังสามารถใช้ทักษะกลืนกินได้อีกด้วย โจวเหว่ยชิงถึงขั้นนำพลังปราณสวรรค์ของศัตรูมาใช้เป็นของตนเองได้ชั่วคราว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเวลาหากเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ในระหว่างเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง  เมื่อรวมกับกลิ่นอายจากไข่มุกสีดำแล้ว เขาก็จะสามารถต่อสู้กับอสูรสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรกได้แน่นอน! สำหรับจ้าวมณี แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ เขาก็ยังรู้สึกมั่นใจว่าในขณะเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง ตนก็จะสามารถต่อสู้กับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 2 ชุดเช่นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวต่อไปว่า “ตอนนี้เจ้ายังไม่ควรคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำคือการเพิ่มระดับพลังปราณสวรรค์ อย่างน้อยตอนนี้ไข่มุกสีดำก็ช่วยให้เจ้าสามารถทะลวงจุดตายได้ และข้าคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าในตอนนี้คือการเลื่อนระดับพลังปราณของเจ้าให้สูงขึ้นเร็วที่สุด ครั้งนี้ดีจริงๆ ที่โชคเข้าข้างพวกเรา ข้าจะใช้เวลาอีก 2-3 วันเข้าสมาธิฝึกปราณและทำให้พลังปราณสวรรค์ระดับที่ 10 เสถียรก่อน ส่วนเจ้าที่เพิ่งจะผ่านไปสู่ระดับที่ 5 เจ้าเองก็ควรเข้าสมาธิฝึกปราณเพื่อทำให้พลังปราณสวรรค์ให้เสถียรก่อน ตั้งใจฝึกเข้าล่ะ ข้าจะไปแล้ว”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “เจ้ากำลังจะไปแล้วเหรอ? ปิงเอ๋อร์ ดูสิ เมื่อวานเราเพิ่งไปแก้แค้นให้เหล่าทหารมาด้วยกัน เจ้าไม่ควรให้รางวัลข้าสักหน่อยเหรอ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาและถามว่า “เจ้าต้องการรางวัลแบบไหน?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “กอด! หรือจูบ! หรือทั้งคู่ก็ได้! หรือหากข้าได้จับ…นั่นคงจะดีมากเลย!”

……………………………

ชายที่อยู่ทางด้านซ้ายถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดว่า “องค์หญิงช่างซุกซนเกินไปจริงๆ แม้จะไม่พอใจที่องค์จักรพรรดิจะจัดงานแต่งงานให้เธอ แต่องค์หญิงก็ไม่จำเป็นต้องหนีมาเช่นนี้! ออกจากภูเขาหิมะสวรรค์ในช่วงเปลี่ยนร่างเช่นนี้มันอันตรายเกินไป! องค์จักรพรรดิมีลูกสาวเพียงคนเดียวเสียด้วย เป็นเช่นนี้เราจะกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร?”

ชายที่อยู่ด้านขวาพูดพร้อมกับรอยยิ้มอันขมขื่น “แล้วเราควรทำยังไงดีพี่ใหญ่? ฝ่าบาทจะโกรธพวกเราหรือไม่?”

ชายที่อยู่ทางซ้ายมือให้ส่งเสียงฮึในลำคออย่างเย็นชา “หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว! องค์จักรพรรดิของพวกเราเป็นถึงราชาหิมะสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาชาญฉลาดและมีสายตากว้างไกล เพราะฉะนั้นฝ่าบาทจะระบายความโกรธใส่เราได้อย่างไร ไปกันเถอะ เราควรกลับไปรายงานตัวกับองค์จักรพรรดิก่อนเพื่อหาทางแก้ไขเรื่องนี้ในภายหลัง”  หลังจากพูดจบ เขาก็โบกมือ จากนั้นแสงสีขาวก็พลันเข้ามาโอบล้อมรอบๆ ตัวของพวกเขา

เมื่อแสงเจิดจ้านั้นวูบหายไป ร่างเงาทั้งสองก็หายวับไปกลางอากาศด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ซากศพของหมาป่าโลกันตร์ทั้งหมดก็พลันเปลี่ยนสภาพกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง ในเวลาต่อมาพวกมันทั้งหมดก็แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงในชั่วพริบตา ไม่เหลือร่องรอยใดๆ ทิ้งไว้อีกต่อไป

……

โจวเหว่ยชิงกำลังทำความสะอาดร่างกายพร้อมกับยืนเปลือยกายอยู่กลางกระโจมของเขา เขาหันไปมองสัตว์ตัวจ้อยด้านข้างแล้วพูดอย่างเคืองๆ “ฮึ่ม! เจ้าตัวน้อย เจ้าเอาเปรียบข้าเกินไปแล้ว! ข้ายังไม่ทันได้จูบปิงเอ๋อร์เลยด้วยซ้ำ! ฮึ่ม! เอาล่ะ ถึงเวลานอนแล้ว”

เมื่อค่ำคืนอันแสนเหน็ดเหนื่อยและยาวนานได้ผ่านพ้นไป แม้ว่าเขาจะสามารถทะลวงจุดตายที่ 5 จนสำเร็จวิชาเทพอมตะส่วนแรกและยังฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ไปจนเต็มถันเตียนแล้ว แต่ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังอ่อนเพลียอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตวิญญาณของเขานั้นอ่อนล้ามาก เมื่อคิดได้ดังนั้น โจวเหว่ยชิงจึงกระโดดขึ้นไปบนเตียงด้วยร่างเปลือยเปล่า

“เจ้าตัวเล็ก ทำไมเจ้าต้องปิดตาด้วย ฮึ? เจ้าไม่เห็นหรือว่านายน้อยคนนี้มีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบมากขนาดไหน เจ้ากล้าเมินข้าหรือ?” ในขณะที่โจวเหว่ยชิงสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม เขาก็สังเกตเห็นเสือขาวตัวน้อยกำลังนอนอยู่ข้างหมอนพร้อมกับอุ้งเท้าเล็กๆ ที่กำลังยกขึ้นปิดตาของมันอยู่ เห็นดังนั้นเขาจึงรู้สึกขุ่นเคืองและไม่ชอบใจเล็กน้อย  แม้ว่าบางครั้งเขาจะต้องทำตัวสุภาพเวลาอยู่กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่เวลานี้เขาอยู่ในกระโจมของตัวเอง เพราะฉะนั้นเขาจะทำอะไรก็ได้

โจวเหว่ยชิงดึงอุ้งมือเล็กๆ ของเสือขาวตัวน้อยออกจากกัน ก่อนจะโยนเพื่อนตัวน้อยลงบนเตียงแล้วนอนทับมันไว้เบื้องล่าง

“แง้วๆๆๆๆๆๆๆ” เสือขาวตัวน้อยร้องออกมาด้วยความโกรธ พยายามกระเสือกกระสนตัวหนีออกมาจากวงแขนของเขา

โจวเหว่ยชิงขยับใบหน้าถูไถกับเสือขาวตัวน้อยในขณะที่พูดว่า “นุ่มจัง…อืม…สบายมาก…นี่…เจ้าตัวน้อย หยุดดิ้นเถอะน่า ได้อยู่ใต้วงแขนของข้าถือว่าเป็นเกียรติของเจ้าแล้วนะ! เมื่อเจ้าโตขึ้น เจ้าก็จะเป็นเบาะให้ข้านั่ง ขี่เสือขาวเหรอ…อืม…ช่างน่าตื่นเต้นดีจริงๆ…ฮี่ๆๆๆๆ”

ขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็พลันปิดเปลือกตาและเผลอหลับไปในที่สุด

หลังจากนั้นไม่นาน เสือขาวตัวน้อยก็ดิ้นจนหลุดออกมาจากอ้อมแขนของโจวเหว่ยชิงในที่สุด ดวงหน้าเล็กๆ ที่น่ารักกำลังสั่นสะท้านด้วยความโมโห ดวงตาสีฟ้าเข้มเต็มไปด้วยความโกรธแค้น มันพยายามกัดโจวเว่ยชิง แต่ทว่าไม่อาจระแคะระคายผิวหนังของเขาได้เลย เห็นดังนั้นมันจึงละทิ้งความพยายาม มุดกลับไปใต้วงแขนของคนไร้ยางอาย ขยับเข้าไปหาที่เหมาะๆ และซบลงไป ไม่นานเปลือกตาของมันก็ปิดตามไปเช่นกัน

ด้วยสถานะผู้ช่วยผู้บัญชาการกองพัน โจวเหว่ยชิงจึงถูกทิ้งให้นอนหลับอย่างสงบไร้การรบกวนใดๆ ตลอดทั้งวัน

สำหรับเซียวหรูเซ่อ วันนี้เธอต้องรับหน้าที่ของผู้บัญชาการกองพันใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังตั้องจัดการกับทหารใหม่ที่เพิ่งมาถึงค่ายทั้งหมด ดังนั้นเธอจึงยุ่งมากตลอดทั้งวัน

จวบจนกระทั่งถึงตอนเย็นที่โจวเหว่ยชิงตื่นขึ้นมาด้วยความหิว ทันทีที่เขาลืมตาขึ้นมา เสือขาวตัวน้อยก็ตื่นขึ้นมาเช่นกัน และเมื่อโจวเหว่ยชิงลุกขึ้นไปแต่งตัว มันก็วิ่งไปหาโจวเหว่ยชิงแล้วก็ตะกุยกางเกงของเขาด้วยกรงเล็บเล็กๆ ของมัน

“เจ้าหนูน้อย หิวแล้วใช่มั้ยล่ะ? มานี่สิ พี่ใหญ่คนนี้จะพาเจ้าไปกินอาหารอร่อยๆ” เมื่อพูดจบเขาก็คว้าเสือขาวตัวน้อยขึ้นมาซุกในชุดนายหมู่ของคนก่อนที่จะออกไปจากกระโจม

เว้นแต่จะมีสถานการณ์เร่งด่วน ไม่เช่นนั้นปกติแล้วในค่ายทหารก็มักจะมีอาหารมากมาย โจวเหว่ยชิงมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารเพื่อยัดอาหารมื้อใหญ่ใส่กระเพาะของตน อย่างไรก็ตาม เขาก็ประหลาดใจมากที่ไม่ว่าจะพยายามหยิบยื่นอาหารให้เสือขาวตัวน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ในอกเสื้อของเขาอย่างไร มันก็ปฏิเสธที่จะรับอาหารจากเขาเสมอ ดูจากท่าทางของมันแล้ว โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่ามันกำลังดูถูกอาหารที่ตนเสนอให้ แม้โจวเหว่ยชิงจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อขอซุปเนื้อมาให้มัน แต่ทว่าเจ้าตัวน้อยก็ยังเชิดคอไม่สนใจเขาอยู่ดี

“อืม คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าตัวน้อยเช่นเจ้าจะหัวสูงขนาดนี้ ฮึ่ม! หากเจ้าไม่กิน เจ้าก็ทนหิวไปจนตายเถอะ!”

เมื่อเขากลับมาถึงกระโจม ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังจะโยนเสือขาวตัวน้อยลงบนเตียง เพื่อนตัวน้อยกลับไม่ยอมลงไป มันกัดเสื้อเขาแน่นและยืนกรานที่จะอยู่ในอ้อมแขนของเขา

“เจ้าตัวน้อย เจ้ามีศักยภาพที่จะเป็นนักรบเสียจริง! จริงด้วย! ตั้งแต่เจ้าตามข้ามาจนถึงตอนนี้ เจ้ายังไม่มีชื่อเลย งั้นข้าตั้งให้เจ้าดีกว่า อืม…เอาล่ะ เจ้าตัวเล็กมาก เจ้าดูไม่เหมือนเสือเท่าไหร่ เหมือนแมวตัวเล็กๆ มากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าน่ารัก ใบหน้ากลมๆ และยังพุงน้อยๆ…อืม ข้าคิดออกแล้ว! ชื่อของเจ้าคือแมวอ้วน!”

“แง้วๆๆๆๆๆๆ” เสือขาวตัวน้อยร้องออกมาด้วยความโกรธเคืองและทำท่าทางไม่พอใจ กรงเล็บเล็กๆ ของมันข่วนบนหน้าอกของโจวเหว่ยชิงเป็นจนเป็นเส้นถลอกสีขาว

“ต่อต้านไปก็ไม่สำเร็จอยู่ดี ถ้าเจ้าข่วนข้าอีก ข้าจะตีก้นเล็กๆ ของเจ้า” ในขณะที่เขาพูดแบบนั้น โจวเหว่ยชิงบีบก้นเล็กๆ อย่างหยาบโลนและพูดอย่างพึงพอใจ “แมวอ้วน!”

เสือขาวตัวน้อยหันหน้าหนีทำเป็นไม่สนใจ

“พี่ชายกำลังเรียกเจ้าอยู่ ทำไมเจ้าถึงไม่ตอบ! ถ้าเจ้าไม่ตอบ…ฮึๆๆๆๆ ข้าจะช่วยตรวจร่างกายให้เจ้าเอง!” ในขณะที่โจวเหว่ยชิงพูดเช่นนั้น เขาก็พลิกร่างของเสือขาวตัวน้อยให้หงายท้องขึ้น จากนั้นก็ดึงขาเล็กๆ แยกออกจากกัน

“แง้วๆๆๆๆๆๆๆๆ”

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้า “พี่ชายจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้าแมวอ้วน!”

“แง้ว…” เสือขาวตัวน้อยร้องออกมาอย่างเศร้าๆ เป็นคำตอบว่าตกลง

“ดีมาก! อย่างนั้นแหละ! นี่จะเป็นชื่อของเจ้าต่อจากนี้! ส่วนตอนนี้ข้าจะฝึกปราณ อย่ารบกวนข้าล่ะ เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าไปนอนเล่นตรงนั้นก่อน”

พอพูดจบ โจวเหว่ยชิงก็เปิดคัมภีร์วิชาเทพอมตะของเขาขึ้นมา

เขาได้สำเร็จวิชาเทพอมตะส่วนแรกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งวิชาส่วนแรกประกอบไปด้วยการทะลวงผ่านจุดตาย 5 จุดแรก ตอนนี้เขาจึงจำเป็นต้องฝึกฝนวิชานี้ต่อไป ด้วยเหตุนั้นเขาจึงพลิกไปที่หน้าสุดท้ายของวิชาส่วนแรกทันที

“เอ๋ นี่มันอะไร?” โจวเหว่ยชิงอุทานขณะที่เขาตรวจสอบหน้าสุดท้ายอีกครั้งและค้นพบประโยคที่เขียนไว้ด้วยตัวอักษรเล็กๆ อยู่บริเวณส่วนท้ายของกระดาษ ก่อนหน้านี้เขาได้อ่านหน้าต่อไปแล้วแบบผ่านๆ และไม่ได้สังเกตประโยคเล็กๆในบรรทัดล่างๆ พวกนี้เลย

อักษรเล็กๆ พวกนั้นกล่าวไว้ว่า “หากเจ้าสามารถสำเร็จวิชาส่วนแรกและทะลวงจุดตาย 5 จุดแรกได้เรียบร้อยแล้ว ให้วางฝ่ามือลงบนกระดาษหน้านี้แล้วค่อยๆ ดึงพลังปราณสวรรค์ออกมาจากจุดตายไท่หยวน

นี่มันคืออะไรกันแน่? แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะมีข้อสงสัยในใจ แต่เขาก็ยังคงปฏิบัติตามคำแนะนำที่เขียนไว้

จุดไท่หยวนอยู่ระหว่างข้อมือและฝ่ามือ โจวเหว่ยชิงส่งพลังปราณสวรรค์เข้าสู่หน้ากระดาษหนังแพะอย่างช้าๆ ในตอนแรกเขาไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็สัมผัสได้ว่ากระดาษหนังแพะกำลังเคลื่อนไหวอยู่ใต้มือของเขา เด็กหนุ่มจึงขยับมืออย่างรวดเร็ว และเมื่อก้มลงไปมอง เขาก็เห็นว่ากระดาษแผ่นนั้นได้แยกออกเป็นสองหน้าจริงๆ! และนั่นคือหน้าที่อยู่ระหว่างวิชาเทพอมตะส่วนแรกและส่วนที่สอง!

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังจดจ่อกับการอ่านหน้านั้น เขาก็พบว่ามีอักษรเขียนไว้อยู่หลายย่อหน้า

เมื่อจุดตายบนแขนขาถูกทำลาย จุดตายทั้ง 5 ของเจ้าจะสามารถเชื่อมต่อกับโลกได้ ดังนั้นเจ้าจึงสามารถสื่อสารกับแก่นของสวรรค์และโลกเพื่อปรับเปลี่ยนร่างกายของเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้น  เมื่อร่างกายของเจ้าถูกหลอมขึ้นใหม่  หลุมดำพลังปราณทั้ง 5 ก็จะแพร่กระจายไปทั่วร่างกายและสร้างเกราะป้องกันตามธรรมชาติให้ มันซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวหนังของเจ้าเพื่อปกป้องเจ้าจากพลังโจมตีภายนอก  ชื่อของเกราะนั้นก็คือ ‘เกราะเทพอมตะ’

…………………………………

พวกเขาวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดจนกระทั่งออกจากภูเขาลูกนั้นมาได้สำเร็จ ทั้งคู่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมๆ กัน ในเวลานั้นโจวเหว่ยชิงไม่ลังเลเลยที่จะยกเสือขาวตัวน้อยในอ้อมแขนให้แก่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ “นี่คือของขวัญสำหรับเจ้า”

“ให้ข้า?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองโจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้าประหลาดใจ “อ้วนน้อย เจ้าไม่รู้มูลค่าของอสูรสวรรค์ตัวน้อยนี้หรือ? แม้แต่ลูกของหมาป่าโลกันตร์ที่เราเพิ่งสังหารไปเมื่อคืน แต่ละตัวยังสามารถนำไปแลกทองคำได้มากกว่า 1,000 ก้อน สำหรับเสือขาวตัวน้อยของเจ้า ข้านึกไม่ออกเลยว่าราคาของมันจะมหาศาลแค่ไหน”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างอ่อนโยน “นั่นไม่สำคัญหรอก ข้าทนไม่ได้ที่จะต้องมอบมันให้กับคนอื่น แต่ว่าเจ้าไม่ใช่คนอื่น”

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงก่ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอกลับไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธโจวเหว่ยชิงเพราะว่าเธอเองก็ชอบลูกเสือขาวตัวนั้นมากเช่นกัน เจ้าตัวน้อยนั้นน่ารักเกินไป เธอจึงเอื้อมมือเข้าไปหามันด้วยความเอ็นดู

ทว่าจู่ๆ ก็มีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น เมื่อเสือขาวตัวน้อยเห็นว่าโจวเหว่ยชิงจะมอบมันให้กับคนอื่น มันก็เริ่มมีท่าทีโกรธเคือง กรงเล็บทั้ง 4 ของมันโผล่ขึ้นมาขณะที่เจ้าตัวน้อยแยกเขี้ยวข่มขู่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างดุร้าย อนิจจา ด้วยลำตัวเล็กๆ และใบหน้าของมันที่นุ่มนิ่มน่ารักเกินไป ความดุร้ายที่ปรากฏออกมาจึงดูไม่ค่อยน่ากลัวสักเท่าไหร่

“เอ่อ ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยชอบข้า” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างสับสน

โจวเหว่ยชิงเองก็คิดเช่นเดียวกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้ ขณะที่เขาอุ้มลูกเสือขาวตัวน้อยขึ้นมา  มันไม่ได้ต่อต้านอะไรเขาเลยด้วยซ้ำ พวกเขาทั้งคู่มองหน้ากัน จากนั้นโจวเหว่ยชิงก็พึมพำบางอย่างออกมา “บางทีเจ้าตัวน้อยนี้อาจถูกดึงดูดด้วยเสียงคำรามของข้าตอนที่เข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างเมื่อคืนนี้”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “เป็นไปได้ ทำไมเจ้าไม่ลองกอดมันดูล่ะ”

โจวเหว่ยชิงทำตามคำแนะนำของเธอ เขาตระกองกอดเสือตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนทันที แน่นอนว่าเสือน้อยหยุดดิ้นรนตามที่พวกเขาคาดไว้และเบียดตนเองเข้าหาหน้าอกของเด็กหนุ่มมากยิ่งขึ้น มันถูไถใบหน้านุ่มๆ ไปมากับลำตัวของโจว เหว่ยชิง เสือขาวตัวน้อยเหยียดตัวอยู่ในท่วงท่าที่สบายตัว จากนั้นก็หลับตาลงอย่างว่าง่าย

โจวเหว่ยชิงลูบหลังเจ้าเสือน้อยเบาๆ เขาขยำก้อนขนนุ่มๆ ของมันเล่นอย่างพึงพอใจ แน่นอนว่าเขาชอบเจ้าตัวน้อยนี้เช่นกัน ในความคิดของโจวเหว่ยชิง มีสัตว์ 2 ชนิดที่เขาคิดว่างดงามที่สุด ชนิดหนึ่งคือม้า ส่วนอีกชนิดคือเสือ ความงามของม้าอยู่ที่โครงสร้างร่างกายที่ดูสง่างาม แข็งแกร่งและดูกระฉับกระเฉง ในขณะที่ความงามของเสืออยู่ที่ความหยิ่งผยอง ลวดลายที่งดงาม และท่วงท่าที่แผ่อำนาจออกมาของพวกมัน

แม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่เคยได้สัมผัสกับเสือตัวเป็นๆ มาก่อน แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่าเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนของโจวเหว่ยชิงนั้นพิเศษมาก โดยปกติไม่ว่าลายเสือจะงดงามหรือมีสีสันแค่ไหน ขนของมันก็ไม่ควรที่จะอ่อนนุ่มมากขนาดนี้ แค่ลูบไล้สัมผัสเจ้าตัวจ้อยนี้เบาๆ เขาก็รู้สึกราวกับว่าตนกำลังลูบผ้าไหมนุ่มลื่นผืนหนึ่งอยู่ และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเบาสบายมาก ยิ่งไปกว่านั้น กล้ามเนื้อของมันยังให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มและยืดหยุ่นราวกับว่ามันไม่มีกระดูก ถึงแม้ว่าเจ้าเสือขาวตัวน้อยนี้จะค่อนข้างตัวเล็กไปสักหน่อย แต่ไม่ว่าเขาจะสัมผัสส่วนไหน มันก็ให้ความรู้สึกนุ่มหยุ่นมือเสมอ

โจวเหว่ยชิงพลิกเสือตัวน้อยในอ้อมกอดของเขาขึ้นมาแล้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “ฮ่าๆๆๆๆ มันเป็นลูกเสือตัวเมีย! ปิงเอ๋อร์ ดูนี่สิ ตุ่มเล็กๆ ที่ยื่นออกมาพวกนี้ เจ้าคิดว่ามันเอาไว้ให้นมลูกหรือเปล่า?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าขึ้นสีอีกครั้ง เธอเคาะศีรษะโจวเหว่ยชิงอย่างแรงและพูดว่า “ในหัวของเจ้ามีแต่อะไรพวกนี้หรือไง! ตอนนี้เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้กลั่นแกล้งมันอีก!”

เสือขาวตัวจ้อยก็รู้สึกโกรธเช่นกัน มันร้องออกมาและพยายามดิ้นรนพลิกตัวกลับ เมื่อไม่ได้ดั่งใจ มันก็กัดเข้าที่มือของโจวเหว่ยชิง อย่างไรก็ตาม แรงกัดของมันก็ไม่ได้รุนแรงมากนัก ผิวหนังของโจวเหว่ยชิงจึงไม่ได้ระคายเลยแม้แต่น้อย

โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่าบ้าคลั่งก่อนจะพูดว่า “ดูสิ! มันรู้จักอายเสียด้วย ช่างเป็นเจ้าตัวน้อยที่น่าสนใจจริงๆ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างหงุดหงิด “ตอนนี้เจ้าควรใช้เวลาคิดหาทางมุ่งหน้ากลับไปที่ค่ายให้เร็วที่สุด เจ้าจะกลับไปค่ายทหารในสภาพแบบนี้หรือ?”

“อ๊ะ…” โจวเหว่ยชิงเกาหัวของเขาเป็นอย่างเขินๆ จากนั้นดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นเมื่อคิดแผนการณ์บางอย่างออก

ในที่สุด พวกเขาสองคนก็กลับเข้ามาในค่ายได้อย่างลับๆ ผู้ช่วยผู้บัญชาการกองพันอย่างอ้วนน้อยโจวนั้นแต่งกายอยู่ในชุดทหารสามัญ ส่วนทหารยามผู้น่าสงสารของค่ายทหารอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นก็ถูกเขาปล้นเอาเสื้อผ้าไปจนหมดและต้องนอนเปลือยเปล่าล่อนจ้อนอยู่ในป่า…

เมื่อพวกเขากลับมาถึงกระโจม ทั้งสองคนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาที่ซับซ้อนและพูดว่า “อ้วนน้อย ขอบคุณนะ”

โจวเหว่ยชิงหยุดชะงักชั่วครู่ ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจและพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ พูดอย่างตรงไปตรงมา โดยธรรมชาติแล้วเจ้าเป็นคนที่มีจิตใจดีและข้าก็ไม่คิดว่านิสัยของเจ้าเหมาะสำหรับการเข้าร่วมกองทัพ เจ้าก็รู้ว่าทหารจะต้องเย็นชาและไร้ความปรานี ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่เข้ากับนิสัยโดยพื้นฐานของเจ้า ข้าคิดว่าการที่เจ้าลาออกจากการเป็นผู้บัญชาการกองพันนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว และบางทีเจ้าก็ควรจะลาออกจากกองทัพด้วย”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดูสับสนเล็กน้อย เธอจึงถามเขากลับ “แล้วเจ้าล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงรีบยื่นหน้าอกขึ้นอย่างผึ่งผายทันทีและพูดอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนว่าข้าย่อมติดตามเจ้าไป!”

“ใครอยากให้เจ้าติดตามข้าไม่ทราบ?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พึมพำเบาๆ แต่ทว่าน้ำเสียงอ่อนโยนของเธอก็เผยให้เห็นถึงความพึงพอใจเล็กๆ ความงามที่เปล่งประกายออกมาในขณะนั้นทำให้โจวเหว่ยชิงได้แต่จ้องมองอย่างไม่อาจละสายตา

“ข้ารู้สึกว่าพลังปราณสวรรค์ของข้าเหลือน้อยเต็มที ข้าจะกลับไปที่กระโจมเพื่อฟื้นฟูพลัง ส่วนเรื่องในอนาคต…” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลังเลเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “ข้าจะรอคำสั่งจากกองบัญชาการใหญ่ก่อนจึงจะตัดสินใจ” เมื่อพูดจบ เธอหายตัวไปในทันที แน่นอนว่าเธอกำลังมุ่งหน้ากลับไปยังกระโจมของตนเอง

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและเดินกลับไปที่กระโจมของเขาอย่างพึงพอใจ แขนทั้ง 2 ยังโอบกอดเสือขาวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน เขากำลังคิดกับตัวเองในใจ ดูเหมือนว่าภรรยาของข้าจะไม่รอดพ้นมือข้าไปแล้ว ฮี่ๆ!

เมื่อเข้าไปในกระโจม เขาก็เตรียมอ่างน้ำเพื่อชำระสิ่งสกปรกออกจากร่างกายของตนเอง โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะก้มมองดูเงาสะท้อนของคนเองในน้ำแล้วพูดออกมาอย่างพึงพอใจ “โจวเหว่ยชิง เจ้านี่นับวันก็ยิ่งหล่อเหลา! วะฮ่าฮ่า!!!”

เขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเสือขาวตัวน้อยที่เขาโยนทิ้งไว้ด้านข้างกำลังยกอุ้งเท้าหน้าทั้ง 2 ของมันขึ้นมาปิดตาในลักษณะที่คล้ายกับมนุษย์ด้วยท่าทีที่น่ารักเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งมันยังกรอกตาใส่เด็กหนุ่มด้วยความระอาอีกด้วย

ณ สถานที่ที่ฝูงหมาป่าโลกันตร์และราชาหมาป่าโลกันตร์ถูกสังหาร

เงาร่างสีขาวทั้ง 2 ร่างก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากอากาศ พวกเขาทั้งคู่เป็นชายวัยกลางคน สวมชุดสีขาว เส้นผมสีเงิน ดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย พร้อมกับรัศมีสูงส่งที่ไหลวนอยู่รอบๆ ตัว

ชายที่เสื้อคลุมสีขาวทางซ้ายขมวดคิ้วถามด้วยความงุนงงว่า “กลิ่นอายขององค์หญิงหยุดอยู่ที่นี่ นั่นเป็นไปได้อย่างไร?”

คนที่อยู่ทางขวามองไปยังศพที่เกลื่อนกลาดบริเวณนั้น  ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “เป็นได้ไหม  ที่…อสูรสวรรค์เหล่านี้จะฆ่าองค์หญิงไปแล้ว? หากไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยทักษะ “เทพหิมะหยั่งรู้” ของพวกเรา พวกเราต้องสัมผัสถึงกลิ่นอายขององค์หญิงได้อยู่แล้ว

ชายเสื้อคลุมสีขาวด้านซ้ายกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อย่าคาดเดาไปมั่วซั่ว แม้ว่าองค์หญิงจะอ่อนแอในระหว่างการ กลายร่าง แต่อสูรสวรรค์ที่มีระดับพลังต่ำเช่นนี้จะทำร้ายองค์หญิงได้อย่างไร? ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกมันไม่มีทางสังหารเธอได้แน่นอน หากองค์หญิงปลดปล่อยกลิ่นอายของเธอออกมาล่ะก็ อสูรสวรรค์เหล่านี้อาจจะหวาดกลัวจนหัวหดไปเลยก็เป็นได้ เหล่าเอ้อร์ ตรวจดูซิว่าหมาป่าพวกนี้ตายได้อย่างไร”

“อืม” หลังจากตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยด้วย คนที่อยู่ด้านขวาก็กลับมา สายตาของเขาเผยความประหลาดใจออกมาขณะที่เขาพูดว่า “ช่างเป็นกลิ่นอายที่แปลกประหลาดและชั่วร้ายเหลือเกิน หมาป่าเหล่านี้ตายไปเมื่อประมาณ 8 ชั่วโมงที่แล้ว แต่กลิ่นอายปีศาจก็ยังไม่หมดไป สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือในร่างกายของพวกมันไม่เหลือพลังปราณสวรรค์ธาตุลมอยู่เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกมันถูกสูบออกไปจนหมด ต้องมีอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังบางตัวมาที่นี่เป็นแน่ บางทีอาจจะเป็นอสูรสวรรค์ธาตุปีศาจ…ข้าเข้าใจแล้ว ตอนนี้เธอต้องอยู่กับอสูรสวรรค์ธาตุปีศาจตนนั้นแน่ๆ อีกทั้งกลิ่นอายของมันก็แผ่มากลบเกลื่อนกลิ่นอายขององค์หญิงเอาไว้ นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมเราถึงสัมผัสกลิ่นอายจากตัวเธอไม่ได้ พี่ใหญ่ เราจะทำยังไงกันดี?”

……………………………………

หลังจากหมดสติไประยะเวลาหนึ่ง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตื่นขึ้นมาในที่สุด แต่ทว่าทันทีที่เธอรู้สึกตัว เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังสัมผัสใบหน้าของเธออยู่

ในขณะที่กำลังมึนงง เธอก็ปัดป่ายท่อนไม้ใหญ่ๆ นั้นออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นมันจะกระดอนกลับมาโดนใบหน้าของเธออีกครั้ง

“อือ?”

“อืม”

มีเสียง 2 เสียงเปล่งออกมาในเวลาเดียวกัน และเสียงแรกก็เป็นของซ่างกวนปิงเอ๋อร์

เมื่อเริ่มฟื้นคืนสติขึ้นมาได้บางส่วนแล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เวลานี้ดวงตะวันเริ่มทอแสง อ่อนๆ และท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยแสงแรกของวัน สิ่งที่เธอมองเห็นเป็นอย่างแรกก็คือบางอย่างที่มีหน้าตาน่าเกลียด? สิ่งนั้นกำลังกดอยู่บนใบหน้าเล็กๆ ของเธอในสภาพร้อนจัดและสั่นระริก บริเวณส่วนปลายยังเป็นสีชมพูอมแดง

“อะไรน่ะ?” ในขณะนี้สติของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังคงไม่ชัดเจนนัก เมื่อเธอบ่นพึมพำกับตัวเองเสร็จและค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สิ่งที่เธอมองเห็นก็คือดวงตาเบิกโพลงของอ้วนน้อยโจวและสีหน้าที่คลุมเครือของเขา

ไอเย็นสายหนึ่งแล่นลงมายังกระดูกสันหลังของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ จากนั้นเธอก็หันขวับลงมามอง ‘บางอย่าง’ ตรงหน้าอีกครั้งอย่างรวดเร็ว วินาทีนั้นเธอจึงตื่นอย่างเต็มตาทันที

“อ๊าาาาาาาาาา!”

“อ๊าาาาาาาาาา!”

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นพร้อมกัน จากนั้นทั้ง 2 ร่างที่กำลังกอดกันอยู่ก็รีบผละออกจากกันราวกับโดนของร้อน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กระโจนออกไปด้านหนึ่ง ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกลิ้งตัวหนีไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่

มันอาจฟังดูพึลึกสักหน่อย แต่ในความเป็นจริงโจวเหว่ยชิงได้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าเช่นนี้มาระยะหนึ่งแล้ว คืนที่ผ่านมา ขณะที่เขาเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง เมื่อกล้ามเนื้อของขยายใหญ่ขึ้นพร้อมๆ กับพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างของเขา นั่นทำให้เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มปริขาดกระเด็นออกไปคนละคนทิศทาง อีกทั้งสิ่งเดียวที่เหลือติดกายอย่างเกราะอ่อนโลหะผสมไทเทเนียมก็ยังถูกราชาหมาป่าโลกันตร์ทำลายไปจนไม่เหลือซากอีก อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นเหตุการณ์ต่างๆ ดำเนินไปอย่างฉุกละหุก ร่างกายของโจวเหว่ยชิงปกคลุมไปด้วยลวดลายเสือดำ อีกทั้งยังเป็นเวลากลางคืนที่มองเห็นไม่ค่อยถนัดนัก นั่นทำให้ร่างที่เปลือยเปล่าของเขาไม่ได้ดูเด่นหราออกมาจนเตะตาเธอเข้า นอกจากนี้ในเวลานั้นซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ได้แต่กังวลเกี่ยวกับความเป็นความตายของเขาและผลข้างเคียงของสถานะปีศาจกลายร่าง เธอจึงไม่ได้สังเกตเห็นบางอย่างที่ผิดแปลกออกไป

คืนที่ผ่านมา ขณะที่โจวเหว่ยชิงพยายามทะลวงจุดตายหยงฉวนของเขา เด็กหนุ่มจึงอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ และเพื่อช่วยอีกฝ่ายปิดผนึกจุดตายหยงฉวนที่ระเบิดออกมา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงต้องไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ดังนั้นเมื่อเธอหมดสติไปกะทันหัน เธอจึงล้มลงนอนบนตักของโจวเหว่ยชิงอย่างไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนั้น เมื่อเธอตื่นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองตกอยู่ในสภาพที่ล่อแหลมและนำไปสู่ฉากที่น่าอับอายเมื่อสักครู่นั่นเอง

ใบหน้าน่ารักของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงสลับขาว เธอพูดด้วยความโกรธ “ อ้วนน้อยโจว ออกมาเดี๋ยว นี้!”

“ไม่มีทาง!” โจวเหว่ยชิงโผล่หัวออกมาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ปิงเอ๋อร์ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ! เจ้าเป็นคนปลุกข้าเอง!”

แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อสักครู่โจวเหว่ยชิงไม่ได้ตั้งใจจัดฉากให้เกิดขึ้นจริงๆ ดังนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องบังเอิญอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม นั่นก็ยังทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์โกรธจัดจนอยากจะฆ่าคน เธอจ้องมองเขาอย่างเคืองๆ

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “เอ่อ  ปิงเอ๋อร์ ก่อนเราจะทะเลาะกันเรื่องนั้น ตอนนี้เราไม่ควรรีบกลับไปที่ค่ายก่อนหรือ? หากเจ้าอยากจะตีข้า เราก็ควรหาสถานที่ที่ปลอดภัยก่อน จากนั้นข้าจะยอมให้เจ้าตีข้าจนกว่าจะพอใจเลย ดีหรือไม่?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กวาดสายตามองไปรอบๆ จากนั้นเธอก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ทั่วพื้นดินเกลื่อนไปด้วยซากศพของหมาป่าโลกันตร์ แต่ทว่าพวกหมาป่าโลกันตร์ที่ไล่ตามไป๋จิ่วและจ้าวมณีคนอื่นๆ ไปก็กลับไม่ปรากฏตัวขึ้นมาเช่นกัน บางทีพวกมันอาจไม่ได้ย้อนกลับมา หรือบางทีพวกมันอาจจะหวาดกลัวกลิ่นอายของโจวเหว่ยชิงจนไม่กล้าเข้ามาใกล้บริเวณนี้ เมื่อเธอนึกถึงเหตุการณ์โกลาหลที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ความโกรธเคืองของเธอก็เริ่มเบาบางลง ไม่น่าเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเขาทั้งคู่จะเอารอดชีวิตมาได้

“เอาล่ะ รีบออกมาเถอะ เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ก่อน” น้ำเสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์สงบลง

โจวเหว่ยชิงมองหาเศษผ้าที่เหลือมาคาดเอวของเขาเพื่อปกปิดส่วนลับเอาไว้ก่อนที่มันจะโผล่ออกมา แม้ว่าตอนนี้บั้นท้ายของตนจะยังโผล่ออกมาเกือบครึ่ง แต่อย่างน้อยส่วนที่น่าอับอายที่สุดก็ได้ถูกปกปิดเอาไว้แล้ว

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ใบหน้าของเธอขึ้นสีแดงก่ำเมื่อมองเห็นคนไร้ยางอายผู้นั้นกำลังพยายามปกปิดร่างกายเปลือยเปล่าของตนเอง ประกายแสงแปลกๆ ผุดวาบขึ้นมาในดวงตาของเธอ ที่ผ่านมาเธอรู้ว่าอ้วนน้อยโจวเป็นคนที่ขี้ขลาดมาก อาจพูดได้ว่า ‘ปลอดภัยไว้ก่อน’ นั้นเป็นคติประจำตัวของเขาเลยทีเดียว แต่ทว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะที่พวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย โจวเหว่ยชิงก็ไม่ลังเลที่จะพุ่งออกไปล่อหมาป่าโลกันตร์เพื่อช่วยชีวิตเธอ สุดท้ายเขายังใช้ร่างของตัวเองเป็นเกราะกำบัง ป้องกันการโจมตีจากราชาหมาป่าโลกันตร์ให้เธออีกด้วย เมื่อคนกลัวตายกระทำเรื่องเสี่ยงตายเช่นนั้น เขาช่างน่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง และนั่นทำให้หญิงสาวประทับใจให้ตัวเขาล้ำลึกมากกว่าเดิม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โจวเหว่ยชิงก็เป็นลูกผู้ชายตัวจริง คนที่กล้ายืนหยัดต่อสู้เมื่อผู้หญิงของเขาตกอยู่ในอันตราย

เดี๋ยวนะ! นี่ข้ากลายเป็นผู้หญิงของเขาเมื่อไหร่กัน! ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายศีรษะขณะที่ใบหน้าขึ้นสีก่ำ เธอมองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาอ่อนโยนมากขึ้น และเมื่อเธอยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าตนเองก็พบว่ามันยิ่งเห่อร้อนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็พบเศษผ้าอีก 2-3 ชิ้นเพื่อนำมาใช้ผูกรอบเอวของตนเอง เขาพยายามปกปิดร่างกายของตัวเองให้มากที่สุด ในขณะที่เขากำลังจะเรียกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ให้ออกเดินทาง ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ปกคลุมไปด้วยขนปุกปุยกำลังคลอเคลียอยู่ที่เท้าของเขา

เมื่อโจวเหว่ยชิงก้มลงไปมองลงไปเบื้องล่าง สายตาของเขาก็ถูกตรึงไว้ทันที เด็กหนุ่มเห็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กจ้อย ลำตัวปกคลุมไปด้วยขนยาวสีขาว ลำตัวประดับไปด้วยลวดลายสีฟ้าจางๆ อยู่ทั่ว ลำตัวของมันมีความยาวน้อยกว่า 1 ฟุตและมันก็กำลังขยับศีรษะถูไถไปมากับเท้าซ้ายของเขา

“เจ้านี่คืออะไรน่ะ?” โจวเหว่ยชิงก้มลงคว้าคอเจ้าสัตว์น้อยตัวนั้นและหยิบมันขึ้นมา ”ปิงเอ๋อร์ เจ้าดูสิ นี่คืออะไรหรือ?”

เมื่อเขาหยิบเจ้าสิ่งเล็กๆ ที่มีขนนุ่มนิ่มขึ้นมาพิจารณาดู ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วมันคือลูกเสือตัวน้อย!

บริเวณหัวกลมๆ เล็กๆ ของมันมีขนสีฟ้างอกขึ้นเป็นอักษรคำว่า “ราชา” ตรงส่วนกลางหน้าผากพอดิบพอดี แม้ว่าลำตัวสีขาวคาดฟ้าของมันจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่แน่นอนว่ามันก็ยังมีลักษณะเหมือนเสือทุกประการ เว้นก็แต่เพียงสีขนที่ดูแปลกประหลาดหายากมากเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตากลมโตของมันก็เป็นสีฟ้าเข้มเช่นกัน ขณะที่ถูกโจวเหว่ยชิงฉวยหลังคอยกตัวมันขึ้นมามอง มันก็ร้องแง้วๆ ออกมาด้วยความไม่พอใจ

“หวาาา! ช่างเป็นเจ้าตัวน้อยที่น่ารักยิ่ง!” เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเห็นลูกเสือตัวจ้อย  ดวงตาของเธอก็สว่างวาบขึ้นทันที เธอเร่งเดินเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว

โจวเหว่ยชิงกระพริบตาและพูดว่า “เจ้าตัวน้อยนี่อาจเป็นอสูรสวรรค์ก็ได้? แต่ทำไมมันตัวเล็กขนาดนี้? หรือว่ามันเพิ่งจะเกิด?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ข้าไม่เคยเห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับเสือสีขาวตัวนี้มาก่อนเลย แต่ข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นอสูรสวรรค์ อ้วนน้อย วันนี้เจ้าโชคดีจริงๆ! ปกติแล้วมนุษย์สามารถเลี้ยงดูอสูรสวรรค์ได้ และเมื่อมันโตขึ้น มันก็สามารถช่วยเจ้าต่อสู้และช่วยปกป้องเจ้าได้อีกด้วย นอกจากนี้แล้ว สัตว์จำพวกเสือยังได้รับการยกย่องให้เป็นราชาแห่งอสูรสวรรค์ แม้กระทั่งเสือประเภทที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นไปได้ที่จะไปถึงระดับปรมะ เพราะฉะนั้นเจ้าควรจะดูแลมันดีๆ! อืม…แต่มันตัวเล็กมากไปหน่อย เจ้าตัวน้อยนี่มาที่นี่ได้ยังไงกันนะ แล้วพ่อแม่ของมันอยู่ที่ไหน?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของโจวเหว่ยชิงก็เปลี่ยนไปทันที “รีบหนีกันเถอะ!! ถ้าพ่อแม่ของเจ้าตัวน้อยนี่รู้ว่าลูกของพวกมันหายไป พวกมันจะต้องออกตามหาลูกของมันแน่ๆ ถึงตอนนั้นพวกเราจะซวยเอานะ!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกเย็บวาบไปถึงขั้วหัวใจทันที แม้เธอจะไม่รู้ว่าเจ้าเสือตัวน้อยนี้เป็นอสูรสวรรค์ชนิดไหน แต่เธอก็พอจะเดาได้ว่าพ่อแม่ของมันต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ ไม่มีใครลังเลอีกแม้แต่น้อย พวกเขาทั้งคู่รีบหยิบธนูอุษาม่วงขึ้นมาและวิ่งแจ้นออกไปด้วยความเร็วสูงสุด มุ่งหน้ากลับไปยังค่ายทหารอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ทันที

…………………………………………………

ผิวของโจวเหว่ยชิงเริ่มมีลักษณะคล้ายกับ ‘ฟองสบู่’ ขึ้นเรื่อยๆ เพราะผิวหนังของเขาได้ปลดปล่อยฟองอากาศสีเขียวบางๆ ออกมาจากรูขุมขน ทำให้เห็นว่าสิ่งสกปรกต่างๆ ในร่างกายถูกชะล้างออกมาด้วยหลังจากพลังปราณของเด็กหนุ่มไหลผ่านตัวกรอง ณ จุดตายจู้ซานหลี่(ใต้เข่า)

หลังจากทะลวงผ่านจุดตายจู้ซานหลี่มาได้แล้ว พลังปราณที่บริสุทธิ์กว่ากลุ่มนั้นก็วิ่งเข้าหาจุดตายซานหยินเจียว (เหนือตาตุ่ม) เหตุการณ์แบบเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แรงกดดันมหาศาลในร่างกายของโจวเหว่ยชิงได้บรรเทาลงบ้างแล้ว หลังจากพลังปราณสวรรค์ธาตุลมที่ผสมกันอยู่ถูกกรองถึง 2 ครั้ง ร่างกายของเขาก็รู้สึกปลอดโปร่งมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ปราณสวรรค์ธาตุลมของโจวเหว่ยชิงก็ยังมีปริมาณมากเกินไปอยู่ดี เนื่องจากหลุมดำของทั้ง 2 จุดตายสามารถดูดซับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

โจวเหว่ยชิงกัดฟันแน่น เขาเพ่งสมาธิแน่วแน่ ใช้พลังปราณสวรรค์ดั้งเดิมภายในร่างเพื่อกระตุ้นและชักนำพลังปราณสวรรค์ที่ผสมกันอยู่นั้นไปยังจุดตายหยงฉวน(กลางฝ่าเท้า)โดยตรง เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาแค่อยากจะทะลวงจุดตายหยงฉวนเพื่อกรองพลังปราณสวรรค์ที่เหลืออยู่อีกครั้ง หากเขาล้มเหลว โจวเหว่ยชิงก็จะต้องชักนำปราณสวรรค์พวกนั้นกลับคืนไปยัง 2 จุดที่ผ่านมาและพยายามดูดซับพลังปราณสวรรค์ธาตุลมทั้งหมดที่ผสมกันอยู่ออกไปอย่างช้าๆ

*ผลั่วะ*! พลังปราณสวรรค์จำนวนมหาศาลพุ่งทะลวงผ่านจุดตายหยงฉวนอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าการทะลวงผ่านจุดตายหยงฉวนในครั้งนี้ยากเย็นกว่าตอนที่เด็กหนุ่มทะลวงผ่านจุดตายบนกระดูกไหปลาร้าในครั้งแรกมาก ขณะที่กำลังทำการทะลวงจุดตายหยงฉวนนั้น โจวเหว่ยชิงก็ต้องพบกับแรงต้านทานมหาศาลที่ทำให้เขาต้องหยุดชะงักลงกลางคัน

ความเจ็บปวดสายหนึ่งพลันแล่นพรวดพราดไปทั่วฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้างของเขา โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ว่าเลือดกำลังไหลทะลักย้อนขึ้นไปตามขาเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นไม่นานเขากระอักเลือดออกมาคำใหญ่ และคราวนี้เลือดเหล่านั้นก็ยังไหลออกมาจากรูขุมขนบนผิวหนังจนอาบย้อมไปทั่วบริเวณนั้น

แรงต้านในครั้งนี้รุนแรงเกินไป จุดตายหยงฉวนนั้นแทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ด้านโจวเหว่ยชิงเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นหรือไม่หากเขาใช้กำลังบังคับให้มันเปิดออก อนิจจา สถานการณ์ในตอนนี้ก็เหมือนกับธนูที่ง้างออกจนสุดสายแล้ว โจวเหว่ยชิงอยู่ในจุดที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีก

เอาล่ะ ลองอีกครั้งละกัน! โจวเหว่ยชิงผ่อนคลายความเครียดลง จากนั้นก็ตั้งสมาธิอย่างจริงจังอีกครั้ง เขาหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พยายามควบคุมพลังปราณสวรรค์ธาตุลมที่กำลังปั่นป่วน จากนั้นเขาก็ใช้พลังปราณเหล่านั้นกระแทกเปิดจุดตายหยงฉวนอีกครั้งอย่างรุนแรง

*พลั่วะ*! คราวนี้โจวเหว่ยชิงเกือบจะพุ่งทะยานขึ้นฟ้าด้วยความเจ็บปวด เลือดพุ่งทะลักออกมาจากผิวหนังของเขาจนดูคล้ายกับไอหมอกสีเลือด จากบริเวณฝ่าเท้าจนถึงโคนขา ผิวหนังทุกส่วนเต็มไปด้วยเลือดสดๆ ไหลลงมาอาบย้อมไปทั่ว ราวกับว่าเส้นชีพจรส่วนขาของเขาขาดสะบั้นออกจากกันอย่างสมบูรณ์

โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับฝ่าเท้าทั้งสองของเขาถูกคว้านออกไปเป็นหลุมขนาดใหญ่ จากนั้นพลังปราณสวรรค์จำนวนมหาศาลก็พุ่งทะลักออกมา ความเจ็บปวดเข้าครอบคลุมไปทั่วร่างอย่างเฉียบพลัน และนั่นก็ทำให้โจวเหว่ยชิงนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ทะลวงผ่านจุดตายแรก หรือก็คือบริเวณกระดูกไหปลาร้า แต่ทว่าครั้งนี้ความเจ็บปวดที่เขารู้สึกได้นั้นกลับรุนแรงและสาหัสมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก

“แย่แล้ว!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก เธอขยับอย่างรวดเร็วและมาถึงข้างตัวโจวเหว่ยชิงในชั่วพริบตา เมื่อโจวเหว่ยชิงเริ่มกระบวนการทะลวงจุดตาย เธอก็รู้แล้วว่าเป้าหมายของเขาคือจุดตายหยงฉวน มือทั้ง 2 ของเธอรวบรวมพลังปราณสวรรค์ จากนั้นก็วางลงบนจุดตายหยงฉวนของโจวเหว่ยชิงเพื่อช่วยเด็กหนุ่มผนึกจุดตายที่เพิ่งขาดสะบั้นออกไปเมื่อสักครู่

เมื่อฝ่ามือของเธอทาบลงบนฝ่าเท้าของเขา ทันใดนั้นร่างกายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หดเกร็งทันที เธอสัมผัสได้ว่าพลังปราณสวรรค์ธาตุลมอันบริสุทธิ์จำนวนมหาศาลจากจุดตายหยงฉวนของโจวเหว่ยชิงกำลังไหลทะลักเข้าสู่ร่างกายของเธอ เธอจึงพยายามที่จะหยุดพวกมันไว้ แต่ทว่าพลังปราณสวรรค์ที่ผสมปนเปกันอยู่นั้นก็ดูเหมือนจะตรึงร่างกายของเธอเอาไว้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ พลังปราณสวรรค์สายนั้นพุ่งเข้าสู่ร่างของเธอและทะลวงเข้าไปในเส้นชีพจรทันที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องครวญคราง ร่างของเธอสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดแต่ทว่าเธอกลับไม่ยอมแพ้ ใช้มือทั้ง 2 ข้างพยายามยึดจับฝ่าเท้าของโจวเหว่ยชิงไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

อาจกล่าวได้ว่าทั้งโจวเหว่ยชิงและโจวเหว่ยชิงต่างก็กำลังเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และในเวลานี้ลายเสือสีดำซึ่งจางหายไปก่อนหน้าก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งทั่วร่างกายของโจวเหว่ยชิง

คำว่า ‘ราชา’ ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนหน้าผากของเขา แผ่กลิ่นอายสง่างามสูงส่งออกมา  ฉับพลันนั้นจุดตายหยงฉวน ณ บริเวณเท้าขวาของโจวเหว่ยชิงก็สมานเข้าด้วยกันจนแนบสนิท  ไม่นานหลุมดำรูปร่างคล้ายกับน้ำวนก็ก่อตัวขึ้นมาทันที แม้ว่ากระบวนการรักษาตัวเองบริเวณเท้าซ้ายของเขาจะช้ากว่ามาก แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันรักษาตัวเองได้เกินครึ่งทางแล้ว

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโจวเหว่ยชิง เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากร่างกายของเธอเพิ่งได้รับแรงกดดันมหาศาลจากปราณสวรรค์ธาตุลมที่เพิ่งถูกถ่ายเทเข้ามาในตัวเธอ เมื่อรวมกับความอ่อนล้าก่อนหน้านี้ ความมืดมิดจึงเข้ามาปกคลุมวิสัยทัศน์ของเธอไปจนหมด ไม่นานเธอก็หมดสติไป

เมื่อจุดตายหยงฉวนบริเวณเท้าซ้ายของเขาค่อยๆ สมานกันแล้ว ความเจ็บปวดของโจวเหว่ยชิงก็พลันเจือจางลงราวกับหิมะที่เพิ่งหลอมละลาย แต่ทว่าพลังปราณสวรรค์ที่ยุ่งเหยิงปะปนกันในร่างกายของเขาก็ยังเคลื่อนที่ไปมาอย่างปั่นป่วนไร้จุดหมาย เวลานี้ เมื่อไม่มีแรงกระตุ้นจากภายนอก การดูดกลืนของหลุมดำ ณ จุดตายทั้ง 4 ที่ถูกทะลวงไปก่อนหน้าก็กำลังเร่งความเร็วขึ้นสูงสุดเพื่อดูดซับพลังปราณสวรรค์ที่ผสมรวมกันอยู่ในร่างของเขาอย่างรวดเร็ว

ในที่สุด จุดตายหยงฉวนที่เท้าซ้ายก็สมานกันอย่างสมบูรณ์ และเมื่อหลุมดำพลังปราณก่อตัวขึ้น ความรู้สึกเบาสบายสายหนึ่งก็ครอบคลุมไปทั่วร่างกายของโจวเว่ยชิง ซอกซอนไปในอวัยวะทุกส่วนที่มันเข้าถึงได้

เมื่อเขาทะลวงผ่านจุดตายที่ 5 ได้สำเร็จ แน่นอนว่าระดับการพลังปราณของโจวเหว่ยชิงก็เข้าสู่ระดับที่ 5 ของปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานเช่นกัน ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อหลุมดำทั้ง 5 หมุนวนพร้อมกันด้วยความเร็วสูงสุด โจวเหว่ยชิงก็ค้นพบว่าอัตราการดูดกลืนพลังปราณสวรรค์จากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวนั้นยังเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าอีกด้วย!

เมื่อทะลวงผ่านจุดตายหยงฉวนได้แล้ว นั่นย่อมหมายความว่า เขาได้ทะลวงผ่าน 5 จุดตายบนแขนขาของเขาครบเรียบร้อยแล้ว และในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ได้สำเร็จวิชาส่วนแรกของวิชาเทพอมตะเสียที

เมื่อหลุมดำ ณ จุดตายทั้ง 5 ของเขากำลังหมุนวนเพื่อดูดกลืนพลังปราณเข้าไป เขาก็พลันสัมผัสได้ถึงขนาดของมันที่กำลังขยายใหญ่ขึ้น รวมไปถึงอาณาเขตการดูดกลืนที่ขยายออกไปไกลมากกว่าเดิมอีกด้วย หากเปรียบหลุมดำ ณ จุดตายทั้ง 4 มีขนาดเท่ากับไข่นกพิราบแล้วล่ะก็ ด้วยจำนวนจุดตายที่เพิ่มขึ้นมา 5 จุดครอบคลุมทั่วร่าง  ตอนนี้หลุมดำที่เกิดขึ้นเหล่านั้นจึงกำลังขยายอาณาเขตออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง และในระยะเวลาอันสั้นมันก็เข้าถึงทุกซอกทุกมุมของร่างกาย

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาได้ทะลวงผ่านจุดตายทั้ง 5 แต่ทว่าแต่ละจุดตายก็มีคู่ของตนเอง กระดูกไหปลาร้าซ้าย-ขวา ข้อมือซ้าย-ขวา ใต้เข่าซ้าย-ขวา เหนือตาตุ่มซ้าย-ขวา และกลางฝ่าเท้าซ้าย-ขวา ดังนั้น เพียงแค่หลุมดำทั้ง 10 จากจุดตายทั้ง 5 ก็เพียงพอแล้วที่จะครอบคลุมทุกจุดบนร่างกายของเขา

แม้ว่าลายเสือดำบนร่างของเขายังไม่ได้จางหายไป แต่วงแหวนแสงสีขาวนวลก็ค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับลวดลายสีดำบนร่างกายของเขา ก่อตัวขึ้นเป็นเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นบนผิวหนัง และนี่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเขาได้ฝึกวิชาเทพอมตะส่วนแรกสำเร็จแล้ว

แน่นอนว่าวิชาเทพอมตะเป็นวิธีการฝึกปราณลึกลับถึงที่สุด และก็ยังเป็นวิชาที่แปลกแยกไปจากวิชาอื่นๆ อย่างมาก หากดูจากความเร็วของการดูดกลืนพลังปราณสวรรค์แล้วก็เห็นได้ชัดว่าวิชานี้ให้ผลรวดเร็วกว่าวิชาฝึกปราณอื่นๆ บนโลกนี้แน่นอน แต่ทว่านั่นก็ไม่น่าจะเร็วไปกว่าที่โจวเหว่ยชิงเพิ่งทำสำเร็จไปเมื่อสักครู่

ในระยะเวลาเพียง 2 เดือน โจวเหว่ยชิงสามารถทะลวงจุดตายสำคัญทั้ง 5 จุดได้สำเร็จ และนี่ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ภายใต้เหตุการณ์ประจวบเหมาะต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน เขาได้กลืนกินพลังปราณสวรรค์ธาตุลมจำนวนมหาศาลจากภายนอกเข้าไปและต้องทะลวงจุดตายที่ 5 นี้ด้วยความจำเป็น เหตุการณ์เช่นนี้ราวกับว่าเขากำลังติดอยู่ระหว่างซอกหิน ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเพื่อจะเจาะทะลวงออกมาจากหินก้อนนั้นให้ได้ และในที่สุดเขาก็สามารถทำสำเร็จอย่างไม่มีใครคาดคิด

แม้ว่าตอนนี้โจวเหว่ยชิงยังคงเป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีเพียงชุดเดียว  แต่หลังจากสำเร็จวิชาเทพอมตะส่วนแรกแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าตอนนี้เขาได้ผ่านขั้นแรกของเส้นทางการฝึกวิชานี้แล้วเช่นกัน และเมื่อก้าวไปบนถนนเส้นนี้แล้ว เขาก็ไม่อาจจะเดินย้อนกลับได้อีก แน่นอนว่านั่นหมายถึงในระดับที่สูงขึ้นของวิชาเทพอมตะ โจวเหว่ยชิงก็จะได้รับประโยชน์มากมายและแข็งแกร่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ในเวลาเดียวกัน ข้อเสียก็คือการทะลวงจุดตายต่อๆ ไปย่อมจะต้องยากยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

เนื่องจากจุดตายทั้ง 5 นั้นดูดซับพลังปราณสวรรค์จากสิ่งแวดล้อมภายนอกอย่างไม่หยุดหย่อน โจวเหว่ยชิงจึงไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับการฝึกฝนมากนัก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผู้ซึ่งเป็นลมหมดสติไปก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่า ณ ขณะนั้น พลังปราณสวรรค์ธาตุลมส่วนใหญ่ซึ่งถูกกรองและทำให้บริสุทธิ์ด้วยวิชาเทพอมตะของโจวเหว่ยชิงนั้นได้แผ่กระจายไปทั่วร่างของเธอแล้ว และสิ่งที่โจวเหว่ยชิงดูดซับส่วนใหญ่เป็นเพียงพลังปราณส่วนน้อยที่มาจากราชาหมาป่าโลกันตร์เท่านั้น

แม้ว่าทักษะการดูดกลืนของเขาจะแข็งแกร่งมาก แต่พลังปราณที่ถูกดูดกลืนเข้ามาจะต้องถูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็ว เว้นเสียแต่ว่าเขาจะมีพลังปราณมากกว่าจำนวนที่ดูดกลืนเข้ามา มิฉะนั้นโจวเหว่ยชิงจะไม่สามารถดูดซับปราณจำนวนมากๆเหล่านั้นได้ในครั้งเดียว บางที นี่ก็อาจเป็นวิธีที่ทำให้โลกเกิดสมดุลนั่นเอง

……………………………………………..

เมื่อลมหายใจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ร่างของโจวเหว่ยชิงก็เริ่มอุ่นขึ้น แขนที่กอดรัดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ทันใดนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที เธอรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่…เอ่อ…แข็งๆ…ขนาดใหญ่…และตั้งชัน…กำลังดุนดันเบาๆ ที่ท้องน้อยของเธอ…อีกทั้งยังกระตุกออกมาเล็กน้อย…

หลังจากประหลาดใจได้ไม่นาน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตระหนักได้ทันทีว่ามันคืออะไร แต่ทว่าเธอก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนเพราะเธอไม่รู้ว่าอ้วนน้อยโจวยังจะอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่างหรือไม่

ร่างกายของเธอเริ่มร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ แขนทั้ง 2 ข้างที่กำลังยกขึ้นโอบกอดโจวเว่ยชิงเริ่มสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่

เธอหวาดกลัวเล็กน้อย กลัวว่าสัญชาตญาณสัตว์ป่าจะเข้าแทรกแซงจิตใจของเขาอย่างอย่างฉับพลันอีกครั้งคล้ายกับคืนวันนั้น วันที่เธอสูญเสียพรหมจรรย์เป็นครั้งแรกและความเจ็บปวดนั้นก็จารึกอยู่ในใจของเธอมาตลอด เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่า จะทำยังไงหากมันเกิดขึ้นอีกครั้ง? เธอควรจะทำยังไงดี? ทันใดนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็พบว่า แม้แต่ในตอนนี้ตัวเธอเองก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน

สิ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ทันได้เห็นก็คือ ในเวลานี้โจวเหว่ยชิงกำลังกะพริบตาปริบๆ และนั่นทำให้ใบหน้าของเขาดูประหลาดมาก

ในความเป็นจริงแล้ว ขณะที่โจวเหว่ยชิงตกอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่าง เขาได้สูญเสียการควบคุมจิตใจของตนเองไปเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ในช่วงเวลานั้น สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกได้ถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของเด็กหนุ่มเช่นกัน และเมื่อจิตปีศาจของเขาเริ่มสังหารหมาป่าโลกันตร์พวกนั้น ตัวตนของโจวเหว่ยชิงก็ตื่นขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขารู้สึกตัวอยู่นั้น เขาก็ยังไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้อยู่ดี เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงมองดูตนเองไล่ล่าสังหาร ทำลายล้าง และกลืนกินหมาป่าพวกนั้นอย่างไม่รู้จบด้วยสายตาปริบๆ

เขาสัมผัสได้ว่าวงล้อทักษะธาตุหมุนไปยังบริเวณสีเทา ในขณะที่เขาพยายามที่จะเข้าใจความลึกลับของทักษะธาตุปีศาจนั้น อีกด้านหนึ่งเขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อจะเข้าควบคุมร่างกายของตนเองให้ได้

เพียงชั่วขณะหนึ่ง หลังจากที่จิตปีศาจของโจวเหว่ยชิงจัดการฆ่าราชาหมาป่าโลกันตร์ลงได้ ฉับพลันนั้นร่างกายของเขาร่วงหล่นลงพื้นและในที่สุดเด็กหนุ่มก็สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้บางส่วนเสียที เขาพุ่งทะยานเข้าหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างไม่ลังเล จากนั้นก็จับตัวเธอเอาไว้ ใช้กลิ่นอายของทุรมาลินปลอบประโลมตนเอง อาศัยสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างเธอกับโจวเหว่ยชิงเพื่อทำให้เขาสามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ครบถ้วนสมบูรณ์

ด้วยเหตุนั้น ตอนนี้โจวเหว่ยชิงจึงมีสติขึ้นมาได้สักพักหนึ่งแล้ว และเมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์เริ่มโอบกอดร่างของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย นั่นทำให้ร่างกายของพวกเขาบดเบียดเข้าด้วยกันอีกทั้งยังยังเสียดสีกันไปมาอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น จะให้โจวเหว่ยชิงไม่มีปฏิกิริยาเช่นนั้นได้อย่างไร! ในเวลานี้เขารู้สึกได้เพียงแค่ส่วนล่างของเขากำลังถูไถเข้ากับท้องน้อยที่อ่อนนุ่มและบอบบางของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างไม่หยุดหย่อน ความรู้สึกที่น่าพอใจเช่นนี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกราวว่าจะไม่สามารถ ‘ควบคุมตนเอง’ ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้จอมเจ้าเล่ห์น้อยตนนี้กลับไม่อาจจะตัดใจปล่อยหญิงสาวแสนสวยในอ้อมแขนของตนไปได้ โอกาสที่จะได้โอบกอดซึ่งกันและกันนั้นหายากแค่ไหน เขาย่อมรู้ดีกว่าใคร!

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังทะเลาะกับตัวเองอยู่นั้น ร่างกายของเขาก็พลันเกิดการสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขารู้สึกได้ว่าพลังปราณสวรรค์ที่เงียบสงบอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มก่อนหน้านี้กำลังระเบิดออกมาราวกับภูเขาไฟปะทุ ไอพลังสีดำเทาที่ลอยวนล้อมรอบร่างกายของโจวเหว่ยชิงค่อยๆ จางหายไป แต่แสงสีเขียวกลับเริ่มเข้มข้นขึ้นและทรงพลังมากยิ่งขึ้น พลังปราณสวรรค์ที่เคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่งกำลังเผาไหม้อยู่ในร่างกาย ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในถูกบิดคว้านไปทั่ว

“อุ่กก” โจวเหว่ยชิงอาเจียนเลือดออกมาเต็มปากขณะที่ ‘น้องชายตัวน้อย’ ของเขาก็พลันอ่อนยวบลงอย่างรวดเร็ว เขาคลายมือที่โอบกอดร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้และร่วงลงไปนั่งกองกับพื้น

“อ้วนน้อย เจ้าเป็นยังไงบ้าง?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่นี้อาการของเขาจะดีขึ้นแล้ว แต่ทว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ … หรือว่านี่จะเป็นผลข้างเคียงจากสถานะปีศาจกลายร่าง?

โจวเหว่ยชิงโบกมือให้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว เขากล่าวว่า “ข้าต้องทะลวงจุดตายจุดต่อไป” หลังจากที่เขาเปล่งคำพูดเหล่านั้นออกมาอย่างยากลำบาก เขาก็หลับตาลงและจมจ่ออยู่ในสมาธิทันที

เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในร่างกายของโจวเหว่ยชิงเป็นผลมาจากการที่เขากลืนกินพลังปราณสวรรค์ธาตุลมจากหมาป่าโลกันตร์เข้าไปเป็นจำนวนมาก แม้ว่าพลังปราณสวรรค์ของเด็กหนุ่มเองจะมีทักษะธาตุลมอยู่ด้วย แต่เขาก็เป็นมนุษย์และร่างกายของโจวเหว่ยชิงก็ไม่เหมือนสัตว์อสูรสวรรค์ แม้จะมีพลังของไข่มุกรัตติกาลคอยสนับสนุน แต่เพราะเขากลืนกินปราณสวรรค์ธาตุลมมากเกินไป นั่นทำให้ตันเถียนของเขาไม่สามารถบรรจุพวกมันได้ทั้งหมด ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง  ปราณสวรรค์ธาตุลมจำนวนมหาศาลจึงถูกมันกดข่มเอาไว้และยังสามารถนำมาใช้เป็นพลังของตนเองได้อีกด้วย แต่ทว่าในตอนนี้ สถานะปีศาจกลายร่างได้สิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มมีปัญหาในการสะกดอำนาจที่แท้จริงของพลังปราณจำนวนมหาศาลเหล่านั้นทันที

ปราณสวรรค์ธาตุลมจากภายนอกและปราณสวรรค์ธาตุลมภายในตัวของโจวเหว่ยชิงนั้นไม่สามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันได้ และถึงแม้หลุมดำทั้ง 4 จะหมุนและดูดกลืนปราณจากภายนอกเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุดแล้ว นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้โจวเหว่ยชิงสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่อันตรายนี้ไปได้ ทางออกเดียวที่มีในตอนนี้คือการใช้ประโยชน์จากพลังปราณภายนอกนี้เพื่อทะลวงจุดตายจุดสุดท้ายของวิชาส่วนแรก หากเขาประสบความสำเร็จ สถานการณ์เลวร้ายนี้ก็จะสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้

ทักษะกลืนกินที่ไข่มุกรัตติกาลมอบให้โจวเหว่ยชิงดูเหมือนจะใช้ได้กับแค่อสูรสวรรค์ในโลกนี้เท่านั้น และมันก็ไม่ได้ผลกับมนุษย์ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมก่อนหน้านี้ขณะที่โจวเหว่ยชิงขู่คำรามออกมาคล้ายเสือดำตัวใหญ่นั่น ซ่างกวนปิง   เอ๋อร์ที่อยู่ใกล้ๆ จึงไม่ได้รับผลกระทบเหมือนสัตว์อสูรสวรรค์ตัวอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ทักษะกลืนกินก็มีข้อจำกัดเช่นกัน ยิ่งเขาแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่ ความสามารถในการรองรับพลังปราณที่ถูกดูดกลืนเข้ามาก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ทว่าระดับพลังของ  โจวเหว่ยชิงในปัจจุบันกลับอ่อนแอเกินไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาอยู่ภายใต้สถานะปีศาจกลายร่าง เขาสามารถใช้ความสามารถนี้ได้อย่างเจ็มที่ แต่ก็ต้องถูกควบคุมโดยสัญชาตญาณกระหายการเข่นฆ่า อีกทั้งยังต้องการกลืนกินพลังปราณภายนอกเข้าไปจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อสิ้นสุดสถานะปีศาจกลายร่าง ร่างกายของเขาจึงมีพลังปราณสวรรค์ธาตุลมมากเกินไป หากโจวเหว่ยชิงไม่รีบจัดการกับมันในตอนนี้ ร่างกายของเขาก็จะเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือร่างอาจจะระเบิดจากภายในจนตาย เนื่องจากมีพลังปราณอัดแน่นอยู่ในร่างมากเกินไปนั่นเอง

“ข้าจะคอยระวังหลังให้เจ้า” เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงจำเป็นจะต้องทะลวงจุดตายจุดต่อไป เธอลุกขึ้นไปยืนเฝ้าด้านหลังให้เขาอย่างไม่ลังเล ในขณะนี้ สิ่งที่โจวเหว่ยชิงต้องการมากที่สุดคือคนคอยคุ้มกัน หากว่าอสูรสวรรค์ตัวอื่นๆ มาพบเขาเข้า เวลานี้เด็กหนุ่มก็คงจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้

โจวเหว่ยชิงพยายามเพ่งสมาธิไปควบคุมพลังปราณสวรรค์ธาตุลมที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในร่างของเขา ค่อยๆ ผสานมันเข้ากับพลังปราณสวรรค์ในร่างเพื่อชักนำพวกมันลงไปยังส่วนบริเวณขาทั้งสองข้าง หลังหลุดพ้นสถานะปีศาจกลายร่างมาแล้ว ตอนนี้พลังปราณสวรรค์ของเด็กหนุ่มได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่านั่นคือพลังปราณสวรรค์ธาตุลมทั้งหมดที่เขากลืนกินเข้าไปก่อนหน้านี้ ทว่าปัญหาคือโจวเหว่ยชิงกลืนกินพลังปราณพวกนั้นมากจนเกินไป และหากเขาไม่รีบจัดการกับพวกมัน พลังพวกนั้นก็จะปั่นป่วนร่างกายจนเกิดหายนะได้

พลังปราณสวรรค์ภายในร่างของโจวเหว่ยชิงนั้นบริสุทธิ์มาก เพียงแต่พลังปราณสวรรค์ธาตุลมที่ได้มาจากหมาป่าโลกันตร์หลายๆ ตัวนั้นไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่นัก พลังปราณที่เขาได้รับมาจึงผสมปนเปกันมั่วไปหมด เนื่องจากหมาป่าโลกันตร์แต่ละตัวมีระดับพลังที่แตกต่างกัน อีกทั้งในแต่ละตัวก็มียังพลังปราณหลากหลายชนิดผสมกันอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลืนกินพลังปราณรอบสุดท้ายจากราชาหมาป่าโลกันตร์ พลังปราณของมันไหลวนไปทั่วร่างของโจวเหว่ยชิงอย่างเกรี้ยวกราดบ้าคลั่ง ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทรมานเหนือคำบรรยาย

ในขณะที่เขาชักนำพลังปราณสวรรค์ลงมายังส่วนล่างของร่างกาย โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกราวกับว่าเส้นชีพจรบริเวณต้นขาของตนถูกทะลวงจนขาดสะบั้น และในเสี้ยววินาทีนั้น พลังปราณสวรรค์จากภายนอกและภายในที่ผสมปนเปกันอยู่ก็พุ่งเข้าทะยานเข้าสู่จุดตายจู้ซานหลี่(ใต้เข่า)ทันที ขณะที่จุดตายจู้ซานหลี่เริ่มหมุนวนเพื่อดูดกลืนปราณของเขานั่นเอง โจวเหว่ยชิงก็รีบดำเนินการตามหลักวิชาเทพอมตะทันทีและชักนำปราณสวรรค์ที่ผสมกันอยู่นั้นไหลวนลงไปข้างล่างอย่างไม่รีรอ

ร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่ลึกลับและอัศจรรย์ หากคนอื่นฝึกวิชาเทพอมตะแบบเดียวกันก็อาจให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ อาจกล่าวได้ว่าวิชาเทพอมตะนั้นเป็นวิชาที่ไม่เหมือนใคร ดังนั้นในแต่ละขั้นตอนเขาจึงต้องลองด้วยตัวเองเท่านั้น

ครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะเข้าข้างโจวเหว่ยชิง พลังปราณสวรรค์ของเขาสามารถพุ่งทะลวงผ่านจุดตายจู้ซานหลี่ เปิดทางให้หลุมดำ ณ จุดตายบริเวณนั้นหมุนวนด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าของความเร็วสูงสุดก่อนหน้านี้ ในขณะที่พลังปราณสวรรค์ธาตุลมที่ผสมปนเปกันอยู่นี้กำลังทะลวงผ่านจุดตายจู้ซานหลี่ ดูเหมือนว่าพวกมันก็ได้ไหลผ่านตัวกรองชนิดหนึ่งออกมาด้วย ผลก็คือพลังปราณสวรรค์ธาตุลมที่ไม่เข้ากันกลุ่มนี้มีความบริสุทธิ์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

…………………………………………………………….

อีกด้านหนึ่ง ไป๋จิ่วที่กำลังพยายามแยกตัวออกจากวงล้อมหมาป่าโลกันตร์อย่างยากลำบากก็พลันได้ยินเสียงร้องคำรามของเสือดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ ร่างของเขาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวจนเกือบจะฉี่รดกางเกงอีกรอบ “โชคดีที่เรารีบวิ่งหนีออกมาก่อน ฟังจากเสียงคำรามแล้ว เสือตัวนั้นจะต้องเป็นอสูรสวรรค์ระดับเทวะแน่ๆ! ป่านนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คงน่าจะไม่รอดแล้ว เฮ้อ น่าสงสารจริงๆ เป็นถึงแม่นางน้อยที่งดงามเสียขนาดนั้น…”

ในขณะที่เสียงคำรามของเสือดำดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่า ฝูงหมาป่าโลกันตร์ที่กำลังนอนหมอบอยู่บนพื้นก็เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง ลูกไฟสีเขียวต่างก็ลอยออกมาปากของหมาป่าโลกันตร์ที่ยังมีชีวิตอยู่พวกนั้น คล้ายกับแม่น้ำคดเคี้ยวหลายสายกำลังไหลเอื่อยเข้าสู่ท้องทะเลอันแสนกว้างใหญ่ ลูกไฟเหล่านั้นทยอยไหลเข้ามารวมตัวกันอยู่ด้านข้างของโจวเหว่ยชิงก่อนจะถูกเขาอ้าปากกลืนกินเข้าไปทั้งหมด ไอหมอกสีเทาดำที่กำลังไหลวนอยู่รอบๆ ร่างของโจวเหว่ยชิงมีสีเข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในร่างของเขาจนได้ยินเสียงกระดูกหักดังลั่นออกมาอีกครั้ง อนิจจา สำหรับหมาป่าโลกันตร์ที่มอบปราณสวรรค์ธาตุลมให้กับเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกมันต่างก็ตัวอ่อนยวบลงไปกับพื้น ตายเกลื่อนดุจผักปลาทันที

ในโลกของสัตว์อสูรสวรรค์ ความสามารถนี้เป็นที่รู้จักกันดีในการใช้เรียกหา “สิ่งบรรณาการ” หมาป่าโลกันตร์พวกนั้นทนฟังเสียงขู่คำรามของเสือปีศาจที่มีพลังกดข่มอย่างรุนแรงเช่นนี้ไม่ได้  จิตใจของพวกมันจึงพังทลายลงอย่างสมบูรณ์และยินยอมมอบพลังปราณสวรรค์อันมีค่าของพวกมันเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่เขา

เมื่อได้ยินโจวเหว่ยชิงขู่คำรามเช่นนั้นออกมา แขนขาทั้ง 4 ของ ราชาหมาป่าโลกันตร์ก็อ่อนยวบลงทันที มันไม่มีเวลาให้ลังลังเลอีกต่อไป รีบหันหลังกลับเตรียมจะจ้ำอ้าวหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิตทันที อนิจจา สายเกินไปแล้วที่จะคิดหลบหนี เมื่อโจวเหว่ยชิงกลืนกินพลังปราณของหมาป่าโลกันตร์ครบ 100 ตัวแล้ว เขาจะพลาดท่าให้โอกาสมันหลบหนีไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร

ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน เวลานี้ช่างไร้วี่แววของแสงสว่าง ในชั่วพริบตานั้น ราชาหมาป่าโลกันตร์ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังเกาะแน่นอยู่ที่ลำตัวของมัน เป็นเงาหนวดทั้ง 12 ของทักษะสัมผัสมืดนั่นเองที่กำลังยึดร่างของมันเอาไว้

แม้จะอยู่ภายใต้สถานะปีศาจกลายร่าง แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่โจวเหว่ยชิงผู้ครอบครองมณีเพียงชุดเดียวจะสามารถควบคุมอสูรสวรรค์ระดับปรมะได้ แต่ทว่านั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับใช้ยึดร่างของมันไว้ชั่วคราวเพื่อไม่ให้มันหลบหนีไปได้

ราชาหมาป่าโลกันตร์กำลังพยายามดิ้นรนให้หลุดจากเงาหนวดสีดำที่ตรึงร่างของมันไว้กับพื้น แน่นอนว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ มันก็สามารถกระชากตัวออกมาจากการคุมขังได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่มันเพิ่งเป็นอิสระนั่นเอง ดวงตาสีแดงฉานคู่หนึ่งก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของมันแล้ว

และทักษะโซ่ตรวนวายุถูกนำมาใช้กับราชาหมาป่าโลกันตร์อีกครั้ง หลังจากได้กลืนกินพลังปราณสวรรค์ธาตุลมจำนวนมหาศาลเข้าไปแล้ว ปราณสวรรค์ทั้งหมดในร่างของโจวเว่ยชิงก็เกือบจะมากกว่าปราณสวรรค์ของราชาหมาป่าโลกันตร์แล้ว! แม้ว่าเขาจะใช้ได้แค่ทักษะระดับพื้นฐาน แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้

ราชาหมาป่าโลกันตร์เพิ่งจะเป็นอิสระจากทักษะสัมผัสมืด แต่ทว่าเมื่อร่างกายของมันเริ่มขยับ ร่างของมันก็กลับไปแข็งทื่ออีกครั้ง ในคราวนี้ ก่อนที่มันจะหลุดพ้นจากทักษะโซ่ตรวนวายุได้ ฝ่ามือขวาของโจวเหว่ยชิงตวัดลงบนศีรษะของมันอย่างโหดเหี้ยมแล้ว

กระแสไฟฟ้าแล่นเปรี้ยะๆ ขึ้นมาในอากาศขณะที่โจวเหว่ยชิงใช้ทักษะฝ่ามืออัสนีบาตฟาดลงมาพร้อมกันด้วย

ระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ปะทุขึ้นมาทันที ราชาหมาป่าโลกันตร์ร้องโหยหวนออกมาอย่างน่าสยดสยอง ร่างของมันกระเด็นออกไปและพลิกไปมาหลายตลบจนได้ยินเสียงบางอย่างปริแตกออกมา กระแสไฟฟ้าไหลวูบวาบขึ้นมาเป็นชั้นๆอาบทั่วร่างของมัน อีกทั้งยังส่งเสียงเปรี้ยะๆ ออกมาเป็นระยะๆ

แน่นอนว่าราชาหมาป่าโลกันตร์ตัวนี้สมควรแล้วที่เป็นถึงอสูรสวรรค์ระดับปรมะ ถึงแม้ว่ามันจะกลัวกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของโจวเหว่ยชิง แต่ทว่าการฆ่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ปกติแล้ว หากรับการโจมตีขั้นสูงสุดจากทักษะประเภทโจมตี ‘ฝ่ามืออัสนีบาต’ ของโจวเหว่ยชิงอย่างเต็มกำลัง ราชาหมาป่าโลกันตร์ตัวนั้นก็จะเพียงแค่กลายเป็นอัมพาตอยู่ชั่วคราวและมีอาการมึนงงเล็กน้อยเท่านั้น และแม้จะอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่าง โจวเหว่ยชิงก็ยังไม่อาจสังหารอสูรสวรรค์ระดับปรมะตัวนี้ได้อยู่ดี

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าโจวเหว่ยชิงยังเหลือขาขวาปีศาจที่แปลกประหลาดของเขาอยู่อีกข้าง หลังจากฟาดฝ่ามืออัสนีบาตเข้าใส่ราชาหมาป่าโลกันตร์แล้ว ในชั่วพริบตาต่อมาเขาก็เงื้อขาขวาปีศาจขึ้นเหนือร่างราชาหมาป่าโลกันตร์ ราวกับว่ามันคือเครื่องประหารสีดำขนาดใหญ่ที่พร้อมจะบั่นคอนักโทษได้ทุกเมื่อ

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกวาดขาขวาลงมา แทนที่จะใช้ส้นเท้าหรือฝ่าเท้าเพื่อจัดการกับราชาหมาป่าโลกันตร์ตัวนั้น เขากลับเลือกใช้ปลายเท้าซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับตะขอแมงป่องสีดำที่เขาเห็นมาจากหางของเสือดำตัวนั้นแทน

ปลายเท้าขวาของโจวเหว่ยชิงตัดเข้ากับกะโหลกศีรษะของราชาหมาป่าโลกันตร์อย่างรุนแรง เฉือนสมองลากผ่านลงมาตามแนวดิ่งอย่างโหดเหี้ยม ทำให้เกิดประกายแสงสีแดงสาดกระจายออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ราวกับเลือดสดๆ ถูกพ่นออกมาอาบย้อมไปทั่วท้องฟ้า ในขณะที่ร่างกายของโจวเหว่ยชิงเคลื่อนลงมาถึงอีกฝั่ง มือทั้งสองข้างของเขาก็ถูกใช้ค้ำยันพื้นขณะที่ขยับถอยออกมามองดูผลงานที่ด้านข้าง เด็กหนุ่มดึงเท้าขวาออกมาจากกะโหลกศีรษะของราชาหมาป่าโลกันตร์ จากนั้นลูกไฟสีเขียวสดใสที่คล้ายกันกับหมาป่าโลกันตร์ตัวอื่นๆ ก็ลอยละล่องออกมา เพียงแต่ว่าลูกไฟดวงนี้กลับมีความหนาแน่นมากกว่าดวงอื่นๆ เมื่อลูกไฟสีเขียวดวงนั้นถูกกลืนกินโดยโจวเหว่ยชิง ร่างของราชาหมาป่าโลกันตร์ก็ทรุดลงไปกองกับพื้นและสิ้นใจทันที

หลังจากนั้นไม่นาน ร่างกายของโจวเหว่ยชิงก็ล้มพับลงไปกองกับพื้นเช่นกัน และคราวนี้เขาไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาอีก ทว่าไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะเขากลืนกินพลังปราณสวรรค์ธาตุลมมากเกินไป นั่นจึงทำให้ไอพลังสีเทาดำรอบๆร่างกายของโจวหว่ยชิงมีสีเขียวจางๆ ปะปนอยู่ด้วย

ก่อนหน้านี้ พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่มีฝูงหมาป่าโลกันตร์ครอบครองอยู่อย่างหนาแน่น แต่ทว่าในเวลาไม่กี่นาทีต่อมา ที่แห่งนี้กลับเหลือทิ้งไว้แค่เพียงทะเลเลือดและซากศพ แน่นอนว่านั่นรวมถึงราชาหมาป่าโลกันตร์ผู้เป็นเจ้าป่าแห่งนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ฝูงหมาป่าโลกันตร์ก็ยังถูกกำจัดทิ้งไปทั้งหมด

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนขึ้นอย่างสั่นๆ เธอมองไปที่ฉากเบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า แม้แต่วิญญาณของเธอยังสั่นเทาด้วยความกลัว โจวเหว่ยชิงในสถานะปีศาจกลายร่างนั้นน่ากลัวมากจริงๆ…

ความจริงแล้ว แม้พลังที่เขาใช้จะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนัก แต่ทว่ากลิ่นอายที่ล้อมรอบตัวเขานั้นกลับทำให้หมาป่าโลกันตร์ธรรมดาๆไม่กล้าจะสู้กลับ ในท้ายที่สุด เด็กหนุ่มก็ยังต้องพึ่งพาการใช้ทักษะประเภทควบคุมอย่างต่อเนื่องติดๆกัน เมื่อประสานเข้ากับพลังของขาขวาปีศาจ นั่นจึงทำให้เขาสามารถสังหารราชาหมาป่าโลกันตร์ตัวนั้นลงได้ เธอเห็นกับตาว่าโจวหว่ยชิงเพิ่งจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริงขึ้นมา…

แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับทักษะธาตุปีศาจของโจวเหว่ยชิง แต่เธอก็เห็นว่าโจวเหว่ยชิงอาศัยพลังปราณของหมาป่าโลกันตร์ธรรมดาๆ ในการฟื้นฟูและสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง หาไม่แล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะฆ่าอสูรสวรรค์ระดับปรมะอย่างราชาหมาป่าโลกันตร์ตัวนั้นได้ เขาทำแบบนั้นได้อย่างไรกันนะ? เหตุใดโจวหว่ยชิงจึงสามารถใช้ประโยชน์จากพลังปราณของอสูรสวรรค์ได้หลังจากฆ่าพวกมัน?

ในขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังยืนอยู่นั่นเอง บางอย่างก็เคลื่อนที่มาเบื้องหน้าเธออย่างฉับพลันจนทำให้ต้องตะลึงงัน สายตาคู่หนึ่งกำลังจดจ้องมาที่เธอในระยะประชิด ทันใดนั้นรังสีกระหายเลือดก็วาบผ่านขึ้นมาในตาคู่นั้น และมือสีดำสนิทคู่หนึ่งก็พุ่งเข้ามาจับเธอไว้

นี่มันจบแล้วสินะ…ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขณะที่เธอหลับตาลง สมองพลันคิดว่า อย่างน้อย ตายในมือของเขาก็ยังดีกว่าตกเป็นอาหารของหมาป่าพวกนั้น..

ทว่าความเจ็บปวดที่เธอคิดไว้กลับไม่ได้เกิดขึ้น ในเวลาถัดมา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าร่างกายของเธอถูกโอบกระชับจนแน่นขึ้น เธอถูกห่อหุ้มไว้ด้วยการอ้อมกอดอันแน่นหนา อบอุ่นและอ่อนโยน ทว่าก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายและกระหายเลือดของโจวเหว่ยชิง แรงกอดที่มากเกินไปทำให้เธอรู้สึกปวดไปทั่วร่างกาย เสียงหายใจหอบหนักดังอยู่ที่ข้างหูของเธอ แต่ทว่าเธอก็ไม่ได้ขยับต่อต้านเขา

หลังจากช่วงเวลาสับสนมึนงงได้ผ่านพ้นไป ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ฟื้นคืนสติกลับมา เดี๋ยว…เขายังไม่ฆ่าข้าใช่ไหม? อันที่จริง นี่เขาไม่ฆ่าข้าหรอ? นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง? เห็นได้ชัดว่าเมื่อกี้เขาเพิ่งอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่าง! ไม่อย่างนั้นเขาจะฆ่าหมาป่าโลกันตร์พวกนี้ไปทั้งหมดได้ยังไง?

ใบหน้าของเธอวางแนบอยู่บนหน้าอกของเด็กหนุ่ม และเธอรู้สึกว่าหน้าอกของเขาเย็นยะเยือก ไอเย็นที่น่าขนลุกสายหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในร่างของเธออย่างต่อเนื่อง กลิ่นอายที่โหดเหี้ยมและชั่วร้ายยังคงรวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นและไหลวนไปรอบๆ ตัวเขาอย่างไม่หยุดหย่อน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เบิกตาขึ้นและเห็นว่าลายเสือดำที่แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายออกมาบนร่างของโจวเว่ยชิงยังคงขยับเคลื่อนไหวไปมาบนผิวของเขา แต่ในขณะเดียวกันพวกมันก็กำลังค่อยๆ จางหายไปด้วย

สถานะปีศาจกลายร่างของเขากำลังจางลงและหายไป? และเหตุผลน่าจะมาจาก…ร่างกายของข้า?

การค้นพบนี้ทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เธอรีบยกแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เพิกเฉยต่อความเจ็บปวดที่เกิดจากแรงกอดรัดที่แน่นขึ้นของเขา จากนั้นก็โอบกอดโจวหว่ยชิงกลับด้วยอ้อมแขนของเธอ เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ช้าๆ และชัดเจน

“อ้วนน้อย…ตื่นเถอะ…กลับมาหาข้า…”

“อ้วนน้อย…ตื่นเถอะ…กลับมาหาข้า…”

เธอยังคงพูดคำเหล่านั้นซ้ำๆ อย่างไม่หยุดหย่อน กอดเขาไว้แน่นด้วยพลังทั้งหมดที่เธอมี และใช้ร่างกายของเธออบอุ่นร่างกายของโจวหว่ยชิง…

…………………………………………

เมื่อโจวเหว่ยชิงต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามถึงชีวิตเช่นราชาหมาป่าโลกันตร์ หากรวมกับความกระหายเลือดที่เขาได้รับจากการฆ่าคนมาตลอดทั้งคืนแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมตอนนี้เขาถึงกำลังเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง

ณ เวลานี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เธอรู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่รอเธออยู่ก็ย่อมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าอ้วนน้อยโจวที่อยู่ในสถานะปีศาจกลายร่างจะเป็นฝ่ายกำจัดหมาป่าโลกันตร์ทิ้งทั้งหมด หรือเป็นฝูงหมาป่าโลกันตร์ที่สามารถเอาชนะเขาได้ ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ยังต้องตายอยู่ดี

เมื่ออ้วนน้อยโจวสูญเสียการควบคุมจิตใจของตนเองไปเช่นนี้ เขาย่อมจะต้องฆ่าเธอเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม เธอยังคงหวังว่าเด็กหนุ่มจะชนะ อย่างน้อยสำหรับเธอแล้ว ตายด้วยน้ำมือของเขาก็ยังดีกว่าการตกเป็นอาหารของหมาป่าโลกันตร์พวกนั้น

เมื่อร่างของโจวเหว่ยชิงหล่นลงกระแทกกับพื้น ร่างกายของเขาก็ปลดปล่อยชั้นไอหมอกสีเทาออกมาในปริมาณเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ หากก่อนหน้านี้กลิ่นอายของเด็กหนุ่มทำให้หมาป่าโลกันตร์รู้สึกหวาดกลัวแล้วล่ะก็ ในเวลานี้นอกเหนือจากราชาหมาป่าโลกันตร์แล้ว หมาป่าโลกันตร์ตัวอื่นๆ ต่างก็นอนหมอบสั่นอยู่กับพื้น หลังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเข้มข้นที่แผ่ออกมาจากร่างกายของโจวเหว่ยชิง พวกมันก็ไม่มีความกล้าแม้แต่จะยืนขึ้นด้วยซ้ำ

ราชาหมาป่าโลกันตร์เห่าหอนออกมาซ้ำๆ แต่ทว่าหมาป่าโลกันตร์ตัวอื่นๆ ต่างก็ไร้การตอบสนองเพราะพวกมันกำลังขดตัวอยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัว พวกมันจึงไม่ได้ให้ความสนใจราชาของพวกมันเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม แม้แต่ราชาหมาป่าโลกันตร์ก็ยังสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว ตรงเบื้องหน้าของมันนั้นคือมนุษย์จริงๆหรือ? กลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้น แม้กระทั่งราชาแห่งสัตว์ป่าก็ไม่อาจเทียบเคียงได้!

ภายใต้สถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ มันทั้งรู้สึกขุ่นเคืองและหวาดกลัว ราชาหมาป่าโลกันตร์ส่งเสียงคำรามขณะที่มันเงื้อกรงเล็บทั้ง 2 ขึ้นสูง แสงสีเขียวรอบตัวมันเพิ่มความสว่างขึ้นเป็นสองเท่า แต่งแต้มให้บริเวณทั่วทั้งป่ากลายเป็นเฉดสีเขียวมรกตไปในพริบตา เมื่อกรงเล็บของมันแหวกอากาศออกไปเบื้องหน้า เงาสีดำทะมึนที่ดูเหมือนร่างของมันอีกร่างก็พุ่งทะยานเข้าไปหาร่างของโจวเหว่ยชิงทันที

นี่คือทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของราชาหมาป่าโลกันตร์ซึ่งถูกเรียกว่าทักษะ ‘ร่างแยกหมาป่าทลายสวรรค์’ และเป็นหนึ่งในทักษะธาตุลมที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดามณี 6 ดวงแรก แรงเฉือนตัดที่แท้จริงของมันเท่ากับพายุทอร์นาโดเลยทีเดียว และแน่นอนว่าทักษะนี้ไม่เพียงแต่จะเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมากเท่านั้น มันยังสามารถจับเป้าหมายได้ภายในระยะ 50 หลา อีกทั้งยังสามารถไล่ล่าติดตามอีกฝ่ายจนกว่าจะสังหารเป้าหมายลงได้ด้วย

ในขณะนั้นเอง โจวเหว่ยชิงพลันร้องขู่คำรามออกมา เสียงนั้นดังกึกก้องไปทั่วป่าราวกับเสียงคำรามของเสือ ไอพลังสีเทาที่ลอนวนอยู่รอบๆ ตัวของเขาดูเหมือนจะค่อยๆ แผ่ขยายอาณาเขตของมันออกไปเรื่อยๆ จากนั้นไม่นานหมาป่าโลกันตร์ที่กำลังหมอบสั่นเทาอยู่ที่พื้นต่างก็น้ำลายฟูมปากและล้มลงหมดสติ บางตัวหวาดกลัวจนกระทั่งปัสสาวะเรี่ยราดออกมา

โจวเหว่ยชิงขยับตัวอีกครั้ง เขายกขาขวาเงื้อขึ้นไปด้านหลังและฟาดลงกับพื้นดินอย่างกระทันหัน  ร่างกายทั้งหมดของเขาจึงดีดพุ่งขึ้นไปในแนวนอนทันทีราวกับสายฟ้าฟาด โจวเหว่ยชิงขยับตัวหลบหลีกทักษะ ‘ร่างแยกหมาป่าทลายสวรรค์’ ที่ราชาหมาป่าโลกันตร์ส่งออกมาได้อย่างทันท่วงที และด้วยการขยับตัวกลางอากาศเพียงครั้งเดียว เด็กหนุ่มก็มาปรากฏตัวต่อหน้าหมาป่าโลกันตร์จำนวน 2 ตัวที่อยู่ใกล้ๆ เขาแล้ว โจวเหว่ยชิงเหยียดมือทั้ง 2 ข้างออกจากกัน จากนั้นก็ตวัดลงบนศีรษะของพวกมัน ทันใดนั้นก็เกิดเสียงแตกดังโพละ กะโหลกศีรษะของหมาป่าโลกันตร์ทั้ง 2 ตัวถูกทุบจนแยกออกเป็นสองซีกอย่างไร้ความปราณี

ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหมาป่านั้นขึ้นชื่อในเรื่อง ‘หัวแข็งและเอวอ่อน’ ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วส่วนที่แข็งที่สุดในร่างกายของพวกมันจึงเป็นศีรษะ แต่ทว่าภายใต้เงื้อมมือของโจวเหว่ยชิงที่บนร่างกายเต็มไปด้วยลายเสือดำที่ดูโหดเหี้ยมและชั่วร้าย กะโหลกศีรษะของหมาป่าโลกันตร์จึงยุบลงไปได้อย่างง่ายดาย

โจวเหว่ยชิงไม่ได้หยุดพักแม้เพียงเสี้ยววินาที ในขณะที่เท้าของเขาสัมผัสพื้น เขาก็สามารถกระโดดหลบหลีกการโจมตีจาก ‘ร่างแยกหมาป่าทลายสวรรค์’ ได้อีกครั้งอย่างทันท่วงที ด้วยความเร็วอันน่าทึ่งและร่างกายที่ประสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ เมื่อรวมกับดวงตาแดงก่ำที่ดูเย็นยะเยือกคู่นั้น ตอนนี้โจวเหว่ยชิงจึงดูน่ากลัวอย่างถึงที่สุด

จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น จู่ๆ เมื่อโจวเหว่ยชิงโผล่ออกมาจากซากศพของหมาป่าโลกันตร์ทั้ง 2 ตัวนั้น ลูกไฟสีเขียว 2 ดวงก็พร้อมใจกันลอยออกมาจากศีรษะของหมาป่าโลกันตร์ที่เด็กหนุ่มเพิ่งจะสังหารทิ้งไป โจวเหว่ยชิงอ้าปากกลืนลูกไฟทั้ง 2 ดวงนั้นเข้าไป จากนั้นก็รวบรวมพลังตวัดขาขวาของเขากระแทกเข้ากับ ‘ร่างแยกหมาป่าทลายสวรรค์’ ที่ไล่ตามมาอย่างรุนแรง

เมื่อขาขวาสีดำสนิทของเขากลับขยับกลับเข้าที่ เสียงระเบิดก็ดังสนั่นขึ้นทันที จากนั้น ‘ร่างแยกหมาป่าทลายสวรรค์’ ก็พลันถูกเขาทำลายลงกลางอากาศอย่างไม่มีใครคาดคิด ปราณสวรรค์ทักษะธาตุลมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ปลิวละล่องออกไปทุกทิศทาง ด้วยแรงระเบิดนั้น บางส่วนยังพัดกรีดโดนร่างขอโจวเหว่ยชิงทำให้เกิดบาดแผลเล็กๆขึ้นหลายรอย

ทว่าหลังสายตาอันน่าสะพรึงกลัวของเขาสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง ในพริบตานั้นบาดแผลทั่วร่างของโจวเหว่ยชิงก็เริ่มสมานเองด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ลงมือตอบโต้ราชาหมาป่าโลกันตร์กลับ  โจวเหว่ยชิงเพียงแค่หลบไปด้านข้างและตวัดมือทุบศีรษะหมาป่าโลกันตร์อีก 2 ตัวที่หมอบอยู่อีกครั้ง แน่นอนว่าหมาป่าโลกันตร์เหล่านั้นไม่แสดงท่าทีต่อต้านใดๆเลย การสังหารพวกมันจึงง่ายพอๆ กับการผ่าแตงโม นอกจากนี้ทุกครั้งที่เขาฆ่าหมาป่าโลกันตร์ ลูกไฟสีเขียวอีกดวงก็จะปรากฏขึ้นและถูกเขาดูดกลืนเข้าไปเรื่อยๆ และเมื่อใดก็ตามที่ทำเช่นนั้น ไอหมอกสีเทาดำรอบๆ ร่างของโจวเหว่ยชิงก็จะเข้มข้นขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

หากโจวเหว่ยชิงยังมีสติอยู่ เขาจะพบว่าวงล้อทักษะธาตุในตอนนี้หมุนไปยังพื้นที่ส่วนสีเทาอันลึกลับและชั่วร้าย ทักษะที่เด็กหนุ่มใช้อยู่ในขณะนี้คือทักษะที่มาพร้อมกับมณีสวรรค์ของตน ซึ่งแต่เดิมไม่เคยถูกเขาใช้มาก่อน และมันก็คือทักษะกลืนกินนั่นเอง

มันคือทักษะจากไข่มุกรัตติกาล และอาจกล่าวได้ว่าเป็นทักษะที่เขาได้รับสืบทอดมาจากมัน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมก่อนหน้านี้ทักษะธาตุปีศาจของเขาจึงไม่จำเป็นต้องผ่านการกักเก็บทักษะ

ในขณะนี้ จริงๆ แล้วโจวเหว่ยชิงที่กำลังอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่างก็ยังคงเป็นโจวเหว่ยชิงคนเดิม แม้ว่าพลังและประสาทสัมผัสของเขาจะดีขึ้นหลายเท่าก็ตาม  สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ดูเหมือนว่าสถานะปีศาจกลายร่างของเขาจะแตกต่างจากสถานะปีศาจกลายร่างของจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุปีศาจคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เขาดื่มด่ำกับการฆ่าฟันสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายไปในเวลาเดียวกันด้วย

อย่างไรก็ตาม ขณะที่โจวเหว่ยชิงเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง พลังปราณสวรรค์ทั้งหมดในร่างกายของเขาต่างก็ถูกใช้ไปจนหมดแล้ว ดังนั้นแม้ว่าเขาจะได้รับความแข็งแกร่งอย่างมหาศาลจากสถานะปีศาจกลายร่าง แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะช่วยให้โจวเหว่ยชิงสังหารหมู่หมาป่าโลกันตร์พวกนี้ได้ทั้งหมด นั่นเป็นผลให้เด็กหนุ่มยังไม่สามารถจัดการราชาหมาป่าโลกันตร์ได้ในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องหันไปจัดการหมาป่าโลกันตร์ธรรมดาเพื่อดูดกลืนปราณสวรรค์ธาตุลมของพวกมันมาเสริมกำลังให้ตนเองแทน

และนั่นก็ยังเป็นวิธีที่โจวหว่ยชิงใช้ทำลาย ‘ร่างแยกหมาป่าทลายสวรรค์’ เขาต้องกลืนกินพลังปราณสวรรค์ธาตุลมของหมาป่าโลกันตร์ 2 ตัวควบคู่ไปกับการใช้พลังของขาขวาปีศาจถึงจะสามารถทำลายทักษะ ‘ร่างแยกหมาป่าทลายสวรรค์’ ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเช่นนั้นได้

เมื่อเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง โจวเหว่ยชิงไม่เพียงแต่สามารถใช้ ‘ทักษะปีศาจกลืนวิญญาณ’ เพื่อดูดกลืนพลังปราณของศัตรูเท่านั้น แต่เขายังสามารถดูดกลืนพลังชีวิตของศัตรูได้อีกด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมอาการบาดเจ็บของเด็กหนุ่มจึงถูกรักษาอย่างรวดเร็ว

เพียงไม่กี่อึดใจ หมาป่าโลกันตร์อีกหลายชีวิตก็ถูกสังหารด้วยน้ำมือของโจวเหว่ยชิง และกลิ่นอายของเขาก็ค่อยๆเปล่งรัศมีน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ

ราชาหมาป่าโลกันตร์ก็ไม่ได้ดันทุรังบุกโจมตีโจวเหว่ยชิงต่อ ดวงตาสีเขียวสดของมันจ้องมองมาทางเขาอย่างดื้อรั้น อย่างไรก็ตาม ร่างกายของมันก็ค่อยๆ ขยับถอยห่างออกไปทีละเล็กละน้อย เนื่องจากกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวของโจวเหว่ยชิงทำให้ราชาหมาป่าโลกันตร์อย่างมันไม่กล้าจะสู้กลับ ถ้าไม่ใช่เพราะฝูงหมาป่าโลกันตร์ของมันกำลังถูกเล่นงาน ราชาหมาป่าโลกันตร์ก็อาจจะเผ่นหนีไปแล้วก็ได้

ราชาหมาป่าโลกันตร์ส่งเสียงโหยหวนออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน มันกำลังพยายามจะสื่อสารบางอย่างกับโจวเหว่ยชิง โชคไม่ดีที่โจวเหว่ยชิงกำลังเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง และเมื่อเป็นดังนั้น เขาจะสามารถสื่อสารกับมันได้อย่าง ไร?

เมื่อหมาป่าโลกันตร์ตัวที่ 20 ถูกโจวเหว่ยชิงสังหารและกลืนกินพลังปราณเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นไม่นานมือทั้งสองข้างของเขาก็โน้มลงไปยันกับพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ทันใดนั้นโจวหว่ยชิงก็เงยหน้าขึ้นร้องคำรามคล้ายกับเสือ และเสียงขู่คำรามนั้นก็ดังสะท้อนกึกก้องไปทั่วทั้งป่า

……………………………………………

“หนีไปเร็ว!” โจวเหว่ยชิงตะโกนบอกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยความโกรธและความวิตกกังวล แต่ทว่าในเวลานี้ราชาหมาป่าโลกันตร์ได้ปล่อยกงจักรวายุ 12 เล่มออกมาเพื่อโจมตีเขาอีกครั้งแล้ว

หากถูกโจมตีจากหลายทิศทางเช่นนี้ ด้วยความเร็วปัจจุบันของโจวเหว่ยชิง แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะหลบหนีพ้นได้ ดังนั้นเด้กหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาอีกครั้งเพื่อเอาตัวรอดไปก่อน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่สนใจเสียงของโจวเหว่ยชิง ตอนนี้เธออยู่ห่างจากเขาประมาณ 5 หลา เธอสะบัดมือซ้ายขึ้น กงจักรวายุ 3 เล่มก็บินออกไปเฉือนใส่หมาป่าโลกันตร์ทั้ง 3 ตัวตรงหน้า ร่างของเธอขยับสั่นไหววูบวาบในอากาศอีกครั้งก่อนจะมาปรากฏตัวข้างๆ โจวเหว่ยชิงในชั่วพริบตา เธอพูดอย่างช้าๆ และชัดเจน “เรา…จะ…ร่วมเป็น…และ…ร่วมตาย…ด้วยกัน”

เนื่องจากโจวเหว่ยชิงมีพลังปราณสวรรค์อยู่ในระดับที่ 4 เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว แม้จะไม่ได้ใช้ธนูราชัน แต่การใช้ทักษะธาตุซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องสูญเสียปราณไปจำนวนมหาศาล อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินคำพูดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาก็รู้สึกราวกับว่าเลือดในตัวกำลังเดือดพล่าน

นี่ช่างคุ้มจริงๆ แค่นี้ก็คุ้มค่าแล้ว แม้ว่าชั่วชีวิตของข้าจะได้พบกับผู้หญิงคนนี้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่การตายเพื่อเธอมันก็คุ้มค่าแล้ว

นัยน์ตาของราชาหมาป่าโลกันตร์นั้นแผ่ไอเยือกเย็นและโหดเหี้ยมออกมา หลังจากมันได้แลกเปลี่ยนการโจมตีกับโจวเหว่ยชิงไปหลายครั้ง ในที่สุดมันก็ค้นพบพละกำลังที่แท้จริงของเขาแล้ว แน่นอน มันรู้ว่านอกจากขาขวาของเขาแล้ว มนุษย์คนนั้นก็ไม่อาจนับเป็นภัยคุกคามอะไรได้เลย อีกทั้งเขายังไม่มีปราณสวรรค์เหลือมากพอให้ยื้อเวลาไว้ได้นานกว่านี้แล้วด้วย ดังนั้น มันจึงคิดว่าตัวมันสามารถกำจัดโจวเหว่ยชิงได้อย่างง่ายดายราวกับเป่าฝุ่นผง อีกทั้งยังไม่รู้สึกว่าจะต้องรีบร้อนอะไร มันไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะอื่นๆ ช่วยเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นมันจึงส่งเพียงแค่กงจักรวายุอีก 12 เล่มออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อปิดโอกาสไม่ให้โอกาสโจวเหว่ยชิงได้เข้าใกล้มันมากกว่านี้  คราวนี้มันฉลาดกว่าเดิมมาก แทนที่จะส่งกงจักรวายุเหล่านั้นพุ่งตรงไปยังโจวเหว่ยชิง แต่ทว่าตอนนี้มันกลับเปลี่ยนเส้นทางมุ่งไปยังซ่างกวนปิงเอ๋อร์แทน

ไม่ว่าทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาของมันจะแข็งแกร่งสักเพียงใด ยังไงซะมันก็เคลื่อนย้ายใครบางคนไปกับมันด้วยไม่ได้อยู่ดี อย่างน้อยระดับพลังของโจวเหว่ยชิงในตอนนี้ก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

กงจักรวายุทั้ง 12 เล่มกำลังพุ่งเข้าหาเธอจากทุกทิศทุกทางและปิดกั้นเส้นทางหลบหนีที่เป็นไปได้ทั้งหมด เมื่อเห็นดังนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง เธอกำลังยอมรับชะตากรรมของตนเองอย่างว่าง่าย อย่างน้อยเธอได้อยู่ข้างๆ เขาก่อนที่เธอจะต้องตาย

“ให้ตายเถอะ! ยัยผู้หญิงโง่!” โจวเหว่ยชิงยกขาขวาขึ้นปัดกงจักรวายุ 6 เล่มทิ้งไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระโจนเข้าไปผลักซ่างกวนปิงเอ๋อร์จนเธอล้มลงไปติดพื้น

กงจักรวายุปะทะเข้ากับขาขวาของโจวเหว่ยชิงจนเกิดเสียงดัง *เคร้ง* ทันใดนั้นขากางเกงของเขาก็ถูกฉีกออกเป็นริ้วๆ เผยให้เห็นผิวหนังข้างในที่มีลายเสือสีดำกำลังแผ่ขยายออกมาจนทั่ว

ขาขวาปีศาจนั้นแข็งแกร่งมากอย่างไม่ต้องสงสัย ภายใต้การโจมตีที่โหดร้ายทารุณ มันก็ยังคงไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย อนิจจา พลังนั่นมีไว้สำหรับขาขวาของเขาเพียงเท่านั้น …

แม้ว่โจวเหว่ยชิงจะกระโดดหนีและกวาดขาขวาออกไปรับการโจมตีของกงจักรวายุทั้ง 6 เล่มได้สำเร็จ  แต่ทว่ากงจักรวายุ 3 เล่มสุดท้ายที่ตามมาก็ยังคงกระแทกเข้าใส่ร่างกายของเขาอยู่ดี

เมื่อกงจักรพวกนั้นพุ่งเข้าเฉือนร่างของโจวเหว่ยชิง ทันใดนั้นก็มีเสียงราวกับเหล็กแข็งๆ กำลังกระทบกระทั่งกันจนแสบแก้วหู โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าบริเวณแผ่นหลังของเขากำลังแสบร้อนและเกราะอ่อนโลหะผสมไทเทเนียมก็กำลังถูกใบมีดคมๆ เหล่านั้นฉีกกระชากออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้ว่าโลหะผสมไทเทเนียมจะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่เพราะเกราะอ่อนนั้นค่อนข้างบาง และอสรพิษวิเศษเองก็เป็นเพียงอสูรสวรรค์ระดับปฐมเท่านั้น ดังนั้นผิวหนังของมันจึงไม่สามารถต้านทานพลังกงจักรวายุของราชาหมาป่าโลกันตร์ได้ แม้ว่าเกราะอ่อนนี้จะสามารถลดทอนแรงปะทะและพลังทำลายล้างของกงจักรวายุส่วนใหญ่ได้ แต่ทว่าตัวมันเองก็ต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากการทำเช่นนั้นด้วย

หลังจากแผ่นหลังของเขาปะทะเข้ากับใบมีดพวกนั้น โจวเหว่ยชิงก็แทบจะกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ กงจักรวายุได้ทิ้งรอยแผลลึกเอาไว้ถึง 3 รอย มันลากผ่านเป็นทางยาวพร้อมกับมีเลือดไหลซึมออกมาเป็นวงกว้าง

จู่ๆก็มีเสียงวิ้งๆ ดังขึ้นข้างหูของเขา โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังบุกเคลือบคลานเข้ามาในสมอง วงล้อทักษะธาตุค่อยๆ กลายเป็นสีแดงเลือดไปในพริบตา อีกทั้งพลังปราณสวรรค์ในตันเถียนของเขาก็ยังดูเหมือนจะระเบิดออกมาอย่างรวดเร็ว ขั้วอารมณ์ที่แสนชั่วร้าย โหดเหี้ยมและไร้เมตตาบุกทะลวงเข้ามาโจมตีจิตใต้สำนึกของโจวเหว่ยชิง ทำให้เด็กหนุ่มต้องผจญกับความรู้สึกด้านลบต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกโจวเหว่ยชิงกดลงติดกับพื้น เธอทำเสียงฮึดฮัดอู้อี้ขณะที่หอบหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เธอลืมตาขึ้นอีกครั้งและพบว่าดวงตาของโจวเหว่ยชิงได้เปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำคล้ายเลือด และนั่นยังเป็นสีเลือดที่เข้มข้นกว่าคืนที่เขาใช้เธอเป็นเครื่องสังเวยเสียอีก กลิ่นอายเยือกเย็นอันทรงพลังขุมหนึ่งพลันระเบิดออกมาจากร่างของเขา  ทันใดนั้นความรู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจและไอชั่วร้ายที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างของเขาก็ทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สั่นระริกด้วยความหวาดกลัว

เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนลวกที่พัดเข้ามาโดนใบหน้าของเธอ หัวใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เริ่มสั่นเทาทันที ทันใดนั้น มือขวาของโจวเหว่ยชิงก็ฟาดลงกับพื้นตรงหน้าเธออย่างรุนแรง เฉียดผ่านใบหน้าของเธอไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น

หลังจากเกิดเสียง *ปั่ก* พื้นดินตรงหน้าเธอก็ทรุดตัวลงไปประมาณ 3 ฟุตในชั่วพริบตาทันที แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่นั่นก็ทำให้ร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต้องไถลตกลงไปในหลุมนั้นด้วย ในทางตรงกันข้าม โจวเหว่ยชิงกลับใช้แรงต้านจากพื้นดีดตัวขึ้นสูงและกระโจนขึ้นไปเหนืออากาศ

ทว่าไม่กี่อึดใจต่อมาโจวเหว่ยชิงก็ร่วงผล็อยลงมาจากตามแนวขวาง ในขณะที่ร่างของเขากำลังร่วงหล่นลงมานั้น เสื้อผ้าของเขาสวมใส่อยู่ก็พลันปริแตกออกเป็นชิ้นๆ ราวกับว่าภายในร่างกำลังเกิดระเบิดปะทุขึ้นจากภายใน เสียงกระดูกปริแตกดังขึ้นมา กล้ามเนื้อของเขาเติบโตและขยายใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนั้นผิวหนังก็ยังมีลายเสือดำแผ่ขยายออกมาจนไม่มีที่ว่าง ลวดลายเหล่านั้นก็ราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมา พวกมันเคลื่อนไหวชอนไชบนผิวหนังของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน และนั่นก็คือสิ่งที่ดูน่ากลัวที่สุดในตอนนี้

มณีสวรรค์ที่ลอยวนอยู่รอบข้อมือทั้ง 2 ข้างของโจวเหว่ยชิงดูเหมือนกำลังจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงบางอย่าง หยกน้ำแข็งนั้นราวกับเปลี่ยนไปเป็นบริสุทธิ์มากขึ้นและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ไพฑูรย์ตาแมวที่ข้อมืออีกข้างก็เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเช่นเดียวกัน ประกายแสงสีแดงกุหลาบพลันสว่างไสวมากขึ้นและสีสดขึ้นมากกว่าเดิม ราวกับว่ามันคือหยดเลือดหยดหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ประกายแสงที่ระยิบระยับอยู่รอบๆ มณีเหล่านั้นก็ยังเปลี่ยนไปเป็นแสงสีเทาอีกด้วย

ร่างของโจวเหว่ยชิงหกกลับอยู่กลางอากาศ ถึง 3 ครั้ง ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ร่วงลงถึงพื้นพร้อมกับเสียงกระแทกดังสนั่น มือและเท้าซ้ายของเขาถูกใช้รองรับแรงกระแทกทั้งหมดในขณะที่ขาขวาถูกยกขึ้นชี้ฟ้า เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ขาขวาของโจวเหว่ยชิงได้กลายเป็นสีดำสนิททั้งหมด ทั้งยังมีไอพลังสีเทาหนาแน่นกลุ่มหนึ่งหมุนวนอยู่รอบๆ ผมสั้นสีดำดุจขนกาของเขาเปลี่ยนเป็นสีเทาทั่วทั้งศีรษะ ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาสีแดงก่ำก็ยังส่งผลให้โจวเหว่ยชิงดูน่าเกรงขามมากขึ้นอีกด้วย

“ปีศาจกลายร่าง!” ทันใดนั้นคำๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ในเวลานี้ หัวใจของเธอกำลังบีบรัดอย่างรุนแรงด้วยความหวาดกลัว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารูปโฉมภายนอกของโจวเหว่ยชิงในตอนนี้คล้ายกับสถานะปีศาจกลายร่างในตำนานแค่ไหน เท่าที่เธอรู้ สถานะปีศาจกลายร่างจะเกิดขึ้นได้ 2 แบบเท่านั้น

แบบแรกก็คือเมื่อจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุปีศาจได้รับการกระตุ้นจากภายนอกอย่างรุนแรง พวกเขาจึงเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างชั่วคราว ในระหว่างการเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง จ้าวมณีสวรรค์ผู้นั้นจะกลายเป็นปีศาจบ้าคลั่ง อีกทั้งพละกำลังความแข็งแกร่งก็จะจะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก  อย่างไรก็ตาม เขาจะขาดสติเพราะถูกปีศาจควบคุม ดังนั้นจึงมักจะสังหารสิ่งมีชีวิตรอบๆ ตัวอย่างเลือดเย็นจนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือรอดไปแม้แต่อย่างเดียว สถานการณ์เช่นนี้อาจจะฟังดูไม่ค่อยเข้าท่า แต่ทว่าก็ยังมีผลดีอยู่บ้าง นี่เป็นเพราะหลังจากเข่นฆ่าสังหารผู้คนไปจนหมดสิ้นแล้ว จ้าวมณีสวรรค์คนนั้นก็จะสามารถควบคุมจิตใจของตนเองได้ แม้ว่าเขาจะอ่อนแอลงไปในชั่วระยะเวลาหนึ่งก็ตาม

อนิจจา แบบที่ 2 นั้นกลับน่ากลัวและเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อจ้าวมณีสวรรค์ มันคือสถานะปีศาจกลายร่างแบบสมบูรณ์ การเข้าสู่สถานะเช่นนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่เมื่อมันเกิดขึ้น ก็มีเพียงคำว่า “ภัยพิบัติ” เท่านั้นที่จะใช้อธิบายได้

เมื่อจ้าวมณีสวรรค์ต้องเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างแบบสมบูรณ์ เขาจะกลายเป็นปีศาจอย่างสมบูรณ์และไม่เหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไป กระบวนการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตรอบๆ ตัวทิ้งอย่างโหดเหี้ยมนั้นยังคงมีอยู่เช่นเดียวกับแบบแรก แต่ทว่าในครั้งนี้เขาจะต้องสังหารผู้คนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทนไม่ไหวและขาดใจตายไปเอง ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยน แปลงเช่นนี้มักจะนำมาซึ่งความแข็งแกร่งและพลังการทำลายล้างที่เพิ่มขึ้นจากสถานะปีศาจกลายร่างแบบเดิมหลายเท่ามาก นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมในอดีตสำนักกักเก็บทักษะของอาณาจักรใหญ่ๆ ในดินแดนไร้ขอบเขตจึงต้องรวมกำลังกันเพื่อตามล่าเหล่าจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจพวกนี้

……………………………………………

“ข้าอาจจะกลัวตาย แต่ข้าก็จะปกป้องผู้หญิงของข้า สำหรับลูกผู้ชาย หากตายหนีปัญหาไปเพียงคนเดียว นั่นย่อมเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก เพราะฉะนั้นข้าจะสู้จนถึงที่สุด!” เท้าของโจวเหว่ยชิงเหยียบลงบนกิ่งไม้ จากนั้นร่างกายของเขาพุ่งลงไปข้างล่าง เขาจะไม่ยอมให้ฝูงหมาป่าโลกันตร์ทำลายต้นไม้ที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซ่อนอยู่โดยเด็ดขาด

เมื่อร่างของโจวเหว่ยชิงกระโจนลงมาจากต้นไม้ ไพฑูรย์ตาแมวสองสีที่ลอยวนอยู่ที่ข้อมือซ้ายของเขาก็ทอแสงประกายออกมาเป็นสีดำเข้ม ขณะที่วงล้อทักษะธาตุก็หมุนไปที่บริเวณส่วนสีดำทันที

ทักษะ ‘สัมผัสมืด’ แผ่กระจายออกไปในชั่วพริบตานั้น หนวดจำนวนมากยื่นยาวออกไปหาหมาป่าโลกันตร์ด้านล่างในขณะที่โจวเหว่ยชิงหมุนเวียนปราณสวรรค์ของเขาออกมาให้มากที่สุดเพื่อแผ่กลิ่นอายของไข่มุกสีดำออกมาให้ได้อย่างเต็ม ที่…

หมาป่าโลกันตร์ที่กำลังรวบรวมพลังของพวกมันเข้าด้วยกันอยู่นั้นแตกฮือกระจัดกระจายออกไปทันที นอกจากราชาหมาป่าโลกันตร์แล้ว พวกที่เหลือทั้งหมดต่างก็หวาดกลัวกลิ่นอายเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของโจวเหว่ยชิง กลิ่นอายของราชาแห่งสัตว์ร้าย

เงาดำ 12 เส้นพุ่งทะยานออกไปและพบเข้ากับหมาป่าโลกันตร์ 12 ตัวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทันที เสียงโหยหวนดังขึ้นในฉับพลันที่มันสัมผัสโดนหนวดสีดำพวกนั้น หนวดเหล่านั้นยึดร่างพวกมันเอาไว้อย่างรวดเร็วด้วยทักษะการควบคุมอันแข็งแกร่งของทักษะสัมผัสมืด จากนั้นก็ค่อยๆ ลากพวกมันมารวมกันเป็นกองเดียว

ในขณะนั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็พุ่งลงมาจากด้านบนแล้ว ขาขวาของเขายกขึ้นสูงจากนั้นก็กระแทกลงเบื้องล่างด้วยพละกำลังอันมหาศาล

ร่างของหมาป่าโลกันตร์ 3 ใน 12 ตัวที่ถูกตรึงไว้เป็นกลุ่มก้อนนั้นก็ปะทะเข้าอย่างจังกับขาขวาของโจวเหว่ยชิงที่กวาดลงมาในชั่วพริบตา ทันใดนั้น ร่างแข็งดุจหินผาของพวกมันก็แตกโพละออกจากกันราวกับแตงโมถูกผ่าซีก เลือดสดๆพุ่งกระจายออกไปทุกทิศทางจนอาบย้อมร่างกายของโจวเหว่ยชิงไปทั้งตัว

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นสาบคาวเลือด ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นทุกขณะ นั่นทำให้เขายิ่งมั่นใจมากขึ้นและหมุนตัวไปด้านข้างทันทีด้วยความเร็วดุจสายฟ้า เด็กหนุ่มต้องจู่โจมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และหลอกล่อหมาป่าโลกันตร์ทั้งหมดออกไปเพื่อเปิดทางให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้มีโอกาสหลบหนี เหมือนที่เธอได้เอ่ยไปก่อนหน้านี้ หากเขาทำร้ายหรือสังหารหมาป่าโลกันตร์ตัวใดตัวหนึ่งเข้า พวกมันจะต้องหาทางแก้แค้นเขาจนตายกันไปข้าง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ มาสิ เร็วเข้า!

ด้วยระดับพลังของเด็กหนุ่มในปัจจุบัน หากสู้กันแบบ 1 ต่อ 1 เว้นแต่ว่าเขาจะใช้ธนูราชัน ไม่เช่นนั้นมันก็ยากมากที่โจวเหว่ยชิงจะสามารถฆ่าหมาป่าโลกันตร์พวกนี้ได้ อย่างไรก็ตาม พลังความแข็งแกร่งของขาขวาปีศาจนั้นก็เกินกว่าพวกมันจะสามารถเอาชนะได้ และเขาก็ยังใช้มันสังหารหมาป่าโลกันตร์ไปได้ถึง 3 ตัวในการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงฟาดขาขวาลงไป ฉับพลันนั้นก็มีแสงสว่างสายหนึ่งพุ่งลงมาจากบนต้นไม้ด้วย ลูกศรนั้นเจาะทะลุผ่านดวงตาของหนึ่งในหมาป่าโลกันตร์ที่ถูกมัดรวมกันไว้เบื้องล่าง เสียงร้องอย่างทรมาณดังขึ้นทันทีขณะที่หมาป่าโลกันตร์ตัวนั้นกำลังดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด

“ยัยโง่!!! นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะกำลังวิ่งอยู่ แต่ด้วยประสาทสัมผัสอันทรงพลังของเขา เด็กหนุ่มจะไม่รู้สึกถึงลูกศรดอกนั้นได้อย่างไร? ปิงเอ๋อร์จะยิงธนูออกมาทำไมในเวลานี้! เธอน่าจะรอให้เขาลากฝูงหมาป่าโลกันตร์พวกนี้ออกไปก่อน แล้วตัวเองค่อยหลบหนีไป!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ตอบเขา ในเวลานี้เธอสัมผัสได้เพียงความอบอุ่นบนหน้าผากที่โจวเหว่ยชิงทิ้งเอาไว้เท่านั้น

ไอ้เจ้าบ้าอ้วนน้อย ขนาดคนที่กลัวตายเช่นเจ้ายังกล้าจะพุ่งเข้าสู่หายนะเพื่อช่วยชีวิตข้า แล้วเหตุใดข้าถึงจะต้องละทิ้งเจ้าและวิ่งหนีเอาตัวรอดไปเพียงคนเดียวล่ะ? หากพวกเราต้องตายในวันนี้ เราก็มาร่วมเป็นร่วมตายกันเถอะ ในเมื่อเจ้าเต็มใจเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อข้า ข้าเองก็ไม่รู้สึกผิดที่ต้องตายร่วมกับเจ้าเช่นกัน

ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เพิ่มพูนขึ้นมาหัวใจของเธอ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงไม่หวาดกลัวอีกต่อไป ลูกธนูทุกดอกที่เธอยิงออกมานั้นมีปราณสวรรค์ธาตุลมหลอมรวมอยู่ด้วย และธนูอุษาม่วงของเธอก็ถูกใช้ยิงออกมาซ้ำๆ ด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ในชั่วพริบตาเดียวเธอก็ได้สังหารหมาป่าโลกันตร์ไปแล้วถึง 5 ตัว

เนื่องจากพวกหมาป่าโลกันตร์เป็นอสูรสวรรค์ทักษะธาตุลมซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความเร็ว มันจึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับนักธนูที่จะยิงโจมตีหมาป่าโลกันตร์ได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหมาป่าเหล่านั้นถูกตรึงไว้ด้วยทักษะสัมผัสมืด การจัดการพวกมันจึงง่ายกว่าปกติมาก และภายในระยะเวลาอันสั้น ทั้งคู่ก็จัดการหมาป่าโลกันตร์ไปได้แล้วถึง 8 ตัว

ในช่วงเวลานั้นเอง จู่ๆราชาหมาป่าโลกันตร์ก็เริ่มขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น หมาป่าโลกันตร์กว่า 30 ตัวก็ร่วมใจกันปลดปล่อยกงจักรวายุให้พุ่งเข้าหาต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หลบอยู่อย่างพร้อมเพรียง

ในทิศทางที่โจวเหว่ยชิงกระโจนออกไป เหล่าหมาป่าโลกันตร์ธรรมดาๆ ทุกตัวต่างก็ถอยหนีอย่างไม่รู้ตัวเนื่องจากสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจากร่างของเขา อย่างไรก็ตาม ในจังหวะนั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ถึงอากาศที่สั่นสะเทือนอยู่เบื้องหน้า จากนั้นราชาหมาป่าโลกันตร์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นในระยะ 10 หลาเบื้องหน้าเขาทันที ความเร็วนั้นเร็วกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์เวลาที่เธอใช้รองเท้าวายุประสานเสียอีก!

สติปัญญาของราชาหมาป่าโลกันตร์ตัวนี้ค่อนข้างสูง มันระมัดระวังเกี่ยวกับกลิ่นอายของโจวเหว่ยชิงและขาขวาปีศาจของเขาอย่างมาก ดังนั้นมันจึงเลือกที่จะไม่เข้าใกล้หรือต่อสู้ในระยะประชิดกับโจวเหว่ยชิง ราชาหมาป่าโลกันตร์ปลดปล่อยกงจักรวายุ 12 อันออกมาจากร่างของมันพร้อมกันทีเดียว ก่อนจะกระจายพวกมันออกไปราวกับดอกไม้สีเขียวสดที่บานสะพรั่ง ดูงดงามแต่เป็นอันตรายถึงชีวิต กงจักรวายุเหล่านั้นพุ่งตรงเข้าไปหมายจะหั่นโจวเหว่ยชิงเป็นชิ้นๆ จากทุกทิศทาง

บ้าเอ้ย! กงจักรวายุ 12 อัน! นี่คือพลังของอสูรสวรรค์ระดับปรมะหรือ!? โจวเหว่ยชิงกำลังถูกบีบคั้นอย่างถึงที่สุด เนื่องจากกงจักรวายุกำลังใกล้จะถึงตัวเขาจากทุกๆ ด้าน ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวังแล้ว!

กงจักรวายุของราชาหมาป่าโลกันตร์มีความยาวประมาณ 1 เมตรและเมื่อมันคลี่ออกเป็นรูปใบพัด เสียงแหลมสูงที่กรีดผ่านอากาศก็ทำให้เขาหนาวสั่นไปถึงกระดูก ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากงจักรวายุเหล่านี้จะสามารถแยกร่างของเขาเป็นชิ้นๆ ได้อย่างแน่นอน

ข้อดีของการมีทักษะธาตุหลายชนิดในไพฑูรย์ตาแมวสองสีก็ปรากฏขึ้นมาทันที และในเวลาที่เขากำลังจะจวนตัวนั่นเอง โจวเหว่ยชิงก็พลันหายวับไปจากตำแหน่งเดิมของเขา ทิ้งให้กงจักรวายุทั้ง 12 อันพัดผ่านกลางอากาศไปอย่างเปล่าประโยชน์ ทว่าในวินาทีต่อมา ปรากฏว่าเขาไม่ได้รีบหลบหนีไปอย่างที่ราชาหมาป่าโลกันตร์คิด แต่กลับใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาย้ายร่างของตนเองมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าราชาหมาป่าโลกันตร์ในระยะ 3 หลาแทน ในเวลาเดียวกันเขาก็ยกมือซ้ายขึ้นอีกครั้ง และแสงสีเขียวก็สว่างวาบขึ้นทันทีเมื่อเขาเปิดใช้ทักษะโซ่ตรวนวายุ

นี่อาจกล่าวได้ว่าโจวเหว่ยชิงงัดทุกอย่างออกมาใช้จนหมดแล้ว! เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่สำคัญถึงชีวิต การประหยัดพลังปราณสวรรค์ย่อมเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะคิดถึง

และเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ร่างกายของราชาหมาป่าโลกันตร์นั้นแข็งทื่อและถูกตรึงไว้ด้วยทักษะโซ่ตรวนวายุทันที ในพริบตานั้นโจวเหว่ยชิงรีบกระโจนเข้าไปปิดช่องว่างระหว่างทั้งคู่และพุ่งตรงเข้าหาศีรษะของราชาหมาป่าโลกันตร์ด้วยความเร็วสูงสุด

อนิจจา เมื่อขาขวาของเขากำลังจะปะทะเข้ากับศีรษะของราชาหมาป่าโลกันตร์ แสงสีเขียวก็สว่างเจิดจ้าขึ้นมาวูบหนึ่ง จากนั้นราชาหมาป่าโลกันตร์ก็ขยับหลบไปทางด้านข้าง หลีกเลี่ยงขาขวาของเขาได้อย่างหวุดหวิด

ทักษะโซ่ตรวนวายุไม่ได้ผลงั้นรึ? โจวเหว่ยชิงตื่นตระหนกทันที ในบรรดาทักษะทั้งหมดของเขานั้น ทักษะโซ่ตรวนวายุนั้นถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในแง่ของความสามารถในการควบคุม

ทว่าในความเป็นจริงแล้วทักษะโซ่ตรวนวายุนั้นไม่ได้ถือว่าล้มเหลว แต่แค่ระยะเวลาในการใช้แค่สั้นลงอย่างมากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราชาหมาป่าโลกันตร์นั้นก็เป็นอสูรสวรรค์ทักษะธาตุลมเช่นกัน ดังนั้นมันจึงมีความต้านทานต่อทักษะลมมากกว่าอสูรสวรรค์ทักษะธาตุอื่นๆ นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของโจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับราชาหมาป่าโลกันตร์ด้วย แม้ว่ามันจะถูกเรียกขานว่าเป็นหนึ่งในอสูรสวรรค์ระดับปรมะที่อ่อนแอที่สุด แต่มันก็ยังเป็นถึงอสูรสวรรค์ระดับปรมะ! โจวเหว่ยชิงเป็นเพียงจ้าวมณีระดับปฐมขั้นแรก ระดับของพวกเขาจึงอยู่ห่างกันเกินไป

ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้ ทักษะโซ่ตรวนวายุจึงสามารถตรึงราชาหมาป่าโลกันตร์ไว้ได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ว่าไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขาจะมีประสิทธิภาพเพียงใด แต่มันก็ยังเป็นแค่มณีชิ้นแรกและชิ้นเดียวของโจวเหว่ยชิงเท่านั้น

ในเวลาเดียวกัน อีกทางด้านหนึ่งของสนามรบ หลังจากเสียงแหลมสูงบาดหูของกงจักรวายุจำนวนมากได้พุ่งผ่านไป ต้นไม้ใหญ่ที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซ่อนตัวอยู่นั้นก็พังถล่มลงมาทันที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กระโจนลงมาจากต้นไม้ในวินาทีสุดท้ายพอดิบพอดี อากาศสั่นสะเทือนเล็กน้อยพร้อมกับแสงสีเขียวสว่างเจิดจ้าขึ้น รองเท้าวายุประสานได้หลอมรวมเข้ากับเท้าของเธอแล้วเพิ่มขีดจำกัดความเร็วให้สูงขึ้นทันที ขณะอยู่กลางอากาศ เธอก็ยังสามารถยิงลูกธนูออกมาได้อีก 2 ดอก อนิจจา กับหมาป่าโลกันตร์ที่ยังเคลื่อนไหวได้ พวกมันสามารถปกป้องจุดอ่อนของตนได้ดีขึ้น แม้ว่าเธอจะสามารถโจมตีพวกมันทั้ง 2 ตัวได้ แต่เนื่องจากขนที่หนาและยืดหยุ่น ขนเหล่านั้นจึงช่วยป้องกันลูกธนูของเธอได้ แม้ธนูอุษาม่วงจะแข็งแกร่ง แต่เธอก็ทำอันตรายพวกมันได้เพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

หมาป่าโลกันตร์พวกนี้กลัวกลิ่นอายจากร่างของโจวเหว่ยชิง แต่พวกมันไม่ได้กลัวซ่างกวนปิงเอ๋อร์เสียหน่อย ดังนั้นหมาป่าโลกันตร์จำนวนมากจึงพุ่งเข้าใส่เธอพร้อมๆ กันทันที ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่มีเวลาจะยกธนูขึ้นมายิงอีกต่อไป เธอทำได้แค่เพียงอาศัยรองเท้าวายุประสานของเธอหลบหลีกการโจมตีพวกมันอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันก็พยายามหาทางมุ่งหน้าไปสมทบกับโจวเหว่ยชิงให้ได้

…………………………………………………………

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่มีเวลาจะสนใจจ้าวมณีจากอาณาจักรคาลิเซคนอื่นๆ อีกต่อไป ฝูงหมาป่าโลกันตร์สามารถตัดเส้นทางหลบหนีของพวกเขาได้สำเร็จ และตอนนี้พวกเขาทั้ง 2 คนกำลังถูกขังอยู่บนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เพิ่งปีนขึ้นไปนั่นเอง

โจวเหว่ยชิงธนูนำอุษาม่วงของเขาออกมาและกำลังจะยิงไปยังหมาป่าโลกันตร์ตัวหนึ่งเพื่อทดสอบดูว่ามันมีฝีมือแค่ไหน แต่ทว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับหยุดเขาไว้อย่างรวดเร็ว “อย่า! อย่ายิงพวกมัน หมาป่าโลกันตร์พวกนั้นอาฆาตแรงมาก หากเจ้าทำร้ายหรือฆ่าพวกมันตัวใดตัวหนึ่ง พวกเราจะต้องเดือดร้อนอย่างหนักแน่ๆ รอครู่หนึ่งก่อน บางทีพวกมันอาจยอมจากไป”

ณ เวลานี้ บริเวณใต้ต้นไม้ของพวกเขามีหมาป่าโลกันตร์จำนวนมากมารวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่น ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็สามารถเห็นรูปร่างของพวกมันชัดเจนภายใต้แสงจันทร์

ร่างกายของหมาป่าโลกันตร์เหล่านี้มีความยาวประมาณ 1.5 เมตรและมีขนสีเทาอมเขียว ดวงตาสีเขียวของพวกมันดูโดดเด่นเป็นพิเศษท่ามกลางความมืดมิด แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดน่าจะเป็นแผงขนสีเขียวที่เหยียดตรงขึ้นบริเวณส่วนหลังของพวกมัน การเคลื่อนไหวของพวกมันรวดเร็วมาก และพวกมันก็กำลังวิ่งวนเวียนไปมาบริเวณด้านล่างของต้นไม้ อย่างไรก็ตาม พวกมันสามารถแบ่งแยกหน้าที่กันได้อย่างเป็นระเบียบมาก มีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่แยกออกไปไล่ล่าฝ่ายไป๋จิ่วและจ้าวมณีคนอื่นๆ ของอาณาจักรคาลิเซ ส่วนพวกที่เหลือจำนวนอย่างน้อย 100 ตัวยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ ต้นไม้ที่พวกเขาปีนขึ้นมา

โจวเหว่ยชิงรีบคิดหาหนทางเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว เขาเริ่มไหลเวียนพลังปราณสวรรค์ของตนลงไปที่ขาขวาอย่างช้าๆ จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังขุมหนึ่งที่ปะทุออกมาจากขาขวา ไม่ต้องมอง เด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าลวดลายสีดำนั้นปรากฏขึ้นมาที่ขาขวาของเขาอีกครั้ง

โจวเหว่ยชิงรู้ว่ากลิ่นอายของไข่มุกสีดำจะสามารถข่มขู่อสูรสวรรค์เหล่านั้นได้ น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่าจะควบคุมกลิ่นอายพวกนี้ได้อย่างไร และวิธีเดียวที่คิดได้ในตอนนี้ก็คือการทำให้ลวดลายสีดำพวกนั้นปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยแผ่กลิ่นอายของเสือดำตัวนั้นออกมา และเขาก็รู้ว่าลวดลายเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อชักนำปราณสวรรค์เข้าสู่ขาขวาปีศาจของตนเท่านั้น

การทดสอบของโจวเหว่ยชิงค่อนข้างประสบความสำเร็จ เมื่อปราณสวรรค์ไหลเวียนไปที่ขาขวาของเขา ทันใดนั้นกลิ่นอายที่มองไม่เห็นก็แผ่กระจายออกไปทั่ว จู่ๆ ฝูงหมาป่าโลกันตร์ด้านล่างที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอย่างเกียจคร้านก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที พวกมันเริ่มเคลื่อนตัวล่าถอยออกไปพร้อมกับส่งเสียงครางหงิงออกมา ดวงตาสีเขียวสว่างแสดงออกถึงความระแวดระวังเต็มที่

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “ใช่แล้ว มันได้ผล! พอพวกหมาป่าโลกันตร์บัดซบพวกนี้ล่าถอยออกไปแล้ว พวกเราก็สามารถมุ่งหน้ากลับไปที่เส้นทางเล็กๆ ที่เราวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ได้แล้ว”

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหอนโหยหวนอย่างทรงพลังดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง ในชั่วพริบตานั้น ราวกับว่าจู่ๆ ทั้งทั่วป่าก็เกิดแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมา

ที่ตรงนั้นมีหมาป่าโลกันตร์ขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่งยืนอยู่ ร่างกายของมันมีความยาวเกือบๆ 3 เมตร สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือขนของมันไม่ใช่สีเทาอมเขียวดั่งเช่นหมาป่าโลกันตร์ทั่วๆ ไป แต่กลับเป็นสีเขียวพิสุทธิ์ราวกับว่าร่างกายใหญ่โตของมันถูกแกะสลักมาจากหยกทั้งตัว ดวงตาเย็นชาคู่นั้นเรืองรองไปด้วยแสงสีแดงสลัว อีกทั้งร่างของมันก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายสีเขียวพร่างพราย

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์แลกเปลี่ยนสายตากันด้วยสีหน้าอับจนหนทาง “นี่คงไม่ใช่ราชาหมาป่าโลกันตร์หรอกใช่ไหม?”

ใบหน้าที่งดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซีดลงทันที “นั่นคือราชาหมาป่าโลกันตร์จริงๆ! พระเจ้า! นั่นมันอสูรสวรรค์ระดับปรมะ! ไม่ต้องพูดถึงพวกเราเลย แม้แต่จ้าวมณีที่มีมณี 4-5 ดวงก็ยังจัดการกับมันได้ยาก!”

“บรู้ววววว” เสียงหอนดังออกมาอีกครั้ง ราชาหมาป่าโลกันตร์มองไปยังต้นไม้ที่โจวเหว่ยชิงซ่อนอยู่ด้วยสีหน้าแสดงความสงสัยและวิตกกังวล มันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวจากร่างกายของโจวเหว่ยชิง อย่างไรก็ตาม มันกลับไม่แสดงทีท่าว่าจะล่าถอย ในทางตรงกันข้าม มันกลับค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้โจวเหว่ยชิงเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง

เนื่องจากโจวเหว่ยชิงยังคงเยาว์วัยและไร้ประสบการณ์ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจผิดพลาดไปเช่นนี้ เหตุผลหลักที่เขากล้านำซ่างกวนปิงเอ๋อร์มายังบริเวณที่มีอสูรสวรรค์อาศัยอยู่ก็เป็นเพราะว่าเขาเคยเห็นท่าทีหวาดกลัวของเหล่าสัตว์อสูรสวรรค์ระดับเทวะระหว่างที่ทำการกักเก็บทักษะมาก่อนหน้า ในความคิดของเขา ถ้าแม้แต่อสูรสวรรค์ระดับเทวะยังหวาดกลัวกลิ่นอายที่ตนปลดปล่อยออกมา การเข้าไปในป่าที่มีอสูรสวรรค์จะนับเป็นอะไรได้?

อนิจจา สิ่งต่างๆ นั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาจินตนาการไว้ การที่อสูรสวรรค์ระดับเทวะเหล่านั้นยอมให้โจวเหว่ยชิงกักเก็บทักษะและไม่ได้ต่อต้านเลยนั้น อันที่จริงเด็กหนุ่มคิดถูกที่ว่าเหตุผลหลักๆ มาจากกลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมา แต่เขายังไม่รู้ว่ามีเหตุผลอีกอย่างก็คือพวกมันถูกผนึกเอาไว้และยังอยู่ในสภาวะอ่อนแอมากอีกด้วย ในสภาวะที่อ่อนแอควบคู่ไปกับการถูกปิดผนึกไว้เช่นนี้ เมื่อพวกมันรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายทรงพลังจากไข่มุกสีดำที่โจวเว่ยชิงปลดปล่อยออกมา ย่อมไม่แปลกที่ทำให้พวกมันหวาดกลัว และนำไปสู่ฉากที่พวกมันยอมศิโรราบให้แก่โจวเหว่ยชิง อนุญาตให้เขากักเก็บทักษะไปจากพวกมันได้อย่างง่ายดายไร้การขัดขืนเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม ราชาหมาป่าโลกันตร์ที่อยู่ตรงหน้านั้นแตกต่างกับพวกอสูรสวรรค์ที่อยู่ในสำนักกักเก็บมาก เพราะถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงอสูรสวรรค์ปรมะ แต่มันก็เป็นเจ้าแห่งป่าแห่งนี้ แม้ว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของโจวเหว่ยชิงจะน่ากลัว แต่มันก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งมากจนยากจะเอาชนะได้ หมาป่าโลกันตร์ธรรมดาต่างก็ถอยหนีด้วยความหวาดกลัว แต่ในฐานะราชาหมาป่าโลกันตร์ ด้วยเกียรติของมันแล้ว มันจะไม่ยอมหนีไปเช่นนั้นเด็ดขาด อย่างน้อย หากไม่ลองเผชิญหน้ากับโจวเหว่ยชิงดูสักครั้ง มันจะรู้ได้อย่างไรว่าเขามีพละกำลังคู่ควรให้มันหวาดกลัวหรือไม่

เมื่อเห็นราชาหมาป่าโลกันตร์เห่าหอนขึ้นเสียงดังเช่นนั้น หมาป่าโลกันตร์ที่กำลังล่าถอยห่างออกไปกว่า 100 ตัวก็หยุดชะงักและหันกลับมาล้อมต้นไม้ที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เกาะอยู่อีกครั้ง

ปกติแล้วผู้หญิงมักจะตื่นตระหนกง่าย ทันใดนั้นมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็คว้าจับเข้าที่มือของโจวเหว่ยชิงอย่างไม่รู้ตัว “อ้วนน้อย เราจะทำยังไงกันดี?”

ตอนนี้สีหน้าของโจวเหว่ยชิงน่าเกลียดมาก เขาเป็นคนที่คิดแผนนี้ขึ้นมาและพาซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาที่นี่เพื่อใช้เป็นเส้นทางหลบหนี ในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่ความคิดบุกจู่โจมค่ายศัตรูอย่างกะทันหันในเวลากลางคืนก็เป็นแผนของเขาทั้งหมด ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดจะเยียวยาความผิดพลาดในครั้งนี้ได้ และเด็กหนุ่มรับรู้ได้ว่าราชาหมาป่าโลกันตร์ตัวนั้นกำลังจะโจมตีพวกเขาแน่ๆ

ทันใดนั้นเอง ความทรงจำเกี่ยวกับบิดาของเขาก็ผุดขึ้นมา แม่ทัพโจวกล่าวกับเขาอย่างโหดเหี้ยมว่า “ลูกผู้ชายไม่กลัวความผิดพลาด แต่เมื่อเจ้าทำผิด เจ้าก็ต้องเผชิญหน้ากับความผิดพลาดอย่างกล้าหาญและต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่วแน่”

เขาหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์และพบว่าเธอกำลังตื่นตระหนกและสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด เขาเอื้อมมือข้างซ้ายไปรวบตัวเธอเข้ามากอดไว้อย่างนุ่มนวลและบรรจงจูบลงบนหน้าผากที่ค่อนข้างเย็นชืดของเธอเบาๆ

“ข้าขอโทษ ปิงเอ๋อร์ นี่เป็นความผิดของข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะทำทุกอย่างให้เจ้าปลอดภัย ตอนนี้ข้าจะทำให้พวกมันไขว้เขวและล่อความสนใจของพวกมัน เจ้าวิ่งไปออกทางด้านข้างและมุ่งหน้าไปยังเส้นทางนั่น เจ้าจะกลับไปถึงถนนหลักในอีกประมาณ 10 ลี้”

“อ้วนน้อย…เจ้า…” วิสัยทัศน์ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เริ่มพร่ามัว นี่ใช่เจ้าอ้วนน้อยโจวที่กลัวตายมากที่สุดคนนั้นแน่หรือ?

โจวเหว่ยชิงยิ้มแผ่วเบา เขาถอดแล่งธนูของตนออกมาและนำลูกธนูออกทั้งหมดออกไปใส่ไว้ในแล่งธนูของซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ จากนั้นเขาก็ถอดธนูอุษาม่วงแขวนไว้บนกิ่งไม้

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเห็นการกระทำที่อ่อนโยนแต่แน่วแน่ของเขา สายตาของหญิงสาวก็เริ่มเปลี่ยนไปทีเล็กทีละน้อย เธอไม่ได้พยายามจะหยุดเด็กหนุ่มทำแค่เพียงมองดูมองเขาอยู่เงียบๆ อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเอง หัวใจของเธอยืนยันแล้วว่า เขาคือผู้ชายของเธอ ไม่ว่าจะมีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น ชายผู้ที่มักกลัวความตายตนนี้ก็เต็มใจจะเสียสละชีวิตของเขาเพื่อปกป้องเธอ เพราะฉะนั้น แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพียงพอแล้วจริงๆ

ในขณะนั้นเอง ราชาหมาป่าโลกันตร์ก็แผดเสียงขึ้นอีกครั้ง แสงสีเขียวที่ทอประกายออกมาจากร่างของราชาหมาป่าโลกันตร์ต่างก็กำลังไหลวนมารวมตัวกันจนมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่เป็นอสูรสวรรค์ทักษะธาตุลม แม้ว่าหมาป่าโลกันตร์ธรรมดาเหล่านี้จะมีพลังอยู่ในระดับปฐมเท่านั้น ทว่าพวกมันก็ล้วนแล้วแต่มีทักษะกงจักรวายุขั้นพื้นฐานทุกตัว หากหมาป่าโลกันตร์ 100 ตัวเหล่านี้ใช้กงจักรวายุพร้อมๆ กันทีเดียว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้นไม้ใหญ่ที่โจวเหว่ยชิงและ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังซ่อนตัวอยู่นั้นจะต้องถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ในไม่ช้าแน่นอน

…………………………………………………………..

โจวเว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “นี่มันสุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ! ข้าตั้งชื่อทักษะการประสานด้วยนะ ‘ลูกศรราชันร้อยรัด’ และ ‘ลูกศรราชันอัสนีบาต’”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “แล้วทักษะอื่นๆ ของเจ้าล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ข้าไม่สามารถหาอสูรสวรรค์ที่มีทักษะธาตุปีศาจได้ ดูเหมือนว่ามณีธาตุของข้าจะมีทักษะธาตุปีศาจกักเก็บไว้อยู่แล้ว สำหรับทักษะธาตุลม ข้าได้กักเก็บทักษะ ‘โซ่ตรวนวายุ’ และสำหรับทักษะธาตุมิติ ข้าได้ทักษะ ‘เคลื่อนย้ายพริบตา’ มาน่ะ”

“ทักษะโซ่ตรวนวายุ?! ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา?!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องออกมาด้วยความประหลากใจ ทักษะทั้ง 2 นั้นมีชื่อเสียงอย่างมาก และเธอก็เคยได้ยินชื่อเหล่านี้มาก่อน พวกมันเป็นทักษะชั้นสูงที่หาได้จากอสูรสวรรค์ระดับเทวะเท่านั้น! หนึ่งเป็นทักษะประเภทการควบคุม ในขณะที่อีกหนึ่งเป็นทักษะสำหรับใช้เอาตัวรอดที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ทักษะชั้นสูงเหล่านี้กักเก็บยากมาก และโดยทั่วไปมีเพียงจ้าวมณีระดับเทวะเท่านั้นที่มีความสามารถพอจะแค่ ‘ลอง’ กักเก็บมันด้วยซ้ำ

นอกเหนือจากนั้น เขาก็ยังมีทักษะที่เธอไม่เคยได้ยินอีกเช่น ‘สัมผัสมืด’ ‘ฝ่ามืออัสนีบาต’ ไปจนถึงทักษะธาตุปีศาจที่เธอไม่รู้จักอีก อาจเป็นเพราะโจวเหว่ยชิงเพิ่งมีเพียงมณีชุดแรกเท่านั้น จุดแข็งของเขาจึงยังไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยิ่งฝึกฝนมากเท่าไหร่ทักษะเหล่านั้นก็จะเติบโตและพัฒนาขึ้นไปพร้อมกับเขา ในอนาคตหากเขาไปถึงระดับเทวะ และมีมณีสวรรค์ครบ 6 ชุดเมื่อไหร่ล่ะก็…

เมื่อเธอนึกถึงสิ่งนี้ มีเพียงคำเดียวที่สามารถใช้อธิบายตัวเขาได้ น่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง!

“อ้วนน้อย เจ้าไม่ควรบอกข้าเลย สำหรับเราจ้าวมณีสวรรค์ ทักษะธาตุของเราเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะธาตุของเจ้ายังแข็งแกร่งมาก ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรถามเลย” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างขอโทษขอโพย

โจวเหว่ยชิงหัวเราะแล้วกล่าวว่า “แน่นอนว่าการเก็บความลับนั้นย่อมต้องทำกับคนนอก แต่ทำไมข้าต้องเก็บความลับกับเจ้าด้วยล่ะ?” เมื่อพูดจบประโยค ทันใดนั้นเขาก็โผเข้าจับตัวซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้วผลักเธอไปด้านหลังจนทั้งคู่ล้มลงไปนอนกับพื้นทันที เนื่องจากการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันของเด็กหนุ่ม ทั้งคู่จึงกลิ้งขลุกขลักไปไกลพอสมควร ในจังหวะที่เขาพุ่งเข้าหาเธอนั้นเอง ศรไร้เสียงดอกหนึ่งก็พุ่งเฉียดไปทางขวา ณ บริเวณที่พวกเขาเคยอยู่และหายวับเข้าไปในความมืดทันที

“ไอ้เจ้านั่นอีกแล้ว!” โจวเหว่ยชิงระบุตัวผู้โจมตีทันที ไม่ว่าจะเป็นทักษะการยิงธนูหรือระดับปราณสวรรค์ บุคคลนี้มีความสามารถเหนือกว่าพวกเขาแน่นอน ศรไร้เสียงดอกนั้นช่างน่ารังเกียจจริงๆ

หลังจากกระโดดลงจากหอสังเกตการณ์ก่อนหน้านี้ เขาเหลือพลังปราณสวรรค์เพียงประมาณ 20 ส่วน เท่านั้น แม้หลุมดำที่จุดตายทั้ง 4 กำลังเร่งหมุนวนด้วยความเร็วสูงสุด โจวเหว่ยชิงก็ยังฟื้นฟูปราณคืนมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น การใช้ธนูราชันอีกครั้งก็ยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลมาก

ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลิ้งตลบไปกับพื้น ทันทีที่เธอทรงตัวได้ เธอก็ง้างธนูอุษาม่วงขึ้นและปล่อยศรติดตามไร้เสียงออกมาแทบจะทันที

สำหรับพวกเขาทั้งสองคนแล้ว ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ก็คือศรไร้เสียงของไป๋จิ่ว แม้ว่าจ้าวมณีอาณาจักรคาลิเซคนอื่นๆ อาจจะแข็งแกร่งกว่าไป๋จิ่ว แต่ในแง่ของความเร็ว พวกเขาไม่สามารถจะเปรียบเทียบกับไป๋จิ่วได้เลย ไม่เพียงแต่อัตราการยิงของเขาจะรวดเร็วมาก ศรไร้เสียงในเวลากลางคืนก็ยังอันตรายมากด้วยเช่นกัน ด้วยการก่อกวนของอีกฝ่าย โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงไม่สามารถใช้ความเร็วสูงสุดของพวกเขาวิ่งหนีได้เลย

ศรติดตามไร้เสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์พุ่งเป็นแนวเส้นตรงเข้าหาไป๋จิ่ว อย่างไรก็ตาม ไป๋จิ่วกลับตอบสนองอย่างใจเย็น มณีดวงที่ 4 บนข้อมือของเขาเปล่งแสงออกมาอย่างฉับพลัน โล่กลมสีเขียวอ่อนซึ่งดูเหมือนจะมีน้ำหนักค่อนข้างเบาปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา เสียงของบางอย่างกระทบกันดังกึกก้อง ชัดเจนว่าโล่กลมนั้นสามารถป้องกันศรติดตามไร้เสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอาไว้ได้

จ้าวมณีจำนวน 10 คนหรือมากกว่านั้นได้ติดตามไป๋จิ่วมาด้วย พวกเขาส่วนใหญ่เป็นจ้าวมณีที่มีมณี 3-4 ดวง แต่ก็มีจ้าวมณี 5 ดวงตามมาด้วยอีก 2 คนเช่นกัน อนิจจา จ้าวมณี 2 คนที่มีมณี 5 ดวงนั้นไม่ได้มีทักษะความคล่องแคล่วหรือมีความเร็วแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขามีทักษะเกี่ยวกับความแข็งแกร่ง พวกเขาจึงยังไม่ได้ตามไป๋จิ่วมาถึงสถานที่ต่อสู้เลยด้วยซ้ำ มีเพียงจ้าวมณีที่มีทักษะความเร็ว 5 คนเท่านั้นที่ยังสามารถติดตามไป๋จิ่วในตอนนี้ได้ทัน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ลังเลแม้แต่น้อย หลังจากยิงธนูเสร็จเธอก็เริ่มออกวิ่งอีกครั้งพร้อมกับโจวเหว่ยชิง พวกเขาใช้ต้นไม้และพุ่มไม้รอบๆเป็นที่กำบังและซ่อนตัวจากศัตรู

ไป๋จิ่วตามพวกเขามาติดๆ ตอนนี้ชายหนุ่มถึงกับละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงแค่คิดว่าเขาเพิ่งจะกลัวจนฉี่ราดกางเกง นั่นก็ทำให้ไฟภายในใจลุกโชนด้วยความโกรธ นี่มันอัปยศอดสูเกินไปแล้ว! แม้ว่าเขาจะเคยฉี่รดที่นอนตอนอายุ 10 ขวบ แต่มันก็ผ่านมา 10 ปีแล้ว หากไม่แก้แค้น เขาจะยังเรียกตัวเองว่าลูกผู้ชายได้อย่างไร? นอกจากนี้ชายหนุ่มยังจำซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ทันทีและรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขาที่จะฆ่าเธอเสีย น่าเสียดายที่อาจารย์ของเขายังมาไม่ถึง …

หากเปรียบเทียบความเร็วเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นจ้าวมณีสวรรค์คู่ที่มีทักษะความเร็วเป็นเลิศ โจวเหว่ยชิงก็มีขาขวาปีศาจอันลึกลับของเขา ดังนั้นความเร็วทั้งสองจึงถือว่าน่าประทับใจอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือระดับพลังของพวกเขาต่ำเกินไป ทั้งคู่มีมณี 1 ชุดและ 2 ชุดตามลำดับ อีกทั้งซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังมีระดับปราณสวรรค์อยู่ที่ขั้นพื้นฐานระดับ 8 เท่านั้น

ในทางกลับกัน สำหรับศัตรูที่กำลังไล่ล่าพวกเขาอยู่นั้น แม้ว่าความเร็วของพวกเขาจะต่ำ แต่เนื่องจากมีระดับพลังที่สูงกว่า ฝ่ายนั้นจึงมีข้อได้เปรียบ ที่เห็นได้ชัด อย่างน้อยพวกเขาก็ทะลุผ่านขั้นทะลวงพิภพแล้ว ด้วยข้อได้เปรียบดังกล่าว ความเร็วของพวกเขาจึงไม่ได้ด้อยไปกว่าโจวเหว่ยชิงหรือซ่างกวนปิงเอ๋อร์มากนัก

เมื่อการไล่ล่าดำเนินต่อไปเช่นนี้ ลูกธนูต่างก็พุ่งฉวัดเฉวียนไปมาไปเรื่อยๆ แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิงจะสามารถจัดการกับลูกธนูที่พุ่งสวนมาได้เป็นครั้งคราว แต่จ้าวมณีที่มีมณี 3-4 ดวงก็ล้วนแล้วแต่มีทักษะการเอาตัวรอดที่ดีเยี่ยม แม้พวกเขาจะยิงโดนฝ่ายโจวเหว่ยชิงเล่นงานบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ อีกทั้งตอนนี้ไป๋จิ่วก็ยังคงเป็นผู้นำในการไล่ล่า

ข่าวดีเพียงอย่างเดียวสำหรับทั้งคู่ก็คือพลังปราณสวรรค์ส่วนใหญ่ของโจวเหว่ยชิงได้ฟื้นคืนมาแล้ว ในขณะที่กำลังวิ่ง ความเร็วที่ได้รับล้วนแต่มาจากขาขวาปีศาจของเขา นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงสามารถประหยัดพลังปราณสวรรค์เอาไว้ได้เป็นจำนวนมาก เมื่อรวมกับอัตราการฟื้นฟูอย่างบ้าคลั่งของวิชาเทพอมตะแล้ว เขาสามารถฟื้นพลังปราณสวรรค์ได้ถึง 70 ส่วนในเวลาเพียงชั่วโมงเดียวทั้งๆที่กำลังวิ่งหนีไปด้วย

ทันใดนั้นเอง บริเวณข้างหน้าในระยะใกล้ๆ ก็มีเสียงขู่คำรามต่ำๆ ดังขึ้น ดวงตาสีเขียวคู่หนึ่งพลันปรากฏขึ้นในสายตาของพวกเขา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก “นั่นคือหมาป่าโลกันตร์! ในบรรดาอสูรสวรรค์ระดับปฐม พวกมันเป็นหนึ่งในสัตว์ที่อันตรายที่สุดและและน่ารำคาญที่สุด แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกมันแต่ละตัวจะไม่มาก แต่เพราะพวกมันมักจะมาเป็นฝูง หากปะทะเข้ากับพวกมันตอนนี้ พวกเรามีปัญหาแน่”

“ปีนขึ้นไปบนต้นไม้!” โจวเหว่ยชิงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้วหมาป่าไม่มีความสามารถในการปีนต้นไม้ และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมัน การปีนต้นไม้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แน่นอนว่าหมาป่าโลกันตร์เหล่านี้เป็นสัตว์อสูรสวรรค์ ทุกคนจึงไม่สามารถตัดสินพวกมันจากความสามารถของหมาป่าทั่วไปได้

“บรู้ววว ’เสียงโหยหวนของหมาป่าดังขึ้น จากนั้นเสียงสวบสาบก็ปรากฏขึ้นในบริเวณรอบๆ ในช่วงเวลาแห่งความโกลาหลนั้นไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าฝูงหมาป่าโลกันตร์นั้นมีจำนวนเท่าไหร่ แต่ทว่าตอนนี้พวกมันก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วอย่างฉับพลันและกำลังมารวมตัวกันในบริเวณนี้ด้วย

หมาป่าโลกันตร์เหล่านี้ไม่ได้บุกจู่โจมอย่างไร้สมอง ดูเหมือนว่าพวกมันได้เตรียมการมาแล้วเป็นอย่างดี อีกทั้งยังเรียนรู้วิธีทำงานประสานงานกันด้วย บางตัวพุ่งมาจากด้านหน้า ในขณะที่ตัวอื่นๆ ขนาบอยู่ด้านข้าง พวกมันไม่เพียงแต่กำลังโอบล้อมโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เข้ามาเรื่อยๆ แต่ยังรวมไปถึงศัตรูทั้ง 6 คนที่กำลังไล่ล่าพวกเขามาจากด้านหลังอีกด้วย

“เวรเอ้ย!” ไป๋จิ่วอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งด้วยความโกรธและความสิ้นหวัง “เร็วเข้า! เราต้องจัดการพวกมันให้เสร็จก่อนที่ฝูงหมาป่าจะล้อมเราจนมิด! จำไว้ว่าอย่าโจมตีพวกหมาป่าโลกันตร์เด็ดขาด! ถ้ามีตัวใดบาดเจ็บล่ะก็ พวกมันจะไม่ยอมแพ้และไล่ล่าพวกเราจนกว่าจะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตาย!” แม้ว่าการไล่ล่าสังหารซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะสำคัญ แต่นั่นจะสำคัญเทียบเท่าชีวิตของเขาได้อย่างไร! ไป๋จิ่วหันหลังกลับและออกวิ่งทันที

……………………………………………………………..

ในขณะที่ธนูราชันก่อตัวท่ามกลางหมอกน้ำแข็ง โจวเหว่ยชิงก็รีบย้ายมันไปถือด้วยมือข้างซ้าย เขายกมันขึ้นง้างในท่าพร้อมเตรียมยิง ในเวลานั้นไพฑูรย์ตาแมวสองสีที่กลายเป็นสีแดงกุหลาบก็พลันมีกระแสไฟฟ้าสีน้ำเงินพระพริบแลบแปลบปลาบคล้ายสายฟ้าอย่างเห็นได้ชัด

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังเพ่งสมาธิอยู่นั้นเอง ไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขาก็เคลื่อนไหวกลิ้งเข้าไปในหลุมบรรจุมณีบนธนูราชันอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นธนูสีขาวขุ่นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีฟ้าพิสุทธิ์ลากยาวลงจนถึงสายธนู ในขณะที่พลังสายฟ้ากำลังหมุนวนอยู่รอบข้อมือของเขา โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกชาแปลบไปทั่วร่างกายราวกับว่าเขากำลังถูกไฟฟ้าช็อตเป็น  ระยะๆ

“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ?!” เสียงตะโกนดังมาจากด้านล่างอย่างกระทันหัน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเร่งรีบจากระยะไกลมุ่งไปยังหอสังเกตการณ์

ขณะนี้โจวเหว่ยชิงกำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์เพื่อให้สามารถมองเห็นรอบๆ ค่ายได้ชัดเจนจากมุมสูง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมหมายความว่าคนอื่นๆ ก็จะมองเห็นเขาได้อย่างง่ายดายเช่นกัน โดยปกติอาศัยความมืดในเวลากลางคืนก็เพียงพอแล้วที่จะปกปิดตัวตนให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมได้ แต่ทว่าเนื่องจากตอนนี้โจวเหว่ยชิงกำลังเตรียมที่จะใช้วิชาประสานระหว่างมณียุทธ์และมณีธาตุ นั่นจึงเป็นเหตุให้ธนูราชันเปล่งแสงสว่างออกมาอย่างโชติช่วง ด้วยความสว่างระดับนั้น พวกทหารฝ่ายศัตรูจะมองไม่เห็นเขาได้อย่างไร?

โจวเหว่ยชิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลุมดำทั้ง 4 บริเวณจุดตายของเขากำลังหมุนขว้างเพื่อดูดกลืนพลังปราณรอบๆตัวด้วยความเร็วเต็มพิกัด เด็กหนุ่มค่อยๆ ง้างธนูที่ทรงพลังอย่างธนูราชันขึ้น ลูกธนูซึ่งทำจากไม้ดาราอายุ 500 ปีที่กำลังพาดไปบนคันธนูราชันดอกนี้ได้รับอิทธิพลจากพลังธาตุไฟฟ้าของเขาจนแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดใส

เมื่อโจวเหว่ยชิงง้างธนูราชันขึ้นจนสุด เขาก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังดึงดูดอะไรบางอย่างเข้ามา ใช่แล้ว พวกมันกำลังดูดกลืนพลังงานสายฟ้าจากสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวของเขาเข้ามาที่ธนูราชัน และพลังทำลายล้างของมันก็ดูคล้ายกับระเบิดที่พร้อมจะปะทุขึ้นในได้ในทุกเวลา

ทหารลาดตระเวนกำลังจะบุกขึ้นมาจู่โจมเขา แต่อนิจจา ในหมู่ทหารลาดตระเวนกลับไม่มีนักธนูเลยสักคนเดียว พวกเขาจึงทำได้แค่เพียงพยายามจะปีนขึ้นหอสังเกตการณ์ให้เร็วที่สุดเท่านั้น

ธนูราชันถูกง้างไปจนถึงขีดจำกัดของมัน แสงที่เปล่งประกายออกมาจากตัวมันกำลังส่องแสงสะท้อนตัดกับแสงจันทร์และแสงดาวบนท้องฟ้า ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนจากระยะไกล ขณะที่โจวเหว่ยชิงพุ่งขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ เธอก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เธอยิงลูกธนูดอกแล้วดอกเล่าออกมาจากระยะไกลๆ เพื่อช่วยกำจัดทหารแต่ละคนที่พยายามจะปีนขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์เพื่อสังหารโจวเหว่ยชิง

*แคร๊ง* *แคร๊ง *แคร๊ง* เสียงระฆังดังขึ้น จากนั้นทหารในค่ายทั้งหมดก็ถูกปลุกขึ้นมาจากการนอนหลับทันที เห็นได้ชัดว่าทหารหลายหมื่นคนต้องวุ่นวายเพราะเพียงโจวเหว่ยชิงแค่คนเดียว

ในขณะนั้นเอง เสียงคำรามแหวกอากาศเสียงหนึ่งก็ทำให้ทหารทุกคนต้องสั่นสะท้านไปถึงจิตวิญญาณ บนท้องฟ้าที่มืดสนิทดุจขนกาคราคร่ำไปด้วยสายฟ้าที่ทรงพลัง พวกมันเปล่งแสงสว่างออกมาตัดกับท้องฟ้าที่มืดสนิทยามค่ำคืนเช่นนี้ ราวกับดาวตกที่ร่วงหล่นจากบนท้องฟ้า สายฟ้าขนาดมหึมาเส้นหนึ่งก็พุ่งตรงเข้าสู่บริเวณใจกลางค่ายทหารอาณาจักรคาลิเซทันที

โจวเหว่ยชิงไม่ได้หยุดรอดูผลงานของตนเอง เขาหันไปยิงลูกธนูธรรมดาอีก 3 ดอกใส่พวกทหารที่กำลังปีนขึ้นมาหาเขา จากนั้นใช้เท้าขวากระแทกเข้ากับพื้นหอสังเกตการณ์อย่างแรงและกระโดดลอยตัวขึ้นในอากาศ

*ตูม* เสียงระเบิดรุนแรงดังขึ้นสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยพลังจากลูกธนูสายฟ้าดอกนั้น แม้ว่าเป้าหมายจะอยู่ไกลออกไปถึง 1 กิโลเมตร แต่เพราะพลังทำลายล้างและความเร็วของลูกธนูที่ยิงมาจากธนูราชันนั้นน่าเกรงขามเกินไป กระโจมขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของโจวเหว่ยชิงจึงเกิดระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว หากสังเกตจากด้านบนจะพบว่าระเบิดที่ปะทุขึ้น ณ ใจกลางกระโจมนั้นมองเห็นเป็นทะเลเพลิงสีฟ้าสาดกระจายออกไปเป็นวงกว้างอย่างชัดเจน เปลวไฟร้อนๆ ผุดขึ้นมาโดยรอบ เสียงกรีดร้องร่ำไห้ดังระงมไปทั่ว

จากนั้นไม่นานก็ตามมาด้วยเสียงระเบิดเล็กๆ อีก 4 ครั้ง โดย 3 ครั้งแรกเกิดจากลูกธนูธรรมดา 3 ดอกหลังที่โจวเหว่ยชิงยิงตามออกไป เขาไม่ได้เจาะจงเป้าหมายใดเป็นพิเศษ แค่ยิงเข้าไปในที่ๆ มีทหารรวมกลุ่มกันอยู่จำนวนมากๆเท่านั้น ด้วยพลังทำลายล้างของธนูราชัน ถึงแม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่ได้ใช้ทักษะธาตุใดๆ ก็ตาม ลูกธนูก็ยังคงสามารถระเบิดพลังออกมาได้อย่างรุนแรงถึงที่สุดท่ามกลางกองทหารคาลิเซที่วิ่งประจันหน้าเข้ามาหาเขา และในการโจมตีครั้งหนึ่ง เขาก็สามารถทำให้ทหารบาดเจ็บล้มตายได้ถึงอย่างน้อย 10 คน

ส่วนเสียงที่ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายนั้นคือเสียงที่เกิดจากหอสังเกตการณ์พังทลาย เนื่องจากถูกโจวเหว่ยชิงเหยียบลงไปเต็มแรงเพื่อถีบตัวกระโดดหนี พื้นส่วนบนของหอสังเกตการณ์จึงปริแตกและถล่มลงไปในแทบจะทันที

ในเวลาเดียวกันนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ธนูอุษาม่วงในมือของเธอถูกใช้กระหน่ำยิงออกมาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังใช้ทักษะการยิงเร็วด้วยความเร็วสูงสุดควบคู่กันไปด้วย ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ เธอคนเดียวได้ยิงธนูออกไปแล้วมากกว่า 30 ดอกเพื่อช่วยยับยั้งเหล่าทหารที่ไล่ตามโจวเหว่ยชิง

“ไปกันเถอะ!” โจวเหว่ยชิงกระโจนไปข้างหน้าแล้วลอบส่งสัญญาณให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทั้งคู่รีบหันหลังและออกวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองความโกลาหลเบื้องหลังที่พวกเขาเพิ่งจะก่อขึ้นเลยด้วยซ้ำ

ในขณะนี้ เงาร่างของคนทั้ง 10 กำลังบินโฉบไปมาอยู่บริเวณด้านหน้าค่ายทหารคาลิเซ และหนึ่งในนั้นก็ยังร้องตะโกน “ที่เก็บเสบียงกำลังไหม้! เสี่ยวเยเย่ไปจัดกองทหารเพื่อดับไฟ เก็บข้าวของที่เหลือมาให้ได้มากที่สุด! ส่วนที่เหลือ ตามข้ามา ข้าจะไม่ยอมให้พวกมันหนีไปได้!”

คนที่เปล่งเสียงออกคำสั่งคือองค์ชายแห่งอาณาจักรคาลิเซ หรือก็คือองค์ชาย 9 ไป๋จิ่ว ส่วนอีก 10 คนที่เหลือต่างก็เป็นจ้าวมณีคนอื่นๆ ที่อยู่ในค่ายทหาร แน่นอนว่าใครจะมีอารมณ์ดีได้หากถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับลึกอย่างกะทันหัน นี่ยังไม่พูดถึงการที่ถูกปลุกด้วยเสียงระเบิดจนทำให้ผวาตื่นตกใจจนขนหัวลุกเช่นนี้!

กระโจมของไป๋จิ่วตั้งอยู่ใกล้ๆ กับกระโจมขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของโจวเหว่ยชิง  ดังนั้นการระเบิดครั้งใหญ่นี้จึงไม่เพียงแต่จะทำให้เขาผวาตกใจจนตื่น แต่ถึงกับทำให้เขาฉี่ราดกางเกงไปหมด นั่นเป็นผลให้เขาโกรธมากจนใบหน้าเปลี่ยนสี ไป๋จิ่วเปลี่ยนกางเกงของเขาอย่างรวดเร็วจากนั้นก็รีบวิ่งออกไปนำกลุ่มจ้าวมณีตามไล่ล่าพวกศัตรูที่กล้าเข้ามาบุกรุกค่ายทหารของเขาอย่างบ้าคลั่ง

“อ้วนน้อย เมื่อกี้เจ้าใช้ทักษะธาตุอะไรน่ะ? ทำไมถึงเกิดระเบิดที่ทรงอานุภาพขนาดนั้นได้?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างสงสัยขณะที่พวกเขากำลังวิ่งหนี แม้ว่าเธอจะอยู่ไกลจากรัศมีการระเบิดมาก แต่แรงระเบิดครั้งใหญ่นั้นก็ยังทำให้เธอตกใจจนแทบสิ้นสติ

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “ฮึๆ ข้ากักเก็บทักษะธาตุลงในมณีธาตุดวงแรกของข้าครบแล้ว จำลูกศรดอกนั้นที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้ไหม? นั่นคือทักษะมืดที่ชื่อว่า “สัมผัสมืด” และเจ้าก็เห็นแล้วว่ามันเข้ากันได้ดีเวลาใช้ประสานกับธนูราชัน”

“สิ่งที่ข้าใช้ในวันนี้คือทักษะประเภทการโจมตีเพียงอย่างเดียวที่ข้ามี ข้ากักเก็บทักษะนี้มาจากอสูรสวรรค์ระดับเทวะที่ข้าไม่รู้จักชื่อ ข้าพบมันในประตูบานสุดท้าย ประตูที่เขียนกำกับไว้ว่า ‘สำหรับอสูรสวรรค์ที่ยังไม่มีใครรู้จักหรือพวกที่กลายพันธุ์’ ชื่อทักษะนี้คือ “ฝ่ามืออัสนีบาต” จริงๆ แล้วแต่เดิมมันเป็นทักษะการต่อสู้ระยะประชิด อย่างไรก็ตาม พอใช้ร่วมกับธนูราชันแล้วมันกลับให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจมาก ลองคิดดูนะ ‘ฝ่ามืออัสนีบาต’ ปกติก็ให้แรงระเบิดที่รุนแรงอยู่แล้ว เมื่อรวมกับพลังสายฟ้าและอำนาจระเบิดทำลายล้างของธนูราชัน มันก็คือการเอาลูกระเบิดมาบดรวมกันดีๆ นี่เอง แล้วเจ้าจะไม่ให้แรงระเบิดมันทรงอานุภาพขนาดนั้นได้ยังไง?”

“เฮ้อ แต่เพราะพลังปราณสวรรค์ของข้ามีจำกัด ข้าจึงสามารถใช้วิชาประสานแบบนี้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น  หากไม่เป็นเช่นนั้นล่ะก็ ข้าก็คงจะยิงซ้ำแล้วซ้ำอีก สร้างความหายนะให้กับพวกมันจนไม่เหลือซาก”

เมื่อฟังคำพูดของเขาจบ กระแสเย็นวาบสายหนึ่งก็ไหลผ่านหัวใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอรู้ว่าถ้าตอนนี้เธอต่อสู้กับโจวเหว่ยชิงแบบ 1 ต่อ 1 เขาก็คงจะพ่ายแพ้ให้กับเธออย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากเธอมีความได้เปรียบในแง่ของปริมาณปราณสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีมณีสวรรค์มากกว่าเขาอีก 1 ชุดด้วย อย่างไรก็ตาม เธอก็จินตนาการได้ว่าเมื่อโจวเหว่ยชิงฝึกฝนไปจนมีปราณเพียงพอที่จะใช้ทักษะทั้งหมดของเขาได้  เวลานั้นเขาคงจะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยข้อได้เปรียบจากการที่โจวเหว่ยชิงมีทักษะธาตุหลากหลายชนิด  เขาจึงไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับใครเลย และสามารถต่อสู้แบบประสานทักษะธาตุของตนเข้าด้วยกันแทน

…………………………………………………………

เสียงลูกธนูทะลุผ่านศีรษะของทหารนายหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงหักกระดูกคอของทหารยามอีก 2 คนในเวลาเดียวกัน ในช่วงเวลาสั้นๆ ทหารทั้ง 3 นายของอาณาจักร คาลิเซก็ถูกสังหารไปเช่นนั้นเอง แม้อาจจะพูดไม่ได้การกระทำอันอุกอาจนั่นเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ แต่เสียงที่เกิดขึ้นเหล่านั้นก็ถูกกลบไปด้วยเสียงแมลงในป่า การประสานงานของพวกเขาในครั้งนี้ถือว่าสมบูรณ์แบบสำหรับการทำงานร่วมกันเป็นครั้งแรก และแน่นอนว่าพวกเขาเข้ากันได้ดีจนน่าประหลาดใจ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่พุ่งออกมาจากด้านหลังและจบชีวิตของทหารยาม 2 คนนั้นต้องเป็นโจวเหว่ยชิงอย่างแน่นอน สิ่งที่เขาทำจริงๆ แล้วค่อนข้างเรียบง่าย เด็กหนุ่มดักซุ่มอยู่ด้านหลังของคนพวกนั้น และด้วยพลังของขาขวาของเขา โจวเหว่ยชิงจึงสามารถกระโจนออกไปด้วยความเร็วที่น่าทึ่งเพื่อคว้าคอของทั้ง 2 คน ก่อนที่พวกเขาจะตอบสนองและส่งเสียงใดๆ โจวเหว่ยชิงก็เหวี่ยงศีรษะของพวกเขาลงไปที่พื้นและจับหักคออย่างไม่ปราณี มณียุทธ์ของเขานั้นเป็นประเภทเพิ่มความแข็งแกร่งทั้งหมด ไม่ต้องพูดถึงกระดูกคอที่ค่อนข้างบอบบาง เด็กหนุ่มสามารถหักกระดูกต้นขาที่หนากว่านี้ได้ด้วยซ้ำหากต้องการ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโจวเหว่ยชิงไม่ได้คาดคิดว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะสามารถประสานงานกับตนได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ เขาจึงได้เตรียมการจะใช้ขาขวาไว้ล่วงหน้าแล้ว หากลูกศรของซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาถึงช้าเกินไป เขาก็จะใช้ขาขวาฆ่าทหารคนที่อยู่ซ้ายสุดเอง แม้ว่านั่นจะก่อให้เกิดความวุ่นวายตามมา แต่เขาก็จำเป็นจะต้องเสี่ยง

ความรู้สึกที่ได้สัมผัสกระดูกแตกเป็นเสี่ยงๆในมือ เสียงลั่นของกระดูกและชีวิตที่ปลิดปลิวออกไปเพราะน้ำมือของเขา เร่งก่อเกิดแววกระหายเลือดในดวงตาของโจวเหว่ยชิง นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ฆ่าใครซักคนในระยะประชิดด้วยมือของตัวเอง แต่ทว่าหัวใจของเขากลับสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นยินดีอย่างลับๆ

เขายกมือขึ้นส่งนิ้วโป้งให้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในระยะไกลๆ จากนั้นเด็กหนุ่มก็ดึงลูกธนูออกจากศีรษะของทหารยามคนซ้ายสุด เช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่บนลูกธนูกับเสื้อผ้าของพวกเขาให้สะอาดก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปสมทบกับเธอ

“ปิงเอ๋อร์ ท่านยิงออกไปทันเวลาพอดีเลย! เรากำจัดพวกมันไปได้ทั้งหมด 3 คน” ในขณะที่เขากล่าว โจวเหว่ยชิงก็นำลูกศรกลับเข้าไปคืนในแล่งธนูของซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หลับตาลง ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจพาดผ่านทางสีหน้าของเธอ และเธอก็ดูเหมือนจะแบกรับความรู้สึกผิดไม่ไหว โชคดีที่เธอฆ่าเขาในระยะไกลๆ มิฉะนั้นความเจ็บปวดจากการฆ่าคนอาจจะชัดเจนมากกว่านี้

โจวเหว่ยชิงตบหลังเธออย่างปลอบโยน เขากล่าวว่า “การมีน้ำใจต่อศัตรูคือการทำร้ายตนเอง นึกถึงทหารทุกคนที่เสียชีวิตไปสิ ทหารของเราที่บาดเจ็บล้มตายไปด้วยน้ำมือของพวกมัน หากทหารของอาณาจักรคาลิเซตายไป 1 คนก็เท่ากับเราสามารถช่วยทหารของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ได้อีก 1 คน เอาล่ะ พวกเราต้องรีบไปเดี๋ยวนี้”

“อืม” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้แต่กรุ่นคิดคิดกับตัวเอง เหตุใดข้าถึงได้อ่อนแอกว่าอ้วนน้อยโจวที่อายุน้อยกว่าข้าเสียอีก เขาอายุยังไม่ถึง 14 ปีเลยด้วยซ้ำ…

โจวเหว่ยชิงค้นพบทหารยามที่ซ่อนอยู่ได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ทหารยามที่เฝ้าอยู่ในป้อมยามมักเป็นทหารราบชั้นยอดซึ่งได้รับการฝึกฝนให้เป็นทหารพรานคอยสอดส่องดูแลความเคลื่อนไหวในป่า ในบรรดาทหารราบธรรมดาทั่วๆ ไป พวกเขาถือว่าโดดเด่นเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวมณีสวรรค์ทั้ง 2 คน พวกเขากลับเป็นได้แค่มนุษย์ที่บอบบางและอ่อนแอเท่านั้น

อาจเป็นเพราะซ่างกวนปิงเอ๋อร์เคยช่วยเหลือโจวเหว่ยชิงโดยการเสียสละตนเองเพื่อปลุกมณีสวรรค์ของเขา ดังนั้นระหว่างทั้งคู่จึงมีบางอย่างเชื่อมต่อถึงกัน พวกเขาสองคนมีระดับความร่วมมือที่น่าทึ่งและความเข้าใจที่ลึกซึ้ง  ดังนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงมุ่งเน้นไปที่การโจมตีระยะไกลส่วนโจวเหว่ยชิงเน้นการต่อสู้ระยะประชิด ทหารยามที่ซ่อนอยู่จึงถูกกำจัดไปอย่างต่อเนื่องในขณะที่พวกเขาสาวเท้ารุกต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ

ในที่สุด เมื่อทั้งคู่ผ่านป้อมยามทั้งหมดของอาณาจักรคาลิเซมาได้แล้ว ทหารยามก็ถูกพวกเขาสังหารไปทั้งสิ้นจำนวน 34 คน และส่วนใหญ่โจวเหว่ยชิงก็เป็นคนจัดการทหารเหล่านั้น

ขณะที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในความมืดมองดูค่ายศัตรูจากระยะไกล โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็ใช้โอกาสนี้เพื่อฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ของทั้งคู่

“อ้วนน้อย เจ้ามีแผนอะไรรึเปล่า?” หลังจากผ่านมาทั้งคืน ทั้งสองคนได้ร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้ ทำงานประสานกันได้คล่องแคล่วจนเข้ากันได้ดีในที่สุด  น่าประหลาดที่คนที่มีบทบาทเหนือกว่าและเป็นผู้นำนั้นไม่ใช่คนที่มีมณีชุดที่ 2 อย่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่กลับเป็นโจวเหว่ยชิงที่ต้องรับผิดชอบทำหน้าที่ผู้นำแทน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตระหนักว่าทันทีที่โจวเหว่ยชิงเข้าสู่ป่า เขาก็กลายเป็นเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ เขาสามารถมองดูสถานการณ์โดยรอบได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนในแบบที่เธอพบว่าตนเองไม่สามารถทำได้ อีกทั้งประสาทสัมผัสอันแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อของเขาก็ยังสามารถตรวจจับศัตรูได้อย่างง่ายดายจากระยะทางที่ไม่มีใครทำได้ นี่คือเหตุผลหลักว่าทำไมพวกเขาถึงจัดการกับศัตรูได้เสมอ ทั้งยังเป็นเหตุผลว่าทำไมทั้งคู่จึงสามารถแอบเข้าไปในเส้นทางของศัตรูได้ทั้งหมดและมาถึงค่ายทหารหลักได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ เลย

โจวเหว่ยชิงขอให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นำแผนที่ของเธอออกมาอีกครั้ง เขาใช้แสงจันทร์เป็นตะเกียงให้ความสว่าง ตรวจสอบแผนที่และชี้ไปยังจุดที่พวกศัตรูอยู่ “ดูนี่ นี่คือตำแหน่งเป้าหมายของเรา แม้ว่าค่ายศัตรูจะมีทหารลาดตระเวนอยู่บ้าง แต่เวลานี้ก็เลยตี 1 ไปแล้ว นี่เป็นเวลาที่ทหารจะเหนื่อยง่ายและไม่ระมัดระวัง อีกสักครู่ ข้าจะเป็นคนเปิดฉากโจมตีพวกเขา เจ้าช่วยระวังหลังให้ข้าในกรณีที่มีอะไรผิดพลาดก็แล้วกัน”

“อย่างไรก็ตาม หากเราเริ่มโจมตีแล้ว เราจะไม่สามารถวกกลับไปยังเส้นทางที่เราเข้ามาได้ ดังนั้น ข้าคิดว่าเราควรผ่านเส้นทางนี้แทน ก่อนหน้านี้ข้าได้ตรวจสอบเส้นทางที่เป็นไปได้ทั้งหมดอย่างรอบคอบแล้ว และข้าคิดว่าเราควรเลือกเส้นทางนี้ หากพวกเรากลับไปที่ค่ายทหารผ่านเส้นทางนี้จะช่วยให้เราร่นระยะทางได้เกือบ 50 ลี้ นอกจากนี้ เจ้ายังกล่าวอีกว่าเส้นทางผ่านเนินเขาที่เป็นป่าตรงนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของอสูรสวรรค์ นี่จะช่วยยับยั้งการติดตามของศัตรูเมื่อเรากำลังหลบหนีด้วยเช่นกัน”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงชี้ไปยังเส้นทางที่เขาเลือกบนแผนที่ นิ้วเรียวของเขาขยับอย่างรวดเร็วและชี้ไปยังตำแหน่งต่างๆ บนแผนที่อย่างแม่นยำ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งระยะทางที่ครอบคลุมทั้งหมดในแผนที่ เส้นทางใช้หลบหนีที่เขาชี้ให้เห็นไม่ได้เป็นเส้นตรง มีส่วนที่คดเคี้ยวและซับซ้อนมาก แต่ก็ยังเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด อีกทั้งยังสามารถทิ้งห่างจากทหารทั่วไปของอาณาจักรคาลิเซให้ได้มากที่สุด เห็นได้ชัดว่าช่วงก่อนที่พวกเขาจะออกมาจากกระโจมของโจวเหว่ยชิง นี่คือสิ่งที่เขาเพิ่งคำนวณตอนทำท่าทางกรุ่นคิดเช่นนั้น

“ปิงเอ๋อร์ เจ้ากำลังฟังข้าอยู่ไหม?” โจวเหว่ยชิงโบกมือไปมาต่อหน้าดวงตาที่แสดงความงุนงงของเธอ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างซับซ้อน ก่อนจะคิดกับตัวเอง คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะจริงๆ แม้ว่าเจ้าจะปลุกมณีสวรรค์ขึ้นมาไม่ได้ แต่เจ้าก็ยังสามารถเป็นผู้บัญชาการที่โดดเด่นได้อยู่ดี

“ข้ากำลังฟังอยู่ แต่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราเจออสูรสวรรค์มาขวางเราแทน? ด้วยระดับพลังปราณสวรรค์ปัจจุบันของพวกเรา แม้แต่อสูรสวรรค์ที่อ่อนแอที่สุดก็อาจก่อปัญหาให้เราได้มากมาย และหากจะต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน นั่นก็เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง อสูรสวรรค์มีทักษะและความสามารถเฉพาะตัวซึ่งแข็งแกร่งมาก อีกทั้งอสูรสวรรค์เหล่านี้ส่วนใหญ่มีประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยมมาก ทันทีที่เราเข้าสู่อาณาเขตของพวกมัน พวกมันก็จะโจมตีเราอย่างไม่ลังเล”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดอย่างมั่นใจ “เจ้าไม่ต้องกังวลกับส่วนนั้น ข้าวางแผนทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมข้าถึงกักเก็บทักษะในมณีธาตุของข้าได้ง่ายๆ? ข้าจะบอกเหตุผลให้เจ้ารู้ ไข่มุกสีดำที่ข้ากลืนเข้าไปนั้นน่าจะเป็นก้อนจินถานของเสือดำที่มีปีกขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง และกลิ่นอายของเสือดำตัวนี้ดูเหมือนว่าจะทำให้สัตว์ส่วนใหญ่รู้สึกหวาดกลัว และสัตว์อสูรสวรรค์เหล่านั้นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ทักษะกักเก็บของข้านั้นมาจากอสูรสวรรค์ระดับเทวะทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นทักษะประเภทการควบคุม อย่างไรก็ตามในระหว่างกระบวนการกักเก็บทักษะ ไม่มีสัตว์อสูรตัวไหนกล้าต่อต้านข้าเลย แม้อาจพูดได้ว่านั่นเป็นเพราะพวกมันถูกผนึกเอาไว้ แต่กลิ่นอายจากร่างกายของข้าก็ต้องส่งผลกระทบต่อพวกมันอย่างมากแน่นอน หากเราพบอสูรสวรรค์ ตราบใดที่เราไม่ได้โจมตีพวกมันก่อน พวกมันย่อมไม่มายุ่งกับเราแน่นอนเพราะพวกมันจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของราชาสัตว์ป่าที่แผ่ออกมาจากร่างกายของข้า”

“นอกจากนี้ เหตุผลที่ข้าเลือกเส้นทางนั้นเป็นเพราะมันตั้งอยู่แถวๆ ขอบเนินเขา โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งสัตว์อสูรสวรรค์แข็งแกร่งเพียงใด พวกมันก็ยิ่งต้องการอาณาเขตใหญ่มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นพวกเราจึงไม่น่าจะพบอสูรสวรรค์ที่แข็งแกร่งจนเกินไป หากเราต้องเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ระดับปฐม ถึงแม้ว่าแผนการณ์ของข้าจะใช้ไม่ได้ แต่ด้วยความเร็วของเรา นั่นก็คงไม่ยากเกินไปที่เราจะหลบหนีออกมา ด้วยแผนการณ์รัดกุม 2 ชั้นแบบนี้ ข้าถือว่านี่เป็นเส้นทางที่น่าจะปลอดภัยที่สุดในการหลบหนีของเรา”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าอย่างมั่นใจและพูดว่า “เอาล่ะ งั้นเรามาทำตามแผนของเจ้ากันเถอะ” ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าในดวงตาของเขา รังสีแดงก่ำกระหายเลือดกำลังค่อยๆ เข้มข้นขึ้น แม้แต่โจวเหว่ยชิงเองก็ไม่ได้ตระหนักว่าอารมณ์ความรู้สึกของเขาเริ่มได้รับผลกระทบจากความกระหายเลือดนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ความแข็งแกร่งมักมาพร้อมกับความเสี่ยงครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับความเสี่ยงที่มาพร้อมกับวิชาเทพอมตะ เมื่อทะลวงผ่านจุดตายได้ ผลข้างเคียงของไข่มุกสีดำก็ค่อยๆ เกิดขึ้นกับร่างกายของโจวเหว่ยชิง

ในเวลาไม่นาน เมื่อทั้งคู่ฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์จนเต็มความจุขั้นสูงสุดของพวกเขาแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ส่งสัญญาณมือบอกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ในขณะที่เขากำลังขยับไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ

ทางเข้าหลักของค่ายทหารอาณาจักรคาลิเซนั้นค่อนข้างกว้างขวาง ทางนี้มีขนาดเกือบ 40 เมตรเลยทีเดียว นั่นทำให้มั่นใจได้ว่าหากทหารทั้งหมดจะต้องยกพลออกไปโจมตีครั้งใหญ่ กองทัพจะสามารถเคลื่อนพลออกจากค่ายได้อย่างง่ายดาย ที่ประตูทั้งสองด้าน แต่ละด้านมีหอสังเกตการณ์สูง 20 เมตรตั้งอยู่ ในขณะที่บริเวณรั้วรอบๆ นั้นเต็มไปด้วยตะเกียงที่จุดให้ความสว่างหลายดวง ในหอสังเกตการณ์แต่ละแห่งจะมีพลธนูทหารยาม 1 คนคอยเฝ้าสังเกตการณ์ในตอนกลางคืน เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามองเห็นสิ่งผิดปกติ พวกเขาก็จะตีระฆังที่ด้านบนของหอสังเกตการณ์เพื่อเตือนภัยให้กับทหารลาดตระเวนที่อยู่แถวนั้นได้รับรู้และทำการตอบสนองอย่างรวดเร็ว

ณ เวลานี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังซ่อนตัวอยู่ห่างจากค่ายหลักของอาณาจักรคาลิเซไปประมาณ 500 หลา เธอใช้นิ้วก้อยและนิ้วนางจับลูกธนูดอกหนึ่งขึ้นมา ในขณะที่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางนั้นมีลูกศรอีกดอกหนึ่งพาดอยู่ ธนูอุษาม่วงของเธอถูกง้างขึ้นอย่างช้าๆ โดยมีลูกศรอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง เธออยู่ในท่าพร้อมยิงและกำลังเล็งไปยังทหารนายหนึ่งที่อยู่บนหอสังเกตการณ์

โจวเหว่ยชิงกำลังขยับเข้าใกล้ที่ตั้งค่ายทหารของอาณาจักรคาลิเซอย่างต่อเนื่อง เขาวิ่งกระโจนออกไปนอกพุ่มไม้และรีบเข้าไปแอบหลบอยู่ข้างหลังหอสังเกตการณ์ ในทันใดนั้นเอง ธนูอุษาม่วงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ขยับทันที

*สวบ* *สวบ* มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นเบาๆ 2 ครั้ง ลูกศรทั้ง 2 ดอกต่างถูกยิงตามกันออกมาติดๆ ขณะที่ยิงลูกศรทั้ง 2 ออกมานั้น เธอใช้กลยุทธ์การยิงออกมาด้วยความเร็วที่ต่างกันเล็กน้อย โดยให้ลูกศรดอกที่ 2 มีความแรงมากกว่าลูกแรกเล็กน้อย เมื่อทำเช่นนี้ลูกศรทั้ง 2 จึงพุ่งไปยังเป้าหมายในเวลาเดียวกัน ในระยะไกลเช่นนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าเป้าหมายจะตายในทันที ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงใช้ทักษะธาตุลมของเธอเพื่อเพิ่มพลังการยิงร่วมด้วย

*วืด* *วืด* เสียงดังแหวกอากาศขึ้นมา 2 ครั้ง ลูกธนูทั้ง 2 ดอกพุ่งปะทะเข้ากับศีรษะของทหารยามคนหนึ่ง ดอกหนึ่งพุ่งเข้าหาจุดตายไท่หยาง(ขมับ)และแทงทะลุออกไปอีกด้าน ในขณะที่อีกหนึ่งดอกพุ่งตรงเข้าไปในปากของทหารยามคนนั้นพอดิบพอดีและแทงทะลุเข้าไปในสมอง แม้ว่าการระเบิดพลังของลูกธนูที่ใช้ทักษะธาตุลมนั้นจะไม่รุนแรงมากนัก แต่สำหรับเป้าหมายที่อ่อนนุ่มเช่นสมองของมนุษย์นั้น เพียงแค่นี้ก็ถือว่าน่ากลัวอย่างยิ่งแล้ว ร่างกายของพวกเขาอ่อนยวบและร่วงลงไปนอนกับพื้นบนหอสังเกตการณ์ทันทีโดยไร้เสียงใดๆ เกิดขึ้น

ขณะที่เหตุการณ์นี้กำลังเกิดขึ้น โจวเหว่ยชิงก็ชักนำพลังปราณสวรรค์ของเขาออกมาทันที ในการกระโจนเพียง    5 ครั้ง โจวเหว่ยชิงก็ร่นระยะทางไปได้แล้วกว่า 300 หลา เด็กหนุ่มจึงรีบคว้าโอกาสที่ยังไม่มีใครรู้ตัวใช้ขาขวาของเขากระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง ด้วยความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวของขาขวา  โจวเหว่ยชิงสามารถกระโดดข้ามรั้วขึ้นไปได้ถึง 5 เมตรจนสามารถขึ้นไปยังหอสังเกตการณ์หอหนึ่งได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเสือดาวที่ปราดเปรียว

มองจากระยะไกลๆ หัวใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แทบจะร่วงลงไปอยู่ที่พื้น เธอจ้องมองเขาอย่างเคร่งเครียด ลูกธนูอีกลูกถูกง้างขึ้นไว้ในท่าเตรียม เธอพร้อมที่จะสนับสนุนโจวเหว่ยชิงทุกเวลาที่เขาต้องการ

แผนของพวกเขาประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม เมื่อโจวเหว่ยชิงขึ้นไปถึงหอสังเกตการณ์แล้ว เขาก็ยังไม่ถูกศัตรูค้นพบเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจของเขากำลังเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ใจสั่นระรัวเร็วเมื่อความตื่นเต้นค่อยๆเพิ่มขึ้นในกระแสเลือด

เมื่อรวมนักธนูทั้ง 2 คนในหอสังเกตการณ์ ในคืนนี้พวกเขาได้สังหารทหารยามไปแล้วทั้งหมดกว่า 36 คน และยังห่างจากเป้าหมายในการแก้แค้นครั้งนี้เพียง 60 คน โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึกขณะที่เขากวาดสายตามองจากบนหอสังเกตการณ์ลึกเข้าไปในค่ายทหาร เนื่องจากแสงจากตะเกียงที่สว่างรำไร เขาจึงสามารถมองเห็นภาพมุมกว้างได้อย่างชัดเจน

ค่ายทหารของอาณาจักรคาลิเซและอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นค่อนข้างคล้ายกัน มีทหารราบหนักพักอยู่ 10 คนต่อ 1 กระโจม และมีทหารราบเบา 30 คนต่อ 1 กระโจม โจวเหว่ยชิงไม่ได้มีเป้าหมายที่เจาะจงเป็นพิเศษในใจ หลังจากการสังเกตอย่างระมัดระวังเขาก็พบเป้าหมายที่จะทำการโจมตีแล้ว

ท้ายที่สุดแล้ว โจวเหว่ยชิงก็เพิ่งเข้าร่วมกองทัพเมื่อไม่นานมานี้และไม่ค่อยคุ้นเคยกับสถานการณ์ในค่ายทหารนัก นอกจากนี้ เนื่องจากข้อจำกัดเกี่ยวกับปริมาณปราณสวรรค์ที่มี เขาจึงมีโอกาสโจมตีเพียงครั้งเดียวก่อนที่เขาจะต้องรีบถอนตัวออกไป อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องเก็บพลังปราณสวรรค์ไว้อีกส่วนหนึ่งเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้หลบหนีด้วย ดังนั้น เป้าหมายของเขาจึงต้องเป็นหนึ่งในกระโจมที่ใหญ่ที่สุด จริงๆ แล้วกระโจมนั้นห่างจากหอสังเกตการณ์เกือบ 1 กิโลเมตรเลยทีเดียว แต่ทว่ามันกลับสว่างไสว และมีการลาดตระเวนโดยกองทหารทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าเป็นนั่นเป็นสถานที่ที่สำคัญมากเลยทีเดียว

เอาที่นั่นแหละ โจวเหว่ยชิงยกมือขวาของตนขึ้นมา จากนั้นมณียุทธ์หยกน้ำแข็งเพียงดวงเดียวก็โผล่ขึ้นมารอบข้อมือขวา มันส่องประกายแสงออกมาเจิดจ้าขณะที่ธนูราชันย์ปรากฏตัวขึ้นมาในมือของเขาอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน วงล้อทักษะธาตุในดวงตาของเด็กหนุ่มก็หมุนไปที่บริเวณส่วนสีน้ำเงิน และเหนือข้อมือซ้ายก็เกิดประกายไฟฟ้ากระพริบวูบวาบขึ้นมาทันที

ในบรรดา 6 ทักษะธาตุทั้งหมดของโจวเหว่ยชิง มีเพียงทักษะเดียวที่เป็นทักษะการโจมตี และนั่นก็คือทักษะธาตุสายฟ้า

………………………………………………………

แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะมีอายุเพียง 16 ปี แต่สัดส่วนสรีระร่างกายของเธอก็ค่อนข้างพัฒนาได้ดี การสวมชุดรัดรูปที่กระชับสัดส่วนนั้นเผยให้เห็นเส้นโค้งเว้าของร่างกายที่สวยงาม โจวเหว่ยชิงได้แต่แอบกลืนน้ำลายลงคอพลางกวาดสายตาซ่อกแซกไปทั่วร่างของเธอ

“เจ้ามองอะไรหา?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงเล็กน้อย เธอฟาดเข้าที่ไหล่ของเขา “เจ้าเดินนำหน้า เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้จ้องข้า” การจ้องมองอย่างเร่าร้อนของโจวเหว่ยชิงทำให้เธอมีอาการวุ่นวายใจเล็กน้อย

หัวใจของโจวเหว่ยชิงกำลังเต้นแรง และเขาก็อดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า ช่างเป็นผู้หญิงที่งดงามอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ และเธอก็ยังตกเป็นของข้าไปแล้ว? วันนั้น…ทำไมข้าถึงจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ? เสียใจจริงๆ โว้ยยยยยยยยยย

ภายใต้การควบคุมของโจวเหว่ยชิง วงล้อทักษะธาตุของเขาก็เปลี่ยนเป็นพื้นที่สีเขียวทันทีเพื่อเรียกใช้ทักษะธาตุลม ตอนนี้ข้อมือขวาของเขามีมณียุทธ์หยกน้ำแข็งลอยวนอยู่ ส่วนข้อมือซ้ายถูกล้อมรอบไปด้วยไพฑูรย์ตาแมวสองสีซึ่งตอนนี้กลายเป็นสีแดงกุหลาบในเวลากลางคืน เมื่อเพิ่มความเร็วของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวเหว่ยชิงเริ่มออกวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ปลดปล่อยมณีสวรรค์ของเธอออกมาเช่นกัน จากนั้นก็วิ่งตามหลังเขาไป

เดิมทีซ่างกวนปิงเอ๋อร์คิดว่าสำหรับการเดินทางทางระยะไกลเช่นนี้ ความเร็วของโจวเหว่ยชิงอาจไม่เพียงพอ แผนของเธอคือ ถ้าเขาช้าเกินไป เธอก็แค่ต้องช่วยเขาไปตลอดทาง อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งคู่ได้ปลดปล่อยมณีสวรรค์ของพวกเขาและเริ่มเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด เธอก็แปลกใจที่พบว่าความเร็วของโจวเหว่ยชิงนั้นสามารถเทียบกับเธอได้เลยจริงๆ

เนื่องจากเธอสามารถสังเกตเขาได้จากทางด้านหลัง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงค้นพบสาเหตุได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าการเคลื่อนไหวของโจวเหว่ยชิงจะไม่เชื่องช้า  แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเธอแล้ว ความเร็วสูงสุดของเขาก็ยังมีความแตกต่างจากเธออยู่

อย่างไรก็ตาม เธอค้นพบว่าความลับที่แท้จริง หรือสาเหตุที่เขาวิ่งได้อย่างรวดเร็วในตอนนี้นั้นเกิดจากขาขวาของเขา! ทุกครั้งที่ขาซ้ายของเขาแตะกับพื้น มันจะกลายเป็นเพียงจุดศูนย์ถ่วงของร่างกาย และร่างกายของเขาจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อเท้าขวาของเขาแตะกับพื้นร่างกายของเขาก็ดูเหมือนจะถูกยิงเปรี้ยงออกไปข้างหน้าคล้ายกับลูกศรถูกดีดออกไป เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าดูเผินๆ แล้วความเร็วในการวิ่งของเขาจะเร็วมาก แต่จริงๆแล้วมันเป็นแค่การพุ่งไปข้างหน้าอย่างฉับพลันหลายๆ ครั้งเท่านั้น และเขาก็ไม่ได้วิ่งไปข้างหน้าในจังหวะที่สม่ำเสมอเสียด้วย

“อ้วนน้อย ขาขวาของเจ้าเป็นอะไร?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนมณียุทธ์ดวงที่ 2 ของเธอให้กลายเป็นรองเท้าวายุประสาน รองเท้าเรืองรองไปด้วยสีเขียวคู่หนึ่งถูกหลอมขึ้นมาอยู่รอบๆ เท้าของเธอ  นั่นทำให้เธอสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าโจวเหว่ยชิงมาก

โจวเหว่ยชิงหันไปมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่กำลังวิ่งอยู่ข้างเขา

เขายิ้มและพูดว่า “เห นี่มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ขาขวาของข้าทรงพลังซะขนาดนี้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความสามารถพิเศษที่ได้มาจากไข่มุกสีดำนั่น จำตอนที่ข้าอยู่ในป่าแล้วจู่ๆ ร่างกายของข้าก็เจ็บปวดขึ้นมาได้ไหม ตอนนั้นข้าอยู่กับผู้บัญชาการกองร้อยเซียวและข้าก็กอดเจ้าไว้ซักพักก่อนที่ข้าจะดีขึ้น หลังจากช่วงเวลานั้น ดูเหมือนว่าขาขวาของข้าจะวิวัฒนาการและแข็งแกร่งขึ้นมาก” สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่เขาคิดว่าเป็นผู้หญิงของตัวเอง เขาย่อมไม่อยากจะปิดบังความสามารถของเขา ดังนั้นเขาจึงอธิบายความสามารถใหม่ของขาขวาและการฝึกฝนที่เขาทำได้อย่างรวดเร็วให้เธอฟัง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เข้าใจได้ทันที ไม่น่าแปลกที่เขาจะปฏิเสธการขี่ม้าและออกไปเดินในป่าข้างๆ แทนที่จะเดินไปกับขบวนกองทหารหลัก ที่จริงแล้วเขาทำเช่นนั้นเพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับขาขวาของเขานั่นเอง

แต่เดิมเธอยังไม่ค่อยมั่นใจเกี่ยวกับเกี่ยวกับการบุกจู่โจมอย่างกระทันหันในครั้งนี้และรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง ท้ายที่สุดเธอคิดว่าความเร็วของโจวเหว่ยชิงนั้นไม่เพียงพอที่จะใช้หลบหนีหากสิ่งต่างๆ กลับตาลปัตรขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ดูเหมือนว่าความกังวลของเธอจะไร้ประโยชน์และพวกเขามีโอกาสประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

ระยะทาง 300 ลี้นั้นไม่ไกลเลยสำหรับเหล่าจ้าวมณีสวรรค์เช่นพวกเขา หากเร่งกำลังให้ถึงที่สุด พวกเขาจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าจึงจะถึงจุดหมาย

“อ้วนน้อย ถ้าเราไปต่อ เราจะถึงป้อมยามรักษาการณ์ของข้าศึกแล้ว” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดและมองไปทางโจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “พักสักครู่ก่อน เจ้าควรฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ของเจ้าด้วย”

ทั้งคู่มองหามุมเหมาะๆ เพื่อซ่อนตัว พักผ่อนและฟื้นฟูปราณสวรรค์ แม้ว่าระดับการฝึกปราณของโจวเหว่ยชิงนั้นจะต่ำกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาก แต่เขาก็มีข้อได้เปรียบจากพลังที่น่าอัศจรรย์ของวิชาเทพอมตะซึ่งทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณสวรรค์จากบรรยากาศรอบๆ ตัวได้แม้ในขณะที่กำลังใช้งานมณีอยู่ ดังนั้นพลังปราณสวรรค์ที่แท้จริงของเขาจึงไม่ได้ถูกใช้ไปมากนัก และเขาก็สามารถฟื้นฟูกลับคืนได้อย่างเต็มที่ในระยะเวลาอันสั้น

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โจวเหว่ยชิงได้ลองทดสอบและท้ายที่สุดเขาก็ค้นพบระยะเวลาที่แน่นอนทั้งหมดที่ใช้ในการฟื้นฟูปราณสวรรค์ของวิชาเทพอมตะ เมื่อเขาเพ่งสมาธิให้หลุมดำดูดกลืนปราณสวรรค์ด้วยความเร็วสูงสุด มันจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการกู้คืนปราณสวรรค์ทั้งหมดในตันเถียนของเขา นี่เป็นความเร็วของการฟื้นฟูที่น่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว จ้าวมณีสวรรค์คนอื่นๆ นั้นจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นในการฟื้นฟูปราณ นี่ยังไม่นับที่เขาสามารถลดการเผาผลาญปราณสวรรค์ขณะใช้งานมณีได้โดยการดูดกลืนจากบรรยากาศรอบตัวอีกด้วย

หลังจากพวกเขาทั้ง 2 คนฟื้นฟูปราณสวรรค์ได้สมบูรณ์แล้ว พวกเขาก็ยืนขึ้น

“ตามข่าวที่เราได้รับ ทหารที่ป้อมยามของอาณาจักรคาลิเซมักจะเปลี่ยนกะทุกๆ 4 ชั่วโมง ตอนนี้เกือบจะ 5 ทุ่มแล้ว พวกเขาน่าจะเปลี่ยนกะในอีกประมาณ 1 ชั่วโมง” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าว

โจวเหว่ยชิงกรุ่นคิดซักพักหนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น รออีกหนึ่งชั่วโมง เราจะออกไปเมื่อพวกเขาเปลี่ยนกะ หากเราหลบหลีกป้อมยามหลักและซุ่มโจมตีทหารรักษาการณ์ที่ซ่อนอยู่ด้วยศรติดตามไร้เสียงของเจ้า เมื่อรวมกับความช่วยเหลือของข้าที่ด้านข้าง เราจะสามารถผ่านได้โดยไม่มีใครค้นพบเรา เราจะแอบเข้าไปในค่ายทหารของพวกเขา เปิดการโจมตีอย่างรวดเร็วจากนั้นถอยหนีไปทันที”

“อืม นั่นดูฟังเข้าท่าอยู่” นี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสองจะได้ต่อสู้ประสานงานกันอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่จะทำการลอบโจมตีในครั้งนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงค่อนข้างกังวล เธอพบว่าแม้นี่จะเป็นครั้งแรกของเขา แต่เขาก็ดูสงบนิ่งกว่าเธออย่างเห็นได้ชัด ท่าทางของเขาดูมั่นคงมาก และในบางครั้งอาจเห็นแสงชั่วร้ายวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของเขาอย่างเลือนลาง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโจวเหว่ยชิงนั้นได้รับประโยชน์มากมายจากไข่มุกรัตติกาล ในเวลาเดียวกันบุคลิกนิสัยของเขาก็ได้รับอิทธิพลจากไข่มุกสีดำที่ทรงพลังนั่นเช่นกัน เมื่อเขานึกถึงการเข่นฆ่าที่ตัวเองกำลังจะลงมือ มือใหม่ในสนามรบเช่นเขากลับไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือกังวลใจเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึกถึงความตื่นเต้นและยินดีแทน

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เงาร่างของทั้ง 2 คนก็เริ่มขยับเคลื่อนไหวในที่มืด

จริงๆแล้วการหลีกเลี่ยงป้อมยามรักษาการณ์นั้นค่อนข้างง่าย พวกเขาเพียงแค่ต้องเคลื่อนที่ไปเงียบๆ อย่างรวดเร็วตามเส้นทางเล็กๆ แนวเนินเขา พวกเขาอ้อมรอบป้อมยามไปและพยายามส่งเสียงรบกวนให้น้อยที่สุด

หลังจากที่พวกเขาอ้อมผ่านป้อมยามมาได้ 2 แห่งแล้ว โจวเหว่ยชิงหยุดชะงัก ฉับพลันนั้นเขาก็คว้าตัวซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้วดึงเธอนั่งคุกเข่าลงกับพื้น “รอก่อน”

“เอ๋?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รีบดึงธนูอุษาม่วงออกมาจากด้านหลังของเธออย่างรวดเร็ว

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ด้านซ้ายข้างหน้าในระยะ 50 หลามีทหารยามซ่อนอยู่ พวกมันมีกัน 3 คน พวกเราจะซุ่มโจมตีที่นั่น เมื่อไปถึง เจ้าจัดการกับคนที่อยู่ซ้ายสุด ส่วนข้าจะจัดการกับพวกที่เหลืออีก 2 คน”

ช่างเป็นประสาทสัมผัสดีเยี่ยมอะไรเช่นนี้! ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ เนื่องจากเนินเขานั้นเต็มไปด้วยพุ่มไม้หนาทึบและพืชพรรณตามธรรมชาติทำให้ค่อนข้างยากที่จะมองเห็นหรือค้นพบอะไรในรัศมีที่ไกลเกินกว่า 30 หลา แม้แต่เธอเองก็ไม่สามารถตรวจจับพวกมันได้แม้ว่าเธอจะเลื่อนระดับขึ้นแล้ว แต่ทว่าโจวเหว่ยชิงกลับสามารถทำได้

หลังจากที่โจวเหว่ยชิงเล่าแผนการณ์ให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ฟังแล้ว เขาก็เริ่มขยับตีวงล้อมเข้าไปหาทหารยามที่ซ่อนตัวอยู่และเข้าใกล้พวกมันจากทางด้านข้างเงียบๆ ในเวลาเดียวกัน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เคลื่อนไหวช้าๆ เธอกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้และเคลื่อนตัวเงียบๆ เหนือยอดไม้ราวกับเป็นวิญญาณดวงหนึ่ง หลังจากกระโดดข้ามต้นไม้ขนาดใหญ่ 3 ต้น ในที่สุดเธอก็พบตำแหน่งเหมาะๆ ที่สามารถใช้ซุ่มดูทหารรักษาการณ์ที่สวมชุดสีดำ 3 คนซ่อนอยู่ได้อย่างชัดเจน

เธอใช้เวลาเล็กน้อยในการง้างธนูอุษาม่วงขึ้นเพื่อที่จะไม่ให้เกิดเสียงใดๆ จากนั้นก็เล็งไปที่ยังทหารยามที่อยู่ซ้ายสุด เธออยู่ในท่าพร้อมแล้ว ที่เหลือก็รอให้โจวเหว่ยชิงลงมือก่อนเท่านั้น

ทันใดนั้น เธอก็เห็นร่างที่กำลังหมอบอยู่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า เขาพุ่งไปยังด้านหลังของทหารยามที่ซ่อนอยู่ราวกับเสือดาวกำลังล่าเหยื่อ

ทันใดนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่ามีเสียงคลุมเครือบางอย่างกำลังควบคุมการกระทำของเธออยู่ นั่นคือเสียงเพรียกของคู่ชะตา ทันใดนั้นเองเธอก็ปล่อยสายธนู *สวบ* ลูกธนูพุ่งออกไปทันที

เนื่องจากนี่คือการลอบโจมตีในตอนกลางคืน และด้วยทักษะการยิงธนูของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทหารยามธรรมดาๆจะสามารถหลบลูกธนูของเธอพ้นได้อย่างไร เมื่อเกิด *ปุ* ดังขึ้นเบาๆ ลูกธนูก็กระแทกเข้าที่ศีรษะของทหารนายนั้น เจาะทะลุผ่านสมองของเขาไปอีกฝั่งทันที ก่อนที่ทหารยามคนที่อยู่ซ้ายสุดจะได้ทันส่งสัญญาณเตือนภัยใดๆ ออกมา ร่างกายของเขาก็ขยับในท่าแปลกประหลาดก่อนร่างทั้งร่างจะหล่นร่วงลงไปกระแทกกับพื้นทันที

เมื่อทหารยามที่ซ่อนอยู่อีก 2 คนตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ มือขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นรอบคอของพวกเขาแล้ว พละกำลังความแข็งแกร่งของโจวเหว่ยชิงถูกนำไปใช้ทันที เขาจับคอของของทหารยามทั้ง 2 เหวี่ยงลงไปติดพื้นอย่างโหดร้าย จากนั้นก็ได้ยินเสียงกระดูกคอของพวกเขาหักดังลั่นออกมา

……………………………………………………

บรรยากาศระหว่างทานอาหารค่ำในวันนี้ค่อนข้างแปลกออกไปจากเดิม ใบหน้าของผู้บัญชาการกองร้อยเหมาหลี่นั้นเต็มไปด้วยความกังวลหลังจากพูดคุยกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ทว่าใบหน้าของเธอกลับดูสงบนิ่งเหมือนปกติ ในทางตรงกันข้าม คนที่มีอำนาจมากที่สุดในกองพันที่ 3 อย่างผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ผู้ซึ่งมักจะมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับผู้บัญชาการกองพันทหารหญิงที่งดงามคนนั้นกลับนั่งอยู่ฝั่งเดียวกับเธอ และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพูดคุยวางแผนอะไรบางอย่างกับผู้บัญชาการกองร้อยคนอื่นๆ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้มอบตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันของเธอให้กับเซียวหรูเซ่ออย่างไม่มีปริปากคัดค้านเลยแม้แต่คนเดียว แทนที่โจวเหว่ยชิงจะเข้าร่วมในบทสนทนาครั้งนี้ด้วย เขากลับไปนั่งหลบอยู่ที่มุมห้องและเริ่มสปาวามอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แทน แน่นอนว่าอาหารจากโรงอาหารทหารนั้นมีรสชาติแย่กว่าอาหารที่เขากินที่บ้านอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าพวกมันก็ให้รสชาติและความรู้สึกที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโจวเหว่ยชิงผู้ซึ่งเคยใช้เวลาทั้งหมดในวัยเด็กไปกับการอาศัยอยู่ป่าเขาที่สลับซับซ้อน ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่ต่อ แม้กระทั่งหญ้าและเปลือกไม้เด็กหนุ่มก็กินมาแล้วเพื่อความอยู่รอด สำหรับโจวเหว่ยชิง แค่มีอะไรให้เติมกระเพาะก็ถือว่าได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างดีแล้ว เขาจำได้ว่าตอนที่แม่ทัพโจวเริ่มฝึกตน ประโยคแรกที่เขาพูดคือ “ไม่ว่าเมื่อไหร่หรือที่ไหน จงอย่าเลือกกินหรือกินทิ้งกินขว้าง”

หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ โจวเหว่ยชิงก็กลับไปที่กระโจมของเขา หลังจากนั้นไม่นานก็มีเงาวูบวาบเกิดขึ้น น่าแปลกที่กระโจมของเขาไม่มีการขยับเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อยขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ เขา ในมือของเธอถือแผนที่หนังแกะมาหนึ่งอัน

สิ่งที่น่าตกใจที่สุดสำหรับโจวเหว่ยชิงคือการที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับมาแสดงท่าทีเยือกเย็นเงียบขรึมอีกครั้ง นั่นช่างดูแตกต่างจากท่าทางอ่อนโยนที่เธอแสดงออกมาในตอนบ่ายอย่างมาก

“เจ้ามัวมองอะไร? ทำไมยังไม่มานี่อีก?” เมื่อเห็นท่าทีเซื่องซึมของโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็พบว่ามันตลกมาก แต่เธอก็ยังคงรักษาความสงบเยือกเย็นบนใบหน้าของเธอเอาไว้

โจวเหว่ยชิงเดินไปยังด้านข้างของเธอก่อนจะถามอย่างไม่แน่ใจ “ปิงเอ๋อร์ เจ้าความจำเสื่อมเหรอ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เคยคิดถึงสิ่งที่โจวเว่ยชิงอาจจะพูดออกมาเป็นลำดับแรกเมื่อเจอกันอีกครั้ง แต่เธอกลับไม่คิดว่าเขาจะถามออกมาแบบนี้ ในที่สุดเธอก็ไม่ทนไม่ไหวอีกต่อไปและหลุดหัวเราะคิกคักออกมา “เจ้าโง่”

“เจ้าตั้งใจหลอกข้าอย่างนั้นเหรอ?” โจวเหว่ยชิงเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดทันที เขาเอื้อมมือออกไปอย่างมีเลศนัยก่อนจะกระโจนเข้าหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์

“อย่าขยับ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ เอ่อ…” โจวเหว่ยชิงหยุดตัวเองไว้ได้ทันในขณะที่ยังอยู่ในท่านั้น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างโหดเหี้ยม “เจ้ายังอยู่ในระหว่างการทดสอบของข้า ดังนั้นเจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องข้าโดยพละการ” ขณะที่เธอพูด มุมปากของเธอกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ

“ปิงเอ๋อร์ เจ้ากลายเป็นคนโหดร้ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!” โจวเหว่ยชิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตั้งใจจะกลั่นแกล้งเขาอีกครั้ง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงเย็นๆ ในลำคอและพูดว่า “เจ้าพรากสิ่งที่มีค่าที่สุดของข้าไปแล้ว  เงาแค้นในใจของข้ายังคงฝังอยู่ลึกมาก เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าข้ายังต้องทดสอบเจ้าอีกนาน”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “ทดสอบ? แน่นอนว่าเจ้าต้องทดสอบอยู่แล้ว มาเริ่มทดสอบในเรื่องที่เหมาะสมที่สุดกันก่อนเถอะ” เขาทำท่าทางสบายๆ ไม่กังวลแม้แต่น้อย อย่างน้อยตอนนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เต็มใจที่จะให้โอกาสเด็กหนุ่มได้รับการทดสอบ นั่นเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ของพวกเขาครั้งยิ่งใหญ่ เขาสนุกกับความรู้สึกขณะไล่ตามเธอมากๆ อันที่จริงโจวเหว่ยชิงค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียว เนื่องจากตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองได้พัฒนาขึ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการทำลายมันลงด้วยความใจร้อนของตัวเอง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กรอกตาก่อนจะพูดว่า “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าคนปัจจุบันดูอันตรายมากกว่าตอนที่เจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์ไร้ยางอายเสียอีก”

โจวเหว่ยชิงกระพริบตาปริบๆ “งั้นข้าควรจะกลับไปเป็นคนเดิมดีไหม?”

“หึ! ไม่ อย่าทำแบบนั้นจะดีกว่า!” เธอตอบกลับ ขณะที่เธอพูด เธอก็คลี่แผนที่ในมือของเธอลงบนโต๊ะ “อ้วนน้อย ดูนะ พวกเราอยู่ที่นี่” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ชี้ไปที่จุดหนึ่งบนแผนที่

ขณะที่เธอขยับนิ้วมือ เธอก็พูดต่อไปว่า “ถ้าเราเดินไปข้างหน้าตามเส้นทางนี้จะมีเนินเขาซึ่งปกคลุมด้วยพุ่มไม้ใหญ่น้อยเป็นจำนวนมาก ภูมิประเทศนั้นค่อนข้างซับซ้อนและยังมีอสูรสวรรค์อาศัยอยู่ด้วย อันที่จริงมีข่าวลือว่ามีอสูรสวรรค์ระดับเทวะปรากฎตัวที่นั่น ด้วยเหตุนี้ บริเวณเนินเขาตรงนี้จึงกลายเป็นปราการธรรมชาติกั้นระหว่างสองอาณาจักรไปโดยปริยาย

เพื่อให้เราสามารถเข้าสู่อาณาจักรคาลิเซได้ มี 3 เส้นทางที่เป็นไปได้คือ ถนนหลักเส้นนี้และเส้นทางเล็กๆ อีก 2 เส้นตรงนี้ กำลังทหารส่วนใหญ่ของกรมทหารทั้ง 3 กรมของเราเน้นเฝ้ารักษาการณ์บริเวณถนนสายหลักเป็นหลัก ในขณะที่เส้นทางเล็กๆ แต่ละเส้นก็จะมีกองพัน 2 กองคอยดูแลตามลำดับ เนื่องจากระยะห่างจากค่ายไม่ไกลนัก หากกองทหารข้าศึกปรากฏตัวขึ้น กำลังเสริมก็จะสามารถไปถึงได้ในเวลาที่รวดเร็วที่สุด”

“อาณาจักรคาลิเซมีกองกำลังทหารประมาณ 4 กรมประจำการอยู่ที่นี่ ซึ่งจำนวนทหารทั้งหมดของฝ่ายนั้นมีมากกว่าเรา นอกจากนี้ หากไม่นับหน่วยธนูของเราแล้ว อาวุธยุทโธปกรณ์ของหน่วยอื่นๆ ของพวกเขานั้นเหนือกว่าพวกเรามาก กองกำลังทหารทั้ง 4 กรมนั้นประจำการอยู่ด้วยกัน แต่พวกเขาก็มีกลยุทธ์คล้ายกับพวกเรานั่นก็คือมีการลาดตระเวนรอบๆ เนินเขาและเส้นทางบริเวณนั้นเป็นประจำ หากเราต้องการผ่านพวกนั้นไป ข้าคิดว่าเราควรจะใช้เส้นทางเล็กๆ เพื่อลักลอบเข้าไปจะเป็นการดีที่สุด ในเวลากลางคืนพวกเราสามารถพรางตัวและแอบเข้าไปได้”

โจวเหว่ยชิงมองตามแผนอย่างระมัดระวัง มือของเขาขยับไปมาราวกับว่ากำลังคำนวณบางอย่างอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ นั่นสร้างความประหลาดใจให้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างมาก

“อ้วนน้อย เจ้าทำอะไรอยู่?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่ได้หล่อเหลาเป็นพิเศษ แต่เขาก็สูงสง่าและมีรูปร่างแข็งแรงสุขภาพดี ไหล่กว้าง แผ่นหลังก็ดูองอาจ ร่างกายเจิดจ้าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แม้ใบหน้าซื่อๆ ของเด็กหนุ่มอาจจะดูธรรมดามาก แต่มันก็ดูสบายตาไปอีกแบบ ในขณะที่เขากำลังจดจ่อและจริงจังกับบางอย่าง โจวเหว่ยชิงช่างดูหนักแน่นและเชื่อถือได้ ก็เหมือนกับที่เขาว่ากันไว้ว่า ผู้ชายจะดูดีที่สุดก็ต่อเมื่อพวกเขาตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกโกรธแค้นที่ฝังอยู่ในส่วนลึกที่สุดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ถูกความอ่อนโยนของเขาลบล้างไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นในวันนี้และเวลานี้ เธอจึงรู้สึกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น

“รอสักครู่” โจวเหว่ยชิงตอบกลับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างเรียบง่ายในขณะที่เขายังคงชี้นิ้ววุ่นวายอะไรกับแผนที่อยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนที่จะหลับตาลงราวกับว่ากำลังกรุ่นคิดอะไรบางอย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ ในที่สุดเขาก็พูดกับเธอ “ไปกันเถอะ เหมือนกับที่เจ้าพูดไว้ก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเราไปตามเส้นทางเล็กๆ นี่”

“อืม” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รับคำ พวกเขาทั้ง 2 คนจึงพาดธนูอุษาม่วงไว้ที่หลัง แขวนแล่งธนูอีก 2 อันที่บรรจุลูกธนู 100 ลูกไว้ ก่อนจะเดินออกจากกระโจม

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้สถานะผู้บัญชาการกองพันของเธอเป็นข้ออ้างในการออกลาดตระเวนเวลากลางคืน เธอเดินวนเวียนอยู่รอบค่ายครั้งหนึ่งก่อนจะแอบย่องออกมาเงียบๆ พร้อมกับโจวเหว่ยชิง

เมื่อพวกเขาออกจากค่ายทหารแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้ว่าการรักษาความปลอดภัยของค่ายทหารนั้นเข้มงวดเพียงใด ตลอดทางนั้นมีป้อมยามหลายแห่งที่มองเห็นได้ชัดและมีจำนวนทหารรักษาการณ์ที่ซ่อนตัวอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน ด้วยสถานะของเธอในฐานะผู้บัญชาการกองพัน  ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เพียงแค่บอกกับทหารยามว่าเธอกำลังตรวจสอบการป้องกัน นั่นทำให้ทั้งคู่ยอมให้เธอผ่านด่านป้องกันเหล่านั้นมาได้อย่างง่ายดาย หลังจากทำเช่นนั้น พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังเส้นทางเล็กๆ เส้นทางหนึ่งที่ทอดตรงไปยังค่ายทหารที่ใกล้ที่สุดของอาณาจักรคาลิเซ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พวกเขาก็หยุดเดิน “ด้านหน้าต่อจากนี้ไม่มีป้อมยามรักษาการณ์ของพวกเราอีกต่อไปแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม” หลังจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดจบ เธอก็เริ่มถอดชุดเกราะออกอย่างไม่คาดคิด

โจวเหว่ยชิงกะพริบตา “ปิงเอ๋อร์ นี่ยังไม่ใช่เวลาที่ถูกต้อง…”

“อะไรไม่ถูกต้อง?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามขณะที่ถอดเกราะและหมวกของเธอออก เธอมองเด็กหนุ่มอย่างสงสัยก่อนจะพบว่าอ้วนน้อยโจวกำลังพันไม้พันมือทั้งสองข้างของเขาเข้าด้วยกัน จากนั้นเดินบิดไปมาเป็นวงกลม เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงระเรื่อก่อนจะพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ พวกเราจะข้ามขั้นเร็วเกินไปหรือไม่? นอกจากนี้ ตอนนี้เรายังอยู่ในป่าอีก ถ้าพวกเรา ‘การปฏิบัติการภาคสนาม’ อาจจะเป็นหวัดเอาได้นะ”

เงาดำสามเส้นปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทันที เธอพูดด้วยความโกรธปนอาย “สมองของเจ้ามัวแต่คิดอะไรอยู่! เก็บความคิดสกปรกของเจ้าไว้ซะ เราจะแอบมุดเข้าไปค่ายของศัตรูและบุกจู่โจมได้ยังไงถ้าเราสวมชุดเกราะ?”

“เอ๊ะ…” โจวเหว่ยชิงเงยหัวขึ้นแล้วพบว่าเธอถอดชุดเกราะออกไปแล้ว เผยให้เห็นชุดรัดรูปสีดำที่อยู่ข้างใน

……………………………………………………….

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นโอบกอดเขา โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอ่อนโยนที่ค่อยๆ แผ่กระจายออกมาภายในหัวใจของตนเอง แม้ว่าปกติแล้วเด็กหนุ่มมักจะเป็นจอมเจ้าเล่ห์น้อยที่ชอบฉวยโอกาส แต่ตอนนี้สมองของเขากลับว่างเปล่าไร้ความคิดไปชั่วขณะ

สำหรับโจวเหว่ยชิง การกอดนี้เป็นเสมือนดั่งการยอมรับ ใช่ การยอมรับ ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ เขามักจะเป็นเศษสวะในสายตาของคนอื่นเสมอ แม้หลังจากที่ได้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ เงามืดของอดีตก็ไม่ได้จางหายไปจากใจ และลึกเข้าไปข้างในเด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกได้ถึงความด้อยค่าของตนเอง นี่คือเหตุผลที่เขามักจะใส่หน้ากากเข้าหาทุกคน ใช้การถากถางดูถูกและการหยอกล้อคนอื่นๆ เพื่อกลบซ่อนความรู้สึกด้อยค่าของตนเอง นี่คือเหตุผลหลักว่าทำไมก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงถึงทำตัวไร้สาระแบบนั้นทุกครั้งที่อยู่กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์

นางพึ่งกอดข้า นางกอดข้าด้วยตัวเอง ความรู้สึกของการถูกโอบกอดภายในอ้อมแขนอันอบอุ่นอ่อนโยนนั้นเป็นความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์ และสวยงาม นั่นทำให้หัวใจของเขาแทบจะหลอมละลาย ในที่สุดก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง หญิงสาวผู้งดงามที่คิดว่าข้าเป็นใครสักคนที่มีค่า ใครสักคนที่คู่ควร และใครสักคนที่เธอสามารถเชื่อถือได้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ความภาคภูมิใจ และความพึงพอใจที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิตทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้

หลังจากที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สวมกอดเขา ใบหน้าที่สวยงามของเธอก็ขึ้นสีแดงซ่านด้วยความเขินอายเช่นกัน เนื่องจากในขณะที่เธอกำลังโอบกอดเขา เธอกำลังอยู่ในสภาพที่ภายในอกปั่นป่วน แต่ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นความกังวลหนึ่งก็เริ่มผุดขึ้นมาในใจ คนไร้ยางอายเช่นเขามักจะทำตัวแย่ๆ เสมอ เพราะฉะนั้นเขาจะฉวยโอกาสนี้..

อย่างไรก็ตาม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ต้องรู้สึกแปลกใจทันที เธอรับรู้ว่าโจวเหว่ยชิงยืนอยู่นิ่งๆในอ้อมแขนของเธอโดยไม่ได้พยายามใช้กลอุบายหรือแกล้งทำอะไรตลกหยาบโลนใส่เธออีก ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่มีวี่แววจะทำอะไรไปมากกว่านี้ด้วย ความหงุดหงิดจึงจางหายไปอย่างช้าๆ จากนั้นความรู้สึกสงบปลอดภัยก็ค่อยๆซึมซาบเข้ามาในหัวใจของเธอ

แม้ว่าเขาจะพรากครั้งแรกของข้าไป แต่วันนี้เขากลับเป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้ เมื่อหักลบกลบหนี้แล้ว เราก็มาล้างกระดานเริ่มต้นกันใหม่เถอะ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คิดกับตัวเองในใจ

เมื่อผู้หญิงได้ลองเกลียดผู้ชายคนหนึ่งแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม ความเกลียดชังนั้นก็จะไม่มีวันลดลงเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ในทางตรงกันข้ามก็เป็นจริงเช่นกัน เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งได้ลองยอมรับในตัวผู้ชายสักคนแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลย เธอก็ยังคงคิดว่าเขาเหนือกว่าคนอื่นๆ

และผู้หญิงกับผู้ชายคู่นี้นั้นก็ได้แต่ยืนแข็งค้างกันอยู่ตรงนี้เงียบๆ พวกเขาทั้งคู่ยังเยาว์วัยนัก หนึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่มีปมด้อยเนื่องจากถูกเรียกว่าเศษสวะมาตลอดหลายปี ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวที่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งบนบ่าจนไม่สามารถจะทนรับมันไหวอีกต่อไป ณ ช่วงเวลานี้ หัวใจทั้งสองดวงของพวกเขาดูเหมือนจะขยับเข้าใกล้กันมากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดอะไรก็ตาม กลิ่นอายและตัวตนของพวกเขาก็ดูเหมือนกำลังจะปลอบโยนซึ่งกันและกัน

“ขอบคุณ อ้วนน้อย ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว” หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เปิดปากพูดขึ้นมาก่อน เธอผละมือออกจากโจวเหว่ยชิงและเงยหน้าขึ้นมองเขา เพียงเพื่อจะได้เห็นเขาจ้องมองเธออย่างประหม่า ตัวเขาดูโง่เง่าจนเธอก็อดไม่ได้ที่จะปลดปล่อยเสียงหัวเราะออกมา

“ปิงเอ๋อร์ เจ้างดงามมากเวลาที่ยิ้ม” โจวเหว่ยชิงกล่าวชมออกมาอย่างโง่งม ในเวลานี้เขาคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง แต่รับรู้ได้ว่าเงามืดในหัวใจของตนได้รับชำระล้างจากสัมผัสของซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ร้อนแรงจากเขาและเธอก็เขินอายมากจนต้องกัดริมฝีปากล่างของเธอแน่น ท่าทางเช่นนั้นทำให้เธอดูน่ารักขึ้นมากอย่างน่าเหลือเชื่อ

โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าเลือดในกายต่างก็ไหลพล่านขึ้นมาที่ศีรษะจนทำให้เขาเกือบหมดสติ อีกฝ่ายก้มลงมาหา การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าเป็นอย่างมาก ในเวลานี้โจวเหว่ยชิงไม่อยากจะทำร้ายหญิงสาวที่ช่วยเขาไว้ และหากเธอแสดงอาการต่อต้าน เขาก็จะหยุดทันที

ในขณะที่ใบหน้าของทั้งคู่เข้าใกล้กัน เลือดฝาดบนใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้พยายามจะหลบเลี่ยงเขา เมื่อไม่นานมานี้ หัวใจของพวกเขาได้เข้าใกล้ และสัมผัสซึ่งกันและกัน จากนั้นก็หลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นความโกรธของเธอที่มีต่อเขาก็จางหายไปแล้ว

ขณะที่ใบหน้าของพวกเขาเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ จนระยะห่างแทบเหลือไม่ถึง 1 นิ้ว ทันใดนั้นกระโจมของโจวเหว่ยชิงก็ถูกเปิดออก และเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เหว่ยน้อย ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันจริงๆ… เอ๋…”

เซียวหรูเซ่อพุ่งเข้ามาข้างในกระโจมอย่างไม่มีใครทันได้ทันตั้งตัว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกใจจนต้องกระโดดหนีไปอีกมุมราวกับนกตัวเล็กที่กำลังตื่นกระหนก

“…ขะ ข้ามาผิดกระโจม เชิญพวกเจ้าต่อเลย….” เซียวหรูเซ่อมีสีหน้าแปลกประหลาดขณะที่เธอกระวีกระวาดแก้ตัวและรีบหุนหันหนีออกจากกระโจมไป

โจวเหว่ยชิงพูดไม่ออก เหงื่อเริ่มไหลโซมกาย เขากำลังจะได้จูบจริงๆเป็นครั้งแรก… พี่สาว…ท่านมาผิดเวลา  จริงๆ….

ใบหูของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห่อร้อนด้วยความอับอาย เธอจ้องเขาและพูดว่า “มันเป็นความผิดของเจ้า! ข้าจะกลับแล้ว” หลังจากนั้นเธอก็พยายามจะหันหลังเดินออกจากกระโจมอย่างรวดเร็ว

“ปิงเอ๋อร์ รอก่อน” โจวเหว่ยชิงก้าวไปข้างหน้า และจับตัวเธอไว้

“เจ้า…เจ้ากำลังจะทำอะไร?” บรรยากาศที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนก่อนหน้านี้หายวับไปทันทีที่เซียวหรูเซ่อโผล่เข้ามา และซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะพูดข่มขู่เขาขณะที่เธอกำลังก้มศีรษะลงต่ำซ่อนความเขินอาย

“ปิงเอ๋อร์ อย่าเพิ่งไปเลยนะ เจ้าไม่อยากแก้แค้นให้กับทหารของเราที่ตายไปในวันนี้หรือ?” โจวเหว่ยชิงพูดอย่างนุ่มนวล

“เอ๋?” เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้ตัวว่าเธอเข้าใจเขาผิดไป เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา “แก้แค้น? ยังไง?”

ความเย็นชาส่องประกายแวววับในดวงตาของโจวเหว่ยชิง เขาพูดเบาๆ ว่า “นี่เป็นสงครามระหว่างสองอาณาจักร เพราะพวกมันทำให้คนของเราบาดเจ็บล้มตายมากกว่า 100 คน เพราะฉะนั้นเราก็ควรทำเช่นเดียวกันกับพวกมันบ้าง นี่คือการบรรเทาความแค้นให้คนของเราที่ต้องตายไปชั่วคราว ค่ายทหารอาณาจักรคาลิเซที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากที่นี่แค่ไหน?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “อยู่ห่างออกไปประมาณ 300 ลี้ แม้ว่าระยะทาง 300 ลี้นี้เต็มไปด้วยภูมิประเทศที่สลับซับซ้อน แต่มันก็ถือว่าเป็นเขตปลอดทหารสำหรับทั้งสองฝ่าย เจ้ากำลังคิดจะบุกโจมตีฐานที่มั่นของศัตรูหรือ?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและบอกว่า “ใช่ เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าทักษะที่ข้ากักเก็บไว้ในมณีธาตุของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? งั้นข้าจะบอกเจ้า แน่นอนว่าเจ้าคิดถูก ในแง่ของการบังคับบัญชาและนำกองทัพ ความสามารถของพวกเรานั้นเปรียบเทียบกับผู้บัญชาการกองร้อยเซียวไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ว่าพวกเราก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ เป้าหมายของเราในสนามรบนั้นสามารถใช้คำว่า ‘พลังทำลายล้างที่แท้จริง’ มาอธิบายได้อย่างง่ายดาย นั่นคือคุณค่าที่แท้จริงของพวกเราจ้าวมณีสวรรค์ เนื่องจากศัตรูสามารถข้ามมายังชายแดนของพวกเราเพื่อลอบสังหารเจ้า ทำไมเราถึงไม่ลองทำเช่นเดียวกัน และสอนบทเรียนให้พวกมันบ้าง”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึก และภายในดวงตาที่งดงามของเธอ ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวก็ปรากฏขึ้น เธอตอบ “ก็ได้ พวกเราทำตามที่เจ้าบอกเถอะ ข้าจะกลับไปฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ก่อน หลังอาหารเย็นข้าจะตามหาเจ้าและเราจะพูดคุยกันเรื่องแผนการณ์บุกโจมตี”

โจวเหว่ยชิงส่งเธอออกจากกระโจม จากนั้นก็กลับไปที่เตียงของเขาเพื่อฟื้นฟูปราณสวรรค์ต่อ ลูกวัวไม่กลัวเสือ[1] หนุ่มสาวมักหุนหันพลันแล่นและทำตามอารมณ์เพราะพวกเขาไม่กลัวผลกระทบที่จะตามมามากนัก สิ่งที่เขาคิดเพียงอย่างเดียวคือต้องการทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกดีขึ้นและมีความสุข ส่วนซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นก็ต้องการแก้แค้นให้กับคนของเธอที่ถูกสังหารไป ดังนั้นทั้งสองคนจึงตกลงกันเกี่ยวกับแผนการณ์ที่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้อย่างง่ายดาย

เมื่อควันไฟเริ่มลอยขึ้นเหนือค่ายทหาร แสงรำไรของดวงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ก็สะท้อนขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า พ่อครัวกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเพราะใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว

ในกองทัพอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์มีกฎที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า นายทหารทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดต้องรับประทานอาหารร่วมกันหมด เว้นแต่อยู่ในสถานการณ์อื่นๆ ที่พิเศษไปจากนี้ ข้อตกลงนี้กำหนดโดยแม่ทัพใหญ่โจว บิดาของโจวเหว่ยชิง และนี่ก็เป็นช่วงเวลาที่ผู้ชายในกองพันที่ 3 รู้สึกตื่นเต้นที่สุด เนื่องจากในเวลานี้พวกเขาจะได้พบกับผู้บัญชาการกองพันหญิงผู้งดงามและเป็นที่รู้จักในนามผู้หญิงที่สวยที่สุดในอาณาจักร ผู้บัญชาการกองพันซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่นเอง!

…………………………………………………

[1]ลูกวัวไม่กลัวเสือ หมายความว่า ลูกวัวไม่รู้ว่าเสือเป็นยังไง เพราะลูกวัวยังไม่มีความรู้ว่าเสือมันนั้นน่ากลัวแค่ไหน

หลังจากฝึกมาหลายเดือน ในที่สุดพลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงก็เพิ่มไปถึงระดับปกติของขั้นพื้นฐานระดับ 4 แล้ว อย่างไรก็ตาม เพื่อทะลวงผ่านจุดตายหยงฉวนแล้ว พลังปราณเท่านี้ก็ถือว่ายังไม่เพียงพอ เขาลองชักนำปราณไปที่จุดหยงฉวนเมื่อ 2-3 วันก่อนแล้ว แต่ก่อนที่พลังปราณสวรรค์ของเขาจะไหลเวียนไปที่หัวเข่า มันก็หมดลงก่อน เพื่อให้สามารถทะลวงจุดตายหยงฉวนได้ เขาต้องไปถึงจุดตายจู้ซานหลี่ก่อนเป็นอย่างน้อย จากนั้นก็ใช้จุดตายนั้นเร่งความเร็วในการไหลเวียนพลังปราณไปยังจุดตายซานหยิงเจียว  ก่อนจะใช้จุดตายซานหยิงเจียวเร่งความเร็วไปยังจุดตาย หยงฉวนอีกทีในที่สุด เห็นได้ชัดว่ากระบวนการนี้ต้องใช้พลังปราณสวรรค์เป็นจำนวนมาก

ณ กองบัญชาการใหญ่ กรมทหารที่ 5

“อะไรนะ? เจ้าต้องการลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันที่ 3? ขุนนางขั้นที่ 4 ซ่างกวน เจ้าล้อข้าเล่นหรือเปล่า?” ผู้บัญชาการกรมทหารที่ 5 ยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อเขามองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผู้ซึ่งมีสีหน้าแน่วแน่

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้บัญชาการกรมทหาร ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าได้ตระหนักว่าข้าไม่มีความสามารถในการออกคำสั่งบัญชาการกองทหารที่มาด้วยกันในครั้งนี้ แล้วนับประสาอะไรกับกองพันทหารทั้งหมด ในแง่ของการบัญชาการรบ ข้ามีความบกพร่องอย่างรุนแรง ข้าไม่ต้องการมีตำแหน่งสูงส่งเพียงเพราะข้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งต่อคนอื่นๆ และเจ้าหน้าที่ของกองพันที่สามทั้งหมด การบัญชาการกองทัพเป็นทักษะที่ลึกล้ำ หลังจากข้าตรวจสอบตัวเองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ข้าคิดว่าความสามารถของข้ายังไม่เพียงพอ หากข้ายังคงบัญชาการกองพันที่ 3 ต่อไป ข้ากลัวว่าจะมีปัญหาใหญ่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อยๆ เพื่อประโยชน์ของทหาร และเจ้าหน้าที่ทหารของกองพันที่ 3 ได้โปรดปฏิบัติตามคำขอของข้าเถิด ข้าต้องการอยู่ในกองทัพในฐานะทหารธรรมดาที่เข้าร่วมต่อสู้ในสนามรบ มากกว่าเป็นผู้บัญชาการกองพันที่ไร้ความสามารถเช่นนี้”

ในเวลานี้มี 3 คนอยู่ในกองบัญชาการใหญ่ของกรมที่ 5 นอกเหนือจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้วก็ยังมีผู้บัญชาการกรมทหารที่ 5 เกาเฉิน ผู้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ 4 เทียบเท่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และรองผู้บัญชาการกรมทหารเฉียนจ้านเทียน ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันที่ 1 ควบคู่ไปด้วย พวกเขามองหน้ากันด้วยความตกใจ ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกปวดหัวจากคำขอของเธอ

เกาเฉินกล่าวว่า “ขุนนางขั้นที่ 4 ซ่างกวน ท่านเพิ่งจะสังหารจ้าวมณียุทธ์ฝ่ายศัตรูไป 6 คน และจับกุมศัตรูไว้ได้อีก 2 ข้าเพิ่งจะรายงานเรื่องนี้ต่อกองบัญชาการสูงสุดเพื่อให้ท่านได้รับความดีความชอบ ทำไมท่านถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย? ข้าว่าท่านค่อยๆเรียนรู้วิธีบัญชาการกองทัพอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็ได้”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวอย่างแรงอีกครั้ง เธอกล่าวว่า “นั่นเป็นผลงานของผู้บัญชาการกองร้อยเซียวเกือบทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เพราะการบัญชาการรบที่ดีของเขา บางทีข้าอาจถูกศัตรูฆ่าไปแล้ว อีกทั้งกองทหารของเราก็จะต้องสูญเสียมากกว่านี้เช่นกัน ข้าไม่อยากให้ในระหว่างการฝึกบัญชาการของข้าเกิดการสูญเสียเลือดเนื้อของกองพันที่ 3 ไปมากกว่านี้อีกแล้ว ได้โปรดทำตามคำขอของข้าเถิด”

เฉียนจ้านเทียนที่อยู่ใกล้ๆ กล่าวว่า “ผู้บัญชาการกองพันซ่างกวน ท่านควรจะรู้ว่าการแต่งตั้งหรือปลดนายทหารยศผู้บัญชาการกองพันขึ้นไปนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสามารถตัดสินใจเองได้ ทำไมเราไม่ส่งเรื่องลาออกของท่านไปที่กองบัญชาการสูงสุดล่ะ เมื่อเราทำรายงานส่งไปแล้ว ค่อยปล่อยให้ผู้มีอำนาจสูงสุดตัดสินใจเองก็แล้วกัน”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ผู้บัญชาการกรมทหาร โปรดสั่งให้ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวรักษาการเป็นผู้บัญชาการกองพันชั่วคราวไปก่อนเถิด ข้าจะไม่มีส่วนร่วมในการบัญชาการกองพันที่ 3 อีกต่อไป”

เกาเฉินเห็นว่าเธอแน่วแน่จริงๆ จึงพูดอย่างปลงๆ “เอาล่ะ ทำตามที่ขุนนางขั้นที่ 4 ซ่างกวนปรารถนาเถิด”

“ขอบคุณผู้บัญชาการกรมทหารมาก” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวพร้อมกับทำความเคารพแบบทหาร ก่อนจะเดินออกไป

เจ้าหน้าที่ทหารทั้ง 2 แลกเปลี่ยนสายตากันอย่างใจหายอีกครั้ง จากนั้นเฉียนจ้านเทียนก็พูดออกมาเสียงเบาๆ “ผู้หญิงคนนั้นเธออ่อนนอกแข็งใน ช่างเอาแต่ใจยิ่งนัก ถึงกระนั้น กองบัญชาการใหญ่ก็ด่วนตัดสินใจให้เธอดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันจริงๆ เพราะยังไงซะเธอก็ยังไม่ได้รับการฝึกฝนด้านการทหารอย่างเข้มงวดจริงๆ เลยด้วยซ้ำ”

เกาเฉินกล่าวว่า “นั่นเป็นความประสงค์ของท่านแม่ทัพใหญ่ ที่จริงแล้วแผนของเขาคือให้เธอได้สัมผัสบรรยากาศสงครามในแนวหน้าก่อนที่จะเข้ารับการฝึกฝนอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอไม่เหมาะที่จะอยู่ที่ค่ายทหารในแนวหน้าต่อไปแล้ว การซุ่มโจมตีในวันนี้เป็นการวางแผนล่วงหน้าของอาณาจักรคาลิเซ เมื่อคิดว่าหากเธอเป็นอะไรไปขึ้นมา ข้าก็ตัวสั่นไปหมดแล้ว ท่านก็รู้ ข้าจะเผชิญหน้ากับท่านแม่ทัพใหญ่ได้อย่างไร? ข้าจะเขียนรายงานฉบับนี้ส่งไปยังกองบัญชาการใหญ่ทันที เหยี่ยวส่งสารสามารถส่งข้อความไปกลับได้เร็วมาก ข้าเชื่อว่าเราควรได้คำตอบใน10วัน เกาเฉิน ย้ายค่ายทหารของกองพันที่ 1 ไปประจำการอยู่ข้างๆ กองพันที่ 3 เพื่อเสริมกำลังการป้องกันและรับรองความปลอดภัยให้ขุนนางขั้นที่ 4 ซ่างกวน”

“ข้าทราบแล้ว เฮ้อ ข้าก็ได้แต่อวยพรให้ขุนนางขั้นที่ 4 ซ่างกวนมีพลังแข็งแกร่งขึ้นในเร็ววัน เพราะว่าเธอเป็นผู้หญิง ข้าไม่แน่ใจว่ามันถูกต้องหรือไม่ที่เราจะวางภาระอันหนักอึ้งบนไหล่ของเธอ ในอนาคตเธอจะต้องแบกรับทุกอย่างแทนแม่ทัพโจวให้ได้… “

“อ้วนน้อย เจ้าอยู่ข้างในมั้ย?” โจวเหว่ยชิงกำลังฝึกรวบรวมปราณสวรรค์อยู่ในขณะที่เสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดังก้องออกมาจากข้างนอก

“ข้าอยู่นี่” โจวเหว่ยชิงหยุดการฝึกทันที เขากระโดดลงมาจากเตียง และเปิดกระโจมออก ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินเข้าไปข้างใน และโจวเหว่ยชิงก็สังเกตเห็นว่าอารมณ์ของเธอค่อนข้างจะหดหู่เซื่องซึม เธอดูโดดเดี่ยวอ้างว้างและสิ้นหวัง นี่มันแตกต่างจากตัวเธอในยามปกติมาก นอกจากนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเรียกชื่อของเขาโดยตรง

“ปิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” โจวเหว่ยชิงดึงเก้าอี้ออกมาให้เธอนั่ง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองเขาทันที และพูดว่า “ข้าโง่เง่ามากขนาดนี้เลยเหรอ? ข้าควบคุมกองทหารได้ไม่ดีเลย ข้า…”

เมื่อมองดูอารมณ์ที่ปั่นป่วนขึ้นมาฉับพลันของเธอ โจวเหว่ยชิงก็ได้แต่ประหลาดใจ “ปิงเอ๋อร์ ทำไมเจ้าพูดแบบ  นั้น? เรื่องที่เกิดในวันนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้าทั้งหมด นอกจากนี้ต้องขอบใจเจ้าต่างหาก ไม่เช่นนั้นพวกเราคงจัดการกับศัตรูได้ราบคาบขนาดนี้ไม่ได้หรอก”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้าไม่ใช่ผู้บัญชาการที่ดี อ้วนน้อย เจ้ารู้หรือไม่? อันที่จริง ข้าไม่รู้เลยว่าจะสั่งทหารให้จัดกำลังพลหรือจัดรูปแบบการรบได้ยังไงด้วยซ้ำก่อนหน้านี้ ข้าเชื่อเสมอว่าในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ แม้ว่าความสามารถในการบังคับบัญชาของข้าจะไม่ได้ยอดเยี่ยมขึ้นในเร็ววัน แต่ข้าก็ยังสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเอง วันนี้ ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าความคิดนั้นโง่เง่าแค่ไหน จ้าวมณีสวรรค์และผู้บัญชาการกองทัพนับเป็น 2 แนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่น่าแปลกใจที่ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวจะปฏิเสธที่จะยอมรับข้า เขาพูดถูก หากเปรียบเทียบกับเขาแล้ว เขาเหมาะสมจะเป็นผู้บัญชาการกองพันมากกว่าข้า ตอนนี้ข้าถอนตัวจากการเป็นผู้บัญชาการกองพันแล้ว คาดว่าคำสั่งน่าจะถูกส่งต่อไปในอีกไม่ช้านี้”

โจวเหว่ยชิงตบที่ไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “ข้าจะให้ท่านยืมนี่”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คิดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ เธอมองไปยังดวงตาแสดงความห่วงใยของโจวเหว่ยชิง และหลังจากลังเลอยู่ไม่นาน เธอก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกับวางศีรษะไว้เบาๆ บนไหล่ของเขา อย่างไรก็ตาม เธอก็กันส่วนอื่นๆ ที่เหลือของร่างกายให้ห่างจากเขาไว้แทบจะทั้งหมด

ในใจของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยน และอยากจะปกป้อง เขายกแขนขึ้นเพื่อจะโอบกอดเธอ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่แขนถูกยกขึ้น เขาก็ถูกเธอหยุดเอาไว้ก่อนจะพูดว่า “อย่าขยับ”

โจวเหว่ยชิงหยุดมือของเขาทันทีและกล่าวว่า “ เอาล่ะๆ ข้าจะไม่ขยับ”

เธอยืนอยู่ที่นั่น วางศีรษะลงบนไหล่ของเขาเบาๆ อย่างนุ่มนวล เธอหลับตาลงอย่างช้าๆ พูดด้วยเสียงเบาๆ “เจ้าอ้วนน้อย เจ้ารู้ไหม? ที่จริงแล้วข้าเหนื่อยมาก หัวใจของข้าเหนื่อย…มันเหนื่อยไปหมด”

“ข้าทราบแล้ว เจ้าอายุแค่ 16 ปีเท่านั้น ในฐานะที่เป็นจ้าวมณีสวรรค์คนเดียวในอาณาจักรนอกจากแม่ทัพโจว ภาระหนักอึ้งหลายอย่างตกอยู่กับเจ้ามากมาย ความรับผิดชอบและความคาดหวังของทุกคนที่วางอยู่บนบ่าของเจ้านั้นหนักหนาสาหัสมากเหลือเกิน ไม่เพียงแต่จะต้องฝึกฝนและพัฒนาความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง เจ้ายังต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับกองทัพอีกด้วย นี่ย่อมเป็นเรื่องลำบากยากเข็ญเกินไปสำหรับเจ้า”

“ข้าไม่เคยกลัวความลำบาก อ้วนน้อย เจ้ารู้หรือไม่? ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน ไม่ว่าข้าจะเหนื่อยแค่ไหน ข้าก็ยังสามารถยืนหยัด และก้าวต่อไปได้ แต่วันนี้ การต้องเห็นทหารของข้าเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาข้าจำนวนมาก…ในชั่วพริบตาเดียวมีทหารมากกว่า 70 ชีวิตหายไปเช่นนั้น แม้กระทั่งในหมู่ผู้บาดเจ็บสาหัส…หากมีคนรอดมากกว่าครึ่งก็ยังดี…แต่นี่เกือบ 100 ชีวิตล้วนถูกทำลายเพราะข้า…ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยให้ข้าเข้าร่วมสนามรบเลย…ข้าไม่เคยทำอะไรเลยในฐานะผู้บัญชาการกองพัน…วันนี้…เป็นครั้งแรกที่ข้าฆ่าคน…ครั้งแรกที่ข้าเห็นผู้คนมากมายตายต่อหน้าข้า ข้ารู้สึกไม่สบายใจมาก อึดอัดในอกอย่างยิ่ง ข้าไม่คิดว่าข้าจะสามารถเป็นผู้บัญชาการกองพันได้อีกต่อไป ข้าทนไม่ได้ที่จะต้องมีอีกหลายๆครั้งที่ทหารจำนวนมากต้องมาตายเพราะคำสั่งไร้ประสิทธิภาพของข้า ข้าไม่อยากเห็นพวกเขาตายต่อหน้าข้าจริงๆ…”

หัวใจของโจวเหว่ยชิงสั่นสะท้าน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่านี่เป็นครั้งแรกที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ฆ่าใครบางคนหรือเห็นความตาย ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะกลายเป็นแบบนี้ การต้องเฝ้าดูผู้คนมากมายล้มตายเพื่อปกป้องเธอเช่นนี้ หัวใจของเธอจะทนได้อย่างไร โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ว่าว่าร่างกายของเธอกำลังสั่นระริก เขาจึงพูดอย่างจริงใจ “ปิงเอ๋อร์ ให้ข้าปกป้องเจ้า คอยรับสิ่งเหล่านี้แทนเจ้าเถิด”

ร่างกายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์หดเกร็งขึ้นมาทันที เธอเข้าใจสิ่งที่เขากำลังบอกอย่างถ่องแท้ ด้วยความสามารถของโจวเหว่ยชิง หากเขาเปิดเผยตัวตนในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความกดดันที่มีต่อเธอจะเปลี่ยนไปเป็นเขาแทน ภายในใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ความรู้สึกของเธอที่มีต่อโจวเหว่ยชิงนั้นขัดแย้งกันมาก และในบรรดาเรื่องแย่ๆ และเรื่องดีๆ พวกนั้น ส่วนมากก็มักจะเป็นความโกรธที่เธอมีต่อเขา แต่ทว่าหลังจากที่เด็กหนุ่มพูดคำเหล่านั้นออกมา เธอก็รู้สึกราวกับว่าความไม่พอใจ และความขุ่นเคืองที่เธอมีต่อเขาทั้งหมดได้สลายหายไปทันที ในเวลานี้ เมื่อเธออยู่ในสภาพที่อ่อนแอ และต้องการการปลอบโยนที่สุด คำพูดปลอบประโลมที่หนักแน่นจริงใจของโจวเหว่ยชิงก็เข้าไปประทับอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเธอได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ แม้ว่าลูกศรของอีกฝ่ายจะช่วยชีวิตเธอเอาไว้ หญิงสาวก็ยังไม่ได้มีความรู้สึกลึกล้ำเช่นนั้นต่อเขา แต่ในตอนนี้ เธอรู้สึกว่าไหล่ของผู้ชายคนนี้เป็นที่ๆตนเองสามารถพึ่งพาได้อย่างแท้จริง

แขนทั้งสองข้างของเธอยกขึ้นอย่างเงียบๆ ขณะเธอสวมกอดโจวเหว่ยชิงเบาๆ เมื่อเธอกอดเขาด้วยความสมัครใจเป็นครั้งแรก ในที่สุดระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคนก็หายไป…

……………………………………………………….

ไป๋จิ่วส่งเสียงหึในลำคออย่างเย็นชา “ไอ้พวกโง่เง่า! ถ้าเป็นโจวสุ่ยหนิวจริงๆ ล่ะก็ พวกแกคิดเหรอว่าจะรอดชีวิตไปได้? ไม่ใช่แค่พวกเจ้า แม้แต่ข้าก็ยังต้องตายที่นั่นด้วย! นอกจากนี้ข้าก็ยังได้รับข่าวมาเมื่อวานนี้ว่าโจวสุ่ยหนิวยังอยู่ในเมืองหลวง  ไม่อย่างนั้นข้าจะกล้าทำตามแผนนี่ได้ยังไง!”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น จ้าวมณียุทธ์ระดับปรมะขั้นกลางคนนั้นก็ตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของตน “ใช่! แม้ว่าลูกศรนั้นจะแข็งแกร่งมาก แต่พลังการทำลายล้างที่แท้จริงนั้นมีไม่เพียงพอ ถ้าโจวสุ่ยหนิวเป็นคนยิงมันออกมา ข้าก็ควรจะตายไปที่นั่นแล้ว  หรือว่าจะเป็น…”

 

ไป๋จิ่วพยักหน้า “ถูกต้อง นอกเหนือจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ดูเหมือนว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์จะมีจ้าวมณีสวรรค์อีกคนหนึ่งในกองทัพของพวกเขา แต่ระดับการฝึกฝนของเขาไม่น่าจะสูงมาก  อย่างมากที่สุดก็เท่าๆ กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่มีมณีสองชุด มณีสวรรค์คู่ของเขาน่าจะเป็นมณีธาตุมืดและมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งเช่นเดียวกับโจวสุ่ยหนิว หากไม่ใช่เพราะไอ้เจ้านั่น ศรไร้เสียงของข้าคงฆ่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไปแล้ว ถอยก่อน เราต้องกลับไปที่ฐานทัพของเราเพื่อวางแผนเพิ่ม ดูเหมือนว่าเวลานี้ข้าอาจต้องขอให้ท่านอาจารย์ช่วยเสียแล้ว แน่นอนว่าข้าจะไม่ยอมให้อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์มีจ้าวมณีสวรรค์เพิ่มอีกคนแน่ เซียวเยเย่ ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่าคนๆ นั้นหายตัวไปตอนหลบศรไร้เสียงของข้า?”

 

ลูกน้องคนสนิทที่คอยติดตามไป๋จิ่วคือจ้าวมณีธาตุไฟ หลัวเซียวเย่ เซียวเย่เป็นคนรับใช้ส่วนตัวของเขามาตั้งแต่เด็กและเติบโตขึ้นมาด้วยกันกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เซียวเย่ยังมีฐานะเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของเขาอีกด้วย

 

“ใช่แล้วขอรับ! ฝ่าบาท ข้าคิดว่าข้าเห็นเขาหายไปชั่วพริบตาเดียว ไม่เช่นนั้นเขาจะหลบศรไร้เสียงของท่านได้อย่างไร!”

 

“เจ้าเห็นชัดไหม?” คิ้วของไป๋จิ่วขมวดเข้าหากัน

 

หลัวเซียวเย่พึมพำ “กะ ก็ไม่ค่อยชัดขอรับ”

 

ไป๋จิ่วปาดเหงื่อและพูดว่า “เจ้าโง่! ไม่เห็นชัดๆ แล้วยังมารายงานข้าอีก!”

 

หลัวเซียวเย่กระพริบตาและพูดว่า “ตะ แต่…ท่านก็เห็นไม่ชัดเจนเหมือนกันนี่นา”

 

“เซียว เย เย่!”

 

“ฝ่าบาท ตอนนี้พวกเราควรถอยก่อนนะพะยะค่ะ” หลัวเซียวเย่ผู้นี้อาจไม่ใช่มีดที่คมที่สุดในฝัก แต่เขาก็ไม่ได้โง่จริงๆ

 

“ข้าจะจัดการกับเจ้าเมื่อเรากลับไปถึง”

 

 

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็นำกองทหารไปถึงฐานทัพในแนวหน้า

 

ระหว่างชายแดนของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และอาณาจักรคาลิเซนั้นมีแนวภูเขาขนาดใหญ่ เนินเขา บึงน้ำและภูมิประเทศที่สลับซับซ้อนอื่นๆ ตัดขาดทั้งสองอาณาจักรออกจากกันโดยสมบูรณ์ กำลังทหารทั้งหมดของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นประกอบไปด้วยกรมทหาร 5 กรมเท่านั้น ซึ่ง 1 ในนั้นถูกส่งไปประจำการที่เมืองหลวงเพื่อเฝ้าอารักขาราชวัง อีก 1 กรมประจำการที่ชายแดนตะวันออกเพื่อป้องกันข้าศึก ส่วนอีก 3 กรมที่เหลือประจำการที่นี่ ที่ชายแดนติดกับอาณาจักรคาลิเซเพื่อเฝ้ายามและปกป้องรอยต่อที่สำคัญระหว่างสองอาณาจักร เนื่องจากความซับซ้อนของภูมิประเทศ ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ค่อยมีสงครามขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าย่อมมีการปะทะเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ รูปแบบการต่อสู้ที่ใช้กันมากที่สุดคือการจัดกองทหารขนาดเล็กเพื่อรังควานฝ่ายตรงข้าม สงครามระหว่างสองอาณาจักรนั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นการรบแบบกองโจรอย่างแท้จริง และนั่นก็เป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างแปลกไม่เหมือนใครนัก

 

ค่ายทหารแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 10 ตารางไมล์ มีทหารทั้ง 3 กรมอยู่ประจำการมากกว่า 30,000 คน เมื่อมองไปยังกระโจมของพวกเขาภายใต้ท้องฟ้าที่เปิดโล่งให้ความรู้สึกราวกับว่ามีกลิ่นอายฆ่าฟันลอยมาจางๆ ในอากาศ และนั่นอาจทำให้ผู้ที่ไม่เคยเหยียบย่ำเข้าสู่สถานที่เช่นนี้มาก่อนเกิดความกลัวได้

 

เมื่อโจวเหว่ยชิงเห็นค่ายทหารขนาดใหญ่ หัวใจของเขาลุกเป็นไฟ เลือดในกายก็พากันเดือดเร่า นี่มัน…นี่เป็นค่ายทหารในแนวหน้าจริงๆ… นี่คือสถานที่ที่บิดาของเขาอาศัยอยู่และใช้เป็นสถานที่ต่อสู้ตลอดมา ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าลูกชายของท่านมาถึงแนวหน้าแล้ว?

 

จำนวนผู้เสียชีวิตจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ถูกนับเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากการซุ่มโจมตีโดยกลุ่มจ้าวมณีฝ่ายศัตรู ทหารกว่า 70 คนเสียชีวิต อีก 40 รายได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนอีกกว่าร้อยคนมีบาดแผลเล็กน้อย ช่างเป็นตัวเลขที่น่ากลัวยิ่งนัก!

 

ท้ายที่สุด กลุ่มของศัตรูที่ซุ่มโจมตีในครั้งนี้ก็มีเพียง 13 คนเท่านั้น ซึ่งหากนับรวมสมาชิกที่ซ่อนอยู่อีก 2 คนก็อาจกล่าวได้ว่ามีเพียง 15 คนเท่านั้น จากจุดเริ่มต้นของการต่อสู้จนถึงฉากจบ ทั้งหมดใช้เวลาไปแค่เพียง 15 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้แม้ว่าเป้าหมายของพวกศัตรูคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์เพียงคนเดียว แต่พวกเขาก็ยังคงสูญเสียทหารเกณฑ์ที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้วไปเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ทุกคนต่างก็ได้เห็นพลังสังหารที่โหดเหี้ยมแท้จริงของจ้าวมณีในสนามรบ

 

เมื่อกองทหารของพวกเขาเข้ามาถึงค่ายทหารฝั่งกรมทหารที่ 5 พวกเขาก็แยกย้ายกันกลับไปยังกองพันของตนเอง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไปรายงานตัวต่อผู้บัญชาการกรมทหาร ในขณะที่เซียวหรูเซ่อกลายเป็นผู้บัญชาการกองพันที่ 3 ชั่วคราว เธอออกคำสั่งให้พวกทหารเดินทางกลับไปที่ค่ายของตน

 

ในกองพันที่ 3 อำนาจที่แท้จริงของเซียวหรูเซ่อนั้นมากกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จริงๆ นอกจากผู้บัญชาการกองร้อย เหมาหลี่ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว ผู้บัญชาการกองร้อยคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ในกองพันจะรับคำสั่งจากเธอ

 

เซียวหรูเซ่อสงบจิตใจลงอย่างรวดเร็วและจัดการกองร้อยทั้ง 3 กองให้เรียบร้อย เธอจัดกระโจมส่วนตัวให้กับโจวเหว่ยชิง และให้ตั้งอยู่ข้างๆ กระโจมของซ่างกวนปิงเอ๋อร์

 

“เหว่ยน้อย เจ้าควรไปพักผ่อนก่อน ด้วยสถานะของเจ้าในฐานะนายหมู่และผู้ช่วยส่วนตัวของผู้บัญชาการกองพัน เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการฝึกซ้อมและการฝึกอบรม ตราบใดที่เจ้าหมั่นฝึกฝนการยิงธนูของเจ้าเมื่อมีเวลาว่าง ด้วยความสามารถอื่นๆ ของเจ้า แค่นั้นก็น่าจะพอแล้ว เอาเถอะ ข้าหายไปนานแล้ว เพราะฉะนั้นข้าควรจะรีบกลับไปตรวจสอบสถานการณ์ทั้งหมดของกองพันให้เรียบร้อย”

 

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “ท่านพี่ ท่านไปเถิด ส่วนข้าจะฝึกปราณ”

 

เซียวหรูเซ่อจากไปและโจวเหว่ยชิงก็เข้าไปในกระโจมของเขา มันเป็นกระโจมเดี่ยว และแน่นอนว่าเซียวหรูเซ่อย่อมดูแลน้องชายของตัวเองเป็นอย่างดี โดยปกติแล้ว นี่เป็นกระโจมที่มอบให้แก่เจ้าหน้าที่ระดับผู้บัญชาการกองร้อยขึ้นไปเท่านั้น กระโจมทั้งหลังทำมาจากหนังวัวฟอก ไม่เพียงแต่จะป้องกันผลกระทบจากสภาพอากาศ แต่ก็ยังมีฉนวนกันความร้อนที่น่าทึ่งอีกด้วย ด้วยขนาดเกือบ 20 ตารางเมตร ข้างในนั้นเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมากมาย และเมื่อเทียบกับกระโจมขนาดเล็กที่รายล้อมอยู่นั้น กระโจมนี้ถือว่าดีกว่าคนอื่นๆ มาก

 

ในการทำเช่นนี้ จริงๆ แล้วเซียวหรูเซ่อก็ไม่ได้ทำเกินไปเลยด้วยซ้ำ ท้ายที่สุดแล้วไม่เพียงแต่เขาจะเป็นลูกชายคนเดียวของแม่ทัพใหญ่โจวสุ่ยหนิวเท่านั้น แต่แค่สถานะจ้าวมณีสวรรค์เพียงอย่างเดียวก็หมายความว่าการอาศัยอยู่ในกระโจมดังกล่าวก็ถือเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมสำหรับเขาแล้ว แน่นอนว่า นั่นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อโจวเหว่ยชิงประกาศสถานะของตนออกไปแล้วนั่นแหละ

 

โจวเหว่ยชิงปลดสัมภาระที่อยู่บนตัวเขาออกและไถลตัวลงไปบนเตียง อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เด็กหนุ่มไม่ได้มีอารมณ์อยากจะพักผ่อน ภาพของการต่อสู้ครั้งก่อนวาบผ่านเข้ามาในความคิดของเขาอย่างไม่หยุดหย่อนในขณะที่เขาพยายามวิเคราะห์พวกมัน

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าประสบการณ์การต่อสู้ในสนามรบที่แท้จริงของเด็กหนุ่มนั้นยังไม่เพียงพอ นอกจากนี้การใช้ปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงก็ไร้ประสิทธิภาพเช่นกัน เมื่อเขายิงลูกศรดอกสุดท้ายออกไป ปราณสวรรค์ก็ถูกใช้ไปจนหมด เด็กหนุ่มมีทักษะที่แข็งแกร่งมากมายเก็บไว้ในมณีธาตุ แต่เมื่อเขาต้องการที่จะต่อสู้อย่างเต็มกำลัง เขากลับไม่สามารถใช้พวกมันพร้อมกันทั้งหมดได้ในครั้งเดียว

 

สิ่งที่ทำให้เขาประทับใจที่สุดคือช่วงเวลาสุดท้ายขณะที่จ้าวมณียุทธ์ฝ่ายตรงข้าม 6 คนกำลังล้อมรอบซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ และพยายามจำกัดการเคลื่อนไหวของเธอเอาไว้ หัวหน้าของศัตรูผู้ถือค้อนสงครามคู่ก็กระโจนเข้าไปหมายจะทุบศีรษะของเธอทันทีด้วยความเร็วที่เหนือธรรมดา การประสานงานพร้อมกันของจ้าวมณีเหล่านั้นในครั้งเดียวเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามช่างยอดเยี่ยมมาก! นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงเข้าใจว่า แม้แต่จ้าวมณีก็จำเป็นจะต้องทำงานประสานกัน หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นเป็นจ้าวมณีสวรรค์คู่ประเภทว่องไว เธอคงทนรอไม่ได้นานพอให้เขากลับมาช่วยทัน ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขากำลังตกตะลึงและประหลาดใจในทักษะการควบคุมที่แข็งแกร่งของเด็กหนุ่ม รวมถึงความจริงที่ว่ามีทหารจำนวนมากที่คอยช่วยเหลือจากทางด้านข้าง ผลลัพธ์สุดท้ายอาจจะยังคงเป็นความตายของเธอ

 

ประสานงานกัน ร่วมมือกัน จ้าวมณีของพวกเขาสามารถประสานงานกันได้เป็นอย่างดี อืม…มณีธาตุของข้ามีทักษะธาตุตั้ง 6 อย่าง…เพราะฉะนั้นข้าก็ควรจะประสานทักษะธาตุของข้าได้ด้วยสิ…

 

โจวเหว่ยชิงเข้าใจได้รางๆ ว่าในวันนี้ เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ในอันตราย สาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกได้ทันทีก็เป็นเพราะว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นเคยเป็นเครื่องสังเวยที่ช่วยให้เขาปลุกมณีสวรรค์ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีบางอย่างเชื่อมต่อกัน แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนที่ตกอยู่ในอันตรายคือเซียวหรูเซ่อ? เขาคิดว่าตัวเองอาจจะไม่รู้สึกถึงอันตรายในแบบเดียวกันก็ได้

 

เพื่อปกป้องครอบครัวของเขา ปกป้องคนที่เขารัก และปกป้องอาณาจักรของเขา เขาต้องการจะแข็งแกร่งมากขึ้นกว่านี้ ฉับพลันในหัวใจของโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกเคารพ และนับถือบิดาของเขาอย่างจริงใจ เป็นบิดาของเขานั่นเองที่ปกป้องอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา!

 

ในขณะที่คิดเรื่องนั้น โจวเหว่ยชิงก็กระโดดกลับสู่ท่ายืน เขาตั้งสมาธิ เพ่งไปที่หลุมดำทั้ง 4 ณ จุดตายทั้ง 4 จุดที่ถูกทะลวง เด็กหนุ่มพยายามเร่งการดูดกลืนของพวกมันทันที เนื่องจากสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือพลังปราณสวรรค์

 

……………………………………………………….

กงจักรวายุ 3 เล่มบินออกไปตัดผ่านร่างของหนึ่งในจ้าวมณียุทธ์ผู้มีมณี 4 ดวงซึ่งกำลังชะงักเพราะทักษะธาตุของโจวเหว่ยชิงทันที กงจักรวายุของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้พัฒนาขึ้นมากนับตั้งแต่เธอได้รับมณีสวรรค์ชุดที่ 2 และเมื่อเธอส่งกงจักรวายุทั้ง 3 ออกไปในเวลาเดียวกันโดยมีเป้าหมายที่ลำคอของศัตรู แน่นอนว่าผลลัพธ์จึงไม่อาจจะกลายเป็นอื่นไปได้ ศีรษะของจ้าวมณียุทธ์ระดับปรมะขั้นแรกคนนั้นขาดสะบั้นออกจากร่างทันที ในเวลาเดียวกันธนูอุษาม่วงของเธอก็ขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เธอยิงศรติดตามไร้เสียงออกไปโดยไม่ลังเล มันพุ่งตรงไปยังหน้าผากของจ้าวมณียุทธ์ระดับปรมะขั้นแรกพวกที่เหลือและเจาะทะลุสมองไปของเขาไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าหลังจากนั้นแม้จะมี 10 ชีวิตก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก

นี่เป็นพลังที่น่ากลัวอย่างแท้จริงของทักษะการควบคุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป้าหมายยังไม่ทันได้ตั้งตัว หากร่างกายพวกเขาโดนทักษะควบคุมเข้าไปแล้วก็ทำได้แค่เพียงรอความตายอย่างเดียวเท่านั้น แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเป็นเพียงจ้าวมณีระดับปฐมขั้นกลาง แต่เธอก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ และความแข็งแกร่งของเธอก็ยังมากกว่าจ้าวมณีธรรมดาที่ครอบครองมณี 3 ดวงอีกด้วย เมื่อเห็นช่องว่าง เธอจึงถือโอกาสกำจัดศัตรู 2 คนด้วยความเร็วเต็มที่

แรงระเบิดที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นนั้นก็ทำให้เซียวหรูเซ่อตกใจเช่นกัน สิ่งนั้นดึงดูดความสนใจของเธอทันที และการตอบสนองของเธอก็รวดเร็วมาก ฉับพลันนั้นธนูอุษาม่วงของเธอก็ไม่อยู่นิ่งอีกต่อไป เนื่องจากเธอหันไป ‘เช็คชื่อ’ จ้าวมณียุทธ์ที่มีมณี 3 ดวงคนที่เพิ่งหมดสติไปอย่างรวดเร็ว หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ จ้าวมณียุทธ์คนนั้นอาจไม่กลัวลูกธนูของเธอด้วยซ้ำ แต่กับจ้าวมณียุทธ์หมดสติและไม่สามารถหมุนเวียนปราณสวรรค์ของเขาได้ เขาจะสามารถปกป้องร่างกายของตัวเองได้อย่างไร?

ในชั่วเสี้ยววินาที สถานการณ์ในสนามรบกลับพลิกผันอย่างไม่มีใครคาดคิด เนื่องจากจ้าวมณียุทธ์ฝั่งศัตรูถูกสังหารไปทีเดียวพร้อมกัน 3 คน ที่สำคัญกว่านั้น เมื่อลูกศรที่มีพลังระเบิดทำลายล้างปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับทักษะการควบคุมในร่างหนวดสีดำ 12 เส้น ความกล้าหาญของเหล่าจ้าวมณีของฝ่ายศัตรูก็ถูกสั่นคลอนอย่างหนัก

ทักษะธาตุมืดนั้นหายากมาก แค่เขามีลูกศรพลังระเบิดทำลายล้างนั่นอย่างเดียวก็ถือว่าแข็งแกร่งมากแล้วด้วยซ้ำ

“วิชาประสานมณียุทธ์และมณีธาตุ! นั่นต้องเป็นโจวสุ่ยหนิวแน่! พวกเรา ถอย! เร็วเข้า!” จ้าวมณียุทธ์ระดับปรมะขั้นกลางไม่สนใจศักดิ์ศรีของตัวเองอีกต่อไป เขาพยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากพันธนาการของหนวดสีดำ ก่อนจะไถลตัวเกลือกกลิ้งไปกับพื้นและพยายามจะหลบหนี

เมื่อเห็นว่าหัวหน้าของพวกเขาวิ่งหนีไปแล้ว จ้าวมณีคนอื่นๆ ก็รีบเผ่นตามไปด้วยเช่นกัน

แม้ว่าพวกเขาเพิ่งจะเปิดฉากบุกประชิดฝ่ายศัตรูและเข้าต่อสู้อย่างดุเดือดเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็สูญเสียปราณสวรรค์ไปเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ด้วยเช่นกัน แผนเดิมของพวกเขาคือต้องรีบหนีไปทันทีหลังจากปลิดชีวิตซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ ไม่เช่นนั้นหากพวกเขาถูกล้อมรอบด้วยกองทัพทั้งหมด พวกเขาก็คงจะไม่สามารถหลบหนีได้พ้น

ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ธนูอุษาม่วงในมือของเธอก็ถูกใช้ยิงออกไปอีกหลายครั้ง ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครมาบีบคั้นอยู่รอบด้าน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็สามารถแสดงความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าของจ้าวมณีสวรรค์ออกมาได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากความจริงที่ว่าเธอเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์และลูกศรของเธอมีความสามารถใน “การติดตาม” ศรติดตามไร้เสียงของเธอจึงแข็งแกร่งกว่าศรไร้เสียงที่เคยกดข่มเธอไว้ก่อนหน้านี้หลายเท่า เมื่อเธอยิงธนูไปที่จ้าวมณียุทธ์ผู้มีมณี 3 ดวงเหล่านั้น ความเร็วของเธอก็มากเกินกว่าที่ฝ่ายตรงข้ามจะขัดขืนได้ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชีวิตรอดจากลูกธนูได้ แต่ความเร็วในการหลบหนีก็ลดลงอย่างมาก ศัตรูที่กำลังหลบหนีจากวงล้อมแคบๆ เช่นนี้ สุดท้ายก็มีคนจำนวนน้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่สามารถหลบหนีไปได้ ซึ่งนั่นก็คือศัตรูที่แข็งแกร่งทั้ง 5 คนเท่านั้น ในกลุ่มคนที่หนีไปไม่รอด มีคนถูกจับไว้ได้ 2 คน ส่วนที่เหลือก็ถูกสังหารด้วยศรติดตามไร้เสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทั้งหมด

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้ไล่ตามพวกเขาไป เธอหยุดยืนอยู่ที่เดิมเพื่อหอบหายใจ ดวงตาที่งดงามของเธอเต็มไปด้วยความระมัดระวัง กองทหารราบหนักหลายสิบคนรีบกรูเข้ามารุมล้อมเธอไว้ โล่ของพวกเขาถูกยกสูงขึ้นเพื่อใช้ปกป้องเธอ

การต่อสู้นั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากที่สุดเท่าที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เคยประสบพบเจอมาเลยทีเดียว และเธอก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้วด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะลูกศรที่แหวกอากาศเข้ามาอย่างฉับพลันนั้นกระแทกศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของฝ่ายศัตรูอย่างจ้าวมณียุทธ์ระดับปรมะขั้นกลางคนนั้นออกไป ทั้งเข้าควบคุมศัตรูอีก 12 คน และเปิดทางให้เด็กหญิงทั้ง 2 คนโจมตีตอบโต้กลับเพื่อฆ่าศัตรู 3 คนได้ทันที บางทีผลของการต่อสู้ทั้งหมดอาจจะแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงก็ได้ ไม่เพียงแต่เธอจะต้องตายเท่านั้น จ้าวมณียุทธ์ฝั่งศัตรูทั้งหมดก็น่าจะหนีรอดไปได้อย่างไร้รอยขีดข่วน

นั่นคือแม่ทัพใหญ่โจวงั้นหรือ? นั่นไม่ควรจะเป็นไปได้! เนื่องจากสถานการณ์การสู้รบในพื้นที่ชายแดนนั้นสงบลงชั่วคราว แม่ทัพโจวจึงถูกเรียกตัวกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อรายงานสถานการณ์ และร่วมหารือกัน ดังนั้นเขาไม่ควรกลับมาที่แนวหน้าเร็วเช่นนี้ แต่ทว่าลูกศรที่น่าเกรงขามในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาประสานระหว่างมณียุทธ์และมณีธาตุมืด เดี๋ยวก่อนนะ หรือว่าจะเป็นเขา?

ในช่วงเวลานี้ เซียวหรูเซ่อเดินไปข้างหน้า คิ้วเรียวของเธอขมวดแน่นเมื่อมายืนอยู่ข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ “ผู้บัญชาการกองพัน ท่านเป็นอะไรไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวและพูดว่า “ข้าสบายดี แค่ใช้ปราณสวรรค์มากเกินไปหน่อยเท่านั้น ขอบคุณท่านมาก ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว หากไม่ใช่เพราะคำสั่งของท่าน กองทหารของเราคงจะได้รับความเสียหายมากกว่าเดิม ส่วนข้าก็อาจจะ…”

เซียวหรูเซ่อกล่าวว่า “ท่านไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ไปบอกอ้วนน้อยโจวเถอะ รู้ไหม…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร่างกายแข็งค้างอยู่ในตำแหน่งเดิม “เป็นเขาจริงๆ เหรอ? งั้นตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”

เซียวหรูเซ่อตอบ “แล้วข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ? ครั้งนี้เราสูญเสียไปไม่น้อย แต่ก็อาจพูดได้ว่านี่เป็นชัยชนะของเราเช่นกัน ข้าจะให้ทหารนับจำนวนผู้บาดเจ็บและนำไปรักษา”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ “ข้าขอโทษ ข้าไม่ใช่ผู้บัญชาการที่ดีเลย”

เซียวหรูเซ่อพูดเบาๆ “ท่านเป็นเป้าหมายของศัตรู จะหาโอกาสบัญชาการทหารได้อย่างไร นอกจากนี้ท่านยังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่โดดเด่นอย่างแท้จริง เอาล่ะ พวกเรารีบไปที่ค่ายทหารกันก่อนเถอะ” นับตั้งแต่เธอรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทัศนคติของเธอที่มีต่อ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ท้ายที่สุดก็อย่างที่เขาว่าไว้ ‘อย่าหว่านปุ๋ยวิดน้ำใส่นาคนนอก[1]’ เธอจะคิดเสียว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นน้องสะใภ้ในอนาคตของเธอก็แล้วกัน แน่นอนว่าในหัวใจของเซียวหรูเซ่อ บางครั้งก็รู้สึกขมฝาดอยู่บ้างเล็กน้อย

ทันใดนั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามเหล่าทหาร เมื่อเขาเห็นว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์สบายดีก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก

ลูกศรชี้ชะตาเมื่อครู่นี้เป็นเขาเองที่ยิงออกมา ก่อนหน้านี้ ขณะที่เขาพยายามที่จะจัดการคู่เจ้านายลูกน้องนั่นด้วยธนูราชันของเขา ทีแรกเขาต้องการจะไล่ตามพวกมันไปต่อ และจัดการให้สิ้นซาก แต่ทว่า ในขณะที่เขากำลังจะก้าวขาต่อไปนั่นเอง เขาก็พลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่น่าพิศวง ในใจของเขาพลันรู้สึกกระสับกระส่าย และหวาดกลัวบางอย่างขึ้นมาทันทีอย่างไร้เหตุผล เขารีบวิ่งกลับออกจากป่าอย่างรวดเร็ว ทันเวลาได้เห็นการโจมตีหมายเอาชีวิตจากรอบด้านที่พุ่งเข้าหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์พอดี ในช่วงเวลาที่สำคัญนั้น เขาไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ธนูราชันถูกง้างขึ้นมาพร้อมกับใช้ทักษะสัมผัสมืดประสานเข้าไปทันที เห็นได้ชัดว่าวิชาประสานระหว่างมณียุทธ์ และมณีธาตุในครั้งนี้พลิกสถานกาณ์ทั้งหมดจากหน้ามือเป็นหลังมือด้วยการใช้ลูกศรเพียงดอกอย่างเดียว นั่นคือศรชี้ชะตาอย่างแท้จริง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองโจวเหว่ยชิงด้วยท่าทางที่อ่อนโยนผิดปกติ เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ขอบคุณ”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและคิดในใจอย่างลับๆ มีอะไรให้ขอบคุณ ข้าปกป้องผู้หญิงของข้า นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรือ?

เซียวหรูเซ่อยกนิ้วให้โจวเหว่ยชิง ลูกธนูที่น่าทึ่งดอกนั้นเป็นตัวตัดสินศึกในครั้งนี้อย่างแท้จริง มันช่างงดงามเหลือเกิน

เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่ค่อนข้างผ่อนคลายของพวกเขาฝั่งนี่ ทางด้านฝั่งศัตรูที่เพิ่งซุ่มโจมตีพวกเขาไปเมื่อสักครู่นั้นกลับกลายเป็นฉากที่เศร้าโศกและน่าสลดใจ

ผู้นำในครั้งนี้คือเด็กหนุ่มในชุดขาวที่ยิงศรไร้เสียงออกมา หลังจากหนีออกจากวงล้อมของทหารมาได้แล้ว จ้าวมณียุทธ์ทั้ง 5 คนก็ได้พบกับเจ้านายและลูกน้องคู่นี้

“เศษสวะ ไอ้พวกเศษสวะ! พวกเจ้ามีตั้งกี่คน กะอิแค่ฆ่าผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีมณี 2 ชุดคนนั้น แต่พวกเจ้าก็ยังล้มเหลวไม่เป็นท่า!”

จ้าวมณียุทธ์ระดับปรมะขั้นกลางที่ถือค้อนสงครามคู่กล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ฝ่าบาท ข้าต้องขออภัยด้วย ได้โปรดสงบสติอารมณ์เถิด ท่านก็เห็นด้วยตาตัวเองในระยะไกลๆ แล้ว ลูกศรนั่นปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับพลังมหาศาล พวกเราไม่มีทางจัดการกับมันได้แน่นอน ข้ากลัวว่าโจวสุ่ยหนิวจะอยู่ใกล้ๆ พวกเรา หากไม่รีบหนีตอนนั้น บางทีพวกเราทุกคนอาจต้องตายกันหมด”

ชายหนุ่มที่สวมชุดสีขาวนี้เป็นบุตรชายคนที่ 9 ของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรคาลิเซ ชื่อของเขาก็คือ ไป๋จิ่ว ในปีนี้เขามีอายุ 25 ปี จริงๆ แล้วเขามีมณียุทธ์ถึง 4 ดวง และยังเป็นหนึ่งในเจ้าชายที่โดดเด่นที่สุดในอาณาจักรคาลิเซ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังผู้บัญชาการของเหล่าจ้าวมณีแห่งอาณาจักรคาลิเซอีกด้วย ในครั้งนี้เขานำหน่วยจู่โจมบุกสังหารซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นการส่วนตัว อนิจจา ใครจะรู้ว่าแผนการณ์และความพยายามทั้งหมดของพวกเขาในครั้งนี้จะล้มเหลวไม่เป็นท่า

……………………………………………………..

[1]อย่าหว่านปุ๋ยวิดน้ำใส่นาคนนอก แปลว่า มีของดีก็ควรเก็บไว้กับตัว

“บ้าเอ้ย! นี่มันทักษะอะไรกันเนี่ย? ฝ่าบาท รีบหนีกันเถอะ เร็วเข้า” ลูกไฟจำนวนหนึ่งลอยขึ้นไปในอากาศในฝั่งตรงข้ามของเขา คราวนี้มีลูกไฟทั้งหมด 5 ลูก แม้ว่าจะเล็กกว่าครั้งก่อน แต่ก็ยังมีสีส้มแดง

คราวนี้โจวเหว่ยชิงไม่ได้พยายามที่จะยิงลูกไฟพวกนั้นแล้ว เขาง้างธนูราชันจนสุดแรง และยิงลูกธนูออกไปทีเดียว 3 ดอกอย่างรวดเร็ว ในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เมื่อใดที่ว่าง เขาก็มักจะไปเรียนรู้ทักษะการยิงธนูเร็วจากเซียวหรูเซ่อเสมอ แม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่แม่นยำเท่าอีกฝ่าย แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถเพิ่มอัตราความเร็วในการยิงของตนเองให้มากขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อความแข็งแกร่งของธนูราชันรวมเข้ากับความสามารถในการระเบิดทำลายล้างเป้าหมายของมัน เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องแม่นยำขนาดนั้น ตราบใดที่สามารถยิงธนูในระยะที่เหมาะสม นั่นก็เพียงพอแล้ว

ตามที่คาดไว้ เมื่อลูกธนูทั้ง 3 ถูกยิงออกไป ศัตรูก็ราวกับถูกโยนลงไปในหม้อน้ำร้อน ลูกไฟทั้งหมดที่ถูกบังคับให้ลอยขึ้นไปเริ่มร่วงหล่นลงมา แต่ไม่มีสักลูกเดียวที่พุ่งโดนเป้าหมายเช่นโจวเหว่ยชิง

ขณะนี้ ในระยะเพียง 50 หลาจากโจวเหว่ยชิง มีเด็กหนุ่ม 2 คนกำลังอยู่ในสภาพสกปรกมอมแมมราวกับโดน    เทกระจาด

หนึ่งในนั้นแต่งกายด้วยชุดสีขาวล้วนไร้ชุดเกราะ เขาถือธนูสั้นสีทองส่องสว่างในมือของเขา และบนข้อมือขวาก็ยังเรืองรองไปด้วยมณียุทธ์ 4 ดวง มณียุทธ์ทำจากหยก 2 ชนิด ชนิดแรกคือหยกหินมังกรที่เสริมความว่องไว และความคล่องตัว ส่วนอีกชนิดคือหยกอำพันที่เสริมความยืดหยุ่น ชายหนุ่มคนนี้มีรูปโฉมค่อนข้างหล่อเหลา แต่ทว่าในขณะนี้เขากำลังตกอยู่ในภาพที่ค่อนข้างน่าอนาถไปเสียหน่อย ผมสีทองจะค่อนข้างดึงดูดความสนใจและเข้ากันได้ดีกับธนูสั้นสีทองบนมือ

ที่ด้านข้างของชายหนุ่มคือคนที่ดูเหมือนจะเป็นลูกกระจ๊อกของเขา ชายคนนั้นแต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายธรรมดาทั่วไป ดูเหมือนว่าเขาจะอายุประมาณ 20 ปีเช่นเดียวกับผู้เป็นนาย และบนข้อมือซ้ายก็มีมณีธาตุทับทิมสีแดง 3 ดวงลอยวนอยู่ ส่วนลูกไฟสีส้มแดงเหล่านั้นก็น่าจะเป็นเขาที่ปล่อยออกมา

ภายใต้ความโกรธของโจวเหว่ยชิงที่ส่งผ่านมาทางธนูราชัน เจ้านาย และลูกน้องคู่นี้ต่างก็ตกอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงทุลักทุเลอย่างถึงที่สุด พวกเขาเกลือกกลิ้งไปมาขณะหนีหัวซุกหัวซุนออกจากที่เกิดเหตุ

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงประสบความสำเร็จในการกำราบ ‘ศรไร้เสียง’ จากด้านนี้ อีกด้านหนึ่งของสนามรบกลับกลายเป็นเรื่องราวที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ภายใต้การกำกับสั่งการของเซียวหรูเซ่อ กองทหารของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ไม่ยุ่งเหยิงโกลาหลอีกต่อไป เหล่าทหารต่างถูกจัดระเบียบเพื่อเตรียมพร้อมสู้กลับ อนิจจา กลุ่มศัตรูที่มีมากกว่า 10 คนนั้นล้วนเป็นจ้าวมณี และการต่อสู้กับคนที่มีปราณสวรรค์และทักษะธาตุนั้นค่อนข้างยากเกินไปสำหรับทหารธรรมดาๆ พวกเขาจึงไม่มีทางจะทำอะไรอีกฝ่ายได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้

“ผู้บัญชาการกองพัน หนีไป!” ในขณะนี้เสียงของเซียวหรูเซ่อก็ดังขึ้น การคุกคามของศรไร้เสียงได้หายไปแล้ว และในที่สุดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็สามารถผ่อนคลายได้เล็กน้อย

แม้ว่าพวกเขาจะชอบแข่งขันกันเอง แต่เซียวหรูเซ่อก็รู้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์สำคัญเพียงใดต่ออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเป็นคนรักของเหว่ยน้อยอีกด้วย

แม้คำเตือนของเซียวหรูเซ่อจะมาถึงพอดิบพอดี แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ต้องกลับเข้าสู่สถานะเตรียมสู้รบอีกครั้ง ไม่ใช่เธอไม่ต้องการจะล่าถอย แต่ทันทีที่ศรไร้เสียงหยุดยิงไปแล้ว จ้าวมณียุทธ์ 3 คนจากฝั่งตรงข้ามก็ได้พุ่งเข้ามาล้อมรอบเธอไว้แทนในชั่วพริบตา ในบรรดาคนที่รุมล้อมเธออยู่นั้น มี 2 คนเป็นจ้าวมณียุทธ์ที่มีทักษะประเภทความว่องไว และยังมีมณี 4 ดวงอีกด้วย

แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะประเภทความว่องไวแบบคู่ที่หายาก แต่เธอก็ยังคงมีมณีสวรรค์แค่ 2 ชุดและเป็นแค่จ้าวมณีสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับกลางเท่านั้น เมื่อเทียบกับศัตรูที่แต่ละคนที่มีมณีถึง 4 ดวง พวกเขาเหนือกว่าเธอทั้งในระดับปราณสวรรค์ และจำนวนศาสตรามณียุทธ์ สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือยิงกงจักรวายุออกไปอย่างรวดเร็วโดยใช้ความเร็วของเธอควบคู่ไปกับประสิทธิภาพของรองเท้าวายุประสานเพื่อป้องกันตัวเองจากการโจมตี อย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะหนีออกไปจากวงล้อมนี้ได้ ในเวลาเดียวกัน จ้าวมณีคนอื่นๆ ก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทันทีที่อีก 1 หรือ 2 คนเข้ามาร่วมวงต่อสู้ในครั้งนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อาจจะไม่สามารถปกป้องชีวิตของตนไว้ได้อีกต่อไป

เซียวหรูเซ่อก็เป็นกังวลมากเช่นกัน ในกองทัพของพวกเธอ ตอนนี้ไม่มีจ้าวมณีคนอื่นๆ เลย การซุ่มโจมตีของศัตรูเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและพวกมันก็โผล่มาเมื่อพวกเขากำลังจะถึงที่ตั้งค่ายทหาร ซึ่งนี่เป็นจุดที่การเฝ้าระวังของพวกเขาหละหลวมที่สุด หากไม่ใช่เพราะสัญชาตญาณระวังภัยและปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วของโจวเหว่ยชิง ลูกศรดอกแรกก็อาจจะทำร้ายซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไปแล้ว และตอนนี้กองทหารของพวกเราก็น่าจะถูกกำจัดไปอย่างไม่เหลือซากแล้ว

*เพล้ง* *เพล้ง* เกิดเสียงอาวุธประทบกันดังสะท้อนไปมาอย่างไม่หยุดหย่อนในขณะที่หน่วยทหารราบหนักซึ่งกำลังต้านศัตรูไว้ถูกกระแทกกลับอย่างต่อเนื่องด้วยค้อนสงครามขนาดมหึมาคู่หนึ่ง จ้าวมณียุทธ์ดับปรมะขั้นกลางที่ครอบครองมณี 5 ดวงผู้นั้นแข็งแกร่งเกินไป อีกทั้งพละกำลังและพลังป้องกันของเขาก็มีเหลือเฟือจนน่าตกใจ ค้อนสงครามทั้งสองชิ้นปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวขณะที่ชักนำปราณสวรรค์มายังศาตราวุธของเขา เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มทะลวงผ่านปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานมาแล้วและกำลังอยู่ในขั้นทะลวงพิภพ เขาจึงแค่กำลังเล่นขายของกับกองทหารราบหนักที่ยอดเยี่ยมของอีกฝ่ายได้อย่างสบายๆ มีเพียงลูกศรเร็วของเซียวหรูเซ่อเท่านั้นที่สามารถทำให้เขาเดือดร้อนได้บ้าง แต่ชายหนุ่มก็ยังคงเดินลากน่องช้าๆเพื่อมุ่งสู่เวทีการต่อสู้เล็กๆของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เมื่อเขามาถึงตัวเธอได้จริงๆ เวลานั้นทุกคนย่อมสามารถจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้

ทันใดนั้น จู่ๆ จ้าวมณียุทธ์ดับปรมะขั้นกลางคนนั้นก็ตะโกนส่งเสียงดังในขณะที่เขาเหวี่ยงค้อนคู่ของตนออกไป ร่างกายก็ดูเหมือนจะหมุนวนราวกับลมพายุ กองทหารราบหนักที่อยู่รอบตัวเขาถูกเหวี่ยงและลอยคว้างออกไป  จากนั้นชายหนุ่มก็กระโจนขึ้นสูง และพุ่งตัวเคลื่อนที่เข้ามาปิดระยะทางระหว่างทั้งคู่ได้ในชั่วพริบตาอย่างไม่น่าเชื่อ ค้อนสงครามทั้งสองชิ้นก็ถูกเหวี่ยงลงไปที่กลางศีรษะของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทันที ในขณะเดียวกันจ้าวมณียุทธ์อีก 2 คน ก็พุ่งเข้ามาร่วมวงด้วย เมื่อรวมกับจ้าวมณียุทธ์ทั้ง 3 คน ที่ล้อมอยู่รอบๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ พวกเขาทั้งหมดจึงกลายเป็นวงล้อมที่สมบูรณ์แบบ ปิดกั้นการหลบหนีของเธอไว้ได้ทุกทิศทาง

พวกเขาร่วมมือกันได้ราบรื่นอย่างไม่น่าเชื่อ และการโจมตีของคู่แฝดค้อนสงครามที่ฟาดลงมาพร้อมกับการโจมตีจากคนอื่นๆ ในทุกทิศทางนั้นล้วนแล้วแต่เป็นการตัดสินชะตาชีวิตของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้แล้ว

“ไม่…มันจบแล้ว…” เซียวหรูเซ่อหลับตาอย่างสิ้นหวัง แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเป็นคู่แข่งของเธอ แต่เธอก็ทนดู   ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกทุบเป็นเนื้อเละๆ ไม่ไหว

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เองก็สิ้นหวังเช่นกัน เธอลองคิดถึงทุกกลยุทธ์ในหนังสือแล้ว แต่ก็ไม่มีข้อไหนเลยที่สามารถช่วยเธอได้ในสถานการณ์เช่นนี้ เป้าหมายของพวกมันก็คือเธอ และฝ่ายตรงข้ามก็ได้วางแผนการซุ่มโจมตีไว้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น เธอเองก็ค่อนข้างขาดประสบการณ์การต่อสู้ ในชั่วพริบตานี้ ราวกับว่ากลิ่นหอมกำลังเลือนหาย หยกก็พลันจะแตกสลาย[1]

ทว่าช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังก้องขึ้นบนท้องฟ้าทันที เสียงระเบิดดังปะทุขึ้นเมื่อลูกศรสีดำพุ่งเข้ามากระแทกเข้ากับค้อนสงครามที่กำลังเหวี่ยงลงมาหาเธออย่างพอดิบพอดี แรงกระแทกที่รุนแรงนั้นหยุดทุกการคุกคามของศัตรูได้ในได้ทันที ยิ่งไปกว่านั้นที่ใจกลางของการระเบิดนั้นยังมีหนวดสีดำ 12 เส้นระเบิดออกมาพร้อมกันกับลูกธนูดอกนั้นราวกับสายฟ้า นั่นจึงทำให้ศัตรูทั้งหมดอยู่ในรัศมี 25 หลา รวมถึงจ้าวมณียุทธ์ระดับปรมะขั้นกลางถูกหนวดพวกนั้นเลื้อยรัดเอาไว้แน่น จ้าวอัญมณีฝั่งตรงข้ามทั้งหมดถูกการซุ่มโจมตีนั้นถูกกักตัวไว้ชั่วขณะหนึ่ง

สำหรับจ้าวมณียุทธ์ดับปรมะขั้นกลางนั้น เขายังค่อนข้างจะอยู่ดีเนื่องจากตัวเขาเป็นศูนย์กลางของแรงดึงจากหนวดพวกนั้น อย่างไรก็ตาม อีก 6 คนที่อยู่รอบๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากการจู่โจมอย่างกะทันหัน จ้าวมณี 3 คนถูกดึงเข้ามาใกล้ทันทีด้วยทักษะธาตุมืดของโจวเหว่ยชิง และโชคร้ายที่หนึ่งในนั้นดันเอาหัวไปกระแทกกับค้อนสงครามขนาดใหญ่ของฝ่ายเดียวกัน แม้ว่าร่างกายของจ้าวมณียุทธ์นั้นจะแข็งแกร่งมาก แต่หากหัวกระแทกโดนโลหะแข็งๆ ก็ยังกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าสยดสยองได้อยู่ดี พริบตาหลังจากนั้นเขาก็หมดสติไปและมีเลือดไหลออกจากศีรษะทันที อีก 4 คนที่เหลือนั้นแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานแรงดึงไว้ได้ แม้ว่าการโจมตีของพวกเขาจะถูกขัดจังหวะไปเล็กน้อย อีกทั้งยังสะดุด 2-3 ก้าวเข้าไปใกล้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มากขึ้น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะไม่คว้าโอกาสดีๆที่จะได้กำจัดศัตรูเช่นนี้ได้อย่างไร ราวกับภูเขาไฟที่อยู่เฉยๆรอวันปะทุมาเนิ่นนานเกินไป จู่ๆเธอก็ระเบิดพลังออกมาทันที

…………………………………………………….

[1]กลิ่นหอมเลือนหาย หยกกำลังแตกสลาย หมายถึง ถึงคราวจะต้องล้มหายตายจาก

โจวเหว่ยชิงรู้ในทันทีว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อสังหารซ่างกวนปิงเอ๋อร์โดยเฉพาะ แม้ว่าจ้าวมณียุทธ์เหล่านี้จะแข็งแกร่งมาก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทำลายทหารทั้งกองทัพ จำนวน 10,000 คน หากคนพวกนี้กล้าที่จะปรากฏตัว เป้าหมายของพวกเขาอาจเป็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์เท่านั้น คนเหล่านี้น่าจะมาจากอาณาจักรคาลิเซอย่างไม่ต้องสงสัย หากส่งจ้าวมณียุทธ์ที่แข็งแกร่งออกมามากมายขนาดนี้ พวกเขาย่อมต้องหมายจะเอาชีวิตหญิงสาวให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขยับตัวหลบหลีกไปมาได้อย่างชำนาญ เธอพยายามจะหลบศรไร้เสียงอีกดอก แต่ทว่ามันอยู่ใกล้เกินไปจนทำให้เธอถึงขั้นเหงื่อตกเลยทีเดียว สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้วศรไร้เสียงประเภทนี้ยากเกินไปที่จะหลีกเลี่ยงได้ แม้แต่จ้าวมณีที่คล่องแคล่วอย่างเธอก็ยังต้องคอยเพ่งสมาธิทั้งหมดเพื่อหลบหลีกลูกศรพวกนั้น และความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายได้

จู่ๆ ก็เสียงมีเสียงหวีดหวิวดังแหวกอากาศออกมา จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงระเบิด จ้าวมณียุทธ์ระดับปรมะขั้นกลาง ผู้ครอบครองมณี 5 ดวง ในแนวหน้าชะลอตัวลงชั่วขณะในทันทีเมื่อมีลูกธนูพุ่งเข้าหาค้อนสงครามของเขา และนั่นก็ส่งผลต่อความเร็วของเขาอย่างมาก ด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้ นั่นย่อมเป็นลูกธนูที่ยิงมาจากธนูอุษาม่วงแน่นอน แต่ทว่ามันไม่ได้ถูกยิงโดยโจวเหว่ยชิง แต่กลับเป็นเซียวหรูเซ่อ

“อย่าตกใจ! จัดระเบียบ! ทหารราบหนักเดินไปด้านหน้าต้านพวกศัตรู! พลธนูขยับไปด้านข้าง โจมตีข้าศึกจากแนวต้นไม้ ตั้งสติ! เริ่มยิงได้ทันที! ทหารราบเบาขนาบข้าง ล้อมรอบศัตรูไว้!” เซียวหรูเซ่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งอย่างไม่หยุดหย่อน แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผู้บัญชาการกองพันของพวกเขากำลังตกอยู่ในสถาการณ์ย่ำแย่ เซียวหรูเซ่อก็ยังคงสงบนิ่ง

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่มีเวลาสนใจเกี่ยวกับคนอื่นแล้ว เธอกลายเป็นเป้าที่ชัดเจนเกินไป และยังเป็นจุดหมายของศัตรูในครั้งนี้ด้วย ศัตรูที่ซ่อนอยู่ยังคงใช้ศรไร้เสียงกับเธออย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งนั่นจำกัดความสามารถของเธอให้ไม่สามารถขยับตัวทำอะไรได้ และเธอก็ไม่สามารถโต้กลับได้เลย สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือใช้ประโยชน์จากรองเท้าวายุประสานเพื่อเคลื่อนที่ไปรอบๆ อย่างรวดเร็วเพื่อหลบการโจมตีต่อเนื่องของศรไร้เสียง เธอคาดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในขณะนี้เป็นจ้าวมณียุทธ์ระดับปรมะขั้นแรกและครอบครองมณีอย่างน้อย 4 ดวง ซึ่งพวกเขาอาจจะยังมีเล่ห์เหลี่ยมซ่อนไว้อีกมาก

ไม่ว่าจะอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์หรืออาณาจักรคาลิเซ ทั้งคู่มีจ้าวมณีน้อยกว่า 100 คน จำนวนจ้าวมณีที่ปรากฏตัวที่นี่เป็นเกือบ 1 ใน 4 ของจ้าวมณีทั้งหมดในอาณาจักรคาลิเซ ดังนั้นทุกคนจึงเห็นได้ชัดถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของอาณาจักรคาลิเซที่ต้องการจะกำจัดซ่างกวนปิงเอ๋อร์

“เจ้าอ้วนน้อย! ฆ่านักธนูที่ซ่อนอยู่!” เสียงของเซียวหรูเซ่อดังก้องในหูของโจวเหว่ยชิง

เมื่อเผชิญหน้ากับสนามรบที่วุ่นวายเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงก็ถูกเซียวหรูเซ่อเตือนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือกำจัดภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด นั่นคือนักธนูที่ซ่อนตัวอยู่ และยิงศรไร้เสียงพวกนั้นออกมา ความสามารถที่โดดเด่นที่สุดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์คือความเร็ว และความคล่องแคล่วของเธอ ตราบใดที่เธอไม่ถูกศรไร้เสียงรบกวน มันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะหลบเลี่ยงจ้าวมณียุทธ์พวกนั้น

โจวเหว่ยชิงกระโจนออกไปที่บริเวณป่าริมถนนอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความโกลาหล ไม่มีใครให้ความสนใจกับทหารเพียงคนนี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะกระโจนเข้าป่าด้านข้างไปด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์

วงล้อทักษะธาตุปรากฏต่อหน้าโจวเหว่ยชิงอีกครั้ง ครั้งนี้เขาทั้งกังวลทั้งตื่นเต้น แต่ทว่าเขาไม่ได้หวาดกลัวอีกต่อไป หลังจากผ่านการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์และการกักเก็บทักษะ โจวเหว่ยชิงได้รับความสามารถใหม่ๆ มามากมาย ซึ่งพวกมันสามารถช่วยให้เขาเอาตัวรอดได้ในสนามรบ ถึงแม้เด็กหนุ่มจะไม่รู้ว่าศัตรูที่ซ่อนอยู่เป็นอย่างไร แต่ก็ประเมินได้ว่ามันอาจซ่อนตัวในทิศที่ศรไร้เสียงถูกยิงออกมา ขณะที่คิดเขาก็เคลื่อนผ่านป่าอย่างรวดเร็ว นักธนูที่ซ่อนอยู่นั้นคงเปลี่ยนตำแหน่งตลอดเวลาในขณะที่ยิงศรไร้เสียงออกมา แต่ยังไงซะพวกมันก็ต้องมีร่องรอยเหลือทิ้งไว้เสมอ

ด้วยการสนับสนุนจากทักษะธาตุลม โจวเหว่ยชิงกระโจนออกไปได้รวดเร็วมาก ประสาทสัมผัสของเขาขยายขอบเขตไปถึง 20 เมตร ตราบใดที่ยังมีร่องรอยหลงเหลือ เด็กหนุ่มก็จะสามารถพบตัวพวกมันได้ เมื่อมาถึงจุดนี้ ประสาทสัมผัสที่พัฒนาขึ้นจากพลังของเสือดำกำลังถูกพิสูจน์ความสามารถของมัน

ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบและสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ใกล้เข้ามา ทันใดนั้นเขาก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันทีโดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย ร่างของเขากระทบพื้นเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะกระโดดขึ้นและขยับหนีอีกครั้ง ชั่วพริบตาเดียวเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนตำแหน่งไปแล้ว 2 ครั้ง ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ศรไร้เสียงก็พุ่งทะลุผ่านต้นไม้ใหญ่ตรงตำแหน่งที่เขาเคยยืนอยู่พอดิบพอดี

โจวเหว่ยชิงคว้าธนูอุษาม่วงของตนไว้ด้วยมือซ้าย และดึงลูกธนูออกจากแล่ง และในชั่วพริบตาเดียวเขาก็ยิงธนูออกไปด้วยสัญชาตญาณ แน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่ได้เล็งด้วยซ้ำ แม้รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะยิงโดนเป้าหมายของเขาในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อได้พึ่งพาพลังของธนูอุษาม่วงที่น่าเกรงขาม ลูกธนูก็พุ่งออกไปพร้อมกับเสียงหวีดแหลมสูงเมื่อมันเสียดสีกับอากาศ ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงนี้อาจจะรู้สึกหวาดกลัวจนขนหัวลุก แม้เด็กหนุ่มจะมีประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลม แต่เนื่องจากโจวเหว่ยชิงยังคงถูกศรไร้เสียงบีบคั้นจึงยังไม่พบอะไรที่เป็นประโยชน์ ทว่าเขาก็สัมผัสได้ว่าตนอยู่ห่างจากศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ถึง 100 หลา ตราบใดที่สามารถก่อกวนการยิงของศัตรูได้ แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่เขาก็มีโอกาสที่จะปิดช่องว่างเหล่านั้นเพื่อเข้าถึงตัวศัตรูได้แล้ว

แน่นอนว่าหลังจากที่ลูกธนูของเขาถูกยิงออกไป ศัตรูที่ซ่อนอยู่ก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ เสียงสาปแช่งด้วยความโกรธก็ดังขึ้นในทันทีหลังจากนั้น “บ้าเอ้ย! นั่นคือการ ‘ยิงทะยานสวรรค์’ ในตำนานหรือไม่? กล้าดียังไงมาข่มขู่ข้าแบบนี้ เสี่ยวเย่เย่ ยิงมันให้ตายซะ!”

“อ๊า! นายน้อย ระยะการยิงของข้าไม่เพียงพอขอรับ รัศมีการยิงของข้าอยู่ที่ 50 หลา แต่ตอนนี้เขาอยู่ห่างออกไปกว่า 70 หลา”

“เจ้าโง่!!! ทำไมเจ้าไม่บอกศัตรูไปเลยล่ะว่าจะหาเราได้จากที่ไหน หา!!? ดูสิตอนนี้มันอยู่ห่างไปแค่ 50 หลาแล้ว! ระ เร็วมาก!”

ในระยะเวลาสั้นๆ นั้นเอง เมื่อทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน โจวเหว่ยชิงก็กระโดดและพุ่งทะยานไปข้างหน้าราวกับเสือดาว เขาไม่ได้วิ่งเป็นเส้นตรง แต่กลับใช้เส้นทางคดเคี้ยวไปมา ใช้กิ่งไม้และพุ่มไม้รายรอบปกปิดร่างกายของตนในขณะที่พุ่งตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ

*หวือ* ศรไร้เสียงอีกดอกพุ่งเข้าหาเขา นักธนูที่ซ่อนเร้นอยู่นั้นแม่นยำอย่างแท้จริง โจวเหว่ยชิงใช้ความแข็งแกร่งและความเร็วทั้งหมดของเขาในการพยายามหลบหลีกแล้ว แต่ลูกธนูพวกนั้นก็ยังสามารถวิ่งไล่ตามตนมาได้ เนื่องจากระยะทางใกล้มากขึ้น ความเร็วของลูกศรก็เร็วขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตามในขณะที่ลูกศรนั้นกำลังจะพุ่งทะลุร่าง โจวเหว่ยชิงก็หายตัวไปในชั่วพริบตา

โจวเหว่ยชิงกลัวตายอยู่เสมอ ถ้าจะให้เขากล้าเสี่ยงชีวิตวิ่งเข้าป่าเพื่อค้นหาศัตรูที่เร้นกายอยู่แบบนี้ สิ่งที่หวังพึ่งพาที่สุดก็ย่อมเป็นทักษะธาตุมิติทักษะแรกของเขา ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา ด้วยทักษะนั้น แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้ อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าจะสามารถหลบหนีเอาตัวรอดได้

ขณะที่โจวเหว่ยชิงวิ่งหลบศรไร้เสียงอยู่นั้น ฉับพลันเขาก็เห็นลูกไฟสีส้มแดงขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ฟุตลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะพุ่งตรงเข้าหาเขาราวกับดาวหางที่กำลังลุกไหม้เป็นไฟ

ศัตรูไม่ได้มีเพียงแต่จ้าวมณียุทธ์เท่านั้น พวกเขายังมีจ้าวมณีธาตุอีกด้วย!

ในวันแห่งโชคชะตานั้น โจวเหว่ยชิงจำได้ว่าเขาเกือบจะถูกบอลอัคคีของตี้ฝูหยาเผาผลาญจนสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่ทว่าลูกไฟตรงหน้าเขานั้นแข็งแกร่งกว่าของตี้ฝูหยาหลายเท่านัก! เห็นได้ชัดเจนมากจากขนาดและรูปลักษณ์ของมัน

โจวเหว่ยชิงไม่กล้าที่จะดูถูกพลังของลูกไฟดวงนั้น เขารีบพาดธนูอุษาม่วงไว้บนหลังอย่างรวดเร็ว ไหลเวียนพลังปราณสวรรค์เพื่อปลดปล่อยมณีหยกน้ำแข็งให้กลิ้งเข้าสู่ธนูราชันในมือทันที ในเวลาเดียวกันเด็กหนุ่มก็เรียกใช้ทักษะธาตุลมเพื่อเพิ่มความเร็วสูงสุดให้ร่างกาย เขาง้างธนูราชันขึ้นจนสุดแขนและยิงออกไปอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า

เสียงหวีดแหลมจากการเสียดสีของอากาศดังขึ้น ครั้งนี้มันรุนแรงกว่าธนูอุษาม่วงหลายเท่านัก ในขณะเดียวกัน ร่างของโจวเหว่ยชิงก็วืดตกลงไปที่พื้นอีกครั้งและครั้งนี้เขาก็หลบศรไร้เสียงได้อย่างหวุดหวิด

*ตูม* ลูกไฟขนาดยักษ์ปะทะเข้ากับลูกธนูที่เขาปล่อยออกไปอย่างจัง ส่งผลให้เกิดการระเบิดกลางอากาศ และทำให้บนท้องฟ้าเกิดเศษสะเก็ดลูกไฟตกกระจายไปทั่ว ภายในรัศมี 30 หลา เปลวไฟสีส้มสาดกระจายไปทั่วบนท้องฟ้า ตัดขาดการมองเห็นของคนทั้งสองฝั่งอย่างสมบูรณ์

โจวเหว่ยชิงไม่ได้อยู่เฉยๆ เขากระโดดลงบนพื้น และง้างธนูราชันขึ้นอีกครั้งก่อนจะยิงออกไปในทิศที่ได้ยินเสียงศัตรูพูดคุยกัน

ก่อนหน้านี้การโจมตีของเขาถูกขัดขวางไว้ด้วยศรไร้เสียงของศัตรู และเด็กหนุ่มก็ถูกปั่นประสาทมานานมากแล้ว ในที่สุดเด็กหนุ่มก็มีโอกาสได้หายใจหายคอเสียที ยิ่งไปกว่านั้นคือในขณะนี้ศัตรูก็ไม่สามารถมองเห็นเขาได้ โจวเหว่ยชิงจะไม่รีบคว้าโอกาสดีๆแบบนี้ไว้ได้อย่างไร? เพียงแค่เรียกธนูราชันออกมาอย่างเดียวก็ผลาญปราณสวรรค์ของเขาไปเกือบครึ่งแล้ว แต่เพราะนำมันออกมาแล้ว เขาจึงต้องใช้ประโยชน์จากมันให้ถึงที่สุด

*ตูม* เสียงละเบิดอีกลูกดังขึ้นกึกก้องอยู่ในระยะไกลๆ แรงระเบิดสะเทือนเลื่อนลั่นของธนูราชันนั้นยากจะระงับได้อย่างแท้จริง มันให้ผลตรงกันข้ามกับศรไร้เสียง ลูกธนูแต่ละลูกที่ยิงออกมามักจะพุ่งออกไปพร้อมกับเสียงดังกังวาลอย่างน่าพิศวง มันคล้ายจะเป็นเสียงหวีดร้องโหยหวน และทันทีที่มันสัมผัสกับเป้าหมาย มันก็จะระเบิดตัวเองอย่างรุนแรงทันที นอกจากนี้ความเร็วของลูกธนูที่ยิงมาจากธนูราชันนั้นเร็วเกินกว่าที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ราวกับว่าทันทีที่ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนของสายธนู เมื่อเสียงหวีดร้องโหยหวนจากการเสียดสีของลูกธนูกับอากาศสิ้นสุดลง เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องออกมาทันทีจากระยะไกลๆ

…………………………………………………………

“ดูเหมือนว่านี่เป็นขาขวาของปีศาจแน่นอน วะฮ่าๆ!!!” โจวเหว่ยชิงกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ อย่างมีความสุข แม้ว่าตอนนี้การควบคุมขาขวาให้ถูกต้องนั้นเป็นเรื่องยากมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังค่อนข้างมีปัญหาเมื่อเริ่มขยับเคลื่อนไหว แต่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมันก็ชดเชยให้กับข้อเสียทั้งหมดที่ว่ามาแล้ว ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็แค่ต้องค่อยๆฝึกฝนไปเรื่อยๆ เพื่อควบคุมพลังอันยิ่งใหญ่นั้นให้ได้ แต่ก็อย่างว่า ใครจะมีขาขวาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้อีกล่ะ? นี่จะต้องกลายเป็นเป็นอาวุธลับที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขาอย่างแน่นอน!

ในระหว่างการเดินทางที่ยาวนานและแสนน่าเบื่อ โจวเหว่ยชิงกลับกลายเป็นคนที่ยุ่งวุ่นวายที่สุด เขาติดตามกองทหารอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่ได้เข้าไปร่วมขบวนกับพวกเขา แทนที่จะเดินไปข้างหน้าตรงๆ โดยใช้เท้าแบบปกติ เด็กหนุ่มกลับใช้ขาขวาของปีศาจตลอดเวลา พยายามปรับเปลี่ยนและควบคุมให้เข้ากับส่วนที่เหลือของร่างกาย เพื่อให้แน่ใจว่าตนสามารถควบคุมพลังของมันได้ หลังจากผ่านไป 10 วันเต็ม เขาก็ปรับตัวเข้ากับมันได้ในที่สุด แม้พูดไม่ได้เต็มปากว่าสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ และก็ยังสามารถเรียกใช้พลังของมันได้ในทุกครั้งที่จำเป็น

หลังจากทดลองหลายๆ ครั้ง โจวเหว่ยชิงก็ค้นพบว่าความแข็งแกร่งของขาขวาของเขานั้นช่างน่าหวาดกลัวจริงๆ เมื่อชักนำปราณสวรรค์เข้าสู่ส่วนขาขวา มันจะมีพละกำลังจะเพิ่มขึ้นมากกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกายถึง 5 เท่า สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือขณะที่ใช้มันโจมตี เด็กหนุ่มไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ เลย นั่นจึงนับว่าเป็นอาวุธที่น่ากลัวอีกอย่างเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาค้นพบความจริงข้อนั้น เด็กหนุ่มก็ต้องรู้สึกตกใจเล็กน้อย และรีบตรวจสอบ ‘ขาที่สาม’ ตรงหว่างขาของตนเองอย่างระมัดระวังทันทีเพราะกลัวว่ามันจะไร้ความรู้สึกไปด้วย โชคดีที่เขารับรู้ได้ว่ามันไม่ได้รับผลกระทบจากขาขวาของปีศาจ โจวเหว่ยชิงจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและผ่อนคลาย ถ้าขาที่สามไร้ความรู้สึกไปด้วย เขาก็คงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว…

กองทัพเดินขบวนไปทางทิศใต้อย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์จะมีอาณาเขตไม่ใหญ่มาก แต่พวกเขาก็ยังคงใช้เวลากว่า 20 วันจึงจะเข้าใกล้แนวหน้า

“พวกเราแค่ต้องเดินหน้าต่อไปอีก 300 ไมล์ก็จะถึงค่ายทหารในแนวหน้าแล้ว” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดกับโจวเหว่ยชิงขณะที่พวกเขาเดินทางไปด้วยกัน แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีอัธยาศัยดีมาก แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ใจร้ายหรือทำอะไรรุนแรงกับเขาอีก เพียงแค่ปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาธรรมดาๆ

โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ชัดว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผ่อนคลายลงเล็กน้อยหลังจากเธอพูดคำเหล่านั้นจบ เขารู้จากเซียวหรูเซ่อว่านี่เป็นครั้งแรกที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้เป็นผู้ควบคุมดูแลงานที่ได้รับมอบหมายดังกล่าว และตอนนี้เธอเกือบจะทำสำเร็จแล้ว จึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

ท้ายที่สุดแล้วซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ถือว่าเป็นถึงสมบัติประจำชาติของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ดังนั้นแม้ว่าเธอจะอยู่ในแนวหน้า ผู้เป็นใหญ่ในกองทัพก็ไม่สามารถสั่งการใดๆ ที่จะทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายได้ ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวมณีสวรรค์ที่พลังยังไม่เติบโตเต็มที่ก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงอยู่มาก หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ มันจะกลายเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของอาณาจักรและแผนการในอนาคตของพวกเขา

“ปิงเอ๋อร์ ข้าอยากจะคุยกับเจ้า” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาแล้วพูดว่า “พูดมา”

“เมื่อเราไปถึงค่ายทหาร ปล่อยข้ากลับไปที่กองพันกับทหารคนอื่นๆ ข้าอยากออกไปต่อสู้และฆ่าศัตรูในสนามรบ” โจวเหว่ยชิงไม่ได้ล้อเล่น เขารู้ว่าถ้าเขาติดตามซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาคงจะไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมการต่อสู้จริงๆ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์แปลกใจเล็กน้อย “เจ้าไม่ต้องการติดตามข้าแล้วใช่ไหม?”

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังจะอธิบาย ทันใดนั้นการแสดงออกของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เท้าทั้งสองของเขาเหยียบลงบนโกลนม้า ใช้มันเป็นแกนหมุนเพื่อเหวี่ยงร่างกายไปด้านข้าง โจวเหว่ยชิงกระโจนออกไปรวบร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่กำลังทำท่าทางหงุดหงิดไว้ในอ้อมแขนของเขา แรงดึงของเด็กหนุ่มทำให้เธอร่วงตกลงจากหลังม้า

*ปั่ก* ในเสี้ยววินาทีถัดมาลูกศรดอกหนึ่งก็โฉบผ่านร่างของพวกเขาไป ลูกศรดอกนั้นเกือบจะเฉียดโดนพวกเขา ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าไปปักคาบนถนนข้างๆ หากโจวเหว่ยชิงมีปฏิกิริยาตอบสนองช้าเพียงเล็กน้อย ลูกศรดอกนั้นคงจะแทงทะลุผ่านร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไปแล้วแน่นอน

“ศัตรูลอบโจมตี!!!!” โจวเหว่ยชิงตะโกนเสียงดังขณะที่กอดซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอาไว้และกระโดดหลบเข้าไปซ่อนที่ใต้ท้องม้ากับเธอ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มีสติขึ้นมาทันที และทั้งคู่ก็นึกถึงบางอย่างพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ศรติดตามไร้เสียง

ก่อนที่ลูกศรดอกนั้นจะพุ่งตรงเข้ามา มันไม่ได้ส่งเสียงใดๆ และไม่ได้เสียดสีกับแรงต้านอากาศเลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้นด้วยพลังปราณสวรรค์ขั้นที่ 8 ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอก็ไม่ควรจะพลาดเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงสามารถหลบได้เพียงเพราะสัมผัสได้ถึงอันตรายในหัวใจของตนเอง และเขามีปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยการพุ่งเข้าไปช่วยเธอโดยไม่รู้ตัว นี่ไม่ใช่สัญชาตญาณของมนุษย์ แต่เป็นสัญชาตญาณของสัตว์ป่า หรือก็คือเสือดำตัวใหญ่นั้นนั่นเอง

“นี่ไม่ใช่ศรติดตามไร้เสียง มันน่าจะเป็นศรไร้เสียงธรรมดา ไม่เช่นนั้นข้าก็ควรจะโดนมันเล่นงานไปแล้ว เจ้าปล่อยข้า” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้โจวเหว่ยชิงรีบถอดหมวกลมออกจากศีรษะเพื่อใช้เป็นเกราะป้องกัน แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเขา แน่นอนว่าตอนนี้เธอสวมเสื้อเกราะ และตอนนี้การกอดเธอเอาไว้ก็ไม่ค่อยสบายตัวนักเพราะเกราะแข็งๆ นั่น

“เราใกล้จะถึงที่ตั้งค่ายหลักของเราแล้ว จะมีการซุ่มโจมตีจากศัตรูได้อย่างไร?” โจวเหว่ยชิงกล่าวเมื่อเริ่มโคจรพลังปราณสวรรค์ นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่จะได้เผชิญหน้ากับศัตรูจริงๆ และถ้าบอกว่าไม่รู้สึกกังวลเลย นั่นก็คงจะเป็นเรื่องโกหกพกลม

ทันใดนั้น ประสาทสัมผัสของโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงยังไม่ได้ปล่อยมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และกระชากเธอเกลือกกลิ้งไปอีกทางทันที *ปั่ก* เลือดพุ่งออกมาจากตำแหน่งที่พวกเขาทั้งคู่เพิ่งถลาออกมา ม้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกยิงและลูกธนูดอกหนึ่งก็แทงทะลุผ่านมายังจุดที่ทั้งสองคนเคยอยู่อย่างรุนแรงหมายเอาชีวิต

ในเวลานี้ความโกลาหลเกิดขึ้นในขบวนทัพทันที ขณะที่พลธนูต่างก็กวาดยิงธนูออกไปในบริเวณรอบๆ ทหารราบส่วนที่เหลือก็ร่วมใจกันตั้งแถวล้อมรอบพื้นที่อย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องผู้บัญชาการของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้มีเพียงเสียงระเบิดและเสียงกรีดร้องเท่านั้น โจวเหว่ยชิงพาซ่างกวนปิงเอ๋อร์วิ่งวกวนไปมาในกลุ่มผู้คน เธอปลดปล่อยมณีสวรรค์ของเธอออกมาทันทีและกระโจนออกจากอ้อมกอดของเขา แม้ว่าเธอจะสวมชุดเกราะทว่าเธอก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายลมขณะที่เธอกระโจนออกไป

ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็เห็นศัตรูได้อย่างชัดเจน พวกมันมีไม่มากนัก มีจำนวนแค่เพียงประมาณ 10 คนเท่านั้น แต่ทว่าพวกมันกลับเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่น่าประหลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่พุ่งเข้าปะทะกับทหารแนวหน้า มือทั้งสองข้างของเขาถือค้อนสงครามที่มีขนาดใหญ่มาก แต่ละอันใหญ่เท่าโต๊ะตัวหนึ่งเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังแผ่กลิ่นอายที่ดูชั่วร้ายออกมาอีกด้วย เมื่อลูกธนูหลายดอกพุ่งเข้าหา เขาก็สามารถปัดมันทิ้งไปได้ง่ายๆ และไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ชายหนุ่มได้เลย ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็มีทหารมากกว่า 10 นายที่เสียชีวิตอย่างน่าสงสารด้วยค้อนสงครามขนาดมหึมานั่น

คนๆ นี้ดูเหมือนจะอายุมากกว่า 40 ปี เขามีใบหน้าที่ดูมอมแมมและหยาบกร้าน ร่างกายส่วนบนเปลือยเปล่าอ เผยให้เห็นร่างกายที่แข็งแกร่ง ผิวกายสีคล้ำแดด และกล้ามเนื้อที่แข็งนูนออกมาเป็นก้อนๆ อย่างน่าเหลือเชื่อ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของโจวเหว่ยชิงมากที่สุดคือข้อมือขวาของเขา บนนั้นมีมณียุทธ์ 5 ดวงลอยวนล้อมรอบอยู่อย่างชัดเจน

มณียุทธ์ของอีกฝ่ายประกอบด้วยสี 2 สี ครึ่งหนึ่งเป็นหยกเหลือง ขณะที่อีกครึ่งเป็นหยกน้ำแข็ง หยกเหลืองเป็นตัวแทนของการป้องกัน และความอึดทนของร่างกาย ส่วนหยกน้ำแข็งนั้นแสดงถึงความแข็งแกร่ง ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาดูดุร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าคนๆ นั้นต้องเป็นจ้าวมณีระดับปรมะขั้นกลาง และขณะนี้มณียุทธ์ 2 ใน 5 ดวงของอีกฝ่ายกำลังส่องประกายด้วยแสงระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่าค้อนนั่นเป็นผลมาจากศาสตรามณียุทธ์ของเขา

ข้างๆ ชายหนุ่มยังมีพรรคพวกอีก 12 คน ทุกคนล้วนเป็นจ้าวมณียุทธ์ และแต่ละคนก็มีอาวุธแตกต่างกันไป ในนั้นมี 4 คนที่มีมณี 4 ดวง ส่วนคนที่เหลือต่างก็มีมณี 3 ดวง ทั้ง 12 คนขยับเข้ามาพร้อมๆ กัน ใช้กำลังกวาดพลทหารที่เผชิญหน้ากับพวกเขาทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ห่าลูกศรที่หลั่งไหลเข้าไปหาไม่มีผลอะไรกับฝ่ายนั้นมากนัก เนื่องจากพวกเขาสามารถมุ่งตรงไปยังซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างง่ายดาย

…………………………………………………………………

ด้วยความเร็วฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมของเหล่าทหารกว่าหมื่นนายที่กำลังยกพลเดินเลียบไปตามถนนเส้นหลัก ของป่าดารา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยทหารราบหนักที่ต้องชะลอความเร็วโดยรวมของพวกเขาลงเพื่อให้หน่วยอื่นตามทันนั้น จะใช้เวลาอย่างน้อย 20 วันเพื่อไปถึงที่ชายแดน

เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าโจวเหว่ยชิงเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาจึงได้รับมอบม้าศึกหนึ่งตัว เด็กหนุ่มจึงขี่มันให้วิ่งเหยาะๆอยู่ข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาเรียนรู้วิธีขี่ม้าเองโดยธรรมชาติ แม้อาจจะบอกไม่ได้ว่าโจวเหว่ยชิงมีทักษะในการขี่ม้าที่ดีเยี่ยม แต่อย่างน้อยเขาก็มีความสามารถเพียงพอที่จะป้องกันตัวเองไม่ให้ตกลงไปจากหลังม้า จอมเจ้าเล่ห์น้อยตนนี้เพิ่งจะได้เปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ประจำกายครั้งยิ่งใหญ่ เด็กหนุ่มไม่เพียงแต่สวมชุดเกราะหนังที่แสดงสถานะนายหมู่ แต่ธนูของเขาก็ไม่ใช่ธนูยาวธรรมดาๆ อีกต่อไป

ในตอนเช้าก่อนที่พวกเขาจะออกจากค่าย เซียวหรูเซ่อให้ทหารนำธนูอุษาม่วงคันใหม่ และแล่งธนู 4 อันพร้อม  ลูกศรชนิดพิเศษมามอบให้กับเขาด้วย เมื่อรับรู้ว่าร่างกายของโจวเหว่ยชิงมีศักยภาพเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก เธอจึงมอบธนูอุษาม่วงที่มีคุณภาพสูงกว่าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ให้ ธนูคันนั้นทำมาจากไม้ดาราที่มีอายุถึง 500 ปี ตัวธนูนั้นแข็งแกร่งและยืดหยุ่นมาก ความต้านทานแรงดึงนั้นเกือบจะเป็น 2 เท่าของธนูอุษาม่วง สายธนูทำมาจากเส้นเอ็นคุณภาพสูงที่สุดของอสรพิษวิเศษ แม้แต่ก้านธนูก็ยังทำด้วยไม้ดาราอายุ 500 ปี ในขณะที่ส่วนปลายของลูกธนูนั้นทำมาจากโลหะผสมไทเทเนียม มูลค่าของแล่งธนูทั้ง 4 ที่มีลูกธนูสั่งทำพิเศษ 200 ลูกอยู่ในนั้นเกือบจะมีราคาเกินกว่าธนูอุษาม่วงด้วยซ้ำ

โจวเหว่ยชิงคาดแล่งธนูไว้รอบเอวของเขาเพียง 1 อัน ส่วนอีก 3 อันที่เหลือนั้นแขวนไว้บนหลังม้า พลธนูหลังม้าก็ถูกจัดตั้งขึ้นในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เช่นกัน แต่มีจำนวนเพียง 1 กองพันเท่านั้น พวกเขาได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในกองพันระดับไพ่ตายขั้นสุดยอดของอาณาจักร ข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 2 ประการของพลธนูหลังม้าคือ หนึ่งความเร็วของม้าของพวกเขา ส่วนอีกประการหนึ่งก็คือปริมาณของลูกธนูที่สามารถพกพาไปได้ พลธนูที่แข็งแกร่งและมีทักษะดีสามารถพกลูกธนูไปยังสนามรบได้มากที่สุดแค่ประมาณ 100 ลูก แต่ถ้าพลธนูหลังม้านำลูกศรไปน้อยกว่า 200 ลูก พวกเขาก็จะต้องโดนมองอย่างเหยียดหยามแล้ว ด้วยมีม้าศึกที่สามารถช่วยแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นได้จำนวนมาก โดยธรรมชาติแล้วน้ำหนักลูกศรที่เพิ่มมานั้นถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับม้าศึก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สวมใส่ชุดเกราะสีเงินของเธอพร้อมด้วยเสื้อคลุมสีขาวที่โบกสะบัดอยู่ด้านหลัง นั่นจึงทำให้เธอดูสง่างามและกล้าหาญขณะที่กำลังขี่ม้านำกองทหารอยู่ด้านหน้าสุด โจวเหว่ยชิงควบม้าอยู่ในตำแหน่งด้านหลังเธอเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีผู้บัญชาการกองร้อยอีก 2 คนคอยเป็นผู้นำการเดินทางในครั้งนี้ พวกเขารับหน้าที่จัดการดูแลความเรียบร้อยระหว่างทาง สร้างสะพานเชื่อม หรือทำทุกอย่างให้มั่นใจว่าเส้นทางที่เหล่าทหารกำลังเคลื่อนที่ไปนี้จะราบรื่นตลอดรอดฝั่ง

“ปิงเอ๋อร์ ข้าอยากจะลงไปเดิน ขาขวาของข้ายังรู้สึกแปลกๆ อยู่ ข้าต้องลองเดินเพื่อช่วยปรับสภาพตัวเอง” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน

“เอาละ ไปเถอะ ตราบใดที่เจ้าติดตามกองกำลังหลัก เช่นนั้นก็คงไม่เป็นไรหรอก” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้า และพูดออกมา ตั้งแต่โจวเหว่ยชิงเริ่มแสดงท่าทีสุภาพเหมาะสมกับเธอ เธอก็เริ่มปฏิบัติต่อเขาต่างออกไป นับตั้งแต่วันที่เขากอดเธอ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กลัวที่จะสบตากับโจวเหว่ยชิง ความคิดของเธอค่อนข้างขัดแย้งกัน ในขณะที่เธอกลัวว่าอาการของ โจวเหว่ยชิงอาจกำเริบได้ทุกเวลาที่ใกล้กัน แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็คาดหวังให้ตนถูกกอดเหมือนในวันนั้น

โจวเหว่ยชิงกระโดดลงจากม้าของเขา ส่งรอยยิ้มจริงใจให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ จากนั้นก็แตะเท้าขวาลงกับพื้นแล้วร่างของเขาก็พุ่งกระโจนพรวดพราดเข้าไปในป่าใกล้ๆ ราวกับลูกธนู

วิธีที่เขาพุ่งตัวออกไปนั้นสง่างามมาก การเคลื่อนที่ก็รวดเร็วและว่องไว  ทั้งยังอาศัยแค่เพียงความแข็งแกร่งของร่างกายเท่านั้น อนิจจา หลังจากที่พุ่งเข้าไปในป่าแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ค้นพบว่าเขาได้คำนวณความเร็วของตัวเองผิดพลาดไป

*ปั่ก* เขาชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่เข้าอย่างจัง โชคดีที่เด็กหนุ่มสามารถยกแขนขึ้นกันแรงกระแทกได้ทันเวลา ดังนั้นจึงไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงอะไรมากนัก

“เวรเอ้ย!” โจวเหว่ยชิงไถลตัวลงมาจากต้นไม้ช้าๆ ในใจรู้สึกท้อแท้เป็นอย่างมาก เขายกเท้าขึ้นเตะต้นดาราขนาดใหญ่เท่าผู้ชาย 2 คนโอบข้างหน้าด้วยความหงุดหงิด

เสียงอะไรบางอย่างปริแตกดังขึ้นกึกก้อง และโจวเหว่ยชิงที่กำลังหมดอาลัยตายอยากอยู่ก็ได้แต่จ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึงจนกรามของเขาหล่นไปอยู่ที่พื้น เด็กหนุ่มอ้าปากกว้างจนสามารถผลักไข่ 2 ฟองเข้าไปในปากได้เลยทีเดียว

ต้นดาราขนาดใหญ่สองคนโอบที่เขาเพิ่งเตะไปเมื่อครู่ได้ลอยทะยานไปในอากาศอย่างไม่คาดคิดและพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่อีกต้นที่ด้านหลัง จากนั้นพวกมันต่างก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังโครมคราม

“อะไรวะเนี่ย!” โจวเหว่ยชิงมองดูขาขวาของตนที่สามารถทำให้ต้นไม้หักโค่นได้อย่างไม่คาดฝัน ขาขวาของเขาไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนกับว่าทุกๆ อย่างยังปกติดี แต่จะยังไงก็เถอะ เขาล้มต้นดาราไปทั้งต้นเลยนะโว้ย! สำหรับต้นไม้ขนาดดังกล่าว ถึงแม้ว่าจะใช้เลื่อยเพื่อโค่นมันลงมา คนธรรมดา 4 คนยังต้องใช้เวลาทั้งวันเลยด้วยซ้ำ! ถึงกระนั้นเขาก็โค่นมันลงได้จริงๆ อีกทั้งยังเหวี่ยงมันไปด้านหลังด้วยการเตะเพียงครั้งเดียวด้วย!

ทันใดนั้น ความรู้สึกที่สิ้นหวังเพราะไม่สามารถควบคุมแรงระหว่างสองขาให้เท่ากันได้ของเขาก็ถูกกวาดทิ้งไป โจวเหว่ยชิงรีบถอดกางเกงแล้วมองไปที่ขาขวา

มองเผินๆ ดูเหมือนว่าขาขวาและขาซ้ายของเขาแทบจะไม่ได้แตกต่างกันเลย แต่อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของพละกำลังนั้นมีมากเกินไปอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว นอกจากนี้ แม้เด็กหนุ่มจะเตะลำต้นที่หนาและขรุขระเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักกะผีกเดียว

โจวเหว่ยชิงทดลองเพ่งสมาธิชักนำปราณสวรรค์ของเขาจากจุดตันเถียนลงไปที่ขา ในขณะที่ทำเช่นนั้น เขาก็พบความแตกต่างระหว่างขาทั้งสองข้างอย่างชัดเจน

เมื่อปราณสวรรค์ไหลผ่านขาทั้งสองข้าง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ว่าพวกมันมีพลังเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บนผิวหนังบริเวณขาซ้ายของเขายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทว่าผิวหนังตรงขาขวากลับมีลายเสือดำที่คุ้นเคยแผ่กระจายไปทั่ว ขาขวาของเขายังแผ่ไอหมอกสีเทาดำออกมาด้วยและมันก็ดูเหมือนจะเอียงไปข้างหลังเล็กน้อยโดยธรรมชาติ โจวเหว่ยชิงเห็นว่าขาขวาของตนกลายเป็นสีดำสนิททั้งหมด และในขณะที่ขยับขาข้างนั้น เขาก็รู้สึกราวกับว่ามันกลายเป็นแส้อันทรงพลังที่ไม่มีใครเทียบได้

ด้วยการใช้ขาซ้ายเป็นฐาน เขากระโดดไปจนถึงด้านหน้าของต้นไม้ขนาดใหญ่อีกต้นหนึ่ง ขาขวาพุ่งออกมาราวกับสายฟ้า มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนทำให้อากาศวูบไหวและดูเหมือนจะทิ้งเงาภาพไว้ด้านหลัง

คราวนี้เมื่อขาของเขาสัมผัสกับต้นไม้ เสียงก็เปลี่ยนจาก “ปั่ก” เป็น “ฉับ” ต้นดาราที่อยู่ด้านหน้าของเด็กหนุ่มถูกโค่นลงอีกครั้งและลอยหวือออกไป ทว่าจุดที่ถูกเขากระแทกในครั้งนี้กลับราบเรียบมากราวกับว่ามันถูกตัดออกด้วยใบมีดคมๆ

ทันใดนั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกตกใจขึ้นไปกว่าเดิมกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลำดับถัดมา เมื่อต้นไม้ต้นนั้นลอยขึ้นไปในอากาศ ใบไม้ก็เริ่มเหี่ยวแห้ง และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองกรอบอย่างรวดเร็ว กิ่งก้านของพวกมันเริ่มปลดปล่อยไอสีเทาออกมาก่อนที่จะเหี่ยวแห้งตายในฉับพลัน และเมื่อต้นไม้ต้นนั้นตกลงมายังพื้นดิน มันก็แตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“นี่มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ…” โจวเหว่ยชิงมองที่ขาขวาของเขาแล้วมองดูต้นดาราที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง “ปิงเอ๋อร์บอกว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่เข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างจะสูญเสียการควบคุมจิตใจ ดูเหมือนว่าข้าจะยังไม่ได้เข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง แต่ข้าก็ดันมีขาขวาของปีศาจเช่นนี้ซะแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้ หากข้าใช้มันโจมตีมนุษย์อย่างเต็มกำลัง จะสร้างความเสียหายได้มากเท่าไหร่กันละเนี่ย?”

นอกจากนี้โจวเหว่ยชิงยังค้นพบว่าหากถ่ายเทพลังปราณสวรรค์ลงไปที่ขาของเขาเพื่อใช้เตะโจมตี มันไม่ได้ทำให้เขาสูญเสียปราณสวรรค์มากนัก ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็นึกถึงบางสิ่งได้ ในใจของเขาพลันนึกไปถึงเสือดำมีปีกขนาดใหญ่ที่เคยเห็นมาหลายครั้งก่อนหน้านี้

บนร่างกายของเสือดำตัวนั้น มีอยู่ 3 แห่งที่ติดตาตรึงใจเขาไม่รู้ลืม  สิ่งแรกก็คือดวงตาแดงก่ำดุร้ายคู่นั้น สิ่งที่สองเป็นปีกขนาดใหญ่ทั้งสองข้าง และสิ่งสุดท้ายก็คือหางแมงป่องที่มีลักษณะเป็นรูปตะขอ

เท้าขวาของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ นี่คงจะไม่ใช่หางแมงป่องของเสือดำนั่นใช่ไหม? ขาขวาของเขาคงไม่ได้วิวัฒนาการมาจากสิ่งนั้นใช่หรือไม่?

ถึงตอนนี้เขามั่นใจอย่างเต็มที่แล้วว่าไข่มุกสีดำนั้นน่าจะเป็นแกนพลังงานหลักภายในตัวของเสือดำขนาดใหญ่ที่ตนได้เห็น และร่างกายของเขาก็กำลังดูดซับความสามารถของเสือดำที่น่าเกรงขามตัวนี้อยู่

……………………………………………………..

ความเย็นชาพาดผ่านในดวงตาของโจวเว่ยชิง เขากล่าวว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถูกบีบคั้นให้อยู่ตรงกลางระหว่างสงครามของอาณาจักรใหญ่ทั้ง 2 อาณาจักรเช่นนี้ เราไม่มีทางหลบหนีไปได้ คนอื่นอาจวิ่งหนีได้ แต่ทั้งท่านและข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ พ่อบุญธรรมเป็นราชาที่ยิ่งใหญ่ เขาทำเพื่อชาติบ้านเมืองมามากมาย รวมทั้งปรับปรุงระบอบการปกครองและทำทุกวิถีทางเพื่อให้อาณาจักรของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เฮ้อ พวกเรายังเด็กเกินไปและอ่อนแอไร้พลัง ตอนนี้พวกเราแค่ต้องค่อยๆ ขัดเกลา พัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ทีละขั้นและพยายามให้ถึงที่สุด”

เซียวหรูเซ่อยิ้มตอบเบาๆ และพยักหน้ารับ “เป็นเรื่องดีที่เจ้าคิดเช่นนี้ได้ นั่นทำให้พี่สาวคนนี้มีความสุขมาก เหว่ยน้อย ตอนนี้มีแค่พวกเราสองคน แค่พี่สาวกับน้องชายกำลังพูดคุยกัน แม้ว่าเจ้าจะยังเด็ก แต่ก็มีบางคำที่ข้าต้องการจะเตือนเจ้าไว้”

“อะไรหรือ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

เซียวหรูเซ่อพูดอย่างเคร่งขรึม “สงครามครั้งนี้ ถ้าวันหนึ่งสถานการณ์เลวร้ายมากเกินไปจนยากจะยับยั้งแล้ว ทุกคนสามารถตายได้เพื่ออาณาจักรของเรา แต่สำหรับเจ้า…ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด”

โจวเหว่ยชิงได้แต่ทำสีหน้าตกใจ “ทำไมล่ะ?”

ดวงตาที่งดงามของเซียวหรูเซ่อหรี่ลงเล็กน้อย “หากมีชีวิตอยู่ก็หมายความว่ายังมีความหวัง เจ้าแตกต่างจากคนอื่นๆ เจ้าเป็นถึงลูกบุญธรรมของกษัตริย์ เป็นลูกชายคนเดียวของแม่ทัพใหญ่โจว เจ้ามีอำนาจในการรวบรวมผู้คนในอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียวอีกครั้งอย่างที่ไม่มีใครจะทำได้ ที่สำคัญกว่านั้นคือเจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ ผู้ที่มีศักยภาพและความสามารถไร้ขีดจำกัด ข้ายังเคยได้ยินเกี่ยวกับไพฑูรย์ตาแมวสองสีมาก่อน และมันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น แน่นอนว่ามันคือมณีที่น่าเกรงขามอย่างไม่มีใครเทียบได้ ข้าเชื่อว่าตราบใดที่เจ้าฝึกฝนให้มากพอ วันหนึ่งเจ้าจะต้องสามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางในอนาคตได้อย่างแน่นอน อย่าคิดว่าพี่สาวอย่างข้าล้อเจ้าเล่น ตอนนี้ระดับการฝึกปราณของเจ้าอาจจะยังต่ำและเจ้าก็ยังอ่อนแออยู่ ดังนั้นเจ้าอาจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีพลังมหาศาลนั้นเป็นเช่นไร จ้าวมณีสวรรค์มักจะเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่ต้องจารึกไว้บนทวีปแห่งนี้เสมอมา และครั้งล่าสุดก็ผ่านมาแล้วประมาณ 15 ปี เพื่อตามหาคนรักของเขา จ้าวมณีสวรรค์ที่น่าเกรงขามผู้หนึ่งบุกเข้าจู่โจมอาณาจักรวั่นโซ่วด้วยตัวคนเดียวอย่างไม่กลัวตาย ตลอดทางที่เขาเดิน ถนนทุกเส้นที่เขาเหยียบย่ำ ทุกสถานที่ที่เขาไปเยี่ยมเยียน เขาฆ่าล้างทุกคนที่พยายามจะหยุดยั้งเขาอย่างไม่เหลือซาก เมื่อเขามาถึงเมืองหลวงของอาณาจักรวั่นโซ่ว เขาไล่สังหารหมู่จ้าวมณี และอสูรสวรรค์ไปเป็นจำนวนนับพัน ท้ายที่สุดเมื่อเขามาอยู่ต่อหน้าจักรพรรดิแห่งอาณาจักรวั่นโซ่ว เขาก็ได้รับข่าวว่าคนรักของเขาไม่ได้ถูกอาณาจักรวั่นโซ่วจับมา เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงจากไปทันที และแน่นอนว่าไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้ ข้าจะบอกเจ้าไว้ว่าในเวลานั้น ข้างกายองค์จักรพรรดิมีจ้าวมณียุทธ์ และจ้าวมณีธาตุระดับเทวะกว่า 100 คน จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะกว่า 30 คน แต่ก็ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ ว่ากันว่าชายผู้นี้มีมณีสวรรค์ถึง 11 ชุด”

ขณะที่เธอกำลังเล่าเรื่องราว ดวงตาของเซียวหรูเซ่อก็ทอประกายที่ดูน่าหลงใหลออกมา มันเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจ และบางทีอาจจะเรียกได้ว่า…น่ารัก “เหว่ยน้อย ข้าเชื่อว่าความสามารถของเจ้าสามารถเทียบได้กับท่านอาวุโสผู้นั้นอย่างแน่นอน บางทีเจ้าอาจจะเอาชนะเขาได้ด้วยซ้ำ ถ้าวันหนึ่งเจ้าสามารถไปถึงระดับของเขาได้ ใครจะกล้าแตะต้องอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราอีก? และแม้ว่าอาณาจักรจะตกอยู่ในภาวะวิกฤติแค่ไหน เจ้าก็จะสามารถเปลี่ยนทิศทางลมได้อย่างง่ายดาย ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำได้ดีกว่าท่านลุงโจวในอนาคต เพราะฉะนั้นสัญญากับพี่สาวเช่นข้า ในอนาคตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าจะต้องจิตใจสงบนิ่งอยู่เสมอ”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างเงียบเชียบ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาเกิดที่รู้สึกได้ถึงน้ำหนักบนไหล่ เพราะมณีสวรรค์ของตนได้ตื่นขึ้นมา ดังนั้นภาระนี้จึงถูกวางไว้ที่บ่าสองข้างของเขา แต่ว่าเขาก็จะไม่หวาดกลัวหรือหลบเลี่ยง นิสัยแต่เกิดของโจวเหว่ยชิงคือรักอิสระ และไม่ต้องการถูกผูกมัด แต่ลึกลงไปในกระดูกดำของเขา เด็กหนุ่มก็ดื้อรั้นเหมือนแม่ทัพโจวผู้เป็นบิดาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

เซียวหรูเซ่อยิ้มแล้วตอบว่า “เด็กโง่ ทำตัวสบายๆ เถอะ พี่สาวแค่ชี้ให้เห็นถึงกรณีที่สถานการณ์เลวร้ายถึงที่สุด เพราะถ้าหากมีลุงโจวอยู่ด้วยเช่นนี้ มันก็ไม่ง่ายหรอกที่เราจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เอาเถอะ ข้าขอพูดนอกเรื่องสักหน่อย เจ้าวางแผนจะทำยังไงกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์? อย่าลืมว่าที่เมืองหลวงเจ้ายังมีองค์หญิงตี้ฝูหยาอยู่”

โจวเหว่ยชิงเหยียดริมฝีปากแล้วพูดว่า “ตี้ฝูหยา? ลืมไปเสียเถิด ผู้หญิงคนนั้น ข้าไม่เอาด้วยหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะไข่มุกดำปรากฏตัวออกมา ข้าอาจจะถูกเธอฆ่าตายไปแล้วก็ได้ ตอนที่ข้าออกจากบ้าน ไม่ใช่ว่าข้าก็ทิ้งจดหมายบอกบิดาไปแล้ว? เพราะฉะนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วนี่นา”

เซียวหรูเซ่อหัวเราะขณะที่เธอพูดว่า “ฝันไปเถอะ พ่อของเจ้าอาจเห็นด้วยอย่างไม่มีปัญหาใดๆ แต่เจ้าคิดว่าองค์จักรพรรดิจะเห็นด้วยงั้นหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าลุงโจวร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับองค์จักรพรรดิกี่ครั้ง? เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยองค์จักรพรรดิกี่รอบ? แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีความสามารถดั่งที่เจ้าเป็นอยู่ตอนนี้ ข้าหมายถึงว่าหากเจ้ายังเป็นเศษสวะเหมือนเดิม องค์จักรพรรดิก็จะยังคงบังคับให้ตี้ฝูหยาแต่งงานกับเจ้าอยู่ดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว กษัตริย์ก็ตรัสแล้วไม่คืนคำ”

ใบหน้าของโจวเหว่ยชิงมืดครึ้มทันที เขาอ้อนวอน “แล้วข้าจะทำเช่นไรดี? ท่านพี่ ท่านต้องช่วยข้าหาทางออก! ท่านคงไม่อยากให้ข้าต้องเผชิญหน้ากับตี้ฝูหยาทุกวันหรอกนะ หึ ยัยผู้หญิงที่มีตาที่สามงอกบนหน้าผากคอยเหยียดหยามคนอื่นแบบนั้นน่ะ ข้าไม่เอาด้วยหรอก”

เซียวหรูเซ่อส่งเสียงหึในลำคออย่างเย็นชา “ข้าไม่ช่วยเจ้าคิดเปล่าๆ หรอกนะ ข้าควรจะได้ของตอบแทนบ้างสิ?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “เฮ้ ท่านพี่ ถ้าท่านพยายามจะปอกลอกข้าละก็ ท่านคิดผิดแล้วล่ะ น้องชายคนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวสะอาดหมดจด ไม่มีเงินสักเหรียญเดียว”

เซียวหรูเซ่อกล่าวว่า“ ข้าไม่ได้ต้องการเงินของเจ้า เหว่ยน้อย เอาแบบนี้เป็นไง เจ้ายอมรับเงื่อนไขข้อหนึ่งจากข้า แล้วข้าก็จะให้คำแนะนำแก่เจ้า”

โจวเหว่ยชิงมองดูใบหน้าที่งดงามของเซียวหรูเซ่อ ก่อนจะพูดหยอกเย้า “จูบท่านอีกครั้งน่ะเหรอ? ไม่มีปัญหา!”

“ฮึ! เจ้ากำลังขอให้ข้าตีเจ้าอีกรอบ? จริงจังหน่อยจะได้มั้ยหา! เจ้าต้องสัญญากับข้าว่าถ้าวันหนึ่งเจ้ากลายเป็นเสาหลักของอาณาจักร เจ้าจะต้องสนับสนุนข้าให้เป็นเสนาบดี”

โจวเหว่ยชิงจ้องมองเธออย่างประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าข้อแลกเปลี่ยนที่เซียวหรูเซ่อต้องการจะเป็นเช่นนั้น เขาจึงรู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านพี่ ความทะเยอะทะยานของท่านยิ่งใหญ่เสียจริง! ท่านต้องการอยู่ในตำแหน่งสูงส่งจริงๆ สินะ”

เซียวหรูเซ่อส่งเสียงหึในลำคอแล้วพูดว่า “เด็กเหลือขออย่างเจ้าจะไปเข้าใจได้ยังไง? ข้าแค่ต้องการแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าผู้ชายจะทำอะไรผู้หญิงก็สามารถทำได้ดีพอๆ กัน ข้าต้องการให้ผู้ชายเห็นความแข็งแกร่งของผู้หญิง ปกติแล้วผู้หญิงต้องอยู่ติดบ้านเพื่อทำงานบ้าน ช่วยเหลือสามีและเลี้ยงดูเด็กๆ เท่านั้น ทำไมมีเพียงผู้ชายเท่านั้นถึงจะมีอำนาจและอิทธิพลได้? ส่วนเป้าหมายในชีวิตของข้า มันคือการใช้ความสามารถและพลังของตัวเองเพื่อยืนหยัดอยู่เหนือผู้ชาย”

โจวเหว่ยชิงยกนิ้วให้เธอ จากนั้นก็เอ่ยปากพูด “ ตอนนี้ข้าเข้าใจความหมายของคำนั้นจริงๆ แล้ว “ผู้หญิงไม่ก้มหัวให้ผู้ชาย” ท่านพี่ ข้าจะสนับสนุนท่าน! แต่ก็ว่าเถอะ ถ้าท่านแต่งงานในอนาคต นั่นจะไม่เป็นการตัดโอกาสแผนการณ์ของท่านหรอกหรือ?”

เซียวหรูเซ่อส่งเสียงเย็นชาอีกครั้ง “ตอนที่ข้าเริ่มฝึกยิงธนู ข้าก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าข้าจะไม่แต่งงานชั่วชีวิต ทำไมข้าต้องเสียเวลาไปกับผู้ชายพวกนั้นด้วย? ข้ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำให้สำเร็จ อย่างมาก ในอนาคตข้าก็จะหาผู้ชายสักคนเพื่อมีลูกด้วยแล้วค่อยเตะเขาออกไปให้พ้นทางทีหลัง!”

โจวเหว่ยชิงกระพริบปริบๆ “ท่านพี่ เอาแบบนี้เป็นอย่างไร ? แทนที่จะต้องเสียเปรียบให้ผู้อื่น ทำไมไม่ให้ยกผลประโยชน์นั่นให้ข้าแทนล่ะ? ยังไงเราก็สนิทกันซะขนาดนี้แล้ว การที่สามารถทำสิ่งเลวร้ายได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบนั่นเป็นสิ่งที่ข้าโปรดปรานมากทีเดียว! ฮึๆๆๆๆ”

“ไปตายซะไป๊!”

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อแสงแดดยามเช้าได้แผ่กระจายเหนือขอบฟ้า พลทหารที่เคยประจำอยู่ที่ค่ายทหารนอกเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์อยู่เป็นเวลาหลายเดือนก็ได้จรลีจากไปอย่างเงียบๆ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นกลางขอบฟ้า พื้นที่นอกประตูเมืองก็กลับคืนสู่สภาพที่ราบเรียบตามเดิม ภายใต้การนำผู้บัญชาการกองพันที่ 3 กรมทหารราบที่ 5 ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ พลทหารทั้ง 3,000 นายพร้อมกับสัมภาระ อาวุธ เสบียงอาหารจำนวนมาก และเกวียนบรรทุกสัมภาระประมาณ 5,000 คันต่างพร้อมใจกันมุ่งไปทางใต้สู่ชายแดนอาณาจักรคาลิเซ

เกวียนบรรทุกสัมภาระนั้นจำเป็นมากต่อพลทหาร พูดง่ายๆ ก็คือ ในการทำสงคราม เป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีจำนวนทหารสนับสนุนต่อทหารที่ออกรบในอัตราส่วน 1 : 1  สำหรับหน่วยชั้นยอดเช่นทหารราบหนัก พวกเขาต้องการทหารสนับสนุนเกือบ 2 คน ในขณะที่ทหารม้าหนักอาจต้องการทหารสนับสนุนมากกว่า 4 คนเพื่อช่วยเหลือ หน่วยชั้นสูงเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความแข็งแกร่งสูงสุดของพวกเขาออกมาในสนามรบ นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมกองทหารชั้นยอดจึงต้องเสียค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาเป็นจำนวนมาก

………………………………………………………………..

โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะแอบบ่นอยู่ในใจเล็กน้อย แม้เขาจะรู้ว่านั่นคือการวิวัฒนาการของร่างกาย แต่อย่างน้อยก็ควรให้ข้าพัฒนาขาทั้งสองข้างไปพร้อมๆ กันไม่ใช่หรือไงฟะ! จะพัฒนาขาเดียวทำพระแสงอะไรล่ะโว้ย! ดูเหมือนว่าควบคุมแรงที่ขาขวาเพียงข้างเดียวจะไม่ง่ายเลย…

ในช่วงเวลาอาหารเย็น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เคยบอกเขาว่าเธอจำเป็นต้องไปที่กองบัญชาการใหญ่เพื่อรายงานผลการรับสมัครทหารใหม่ และยังต้องจัดการกับรถขนส่งเมล็ดข้าว และอาหารสัตว์จำนวนมากที่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว กรมทหารที่ 5 กำลังจะกลับไปพร้อมกำลังทหารประมาณ 2 กองพัน เป้าหมายครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การรับสมัครทหารใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการขนส่งเสบียงไปยังแนวหน้าด้วย เนื่องจากวันพรุ่งนี้พวกเขาจะต้องย้ายออกไปแต่เช้าตรู่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อนวันพรุ่งนี้จะมาถึงในฐานะผู้บังคับบัญชา

กลับไปฝึกปราณหรือ? โจวเหว่ยชิงรำพึงรำพันถึงสิ่งที่ต้องทำ จากนั้นจึงคิดบางอย่างได้ เขาตัดสินใจที่จะไปพบท่านพี่หรูเซ่อเสียก่อน

สำหรับนายทหารระดับผู้บัญชาการกองร้อย พวกเขามีกระโจมส่วนตัวอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้หลังจากทุกคนกลับมาถึงค่ายแล้ว เซียวหรูเซ่อก็บอกเขาว่ากระโจมของเธออยู่ที่ไหน ในเวลานี้ เนื่องจากโจวเหว่ยชิงไม่มีงานให้ทำ เขาจึงเดินเตร็ดเตร่ไปจนถึงกระโจมของเซียวหรูเซ่อ และเมื่องยืนมองจากภายนอก เด็กหนุ่มก็เห็นว่ามีแสงส่องสว่างรำไรอยู่ภายในกระโจม

ถ้าเป็นพลทหารธรรมดาคนอื่นๆ หรือว่าพวกเจ้าหน้าที่ทหารชั้นสูง แน่นอนว่าตามธรรมเนียมพวกเขาก็จะต้องกล่าวขออนุญาติจากภายนอกก่อนจะเข้าไปในกระโจม แต่โจวเหว่ยชิงไม่ได้สนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนั้น เด็กหนุ่มพลันเลิกผ้ากระโจมขึ้นแล้วเดินตรงเข้าไปทันที

ทันทีที่เข้ามาในกระโจม เขาก็ต้องตกใจอย่างมากเพราะสิ่งแรกที่เห็นคือผมสีดำขลับนุ่มลื่นที่ยาวสยายไปถึงเอวและเกือบจะปกคลุมทั่วแผ่นหลังของเธอ เจ้าของเรือนผมสีดำได้ยินเสียงเปิดกระโจมเธอจึงหันไปรอบๆ และแน่นอนว่าคนผู้นั้นย่อมเป็นเซียวหรูเซ่อ

เมื่อเธอหันหน้ากลับไป โจวเหว่ยชิงก็เห็นทันทีว่าเธอได้แกะผ้าคาดอกสีขาวที่มีความกว้างประมาณ 1 ฟุตออก หลังจากนั้นก็ม้วนเอาแถบผ้าที่พันอยู่รอบๆ ตัวเธอออกทีละชั้นทีละชั้น แม้ว่าตำแหน่งสำคัญๆ ของเธอจะยังคงถูกปกปิดไว้อยู่ แต่หัวไหล่กลมมน ท่อนแขนและเอวขอดของเธอล้วนแต่เปิดเผยสู่สายตาของเขาอย่างสมบูรณ์

เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์องอาจ และสง่างามของเธอตอนสวมใส่เสื้อผ้าผู้ชายแล้ว ตอนนี้เซียวหรูเซ่อนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนที่แตกต่างออกไป ตอนนี้เธออายุ 20 ปีแล้ว และการเติบโตทางกายภาพของเธอย่อมดีกว่าเมื่อเทียบกับซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ที่ยังเด็กอยู่ ขณะนี้เธอสวมกางเกงขายาวเพียงตัวเดียว จากเอวขอดของเธอลากลงไปจนถึงส่วนโค้งเว้าที่น่าอัศจรรย์ นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ขณะที่เขาจ้องมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้างแทบไม่กระพริบ

ในตอนแรก เซียวหรูเซ่อตกใจมากที่รับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามา แต่เมื่อเธอหันกลับไปดูและพบว่าเป็นโจวเหว่ยชิง เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกและรู้สึกเขินอายขึ้นมาด้วยเช่นกัน เธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงโกรธๆ “ทำไมเจ้าไม่เรียกข้าก่อนเข้ามา! นั่งตรงนั้น อย่าเสียงดัง!”

“ เอ่อ…ท่านพี่ ท่านไม่อึดอัดหรือที่ต้องพันตัวเองแบบนี้ทุกวัน? มันจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของท่านนะ!” โจวเหว่ยชิงกล่าวและพยายามวางท่าอย่างเหมาะสม

“ ฮึ! เด็กอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร? เจ้าคิดว่าข้าอยากจะทำแบบนี้หรือ? ผู้หญิงนั้นยากจะเป็นใหญ่ในกองทัพ นั่นคือเหตุผลที่ข้าแต่งตัวเป็นผู้ชาย หันหลังไป! หากเจ้ายังขืนจ้องข้าอยู่อีก คอยดูเถอะ ข้าจะโดดทับเจ้าให้ตาย!” เมื่อเทียบกับเวลาที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เขินแล้วชอบข่มขู่ทำร้ายร่างกายเขา เซียวหรูเซ่อนั้นดูเหมือนจะเขินได้น่ารักมากกว่า

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและก้าวไปข้างหน้าอีก 2-3 ก้าว ราวกับว่านั่นจะทำให้เขามองเห็นเธอได้ชัดขึ้น “ท่านพี่ ถ้าท่านกระโดดทับข้า ข้าจะมีความสุขมาก!”

กลายเป็นเซียวหรูเซ่อที่ออกอาการสับสนเล็กน้อย เธอคว้าเสื้อผ้าข้างๆ โยนใส่โจวเหว่ยชิง “เจ้ากล้าเย้าแหย่พี่สาวของเจ้าด้วยคำพูดเช่นนี้ เจ้าไม่ต้องการปิงเอ๋อร์ของเจ้าแล้วหรือ? ระวังคำพูดของเจ้าด้วย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน หันไปเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นวันพรุ่งนี้ข้าจะไปบอกลุงโจวว่าเจ้าหนีออกจากบ้านเพื่อมาตามจีบผู้หญิง! อืม ถึงแม้ว่าเจ้าจะเอาเปรียบนางไปแล้วก็เถอะ ข้าจะคอยดูว่าลุงโจวจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”

โจวเหว่ยชิงสั่นสะท้านอย่างไม่รู้ตัว แน่นอนว่าคนที่เด็กหนุ่มกลัวที่สุดย่อมเป็นบิดาของเขา! เมื่อนึกได้ดังนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่าเห็นฝ่ามือขนาดมหึมาของบิดากำลังลอยกวัดแกว่งเข้ามาหา ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงไม่กล้าล้อเล่นอีกต่อไป และรีบหันหลังให้เธออย่างรวดเร็ว

เมื่อมองเห็นท่าทีหวาดกลัวของเขา เซียวหรูเซ่อก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เธอดึงแถบผ้าที่พันอยู่กับร่างกายส่วนบนของเธอออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นหน้าอกอวบอิ่มที่ถูกปลดปล่อยออกมาสัมผัสอากาศภายนอก และนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกเบาโหวง และสบายตัวจนเธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างมีความสุข นั่นทำให้ผู้ฟังอย่างโจวเหว่ยชิงที่กำลังนั่งหันหลังให้เธออยู่รู้สึกคันยุบยิบอยู่ในใจ

“เอาล่ะ หันมาได้แล้ว” เซียวหรูเซ่อพูดพลางหัวเราะ

เมื่อโจวเหว่ยชิงหันกลับมาอีกครั้งก็พบว่าเธอได้เปลี่ยนเป็นชุดผ้าฝ้ายแล้ว หน้าอกแบนราบก่อนหน้านี้กลายเป็นเทือกเขาอันอุดมสมบูรณ์ ทันใดนั้นเขาก็ได้แต่รำพึงในใจ ใหญ่มาก! ปะ เป็นไปได้ยังไง! หรือว่าข้างในจะกลวง!? จากการประมาณของข้า อย่างน้อยนี่ควรจะเป็นขนาด 36D…ไม่! มันควรจะใหญ่กว่านี้ น่าจะสักขนาดคัพ E…

เซียวหรูเซ่อเห็นว่าดวงตาของโจวเหว่ยชิงกำลังจ้องอยู่ที่หน้าอกของเธอ เธอพูดอย่างหงุดหงิด “ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอนี่! นี่เจ้าได้ไปเรียนรู้อะไรผิดๆ มาเยอะสินะ หยุดจ้องข้าแบบนั้นได้แล้ว! เรามาคุยเปิดอกกันแบบพี่น้องเถอะ เราไม่ได้พบกันนานหลายปีแล้วสินะ ในอนาคตต่อจากนี้เจ้ามีแผนจะทำอะไรบ้างล่ะ?”

เมื่อโจวเหว่ยชิงฟื้นคืนสติกลับมาจากบริเวณหน้าอกของเธอ เขาก็พูดอย่างรวดเร็ว “แน่นอนว่าข้าจะเข้าสู่สนามรบและฆ่าศัตรูของเราเพื่อสร้างอาชีพและชื่อเสียงให้กับตัวเอง!”

เซียวหรูเซ่อขมวดคิ้ว จากนั้นก็พูดว่า “ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ลุงโจวจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ ถ้าเจ้าทำอะไรแบบนั้น แต่ว่าตอนนี้…”

โจวเหว่ยชิงรู้สึกประหลาดใจ เขาถามว่า “ทำไมหรือ?”

เซียวหรูเซ่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ในความเป็นจริง สถานการณ์ของอาณาจักรเราในตอนนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เหว่ยน้อย เจ้าต้องจำไว้ว่าสิ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดนั้นถูกต้อง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องมั่นใจว่าเจ้าไม่ได้เปิดเผยมณีสวรรค์ของเจ้าให้ผู้อื่นเห็น ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ สถานการณ์ในแนวหน้าเลวร้ายลงมากขึ้น อาณาจักรของเรามีอาณาเขตติดกับอาณาจักรเฟยหลี่ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้นเราจึงโชคดีที่ไม่ต้องส่งกองกำลังทหารไปป้องกันพรม แดนที่ติดกับอาณาจักรเฟยหลี่ทั้งสองฝั่งนั้น เพราะฉะนั้น ศัตรูหลักของเราจึงมาจากอาณาจักรคาลิเซที่อยู่ทางใต้ แต่ทว่าถัดออกไปทางใต้ของอาณาจักรคาลิเซก็ยังมีอาณาจักรป่ายต้าที่น่าเกรงขามคอยหนุนหลังอยู่อีก”

“หากเปรียบเทียบความแข็งแกร่งระหว่างอาณาจักรคาลิเซ และอาณาจักรของเราแล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอาณาจักรคาลิเซเลย เนื่องจากอาณาจักรของเรามีพื้นที่อาณาเขตใหญ่กว่าพวกเขา แต่ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ กองทัพของอาณาจักรคาลิเซเติบโตขึ้นอย่างมากทั้งในด้านปริมาณ และคุณภาพ พวกเขาค่อยๆ เริ่มแซงหน้าเราไปเรื่อยๆ หากเดาไม่ผิด ข้าคาดว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรป่ายต้าเป็นอย่างมาก”

นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง และการทหารของประเทศต่างๆ ให้โจวเหว่ยชิงฟัง เขาจึงฟังอย่างตั้งใจก่อนจะถามอย่างสงสัย “ถ้าอย่างนั้น นี่หมายความว่าเราไม่ได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรเฟยหลี่งั้น  หรือ?”

เซียวหรูเซ่อส่ายหัวของเธอเบาๆ แล้วพูดว่า “อาณาจักรเฟยหลี่ และอาณาจักรป่ายต้าเป็นอาณาจักรใหญ่ที่คล้าย คลึงกันในแง่ของความแข็งแกร่งโดยรวม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันทำให้นโยบายระดับประเทศของพวกเขาแตกต่างกันมาก อาณาจักรป่ายต้ามีพื้นที่กว้างมาก และตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีป เช่นนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องเผชิญกับภัยคุกคามใดๆ จากชายแดนทิศตะวันตก และทิศใต้ของพวกเขาเนื่องฝั่งพวกนั้นอยู่ติดกับทะเล ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ทางทิศตะวันออก และทิศเหนือก็ยังล้อมรอบไปด้วยอาณาจักรเล็กๆ ไม่กี่อาณาจักรที่ไม่มีกำลังพอจะคุกคามพวกเขา อย่างไรก็ตาม สำหรับอาณาจักรเฟยหลี่นั้นแตกต่างออกไปมาก ทางตอนเหนือของอาณาจักรเฟยหลี่นั้นมีอาณาจักรที่น่าเกรงขามอาณาจักรหนึ่งชื่อว่าอาณาจักรวั่นโซ่ว ทุกคนสามารถจินตนาการได้ว่าอาณาจักรของพวกเขาจะถูกบีบคั้นแค่ไหน ดังนั้นกำลังทหารส่วนใหญ่ของอาณาจักรเฟยหลี่จึงประจำอยู่ที่ชายแดนทางตอนเหนือเพื่อป้องกันอาณาจักรวั่นโซ่ว แม้ว่าอาณาจักรของเราจะติดอยู่กับอาณาจักรเฟยหลี่ แต่การสนับสนุนที่เราได้รับจากพวกเขานั้นก็มีจำกัดมาก”

ในหัวของโจวเหว่ยชิงสว่างวาบขึ้นมาทันที เขาพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว นั่นหมายความว่าอาณาจักรป่ายต้าให้การสนับสนุนอาณาจักรกคาลิเซอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้กองทัพของคาลิเซแข็งแกร่งขึ้นจนเอาชนะพวกเราได้? นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมสถานการณ์ปัจจุบันของกองทัพเราจึงไม่สู้ดีสินะ”

เซียวหรูเซ่อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้อง อาณาจักรวั่นโซ่วครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือและอาณาเขตทั้งหมดของพวกเขาเกือบจะเท่าอาณาเขตของทั้งอาณาจักรป่ายต้า และอาณาจักรเฟยหลี่รวมกัน หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าอาณาจักรวั่นโซ่วนั้นประกอบไปด้วยชนเผ่าใหญ่ๆ หลายชนเผ่า และพวกเขาก็ไม่ได้รวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ประกอบกับภัยคุกคามจากชายแดนฝั่งอื่นๆ ไม่อย่างนั้นบางทีอาณาจักรเฟยหลี่ก็อาจจะพ่ายแพ้ให้กับพวกเขาไปแล้วก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสที่จะปกป้องอาณาจักรของพวกเราไว้ก็เริ่มริบหรี่ลงมากขึ้นเรื่อยๆ โชคดีที่เรามีนักรบเช่นลุงโจวคอยต่อสู้ขัดขวางอาณาจักรคาลิเซ อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้เป็นระยะเวลานานๆ สถานการณ์ของอาณาจักรของเราก็จะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ”

……………………………………………………………

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชา จากนั้นก็มองไปที่เขาสลับกับเซียวหรูเซ่อ หลังจากความรู้สึกเขินอายในจิตใจของเธอสงบลงได้ครู่หนึ่ง เธอก็เปิดปากถามอย่างสงสัย “เจ้าสองคน…?” เธอรู้เช่นกันว่าโจวเหว่ยชิงไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เธอจึงไม่ได้ตำหนิเขา

เซียวหรูเซ่อเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่แม้แต่น้อย โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้าง และพูดว่า “ข้ากำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บัญชาการกองร้อยเซียวอยู่ หลังจากเราต่อสู้กันไปก่อนหน้านี้ พวกเราก็ตระหนักว่าเราทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนเล่นวัยเด็กกันมาก่อน หลังจากนั้นปัญหาเกิดก็ขึ้นกับร่างกายของข้าเหมือนที่ท่านเห็น…”

“แต่ข้าเพิ่งได้ยินเจ้าเรียกเขาว่า “พี่หญิง” เมื่อกี้นี้!”

โจวเหว่ยชิงมองตาของเซียวหรูเซ่อ เขาเห็นคำเตือนทางสายตาจึงเข้าใจได้ในทันที “ผู้บัญชาการกองพัน ท่านไม่คิดว่าใบหน้าของผู้บัญชาการกองร้อยเซียวดูงดงามเหมือนหญิงสาวหรอกหรือ? เขารูปร่างหน้าตาเหมือนผู้หญิงเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว เพื่อนๆ ของเราทุกคนเรียกเขาว่าพี่สาว นี่เป็นชื่อเล่นลับๆ ของเขาเลยเชียวล่ะ!”

ลมหายใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ค่อยๆ กลับมาคงที่ เธอพูดอย่างเคร่งขรึม “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าก่อนหน้านี้? ทำไมอยู่ๆ เจ้าถึงคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีก?”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างจนปัญญา “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน! จู่ๆ ร่างกายของข้าก็เริ่มเย็นลง ข้ารู้สึกเจ็บปวดทรมาณไปทั่วร่าง หลังจากนั้นข้าก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กรุ่นคิดซักพัก ทันใดนั้นการแสดงออกของเธอเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันเธอร้องอุทานว่า “หรือว่านี่จะเป็นสถานะปีศาจกลายร่าง?”

ทั้งโจวเหว่ยชิงและเซียวหรูเซ่อเผยใบหน้าประหลาดใจออกมาพร้อมกัน จากนั้นทั้งคู่ก็ถามออกมา “สถานะปีศาจกลายร่างคืออะไร?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าว “อ้วนน้อยโจว เจ้าจำไม่ได้หรือ? ข้าเคยบอกเจ้าแล้วเกี่ยวกับพวกจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุปีศาจเช่นเดียวกับเจ้า การที่ทักษะธาตุปีศาจตื่นขึ้นอาจทำให้พวกเขามีสภาพจิตใจไม่มั่นคง และในที่สุดพวกเขาก็อาจกลายเป็นปีศาจจ้าวมณีสวรรค์ที่มีจิตใจชั่วร้ายได้”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าจำได้! และท่านยังบอกว่าอาการเหล่านี้เกิดจากการตื่นขึ้นของมณีสวรรค์ และพวกเขามักจะฆ่าคนใกล้ชิดเช่นสมาชิกในครอบครัว โดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้”

ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แดงขึ้น เธอนึกถึงคืนวันนั้นขึ้นมาทันที และไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของเขาได้จริงๆ แน่นอนว่าถ้าโจวเหว่ยชิงควบคุมตนเองไม่ได้มากพอ เธอก็จะต้องตายไปในวันนั้นและกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับมณีสวรรค์ของเขาอย่างแท้จริง

“ข้าได้ยินมาว่าในบรรดาจ้าวมณีสวรรค์ที่ครอบครองทักษะปีศาจ มีบางคนน่ากลัวมากเป็นพิเศษ เมื่อวิญญาณของพวกเขาได้รับการยั่วยุหรือร่างกายของพวกเขาถึงขีดจำกัด บางครั้งพวกเขาก็เข้าสู่สถานะพิเศษที่เรียกว่าสถานะปีศาจกลายร่าง ในช่วงเวลาที่เกิดปรากฏการณ์ “ปีศาจกลายร่าง” จ้าวมณีสวรรค์พวกนั้นก็จะเข้าสู่สถานะคลุ้มคลั่ง ทั้งยังได้รับความแข็งแกร่งและพลังอำนาจเพิ่มขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตาม สภาพจิตใจของพวกเขาก็มักจะไม่มั่นคงหรือแทบจะไม่มีสติหลงเหลืออยู่เลย ดังนั้นในช่วงเวลานั้นคนพวกนี้ก็จะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่ไร้สติ และเนื่องจากการดำรงอยู่ของพวกเขาเป็นอันตรายเกินไป วังกักเก็บทักษะของอาณาจักรขนาดใหญ่ๆ ในโลกจึงได้รวมกลุ่มกันเพื่อล่าจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจเหล่านี้เพื่อสังหารหมู่พวกเขาให้สิ้นซาก ทว่าในการทำเช่นนั้นพวกเขาก็ต้องสูญเสียกำลังพลของตนไปจำนวนมากเช่นกัน  จากนั้นเป็นต้นมาไม่เคยมีข่าวคราวใดๆ เกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีความสามารถในการเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างอีกเลย”

ท่าทีของเซียวหรูเซ่อเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอจึงพูดว่า “โจว…อ้วนน้อย ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน” ด้วยความวิตกกังวล หญิงสาวเกือบจะเรียกโจวเหว่ยชิงด้วยชื่อจริงออกไปซะแล้ว

โจวเหว่ยชิงเข้าใจความหมายโดยนัยของเธอโดยธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัยแล้วเธอต้องการให้เขากลับบ้านเพื่อให้บิดาของเขาตรวจสอบ แต่เขาก็ส่ายหัวซ้ำๆ อย่างรวดเร็วและพูดว่า “ไม่ ไม่ ข้าไม่อยากกลับไป ท่านผู้บัญชาการกองพัน ท่านกังวลมากเกินไปแล้ว เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ใช่สถานะปีศาจกลายร่างสักหน่อย ถ้าใช่ข้าคงจะฆ่าพวกท่านทั้งคู่ไปแล้ว! ตอนนี้ข้ารู้สึกได้ว่าหลังจากที่ข้าฟื้นคืนสติร่างกายก็พัฒนาไปแล้วบางส่วน ร่างกายเต็มไปด้วยพละกำลังมหาศาล เพราะฉะนั้นมันน่าจะเกี่ยวข้องกับไข่มุกสีดำที่ข้ากลืนเข้าไปมากกว่า บางทีอาจเป็นเพราะพลังของไข่มุกสีดำนั้นน่ากลัวเกินไปและข้าก็ไม่สามารถดูดซับพลังของมันได้อย่างเต็มที่”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ยินคำอธิบายของเขาจึงรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย แต่ทว่าก็ยังพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “อ้วนน้อย ต่อไปนี้อย่าอยู่ให้ห่างจากข้าอีก อย่างน้อยถ้ามีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นข้าก็ยังสามารถช่วยเจ้าควบคุมตัวเองได้ เพราะข้าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ร่างกายของเจ้าจะดูดซับพลังของไข่มุกสีดำได้หมด”

เมื่อได้ยินซ่างกวนปิงเอ๋อร์เรียกชื่อของเขาโดยตรง โจวเว่ยชิงก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไปแน่นอน”

ทันใดนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตระหนักได้ว่าตัวเองเผลอเรียกเขาด้วยชื่อจริง ใบหน้าที่งดงามของเธอขึ้นสีอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็กล่าว “กลับไปรวมกับทหารที่ค่ายเถอะ ข้าช่วยให้เจ้ารับตำแหน่งนายหมู่แล้ว แต่เจ้าก็จะยังคงเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของข้าต่อไป กลับไปเก็บข้าวของของเจ้า พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปยังแนวหน้าในตอนเช้า”

“ตกลง ปิงเอ๋อร์” เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ทำท่าทางปฏิเสธเมื่อเขาเรียกชื่อเธอตรงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำเช่นนี้ต่อหน้าเซียวหรูเซ่อ ความตื่นเต้นของโจวเหว่ยชิงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น นี่น่าจะถือเป็นความคืบหน้าก้าวใหญ่เลยทีเดียว!

เซียวหรูเซ่อไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเช่นกัน เมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงสามารถกอดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้ได้โดยไม่โดนทุบตีอะไรเลย เธอก็ตระหนักได้ว่าสถานะของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปเป็นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะฉะนั้นให้เขาอยู่กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้

ตกกลางคืน กลุ่มทหารที่อยู่นอกเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส สำหรับกรมทหารที่ 5 ทุกคนตั้งแต่ทหารใหม่จนถึงทหารเจนศึก หลังจากเสร็จมื้อคำทุกคนก็พูดคุยกันอย่างคึกคักจอแจระหว่างเก็บสัมภาระของพวกเขา พลทหารต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเพื่อที่จะสามารถออกเดินทางไปยังแนวหน้าได้ทันทีหลังจากเก็บกระโจมเสร็จในตอนเช้า พวกเขาจะถูกพิจารณาว่าเป็นทหารเต็มตัวก็ต่อเมื่อพวกเขาได้เข้าร่วมต่อสู้ในสนามรบจริงๆ แล้วเท่านั้น และในอนาคตอันใกล้นี้ แนวหน้าจะกลายเป็นสมรภูมิเดียวที่จะใช้ทดสอบพวกเขา

อย่างไรก็ตาม ในคืนนี้โจวเหว่ยชิงกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ว่างงาน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นยุ่งมาก โดยเฉพาะในคืนนี้ เนื่องจากเธอเป็นคนที่รับผิดชอบดูแลการเกณฑ์ทหารใหม่ทั้งหมดในครั้งนี้ โจวเหว่ยชิงพอไม่มีอะไรเหลือให้ทำแล้วหลังทานอาหารเย็นเสร็จเขาจึงไปเดินเตร็ดเตร่รอบๆ ค่ายทหารและพยายามจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาให้ได้

หลังจากกินอาหารมื้อเย็นเสร็จและพักผ่อนเล็กน้อย พลังปราณสวรรค์ในร่างกายของโจวเหว่ยชิงก็ได้รับการฟื้นฟูจนเต็ม นี่แสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าของวิชาเทพอมตะในแง่ของการฟื้นตัว นอกจากนี้เขายังค้นพบว่าขนาดพื้นที่ความจุของปราณสวรรค์ในร่างของตัวเองเพิ่มขนาดขึ้นเล็กน้อยหลังจากเหตุการณ์ที่ป่าดาราวันนี้ อย่างไรก็ตาม มันแตกต่างกับการเพิ่มระดับปราณสวรรค์ขึ้นพรวดพราดทีเดียว 4 ระดับดังเช่นตอนที่เด็กหนุ่มปลุกมณีสวรรค์ครั้งแรก ทว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งนี้คือความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขา หลังจากกลับมาถึงค่าย โจวเหว่ยชิงก็ลองยิงธนูอุษาม่วงอีกครั้งก่อนจะส่งคืนให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาพบว่าแม้จะแทบจะไม่ออกแรงง้างธนูเลยแม้แต่น้อย แต่ธนูก็เกือบจะหักคามือของเขาแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นการใช้กำลังกายล้วนๆ เพียงอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับปราณสวรรค์!

ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับขาขวาของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาขยับขาขวา เขาก็ค้นพบบางสิ่งที่น่าประหลาดใจ

เมื่อยกขาขวาขึ้น โจวเหว่ยชิงพบว่าขาของเขาสามารถเหยียดตรงขึ้นเหนือศีรษะของเขาได้ในทันทีโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ สิ่งที่ลึกลับ และน่าประหลาดใจที่สุดคือตอนนี้เด็กหนุ่มสามารถยกขาขวาขึ้นอ้อมข้ามศีรษะไปด้านหลังได้ด้วย! ความอ่อนตัวที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้อาจจะกล่าวได้ว่าขาของเขายืดหยุ่นได้ดีกว่าร่างกายของเหล่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะกายยืดหยุ่นเสียอีก! อนิจจา…มีเพียงขาขวาที่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เมื่อโจวเหว่ยชิงลองยกขาซ้ายดูมันก็ไม่ได้ให้ผลเช่นเดียวกัน นอกจากนี้เขายังค้นพบว่าความแข็งแกร่งและความว่องไวของขาขวาของตนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความแตกต่างเมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ อย่างน้อยตอนนี้การเปลี่ยนแปลงที่ขาขวาของเขาก็ไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ กับโจวเหว่ยชิงเลย และในความเป็นจริงแล้วมันยังค่อนข้างเป็นตัวถ่วงเสียด้วยซ้ำ เมื่อเดินตามปกติ แน่นอนว่ามันยังไม่เกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเขาเริ่มวิ่ง เด็กหนุ่มก็พบว่าพละกำลังของขาขวาของเขานั้นมากเกินไป เมื่อออกแรงใดๆ ร่างกายก็จะพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายของเขาเสียสมดุลในการทรงตัว นี่จึงอาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการปรับตัวและทำความคุ้นเคยกับมัน

เมื่อดูลาดเลาทหารที่พลุกพล่านอยู่รอบๆตัวเขาแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ทดลองยืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคงโดยมีเพียงขาซ้ายที่พยุงร่างกายของเขาไว้ จากนั้นก็ยกขาขวาขึ้นเตะไปมาในอากาศอย่างรวดเร็ว การขยับอย่างรวดเร็วทำให้ขาขวาของเขากลายเป็นภาพมัวๆ ในอากาศทันที และนั่นก็ทำให้เกิดภาพซ้อนขึ้นหลายครั้ง ในจังหวะเดียวกันนั้นก็มีเสียงดังหวีดหวิวเกิดขึ้นราวกับใช้ดาบฟันอากาศ ยิ่งไปกว่านั้น โจวเหว่ยชิงยังค้นพบว่าตัวเองยังสามารถปล่อยลูกเตะออกไปได้จากทุกๆมุม ราวกับว่าขาขวาของเขาไร้กระดูก!

…………………………………………………………….

ด้วยแรงตะปบของโจวเหว่ยชิง แม้ว่าจะมีพลังอันยิ่งใหญ่ขุมหนึ่งจะปะทะเข้ากับตัวของเธอโดยตรง แต่ร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยังไม่ฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตามที่เธอจินตนาการไว้ กลับกัน เด็กหนุ่มเพียงแค่คว้าไหล่ของเธอเข้าหาและสวมกอดอย่างแนบแน่นเท่านั้น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังหายใจไม่ออกด้วยแรงกอดของเขา เธอพยายามกระเสือกกระสนหอบหอบหายใจ ร่างกายของโจวเหว่ยชิงกำลังร้อนรุ่มจนเธอสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนแม้จะมีเกราะอ่อนหุ้มอยู่อีกชั้น นอกจากนี้ ร่างกายของเด็กหนุ่มยังสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่อง และความร้อนก็ถูกถ่ายเทไปยังซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทำให้เธอเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมาด้วยเช่นกัน ในใจของเธอกำลังระลึกไปถึงวันที่น่าอายวันนั้น…เขาไม่รู้ตัว…เขา…เขา…ไม่ควรทำอย่างนั้นอีก…

ทางด้านเซียวหรูเซ่อเองก็ตกใจกับท่าทีของฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน ในใจเธอได้แต่คิดว่า เจ้าเด็กคนนี้กลายเป็นปีศาจไปแล้ว…

ที่จริงแล้วสิ่งที่เซียวหรูเซ่อไม่รู้ก็คือ เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้น โจวเหว่ยชิงผู้ซึ่งมีสติเพียงครึ่งเดียวนั้นพยายามจะคว้าตัวเธอ และกอดคนที่เขาคุ้นเคยเอาไว้โดยสัญชาตญาณอย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังกอดเธออยู่นั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าลมหายใจเย็นๆ จากร่างของเธอทำให้สติที่มึนงงสับสนของตนเองกลับคืนมาอย่างช้าๆ แม้ว่าร่างกายจะยังคงเจ็บปวดทรมาณอย่างที่สุด แต่อารมณ์บ้าคลั่งก็เริ่มบรรเทาลงแล้วจริงๆ

เหตุผลสำหรับสภาพปัจจุบันของเขานั้นย่อมเกี่ยวกับไข่มุกสีดำที่กลืนเข้าไปอย่างแน่นอน ไข่มุกสีดำไม่ได้มาจากโลกนี้ และพลังงานจำนวนมหาศาลที่บรรจุอยู่นั้นเปรียบได้กับพลังของจ้าวมณีสวรรค์ลำดับต้นๆ ของโลกใบนี้ แม้ว่า โจวเหว่ยชิงจะผ่านขั้นตอนการดูดซับพลังจากไข่มุกสีดำไปบ้างแล้ว และนั่นก็มีผลให้เขาสามารถปลุกมณีสวรรค์ของตนให้ตื่นขึ้นมาได้ผ่านกระบวนการนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายของเด็กหนุ่มจะดูดซับพลังของไข่มุกสีดำได้อย่างหมดจดสมบูรณ์แล้ว ก่อนหน้านี้ ในขณะที่เขากำลังต่อสู้กับเซียวหรูเซ่อ เนื่องจากพลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงร่อยหรอจนเกือบแห้งเหือด ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้เขายังมีความรู้สึกอันแรงกล้าอยู่ภายในลึกๆว่าต้องการจะแข็งแกร่งขึ้นให้มากกว่านี้ ดังนั้นเมื่อทั้ง 2 อย่างนี้รวมเข้าด้วยกัน ทำให้ไข่มุกสีดำเริ่มมีปฏิกิริยาขึ้นอีกครั้ง มันพยายามหลอมรวมเข้ากับร่างของโจวเหว่ยชิงและแทรกซึมพลังของมันเข้าสู่ร่างกายอีกเป็นครั้งที่สอง

เมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่เขาปลุกมณีสวรรค์เป็นครั้งแรก ผลกระทบที่เกิดจากการแทรกซึมพลังในครั้งนี้ถือว่าเบากว่ามาก สาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายของโจวเหว่ยชิงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากก็เป็นเพราะพลังในไข่มุกสีดำกำลังปลดปล่อยออกมาเพิ่มมากขึ้นและมันก็กำลังพัฒนาร่างกายไปพร้อมๆ กับชำระล้างอวัยวะทุกส่วนของเขาอย่างฉับพลัน ทั้งกระดูก เส้นชีพจร กล้ามเนื้อ เลือด อวัยวะทุกส่วนล้วนผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ราวกับว่าถูกเฉือนเนื้อเถือกระดูกและหลอมพวกมันขึ้นมาใหม่ในวิธีที่พิศดารไม่เหมือนใคร เพราะฉะนั้นกระบวนการเช่นนี้จะไม่เจ็บปวดอย่างไร? โชคดีที่การปรากฏตัวของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำให้เขาสามารถกลับมามีสติมั่นคงได้อีกครั้ง มิเช่นนั้นโจวเหว่ยชิงอาจจะกลายเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ ก็ได้

โจวเหว่ยชิงใช้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นเครื่องสังเวยเพื่อปลุกมณีสวรรค์ของตนเอง ดังนั้นกลิ่นอายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงเป็นสิ่งเติมเต็มและเชื่อมโยงจิตของเขาในระดับหนึ่ง เมื่อเด็กหนุ่มกอดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ กลิ่นอายของพวกเขาก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน และพลังจากมณีสวรรค์ทั้ง 2 ชุดของเธอช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและทำให้สติของเขากลับมามั่นคง นี่จึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่ดึงโจวเหว่ยชิงกลับมาจากอันตราย

*พลั่ก* โจวเหว่ยชิงล้มลงในขณะที่ยังกอดซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ ร่างกายของเขาล้มลงไปทับเธอทั้งตัวจนเกือบจะทำให้เด็กสาวผู้บอบบางและงดงามผู้นี้หมดสติจากการขาดอากาศหายใจ ทว่าสิ่งที่แปลกที่สุดก็คือขาขวาของเขายังคงลอยขึ้นชี้ฟ้า และขดงอเป็นเป็นรูปร่างแปลกๆ แม้ว่าเสียงของกระดูกที่แตกหักและเสียดสีกันจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดแล้วก็ตาม

ขณะนี้มือทั้งสองของซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังวางอยู่บนเอวของโจวเหว่ยชิง ในตอนแรกเธอกะจะใช้ทั้งสองมือนี้ผลักดันและต่อต้านเขา แต่ในตอนนี้ทั้งคู่กลับตกอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างสมบูรณ์เนื่องจากร่างกายของพวกเขาอยู่ใกล้กันมากเกินไป กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของโจวเหว่ยชิงรวมถึงกลิ่นอายความมืดเข้มข้นหลอมรวมเข้าด้วยกัน ทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างกาย แม้ว่าเธอจะถูกอีกฝ่ายบดขยี้จนแทบจะเป็นลมล้มพับไป แต่ความรู้สึกแปลกประหลาดก็ค่อยๆ ก่อเกิดขึ้นในใจเธอเช่นกัน

นี่เขาจะไม่ทำอย่างนั้นอีกใช่ไหม? เซียวเซ่อยังอยู่ตรงนี้อยู่เลยนะ! ทันใดนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้สึกอับอายและโกรธมาก แต่อ้อมกอดของโจวเหว่ยชิงนั้นแข็งแกร่ง และทรงพลังเกินไป ดังนั้นจะให้เธอหนีไปจากอ้อมอกของเขาได้อย่างไร?

โชคดีที่คราวนี้โจวเหว่ยชิงไม่ได้ทำอะไรไม่ดีอย่างที่เธอคิดเอาไว้ เขาเพียงแค่กอดเธอไว้อย่างแนบแน่นไร้ช่องว่างเท่านั้น ราวกับว่าเวลาจะหยุดนิ่ง เซียวหรูเซ่อยืนอยู่ข้างๆ และมองดูทั้งคู่อย่างตะลึงงัน อย่างไรก็ตาม ลมหายใจหนักหน่วงของโจวเหว่ยชิงก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ จากนั้นกล้ามเนื้อของเขาค่อยๆ กลับสู่สภาพเดิม เสียงเสียดสีบดกระแทกกันของเส้นชีพจรและกระดูกก็ค่อยๆสงบลงเช่นกัน

ใบหน้าของโจวเหว่ยชิงวางไว้บนบ่าข้างๆ ใบหน้าเล็กๆ ที่อ่อนโยนของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ นั่นทำให้เธอรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆ  ของเขาที่ปะทะเข้ากับใบหน้าของเธอเป็นระยะๆ ดังนั้น แม้ว่าใจเธอจะยังกังวลอยู่ แต่มันก็เริ่มจะผ่อนคลายลงบ้างแล้ว

เขาไม่ได้ทำร้ายข้า…เขาไม่ได้ทำร้ายข้า…โชคดีจริงๆ ในหัวใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เธอคิดแบบนั้น แต่เธอก็ค้นพบว่าคราวนี้อ้อมกอดของโจวเหว่ยชิงให้ความรู้สึกแตกต่างออกไปจากเดิมมาก ตอนที่เขากอดเธอไว้ นอกจากเธอจะไม่กลัวแล้ว หญิงสาวยังมีความรู้สึกว่ากำลังได้รับการปกป้อง เสมือนร่างใหญ่โตและสูงสง่านั้นสามารถปกป้องให้ตนปลอดภัยได้

ในที่สุดขาขวาของโจวเหว่ยชิงที่กำลังลอยเคว้งอยู่บนอากาศก็คลายกำลังลงและลงมาบนพื้นดินอย่างช้าๆ เมื่อมันแตะลงที่พื้นข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เสียงกระดูกที่เคลื่อนไหวบดเบียดกันก็หยุดลงและลวดลายสีดำบนร่างกายของเขาก็อันตธานไปเช่นกัน

“เจ็บ!” โจวเหว่ยชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกในขณะที่เขาลืมตาอย่างช้าๆ ดวงตาที่เคยเป็นสีแดงก่ำก็ค่อยๆ เลือนหายไปเช่นกัน หายไปเช่นเดียวกับความเจ็บปวดก่อนหน้า ความรู้สึกเบาสบายอย่างถึงที่สุดก็เข้ามาแทนที่ ราวกับว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังงาน ทุกๆ ส่วนเปล่งประกายอย่างกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา ราวกับว่ามีบางอย่างในร่างกายของเขาที่แตกต่างออกไป แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าความแตกต่างนั้นคืออะไรกันแน่ เนื่องจากความรู้สึกเดียวที่เขารับรู้ได้ตอนนี้คือบางสิ่งบางอย่างที่มีลักษณะอ่อนนุ่มกำลังถูกเขาครอบครองอยู่ในระหว่างอ้อมแขน

โจวเหว่ยชิงโอบแขนของตนแน่นขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัวและบดเบียดร่างกายของตนไปรอบๆ สิ่งนั้น รู้สึกว่าวัตถุอ่อนนุ่มราวกับหมอนที่ถูกตนกดเข้าหาร่างกายนั้นนุ่มสบายมาก ราวกับว่ามันถูกหลอมรวมเข้ากับตัวเขา ในใจของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ถูไถใบหน้าของเขากับเจ้าสิ่ง ‘นุ่มๆ’ นั้นไปมา

“อือออ” เสียงร้องเบาๆ ในลำคอปลุกให้โจวเหว่ยชิงตื่นขึ้นมาในที่สุด เขาเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตางดงามทั้งสองข้างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ใกล้เพียงแค่คืบเดียว

“อะ…เอ่ออ…ผู้บัญชาการกองพัน ทำไมท่านถึงมากอดข้าได้?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์พบว่าเขาฟื้นคืนสติได้ครบถ้วนแล้ว เธอก็เบิกตากว้าง พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งโกรธกึ่งอับอายว่า “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”

สายตาของโจวเหว่ยชิงเปล่งประกายด้วยความระมัดระวังขณะที่เขาพูดว่า “ข้าไม่ปล่อย! เว้นแต่ท่านสัญญาว่าจะไม่ตีข้า!”

“เจ้า…” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เกือบหมดสติด้วยความโกรธ สิ่งที่ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูกที่สุดก็คือตอนนี้โจวเหว่ยชิงก้มลงมอง และค้นพบแล้วว่าสิ่งที่ตนทำลงไปเมื่อสักครู่นี้คืออะไร ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังรู้สึกได้ถึง “บางอย่าง” ที่กำลังดุนดันอยู่แถวหน้าท้องอีกด้วย

“เฮ้ย เฮ้ย! ถ้าพวกเจ้าจะจีบกันก็น่าจะไปหาสถานที่ๆ ไม่มีใครอยู่จะดีกว่ามั้ย?” เซียวหรูเซ่อพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโมโห คราวนี้เธอใช้แม้กระทั่งน้ำเสียงโทนผู้หญิงของเธอ

“อ๊า! พี่หญิงหรูเซ่อ ท่านอยู่นี่ที่ด้วยเหรอ!” โจวเหว่ยชิงตระหนักได้ว่าเซียวหรูเซ่อยังคงยืนอยู่ข้างๆ จึงปล่อยซ่าง กวนปิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว และกระโดดพุ่งตัวไปด้านข้างเพื่อซ่อนตัวอยู่หลังเซียวหรูเซ่อ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หอบหายใจอย่างหนักขณะที่เธอกำลังค่อยๆ ยืนขึ้น ใบหน้าสวยงามของเธอกลายเป็นสีแดงเข้ม นอกจากนี้ เธอยังตกใจเมื่อพบว่าแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่โจวเหว่ยชิงกอดเธออยู่นั้น พลังปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับ 8 ของเธอนั้นถูกใช้ไปเกือบครึ่งอย่างคาดไม่ถึง และเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันถูกใช้ไปเมื่อไหร่หรือหายไปได้อย่างไร

โจวเหว่ยชิงโผล่หัวออกมาจากด้านหลังของเซียวหรูเซ่อและพูดด้วยใบหน้ารู้สึกผิด “ผู้บัญชาการกองพัน ที่ข้าทำลงไปทั้งหมดท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้ตั้งใจทำ แน่นอนว่านี่จะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดอีกเรื่องอย่างแน่นอน!!”

………………………………………………………….

“อ๊ากกกกกกกก…” จู่ๆ เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดก็ดังปลุกเซียวหรูเซ่อให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นเสียงของโจวเหว่ยชิง เธอจึงรีบวิ่งตรงไปยังทิศทางของเสียงนั้น เมื่อเธอเห็นโจวเหว่ยชิงอีกครั้ง เธอก็ต้องประหลาดใจเป็นอย่างมาก “เหว่ยน้อย เกิดอะไรขึ้น?”

ในขณะนี้โจวเหว่ยชิงกำลังเกลือกกลิ้งทุรนทุรายอยู่บนพื้น  ชุดเครื่องแบบทหารของเขาขาดวิ่นเพราะไปเกี่ยวเข้ากับพงหนามข้างทาง เผยให้เห็นกล้ามแขน และเกราะอ่อนโลหะผสมไทเทเนียมที่สะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายระยิบระยับ

เขาหอบหนักและลมหายใจเริ่มขาดห้วง สิ่งที่ทำให้หัวใจของเซียวหรูเซ่อเต้นผิดจังหวะก็คือความจริงที่ว่าดวงตาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มได้เปลี่ยนไปเป็นสีแดงดั่งเลือด กล้ามเนื้อทุกส่วนของเขาขยายขนาดออกมาอย่างรวดเร็วทำให้ร่างกายของโจวเหว่ยชิงสูงใหญ่ขึ้นภายในพริบตา

“ท่านพี่ ข้าอึดอัด…” เสียงของโจวเหว่ยชิงกลายเป็นเสียงแหบแห้งราวกับเสียงชายชราในขณะที่ร่างของเขากระตุกไม่หยุด สิ่งที่ผิดปกติมากที่สุดคือแม้ว่าในขณะนี้เด็กหนุ่มจะนอนราบกับพื้น แต่ขาขวาของเขากลับลอยขึ้นสูงและบิดงอเป็นรูปร่างน่ากลัว แม้แต่เธอยังสามารถได้ยินเสียงกระดูกขยับเสียดสีกันจนแตกละเอียดอยู่ภายใน ราวกับกระดูกขาขวากำลังถูกค้อนหนักๆ ทุบจนแตกจากนั้นก็หลอมมันขึ้นมาใหม่และทุบอีกครั้ง

“เหว่ยน้อย เกิดอะไรขึ้น?” เซียวหรูเซ่อโผเข้าไปช่วยเหลือเขา แต่พลังอันแข็งแกร่งที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างของโจวเหว่ยชิงกลับแสดงท่าทีต่อต้าน พลังนั่นผลักเธอให้ถอยหลังไปหลายก้าวจนล้มลงกระแทกพื้น

จู่ๆ ก็มีเสียงฉีกขาดดังขึ้น โจวเหว่ยชิงกำลังฉีกทึ้งเสื้อผ้าบนร่างกายส่วนบนของเขาเนื่องจากความเจ็บปวดทรมาน มีเพียงเกราะอ่อนที่ยังคงยึดอยู่บนร่างอย่างเหนียวแน่น บนร่างกายแข็งแกร่งดุจหินผาของเขามีลายเส้นสีดำค่อยๆ แผ่ขยายออกมาอีกครั้งคล้ายกับลายบนร่างของเสือ อีกทั้งบนหน้าผากของเด็กหนุ่มก็ยังปรากฏอักษรสีดำเขียนไว้ว่า ‘ราชา’

ป่าดาราที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา จู่ๆ ทั้งแมลง และเหล่านกกระจิบก็พร้อมใจกันหยุดส่งเสียงอย่างกระทันหัน ทำให้ทั่วทั้งป่าเงียบสงัดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ในป่านั้นเงียบมาก เงียบสนิทจนเซียวหรูเซ่อแทบจะนึกว่าตนหูบอดไปแล้ว  นั่นจึงทำให้ทุกอย่างดูน่าขนลุกไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงลมหายใจหอบหนักของโจวเหว่ยชิงที่สะท้อนขึ้นมาทำลายความเงียบสงัดของป่า

หากเป็นคนอื่น บางทีพวกเขาอาจจะหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโจวเหว่ยชิงในตอนนี้ไปแล้ว แต่ย่อมไม่ใช่กับเซียวหรูเซ่อ เธอกัดฟันแน่นและพยายามเหวี่ยงตัวเองเข้าไปใกล้โจวเหว่ยชิงอีกครั้ง เธอคว้าศีรษะอีกฝ่ายไว้ได้จึงตะโกนเรียกสติ “เหว่ยน้อย! สงบสติอารมณ์หน่อย เจ้าต้องใจเย็นๆ เพ่งไปที่พลังปราณสวรรค์ของเจ้า และใช้มันปรับลมหายใจ”

ขณะนี้โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าจิตใต้สำนึกของของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายโหดเหี้ยมชั่วร้าย และนั่นทำให้เขาอยากที่จะฉีกทึ้งทุกสิ่งรอบๆตัวให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มือทั้งสองของเด็กหนุ่มกำบิดเบี้ยวคล้ายกรงเล็บเนื่องจากกระดูกของเขากำลังเคลื่อนที่ขยับเบียดกันไปมา ในช่วงเวลาสั้นๆ ทันใดนั้นมือทั้งสองข้างก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 2 เท่า ยิ่งไปกว่านั้น ที่นิ้วก็ยังค่อยๆ มีกรงเล็บแหลมงอกออกมาอย่างช้าๆ ลายเสือสีดำบนร่างกายของเขาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และเด็กหนุ่มก็รู้สึกราวกับว่ามีพลังขุมหนึ่งกำลังหลั่งไหลออกมาจากร่างกายของตนไม่หยุดยั้ง …

เซียวหรูเซ่อซุกกอดศีรษะของโจวเหว่ยชิงเอาไว้แน่น ทันใดนั้นเขาก็ยกกรงเล็บเสือของเขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวและตะปบเข้าไปที่ไหล่ของเซียวหรูเซ่ออย่างรุนแรง จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็แยกเขี้ยวออกกว้างและกำลังจะกัดเข้าที่ลำคอของฝ่ายตรงข้าม

เซียวหรูเซ่อถูกกรงเล็บของเขาตรึงเอาไว้กับที่ ทั้งยังรู้สึกว่าร่างกายของเธอชาหนึบจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตใจของหญิงสาวจึงค่อยๆร่วงหล่นสู่ความว่างเปล่า

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังอ้าปากเตรียมจะกัดเข้าที่ลำคอของเพรียวบางเธอ จู่ๆ เด็กหนุ่มก็หยุดชะงัก เซียวหรูเซ่อรู้สึกตัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน อันที่จริงตอนนี้เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่ซอกคอ นั่นทำให้ผิวบริเวณนั้นสั่นสะท้านและร้อนวูบวาบ

“ไม่!! ไม่!! ข้าทำไม่ได้!! นั่นคือพี่หญิงหรูเซ่อ” โจวเหว่ยชิงพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงแหบพร่าขณะที่เขาหอบหายใจอย่างหนัก เด็กหนุ่มรีบคลายกรงเล็บที่จับตรึงเซียวหรูเซ่ออยู่ จากนั้นก็ผลักเธอไปข้างหลัง อย่างไรก็ตาม ไม่นานศีรษะของเขาก็ถูกเธอจับไว้อีกครั้ง

“เหว่ยน้อย ถ้ามันทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น เจ้าก็กัดข้าเถิด พี่สาวคนนี้ไม่กลัวหรอก” เซียวหรูเซ่อยื่นมือของเธอออกมาอย่างแน่วแน่ และคาไว้ตรงริมฝีปากของโจวเหว่ยชิง

ทันใดนั้น ดวงตาแดงก่ำของโจวเหว่ยชิงที่เต็มไปด้วยรังสีอำมหิตก็ดูเหมือนจะเพิ่มความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้ยื่นหน้าเข้าไปกัดมือของเธอ ภายในหัวใจของโจวเหว่ยชิง ตอนนี้มีความรู้สึกเครียดขึงบางอย่างฝังแน่นอยู่อย่างแรงกล้า ความรู้สึกนั้นคือหากเขาเผลอกัดสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเข้าไปจริงๆ เขาจะสูญเสียท่านพี่หรูเซ่อไปตลอดกาล…

ความรู้สึกอันรุนแรงนี้ทำให้เขาสามารถระงับอารมณ์ชั่วร้ายที่เกิดขึ้นภายในตัวได้ แม้ว่ากลิ่นอายโหดเหี้ยมอำมหิตในดวงตาของเขาจะไม่ได้ลดน้อยลง แต่อย่างน้อยพวกมันก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิม เซียวหรูเซ่อกอดศีรษะของเขาเอาไว้ตลอดเวลาในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังสูดอากาศเข้าลึกและพยายามจะผ่อนลมหายใจ

“เจ้า…เจ้าสองคนกำลังอะไร?” ทันใดนั้น น้ำเสียงประหลาดใจก็ดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง ในชั่วพริบตา ร่างของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆ กับพวกเขา เป็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่เพิ่งมาถึงนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ เมื่อเธอได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงถูกเซียวเซ่อพาตัวไป เธอก็ยังไม่ได้กังวลอะไรมาก เพราะว่ายังไงซะท้ายที่สุดโจวเหว่ยชิงก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ ดังนั้นเซียวเซ่อจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม การแข่งขันทหารใหม่ได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่กลับมาเสียที ดังนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงรู้สึกค่อนข้างกระสับกระส่ายและไม่กังวลใจมาก แม้ในใจเธอจะอ้างกับตนเองว่ายังคงเกลียดชังอ้วนน้อยโจวที่พรากคืนแรกของเธอไป  แต่เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าส่วนที่ลึกที่สุดภายในใจของเธอนั้น อ้วนน้อยโจวได้จารึกเงาของเขาไว้ที่นั่นแล้ว เหตุการณ์เช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นได้เมื่อหญิงสาวมอบครั้งแรกให้กับใครบางคน โดยปกติแล้วเธอมักจะก่อเกิดความผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้ง ยิ่งกว่านั้น เธอยังได้ใช้เวลาร่วมกับโจวเหว่ยชิงแทบจะทุกวันในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา

ด้วยเหตุนั้น เธอจึงตัดสินใจไปเดินดูลาดเลารอบๆ ค่ายเพื่อตามหาพวกเขาเพื่อให้ตนสามารถระงับความรู้สึกกังวลใจนี้ได้เสียที อาศัยรองเท้าวายุประสานที่เป็นศาสตรามณียุทธ์ชิ้นใหม่ของเธอ  ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงสามารถเคลื่อนตัวเข้าสู่ป่าดาราได้ในชั่วพริบตาด้วยความเร็วสูง และเมื่อไม่นานมานี้ เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดของโจวเหว่ยชิงก็ได้ทำทางให้เธอมาถึงที่นี่

เธอเห็นทั้งเซียวเซ่อและโจวเหว่ยชิงจากระยะไกลๆ แต่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นฉากตรงหน้านี้มาก่อน เซียวเซ่อกอดศีรษะของโจวเหว่ยชิงไว้อย่างใกล้ชิดสนิทสนมที่สุด…ผู้ชายกำลังกอดกับผู้ชายอีกคน? นี่มัน…

เมื่อเธอเข้าใกล้มากขึ้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อเธอเห็นท่าทางดุร้ายของโจวเหว่ยชิง ลำตัวที่เต็มไปด้วยลวดลายคล้ายกับลายเสือ กล้ามเนื้อแข็งแกร่งดุดันและดวงตาแดงก่ำที่น่าสะพรึงกลัว หัวใจของเธอก็ได้แต่สั่นสะท้านลุกลามลามไปทั่วร่างกายทันที สถานการณ์แบบนี้ช่างคล้ายกับคืนที่เขาได้พรากสิ่งที่มีค่าที่สุดของเธอไปเหลือเกิน

เซียวหรูเซ่อเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังยืนมองอยู่อีกฝั่งอย่างตะลึงงัน เธอก็ตะโกนออกมาอย่างโกรธๆ “ยัยโง่! จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม? มาช่วยข้าจับเขาไว้เร็ว! เจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ คงรู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”

“ข้า…ข้า…ไม่รู้…” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่งยองๆ ลงกับพื้นก่อนจะตอบด้วยความตื่นตระหนก แม้ว่าในใจเธอจะหวาดกลัวลักษณะเช่นนี้ของโจวเหว่ยชิงมาก แต่หญิงสาวก็ไม่อยากจะทิ้งเขาไป

ในขณะที่เธอกำลังค้อมตัวลงนั่ง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็พลันเห็นว่าโจวเหว่ยชิงนั้นกำลังเจ็บปวดทุรนทุรายมาก ร่างกายของเด็กหนุ่มชักกระตุกอย่างรุนแรง เธอจึงร้องออกมาอย่างรวดเร็วว่า “อ้วนน้อยโจว.. อ้วนน้อยโจวผ่อนคลายหน่อย…”

เนื่องจากในขณะนี้โจวเหว่ยชิงมีสติเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว เขาจึงไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทว่าทันใดนั้นเขาก็ได้ยินน้ำเสียงและกลิ่นกายที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุด เมื่อรู้สึกได้ดังนั้นร่างกายของเด็กหนุ่มก็พลันแข็งทื่อ ผุดลุกขึ้นมาจากอ้อมกอดของเซียวหรูเซ่ออย่างรวดเร็ว เขาคำรามเสียงต่ำ จากนั้นกรงเล็บเสือทั้งสองข้างก็ตะปบเข้าที่ไหล่ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์

อันที่จริงซ่างกวนปิงเอ๋อร์สามารถหลบมันได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอมีรองเท้าวายุประสานที่ใช้หลบหลีกได้ว่องไวเช่นนี้ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น อีกทั้งในใจของเธอดันเผลอคิดอย่างไม่รู้ตัวอีกว่า หากเธอต้องตายในมือของเขาจริงๆ…นั่นก็คงไม่เป็นไรหรอก

…………………………………………………………..

โจวเหว่ยชิงไม่หลบสายตาของเธอ ใบหน้าของเขาแสดงสีหน้าอับจนหนทาง “ท่านพี่หรูเซ่อ ท่านจะตำหนิข้าไม่ได้ที่ร่างกายโตเร็วเกินไป!” ในขณะที่เขากล่าว เด็กหนุ่มก็จ้องไปยังหน้าอกที่ค่อนข้างแบนราบของหรูเซ่ออย่างละเอียด

“เจ้ามองอะไร! ถ้ายังไม่หยุดมอง ยายแก่อย่างข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเอง! หากเจ้าหาหลักฐานมาแสดงไม่ได้ ข้าจะจับเจ้านำกลับไปที่ค่ายเพื่อจัดการตามกฎทหาร!” ในเวลานี้เซียวหรูเซ่อมัวแต่เอะอะจนเกือบลืมไปว่าตอนนี้โจวเหว่ยชิงเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว ถึงแม้ว่าอารมณ์ของเธอจะสงบนิ่งอยู่เสมอ แต่หลังจากที่ได้สัมผัสกับเรื่องน่าตกตะลึงต่างๆ เหล่านี้  เมื่อรวมกับการที่เหว่ยชิงจูบใบหน้าเธอไป เช่นนั้นเธอจะรักษาความสงบได้อย่างไร?

โจวเหว่ยชิงก้มศีรษะลงและมือทั้งสองก็เริ่มถอดเข็มขัด

“เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ!!!?” ดาบยาวของเซียวหรูเซ่อยื่นไปดักด้านหน้าของเขา

โจวเหว่ยชิงแสดงสีหน้าราวกับว่าเขาเป็นเหยื่อของความอยุติธรรม “ท่านไม่ได้ขอให้ข้าแสดงหลักฐานหรอกเหรอ? ตอนที่เรายังเด็กๆ ท่านพาข้าไปเล่นน้ำที่ริมแม่น้ำและท่านก็ได้เห็นปานแดงบนก้นของข้า ดังนั้นข้าเลยจะแสดงหลักฐานให้ท่านดู” ในขณะที่พูด โจวเหว่ยชิงไม่ได้รอให้เซียวหรูเซ่อปฏิเสธ ปีศาจตัวน้อยหันหลังและดึงกางเกงของตนลงทันที จากนั้นก็เผยให้เห็นบั้นท้ายด้านซ้ายที่มีปานสีแดงสดวาดอยู่บนนั้น

เซียวหรูเซ่อตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เธอรีบหันหลังหนีอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็พูดว่า “ใส่กางเกงของเจ้าซะ น่าเกลียดจริงๆ!”

โจวเหว่ยชิงรีบใส่กางเกงของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับยิ้ม “ท่านพี่หรูเซ่อ ตอนนี้เชื่อข้าหรือยัง?”

เซียวหรูเซ่อแอบเหลียวกลับมาอย่างรวดเร็วและเมื่อเห็นว่าเขาใส่กางเกงดีแล้ว เธอจึงเก็บดาบยาวเข้าปลอกพร้อมกับถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าคือโจวเหว่ยชิงจริงๆ หรือ? ไม่มีทาง! เจ้าไม่ได้เส้นชีพจรอุดตันหรอกหรือ?” เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเธอก็ต้องหยุดพูดเมื่อโจวเหว่ยชิงพูดแทรกขึ้นมา

“เมื่อก่อนข้าอาจเคยเป็นเศษสวะ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะเป็นเศษสวะตลอดไปนี่” โจวเหว่ยชิงพูดอย่างเฉยเมย “ท่านพี่หรูเซ่อ ตอนข้ายังเป็นเด็ก หลังจากทุกคนค้นพบว่าข้ามีเส้นชีพจรอุดตัน ไม่มีเด็กคนไหนยอมเล่นกับข้าเลย ท่านพี่ มีเพียงท่านเท่านั้นที่เต็มใจพาข้าไปเที่ยวเล่นด้วย หลังจากเราแยกจากกัน นี่ก็ผ่านไป 7 ปีแล้ว! ในตอนนั้น ข้ามักจะคิดถึงท่านอยู่เสมอ ได้แต่คิดว่าจะดีแค่ไหนถ้าท่านเป็นพี่สาวของข้าจริงๆ…”

ในขณะที่พูดแบบนั้น ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงด้วยอารมณ์เศร้าสร้อย ในช่วงเวลา 14 ปีที่ผ่านมา มีคนเพียง 2 คนเท่านั้นที่เขาสนิทที่สุด คนหนึ่งคือท่านแม่ และอีกคนคือเซียวหรูเซ่อ อาจกล่าวได้ว่าความทรงจำในช่วงวัยเด็กของโจวเหว่ยชิงมีเซียวหรูเซ่อครอบครองอยู่หลายส่วน

“เจ้าทึ่มน้อย! เจ้าตัวโตเกินกว่าจะมาร้องไห้แบบนั้นแล้วนะ! เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ แม้แต่พี่สาวคนนี้ก็จำเจ้าไม่ได้ อ้วนน้อยโจวหนออ้วนน้อยโจว ข้าน่าจะรู้ว่านั่นเป็นชื่อเจ้า!” เซียวหรูเซ่อเหยียดแขนออก และกอดโจวเหว่ยชิงที่ตัวสูงขึ้นมาก เหมือนกับในอดีตตอนที่เธอมักจะกอดปกป้องเขาเช่นนี้

ในอ้อมแขนของเซียวหรูเซ่อ โจวเหว่ยชิงรู้สึกแค่ว่าด้านหน้าของเธอนั้นแข็งมาก และได้แต่สงสัยว่าเธอสวมแผ่นเหล็กทับไว้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม แม้ร่างกายของเธอไม่มีกลิ่นอายความอ่อนแอของหญิงสาวเลย แต่ก็มีกลิ่นหอมสะอาดที่ทำให้รู้สึกเบาสบายเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม หลังจากกอดกันไปได้ไม่กี่วินาที เซียวหรูเซ่อก็ตื่นขึ้นมาสู่ความเป็นจริง และรีบผลักโจวเหว่ยชิงออกไปข้างๆ “ตัวเจ้าเล่ห์น้อย! เจ้ารู้ก่อนหน้านี้ใช่ไหมว่าเป็นข้า? ฮึ่ม! แล้วเจ้ายังจะกล้าทำลายธนูอุษาม่วงของข้าเพื่อเล่นสนุกอีกอย่างงั้นเรอะ? เจ้าคันไม้คันมืออยู่ไม่เป็นสุขนักหรือไง!?”

โจวเหว่ยชิงเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที “ท่านพี่ ฟังข้าอธิบายก่อน ตอนนั้นข้ายังจำท่านไม่ได้สักหน่อย!”

“ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก! เอาล่ะ ตอนนี้ข้าชักจะโมโหเจ้าขึ้นมาแล้ว! ก่อนอื่นมาให้ข้าระบายอารมณ์โกรธก่อน แล้วพวกเราค่อยมาคุยกันทีหลัง”

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!”

หนึ่งชั่วโมงต่อมา…

โจวเหว่ยชิงและเซียวหรูเซ่อนั่งอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้ใหญ่ ขณะที่โจวเหว่ยชิงเล่าเรื่องเหตุการณ์ทั้งหมดให้เธอฟังว่าเขาได้กลืนไข่มุกสีดำลงไปได้อย่างไร สมัครทหารอย่างไร และเหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นอย่างไรอย่างละเอียด เขาเห็นว่าเซียวหรูเซ่อเป็นหนึ่งในคนที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุด หรือก็คือเพื่อนที่สนิทที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ปกปิดอะไรเธอเลยแม้น้อย และบอกแม้กระทั่งเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์

“มิน่า เธอเลยปฏิบัติกับเจ้าแตกต่างกับคนอื่นๆ มากขนาดนี้ ข้าไม่คิดเลยว่าจริงๆ แล้วเจ้าจะทำแบบนั้นกับเธอ…ฮ่าๆๆๆๆ…” จู่ๆ เซียวหรูเซ่อก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

“ท่านพี่ ท่านหัวเราะอะไรรึ?”

เซียวหรูเซ่อลูบท้องที่ปวดเกร็งเพราะหัวเราะมากเกินไป ก่อนจะพูดว่า “นี่ก็เหมือนเป็นการแก้แค้นแทนข้า! ซ่าง กวนปิงเอ๋อร์คว้าตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันของข้าไปทั้งๆ ที่เธอจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการบัญชาการกองทัพ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะโดนคนอย่างเจ้าเอาเปรียบได้! อืม…หากมีของดียังไงก็ต้องเก็บไว้กับตัวให้ได้ ยังไงซะ เธอก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ แต่ใครจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะกลายเป็นเครื่องสังเวยเพื่อปลุกมณีสวรรค์ของเจ้าให้ตื่นขึ้นมา ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะโชคดีขนาดนี้”

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ “ท่านพี่ ตอนนี้ข้าเป็นทหารแล้ว อย่าเรียกข้าว่าเจ้าเด็กน้ำมูกย้อยอีกจะได้ไหม?”

เซียวหรูเซ่อส่งเสียงฮึ่มในลำคอ “ไม่ว่าเจ้าจะตัวใหญ่แค่ไหน ในสายตาของข้าเจ้าก็ยังเป็นเจ้าเด็กน้ำมูกย้อยอยู่ดี! ต่อจากนี้เจ้ามีแผนจะทำอะไร? ทำไมเจ้าไม่บอกลุงโจวว่าเจ้ากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว? ข้าเห็นเขาฝันถึงวันนี้มาตั้งนานแสนนานแล้วนี่นา”

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและพูดว่า “ข้าไม่ต้องการกลับไปที่ตระกูลตอนนี้ ขนาดตอนที่ข้ายังเป็นแค่เศษสวะ ข้ายังถูกเขาทรมานซะขนาดนั้น ถ้าเขารู้ว่าตอนนี้ข้ากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว ข้าจะยังมีชีวิตดีๆ ได้อีกหรือ”

เซียวหรูเซ่อพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “ไอ้เจ้าทึ่มนี่ ข้าคิดว่าจริงๆ แล้วเจ้าไม่อยากจะบินหนีไปจากอ้อมอกของซ่างกวนปิงเอ๋อร์มากกว่า!”

โจวเหว่ยชิงไม่ได้พยายามปกปิดความจริงและพยักหน้าตามที่เธอพูด “ใช่ ข้ายังไม่อยากจะยอมแพ้ แม้ว่าวันนั้นมันจะเป็นความเข้าใจผิด แต่ข้าก็เป็นคนที่ทำร้ายเธอจริงๆ ถ้านั่นเป็นเจ้าหญิงตี้ฝูหยา เธอก็คงจะฆ่าข้าไปแล้ว แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่เพียงแต่ไม่ฆ่าข้าเท่านั้น แต่ยังสอนวิธีฝึกปราณให้ข้าด้วย ท่านพี่ ข้าชอบเธอจริงๆ”

เซียวหรูเซ่อมองโจวเหว่ยชิง ทันใดนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกฝาดเฝื่อนในใจเช่นนี้ เมื่อความเงียบอันน่าอึดอัดเกิดขึ้น เธอก็พูดแผ่วเบาว่า “ถ้าเจ้าชอบเธอ ก็เอาเลย ไปตามจีบเธอสิ  ด้วยทักษะธาตุทั้ง 4 ของเหว่ยน้อยของข้า เจ้ายังจะต้องกลัวว่าจะจีบเธอไม่ติดอีกเหรอ? แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะไม่ได้เก่งด้านบัญชาการทหารมากนัก แต่เธอเป็นคนดีจริงๆ เอาเถอะ ในอนาคต พี่สาวคนนี้จะไม่ต่อต้านเธอแน่นอน…”

“ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?” โจวเหว่ยชิงมองเธออย่างสงสัย

เซียวหรู่รู้สึกตกใจ ใช่! เกิดอะไรขึ้นกับข้า? ข้าแก่กว่าเหว่ยชิงตั้ง 7 ปี! “ทำไมข้าจะไม่สบายดีล่ะ? ไปกันเถอะ ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องกลับกันแล้ว ไม่เช่นนั้นผู้บัญชาการกองพันที่งดงามของเจ้าจะเป็นห่วงเอาได้” เซียวหรูเซ่อใช้โอกาสนี้ลุกขึ้นและเตรียมตัวออกเดินทางเพื่อปกปิดสีหน้าแดงซ่านของเธอ

โจวเหว่ยชิงก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเช่นกัน เขาจับมือเซียวหรูเซ่อและพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ว่าเซียวเซ่อคือเซียวหรูเซ่อแล้วล่ะก็ ข้าก็อยากจะให้ท่านเป็นคนที่อยู่กับข้าในวันที่มณีของข้าตื่นขึ้นมาเช่นกัน”

“เหอะ! ยังกล้าจะล้อข้าเล่นอีก! เจ้าคิดว่าข้าจะไม่กล้าทุบตีเจ้าให้ตายรึไง!” เซียวหรูเซ่อยกมือของเธอขึ้นแล้วเหวี่ยงไปยังศีรษะของโจวเหว่ยชิง แน่นอนว่าเขารีบก้มหลบด้วยรอยยิ้มกว้าง ขณะที่พวกเขาวิ่งไปที่ค่ายทหาร เด็กหนุ่มพูดก็พูดขึ้นว่า “ท่านพี่รู้หรือไม่? ตอนที่โตขึ้นแล้วท่านพ่อบอกว่าคู่หมั้นของข้าคือเจ้าหญิงตี้ฝูหยา ข้าบอกเขาว่าข้าไม่ต้องการเจ้าหญิงตี้ฝูหยา แต่ข้าต้องการให้เป็นท่านพี่หรูเซ่อของข้าแทนต่างหาก”

เมื่อพูดคำเหล่านั้นจบ โจวเหว่ยชิงก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เซียวหรูเซ่อยืนอยู่คนเดียวสักพักก่อนที่จะวิ่งตามเขาไป คราวนี้หญิงสาวรู้สึกถึงคลื่นความไม่สงบในใจของตนเองได้อย่างชัดเจน

ในตอนแรก หลังจากที่เธอแยกทางกับโจวเหว่ยชิง เธอก็ตั้งใจฝึกปราณอย่างเต็มที่เพื่อทำให้บิดาของเธอสมหวัง อย่างไรก็ตาม เธอก็ต้องผิดหวัง เนื่องจากเมื่ออายุได้ 16 ปี เธอกลับไม่ประสบความสำเร็จในการปลุกพลังมณีของเธอได้ ตั้งแต่นั้นมา เธอก็แต่งตัวเป็นผู้ชายเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนทหาร เธอได้ฝึกฝนยิงธนูอย่างหนัก และเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในที่สุดเธอก็ทำบางอย่างสำเร็จ นั่นก็คือการเข้าร่วมกองทัพด้วยฝีมือของตนเองและทำงานหนักจนถึงทุกวันนี้ และก็อาจพูดได้ว่าในชีวิตของเธอมีผู้ชายเพียง 2 คนที่สนิทกับเธอมากที่สุด คนหนึ่งคือบิดาของเธอ และอีกคนก็คือโจวเหว่ยชิงนั่นเอง

………………………………………………………….

การตอบสนองของเซียวเซ่อนั้นถือว่ารวดเร็วมาก หลังจากช่วงเวลาสั้นๆ เธอก็สามารถขยับตัวง้างธนูอุษาม่วงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดเธอเชื่อว่าพลังมณีของโจวเหว่ยชิงยังอยู่ในระดับแรกๆ และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาได้อีก ดังนั้นภายใต้ความรวดเร็วในการยิงธนูของเธอ เขาไม่อาจจะหลบหลีกได้พ้นแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เธอกำลังยกธนูอุษาม่วงขึ้นมานั้นเอง จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าอากาศกำลังหมุนขว้างอยู่รอบๆ ตัวเธออย่างรุนแรงและแสงสีฟ้าพุ่งเข้ามาใกล้ๆ จากนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าตนเองไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป

ภายในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ โจวเหว่ยชิงก็เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงเป็นระยะทาง 50 หลามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเซียวเซ่อด้วยรอยยิ้ม เผยให้เห็นใบหน้าที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์ของเขา จากนั้นคนเจ้าเล่ห์ก็หยิบลูกศรออกมาจากแล่งธนู และใช้ปูนขาวที่ปลายลูกศรดอกนั้นวาดวงกลมตรงกลางหน้าอกของเธอ

“นี่นับเป็นชัยชนะหรือยัง?” หลังจากที่เขาทำเช่นนั้นเสร็จ เซียวเซ่อก็พบว่าเธอตอนนี้เธอสามารถขยับร่างกายได้แล้ว

“ลม…นั่นคือทักษะธาตุที่เจ้าใช้เมื่อกี้ เจ้า…เจ้า…” ครั้งนี้เซี่ยวเซ่อลืมเกี่ยวกับการแพ้ชนะไปอย่างสิ้นเชิง เธอจ้องมองที่โจวเหว่ยชิง  ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและไม่เชื่อ

ก่อนหน้านี้เมื่อโจวเหว่ยชิงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขาในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ แม้ว่าเธอจะค่อนข้างตกใจ แต่เธอก็ยังสามารถรักษาความสงบของเธอเอาไว้ได้ ท้ายที่สุดหากอาณาจักรมีจ้าวมณีสวรรค์อีกคนนั่นก็ย่อมเป็นเรื่องดีแน่นอน หึ ไม่แปลกใจเลยที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะให้เขาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเธอ

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นโจวเหว่ยชิงกำลังวาดเครื่องหมายบนหน้าอกของเธอ ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าไอ้เจ้าตัวโง่เขลานี้ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถยิ่งกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์เสียอีก จริงๆ แล้วเขาครอบครองทักษะประเภทควบคุมที่แตกต่างกันถึง 2 แบบ และยังมีทักษะประเภทสนับสนุนอีก 1 แบบ!

เป็นที่รู้กันว่าไม่ว่าจะเป็นจ้าวมณีธาตุหรือจ้าวมณีสวรรค์ สิ่งที่คู่ต่อสู้กลัวที่สุดนั้นไม่ใช่ทักษะประเภทโจมตีหรือป้องกัน แต่เป็นทักษะประเภทควบคุมหรือสนับสนุน อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องยากมากที่จะกักเก็บทักษะประเภทนี้และมีเพียงอสูรสวรรค์ระดับปรมะ หรือสูงกว่าเท่านั้นที่จะมีทักษะเช่นนี้ได้ ดังนั้นจ้าวมณีสวรรค์ส่วนใหญ่จึงต้องฝึกฝนให้มีมณีอย่างน้อย 6 ชุดก่อนจึงจะกักเก็บทักษะเหล่านี้ได้ เมื่อเห็นอ้วนน้อยโจวแสดงทักษะยิ่งใหญ่พวกนี้ถึง 3 อย่างต่อเนื่องกัน แล้วเธอจะไม่แปลกใจได้อย่างไร?

“เฮ้ ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ท่านแพ้แล้ว! คราวนี้ท่านจะไม่กลับคำอีกรอบใช่ไหม?” โจวเหว่ยชิงยกมือขึ้นต่อหน้าเซียวเซ่อและโบกไปมารอบๆ แม้ในความเป็นจริงความภาคภูมิใจของเขาจะหายไปแล้วก็ตาม

หลังจากใช้ทักษะธาตุอย่างต่อเนื่อง ปราณสวรรค์ในร่างกายของเขาก็ใกล้จะหมดแล้ว และนี่เขาแค่เผชิญหน้ากับคนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นจ้าวมณีด้วยซ้ำ แน่นอนว่าด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างทำให้เขาไม่สามารถปลดปล่อยพลังทั้งหมดของตัวเองกับเซียวเซ่อได้ นั่นก็เพราะมันเสี่ยงต่อชีวิตของเธอ แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกเขายังขาดทักษะในการใช้งานทักษะธาตุ ดังนั้นเขาจึงต้องฝึกฝนให้มากขึ้น

‘ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา’ เป็นทักษะธาตุมิติทักษะแรกของโจวเหว่ยชิง และแม้เขาจะมีพลังมณีอยู่ในขั้นต่ำที่สุด แต่ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาก็ยังทำให้เด็กหนุ่มสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองไปโผล่ได้ทุกที่ภายในรัศมี 3 เมตรในพริบตาเดียว ทักษะนี้อาจจะดูไม่มีอะไรพิเศษมาก แต่มันก็ไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทักษะประเภทสนับสนุนระดับสูงสำหรับมณี 3 ดวงแรกอย่างไร้ประโยชน์ แท้จริงแล้วมันเป็นทักษะที่น่าเกรงขามมาก และทักษะนี้ก็สามารถช่วยชีวิตเขาได้เวลาคับขัน แน่นอนว่าหากเมื่อสักครู่โจวเหว่ยชิงไม่มีทักษะนี้ เขาก็อาจจะต้องพ่ายแพ้ไปแล้ว

‘ทักษะโซ่ตรวนวายุ’ เป็นทักษะธาตุลมทักษะแรกของโจวเหว่ยชิง และด้วยพลังมณีขั้นพื้นฐานระดับต่ำของเขา ทักษะนี้สามารถตรวจจับเป้าหมายได้ภายในระยะ 50 หลา ตราบใดที่พลังปราณสวรรค์ของเป้าหมายไม่มากเกินกว่าผู้ใช้เกิน 5 ระดับ เป้าหมายก็จะถูกพันธนาการไว้เป็นเวลา 3 วินาที และหากระดับปราณสวรรค์ของเป้าหมายต่ำกว่าผู้ใช้ เป้าหมายก็จะต้องถูกตรึงเพิ่มขึ้นอีก 1 วินาที พูดง่ายๆ ก็คือในทุกๆ ระดับที่ต่ำกว่าโจวเหว่ยชิง เป้าหมายจะถูกตรึงเพิ่มเป็นระดับละ 1 วินาที

แม้ว่าทั้งทักษะสัมผัสมืดและทักษะโซ่ตรวนวายุจะเป็นทักษะประเภทควบคุมเหมือนกัน แต่ทั้ง 2 ทักษะก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไปอย่างสุดขั้ว

ในแง่ของประสิทธิภาพการตรวจจับเป้าหมาย ทักษะสัมผัสมืดมีรัศมีตรวจจับ 25 เมตร แต่ทว่าทักษะโซ่ตรวนวายุสามารถตรวจจับได้ไกลถึง 50 เมตร อย่างไรก็ตาม ทักษะสัมผัสมืดมีความสามารถอีกหลายอย่างนอกเหนือจากแค่ควบคุมหรือตรึงเป้าหมายไว้กับที่ อีกทั้งมันยังสามารถสร้างความเสียหายเพิ่มเติมให้แก่ศัตรูได้ด้วย แต่หากเปรียบเทียบกับทักษะโซ่ตรวนวายุ จะเห็นได้ว่าทักษะนี้เป็นทักษะที่ใช้ควบคุมเป้าหมายได้อย่างเดียว แต่ก็ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน

อาจกล่าวได้ว่าทักษะสัมผัสมืดนั้นด้อยกว่าทักษะโซ่ตรวนวายุในแง่ของความสามารถในการควบคุมเป้าหมาย แต่เมื่อเพิ่มความสามารถในการดักจับศัตรูและความสามารถอื่นๆ แล้ว ทักษะสัมผัสมืดก็ถือได้ว่าแข็งแกร่งกว่าทักษะโซ่ตรวน   วายุเล็กน้อย และนี่คือความเหนือกว่าของ 1 ใน 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่อย่างทักษะธาตุมืด

อย่าคิดว่าความสามารถของ 2 ทักษะนี้ซ้อนทับกัน และไร้ประโยชน์ ด้วยระดับปราณปัจจุบันของเขา หลังจากใช้ทักษะหนึ่งแล้ว โจวเหว่ยชิงจำเป็นต้องใช้เวลาเกิน 5 วินาทีเพื่อปรับสภาพร่างกายจึงจะสามารถใช้ทักษะนั้นได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาเปลี่ยนไปใช้ทักษะอื่นซะ ปัญหานี้ก็จะหมดไปไม่ใช่หรือ? นอกจากนี้ ด้วยความแตกต่างในด้านระยะการโจมตีและข้อจำกัดในการต่อสู้แต่ละครั้ง ทักษะที่เด็กหนุ่มใช้จึงจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ได้

แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าขณะที่เขากักเก็บทักษะในสำนักกักเก็บทักษะ โจวเหว่ยชิงได้คิดวางแผนทั้งหมดไว้แล้วอย่างชาญฉลาด กุญแจสำคัญก็คือเขากักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับเทวะทุกครั้งต่างหาก และแน่นอนว่าอสูรสวรรค์ระดับนี้จะให้ทักษะที่กระจอกงอกง่อยได้อย่างไร?

เซียวเซ่อมองโจวเหว่ยชิงด้วยใบหน้าโกรธๆ ก่อนที่เธอจะถอนหายใจ และปล่อยมือทิ้งธนูอุษาม่วงร่วงลงพื้น จากนั้นเธอหันหลังเดินจากไป

แพ้แล้ว เธอแพ้แล้ว! ไม่ใช่แค่กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ยังรวมถึงอ้วนน้อยโจว! หากรวมจ้าวมณีสวรรค์ทั้ง 2 คนนี้ด้วยกัน เธอจะแข่งกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างไร? ในใจเซียวเซ่อเวลานี้รู้สึกขมขื่น และเศร้าสร้อย ดูเหมือนไม่ว่าเธอจะฝึกหนักแค่ไหน ความสามารถของเธอก็ยังเทียบไม่ได้กับพรสวรรค์ของผู้อื่น!

“ท่านจะจากไปเช่นนั้นหรือ?! โจวเหว่ยชิงหยิบธนูอุษาม่วงของเซียวเซ่อขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะไล่ตามเธอไปอย่างรวดเร็วและไปยืนขวางทางของเธอเอาไว้

เซียวเซ่อมองดูใบหน้าซื่อๆ ที่ซ่อนความเจ้าเล่ห์ของอ้วนน้อยโจว เธอพูดด้วยความโกรธว่า “ข้าแพ้ไปแล้ว เจ้ายังจะต้องการอะไรอีกล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยท่าทีสบายๆ “ถ้าข้าจำไม่ผิด เราพนันผลของการแข่งขันครั้งนี้ไว้นี่นา…”

เซียวเซ่อชักสีหน้า “เจ้าต้องการอะไร?”

โจวเหว่ยชิงก้าวไปข้างหน้าแล้วยิ้มออกมา “ข้าจำได้ว่าท่านจะยอมทำอะไรก็ตามที่ข้าบอก”

เซียวเซ่อถอยไปหนึ่งก้าวและคิ้วของเธอก็ขมวดขึ้น “อย่ามายืนใกล้ข้า แน่นอนว่าข้ารักษาคำพูดของข้าเสมอ พูดมา”

ทันทีที่เธอก็พูดจบ โจวเหว่ยชิงก็ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว เดิมระยะทางระหว่างพวกเขานั้นก็น้อยกว่าหนึ่งหลาอยู่แล้ว และการก้าวเท้าครั้งนี้ของเขาก็ทำให้ร่างกายของทั้งสองสัมผัสโดนซึ่งกัน และกัน ก่อนที่เซียวเซ่อจะตอบสนอง โจว เหว่ยชิงก็ขยับศีรษะไปข้างหน้าแล้วจูบเธอทันที

เซียวเซ่อตกใจกับจูบนั้นอย่างมาก และตอบสนองด้วยการวาดมือตบหน้าเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว โจวเหว่ยชิงดูเหมือนจะคาดเดาได้ว่าเธอจะต้องทำเช่นนั้น เขาจึงเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือของเซียวเซ่อได้ทัน “ท่านพี่หรูเซ่อ ท่านจะผิดคำพูดไม่ได้นะ นี่คือเงื่อนไขของข้าหากท่านแพ้พนัน”

เซียวเซ่อรู้สึกตัวกลับเข้าสู่ความเป็นจริงทันที ใบหน้านวลเนียนราวหยกเนื้อดีของเธอขึ้นสีแดงก่ำด้วยความอับอาย อย่างไรก็ตาม เธอจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง “เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ ?”

โจวเหว่ยชิงก้าวถอยหลังไปอีก 2 ก้าวแล้วยิ้มในขณะที่เขาพูด “ท่านพี่หรูเซ่อ หยุดแสดงละครได้แล้ว! ท่านลุงเซียวมีลูกสาวเพียงคนเดียว คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ข้าจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? ข้าคือโจวเหว่ยชิง!”

“หาาาาาา? เจ้าคือสัตว์ประหลาดน้ำมูกย้อยโจวเหว่ยชิง?” ใบหน้าของเซียวหรูเซ่อเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ อย่างไรก็ตาม ในวินาทีต่อมาเธอก็ดึงดาบออกจากเอวของเธอชี้ไปที่โจวเหว่ยชิง ก่อนจะพูดอย่างเยือกเย็น “เจ้าพยายามหลอกใครอยู่ โจวเหว่ยชิง เจ้าน้ำมูกย้อยคนนั้นในปีนี้น่าจะอายุแค่ 14 ปี เจ้าลองมองดูตัวเองสิ เจ้าคิดว่าสารรูปอย่างเจ้าจะอายุ 14 ปีได้ไหม?”

………………………………………………………………

เมื่อไพฑูรย์ตาแมวสองสีกลิ้งเข้าไปฝังในช่องบรรจุมณีบนธนูราชัน โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่าพลังปราณสวรรค์ของตนลดลงอย่างเห็นได้ชัด เห็นดังนั้นเขาจึงไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป เด็กหนุ่มง้างธนูและยิงออกไปอย่างรวดเร็ว

จู่ๆ บางอย่างก็ทำให้เขาประหลาดใจ โจวเหว่ยชิงพบว่าธนูราชันนั้นมีแรงต้านเกือบ 10 เท่าของธนูอุษาม่วง ถึงแม้ร่างกายของตนจะมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากจากมณียุทธ์ แต่ทว่าเขาก็แทบจะง้างธนูราชันนี้ขึ้นให้สุดไม่ได้ ในที่สุดเมื่อง้างธนูนี้จนเห็นเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวง หน้าผากของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อจากการออกแรง ยิ่งไปกว่านั้นเด็กหนุ่มถึงกับใช้ปราณสวรรค์ไป 1 ใน 3 ส่วนเต็มๆ

ในจิตใต้สำนึกของโจวเหว่ยชิง แสงสีดำค่อยๆ แผ่ออกมาจากไพฑูรย์ตาแมวสองสีทันที จากนั้นลวดลายสีดำก็ค่อยๆแพร่กระจายไปทั่วธนูราชันทั้งคันอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งสายธนูก็ยังเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งหมด ลูกศรฝึกซ้อมที่พาดลงบนธนูราชันเริ่มสั่นเล็กน้อยราวกับว่ามันเกือบจะต้านทานพลังงานมหาศาลของธนูไม่ไหว และอาจจะแตกสลายได้ทุกเวลา

โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกับหันหลังกลับอย่างกระทันหัน โผล่ให้เห็นเพียงแค่มือขวาและธนูราชันในขณะที่ร่างยังคงซ่อนอยู่หลังต้นไม้ ด้วยการเล็งเพียงเสี้ยววินาที ทันใดนั้นเขาปล่อยสายธนูให้ลูกศรพุ่งออกไป

โดยปกติแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้ทักษะธาตุโดยตรงกับธนูและลูกศร แต่หากใช้ผ่านหลุมบรรจุมณีบนศาสตรามณียุทธ์ชิ้นนั้น เราก็สามารถใช้ทักษะธาตุกับศาสตราวุธได้แล้ว และนี่ก็เป็นครั้งแรกของโจวเหว่ยชิงที่ลองใช้มัน ศาสตรามณียุทธ์ของเด็กหนุ่มหลอมรวมเข้ากับทักษะธาตุมณี ด้วยการยิงลูกศรดอกนี้เพียงครั้งเดียว เขาถึงกับเสียปราณสวรรค์ไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงคลายมือจากสายธนูราชัน เขารู้สึกราวกับว่าพลังในร่างกายพลันแห้งเหือดไปจนหมด ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทา และจู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วป่า แม้สายตาของโจวเหว่ยชิงจะเฉียบคมแค่ไหน แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของลูกศรดอกนี้ได้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้ยินเสียงระเบิดห่างออกไปประมาณ 70 หลา อีกทั้งยังรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินใต้ฝ่าเท้า

“ให้ตาย! ใครจุดปะทัดวะเนี่ย!” โจวเหว่ยชิงตกใจเป็นอย่างมาก เขากระโดดขึ้นไปดูอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเขาดันเป็นฉากที่น่าตกใจเสียจนเขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

ณ พื้นดินที่อยู่ห่างออกไปเพียง 70 หลา ที่นั่นเกิดหลุมขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เมตร และลึกกว่า 1.5 เมตร ในรัศมีประมาณ 30 เมตรรอบๆ หลุมนั้น มีใบไม้และชิ้นส่วนต่างๆ ของต้นไม้โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าไม่หยุดหย่อน หนวดสีดำทั้ง 12 เส้นกำลังเกี่ยวรัดรอบๆ ร่างกายของเซียวเซ่ออย่างแน่นหนา และเซียวเซ่อผู้ที่กำลังยืนอยู่ตรงกลางของหลุมขนาดใหญ่นั้น เห็นได้ชัดว่าเธอไม่สามารถขยับได้และกำลังตกอยู่ในสภาพมึนงง

เมื่อทักษะสัมผัสมืดจับเป้าหมายไว้ได้แล้ว มันก็จะพยายามยึดโยงร่างของเป้าหมายและลากไปหาจ้าวมณีผู้ใช้ทักษะนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโจวเหว่ยชิงหยุดส่งปราณสวรรค์ไปหล่อเลี้ยงพวกมันแล้ว มันจึงทำได้เพียงแค่ตรึงเป้าหมายไว้กับที่เนื่องจากเป้าหมายยังไม่สามารถดิ้นหลุดพ้นจากแรงยึดของมันได้

โจวเหว่ยชิงรีบเก็บธนูราชัน เขาหยิบธนูอุษาม่วงของตนขึ้นมาอย่างใจเย็นแล้วหยิบลูกธนูอีกดอกออกมา ก่อนที่จะเดินไปทางเซี่ยวเซ่อ

หลังจากถูกทำให้ขยับไม่ได้เป็นระยะเวลาช่วงหนึ่ง เซี่ยวเซ่อก็ค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมา ทักษะนี้สามารถทำให้เป้าหมายชะงักได้นานประมาณ 4-5 วินาที นี่ไม่ได้เป็นผลงานของทักษะสัมผัสมืดเพียงอย่างเดียว แต่เนื่องจากความแข็งแกร่งของลูกธนูที่ยิงโดยธนูราชัน นั่นทำให้เธอถึงกับชะงักค้างไปด้วยเช่นกัน ยิ่งโจวเหว่ยชิงเอง เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าพลังของธนูราชันเมื่อรวมเข้ากับพลังของไพฑูรย์ตาแมวสองสีจะมีพลังมหาศาลขนาดนี้

ธนูราชันที่เป็นเพียงศาสตรามณียุทธ์ของมณีดวงแรกของเขานั้นมีระยะการโจมตีเกือบ 1 กิโลเมตร และด้วยคุณสมบัติบางอย่างของตัวของมันเอง นั่นจึงส่งผลให้เกิดการระเบิดเช่นนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเวลาที่โจวเหว่ยชิงใช้ธนูราชัน พลังปราณสวรรค์ของเขาถึงถูกดูดกลืนไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งรวมกับการใช้ทักษะสัมผัสมืดก่อนหน้านี้ด้วยแล้ว ตอนนี้โจวเหว่ยชิงจึงเหลือพลังปราณสวรรค์แทบจะไม่ถึง 1 ใน 3 ส่วน

เซียวเซ่อแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าทุกอย่างตรงหน้าเธอจะเป็นเรื่องจริง เมื่อไม่นานมานี้เธอเพิ่งจะทำให้โจวเหว่ยชิงตกเป็นรองอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังห่างจากชัยชนะเพียงไม่กี่ก้าว แต่ทว่าทันทีที่เธอคิดเช่นนั้น เสียงอะไรบางอย่างก็คำรามแหวกอากาศออกมา และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไร ระเบิดครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นห่างจากเธอไปเพียงไม่กี่หลา จากนั้นแรงสั่นสะเทือนที่ตามมาก็ทำให้เธอชะงักด้วยความตกใจสุดขีด ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ไม่ใช่จ้าวมณี ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถฝึกฝนปราณสวรรค์ไปได้จนถึงระดับที่ 2 อีกทั้งความแข็งแกร่งทางกายภาพก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่การต้องเผชิญหน้ากับการระเบิดที่รุนแรงอย่างกะทันหันเช่นนี้ เธอก็ได้แต่รับการแรงแทกจนร่างกายกระเด็นออกไปและได้แต่ยืนอยู่นิ่งๆมองดูอย่างตกตะลึง

เมื่อรู้ตัวอีกที เธอก็พบว่าตัวเองถูกตรึงอยู่กับพื้นด้วยเงาหนวดสีดำ ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่สามารถขยับตัวให้หลุดพ้นจากพันธนาการของพวกมันได้ และตอนนี้อ้วนน้อยโจวก็ยืนอยู่ข้างหน้าพร้อมกับหัวลูกศรที่ชี้มาที่เธอ

“ท่านแพ้แล้ว” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างอย่างเฉื่อยชา

ตาของเซียวเซ่อหรี่ลงขณะที่เธอพูด “เจ้าเป็นจ้าวมณี?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าพร้อมกับยกข้อมือขวาของเขาขึ้นมาและเผยให้เห็นมณียุทธ์หยกน้ำแข็งที่เปล่งประกายระยิบระยับ เขากล่าวว่า “ถ้าจะให้ถูกต้องกว่านั้น ข้าคือจ้าวมณีสวรรค์ต่างหาก”

เซียวเซ่อสั่นสะท้านเล็กน้อย ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงอยู่ห่างจากเธอไปไม่ถึง 50 หลา เธอพูดอย่างหดหู่ “ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ก็ได้ หากพ่ายแพ้ให้แก่จ้าวมณีสวรรค์ข้าคิดว่ามันก็ยังยุติธรรมอยู่”

โจวเหว่ยชิงเรียกคืนทักษะสัมผัสมืดอย่างรวดเร็ว  เขายิ้มในขณะที่ยังถือลูกธนูเอาไว้

ในขณะที่กำลังจะเดินไปข้างหน้าเพื่อทักทายเซียวเซ่อและบอกเธอว่าเขาเป็นใคร ทันใดนั้นใบหน้าที่เศร้าสลดของเซียวเซ่อก็หายวับไปในพริบตาเดียว จู่ๆ ธนูอุษาม่วงของเธอก็ถูกยกขึ้นง้าง และเล็งไปยังโจวเหว่ยชิง ความเร็วของเธอนั้นมากเกินไป และด้วยการตรวจสอบของเด็กหนุ่ม เขาพบว่าแม้ตนเองจะใช้ทักษะธาตุลม เขาก็ยังช้ากว่าเธออยู่ดี นี่ย่อมเป็นผลมาจากการฝึกยิงธนูซ้ำแล้วซ้ำเล่าในระยะเวลาหลายปี

โจวเหว่ยชิงหยุดชะงักทันที ในระยะใกล้เช่นนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใช้ธนูอุษาม่วงยิงออกไป

“เจ้าโกงหน้าด้านๆ!” โจวเหว่ยชิงจ้องไปยังเซียวเซ่อ

ดวงตาของเซียวเซ่อเผยความหยอกล้อ “ข้าลงมืออย่างไร้ยางอายหรือ? โอ้ เจ้าคิดว่าคำพูดของข้าก่อนหน้านี้คือการยอมรับความพ่ายแพ้หรือ? ช่างโง่เขลาเสียจริง เหตุใดเจ้าถึงเชื่อคำพูดของศัตรูได้อย่างง่ายดายขนาดนี้? หากนี่คือสนามรบ เจ้าก็คงตายไปแล้ว พวกเราก็ได้ฟังกฏการแข่งขันไปแล้วไม่ใช่หรือ? กฏก็คือคนที่ยิงโดนฝั่งตรงข้ามจะได้รับชัยชนะ ไม่มีข้อไหนพูดถึงการยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยปากเปล่าเลยนี่นา เจ้านั่นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้”

ในขณะที่เธอพูด เซียวเซ่อก็ยกนิ้วของเธอเบาๆ จากนั้นลูกธนูก็พุ่งออกมาด้วยความเร็วสูงสุดมุ่งตรงไปที่โจวเหว่ยชิง เนื่องจากเธอได้ชี้ให้เห็นความผิดพลาดของโจวเหว่ยชิง ดังนั้นเธอจึงจะไม่ทำผิดพลาดแบบเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม วินาทีถัดมาม่านตาของเซียวเซ่อก็หดตัวอย่างกระทันหัน ร่างกายของเธอก็รู้สึกแข็งค้างด้วยความตกใจ นั่นเป็นเพราะลูกศรที่เธอคิดว่าจะนำชัยชนะมาให้เธออย่างแน่นอนนั้นกลับพลาดท่ายิงไม่โดนเป้าหมาย ร่างของโจวเหว่ยชิงจู่ๆ ก็เหมือนจะหายวับไปในอากาศทันทีที่เซียวเซ่อปล่อยลูกธนูออกมา จากนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วห่างออกไป 3 หลาโดยที่มีแสงสีเงินเรืองรองอยู่รอบๆตัว ทันใดนั้นร่างของเด็กหนุ่มก็กระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับเสือดาวและมุ่งหน้าไปยังเซียวเซ่อ

‘เคลื่อนย้ายในพริบตา?’ เขาใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาเมื่อกี้ใช่หรือไม่? แม้ว่าเสี่ยวเซ่อจะไม่ใช่จ้าวมณี แต่เธอก็มีความรู้และประสบการณ์อยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าทักษะเคลื่อนย้ายพริบตานี้เป็นทักษะสนับสนุนระดับสูงของมณีธาตุ 3 ดวงแรก! นี่ยังไม่ได้รวมถึงทักษะธาตุมืดที่เขาใช้ก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ หรือว่าอีกฝ่ายจะมีทักษะธาตุแบบคู่? นี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

………………………………………………………….

หลังจากพบว่าอสูรสวรรค์ระดับเทวะหวาดกลัวเขา และให้ความร่วมมือกับการกักเก็บทักษะของเขาเป็นอย่างดี โจวเหว่ยชิงจึงได้แต่กรุ่นคิด จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าสิ่งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับไข่มุกสีดำแปลกๆ นั่นแน่นอน พลังของไข่มุกสีดำมักจะให้ก่อให้เกิดภาพเสือดำขนาดใหญ่ที่มีปีกขึ้นมาภายใต้จิตใต้สำนึกของเขา และเสือก็ถือเป็นราชาแห่งสัตว์ร้าย ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าอสูรสวรรค์ทุกตัวหวาดกลัวกลิ่นอายของมัน

หลังจากใช้เงินไปจนหมด 50,000 เหรียญทองแล้ว โจวเหว่ยชิงก็สามารถกักเก็บทักษะระดับสูงที่คนอื่นๆ อาจทำไม่สำเร็จแม้พวกเขาจะจ่ายไปถึง 5 ล้านเหรียญทองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตอนนี้โจวเหว่ยชิงกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์อย่างแท้จริงแล้วเพราะว่าเขาเพียบพร้อมไปด้วยทักษะธาตุ และศาสตรามณียุทธ์ครบครัน

ทักษะ ‘สัมผัสมืด’ ในมณีระดับปัจจุบันของเขาสามารถส่งหนวดของพวกมันออกไปได้มากสุด 12 เส้น พวกมันสามารถกระจายตัวออกไปรอบๆ ได้ในรัศมี 25 เมตร และภายในรัศมีนี้ประสาทสัมผัสของโจวเหว่ยชิงจะไวขึ้นเป็น 3 เท่าจากปกติ ในเวลาเดียวกันหากเขาทำการเลือกเป้าหมายแล้ว เมื่อคนๆ นั้นเดินเข้ามาในอาณาเขตและเหยียบโดนเงาหนวดพวกนั้น ภายใต้การควบคุมของเขา หนวดเหล่านั้นก็จะยึดร่างเป้าหมายเอาไว้ด้วยแรง 1,000 จิน (1 จิน เท่ากับ ครึ่งกิโลกรัม) ตราบใดที่พละกำลังของเป้าหมายน้อยกว่า1,000 จิน หรืออาจจะกล่าวได้ว่า หากแรงดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นไม่ถึง 1,000 จิน คนๆ นั้นก็จะถูกลากไปหาโจวเหว่ยชิงในสภาพไม่สามารถขยับตัวได้ทันที

นี่คือทักษะธาตุที่โจวเหว่ยชิงได้รับจากสัตว์อสูรหมึกยักษ์สีดำขนาดใหญ่ กล่าวไว้ว่า หากอสูรสวรรค์ระดับเทวะตัวนี้ใช้ทักษะของมัน รัศมีของทักษะ ‘สัมผัสมืด’ นั้นจะสูงถึง 1 กิโลเมตร และเมื่อหนวดพวกนั้นสัมผัสโดนเป้าหมายแล้ว แรงดึงของมันจะมีมากกว่า 100,000 จิน พวกมันจึงใช้ทักษะนี้ลากอาหารมากินได้ในชั่วพริบตา

โจวเหว่ยชิงรู้จากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ว่าทักษะเหล่านี้จะสามารถพัฒนาขึ้นได้เองเมื่อระดับพลังของมณีธาตุเพิ่มขึ้น และก็เหมือนเคย การเพิ่มระดับทักษะธาตุของจ้าวมณีสวรรค์นั้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 เท่าของจ้าวมณีธาตุธรรมดา ดังนั้น หากในอนาคตเขาฝึกฝนไปจนถึงจุดหนึ่งแล้ว ความแข็งแกร่งของทักษะ ‘สัมผัสมืด’ ก็จะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะทักษะนี้จัดเป็นทักษะชั้นนำของธาตุมืดเลยทีเดียว

หลังจากปลดปล่อยทักษะ ‘สัมผัสมืด’ แล้ว โจวเหว่ยชิงก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป รัศมี 25 เมตรนั้นไม่ถือว่าเล็ก ตราบใดที่เซียวเซ่อเดินเข้ามาในเขตพื้นที่ของเขา เขาก็จะต้องเอาชนะเธอได้อย่างแน่นอน ใช้ทักษะธนูเพื่อแข่งขันกันอย่างเดียว? มีเพียงคนโง่เท่านั้นแหละที่จะทำแบบนั้น! ท่าทางมั่นอกมั่นใจของหญิงสาวก็บอกได้อย่างชัดเจนว่าฝีมือการยิงธนูของเธอต้องดีมากอย่างแน่นอน เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถใช้ปราณสวรรค์ได้ในระหว่างการแข่งขันทหารใหม่ โจวเหว่ยชิงจึงทำได้เพียงใช้ทักษะการยิงธนูที่เขาได้เรียนรู้มาก่อนหน้านี้อย่างเต็มศักยภาพ  ส่วนทักษะการยิงธนูที่ล้ำลึกกว่านี้คงต้องอาศัยความร่วมมือของปราณสวรรค์ในร่าง ซึ่งเขาก็คงจะต้องเรียนรู้เองโดยธรรมชาติ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวเซ่อก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ทำไมเจ้าอ้วนน้อยโจวถึงไม่ส่งเสียงหรือเคลื่อนไหวใดๆเลย เนื่องจากเธอตั้งใจทำเสียงดังให้เขาได้ยิน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบกลับ แต่อย่างน้อยก็ควรจะยิงลูกธนูออกมาใส่เธอบ้าง! ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หญิงสาวก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง

น่าเสียดาย สำหรับโจวเหว่ยชิงแล้ว หลังจากเขากรุ่นคิดถึงความสำเร็จและภาคภูมิใจในตนเองได้ไม่นาน เด็กหนุ่มก็พลันรู้สึกหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อย นี่เป็นเพราะเขาค้นพบว่าแม้ทักษะสัมผัสมืดนี้จะดีมาก  แต่หลังจากปลดปล่อยพวกมันออกไปแล้วจริงๆ พวกมันกลับดูดกลืนพลังปราณสวรรค์จำนวนมหาศาลไปจากตัวเขาเพื่อคงรูปร่างของพวกมันไว้ แม้ว่าความเป็นจริงแล้วโจวเหว่ยชิงจะยังไม่ได้เลือกเป้าหมายเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งความเร็วในการดูดกลืนก็ยังถือว่าไม่เร็วมาก แต่ด้วยพลังปราณสวรรค์ระดับ 4 ของเขา ระยะเวลาที่เด็กหนุ่มสามารถคงรูปพวกมันไว้ได้ก็ยังค่อนข้างจำกัด

ทำยังไงดี? ดูเหมือนว่าจะรอต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นหากพลังปราณสวรรค์ของตนหมดเกลี้ยง เขาก็อาจไม่สามารถเอาชนะเธอได้

ในขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โจวเหว่ยชิงก็ไถลตัวลงมาจากต้นไม้อย่างระมัดระวัง หยิบหินขึ้นมาจากพื้นดินแล้วโยนลงออกไปพุ่มไม้ด้านหน้า

ทันทีที่หินตกลงไปในพุ่มไม้ก็มีเสียง *ปั่ก* ดังออกมาทันที อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงรู้สึกประหลาดใจมากที่เสี่ยวเซ่อไม่ได้ถูกยิงลูกศรออกมาเลย

ในอีกด้านหนึ่ง มุมปากเซี่ยวเซ่อขยับขึ้นสูง โยนก้อนหินเพื่อให้ข้าเผยตัว? เจ้าพยายามจะหลอกลวงข้าด้วยเล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เองหรือ? เธอกระโดดขึ้นสูงอย่างนุ่มนวล คว้ากิ่งไม้ใหญ่อันหนึ่งไว้และม้วนตัวขึ้นไปบนนั้นอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้บริเวณที่มีเสียงดังออกมา ในฐานะนักธนูที่มีความสามารถโดดเด่น ความสงบ และมั่นคงเป็นคุณสมบัติสำคัญที่นักธนูพึงมี

โจวเหว่ยชิงเห็นว่าความคิดชั่ววูบเมื่อกี้ของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า ฉับพลันอีกความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในทันที เด็กหนุ่มกลับไปซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ จากนั้นก็ตะโกนออกมาว่า “ข้าอยู่ที่นี่”

คราวนี้เซียวเซ่อไม่มีการลังเลอีกต่อไป ลูกศรดอกหนึ่งพุ่งออกมาทันที มันปะทะเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่โจวเว่ยชิงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังอย่างแม่นยำ  เธอใช้ธนูอุษาม่วงแต่ลูกธนูฝึกซ้อมก็มีความเฉื่อยอยู่มาก เมื่อลูกธนูกระทบกับต้นไม้ทำให้ต้นไม้สั่นไหวทันที

ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกอยากจะเปลี่ยนตำแหน่งที่ซ่อนทันทีเนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงรังสีอาฆาตของเธอผ่านทักษะสัมผัสมืดที่กางไว้  ทันใดนั้นเอง จู่ๆเด็กหนุ่มก็ต้องตัวแข็งทื่อ *หวือ* *หวือ* ลูกศรอีก 2 ลูกพุ่งเข้ามาต่อจากดอกแรกแทบจะทันที และพวกมันปะทะเข้ากับจุดเดียวกับที่ลูกศรก่อนหน้านั้นพุ่งชนอย่างแม่นยำ

แม่เจ้า! กะ แกร่งมาก! เธอใช้ทั้งทักษะลูกศรยิงเร็วและลูกศรยิงคู่ไปพร้อมๆ กันได้ ไม่น่าแปลกใจที่เธอจะมั่นใจในตัวเองขนาดนี้

‘ลูกศรยิงเร็ว’ หมายถึงการยิงธนูตามออกไปทันทีหลังยิงครั้งแรกด้วยความเร็วสูงมาก และ ‘ลูกศรยิงคู่’ คือการยิงธนูพร้อมกันทีเดียว 2 ดอก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทักษะการยิงธนูขั้นสูงและเป็นเรื่องยากที่จะฝึกให้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับลูกศรยิงคู่  เนื่องจากการยิงลูกศร 2 ดอกในเวลาเดียวกันให้แม่นยำนั้นยากมาก ทุกคนจึงสามารถจินตนาการได้ถึงความแข็งแกร่งของนักธนูคนนั้นได้

ขณะนี้เซียวเซ่อกำลังยืนอยู่ห่างจากโจวเหว่ยชิงประมาณ 150 หลา และในขณะที่เธอกำลังระดมยิงอย่างต่อเนื่องนั้น เธอก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ใหญ่และเคลื่อนตัวไปหาโจวเหว่ยชิงอย่างรวดเร็ว มือขวาของเธอเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายฟ้า ลูกธนูกระโจนเข้ามาในมือของเธออย่างไม่หยุดหย่อน พวกมันถูกยิงออกไปโดยธนูอุษาม่วงทุกๆ ด้าน ทำให้โจว เหว่ยชิงตกเป็นรอง ลูกศรพวกนั้นบังคับให้โจวเหว่ยชิงต้องซ่อนตัวอยู่ที่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นอย่างยากจะหลบหลีกพ้น ในเวลาเดียวกัน เซียวเซ่อก็เปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็วตลอดเวลา เธอขยับเข้าใกล้เข้าเรื่อยๆ ในขณะที่เดินวนไปรอบๆ เป็นวงกลมเพื่อสกัดเขาให้หมดจดทุกทิศทาง

ลูกศรยิงเร็วของเซียวเซ่อนั้นรวดเร็วเกินไป แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะพึ่งพาประสาทสัมผัสที่เพิ่มขึ้นจากทักษะสัมผัสมืดของตัวเอง แต่เขาก็ยังไม่สามารถจับตำแหน่งของเธอได้อย่างเต็มที่เพื่อจะทำการวางแผนหลบหนีให้พ้น เมื่อเธอเข้าใกล้ถึงระยะ 100 หลา ด้วยความแข็งแกร่งของธนูอุษาม่วง และทักษะการยิงที่น่าอัศจรรย์ของเธอ สำหรับโจวเหว่ยชิงแล้ว นี่มันยากเกินกว่าที่เขาจะหลบพ้นได้

ขณะที่ระยะห่างระหว่างพวกเขาแคบลงอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่ช่องว่างระหว่างทั้งคู่จะลดลงเหลือ 80 หลา ลูกศรของเซียวเซ่อพุ่งเข้ามาเร็วขึ้น และเร็วขึ้นเรื่อยๆ โจวเหว่ยชิงทำได้เพียงพึ่งพาสัญชาตญาณของเขาในการขยับเคลื่อนที่ไปรอบๆ ต้นไม้อย่างไม่หยุดหย่อนและใช้มันเป็นที่กำบัง

ริมฝีปากของเซียวเซ่อยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น ในสายตาของเธอ เธอชนะการแข่งขันครั้งนี้แล้ว เธอยังคงมีลูกธนูเหลือมากกว่า 20 ดอกในที่แล่งธนูของเธอ และตราบใดที่เธอเข้าใกล้ถึงระยะ 50 หลา ด้วยพลังปราณสวรรค์ระดับ 2 ของเธอ นั่นก็เกินพอแล้วที่จะยิงทะลุผ่านต้นไม้ที่ผ่านการยิงจนพรุนต้นนั้น เมื่อถึงเวลานั้น โจวเหว่ยชิงจะซ่อนตัวได้อย่างไรหากไม่มีต้นไม้ป้องกัน เฮ้อ นี่ช่างเป็นชัยชนะที่ง่ายดายเสียจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้โจวเหว่ยชิงที่ซ่อนตัวอยู่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน เขาคิดกับตัวเองว่า ข้าไม่ได้เป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ แต่ข้าเป็นนักธนูจ้าวมณีสวรรค์!

เขาพลันถอนทักษะสัมผัสมืดกลับคืนอย่างรวดเร็ว โจวเหว่ยชิงพิงธนูอุษาม่วงบนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น

แม้ว่าวงล้อทักษะธาตุของโจวเหว่ยชิงจะยังคงหยุดอยู่ในส่วนสีดำ แต่เขาก็ยกมือขวาขึ้นมาถ่ายเทปราณสวรรค์ลงในมณียุทธ์ ไอหมอกอันเย็นยะเยือกและธนูราชันก็ปรากฏตัวขึ้น หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สายธนูก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ

โจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปถือคันธนูด้วยมือซ้าย และเมื่อเพ่งสมาธิไปยังไพฑูรย์ตาแมวสองสีบนข้อมือของเขา มันขยับตัวกลิ้งออกมาเงียบๆบนมือและกลิ้งตกลงไปยังหลุมเล็กๆ ที่เว้าลงไปบนตัวคันธนู  ทันใดนั้นธนูราชันก็ส่องสว่างด้วยแสงเรืองรองจากไพฑูรย์ตาแมวสองสี

…………………………………………………………….

โจวเหว่ยชิงมองเธออย่างระมัดระวังและส่ายหัวโดยไม่ลังเล “ไม่ ข้าไม่ต้องการ”

เซียวเซ่อขมวดคิ้วของเธอแล้วพูดว่า “เจ้ากลัวรึ?”

โจวเหว่ยชิงถามเธอกลับแทน “ทำไมข้าต้องแข่งขันกับท่าน? แข่งไปข้าจะได้อะไร?”

เซียวเซ่อกล่าวอย่างเย็นชา “หากเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะยกตำแหน่งผู้บัญชาการกองร้อยให้แก่เจ้าเป็นอย่างไร?”

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงกรอกไปมา จากนั้นเขาก็พูดว่า “แล้วถ้าข้าแพ้ล่ะ?”

เซียวเซ่อกล่าวอย่างเจ็บแสบ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หายไปจากค่ายทหารของเราซะ หรืออย่างน้อยก็ออกไปจากกองพันที่ 3 ของเรา!” เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถเอาชนะซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้หากวัดจากความแข็งแกร่งเฉพาะตัว นั่นเป็นเพราะซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นจ้าวมณีสวรรค์ แต่เธอเชื่อว่าเธอแข็งแกร่งกว่าทหารทุกคนในกองร้อยของเธอมาก อย่างไรก็ตาม อ้วนน้อยโจวดันปรากฏตัวขึ้นและขัดขวางแผนการของเธอในการทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต้องเสียหน้า นั่นก็หมายความว่า แผนการจะคว้าตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันของเธอก็ยากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเธอก็คือการพิสูจน์ว่าเธอเก่งกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์

“ ไม่ล่ะ เป็นผู้บัญชาการกองร้อยแล้วดียังไง? เทียบกับการได้ติดตามข้างกายผู้บัญชาการกองพันผู้งดงามได้  หรือ?” โจวเหว่ยชิงส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำอีก สีหน้าของเขาปรากฏร่อยรอยความจริงจัง แน่นอนว่าในใจของเขากำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ เด็กหนุ่มคิดกับตัวเอง เซียวเซ่อ เซียวหรูเซ่อ หึๆๆๆๆๆ

“เจ้าอายุเท่าไหร่? ในหัวคิดได้แต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือ? ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องการอะไรล่ะ?” ความโกรธพุ่งวาบเข้ามาในดวงตาของเซียวเซ่อ

โจวเหว่ยชิงยักไหล่และพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ หากข้าแพ้อย่างที่ท่านว่า ข้าจะละทิ้งผู้บัญชาการกองพัน และออกไปจากกองพันที่ 3 ของเรา อย่างไรก็ตาม หากท่านแพ้ ท่านต้องยอมรับเงื่อนไขข้อหนึ่งจากข้า แต่ว่าข้ายังไม่คิดว่าเงื่อนไขนี้จะเป็นเช่นไร”

คิ้วของเซียวเซ่อขมวดขึ้นขณะที่เธอมองโจวเหว่ยชิง แต่เจ้าอ้วนน้อยโจวนี้มีหน้าตาที่บริสุทธิ์ และใสซื่อเกินไป ด้วยรูปลักษณ์ที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์เช่นนี้ การตัดสินเขาจากการมองภายนอกนั่นยากเกินไปจริงๆ

“นั่นต้องเป็นสิ่งที่ข้าสามารถทำได้ และไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวของข้า หรือทำอะไรที่ขัดกับสำนึกผิดชอบชั่วดีของข้า” หลังจากกรุ่นคิดสักพัก เซียวเซ่อก็กล่าวตกลงเสียงแข็ง เธอต้องการกันอ้วนน้อยโจวออกจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ มิเช่นนั้นหากทหารที่มีศักยภาพสูงเช่นนี้ติดตามกองทัพของเธอ เธอจะชนะซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างไร? นอกจากนี้เธอยังได้ฝึกฝนการยิงธนูอย่างหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าอ้วนน้อยโจวจะแสดงฝีมือการยิงธนูที่น่าประทับใจมาก่อนหน้านี้  แต่เธอก็ยังมั่นใจที่จะสู้กับเขา

“ตกลง” โจวเหว่ยชิงผงกหัวรับอย่างมีความสุข

“มากับข้า” เซียวเซ่อหันหลังกลับ และมุ่งหน้าไปยังเขตป่าดาราใกล้ๆ เมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์

โจวเหว่ยชิงหันกลับไปมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็วและพบว่าเธอกำลังชมการแข่งขันที่เหลืออยู่ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้สนใจเขาเลย เด็กหนุ่มจึงรีบหลบออกไปอย่างเงียบๆ

เซียวเซ่อเดินไปใกล้เขตป่าดาราก่อนหยุดรอโจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงมาถึงด้านข้างของเธอ และถามว่า “ ท่านต้องการแข่งอย่างไร?”

เซียวเซ่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ 1 ต่อ 1 เจ้าและข้า ป่าที่นี่เป็นสถานที่ที่สามารถแสดงความแข็งแกร่งของนักธนูได้ดีที่สุด เราจะเข้าป่าในเวลาเดียวกัน เมื่อมีระยะห่าง 300 หลาระหว่างเราแล้ว หากข้าบอกว่าเริ่ม เราทั้งสองจะเริ่มโจมตีซึ่งกันและกัน ใครก็ตามที่ยิงโดนศัตรูก่อนจะเป็นผู้ชนะ นั่นเป็นอย่างไร?”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างระมัดระวัง “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ท่านไม่ได้พยายามจะยิงข้าด้วยลูกธนูจริงใช่มั้ย?”

เซียวเซ่อกล่าวด้วยความโกรธ “เหลวไหล! เจ้าเป็นทหารของอาณาจักรของเรา ทำไมข้าจะต้องฆ่าเจ้า? แม้ว่า…บิดามันเถอะ!…ข้าจะไม่ชอบเจ้า แต่เจ้าไม่คุ้มค่าจะให้มือข้าเปื้อนเลือดหรอก! พวกเราจะใช้ลูกธนูที่ใช้สำหรับฝึก” ขณะที่เธอพูด เธอก็ถอดแล่งธนูออกแล้วโยนมันไปที่โจวเหว่ยชิง จากนั้นหยิบแล่งธนูของเธอออกมาอีกอันหนึ่ง เบ็ดเสร็จแล้วทั้งสองคนจึงครอบครองลูกธนูคนละ 50 ลูก

โจวเหว่ยชิงเหยียดแข้งเหยียดขาและพูดว่า “ท่านไปก่อนเลย ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว”

เซียวเซ่อให้ส่งเสียงหึในลำคออย่างเย็นชา จากนั้นก็เข้าสู่ป่าดาราอย่างรวดเร็ว โจวเหว่ยชิงมองเห็นธนูอุษาม่วงบนหลังของเธออย่างชัดเจน ด้วยอิทธิพลของตระกูลของเธอในเมืองเกาทัณฑ์สวรรค์ นี่จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่เธอจะหาธนูอุษาม่วงมาได้อีกแทนคันที่เขาเผลอหักทิ้งไป

เมื่อเห็นเซียวเซ่อเข้าไปในป่าดาราแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ขยับตามเข้าไป เขารำพึงในใจว่า พี่หรูเซ่อ ให้ข้าดูหน่อยสิว่าความสามารถของท่านหลังจาก 7 ปีที่เราไม่ได้เจอกันจะเป็นยังไงบ้าง?

ไม่นานพวกเขาทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในป่าลึก ผ่านไปสักครู่เสียงของเซียวเซ่อก็ดังขึ้นมาจากระยะไกลๆ “อ้วนน้อยโจว พร้อมหรือยัง?”

“พร้อมแล้ว มาเริ่มกันเถอะ” โจวเหว่ยชิงตะโกนตอบตกลงกลับมา หลังจากเขาพูดจบ เด็กหนุ่มก็ขยับตัวเพื่อกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็วจากตำแหน่งก่อนหน้าขึ้นไปบนต้นไม้

“เริ่มได้!” เซียวเซ่อตะโกนออกไปอย่างเย็นชา

ขณะที่พวกเขาเริ่มการต่อสู้ในป่าดารา อีกด้านหนึ่งซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ค้นพบว่าโจวเหว่ยชิงหายตัวไปแล้ว

“อ้วนน้อยโจวอยู่ที่ไหน?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไปรอบๆ เพื่อตามหาโจวเหว่ยชิงอย่างเคร่งเครียด

หนึ่งในผู้บัญชาการกองร้อยพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ “ผู้บัญชาการกองพัน ข้าเห็นเขาและผู้บัญชาการกองร้อยเซียวเดินออกไปด้วยกันเมื่อกี้นี้ พวกเขาทั้งคู่มาจากกองพันของท่าน ฉะนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก ใช่หรือไม่?”

สีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง เธอพูดอย่างเฉยเมย “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลไป นี่เป็นการดีที่จะสอนบทเรียนให้เขา”

ผู้บัญชาการกองร้อยคนนั้นยิ้ม และไม่พูดอะไรอีก อนิจจา ชายหนุ่มกลับไม่รู้เลยว่า “เขา” ที่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวถึงไม่ใช่โจวเหว่ยชิง แต่เป็นเซียวเซ่อ!

ในป่าดารา โจวเหว่ยชิงกำลังเฝ้ารออย่างเงียบๆ บนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกิ่งก้านและใบไม้ มือของเด็กหนุ่มกำธนูอุษาม่วงแน่น ตัวเขาตอนนี้เปรียบได้กับเสือดาวที่กำลังนอนรอเหยื่อ พลังปราณสวรรค์เริ่มไหลเวียนอย่างเงียบๆ จากนั้นมณีสวรรค์ปรากฏขึ้นลอยวนรอบข้อมือ วงล้อสีทั้ง 6 นั้นปรากฏอยู่ในสายตาของโจวเหว่ยชิงและประสาทสัมผัสของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก ทุกเสียงและการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ รอบๆ ตัวย่อมถูกเด็กหนุ่มจับได้ทั้งหมด

“อ้วนน้อยโจว เจ้ากลัวข้า?” ในเวลานี้เสียงของเซียวเซ่อก็ดังขึ้นอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเธอเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิมมาก ทว่าเสียงของเธอค่ก็อนข้างกระท่อนกระแท่น นั่นหมายความว่าเธอกำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง

แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงก็ไม่โง่พอที่จะส่งเสียงตอบรับขณะที่เขากำลังซุ่มโจมตีอยู่บนต้นไม้ วงล้อทักษะธาตุในดวงตาของเขาหมุนไปที่บริเวณส่วนสีดำซึ่งเป็นตัวแทนของทักษะธาตุมืด และทันทีที่รัศมีความมืดแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา เงาดำทั้ง 12 สายก็เคลื่อนตัวออกจากร่างของเด็กหนุ่มเงียบๆ กระจายตัวออกไปจากต้นไม้แล้วเลื้อยออกไปรอบๆ ก่อนจะหายเข้าไปในเงามืด หากใครสักคนสังเกตอย่างถี่ถ้วน เขาก็จะค้นพบว่าเงาดำเหล่านั้นดูเหมือนเถาวัลย์ที่มีรูปร่างคล้ายแขนมนุษย์มาก ขาดก็แต่พวกมันไม่มีกายเนื้อจริงๆ เถาวัลย์พวกนั้นเลื้อยผ่านไปอย่างเงียงเชียบไร้เสียงรบกวนใดๆ

นี่เป็นทักษะธาตุแรกของโจวเหว่ยชิงที่เก็บไว้ในไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขา และเขาก็ได้มันมาจากสัตว์อสูรสวรรค์ระดับเทวะ ทักษะนี้เรียกว่า ‘สัมผัสมืด’

ณ สำนักกักเก็บทักษะ ความพยายามในการกักเก็บทักษะของโจวเหว่ยชิงประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม มันไม่เหมือนกับการหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ที่ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุปีศาจของตัวเขาเอง เมื่อโจวเหว่ยชิงเข้าไปในสำนักกักเก็บทักษะ และได้เห็นอสูรสวรรค์ที่ถูกผนึกไว้ เขาก็อดจะหวาดกลัวไม่ได้ อสูรสวรรค์ระดับเทวะส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่มากและทุกตัวก็เปล่งรัศมีที่น่ากลัวออกมาอีกด้วย

ทว่าเมื่อโจวเหว่ยชิงพยายามจะกักเก็บทักษะของอสูรสวรรค์ระดับเทวะก็พลันเกิดปรากฏการณ์ที่แตกต่างกันขึ้น เหตุผลที่ว่าทำไมการกักเก็บทักษะธาตุมณีนั้นมักจะล้มเหลวได้ง่ายๆ ก็เป็นเพราะอสูรสวรรค์นั้นกำลังอยู่ในสถานะอ่อนแอที่สุด อีกทั้งพวกนั้นยังถูกผนึกไว้ ดังนั้นจิตใต้สำนึกของพวกมันจึงต่อต้านเหล่าจ้าวมณีด้วยกำลังที่มีทั้งหมดอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งสิ่งนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อจ้าวมณีหรือจ้าวมณีสวรรค์ที่พยายามซึมซับทักษะของพวกมันเข้าไปยังมณีของตนเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อโจวเหว่ยชิงดำเนินการกักเก็บทักษะกับอสูรสวรรค์ระดับเทวะ ตามวิธีการปกติแล้ว แรงต้านจากพลังปราณภายในของอสูรสวรรค์ระดับเทวะจะสามารถผลักเขากระเด็นออกไปได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่าอสูรสวรรค์ที่ถูกผนึกไว้ไม่ได้แสดงอาการต่อต้านใดๆ เลย อีกทั้งพวกมันยังร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดีเพื่อให้เด็กหนุ่มสามารถกักเก็บทักษะจากพวกมันได้ ในขณะที่ทำเช่นนั้นกับอสูรสวรรค์ระดับเทวะไปต่อเรื่อยๆ โจวเหว่ยชิงยังรู้สึกได้อีกว่าอสูรสวรรค์เหล่านั้นดูเหมือนจะตัวสั่นระริกเสมอ และหวาดกลัวเขาเป็นอย่างมาก

………………………………………………………….

แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องจริง ลูกศรสำหรับการแข่งขันประเภทนี้ต้องเอาหัวลูกศรออก และมีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้นผู้เข้าร่วมแต่ละคนจึงได้รับลูกธนูคนละ 25 ดอก สำหรับการแข่งขันในครั้งนี้ และตอนนี้แล่งธนูของโจวเหว่ยชิงก็ว่างเปล่าแล้ว ดังนั้นเขาจึงกำลังจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เด็กหนุ่มจึงทำได้แค่เพียงวิ่งกลับมาเก็บธนูเพื่อสู้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงก็ไม่ใช่เทพเจ้า ดังนั้นหลังจากที่หยิบลูกธนูขึ้นมาได้ 2 ดอกและใช้พวกมันยิงกลับไปยังฝั่งตรงข้ามจนทำให้ทหารล้มลงได้ 2 คน เขาก็พลาดเปิดทางให้ฝั่งตรงข้ามเข้าใกล้ตัวเองในระยะ 150 หลาแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าระยะดังกล่าวทำให้ลูกธนูของศัตรูสามารถยิงออกมาอย่างรวดเร็วและมีพลังมาก แม้ว่าการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มจะมีความยืดหยุ่น และคล่องแคล่ว แต่ในสถานการณ์ที่ความสามารถของมณีสวรรค์ถูกจำกัด เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนมองดูลูกธนูมากกว่า 40 ดอกพุ่งมาหาตัวเอง

โจวเหว่ยชิงตระหนักได้ว่าไม่สามารถหลบลูกธนูพวกนี้ได้พ้นอีกต่อไป เด็กหนุ่มจึงหมอบตัวลงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองมือโอบรอบตนเองและพยายามขดตัวให้เล็กลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลง ปกปิดร่างกายเกือบทุกส่วนของตนไว้ด้วยหมวกลมที่เขาสั่งทำขึ้นมา

*ปั่ก* *ปั่ก* เสียงดังกึกก้องอยู่เหนือหัวของโจวเหว่ยชิง และหมวกของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยหัวลูกศรทื่อๆ อย่างน้อย 7-8 อันซึ่งตกลงมากระทบหมวก

เมื่อเห็นว่าพวกเขาสามารถกำจัดเป้าหมายสุดท้ายได้สำเร็จแล้ว ทหารที่เหลือจากฝั่งตรงข้ามก็เริ่มส่งเสียงโห่ร้องทันที

“ดีใจ? ดีใจบ้านพวกแกสิ! ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านั่นไม่มีลูกธนู เขาอาจจะค่อยๆ ฆ่าพวกเจ้าทุกคนจนตายกันไปหมด แล้ว!” ผู้บัญชาการกองร้อยสั่งสอนทหารใหม่ใต้บังคับบัญชาของเขา และด่ากราดอย่างเดือดดาล แม้ว่ากองพันที่ 1 และ 2 จะชนะกองพันที่ 3 และ 4 ในท้ายที่สุด แต่หนึ่งในพวกเขาก็ไม่ได้รับรางวัลทหารใหม่ผู้โดดเด่นที่สุดอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันก็สามารถรับรู้ได้ด้วยสายตา โจวเหว่ยชิงเพียงคนเดียวสามารถกำจัดทหารฝ่ายตรงข้ามไปถึง 25 คน ดังนั้นในการแข่งครั้งนี้จะมีใครที่โดดเด่นไปกว่าเขาได้อีก?

ก่อนที่ผู้บัญชาการกองร้อยจะพูดจบ เขาก็พลันก็ได้ยินเสียง *ปั่ก* และลูกธนูดอกหนึ่งก็กระแทกบนหน้าอกของตนเองอย่างจัง ลูกธนูดอกนั้นถูกยิงออกมาด้วยความเร็วสูงมาก และด้วยเสียง *อุ่ก* ผู้บัญชาการกองร้อยก็ล้มลงด้วยใบหน้าที่ไม่เชื่อในสายตาของตนเอง ลมหายใจของเขาติดค้างอยู่ที่บริเวณหน้าอก ทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง และความอึดอัดที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มเกือบจะเป็นลมไปแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น?” ในขณะที่เหล่าทหารใหม่จากกองพันที่ 1 และกองพันที่ 2 มองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ ก็มีเสียง *ปั่ก* ดังขึ้นอีกหลายครั้ง จากนั้นหลายคนๆ ก็ล้มลงไปกับพื้นราวกับเทกระจาด เมื่อทั้งหมดรู้สึกตัวหลังจากแตกตื่นอยู่สักพัก และหันหน้าไปมองอีกทาง พวกเขาก็เห็นอ้วนน้อยโจวกำลังยิงธนูมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบพร้อมกับสวมหมวกที่ถูกปกคลุมไปด้วยหัวลูกศรทื่อๆ

ทันใดนั้น เหล่าทหารใหม่จากกองพันที่ 1 และ 2 ก็กำลังรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง เจ้าอาจแข็งแกร่งมาก แต่เจ้าก็ยังต้องเชื่อฟังกฎการแข่งขันใช่หรือไม่? หลังจากถูกเราโจมตีจนพ่ายแพ้ ทำไมเจ้าถึงยังยิงลูกธนูต่อไปอีก? การถูกยิงนั้นเจ็บไม่ใช่เล่นๆ นะโว้ย!

ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งไปข้างหน้าเพื่อหาเรื่อง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หยุด! อ้วนน้อยโจว เจ้าจะทำอะไร?”

เซียวเซ่อพูดอย่างย่ามใจ “ผู้บัญชาการกองพัน ท่านไม่จำเป็นต้องตำหนิเขา ข้าคิดว่าเขาต่อต้านเพราะไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้ อย่างไรก็ตาม ประเทศก็มีกฎของประเทศ ครอบครัวก็มีกฎของครอบครัว นี่จึงถือว่าเป็นการละเมิดวินัยทางทหาร ทหารที่ไม่ฟังคำสั่งไม่ควรได้รับการเลื่อนตำแหน่งง่ายๆ!”

โจวเหว่ยชิงได้ยินซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตะโกนใส่ เขาจึงหยุดยิง พาดธนูอุษาม่วงลงบนหลังและถอดหมวกลมออกจากศีรษะเพื่อปัดหัวลูกศรพวกนั้นทิ้ง ก่อนที่จะวิ่งมาหาเธอ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างโกรธเคือง “อ้วนน้อยโจว เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังไม่หยุดยิงล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงกะพริบตา “การต่อสู้จบลงแล้ว? ไม่ มันยังไม่จบ! ข้าก็ยังอยู่ดีนี่ ทำไมจะโจมตีต่อไม่ได้?”

ผู้บัญชาการกองร้อยลี่จากกองพันที่ 1 ขมวดคิ้ว และกล่าว “อ้วนน้อยโจว การพยายามพิชิตศัตรูเป็นสิ่งที่ดี อย่างไรก็ตามที่นี่คือกองทัพ และทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกฎ เจ้าถูกยิงด้วยลูกศรอย่างน้อย 7 ดอก หมวกลมของเจ้าก็เต็มไปด้วยหัวลูกศร หากนี่เป็นสนามรบที่แท้จริงเจ้าอาจจะตายไปแล้ว ในช่วงเวลานั้น สิ่งที่ถูกต้องคือเจ้าควรจะรีบหนีไปทันทีแทนที่จะกลับไปยังสนามรบเพื่อหยิบลูกธนู ก็เหมือนกับที่ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวพูดก่อนหน้านี้ เจ้าละเมิดวินัยทางทหาร แม้ว่าฝีมือของเจ้าจะโดดเด่นมาก แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งเป็นนายหมู่ได้ ฉะนั้นเจ้าสนใจจะเข้าร่วมกองพันที่ 1 ของเราหรือไม่?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เพิ่งจะได้รับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพันไม่นานมานี้ และรัศมีผู้นำของเธอก็ยังไม่มากพอ กองพันที่ 1 นั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหน่วยธนูทั้ง 4 ในกรม ผู้บัญชาการกองร้อยผู้เจนศึกรายนี้จึงไม่กลัวที่จะชักชวนคนของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไปต่อหน้าต่อตาเธอ

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวทันที เขาหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยใบหน้าที่ดื้อรั้น “ไม่! ผู้บัญชาการกองพัน ข้าไม่ได้แพ้!” ขณะที่พูดคำเหล่านั้นเขาได้แต่แอบหัวเราะลึกๆ ในใจ จากนั้นก็คิดกับตัวเองว่าคนเหล่านี้ช่างเล่นละครได้ตรงตามบทที่ข้าวางไว้จริงๆ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “อ้วนน้อยโจว เจ้าหยุดก่อเรื่องได้แล้ว เจ้าถูกกำจัดออกจากสนามไปแล้ว”

โจวเหว่ยชิงพูดราวกับว่าเขาได้รับความทรมานจากความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า “แต่ข้ายังไม่แพ้จริงๆ! ดูสิ!!” ในขณะที่พูด เขาก็ถอดหมวกลมของตนออกและมอบให้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยิบหมวกลมจากมือของเขา จากนั้นก็แสดงสีหน้าตกใจ เห็นได้ชัดว่าหมวกใบนี้หนักกว่าหมวกลมทั่วไป เมื่อเธอจับมันด้วยมือตัวเอง เธอก็เข้าใจทันที เมื่อมองดูโจวเหว่ยชิงอีกครั้ง สีหน้าที่แสดงความทรมานของเขาก็ทำให้เธอเกือบหัวเราะออกมาเสียงดัง เจ้าคนหน้าด้านนี่กลัวตายมากจริงๆ…

2-3วันที่ผ่านมานี้ที่เธอคิดว่าเขากลายเป็นคนสุภาพเรียบร้อยไปแล้วเสียอีก แต่ดูเหมือนว่าเสือยังไงก็คือเสืออยู่วันยังค่ำ จะให้เปลี่ยนเป็นแมวก็คงยากล่ะนะ

เซียวเซ่อมองไปที่สีหน้าแปลกๆ ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ จากนั้นก็เพ่งความสนใจไปที่หมวกลมในมือของเธอ “หืม? เอ…หมวกลมใบนั้นออกจะใหญ่เกินไปหน่อย…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งหมวกลมให้เธอ และทันใดนั้นสีหน้าของเซียวเซ่อก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เธอมองโจวเหว่ยชิงด้วยท่าทางที่ค่อนข้างเคร่งขรึมและอ่านยาก นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก

หมวกลมถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าของผู้บัญชาการกองร้อยทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจ ผู้บัญชาการกองร้อยลี่แห่งกองพันที่ 1 ถอนหายใจและกล่าวว่า “มีความสามารถ…มีความสามารถ! เพ้ย! จริงๆ แล้วเจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากทีเดียว! เจ้าสามารถหาวิธีการเช่นนี้ได้…หมวกใบเล็กๆ นี้ทำจากโลหะผสมไทเทเนียมใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นมันคงจะไม่เบาขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าพูดว่าเจ้ายังไม่ตาย! แม้แต่ลูกธนูธรรมดาก็อาจจะเจาะมันไม่เข้าด้วยซ้ำ! ผู้บัญชาการกองพันซ่างกวน กองพันที่ 1 ของเราแพ้ในการแข่งขันรับทหารใหม่ครั้งนี้แล้ว เจ้าน้องชายอ้วนน้อยโจว พี่ชายคนนี้ประทับใจในตัวเจ้ามาก”

เห็นได้ชัดว่าหมวกลมที่ทำจากโลหะผสมไทเทเนียมนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้กันได้อย่างแพร่หลายในกองทัพ นั่นก็เป็นเพราะต้นทุนการสร้างทั้งหมดมีราคาแพงเกินไป อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถพูดอะไรได้อีก โจวเหว่ยชิงละเมิดกฏหรือไม่? เขาใช้เงินของตัวเองสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา นั่นจะถือว่าเป็นการละเมิดกฎได้อย่างไร? นอกจากนี้ ฝีมือการยิงธนูที่น่าประทับใจของโจวเหว่ยชิงก็ได้รับการเห็นพ้องต้องกันทั้งหมดโดยผู้บัญชาการกองร้อยในที่นี้แล้วด้วย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองโจวเหว่ยชิง จากนั้นก็หันกลับไปมองเซียวเซ่อที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นมุมปากของเธอเหยียดขึ้นเล็กน้อย “ไปกันเถอะ ถึงเวลาที่เราจะต้องไปดูการแข่งขันฝั่งทหารราบเบาและทหารราบหนักแล้ว”

โจวเหว่ยชิงยังคงรับบทผู้ช่วยส่วนตัวของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่อไป เขากำลังจะย้ายไปยืนอยู่ข้างหลังเธอเงียบๆ ในขณะเขาเดินผ่านเธอนั่นเอง เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเบาๆ ให้ได้ยินแค่เพียงสองคนเท่านั้นว่า “ปิงเอ๋อร์”

ไหล่ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์กระตุกเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอต้องยอมรับความพ่ายแพ้ในการพนันของเธอในครั้งนี้ นอกจากนี้ เธอยังไม่สามารถแสดงออกอย่างเปิดเผยต่อหน้าผู้คนจำนวนมากได้ เกรงว่าโจวเหว่ยชิงจะยิ่งพูดอะไรออกมาเสียงดัง และทำให้เธออับอาย เธอจึงรีบเร่งเดินตามผู้บัญชาการกองร้อยคนอื่นๆ ไปชมการแข่งขันอีก 2 สนามที่เหลือ

โจวเหว่ยชิงกำลังจะเดินตามพวกเขาไป แต่ทันใดนั้นแขนข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มก็ถูกใครบางคนจับไว้แน่น เมื่อหันศีรษะไปมอง เขาก็ตระหนักได้ว่าคนๆ นั้นคือเซียวเซ่อ

สีหน้าของเซียวเซ่อค่อนข้างน่าเกลียด เธอพูดเบาๆ “อ้วนน้อยโจว เจ้ากล้าพอจะแข่งกับข้าไหม?”

……………………………………………………………….

“ทำไมถึงมีทหารละทิ้งหน้าที่?” ผู้บัญชาการกองร้อยบางคนถามอย่างสงสัย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และเซียวเซ่อจดจำโจวเหว่ยชิงได้ในทันที เซียวเซ่อจึงยิ้มและกล่าวว่า “โธ่เอ๋ย… นั่นไม่ใช่ผู้ช่วยส่วนตัวของผู้บัญชาการกองพันหรอกหรือ? เกิดอะไรขึ้นกับเขา? ทำไม …”

ก่อนที่เซียวเซ่อจะพูดจบ สีหน้าของผู้บัญชาการกองร้อยทั้งหมดก็เปลี่ยนไปทันที นั่นเป็นเพราะโจวเหว่ยชิงที่กำลังวิ่งหนีไปทางด้านหลังนั้นกำลังถูกลูกธนูอย่างน้อย 30 ถึง 40 ดอกพุ่งติดตามมาจากด้านหลังของเขา และแน่นอนว่าทั้งหมดนั้นพุ่งเป้าไปที่เด็กหนุ่มอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ราวกับว่าโจวเหว่ยชิงมีตาอีกดวงอยู่ข้างหลัง ขณะที่พุ่งไปข้างหน้าได้ 7-8 เมตร เขาก็กระโดดหลบและกลิ้งตัวไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วมากและประสานงานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับว่าก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มได้ฝึกฝนเช่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ลูกธนู 30-40 ดอกที่พุ่งเข้าหาเขา ส่วนใหญ่ก็จะพุ่งลงไปปะทะกับพื้นที่โจวเหว่ยชิงเคยอยู่ และขณะวิ่งหนีไปเรื่อยๆ เด็กหนุ่มก็สามารถหลบลูกธนูส่วนใหญ่พ้นไปได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือหลังจากเขากระโดดและม้วนตัวเสร็จ ทุกคนก็ยังได้ยินเพียงเสียง ‘ผลั่วะ ผลั่วะ’ ตามหลังมา นั่นคือเสียงลูกธนูที่เพิ่งพุ่งชนเข้ากับพื้นที่ข้างหลังโจวเหว่ยชิงไปอย่างเฉียดฉิว แต่ทว่าก็ยังไม่มีธนูสักดอกที่ยิงโดนเป้าหมายอย่างเขา

เซียวเซ่อกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เขาไปทำอะไรให้เทพเจ้าพิโรธและสวรรค์ต้องลงโทษเช่นนี้? ทำไมเขาถึงตกเป็นเป้าหมายของการระดมยิงจากฝ่ายศัตรูล่ะ?”

นักธนูจากกองพันที่ 1 และ 2 ที่พุ่งเป้าไปยังโจวเหว่ยชิงก่อนหน้านี้เป็นกลุ่มคนที่โดดเด่นที่สุดจากกองพันที่ 2 และการที่พวกเขามุ่งโจมตีไปเพียงคนๆ เดียวก็มอบโอกาสให้แก่ทหารที่เหลือของกองพันที่ 3 และ 4 จำนวน 70 คนได้ผ่อนลมหายใจเล็กน้อย อีกทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่การสูญเสียของพวกเขาต่ำกว่าคู่ต่อสู้

โจวเหว่ยชิงกลิ้งตัวห่างออกไปประมาณ 3-4 เมตร จากนั้นร่างกายก็เด้งขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว และพริบตาเดียวที่ปลายเท้าของเขาสัมผัสกับพื้น เด็กหนุ่มก็กระโดดขึ้นสูงเกือบ 1 เมตรอย่างฉับพลัน ตามด้วยเสียง ‘หวืด’ ลูกธนูอีกดอกหนึ่งก็พุ่งออกไปจากธนูอุษาม่วง

เนื่องจากโจวเหว่ยชิงเคลื่อนไหวได้ว่องไวและหลบหลีกได้อย่างคล่องตัว เขาจึงดึงดูดความสนใจของเจ้าหน้าที่ทหารทุกคนที่เฝ้าสังเกตการต่อสู้นี้อยู่ พวกเขาต่างก็ต้องการจะเห็นความแม่นยำของเด็กหนุ่มผู้นี้ชัดๆด้วยตาของตัวเอง

ท้ายที่สุดแล้ว ท่ากระโดดเช่นนี้ก็ยากมากที่จะง้างธนูขึ้นไปได้พร้อมๆกัน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีเวลาให้เล็งเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น และเหตุผลที่เด็กหนุ่มต้องกระโดดขึ้นสูงก็เพื่อหลบหลีกไม่ให้โดนทหารทุกคนที่อยู่รอบๆนั่นเอง

“วืดดดดดดด” ราวกับว่าเมื่อใดก็ตามที่โจวเว่ยชิงขยับธนูอุษาม่วงของเขา ทหารจากฝั่งตรงข้ามก็จะต้องร่วงลงไปกับพื้น ผู้บัญชาการกองร้อยแต่ละคนมองหน้ากันอย่างงงงวย หลายคนล้วนเป็นนักธนูที่มีประสบการณ์โชกโชน  ดังนั้นเมื่อตรวจสอบด้วยสายตาตนเอง พวกเขาก็ระหนักได้ว่าหากตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับโจวเหว่ยชิง แม้แต่พวกเขาเองก็อาจจะทำได้ไม่ดีไปกว่าด้วยซ้ำ

ผู้บัญชาการกองร้อยที่รับผิดชอบในการกำกับควบคุมกองพันที่ 1 และ 2 นั้นมีประสบการณ์มาก หลังจากค้นพบทักษะอันยอดเยี่ยมของโจวเหว่ยชิง เขาก็เปลี่ยนเป้าหมายอีกครั้ง โดยครั้งนี้ชายหนุ่มสั่งให้รอบต่อไปมุ่งเป้าไปที่ทหารที่เหลือทั้งหมดในกองพันที่ 3 และ 4 แทน ซึ่งแผนของเขาก็ง่ายมาก เนื่องจากโจวเหว่ยชิงนั้นมีความแม่นยำสูง ผู้บัญชาการกองร้อยจึงจะต้อง ‘ฆ่า’ คนอื่นๆ ให้หมดเสียก่อนแล้วเหลือเขาไว้เป็นคนสุดท้าย เพื่อจะได้ให้ทหารทั้งหมดพร้อมใจกันเล็งไปที่โจวเหว่ยชิงคนเดียวในตอนสุดท้าย ทันใดนั้น ความโชคร้ายตกใส่หัวของทหารใหม่ที่เหลือทั้งหมดของกองพันที่ 3 และ 4

ราวกับว่าได้รับการกระตุ้นครั้งใหญ่จากความสามารถของโจวเหว่ยชิง นักธนูจากกองพันที่ 1 และ 2 ต่างก็หึกเหิมที่จะแสดงความแม่นยำของตนออกมา แต่เดิมกองพันที่ 3 และ 4 นั้นเหลือทหารเพียง 70 นายอยู่แล้ว และหลังจากการระดมยิงครั้งนี้ ทหารจำนวน 40 นายก็ต้องออกจากสนามไปอย่างคาดไม่ถึง ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ฝั่งของกองพันที่ 1 และ 2  ทหารใหม่ 80 นายกำลังยืนอยู่อย่างมั่นคง และนั่นก็กลายเป็นภาพความแตกต่างอย่างชัดเจนของทั้งสองฝั่ง

โจวเหว่ยชิงเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเขาแล้ว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงพยายามใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ก็เหมือนกับที่ผู้บัญชาการกองร้อยผู้กำกับสั่งการกองพันที่ 1 และ 2 ได้ตัดสินใจก่อนหน้านี้ ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงจะแม่นยำเพียงใด เขาก็มีเพียงแค่คนเดียว ในขณะที่ทหารใหม่ของกองพันที่ 3 และ 4 กำลังถูกกำจัดทิ้งไปเรื่อยๆ ฝ่ายตรงข้ามก็ยังคงมีคนเหลือมากกว่า 50 คน

“ชิบ หาย แล้ว!!!!” เมื่อมองไปยังห่าธนูซึ่งกำลังลอยละลิ่วมาทางเขา โจวเหว่ยชิงก็หันหลังออกวิ่งอีกครั้ง ในใจพลันรู้สึกมืดมนเป็นอย่างยิ่ง ฝีมือของทหารทั้งสองฝ่ายนั้นแตกต่างกันมากเกินไป อย่างน้อยเขาก็ฆ่าศัตรูไปแล้ว 16-17 คนด้วยตนเอง แต่ตอนนี้ฝั่งตรงข้ามก็ยังคงเหลืออยู่ตั้งเกือบ 50 คน นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?

ผู้บัญชาการกองร้อยจากกองพันที่ 1 ตะโกนออกมาเสียงดัง “เล็งไปที่ไอ้หมอนั่น แล้วยิงเขาให้ได้! ใครที่จัดการมันลงได้ บิดาจะมอบรางวัลนักธนูที่ดีที่สุดให้กับเจ้าวันนี้!”

ในเวลานี้โจวเหว่ยชิงไม่เหลือทหารคนอื่นๆ มาไว้กำบังเขาอีกต่อไป และสถานการณ์ก็ยิ่งอันตรายขึ้นกว่าเดิมมาก ลูกธนูจำนวนมหาศาลที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้ากำลังครอบคลุมสนามรบไว้ราวกับเป็นตาข่ายลูกปืนใหญ่  สำหรับโจวเหว่ยชิง ลูกธนูพวกนี้ยากมากจะหลบพ้นเหมือนอย่างที่เขาเคยทำก่อนหน้านี้

แม้เด็กหนุ่มจะไม่ได้ใช้มณีสวรรค์ แต่สถานการณ์ในขณะนี้ก็แสดงให้เห็นถึงร่างกายที่แข็งแกร่งเหนือกว่าคนทั่วไปของโจวเหว่ยชิง หลังจากมณีของเขาตื่นขึ้นมา ตอนนี้ความเร็วและความแข็งแกร่งของเขาก็ไปไกลเกินกว่าทหารธรรมดาเหล่านั้นแล้ว  เด็กหนุ่มวิ่งไปรอบๆ พร้อมกับสลับทิศทางไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน พยายามที่จะไม่วิ่งไปในทิศทางที่สามารถคาดเดาได้เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถยิงโดนตัวเขา

อย่างไรก็ตาม สำหรับทหารจากกองพันที่ 1 และ 2 ที่เล็งเขาเป็นเป้าหมายนั้น พวกนั้นไม่เพียงต้องใช้สายตาเล็งเท่านั้น แต่ยังต้องหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนจะยิงออกไปอีกด้วย หลังจากโจวเหว่ยชิงพยายามวิ่งหนีไปทางด้านหลังสนามรบฝั่งตน และหลบหลีกหนีห่าลูกศรจากฝั่งตรงข้ามด้วยความยากลำบากได้ถึง 2 รอบ ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝั่งก็กว้างขึ้นเป็นประมาณ 300 หลา ระยะทางนี้ไกลเกินกว่ารัศมีการยิงของทหารใหม่ผู้โดดเด่นเหล่านั้นแล้ว และพวกเขาทำได้เพียงแค่ยิงขึ้นไปบนอากาศให้สูงขึ้นเพื่อให้ลูกศรเหล่านั้นตกลงไปครอบคลุมพื้นที่ที่โจวเหว่ยชิงยืนอยู่เท่านั้น

โจวเหว่ยชิงฉวยโอกาสนี้หอบหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นเขาก็หันหลังกลับ วิ่งไปพลางยิงธนูออกไปพลาง สุดท้ายก็สามารถจัดการกับศัตรูได้อีก 7-8 คน

“นี่เขากำลังเล่น ‘ยิงจำกัดระยะห่าง’ กับพวกนั้นอยู่เหรอ? ทหารใหม่คนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้วจริงๆ ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ท่านพูดก่อนหน้านี้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของผู้บัญชาการกองพัน? เด็กคนนั้นค่อนข้างยอดเยี่ยมเลยที เดียว!” ผู้บัญชาการกองร้อยคนหนึ่งยืนที่อยู่ข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมาอย่างชื่นชม

‘การยิงจำกัดระยะห่าง’ นั้นเป็นกลยุทธ์แบบยิง และวิ่งหนีประเภทหนึ่งที่นักธนูใช้กันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้เพื่อจัดการกับหน่วยโจมตีระยะประชิด โดยใช้ประโยชน์จากระยะห่างที่ตนได้เปรียบกับศัตรูเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้าใกล้ได้ อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงนั้นพึ่งพาความแข็งแกร่งและพลังของธนูอุษาม่วงร่วมด้วย  เขาทั้งใช้ความประโยชน์จากความแตกต่างระหว่างพรสวรรค์ของเขา และระยะทางที่ได้เปรียบเพื่อ ‘ยิงจำกัดระยะห่าง’ กับฝ่ายตรงข้าม นั่นทำให้ทหารอาวุโสเหล่านี้ประทับใจและชื่นชมในตัวเขาเป็นอย่างมาก

หนึ่งในผู้บัญชาการกองร้อยของกองพันธนูที่ 1 อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “ผู้บัญชาการกองพันซ่างกวน ยกน้องชายคนนี้ให้พวกเราเป็นอย่างไร? ไม่ต้องเอ่ยถึงตำแหน่งนายหมู่เลย ด้วยความสามารถของน้องชายคนนี้ เขาสามารถเป็นรองผู้บัญชาการกองร้อยของข้าได้เลย”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยิ้มอย่างแผ่วเบา นึกในใจว่าอ้วนน้อยโจวนั้นเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ อย่าพูดถึงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองร้อยของเจ้าเลย หากข้ารายงานเรื่องสถานะจ้าวมณีสวรรค์ของเขา ตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองพันก็ยังอาจไม่พอด้วยซ้ำ

“สุภาพบุรุษย่อมไม่ยื้อแย่งของรักของผู้อื่น[1] ผู้บัญชาการกองร้อยลี่ ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”

เซียวเซ่อยืนยิ้มอยู่ข้างๆ และพูดว่า “นั่นหมายความว่าผู้บัญชาการกองพันตกหลุมรักเขาใช่หรือไม่?”

สีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นเย็นชา “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ให้ความเคารพตนเองบ้างเถิด”

ผู้บัญชาการกองร้อยคนอื่นๆ รับรู้ได้ถึงความขุ่นเคืองใจระหว่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และเซียวเซ่อ พวกเขาจึงไม่ได้พยายามพูดแทรก เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้บัญชาการกองร้อยลี่จากกองพันที่ 1 กล่าวอย่างสงสัยว่า “นั่นเจ้าอ้วนน้อยโจวกำลังทำอะไรอยู่? เขากำลังจะไปถึงป่าที่สามารถให้ที่กำบังแก่ตนเองได้ ทำไมเขาถึงหันหลังวิ่งกลับมาซะอย่างนั้น?”

ขณะที่ผู้บัญชาการกองร้อยลี่กล่าว โจวเหว่ยชิงก็วิ่งออกไปไกลได้ไกลมากแล้ว อีกทั้งเขายังสามารถเพิ่มระยะห่างได้มากขนาดนั้นแท้ๆ แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มกลับกำลังหันหลังและวิ่งกลับไปหากองพันที่ 1 และกองพันที่ 2 อย่างไม่มีใครคาดคิดเพื่อเผชิญหน้ากับทหารมากกว่า 40 นาย

คนอื่นๆ ต่างก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เซียวเซ่อกลับเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว “เขาไม่มีลูกธนู!”

 ……………………………………………….

[1]สุภาพบุรุษย่อมไม่ยื้อแย่งของรักของผู้อื่น แปลว่า ไม่ควรฉกชิงของรักของคนอื่น

เหตุผลที่เซียวเซ่อไม่ชอบกองร้อยใหม่ของกองพันที่ 3 เป็นเพราะเธอค้นพบว่าในระหว่างการฝึกทหารใหม่ กองพันที่ 1 และกองพันที่ 2 นั้นเต็มไปด้วยผู้ที่มีความสามารถมากมาย แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ยิงธนูได้แม่นยำมากในระยะ 200 หลา แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถยิงไกลๆ ได้และควบคุมได้ดี หากเปรียบเทียบกับกองพันที่ 3 และกองพันที่ 4 เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังมีศักยภาพไม่ดีเท่าที่ควร แม้ว่าผู้บัญชาการกองร้อยเหมาลี่เป็นผู้นำที่ค่อนข้างเก่งกาจ แต่มันก็ยังยากที่จะรับมือกับทหารกองพันอื่นๆ ที่มีสามารถมากกว่า และการฝึกระยะสั้นเพียงไม่กี่เดือนย่อมไม่เพียงพอจะชดเชยทักษะประจำตัวที่เหล่าทหารขาดไป ถึงแม้พวกเขาจะถูกฝึกอย่างหนักก็ตาม

โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ข้างๆ ผู้บัญชาการกองร้อยเหมาลี่ เขากระซิบเบาๆ ว่า “ผู้บัญชาการกองร้อย  ท่านช่วยบอกตำแหน่งของพวกทหารเก่งๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที”

เหมาลี่มองเขาอย่างสงสัยและพูดว่า “เจ้าวางแผนจะทำอะไร?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้าง ถอดธนูอุษาม่วงบนหลังของเขาออกมาแล้วพูดเบาๆ “ข้าจะช่วยท่าน ‘ขานชื่อ’ ทหาร!”

ดวงตาของเหมาลี่สว่างวาบขึ้นทันที เดิมทีในใจของเขากังวลมากเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้ และไม่ได้นึกถึงโจวเหว่ยชิงที่เข้าร่วมในการแข่งครั้งนี้เลย ในสายตาของเขา โจวเหว่ยชิงมีปราณสวรรค์อยู่เพียงเล็กน้อย และอาจกล่าวได้ว่าแข็งแกร่งมากกว่าคนอื่นๆไม่มาก แต่การยิงธนูนั้นเป็นความสามารถเฉพาะตัว และไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินโจวเหว่ยชิงพูดถึงการ ‘ขานชื่อ’ ชายหนุ่มก็รู้สึกประหลาดใจจริงๆ นั่นเป็นเพราะคำศัพท์นี้ใช้เฉพาะในหมู่นักธนูเท่านั้น โดยมันหมายถึงการสังหารและกำจัดเป้าหมาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว คำนี้มักจะถูกใช้โดยนักธนูที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเป็นระเบียบแบบแผนจากอาจารย์ที่สอนธนูโดยตรง เห็นได้ชัดว่าผู้ช่วยส่วนตัวของผู้บัญชาการกองพันใหม่คนนี้ ผู้ซึ่งได้เผลอ ‘แตะ’ หน้าอกของผู้บัญชาการกองพันนั้นไม่ใช่ทหารใหม่ธรรมดาๆเสียแล้ว

“เอาล่ะ ย่อมได้ ข้าจะบอกเจ้าตอนนี้ และเจ้าต้องพยายามจำไว้ให้ดี ในฝั่งตรงข้าม ดูจากด้านซ้าย คนที่ห้า คนที่เก้า…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างสนามเพื่อดูการแข่งขันทหารใหม่ด้วยสายตาพิจารณา แน่นอนว่าความสนใจทั้งหมดของเธอนั้นพุ่งตรงไปยังอ้วนน้อยโจวอย่างเป็นธรรมชาติ เธอมองเห็นเขาและผู้บัญชาการกองร้อยเหมาลี่กำลังกระซิบกระซาบอะไรกันบางอย่าง นั่นทำให้เธอค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาคุยกัน

“ผู้บัญชาการกองพัน ท่านคิดว่าฝั่งไหนจะชนะ?” เสียงของเซียวเซ่อดังขึ้นเสียดหูซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันไปมองแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นกองพันที่ 3 ของข้า ข้ามั่นใจในความสามารถของผู้บัญชาการกองร้อยเหมาลี่”

ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวเซ่อเบ้ปากพร้อมกับพูดอย่างเย้ยหยัน “พวกเขาเป็นเพียงกองร้อยใหม่ที่ไม่เคยลงสนามรบ และไม่เคยเห็นการนองเลือดด้วยตาตัวเองมาก่อนด้วยซ้ำ การฝึกเพียงไม่กี่เดือนจะมีประโยชน์มากแค่ไหนกันเชียว? ในการแข่งครั้งนี้ พรสวรรค์ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อ้อ ข้าลืมไปว่าท่านผู้บัญชาการกองพันไม่ได้อยู่ร่วมการฝึกทหารใหม่ ท่านจึงไม่รู้ว่าทหารฝั่งไหนมีความสามารถมากกว่า”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วอีกครั้ง เธอตัดสินใจเพิกเฉยต่อเซียวเซ่อก่อนจะก้าวไปข้างหน้าแล้วตะโกนออกมาเสียงดัง “การแข่งขันระหว่างทหารใหม่ เริ่มได้!”

ทหารใหม่ทั้งหมดตั้งท่าอยู่ใน 3 สนามที่แบ่งเป็นสัดส่วนครอบคลุมพื้นที่ลานขนาดใหญ่เบื้องหน้าของเธอ ทว่าเสียงตะโกนของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ทำให้ทั้งสนามได้ยินอย่างชัดเจน แน่นอนว่านั่นเป็นผลมาจากพลังปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับ 8 ของเธอนั่นเอง

เมื่อได้ยินเสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เซียวเซ่อก็กำหมัดของเธอแน่น ความจริงแล้ว สิ่งที่เธอผิดหวังที่สุดในชีวิตก็คือการที่เธอไม่สามารถปลุกพลังมณีของเธอได้ และนั่นก็ทำให้เธอไม่สามารถกลายเป็นจ้าวมณีได้เช่นกัน แม้ว่าเธอจะพยายามอย่างหนักเพื่อจะหันไปเอาดีทางด้านอื่นแทน และแน่นอนว่าเธอก็ทำได้สำเร็จ แต่เธอก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนความจริงข้อนั้นได้

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกคำสั่ง การแข่งขันระหว่างทหารใหม่ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการทันที ทั้งทหารราบเบา และทหารราบหนัก ทั้งคู่ต่างก็เริ่มเข้าปะทะกัน ขณะที่กองธนูทั้ง 4 ก็เริ่มเปิดฉากยิงจู่โจมระลอกแรก

เหล่าทหารใหม่พวกนี้ผ่านการฝึกฝนมานานนับ 3 เดือน การระดมยิงในรอบแรกก็ออกมาค่อนข้างดี ทหารทั้งสองฝ่ายยิงลูกศรขึ้นไป 200 ดอกมุ่งตรงไปยังฝั่งตรงข้าม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทหารใหม่พวกนี้จะฝึกฝนมาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว แต่นี่ก็ยังคงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เผชิญหน้ากับการต่อสู้เช่นนี้ และเนื่องจากตื่นเต้นมากจนเกินไป นั่นทำให้ลูกธนูของหลายๆ คนพลาดเป้า หลังจากที่พวกเขายิงเสร็จก็ได้แต่ยืนเหม่อมองลูกศรพุ่งออกไปอย่างสะเปะสะปะเหมือนคนโง่

โจวเหว่ยชิงพรางตัวอยู่ท่ามกลางทหารจำนวนมาก เมื่อเขายิงธนูออกไปเสร็จแล้ว ในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ ยังคงยืนอยู่รอบๆ เพื่อมองดูผลงานของตน เด็กหนุ่มกลับรีบถอยหลังหนีอย่างรวดเร็วเพื่อหลบซ่อนอยู่ข้างหลังคนอื่นๆ เขายังถึงขั้นลงไปนั่งยองๆ กับพื้นเพื่อลดความเสี่ยงที่ธนูฝั่งตรงข้ามอาจจะยิงมาโดนตัว

“อ๊าาาา…อ๊าาาาาาาาาาาาา” เสียงกรีดร้องดังกึกก้องขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากทหารใหม่โดนลูกศรหัวทื่อโจมตี ภายใต้ชี้นำอย่างเจาะจงของผู้บัญชาการกองร้อยเหมาหลี่ ทหารที่โดนหมายหัวแต่ละคนก็ต้องถอนตัวออกจากสนามรบหลังจากถูกเขาโจมตี และไม่สามารถมีส่วนร่วมในการแข่งขันได้อีก

เมื่อโจวเหว่ยชิงได้ยินเสียงร้องโหยหวนพวกนั้น เขาก็รีบยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นธนูอุษาม่วงของเขาถูกง้างขึ้นจนสุดอีกครั้ง ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังมองดูธนูดอกแรกของตนพุ่งทะยานออกไป ลูกธนูดอกที่สองของโจวเหว่ยชิงก็พุ่งเสียดอากาศออกไปด้วยความเร็วสูงแล้ว ด้วยพลังของธนูอุษาม่วง คนที่เขาหมายหัวไว้จะหลบทันได้อย่างไร?

“อ้วนน้อย เจ้าเป็นพลธนูที่เยี่ยมยอดมาก” เหมาลี่โพล่งออกมาด้วยความพอใจและประหลาดใจ เป็นไปตามที่โจวเหว่ยชิงกล่าวก่อนหน้านี้ ทันทีที่ลูกธนูดอกแรกของเขาถูกยิงออกมา เขาก็ประสบความสำเร็จในการ ‘ขานชื่อ’ หนึ่งในทหารใหม่ที่โดดเด่นจากกองพันฝ่ายตรงข้ามทันที ซึ่งนั่นก็คือผู้ที่เหมาลี่ได้ชี้ตัวเอาไว้ก่อนหน้านั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับท่าทางกึ่งประหลาดใจกึ่งพอใจที่เหมาหลี่แสดงออกมานั้น การแสดงออกของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นถือว่าค่อนข้างน่าเกลียดเลยทีเดียว ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ ระยะสายตาของเธอนั้นเรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพมาก หลังจากการระดมยิงรอบแรกผ่านไปแล้ว เธอจึงเห็นได้ชัดเจนว่ากองพันที่ 3 และ 4 ได้สูญเสียทหารไปแล้วกว่า 40 นาย และเมื่อเปรียบเทียบกับกองพันที่ 1 และ 2 เธอพบว่าพวกเขาสูญเสียทหารไปเพียงแค่ 10 นายเท่านั้น ฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันอย่างมากในด้านคุณภาพ และความสามารถของทหารใหม่ทั้งสองฝ่าย ไม่น่าแปลกใจที่เซียวเซ่อจะมีท่าทีมั่นอกมั่นใจเช่นนั้น

หลังจากห่าธนูระลอกแรกได้ถูกยิงออกไปแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นั่นก็คือเขากลายร่างเป็นเสือดาวที่แสนว่องไว และปราดเปรียว ยิ่งไปกว่านั้น ธนูอุษาม่วงอันทรงพลังที่อยู่ในมือของเขาก็ถูกขยับยิงออกไปไม่หยุดหย่อนราวกับสายฟ้า และทุกครั้งที่เด้กหนุ่มยิงธนูออกไป เขาก็จะใช้ทหารใหม่คนอื่นๆ เป็นเกราะกำบังอยู่ตลอด อาจกล่าวได้ว่า เฉพาะเวลาที่โจวเหว่ยชิงจะออกมายิงธนูเท่านั้นเขาถึงจะปรากฏตัวออกมาจากที่กำบัง และการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มก็เกิดขึ้นแค่เพียงชั่วพริบตาเดียวก่อนเขาจะกลับไปหลบข้างหลังคนอื่นอีกครั้ง

ในตอนแรก ฝ่ายตรงข้ามอย่างกองพันที่ 1 และ 2 ไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของเขาเลยจริงๆ แต่หลังจากการผ่านระดมยิงครั้งที่ 4 และ 5 ไปแล้ว เนื่องจากกองพันที่ 3 และ 4 สูญเสียทหารไปกว่าครึ่ง ความเร็วและความแม่นยำของโจวเหว่ยชิงก็เริ่มเรียกความสนใจจากกองพันฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาได้

ในระยะเวลาอันสั้น โจวเหว่ยชิงก็ได้ “ขานชื่อ” ทหารทักษะดีของฝั่งตรงข้ามไปแล้ว 11 นาย ทำให้พวกเขาต้องออกจากสนามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ธนูอุษาม่วงนั้นเป็นธนูที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้ว่าหัวลูกศรจะทื่อ แต่เป้าหมายที่เขายิงก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้นแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเขาคุ้นเคยกับธนูอุษาม่วงเป็นอย่างดี ความแม่นยำของเขาจึงสูงกว่าการใช้ธนูยาวธรรมดาทั่วไป ด้วยเหตุนี้ทหารฝ่ายตรงข้ามจึงไม่มีทางที่จะหลบลูกธนูของเขาพ้น ลูกศรของโจวเหว่ยชิงค่อนข้างแม่นยำมาก พวกมันพุ่งเข้าปะทะตรงบริเวณกลางหน้าอกของเป้าหมายเสมอ ด้วยความแม่นยำดังกล่าว แม้จะบอกว่าเขา ‘ยิงร้อยครั้งถูกร้อยครั้ง’ ก็ไม่ได้พูดเกินไปเลยด้วยซ้ำ

“ระดมยิงไปที่ไอ้เจ้าคนเหลี่ยมจัดนั่นก่อน!” หนึ่งในผู้บัญชาการกองร้อยจากกองพันที่ 2  ตะโกนออกมาเสียงดัง

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงยิงเข้าเป้าหมายคนที่ 12 เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง นับตั้งแต่มณีสวรรค์ของเด้กหนุ่มถูกปลุกขึ้นมา เขาก็พบว่าประสาทสัมผัส และความสามารถในการตรวจจับของโจวเหว่ยชิงเพิ่มขึ้นอย่างอย่างมาก และเมื่อสัมผัสได้ถึงการเพ่งเล็งจากฝั่งตรงข้ามอย่างฉับพลัน นั่นก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกตื่นตระหนก เด็กหนุ่มกลับหลังหันและรีบเผ่นหนีอย่างรวดเร็วโดยไม่เสียเวลาลังเลแม้แต่ครึ่งวินาที

ขณะนี้ในสนามฝั่งกองพันที่ 3 และ 4 ยังมีทหารใหม่เหลืออยู่อีกประมาณ 70 คน และท่ามกลางกลุ่มคนมากมาย จู่ๆ ก็มีทหารคนหนึ่งเด้งตัวพรวดพราดขึ้นมาจากพื้น และหันหลังกลับ พยายามวิ่งสวนทางหนีออกไปด้านหลัง ความสนใจของเจ้าหน้าที่ทหารที่สังเกตการณ์อยู่ทั้งหมดจึงตกอยู่ที่ชายคนนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปกติแล้วต้องมีผู้บัญชาการกองร้อยจากแต่ละกองพันอย่างน้อย 2 คนเข้าร่วมการแข่งขันระหว่างทหารใหม่ โดยมี 1 คนคอยกำกับทหารใหม่บนสนามแข่ง ส่วนคนที่เหลือก็รวมตัวกันรับชมอยู่ข้างๆ สนามเช่นเดียวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และเนื่องจากการแข่งขันยิงธนูของกองพันธนูมักจะจบลงเร็วกว่าการแข่งอื่นๆ มาก ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจชมการแข่งขันนี้เป็นอันดับแรก

……………………………………………………………

“ฝึกฝนในนาทีสุดท้าย เจ้าแน่ใจหรือว่าจะทำได้?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเธอจะพูดเช่นนั้น แต่สุดท้ายเธอก็ถอดธนูอุษาม่วงออกจากหลังแล้วส่งให้กับเขา

“เดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง” โจวเหว่ยชิงรับธนูอุษาม่วงไป จากนั้นก็วิ่งจากไปด้วยจิตวิญญาณอันแรงกล้า แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าการแข่งขันทหารใหม่นั้นเป็นอย่างไร แต่บิดาแก่ๆก็เคี่ยวกรำเขาราวกับฝึกทหารมาตั้งแต่อายุได้ 7 ขวบก่อนจะเข้าร่วมกับกองทัพเสียอีก เวลานั้นสิ่งที่เขาขาดมากที่สุดคือความแข็งแกร่งทางกายภาพ แต่ตอนนี้เขาได้กลายจ้าวมณีสวรรค์แล้ว ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้รับอนุญาติให้ใช้มณียุทธ์ แต่ร่างกายของเขาก็พัฒนาขึ้นมามากกว่าคนทั่วๆไปมาก และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มมีความมั่นใจในตนเองมากยิ่งขึ้น

3 วันให้หลัง

ณ ค่ายทหารที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวงอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เสียงเป่าแตรดังขึ้นในตอนเช้า พลทหารก็พากันหลั่งไหลออกมาจากกระโจมของพวกเขา จากนั้นก็ตั้งแถวยาวเพื่อจะเดินทางออกนอกค่าย

ทหารทั้งหมดมีมากกว่า 2,000 นาย ซึ่ง 1,000 นายในนั้นเป็นกำลังทหารของกองพันที่ 5 ที่มารับผิดชอบการเกณฑ์ทหารใหม่ ในขณะที่อีก 1,000 คนที่เหลือก็คือทหารใหม่ที่รับเข้ามานั่นเอง

กองพันทั้ง 10 กองของกรมที่ 5 ได้ทำการคัดเลือกทหารใหม่กองพันละ 1 กองร้อยเพื่อเสริมกำลังแนวหน้าและชดเชยกำลังพลทหารที่ดูแลจัดการในค่าย

หลังจากทหารใหม่ได้เข้ารับการฝึกฝนจนเวลาล่วงเลยไป 3 เดือน ทหารใหม่ก็เริ่มมีลักษณะท่าทางสมกับเป็นทหารกล้ามากยิ่งขึ้น อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถยืนหลังตรงได้อย่างสง่างาม เครื่องแบบทหารใหม่เอี่ยมยังทำให้ทุกคนดูแข็งแกร่งและดูราวกับมีจิตวิญญาณของนักรบ

ในขณะนี้โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ท่ามกลางทหารกองร้อยใหม่ของกองพันที่ 3 ในมุมอับๆ ที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขามีธนูอุษาม่วงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์พาดอยู่บนหลังด้วย

ด้านหน้าของกลุ่มทหาร 2,000 นาย มีเจ้าหน้าที่ทหารชั้นสูงยืนอยู่หลายคน และคนที่อยู่ข้างหน้าสุดคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่อยู่ในชุดผู้บัญชาการกองพัน เธอเป็นผู้บัญชาการกองพันคนเดียวจากกรมทหารที่ 5 ที่เข้าชมการแข่งขันครั้งนี้ ส่วนผู้บัญชาการกองพันคนอื่นๆ ได้ส่งผู้บัญชาการกองร้อยมาแทน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านหน้าอย่างองอาจและสง่างาม ข้างกายล้อมรอบไปด้วยเหล่าผู้บัญชาการกองร้อย ตอนนี้รูปลักษณ์ภายนอกของเธอช่างดูงดงามและน่าประทับใจมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว สายตาของเธอกวาดมองทหารทั้ง 2,000 นายจนถ้วนทั่ว จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับมอบหมายโดยกรมทหารที่ 5 ให้มาคัดเลือกทหารใหม่ ชื่อของข้าคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ผู้บัญชาการกองพันที่ 3 กรมทหารที่ 5 หน่วยพลธนู”

ทหารเก่าๆ ยังคงมีท่าทีปกติดีเนื่องจากพวกเขาเคยเห็นผู้บัญชาการกองพันหญิงผู้งดงามคนนี้มาก่อนแล้ว แต่ทหารใหม่ส่วนใหญ่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

“ว้าวววว นี่มันสุดยอดความงามของอาณาจักรเลยนี่หว่า! จริงๆ แล้วเธอคือผู้บัญชาการกองพันที่ 3 สังกัดกรมทหารที่ 5 ของเรางั้นเหรอเนี่ย?”

“เหอะๆ เจ้าเพิ่งจะรู้เหรอ? ทหารใหม่ของกองพันที่ 3 อย่างพวกเราจะได้รับมอบอุปกรณ์ส่วนตัวจากผู้บัญชาการกองพันกันทุกคน ดังนั้นเราจึงได้พบกับเธอมาก่อนแล้วในตอนนั้นไงล่ะ”

เมื่อได้ยินการพูดคุยของทหารรอบๆ ตัว โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกภาคภูมิใจมาก เขาคิดในใจอย่างลับๆ ว่า นั่นภรรยาของข้าโว้ย! แน่นอนว่าเขาไม่ได้ประกาศออกมาเสียงดังอย่างที่เขากำลังคิดในใจ

เมื่อเสียงสนทนาของพวกทหารใหม่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าจากเรื่องธรรมดาๆ ก็เริ่มชักชวนกันพูดเลอะเทอะมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้บัญชาการกองร้อยที่รับผิดชอบในการรับสมัครทหารจึงได้ตะโกนเสียงดังว่า “เงียบ!”

เหล่าทหารใหม่เงียบลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมในแต่ละกองพัน แต่การฝึกทหารใหม่นั้นได้จัดฝึกร่วมกันในค่ายทหารใหม่ และตอนนี้การฝึกได้จบลงแล้ว เมื่อการแข่งขันทหารใหม่สิ้นสุดลง พวกเขาก็จะต้องกลับไปประจำกองพันของตน

เซียวเซ่อยืนอยู่ข้างซ่างกวนปิงเอ๋อร์และมองไปยังฉากที่ค่อนข้างวุ่นวายตรงหน้าพวกเขา จากนั้นเธอก็เบ้ปากด้วยความรังเกียจ สนามรบนั้นถูกครอบครองโดยผู้ชาย แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่เคยเข้าใจสิ่งนี้ บุคคลเช่นนี้จะฉวยตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันของเธอไปได้อย่างไร เพียงแค่เธอเป็นจ้าวมณีสวรรค์แค่นั้นน่ะเหรอ? เหอะ! ช่างเยี่ยมยอดจริงๆ!

ขั้นตอนต่อไปคือการจัดการตามระเบียบของกองทัพ  ผู้บัญชาการกองร้อยของกรมทหารที่ 5 แต่ละคนก็ทำการเลือกเฟ้นหาผู้แข่งขัน ทหารใหม่บางคนถูกเลือกออกไป จากนั้นที่เหลือต่างก็มุ่งหน้ากลับไปยังกองบัญชาการใหญ่ของกองพันที่พวกเขาสังกัดอยู่ หลังจากกระบวนการทั้งหมดนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กลับเข้าสู่เวทีอีกครั้ง

“ดี! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่น้องทหารใหม่ทั้ง 1,000 คน พวกเจ้าได้กลายเป็นเป็นพลทหารของกรมทหารที่ 5 อย่างสมบูรณ์แล้ว! ต่อไป เราจะตรวจสอบผลการฝึก 3 เดือนของพวกเจ้าอย่างเข้มงวด ทหารใหม่ที่แสดงความสามารถโดดเด่นในการแข่งขันระหว่างทหารใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าหมู่ เอาล่ะ กองพันต่างๆ ไปเตรียมตัวได้แล้ว”

“ขอรับ” ผู้บัญชาการกองร้อยทุกคนปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง นำกองทหารของตนไปรวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว

กรมทหารที่ 5 เป็นกรมทหารราบ กรมนี้มีทั้งหมด 10 กองพัน โดยมีกองธนู 4 กองพัน กองกำลังอาวุธเบา 4 กองพัน และกองกำลังอาวุธหนักอีก 2 กองพัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากองกำลังอาวุธหนักนั้นเป็นไพ่ตายของกองพันที่ 5 ผู้บัญชาการกองพันที่รับผิดชอบ 2 กองพันนี้ยังมีตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการกรมทหารที่ 5 แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่กำลังตรึงกำลังอยู่ที่แนวหน้า

เนื่องจากความแตกต่างในประเภทของทหาร ดังนั้นการแข่งขันของทหารใหม่จึงไม่ได้แข่งแบบปะทะกันหมด 10 กองพัน แต่แยกแข่งตามประเภทของกองพันที่ตนสังกัดอยู่ เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นล่ะก็ เมื่อปล่อยให้กองกำลังอาวุธเบาและกองกำลังอาวุธหนักต่อสู้กันก็ย่อมไม่ได้วัดอะไรไม่ได้อยู่ดี

การแข่งขันถูกแบ่งออกตามประเภทของกองพันเป็น 3 กลุ่มย่อยๆ ตามลำดับ สำหรับกองกำลังอาวุธหนักนั้นมีแค่ 2 กองพัน วิธีการแข่งขันก็ง่ายๆ พวกเขาเพียงแค่ต้องเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมาและต่อสู้กันโดยไม่ใช้อาวุธใดๆ นี่ถือเป็นการแข่งขันที่วัดความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ทหารที่ล้มลงจะถูกตัดสิทธิ์และนำออกไปจากสนามทันที และการต่อสู้เช่นนี้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียว และผู้ชนะคนสุดท้ายนี้ก็จะได้รับรางวัลเป็นตำแหน่งนายหมู่ ในกรมทหารที่ 5 นี้ ควรรู้ไว้ว่านายหมู่ประจำกองพันอาวุธหนักที่สูงส่งนั้นจะได้รับอภิสิทธิ์เหนือกว่านายหมู่ทั่วๆ ไป  ดังนั้น รางวัลนี้จึงเป็นหนึ่งในรางวัลที่ดีที่สุดในการแข่งขันทั้งหมดของทหารใหม่

สำหรับกองกำลังอาวุธเบา ในการแข่งขันทหารใหม่ของพวกเขานั้น ทหารจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน จริงๆ แล้วมันก็คล้ายกับการแข่งขันทหารกองกำลังอาวุธหนักที่ต้องต่อสู้ปะทะกันโดยตรง แต่ขณะที่กองพันอื่นนั้นต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว กองพันอาวุธเบาจะต่อสู้กันในรูปแบบเฉพาะตัวโดยไม่ต้องจับเป็นคู่ๆเ พื่อต่อสู้กันให้เสียเวลา นั่นคือกองพันทั้ง 4 จะใช้กลยุทธ์การต่อสู้แบบกลุ่ม โดยมีการตั้งขบวนเป็นรูปเฉพาะเพื่อต่อสู้กัน และใช้รูปแบบการต่อสู้แบบอิสระ 500 vs 500 หากทหารฝั่งใดถูกต่อยหรือล้มลงก็จะถูกคัดออกไปเรื่อยๆ หลังจากพัก 15 นาที รอบต่อไปจะเริ่มขึ้นทันที และวนไปแบบนี้เรื่อยๆจนกระทั่งเหลือผู้ชนะคนสุดท้าย

ตามความจริงแล้ว สำหรับทหารใหม่ส่วนใหญ่นั้น การแข่งขันระหว่างทหารใหม่ไม่ได้มีความสำคัญใดๆ กับพวกเขานัก และมันเป็นเพียงพิธีการที่พวกเขาต้องทำให้มันจบๆ ไปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับทหารใหม่ที่มีทักษะดีเยี่ยมและมีความทะเยอทะยาน นี่ถือว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะแสดงฝีมืออย่างแท้จริง ด้วยสิ่งนี้ พวกเขามีโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองท่ามกลางผู้เข้าแข่งขันจำนวนมาก การแข่งนี้ไม่ใช่แค่ช่วยเลื่อนตำแหน่งของพวกเขาไปเป็นนายหมู่อย่างรวดเร็ว แต่ยังเป็นโอกาสสุดพิเศษที่จะช่วยสร้างชื่อเสียงให้พวกเขาในกองทัพด้วย และนั่นจะทำให้การเลื่อนขั้นในอนาคตของพวกเขาราบรื่นมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือเซียวเซ่อนั่นเอง

สำหรับกองธนู การแข่งขันทหารใหม่ของพวกเขานั้นฉีกแนวออกไปมากที่สุด สำหรับกองพันธนูทั้ง 4 กอง ทั้งหมดจะถูกแยกออกเป็น 2 ฝ่าย แต่ละฝ่ายประกอบด้วยพลธนู 200 นาย สนามแข่งขันจะมีพื้นที่ว่างตรงกลาง 200 หลาระหว่างทั้งสองฝั่ง และทั้งสองฝ่ายจะต้องยิงธนูใส่กัน ลูกธนูทั้งหมดนั้นจะถูกทำให้ทื่อ และป้ายด้วยปูนขาว ดังนั้นตราบใดที่พวกเขายิงธนูโดนอีกฝ่าย มันก็จะทิ้งร่องรอยสีขาวเอาไว้อย่างชัดเจน และเป้าหมายที่ถูกยิงก็จะต้องถอนตัวออกจากสนามรบทันที ดังนั้นนี่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ง่ายที่สุดของการแข่งขันในครั้งนี้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าวิธีการแข่งขันแบบนี้จะค่อนข้างง่าย แต่ก็ยังมีความนัยบางอย่างซ่อนอยู่เช่นกัน จะมีสักกี่คนที่สามารถยิงเข้าเป้าได้อย่างแม่นยำในระยะ 200 หลา? ผู้ที่สามารถยิงได้ไกลระดับนั้นจึงถือว่ามีความสามารถมาก ดังนั้นสำหรับกองธนู นี่เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมา และมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเลือกเฟ้นเหล่าพลธนูที่มีความสามารถยอดเยี่ยม บรรดาเหล่าผู้บัญชาการกองร้อย แม้แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ในฐานะผู้บัญชาการกองพันก็ยังให้ความสนใจกับการแข่งขันธนูมากที่สุด อีกทั้งพวกเขาก็ยังมีหน้าที่รับผิดชอบกำกับดูแลทหารใหม่ของกองพันอยู่แล้วด้วย พวกเขาจึงสนใจการแข่งนี้มากเพราะว่าสถานที่แข่งขันเป็นลานโล่งกว้าง ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่จะสามารถหลบลูกธนูของฝ่ายตรงข้ามได้

ในเวลานี้ แต่ละกองพันก็จัดรูปแบบกองทหารของตนให้ประจำอยู่ในแต่ละฝั่ง ด้านซ้ายเป็นกองพันที่ 1 และ 2 ส่วนด้านขวาเป็นกองพันที่ 3 และ 4

การแข่งขันระหว่างทหารใหม่ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันระหว่างทหารเกณฑ์ธรรมดาๆ แต่ยังเป็นการแข่งขันเดิมพันระหว่างศักดิ์ศรีของกองพันต่างๆ อีกด้วย หากฝ่ายหนึ่งสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างราบคาบ นั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกองพันของพวกเขา

………………………………………………………….

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาและพูดอย่างเยือกเย็น “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว อย่าลืมว่าข้าเป็นเจ้านายของเจ้า”

เซียวเซ่อกล่าวล้อเลียนว่า “เจ้านายที่ไม่อยู่ในตำแหน่งเป็นเวลา 2 เดือนโดยไม่ได้รับอนุญาตน่ะหรือ? ผู้บัญชา การกองพัน ท่านอย่าได้กังวลไป ข้าได้รายงานเรื่องนี้ไปยังกองบัญชาการใหญ่แล้วเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านหนีออกไปจากค่ายทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต อีก 3 วัน เมื่อทหารใหม่ฝึกเสร็จแล้ว หากทหารใหม่ของกองพันที่ 3 ได้รับความพ่ายแพ้ในการแข่งขันระหว่างทหารใหม่ ข้ากลัวเหลือเกินว่าตำแหน่งของท่านในฐานะผู้บัญชาการกองพันจะต้องสิ้นสุดลงเป็นแน่ จ้าวมณีสวรรค์นั้นมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะมีความสามารถในการเป็นผู้บังคับบัญชาด้วย”

ทันทีที่พูดจบ เซียวเซ่อก็หันหลัง และเดินออกไปทันที ทำให้ใบหน้าที่งดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีขาวซีดด้วยความโกรธ

โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และเมื่อเห็นเซียวเซ่อกำลังจะเดินจากไป เขาก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อจะไล่ตาม ในใจคิดว่าเขาอดทนกับไอ้นายบำเรอหน้าหยกนั่นมานานมากแล้ว

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือจับแขนของโจวเหว่ยชิงเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้า

เซียวเซ่อหายตัวไปทันทีเมื่อเขาออกจากกระโจมบัญชาการ โจวเหว่ยชิงอดทนไม่ไหวอีกต่อไป เด็กหนุ่มจึงพูดขึ้นมาว่า “ผู้บัญชาการกองพัน ทำไมท่านไม่ให้ข้าสั่งสอนเขา? เจ้าเซียวเซ่อนี่มีอะไรดีงั้นรึ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวเป็นลูกชายคนเดียวของขุนนางขั้นที่ 2 เซียว หยุนเฉิน เสนาบดีกรมพระคลัง มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าข้าจะอดทนกับเขาจนถึงตอนนี้ไหม?”

เมื่อเขาได้ยินคำพูดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็ประหลาดใจมากเช่นกัน “เป็นไปได้ยังไง? เสนาบดีเซียวถูกเรียกขานว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งของอาณาจักรของเรา หรืออาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักว่าทำไมอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราจึงสามารถก้าวหน้าและพัฒนาไปได้อย่างเข้มแข็ง เป็นเช่นนั้นแล้วเขาจะมีลูกชายที่หยิ่งสโยแบบนี้ได้อย่างไร?”

“เจ้ารู้จักเสนาบดีเซียวด้วย?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างประหลาดใจ

โจวเหว่ยชิงตระหนักว่าเขาได้เผลอพูดอะไรบางอย่างออกไป จึงพยายามจะกลบเกลื่อนคำพูดพวกนั้น “หลายคนบอกว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราได้รับการค้ำจุนจากขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ 2 คน คนหนึ่งต่อสู้กับโลกภายนอก อีกคนหนึ่งดูแลขับเคลื่อนโลกภายใน ผู้ที่คอยต่อสู้ปกป้องเราจากโลกภายนอกก็คือแม่ทัพใหญ่โจว และผู้ที่คอยควบคุมดูแลภายในก็คือเสนาบดีเซียว”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ “จริงๆ แล้ว ข้าก็ไม่สามารถตำหนิเซียวเซ่อที่ปฏิบัติต่อข้าเช่นนั้นได้ ก่อนที่ข้าจะมาถึงกองพันที่ 3 ตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันนั้นว่างอยู่ และแม้ว่าเขาจะไม่ใช่จ้าวมณีสวรรค์ แต่เขาก็เป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถในการสั่งการควบคุมกองทัพอย่างมาก ทั้งยังเป็นคนที่น่าจะประสบความสำเร็จมากที่สุดในตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันอีกด้วย แต่ตำแหน่งนั้นกลับถูกข้าช่วงชิงมา ดังนั้นนั่นคือเหตุผลที่เขารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมมาโดยตลอด ยังไงก็ตาม ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวเซ่อก็ยังเป็นไพ่ตายของกองพันที่ 3 ของเราอยู่ดี”

จู่ๆ ท่าทางก็โจวเหว่ยชิงก็ดูแปลกไปอย่างมาก เนื่องจากเขากำลังนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาจากความทรงจำบางส่วนในวัยเด็กของเขา

“น้องชุยหนิว ดูเด็ก 2 คนที่เล่นด้วยกันอย่างสนิทสนมนั่นสิ น่าเสียดาย ลูกชายของท่านอายุน้อยกว่าลูกสาวตัวน้อยของข้าตั้ง 6 ปี มิฉะนั้นข้าจะต้องฉวยตัวลูกเขยคนนี้ไปจากองค์จักรพรรดิ์ให้ได้ ฮ่าๆๆๆ “

“ตาแก่เซียว ทำไมท่านถึงอยากหาเรื่องให้ตัวเองเช่นนี้? เหว่ยชิงเด็กคนนี้เกิดมาพร้อมกับเส้นชีพจรอุดตัน เฮ้อ…เขาถูกลิขิตมาแล้วว่าจะไม่ได้ครอบครองพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมใดๆ ทั้งนั้น!”

“ตาแก่โจว สมองของเจ้าเลอะเลือนรึ? ในฐานะพี่ชาย เจ้าพูดเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร? ตอนนี้ข้าขอบอกเจ้าให้ชัดเจน ในอนาคตหากองค์หญิง และเหว่ยชิงไม่ได้ลงเอยกัน แม้ว่าหรูเซ่อจะแก่กว่าลูกชายของเจ้า ข้าก็จะจับนางแต่งกับเหว่ยชิงให้ได้!”

เด็กสาวอายุ 13-14 ปีกำลังวิ่งตรงไปข้างหน้า จากนั้นร่างของเด็กชายตัวเล็กๆ ที่มีน้ำมูกไหลย้อยออกมาก็วิ่งตามมาด้วย

“โจวเหว่ยชิง! เจ้าสัตว์ประหลาดน้ำมูกตัวน้อย มานี่เร็ว! พวกเราไปแหย่รังนกนั่นกัน”

“ท่านพี่หรูเซ่อ รอข้าก่อน!!”

เด็กสาวที่มีใบหน้าแน่วแน่จริงจังยืนกางปีกปกป้องเด็กชายตัวเล็กๆ ข้างหลัง เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่กับเด็กชายอีก 4-5 คนที่กำลังยืนล้อมรอบพวกเขาอยู่

“ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้ากลั่นแกล้งเขาอีก ใครกล้าแตะต้องเขา ข้าจะต่อยให้หมด!”

“ท่านพ่อ พี่หรูเซ่อไปไหนที่ไหนเหรอ? ทำไมเธอไม่มาเล่นกับข้าอีกแล้ว?”

“พี่หรูเซ่อต้องไปโรงเรียน จอมมารน้อย ช่วงเวลายากลำบากของเจ้ามาถึงแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าจะต้องลุกขึ้นตอนตี 5 เพื่อฝึกฝนพิเศษ มิฉะนั้นพ่อของเจ้าจะตีเจ้าจนก้นแตก!”

“อ้วนน้อยโจว เจ้าคิดอะไรอยู่รึ?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นแล้วโบกไปมาต่อหน้าโจวเหว่ยชิง ก่อนถามเขาอย่างสงสัย

โจวเหว่ยชิงตื่นขึ้นจากภวังค์ และส่ายหัวอย่างรวดเร็ว เขาพูดว่า “ไม่มีอะไรขอรับท่านผู้บัญชาการกองพัน การแข่งขันทหารใหม่ที่ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวพูดถึงก่อนหน้านี้คืออะไรกัน?”

เซียวเซ่อ หรูเซ่อ ชื่อของทั้งสองคนนี้ฝังสลักลงไปในใจของเขาทีละเล็กทีละน้อย ปากของโจวเหว่ยชิงขยับขึ้นพูดสิ่งที่เขาคิดในใจเบาๆ เท่าที่ข้ารู้ ลุงเซียวมีลูกสาวหนึ่งคนเท่านั้น แล้วไอ้เจ้าลูกชายนี่มาจากไหน? ฮ่าๆ ว่ากันว่าผู้หญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เมื่ออายุ 18 ปี ดูเหมือนว่าท่านพี่หรูเซ่อจะจำข้าไม่ได้ แต่ข้าเองก็ยังจำเธอไม่ได้เช่นกัน นี่ท่านถึงกับแกล้งปลอมตัวเป็นผู้ชายงั้นรึ!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วขณะเธอพูดว่า ”เรากำลังพูดถึงการแข่งขันของทหารใหม่ ทำไมเจ้าถึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนั้น?”

“เอ๋? นี่ข้าเผลอยิ้มออกไปหรือ? ผู้บัญชาการกองพัน เอ่อ ข้าหมายความว่าข้าก็เป็นทหารใหม่เหมือนกัน ดังนั้นข้าสามารถเข้าร่วมการแข่งขันทหารใหม่ครั้งนี้ได้ใช่หรือไม่?” โจวเหว่ยชิงตอบกลับอย่างรวดเร็วและหาเหตุผลให้ตัวเองอย่างทันท่วงที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “การแข่งขันทหารใหม่จะเริ่มขึ้นหลังจากที่ทหารใหม่เสร็จสิ้นการฝึกของพวกเขาแล้ว กองร้อยใหม่แต่ละกองก็จะแข่งขันกันเอง การแข่งขันนี้มีจุดประสงค์เพื่อคัดเลือกคนที่มีความสามารถ ยกตัวอย่างเช่น ทหารใหม่ที่แสดงฝีมือได้โดดเด่นที่สุดจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหมู่โดยตรง ข้าจำได้ว่านี่เป็นวิธีที่ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวใช้ไต่เต้าตำแหน่งขึ้นมา เขาเกณฑ์ทหารมา3ปีแล้ว แต่วันนั้นเขาแสดงการต่อสู้ได้ยอดเยี่ยม และโดดเด่นมากจริงๆ หากข้าไม่ใช่จ้าวมณีสวรรค์ บางทีเขาอาจจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้บัญชาการกองพันไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในการเลื่อนตำแหน่งแต่ละครั้ง เขาก็มักจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองเสมอ และไม่ยอมพึ่งพาความช่วยเหลือจากเสนาบดีเซียวโดยเด็ดขาด ข้าชื่นชม และเคารพเขาอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เจ้าจะต้องเข้าร่วมในการแข่งขันของทหารใหม่ ไม่เช่นนั้นกองร้อยใหม่ของเราจะขาดคนไป 1 คน ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้มณีสวรรค์ของเจ้าด้วยอย่างแน่นอน”

“ผู้บัญชาการกองพัน ข้ามีเงื่อนไข” โจวเหว่ยชิงพูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า หลังจากทราบว่าเซียวเซ่อนั้นกลายเป็นพี่หรูเซ่อของเขาอย่างไม่คาดคิด เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็นจนไม่สามารถระงับสีหน้าของตนเองได้อีกต่อไป

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เมื่อมองเห็นเขาแสดงท่าทางแบบเดิมๆ ออกมาเช่นนี้ ระลอกคลื่นมากมายก็ไหลทะลุผ่านหัวใจของเธอราวกับว่าคนไร้ยางอายตรงหน้าเธอนี้กลับกลายเป็นเขาคนเดิมที่เธอรู้จักอีกครั้ง

“เงื่อนไขอะไร?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำหน้าหน้าจริงจังและถามออกไป

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้าง “ให้ข้ายืมธนูอุษาม่วงของท่าน แม้ข้าจะไม่สามารถใช้มณีสวรรค์ได้ แต่ข้าก็ยังสามารถทำให้พวกเขาประหลาดใจได้แน่ๆ ผู้บัญชาการกองพัน ท่านรอดูเถอะ อ้วนน้อยโจว ผู้ช่วยส่วนตัวของท่านจะแสดงความกล้าหาญในการแข่งขันทหารใหม่ในครั้งนี้เอง แต่ว่า…มีรางวัลหรือไม่?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำน้ำเสียงโกรธๆ “อะไร! เจ้ายังจะหวังรางวัลอีกหรือ?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “กองทัพยังมีความเที่ยงธรรมอยู่หรือไม่? ใครละเลยวินัยย่อมต้องถูกลงโทษ ดังนั้นหากใครชนะก็สมควรได้รับรางวัลเช่นกันไม่ใช่หรือ? ข้าไม่ต้องการตำแหน่งนายหมู่หรอก ดังนั้นหากข้านำกองร้อยใหม่ของกองพันที่ 3 ของเราชนะการแข่งขันในครั้งนี้ ในอนาคตเมื่อไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ ท่านจะยอมให้ข้าเรียกท่านด้วยชื่อจริง นี่ไม่เกินไปใช่หรือไม่?”

เดิมทีซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต้องการจะปฏิเสธเขาในทันที แต่เมื่อขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทันใดนั้นเธอก็เปลี่ยนใจ ยังไงก็ตาม พวกเขาทั้งคู่ก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะให้อีกฝ่ายเรียกชื่อเธอตรงๆ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากนึกถึงท่าทีหยิ่งผยองของเซียวเซ่อ ตอนนี้เธอจึงได้แต่กัดฟันยอมรับ “ได้! ตกลง! หากเจ้าสามารถนำกองร้อยใหม่ของเราครองตำแหน่งชนะเลิศในการแข่งขันทหารใหม่ ข้าจะยอมให้เจ้าทำเช่นนั้น”

โจวเหว่ยชิงไม่ได้คาดหวังว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะยอมรับง่ายๆ เช่นนี้ เขาจึงราวกับตกอยู่ท่ามกลางความสุขสมยินดี “ผู้บัญชาการกองพัน ก่อนอื่นข้าขอยืมธนูอุษาม่วงของท่านก่อน ยังมีเวลาอีก 3 วันก่อนการแข่ง เพราะฉะนั้นตอนนี้ข้าจะฝึกยิงธนู…”

……………………………………………………………..

“เจ้าต้องระวังให้ดี อย่าเผลอไปทำลายตราประทับบนตัวของอสูรสวรรค์โดยเด็ดขาด อสูรสวรรค์พวกนั้นแข็งแกร่งกว่าจ้าวมณีสวรรค์ในระดับเดียวกันมาก” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ตนเองกล่าวคำเตือนเช่นนั้นกับโจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงหันไปยิ้มให้เธอ ก่อนจะส่งสัญญาณมือว่าให้เธอวางใจได้ ก่อนที่จะเดินผ่านทางเข้าไป

เมื่อมองดูร่างที่จากไป คิ้วของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ขมวดขึ้นมาเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้นกับอ้วนน้อยโจวในวันนี้กันแน่? ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มใช้ทุกโอกาสเอาเปรียบเธอด้วยคำพูดของเขา และพยายามทดสอบขีดจำกัดของเธออย่างต่อเนื่อง แต่วันนี้เหมือนกับว่าโจวเหว่ยชิงกลายเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง ดูเรียบง่าย และซื่อสัตย์เหมือนกับภาพลักษณ์ที่เขามี

อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังรู้สึกได้ว่าโจวเหว่ยชิงนั้นพยายามหยิกทึ้งใบหน้าของตนเองอยู่ตลอดเวลาหลังจากก้าวเท้าเข้ามาในวังแห่งนี้ เขาเหมือนพยายามห้ามปรามตัวเองมาตลอดทั้งวันให้ไม่เผลอพูดจาไร้สาระ หรือลามกออกมา และนั่นก็ดูเป็นความพยายามที่ลำบากเป็นอย่างมากสำหรับเขา

“อืมม…ดูเหมือนว่าจะได้ผลแฮะ! คำพูดของตาแก่นิสัยเสียก็มีความจริงอยู่บ้างนี่หว่า! เพื่อทำให้ผู้บัญชาการกองพันผู้งดงามของข้ายอมรับในตัวข้า วิธีการแบบเก่าๆของข้าก็ควรโละทิ้งไป!”

ในขณะที่เดินไปตามอุโมงค์ทางเข้า โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ว่าทางที่เขากำลังเดินอยู่นั้นเอียงลงไปข้างล่างเรื่อยๆ จากนั้นประมาณ 200 เมตรทางก็เริ่มคดเคี้ยว หลังจากหักเลี้ยวไปมาหลายรอบ ในที่สุดเด็กหนุ่มก็มาถึงห้องโถงที่เปิดโล่งแห่งหนึ่ง

ห้องโถงนี้ไม่ได้ถูกตกแต่งอะไรเลย แต่ก็มีทางเข้าอีก3ทางปรากฏอยู่ต่อหน้าโจวเหว่ยชิง เหนือทางเข้าพวกนั้นถูกจารึกไว้ตัวอักษรขนาดใหญ่ตามลำดับ ปฐม ปรมะ เทวะ

ด้านข้างมีชายชราสวมเสื้อคลุมจ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมนั่งอยู่ แม้ว่าบนเสื้อคลุมของเขาจะไม่มีสัญลักษณ์ดาบไขว้กันปักอยู่ก็ตาม ในเวลานี้ อาจเป็นเพราะโจวเหว่ยชิงมาค่อนข้างเช้าเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีผู้คนอยู่เลย

“จ่ายค่าเข้า” ชายชราพูดอย่างเฉยเมยกับโจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงเดินไปข้างหน้าและส่งบัตรเก็บเหรียญทองสีแดงที่เขาได้รับจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไปให้ชายชรา พร้อมกับกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ข้าต้องการเข้าสู่กรงของสัตว์อสูรระดับเทวะ”

“ระดับเทวะ?” ชายชราชะงักด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็ใช้สายตากวาดประเมินโจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “ที่จริงแล้วข้าแค่อยากเห็นอสูรสวรรค์ระดับเทวะตัวเป็นๆ เท่านั้น อยากรู้ว่ามันจะให้ความรู้สึกเช่นไรบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังได้ยินมาว่าอสูรสวรรค์ระดับเทวะนั้นแข็งแกร่งมากอีกด้วย”

ชายชราพูดอย่างใจเย็น “นั่นขึ้นอยู่กับเจ้า ตราบใดที่เจ้าจ่ายเงิน เจ้าก็สามารถทำได้ตามใจ” ในขณะที่พูด เขาก็หยิบอุปกรณ์ธาตุมิติที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรูดบัตรเก็บเหรียญทองและบันทึกการจ่ายเงินของโจวเหว่ยชิงลงไป ผู้คุมประตูรูดบัตรนำเงินออกจำนวน 10,000 เหรียญทองอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าโจวเหว่ยชิงจะเปลี่ยนใจ เมื่อเขาคืนบัตรเก็บเหรียญทองให้โจวเหว่ยชิง ชายชราก็มอบเหรียญกลมเล็กๆ เพื่อใช้เป็นบัตรผ่านให้กับเขาด้วย

“เจ้าจะต้องออกมาภายในเวลา 4 ชั่วโมง และตอนจะดำเนินการกักเก็บทักษะ เจ้าแค่เพียงวางมือลงบนหัวของอสูรสวรรค์ตัวนั้น ไปเถอะๆ”

“ขอบคุณผู้อาวุโส”

ชายชรามองตามโจวเหว่ยชิงขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปในกรงของอสูรสวรรค์ระดับเทวะ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม “ช่างเป็นเด็กหนุ่มไม่ประเมินตัวเองเสียจริง ข้าสงสัยนักว่าเด็กโง่คนนั้นกำลังพยายามจะลองเสี่ยงดวงดูหรือ? หรือเขาจะเป็นลูกชายไม่ได้เรื่องของตระกูลร่ำรวยบางตระกูลกันนะ”

ผ่านไปน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง ชายชราผู้เพิ่งจะเผลองีบหลับไปก็สังเกตเห็นว่าโจวเหว่ยชิงกำลังเดินออกมาจากกรงอสูรสวรรค์ระดับเทวะอย่างรีบเร่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าสลด

โจวเหว่ยชิงคืนเหรียญกลมเล็กๆ ให้กับชายชราแล้วถอนหายใจพูดว่า “อสูรสวรรค์ระดับเทวะนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว…”

ชายชราให้เสียงหึในลำคออีกครั้ง แล้วจึงกล่าวว่า “ชายหนุ่มอย่างเจ้าไม่ควรประเมินตัวเองสูงเกินไป ครั้งต่อไปเพียงแค่เข้าสู่กรงระดับปฐม เจ้าก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่ามาก  เหรียญทอง 10,000 เหรียญต่อการทดลองกับสัตว์อสูรระดับเทวะหนึ่งครั้ง…ดูจากอายุของเจ้าแล้ว แม้ว่าบิดาของเจ้าจะเป็นกษัตริย์ เขาก็ยังช่วยสนับสนุนเงินให้เจ้าลองเล่นหลายๆรอบไม่ไหวหรอก”

“ถูกต้อง ถูกต้อง คำสอนของท่านถูกแล้ว” โจวเหว่ยชิงพูดอย่างสุภาพ ก่อนที่จะหันหลังกลับและเดินหนีออกไปจากบริเวณนี้

ขณะที่เด็กหนุ่มเดินกลับเข้าไปในทางเดินก่อนหน้า  ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีทันใด มันเต็มไปด้วยความพึงพอใจและภาคภูมิใจในตนเอง จากนั้นโจวเหว่ยชิงก็ยกกำปั้นขึ้นชูในอากาศ ท่าทางบ่งบอกถึงชัยชนะ

ในวันหลายวันต่อๆ มา โจวเว่ยชิงก็ยังคงไปที่วังกักเก็บทักษะอีก และทุกครั้งเขาก็จะเข้าไปในอุโมงค์ที่แตกต่างกันเสมอ มีเพียง2วันสุดท้ายเท่านั้นที่เข้าไปในอุโมงค์เดิม

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่กำลังหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์แทบจะไม่ออกจากห้องเลย เธอต้องพยายามรวบรวมพลังปราณอย่างหนักเพื่อหลอมรวมเข้ากับรองเท้าวายุประสานของเธอให้ได้

5 วันต่อมา หลังจากโจวเหว่ยชิงใช้จ่ายเหรียญทองจากบัตรที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ให้ยืมไปจนเกลี้ยง เขาก็หมกตัวอยู่ในห้องเพื่อรวบรวมและฟื้นฟูปราณสวรรค์ของตนอย่างเงียบๆ ราวกับว่าเหตุการณ์ทั้ง 5 วันที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง

ระยะเวลาที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้ในทดลองหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์นั้นพิสูจน์ให้โจวเหว่ยชิงเห็นถึงความยากลำบากแสนสาหัสของการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ เธอใช้เวลาไปทั้งหมดถึง 2 เดือนเต็ม หรืออาจจะกล่าวได้ว่า 61 วันถ้วน ก่อนที่เธอจะสามารถหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ได้สำเร็จ

การฝึกทหารใหม่กำลังจะเสร็จในไม่ช้า และในฐานะผู้บัญชาการกองพัน ปกติแล้วซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด ดังนั้นทั้งคู่จึงกล่าวคำอำลากับเฟิงหยูและฮูเหยียนเอ้าป๋อ ก่อนออกจากเมืองภูเขาลอยฟ้าเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์

“อ้วนน้อยโจว ก่อนหน้านี้ข้าไม่มีเวลาถามเจ้า แต่ทักษะการกักเก็บของเจ้าประสบความสำเร็จหรือไม่?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามโจวเหว่ยชิงขณะที่พวกเขาเดินไปด้วยกัน

ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา นอกจากเวลาอาหารที่บางครั้งพวกเขาพูดกันสองสามคำแล้ว เวลาที่เหลือพวกเขาแทบจะไม่มีการสื่อสารระหว่างกันเลย และขณะที่พักอยู่ในลานเล็กๆ ของฮูเหยียนเอ้าป๋อ เธอก็ไม่อยากจะถามโจวเหว่ยชิงเกี่ยวกับทักษะการกักเก็บของเขาออกมาต่อหน้าคนอื่น สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจมากก็คือตอนนี้โจวเหว่ยชิงดูเหมือนว่าจะกลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่วางตัวเหมาะสมมาก ตั้งแต่วันที่พวกเด็กหนุ่มกลับไปยังวังกักเก็บทักษะด้วยกันเป็นครั้งที่สอง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่พูดคุยอะไรไร้สาระกับเธออีกเลย

“มันเป็นความลับ เข้าใจหรือไม่? ผู้บัญชาการกองพัน ท่านไม่ได้บอกก่อนหน้านี้หรือ? ทักษะธาตุนั้นเป็นความลับที่สำคัญที่สุดของจ้าวมณีสวรรค์” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างมีลับลมคมใน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยความประหลาดใจ “นี่เจ้าทำสำเร็จจริงเหรอ?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “ท่านจะรู้เองในอนาคต”

“หึ! ถ้าเจ้าไม่อยากพูดก็ช่างมันเถอะ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันหลังกลับและทำท่าทีหมางเมินต่อเขาขณะที่เร่งฝีเท้าวิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ

เมื่อเวลาผ่านไป ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้สึกได้ว่าปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงนั้นพัฒนาขึ้นในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงมาก แม้ว่าจะยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับเธอได้ แต่เขาก็สามารถรักษาระดับความเร็วของเขาไว้ได้นานขึ้น

ในความเป็นจริง ตอนที่โจวเหว่ยชิงได้ปลุกมณีของเขาขึ้นมานั้น จริงๆ แล้วตอนนั้นเด็กหนุ่มยังไม่มีพลังปราณอยู่ในเกณฑ์ปกติของขั้นพื้นฐานระดับ 4 เลยด้วยซ้ำ เนื่องจากตอนนั้นเขาเพิ่งจะผ่านไปถึงขั้นนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ หลังจากการฝึกฝนตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เขาก็รับรู้ได้ว่าพลังปราณสวรรค์ในร่างกายของโจวเหว่ยชิงมีขีดจำกัดเพิ่มมากยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกับการเดินทางสู่เมืองภูเขาลอยฟ้า โจวเหว่ยชิงทำหน้าที่เป็นคนเตรียมอาหารสำหรับพวกเขา แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะพูดคุยกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นครั้งคราวอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ อาจกล่าวได้ว่าเขาทำตัวราวเป็นอีกคน เมื่อทั้งสองถึงค่ายทหารหลังจากเดินทางมาเป็นเวลา 10 วัน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็พบว่าเหตุการณ์นี้ช่างแปลกประหลาดและผิดธรรมชาติมาก หากเอ่ยถึงโจวเหว่ยชิงแล้ว เขาเป็นคนที่พรากครั้งแรกของเธอไป คนที่ทำให้เธอโกรธและมีความสุขในบางครั้ง เธอจึงต้องทำตัวดีกับเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการเปลี่ยนแปลงของโจวเหว่ยชิงในครั้งนี้ เธอไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันดีหรือไม่ดี

ณ ค่ายทหารนอกเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์

“ผู้บัญชาการกองพัน ท่านกลับมาแล้ว” เซียวเซ่อมองไปยังซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของเขาเพื่อแสดงความเคารพอย่างเหมาะสม

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิงเพิ่งจะกลับไปที่กระโจมและเปลี่ยนเป็นชุดทหารเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเธอจึงเดินทางไปที่กระโจมบัญชาการ

หลังจากออกเดินทางเกือบ 3 เดือน เธอก็กระตือรือร้นที่จะรับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของการเกณฑ์ทหารใหม่มาก

“ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว สถานการณ์ของทหารใหม่เป็นอย่างไรบ้าง ควรจะฝึกเสร็จในไม่ช้านี้ใช่หรือไม่?”

เซียวเซ่อตวัดสายตาไปยังโจวเหว่ยชิงที่ยืนอยู่ด้านหลังซ่างกวนปิงเอ๋อร์ จากนั้นเขาก็พูด “การฝึกทหารใหม่จะแล้วเสร็จในอีกสามวัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าว่าท่านถามผิดคนแล้ว ก่อนออกเดินทาง ท่านไม่ได้สั่งให้ผู้บัญชาการกองร้อย  เหมาหลี่สอดส่องดูแลทหารใหม่พวกนี้หรือ?”

……………………………………………………….

เช้าวันรุ่งขึ้น โจวเหว่ยชิงค่อยๆ ผละออกจากการฝึกปราณของเขา

เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ร่างกายรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า ความจุพลังปราณของเขาก็ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้น

นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ทดลองเพ่งสมาธิสะสมพลังปราณตลอดทั้งคืนแทนการนอนหลับ และแม้ว่ามันจะไม่สะดวกสบายเท่ากับการนอน แต่ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าหลังจากออกจากสมาธิก็ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าการตื่นขึ้นมางัวเงียหลังจากนอนทั้งคืนเสียอีก

ขณะที่โจวเหว่ยชิงแง้มประตูออกกว้าง อากาศบริสุทธิ์ก็หลั่งไหลเข้ามาภายในห้อง เขาสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ปลดปล่อยลมหายใจที่เต็มไปด้วยของเสียที่สะสมมาตลอดทั้งคืนออกจากร่าง โจวเหว่ยชิงหลับตาลง เขารับรู้ได้ถึงความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าภายในร่างกาย

ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็นึกถึงคำพูดที่อาจารย์คนแรกของตนได้บอกเมื่อสองปีก่อนขณะที่พวกเขาจะแยกทางกัน “ตอนนี้เจ้ายังเป็นแค่จอมเจ้าเล่ห์น้อย ยังห่างไกลจากการเป็นมารร้ายที่แท้จริงนัก หากเจ้าสามารถพัฒนาจนกลายเป็นมารร้ายผู้สมบูรณ์แบบได้แล้ว ถึงตอนนั้น แม้เจ้าจะทำชั่วช้าแค่ไหน คนอื่นก็ยังเห็นว่าเจ้าเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์อยู่ดี  ดังนั้นหากเจ้าต้องเผชิญหน้ากับบุคคลชั่วร้าย จงจำไว้ว่าเจ้าต้องร้ายให้มากกว่าเขา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสุภาพบุรุษผู้อ่อนน้อมถ่อมตน จำไว้ว่าเจ้าจะต้องอ่อนโยนและสุภาพให้มากกว่าให้ได้ วันหนึ่งหากเจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้ เจ้าก็จะเป็นจอมมารร้ายที่แท้จริง และนั่นคือสุดยอดตัวโกงเลยทีเดียว…”

ขณะนั้น โจวเหว่ยชิงเพิ่งจะอายุ 12 ปีและไม่ได้เข้าใจคำพูดเหล่านั้นอย่างถ่องแท้ อย่างไรก็ตาม หลังจากสิ้นสุดการฝึกปราณตลอดคืนและผลักประตูออกมาในเช้านี้ ในที่สุดเขาก็สามารถทำความเข้าใจกับคำกล่าวของอาจารย์ได้แล้ว ราวกับว่าตอนนี้โจวเหว่ยชิงสามารถพิชิตคำพูดเหล่านั้นได้อย่างถ่องแท้

เมื่อตระหนักได้แล้ว โจวเหว่ยชิงพูดก็กับตัวเองอย่างฉับพลันว่า “ใช่! ข้าไม่ใช่เศษสวะอีกต่อไปแล้ว! ข้าไม่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นเพื่อปกปิดตัวเองอีกต่อไป เพราะตอนนี้ข้าไม่ใช่จอมเจ้าเล่ห์น้อย แต่ข้าเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่! อะไรคือจ้าวมณีสวรรค์น่ะเหรอ? นั่นไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เหมาะจะเป็นจอมมารร้ายอย่างแท้จริงคนนั้นหรอกหรือ?” ในขณะนี้ราวกับว่าเขาได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง อีกทั้งอายุวิญญาณก็เติบโตขึ้นมากกว่าอายุจริง 13 ปีของเขาเสียอีก

ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองอยู่นั้น ประตูห้องข้างๆ ก็เปิดออก และซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เดินออกมาจากประตูที่อยู่ถัดไปนั้นเอง มือทั้งสองข้างของเธอเหยียดขึ้นเพื่อบิดขี้เกียจ ภายใต้แสงสว่างเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ยามเช้า รูปร่างที่งดงามพริ้วไหวของเธอก็เปิดเผยต่อสายตาของโจวเหว่ยชิง

“งดงามมาก…” โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความชื่นชม

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หมุนคอไปมาจากนั้นก็ส่งสายตาเย็นๆ ให้กับเขา แต่โจวเหว่ยชิงก็เพียงแต่ยิ้มให้เธอแล้วพูดว่า “ผู้บัญชาการกองพัน ไปกินข้าวเช้ากันก่อนเถอะ”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังแล้วเดินตรงไปยังห้องอาหารทันที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดหยุดชะงักด้วยความตกใจ  ในขณะนั้นเธอเกือบคิดว่าจำคนผิดด้วยซ้ำ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของโจวเหว่ยชิงเปล่งประกายความจริงใจออกมา นั่นเป็นเจ้าอ้วนน้อยโจวที่ไร้ยางอายคนนั้นจริงๆ เหรอ!?

ในระหว่างมื้ออาหารของพวกเขา โจวเหว่ยชิงแทบไม่ได้ปริปากพูดคุยกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์เลยแม้แต่น้อย และหลังจากสวาปามอาหารเช้าอย่างรวดเร็วแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปหาฮูเหยียนเอ้าป๋อเพื่อแจ้งว่าตนกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังจะออกไปข้างนอกซักพัก

หลังจากที่โจวเหว่ยชิงออกมาพ้นเขตเรือนของฮูเหยียนเอ้าป๋อแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังวังกักเก็บทักษะที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่นานพวกเขาก็เข้าไปในวังกักเก็บทักษะ ทันใดนั้นเอง ในที่สุดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอเอ่ยปากถามโจวเหว่ยชิงที่ยืนอยู่ห่างจากเธอประมาณ 3 ก้าวว่า “อ้วนน้อยโจว เจ้าสบายดีหรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงตอบอย่างสงสัย “ใช่ ข้าสบายดีมาก มีปัญหาอะไรงั้นหรือ?”

โดยธรรมชาติแล้วซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่อาจจะถามเขาออกไปโต้งๆ ได้ว่า ‘ทำไมเจ้าถึงไม่พูดจาไร้สาระกับข้าเหมือนเดิมล่ะ?’ เธอจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ภายในใจ และพวกเขาก็มุ่งหน้าเข้าไปในวังกักเก็บทักษะอีกครั้ง

แผ่นป้ายบ่งบอกความเป็นจ้าวมณีสวรรค์ และเสื้อคลุมที่เพิ่งได้รับเมื่อวานนี้เป็นบัตรผ่านชั้นเยี่ยมที่นำพวกเขาเข้าไปสู่ห้องโถงหลักได้อย่างราบรื่น

“ผู้บัญชาการกองพัน อีกเดี๋ยวข้าจะต้องทำยังไงบ้าง?” โจวเหว่ยชิงถามซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขึ้นมา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตอบกลับ “กฎของวังกักเก็บทักษะนั้นง่ายมาก นอกเหนือจากทางที่นำเราไปสู่การลงทะเบียนเมื่อวานนี้ ทางเข้าอีก9ทางที่เหลือต่างก็เป็นทางนำไปสู่กรงของสัตว์อสูรสวรรค์ทั้งสิ้น พวกมันถูกแยกตามลำดับคือ ธาตุน้ำ, ธาตุไฟ, ธาตุดิน, ธาตุลม, ธาตุแสง, ธาตุมืด, ธาตุมิติ และธาตุชีวิต รวมทั้งหมด 8 ทักษะธาตุ ส่วนทางเข้าสุดท้ายจะนำไปสู่กรงสัตว์อสูรสวรรค์ที่มีทักษะธาตุพิเศษไม่เหมือนใคร”

ภายในแต่ละกรงทักษะธาตุ อสูรสวรรค์ก็จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับเหมือนกับพวกเราจ้าวมณี นั่นก็คือ ระดับปฐม ระดับปรมะ และระดับเทวะ ตามลำดับ การเข้าสู่กรงส่วนที่มีอสูรสวรรค์ดับปฐมเพื่อกักเก็บธาตุนั้นจะต้องเสียเงิน 500 เหรียญทองต่อครั้ง ส่วนระดับปรมะ 2000 เหรียญทอง และระดับเทวะ 10,000 เหรียญทอง”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “มีอันตรายระหว่างการกักเก็บทักษะหรือไม่?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าว “ ที่นั่นไม่มีอันตรายใดๆ รู้หรือไม่ว่าในทักษะธาตุทั้งหมด 8 อย่าง ทำไม 4 ทักษะธาตุที่ข้าเคยบอกเจ้าถึงถูกเรียกว่าทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่?”

โจวเหว่ยชิงส่ายหน้าเป็นคำตอบ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 4 เหล่านั้น แต่ละธาตุมีความสามารถพิเศษบางอย่างเฉพาะตัวเพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น เจ้ารู้อยู่แล้วว่าทักษะธาตุมิติช่วยให้เจ้าสามารถกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับความสามารถพิเศษของอีก 3 ทักษะธาตุที่เหลือนั้น ทักษะธาตุมืดและธาตุแสงมีความสามารถเกี่ยวกับการปิดผนึก ในขณะที่ความสามารถพิเศษของทักษะธาตุชีวิตคือการฟื้นคืนชีพ ดังนั้น ทักษะธาตุทั้ง 4 ชนิดนี้จึงถูกเรียกว่าทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 4 ”

“ปิดผนึก? ฟื้นคืนชีพ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “เหล่าอสูรสวรรค์ที่วังกักเก็บทักษะนั้นถูกเลี้ยงดูอยู่ในกรงขังพวกนี้ จริงๆ แล้วกรงพวกนี้ถูกร่ายพลังปิดผนึกไว้โดยจ้าวมณีทักษะธาตุมืดหรือธาตุแสงที่มีความสามารถสูง ดังนั้นเมื่อจ้าวมณีจะดำเนินการกักเก็บทักษะ พวกเขาจึงไม่ได้รับอันตรายใดๆ สำหรับความสามารถในการฟื้นคืนชีพของทักษะธาตุชีวิตนั้นมีความเป็นไปได้ยากมากกว่าการหลอมรวมกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เสียอีก  ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการฟื้นคืนชีพยังมีอัตราความสำเร็จต่ำมากอีกด้วย”

โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “หากพวกสัตว์อสูรได้รับการผนึกไว้ นั่นหมายความว่าข้าก็สามารถเลือกอสูรสวรรค์ระดับเทวะเพื่อจัดการกักเก็บทักษะได้น่ะสิ? แล้วอะไรคือความแตกต่างในการกักเก็บทักษะธาตุจากอสูรสวรรค์ในระดับต่ำและสูงกว่าล่ะ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าว “โดยทั่วไปแล้ว เจ้าจะต้องทำการกักเก็บทักษะธาตุกับอสูรสวรรค์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน หากอัตราความสำเร็จของอสูรสวรรค์ระดับปฐมอยู่ที่ 1 ใน 100 ส่วน เมื่อเจ้าพยายามที่จะกักเก็บทักษะธาตุจากอสูรสวรรค์ระดับปรมะ ความน่าจะเป็นที่จะประสบความสำเร็จนั้นอยู่ที่ 1 ใน 100 ส่วนของอัตราความสำเร็จของอสูรสวรรค์ระดับปฐมอีกที ดังนั้นความน่าจะเป็นนั้นต่ำมาก บางทีอาจจะน้อยกว่า 1 ใน 10,000 ส่วนด้วยซ้ำ ในทำนองเดียวกัน ถ้ามันเป็นอสูรสวรรค์ระดับเทวะ ความน่าจะเป็นที่จะทำสำเร็จก็คืออีก 1 ใน 100 ส่วนของความน่าจะเป็นของระดับปรมะอีกที”

“ที่จริงแล้วไม่ว่าอสูรสวรรค์ที่เจ้ากักเก็บทักษะธาตุนั้นจะอยู่ในระดับใด ทักษะธาตุที่เจ้าสามารถกักเก็บลงในมณีธาตุของเจ้าได้ก็มักจะมีระดับพลังอยู่ในขั้นต่ำสุดเสมอ แต่หากมณีของเจ้ามีระดับสูงขึ้น ทักษะธาตุนั้นก็จะเพิ่มระดับขึ้นเองตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ทักษะธาตุที่หายากนั้นมีให้เลือกแค่จากบรรดาอสูรสวรรค์ที่อยู่ในระดับที่สูงๆเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ความสามารถฟื้นคืนชีพที่จ้าวมณีทักษะธาตุชีวิตต้องการมากที่สุด สามารถพบได้ในอสูรสวรรค์ที่อยู่ในระดับเทวะเป็นอย่างน้อย”

โจวเหว่ยชิงพลันตอบกลับ “ข้าเข้าใจแล้ว ผู้บัญชาการกองพัน ท่านจะเข้าไปกับข้าหรือไม่?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหน้า “ข้ายังไม่ได้วางแผนจะกักเก็บทักษะในตอนนี้ ยังไงซะเราก็ยังไม่มีเงินเพียงพอ เพราะฉะนั้นเลือกระดับต่ำๆ เพื่อทดลองวิธีที่เจ้าพูดถึงเมื่อวานนี้ก่อนละกัน กฎที่นี่ก็ง่ายมาก เมื่อใดที่เจ้าจะเข้าไปในกรงนั้น เจ้าก็แค่จ่ายเงิน เมื่อเข้าไปแล้ว ห้ามอยู่นานเกินกว่า 4 ชั่วโมง และเนื่องจากทุกคนสามารถกักเก็บทักษะได้วันละครั้งเท่านั้น หากวันรุ่งขึ้นเจ้ากลับไปอีกครั้ง เจ้าก็ต้องเสียเงินอีกรอบ”

โจวเหว่ยชิงหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “ผู้บัญชาการกองพัน ข้าขอยืมสัก 10,000 เหรียญทองก่อน แล้วข้าจะคืนให้ท่านในอนาคต”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างตกใจ ” เจ้าหมายความว่า…”

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้าง “ข้าแค่คิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้ลองสัมผัสกับอสูรสวรรค์ระดับเทวะดูสักครั้ง รับรองว่าในอนาคตข้าจะคืนเงินให้ท่านอย่างแน่นอน”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบบัตรสีแดงออกมาจากอกเสื้อของเธอแล้วส่งต่อไปให้โจวเหว่ยชิง “ข้างในนี้มี 50,000 เหรียญทอง เจ้าเข้าไปลองซะ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว บัตรใบนี้ก็เพียงพอที่จะให้เจ้าลองได้ทั้งหมด 5 ครั้ง เจ้าสามารถคืนเงินให้ข้าทีเดียว 50,000 เหรียญทองในภายหลัง ตอนนี้ต้องการให้ข้ารอหรือไม่?”

“ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไร ผู้บัญชาการกองพัน ท่านควรกลับไปหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ใหม่อีกรอบดีกว่า” โจวเหว่ยชิงรู้ว่านั่นคือบัตรเก็บเหรียญทอง และสีแดงแสดงถึงขีดจำกัดสูงสุด 50,000 เหรียญทองนั่นเอง เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก หลังจากได้รับบัตรใบนั้น เขาก็เดินไปยังทางเข้าซึ่งนำไปสู่กรงของอสูรสวรรค์ทักษะธาตุลม

…………………………………………………………..

“อืม เพราะมันกลายมาเป็นเช่นนี้แล้ว ดังนั้นเจ้าก็รอที่นี่ไปพลางๆ ก่อนระหว่างที่ข้ากำลังหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ให้เสร็จสมบูรณ์ จากนั้นเราก็ค่อยออกไปจากที่นี่กัน ในเมื่อตอนนี้ท่านอาวุโสฮูเหยียนกลายมาเป็นอาจารย์ของเจ้าแล้ว ดังนั้นหนทางการฝึกตนของเจ้าในอนาคตก็คงจะราบรื่นขึ้นไม่น้อย”

โจวเหว่ยชิงพูดพร้อมกับยิ้ม “ไม่ใช่แค่ข้า เราต่างหาก อาจารย์สัญญาแล้วว่าจะช่วยพวกเราทั้งคู่เกี่ยวกับศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บธาตุ”

“ข้าไม่ต้องการ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเฉยเมย “ตอนนี้ข้าอาจไม่มีเงินมาก แต่เมื่อข้ามีเงินพอ สำหรับคัมภีร์รองเท้าวายุประสานนั้นข้าจะคืนเงินให้ผู้อาวุโสฮูเหยียนแน่นอน นอกจากนี้ อ้วนน้อยโจว จะให้ข้าย้ำอีกกี่ครั้งว่าเจ้าคือเจ้า และข้าคือข้า พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ข้าจะฝึกปราณด้วยความพยายามของตนเอง และข้าไม่ต้องการให้เจ้าช่วยข้า”

เมื่อมองเห็นความมุ่งมั่นจริงจังในสายตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็เงียบลงทันที

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ หัวใจของเธอไม่ได้รู้สึกดีเช่นกัน แต่ทว่าเธอก็ไม่ต้องการให้โจวเหว่ยชิงเอาเปรียบเธอเพียงเพราะเขาช่วยให้เธอได้รับศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บธาตุไปแบบไม่ต้องจ่ายเงิน ถึงแม้เขาจะเอาเปรียบเธอเพียงแค่คำพูดหยอกล้อก็ตาม เพราะแม้ว่าเธอจะเสียครั้งแรกให้เขาไปแล้ว แต่เธอก็ไม่ยอมให้ใครมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเธอเด็ดขาด ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จำได้แม่นยำว่าเมื่อเธอยังเด็กมาก  มารดาของเธอได้พูดกับเธอไว้ว่า หากต้องการให้คนอื่นเคารพเจ้า เจ้าก็ต้องเคารพตัวเองก่อน

เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงดูเงียบไป ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็คิดว่าเขาโกรธเสียแล้ว เพียงแต่เธอก็ได้แต่ขอโทษภายในใจเท่านั้น ขณะที่เธอกำลังจะพยายามจะพูดบางอย่างเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น โจวเหว่ยชิงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

โจวเหว่ยชิงยกนิ้วให้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์พลางกล่าวว่า “เยี่ยมยอดเลยผู้บัญชาการกองพัน!! สมเป็นขุนนางขั้นที่ 4 ของอาณาจักรเกาทัณฑ์อย่างแท้จริง! มีความเคารพในตัวเอง มุ่งมั่นขัดเกลาตนเอง และรักตนเองอยู่เสมอ! เพราะคำพูดที่ท่านพูดเมื่อกี้ ข้าคิดว่าข้าเริ่มเข้าใจท่านลึกซึ้งยิ่งขึ้นกว่าเดิมแล้ว ทั้งยังชื่นชมท่านมากขึ้นอีกด้วย นี่ทำให้ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วจะว่าจะจีบท่านให้จงได้ และทำให้ท่านกลายเป็นภรรยาของข้า!”

เมื่อมองเห็นเขาพูดด้วยสีหน้าจริงจังแต่มีใจความหยอกล้อเช่นนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้สึกอับจนหนทาง เธอนี่โง่จริงๆ ที่คิดมากถึงขนาดนั้น ตัวไร้ยางอายเช่นเขาจะรู้สึกโกรธได้อย่างไร?

“เจ้าคนหน้าด้าน จะไปไหนก็ไปเลย! ข้าไม่ให้โอกาสเจ้าหรอก!”

ก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงนั้นดูจริงจังมาก แต่ทว่าในวินาทีต่อมาการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นแสดงความรักลึกล้ำเมื่อเขาจ้องมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ “เจ้ารู้จักชื่อเล่นในวัยเด็กของข้าได้อย่างไร?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรจึงมองเขาด้วยใบหน้างุนงง “เจ้าว่าอะไรนะ?”

โจวเหว่ยชิงยังคงจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น “ข้าหมายความว่าชื่อเล่นในวัยเด็กของข้าคือ’เจ้าคนหน้าด้าน’ อ๊าาาาาาาาา!”

“ไปตายซะไป๊!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปล่อยลูกเตะใส่โจวเหว่ยชิง ไม่รู้ว่าหากเธอต้องอยู่ในห้องเดียวกับเขาไปเรื่อยๆ แบบนี้ สักวันเธอจะกลายเป็นบ้าหรือไม่

โจวเหว่ยชิงรีบพลิกตัวหลบอย่างรวดเร็ว เขาหมุนตัวหนีด้วยท่าทีเกียจคร้าน จากนั้นก็สะดุดกลิ้งไป 2-3 เมตรและรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มไม่ได้รีบเผ่นหนีออกจากห้อง แต่กลับชะโงกหัวออกไปนอกประตูแล้วมองไปรอบๆ อย่างมีพิรุธ

ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังจะยกเท้าขึ้นเตะเขา โจวเหว่ยชิงก็หันศีรษะกลับมาด้วยท่าทางน่าสงสัย เขาพูดด้วยเสียงที่เบาลง “ผู้บัญชาการกองพัน ตอนนี้ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ ให้ข้ายืมเงินหน่อย ข้ามีความจำเป็นจะต้องใช้”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย “เจ้าจะยืมเงินไปทำอะไร?”

โจวเหว่ยชิงก้าวไปข้างหน้า และกำลังจะกระซิบกระซาบเข้าที่ใบหูของเธอ แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาระยะห่าง ก่อนจะพูดว่า “เจ้ายืนอยู่ตรงนั้นและพูด หากเจ้าไม่บอกเหตุผลให้ชัดเจน ข้าจะไม่ให้เจ้ายืมเงิน”

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าต้องการไปกักเก็บทักษะธาตุด้วยตัวเอง”

“เอ๋?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างประหลาดใจ และพูดว่า “ทำไมล่ะ? เจ้าไม่ได้บอกว่าผู้อาวุโสเฟิงหยูจะช่วยเจ้าในการกักเก็บทักษะหรอกหรือ?”

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยใบหน้าสำนึกในความชอบธรรม “ข้าคิดว่าสิ่งที่ท่านพูดก่อนหน้านั้นถูกต้อง เราไม่ควรติดหนี้ผู้อื่นมากเกินไป ดังนั้น ข้าจึงตัดสินใจไปไปกักเก็บทักษะธาตุด้วยตัวเอง”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไหนลองพูดความจริงมาซิ”

ใบหน้าของโจวเว่ยชิงห่อเหี่ยวลงทันที “ข้ารู้ว่าปกปิดเจ้าไม่ได้จริงๆ เฮ้อ จริงๆ แล้วข้าแค่อยากขอยืมสัก 2,000 เหรียญทอง เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าการกักเก็บทักษะนั้นมีค่าใช้จ่าย 500 เหรียญทองต่อครั้ง? ข้าแค่ต้องการทดสอบว่าทักษะธาตุมืด และทักษะธาตุปีศาจของข้าจะหลอมรวมกันเองอีกครั้งหรือไม่ และมันช่วยในการกักเก็บทักษะธาตุของมณีข้าด้วยหรือไม่เท่านั้นเอง และถ้านั่นเป็นเรื่องจริงก็หมายความว่าข้าสามารถกักเก็บทักษะธาตุได้ภายในครั้งเดียวน่ะสิ?”

ดวงตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์สว่างวาบขึ้นทันที “นั่นสมเหตุสมผลอยู่ แต่ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

โจวเหว่ยชิงกล่าว “ท่านไม่เชื่อใจข้างั้นหรือ?  ข้าไม่นำเงินของท่านไปใช้ในทางไม่ดีหรอกน่า เงินที่ภรรยามอบให้ ข้าต้องใช้มันในทางที่ถูกต้องแน่นอน”

ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาในดวงตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ จากนั้นรังสีสังหารก็ปะทุขึ้น “อ้วนน้อยโจว…เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?!”

“ผู้บัญชาการกองพัน!! ข้าเรียกท่านว่าผู้บัญชาการกองพันจริงๆนะ!!!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงในลำคอ “ข้าจะไปกับเจ้าเพื่อช่วยให้เจ้าปกปิดตัวตน มิฉะนั้น เจ้าไปเพียงคนเดียวอาจจะกระตุ้นความสงสัยจากคนอื่นได้” อันที่จริง ความตั้งใจดั้งเดิมของเธอก็คือตรวจสอบว่าคนเจ้าเล่ห์นี้ไปจะที่วังกักเก็บทักษะจริงหรือไม่

โจวเหว่ยพยักหน้าและกล่าว “ตกลง งั้นเราไปลองวันรุ่งขึ้นเถอะ ปกติจ้าวมณีสามารถกักเก็บทักษะได้เพียงวันละครั้งเท่านั้น และตอนนี้ข้าก็ไม่มีปราณสวรรค์เหลือเพียงพอแล้วด้วย”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตอบ “ตกลง พรุ่งนี้เราจะเดินทางแต่เช้าตรู่”

“ดี งั้นวันนี้เราควรจะพักผ่อนก่อน” โจวเหว่ยชิงกล่าว

“กลับไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อคืนห้อง ห้ามพูดอะไรไร้สาระกับคนอื่น แล้วกลับมาที่นี่เพื่อฟื้นฟูพลังปราณต่อ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ค้นพบว่า ยิ่งเธอใช้เวลากับโจวเหว่ยชิงนานเท่าไหร่ จำนวนครั้งที่เธอโกรธก็เพิ่มขึ้นหลายเท่ามากเท่านั้น หลังจากที่เธอเข้าร่วมกับกองทัพเธอก็พยายามจริงจังให้มากขึ้นและเธอก็ดุด่าลูกน้องของเธอบ้างเป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม นั่นเปรียบเทียบไม่ได้กับคนไร้ยางอายที่ทำให้เธอต้องโมโหซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นเขาได้

โจวเหว่ยชิงไปบอกกล่าวฮูเหยียนเอ้าป๋อว่าเขากำลังจะไปที่ไหน และมุ่งหน้าไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อคืนห้อง จากนั้นเขาก็กลับมาที่เรือนของฮูเหยียนเอ้าป๋ออีกครั้ง ครั้งนี้เด็กหนุ่มไม่ได้เข้าไปรบกวนซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่กลับมุ่งหน้าไปที่ห้องของตัวเองแทน

โจวเหว่ยชิงเพ่งสมาธิไปยังปราณสวรรค์ในร่างของตนเอง เขาค้นพบว่าปราณสวรรค์ที่ใช้ในการหลอมรวมคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ รวมไปถึงการทดลองเชื่อมประสานกับธนูราชันนั้นฟื้นฟูด้วยตัวเองแล้วประมาณ 1 ใน 3 ส่วน ด้วยหลุมดำบริเวณจุดตายต่างๆที่เขาทะลวง เมื่อตั้งสมาธิเพ่งไปที่มณีสวรรค์ ในใจก็แทบจะอดทนรอใช้ความสามารถใหม่ไม่ไหว

“หวังว่าจะหาสถานที่ทดสอบพลังของธนูราชันได้นะ เฮ้อ ข้ามีปราณสวรรค์ไม่พอจริงๆ นั่นแหละ สงสัยนักว่าปริมาณปราณสวรรค์ปัจจุบันของข้าจะทำให้ข้าสามารถใช้ธนูราชันยิงลูกศรออกไปได้กี่ดอกกันแน่ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้บัญชาการกองพันผู้งดงามของข้าจะกล่าวไว้ว่าปราณสวรรค์เป็นพื้นฐานสำคัญของจ้าวมณี การมีปราณสวรรค์ไม่เพียงพอนั่นน่าเจ็บปวดใจจริงๆ!!”

หลังจากมาถึงเมืองภูเขาลอยฟ้าแล้ว อาจกล่าวได้ว่าโจวเหว่ยชิงได้เปิดหูเปิดตามากขึ้นกว่าเดิมและได้เรียนรู้เกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์มากยิ่งขึ้น สิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดก็คือตนจะสามารถนำสิ่งที่บังเอิญพบในวันนี้ไปใช้กับทักษะกักเก็บที่จะลองในวันพรุ่งนี้ได้หรือไม่ แล้วไข่มุกดำที่เขากลืนเข้าไปนั้นล่ะ จริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่? ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดทักษะธาตุมืด และทักษะธาตุปีศาจของเขาจึงสามารถซ้อนทับกันเองได้?

………………………………………………………………….

หลังจากได้ยินฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าว ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ ตอนที่ได้ยินเกี่ยวกับศาสตรามณียุทธ์ครั้งแรก เขาก็ได้บอกกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ว่าอยากได้ชุดเกราะป้องกันคุณภาพเยี่ยมไว้เพื่อปกป้องชีวิตอันมีค่าของตนเอง ตอนนี้ ไม่ใช่ว่าชุดเกราะศาสตรามณียุทธ์ทั้งตัวนั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องการหรอกหรือ? ตอนนี้โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้วด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร? เมื่อได้ฟังคำพูดของฮูเหยียนเอ้าป๋อ เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วยซ้ำๆ

หลังจากฮูเหยียนเอ้าป๋อเล่าจบ ดวงตาของชายชราก็เผยความภาคภูมิใจออกมา “ถ้าวันหนึ่งลูกศิษย์ของข้าสามารถครอบครองชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับพระเจ้าได้ครบทั้ง 10 ชิ้น ชีวิตนี้ของข้าก็ไม่สูญเปล่าแล้ว เจ้าอ้วนน้อย ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ เจ้าเพียงแค่ต้องฝึกฝนร่างกายอย่างหนักด้วยความพยายามที่มีทั้งหมดอย่างเต็มที่ 2 ปีต่อจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของเจ้า และยิ่งไปกว่าน้ัน นี่เป็นช่วงเวลาที่เจ้ายังไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ด้วย เพราะฉะนั้นเจ้าจะต้องมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างสุดความสามารถ เข้าใจหรือ ไม่?”

โจวเหว่ยชิงตอบอย่างจริงจังด้วยใบหน้าที่แน่วแน่ “อาจารย์ ท่านมั่นใจได้ แม้ว่าท่านจะไม่ขอ ข้าก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถอยู่แล้ว” เพื่อครอบครองชุดศาสตรามณียุทธ์ที่น่าเกรงขามนี้ และเพื่อปกป้องชีวิตของตนเอง เขาจะไม่ขี้เกียจอย่างแน่นอน

ขณะที่มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ หากมีเป้าหมายที่แน่วแน่ พวกเขาก็จะไม่รู้สึกว่างเปล่าและหลงทาง แน่นอนว่าการมีเป้าหมายนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อกระตุ้นให้ตนเองมีความมุ่งมั่น และสามารถสนุกไปกับการฝึกฝนนั้นได้ และนี่ก็เป็นสถานการณ์ที่โจวเหว่ยชิงกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ แม้เขาจะเป็นคนฉลาดแกมโกงที่ชอบทำสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่จริงๆ แล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ใช่คนขี้เกียจตัวเป็นขน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากประตูสู่โลกแห่งมณีแห่งสวรรค์ได้ถูกเปิดขึ้นและนำตัวเขาไปสู่โลกลึกลับใบใหม่ นั่นทำให้เขาปรารถนาจะครอบครองความแข็งแกร่ง และกลายเป็นคนที่น่าเกรงขามให้จงได้

ฮูเหยียนเอ้าป๋อโบกมือนำโดมป้องกันสีเงินที่ครอบห้องอยู่ออกไป ส่วนเฟิงหยูก็เก็บศาสตรามณียุทธ์เขาพร้อมกับแย้มยิ้มเบาๆ ขณะที่พูด “ตอนนี้เจ้าสามารถโคจรพลังฟื้นฟูปราณสวรรค์ขณะรอภรรยาของเจ้าได้ที่ห้องข้างๆ นั่น อีกสักพักคนรับใช้จะนำอาหารกับเครื่องดื่มไปให้ ส่วนห้องน้ำอยู่ตรงมุมทิศตะวันตก หลังจากที่แม่นางน้อยคนนั้นสามารถหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์เสร็จแล้ว เจ้าทั้งคู่ก็สามารถจากไปได้ แต่ก่อนหน้านั้น หากเจ้าต้องการออกไปข้างนอกด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม เจ้าต้องแจ้งให้ข้าหรืออาจารย์ของเจ้าทราบก่อน”

“ขอบคุณมากขอรับ ท่านอาวุโสเฟิงหยู อาจารย์ ข้าไปก่อนล่ะขอรับ” พอพูดจบ โจวเหว่ยชิงก็หันหลังเดินออกไป เมื่อไปถึงประตู ทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงักและหันกลับมายิ้มให้ฮูเหยียนเอ้าป๋อก่อนจะพูดว่า “อาจารย์ ข้าคิดว่าท่านควรลดน้ำหนักจริงๆ” พอพูดจบ ไม่รอให้ฮูเหยียนเอ้าป๋อตอบกลับ โจวเหว่ยชิงก็จ้ำอ้าวหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

ฮูเหยียนเอ้าป๋อก้มลงมองดูพุงกลมๆ ของตนเอง ขณะที่เฟิงหยูอดไม่ได้ที่จะหลุดขำพรืดออกมา

ฮูเหยียนเอ้าป๋อส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอน่าตายนั่น ข้าจะต้องหงุดหงิดตายไม่ช้าก็เร็วแน่”

เฟิงหยูตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ดีหรือที่เขามีนิสัยเช่นนี้? โชคดีที่เด็กคนนี้เกิดในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ หากเขาเกิดในอาณาจักรเฟยหลี่ เจ้าจะมีโอกาสได้รับเด็กนั่นเป็นลูกศิษย์หรือ?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อพูดด้วยรอยยิ้ม “สิ่งนี้เรียกว่า ‘คนดวงดี แม้ไม่ต้องตามหา โชคก็จะมาหาเอง’ ข้าคิดว่านี่จะต้องเป็นความสำเร็จสูงสุดในชีวิตของข้าแน่นอน เฮ้อ! ไม่เคยคิดเลยว่าสวรรค์จะมอบของขวัญอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ให้แก่ข้า…ตาแก่เฟิงหยู เจ้าวางแผนจะนำลูกศิษย์ล้ำค่าของข้าไปกักเก็บทักษะเมื่อใด?”

เฟิงหยูส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าเรายังไม่ควรให้เขากักเก็บทักษะ อย่างน้อยก็ในเวลานี้”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อมีสีหน้าประหลาดใจ “ทำไมรึ?”

เฟิงหยูกล่าว “ด้วยนิสัยที่กระตือรือร้นของเด็กคนนั้น หากกักเก็บทักษะลงในไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขาแล้ว มันก็ยากที่จะรับประกันว่าเจ้านั่นจะไม่ใช้ทักษะที่ได้มา และนั่นก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการเปิดเผยมณีธาตุของเขา ซึ่งนั่นย่อมเลวร้ายมาก พวกเราอาจต้องรอให้ครบสองปีก่อนถึงจะตัดสินใจได้ ถึงเวลานั้น ถ้าหากมณีสวรรค์ชุดที่ 2 ไม่ถูกปลุกขึ้นมาก่อนกลางคัน มันก็น่าจะใกล้ตื่นขึ้นมาแล้ว หากเด็กนั่นมีมณีสวรรค์ 2 ชุดแล้ว เราค่อยให้เขากักเก็บทักษะธาตุทั้งหมดในครั้งเดียว ถึงเวลานั้นเขาก็น่าจะสามารถป้องกันตัวเองจากคู่ต่อสู้ระดับพื้นๆ ได้อย่างง่ายดายแล้ว”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อกรุ่นคิดและพยักหน้า “นั่นสมเหตุสมผล ตอนเข้ามาเด็กคนนี้สะพายธนูยาวอยู่บนหลังแถมยังเป็นพลธนูในกองทัพด้วย นั่นเป็นตัวเลือกที่ดีในการซ่อนตัวจริงๆ เฮ้อ ไพฑูรย์ตาแมวสองสีนั้นมีทักษะธาตุมากกว่า 3 อย่าง ก่อนหน้านี้ข้าดันลืมถามว่าทักษะธาตุอื่นๆ ของเขาคืออะไรกันแน่”

เฟิงหยูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ดีที่สุดหากเราไม่รู้ตอนนี้ เพราะในหนึ่งวันตื่นเต้นมากเกินไปจะไม่ดีต่อร่างกาย อ้วนน้อยโจว…เด็กน้อยคนนี้ช่างเป็นลูกศิษย์ที่น่าสนใจจริงๆ…”

โจวเหว่ยชิงไม่ได้กลับไปยังห้องว่างๆที่เขาหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ก่อนหน้า แต่มุ่งหน้าไปยังห้องที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเคาะประตูเรียก “ภรรยา ศาสตรามณียุทธ์ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เนื่องจากเฟิงหยูได้กล่าวว่าพวกเขาสามารถหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ได้เพียงวันละครั้ง โจวเหว่ยชิงจึงคิดว่าตอนนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์น่าจะทดลองเสร็จสิ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเธอจะประสบความสำเร็จหรือไม่

ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังคาดเดาผลลัพธ์อยู่นั้น ประตูก็ถูกเปิดออก และซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่มีใบหน้ากึ่งโกรธกึ่งเขินอายก็ปรากฏตัวต่อหน้าโจวเหว่ยชิง เธอพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ “ใครเป็นภรรยาเจ้า! เข้ามา!” เธอคว้าหูเขาไว้แล้วลากเข้าไปในห้อง

“อั๊ยหยา!!! มันเจ็บนะ!! ภรรยา เจ้าจะสังหารสามีหรือ? นั่นเป็นข้อหาร้ายแรงเชียวนะ!” แม้ในขณะที่กำลังเจ็บปวด โจวเหว่ยชิงก็ไม่ลืมที่จะตอดเล็กตอดน้อยกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์

“เจ้ายังกล้าพูดอีก?!” นิ้วของซ่างกวนปิงเอ๋อร์บิดหูของโจวเหว่ยชิงจนทำมุมฉาก นั่นทำให้เขาต้องร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ร้องอ้อนวอนว่าไม่กล้าอีกแล้วๆๆ ก่อนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะยอมปล่อยเขาไปในที่สุด

ห้องนี้เหมือนกับห้องที่โจวเว่ยชิงเข้าไปก่อนหน้า ห้องทั้งห้องไม่มีการตกแต่งใดๆ เลย โจวเหว่ยชิงมองที่กล่องไม้บนพื้นและถามว่า “ภรรยา…เอ่อ…ไม่สิ…ผู้บัญชาการกองพัน การหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ของท่านเป็นยังไงบ้าง?”

สีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดีขึ้นเล็กน้อย “ข้าได้ผ่านการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ของวันนี้ไปแล้ว และตอนนี้กำลังโคจรพลังฟื้นฟูปราณสวรรค์อยู่ การทดลองวันนี้ทำให้ข้าเข้าใจบางอย่าง เจ้าต้องพยายามสัมผัสและทำความเข้าใจพลังงานที่อยู่ในคัมภีร์ให้ได้ขณะที่กำลังหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ ในเมื่อเจ้าเพิ่งเริ่มต้น ความล้มเหลวย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อเราเข้าใจมากขึ้น เราก็จะประสบความสำเร็จได้รวดเร็วขึ้น”

โจวเหว่ยชิงยิ้มขณะที่เขายักไหล่ และพูดว่า “แต่ข้าทำสำเร็จแล้วนี่นา!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างโกรธเคือง “คุยโวอย่างกับเป่าวัวปลิวไปทั้งตัวได้![1] เจ้าจะไร้ยางอายก็เรื่องของเจ้า แต่ข้าเกลียดพวกที่ชอบขี้โม้โออวดทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเลยนัก”

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยท่าทางที่ไร้เดียงสา “ถ้าจะต้องเป่าวัว ข้าเป่าท่านเบาๆ ไม่ดีกว่าหรือ!? เฮ้อ…แค่ตอนนี้ข้ายังมีปราณสวรรค์ไม่พอจะแสดงธนูราชันที่สง่างามไร้ที่ติของข้าให้ท่านดูเท่านั้นเอง”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ “เจ้าหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์สำเร็จจริงๆ หรือ?”

โจวเหว่ยชิงแอ่นอกออกมาอย่างภาคภูมิใจแล้วพูดว่า “แน่นอน! มีสามีที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ท่านไม่ภูมิใจหรือ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกใจมากจนไม่ทันสังเกตว่าโจวเหว่ยชิงกำลังฉวยโอกาสเรียกเธอว่าภรรยาอย่างที่เขาชอบทำ เธอพึมพำกับตัวเอง “นั่นเป็นไปไม่ได้! เป็นไปได้ด้วยหรือที่จะประสบความสำเร็จในการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ครั้งแรก ผู้อาวุโสเฟิงหยูช่วยอะไรเจ้าเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้เธอฟังอย่างละเอียด รวมถึงทักษะธาตุมืด และธาตุปีศาจที่ซ้อนทับเข้าด้วยกันเพื่อช่วยเหลือเขาก่อนหน้านี้ด้วย มณีสวรรค์ของเด็กหนุ่มถูกปลุกให้ตื่นขึ้นได้เนื่องจากการเสียสละของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงจึงไม่ต้องการปิดบังอะไรจากเธอ เพราะถ้าหากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต้องการจะทำร้ายเขา แม้จะมีโจวเหว่ยชิง 100 คนก็อาจจะตายไปนานแล้ว ดังนั้น หลังจากตัดสินใจหนีออกจากบ้านแล้ว คนที่เขาไว้ใจมากที่สุดในตอนนี้ก็คือหญิงสาวตรงหน้า

เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดที่โจวเหว่ยชิงพูดอย่างละเอียด ดวงตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะเผยความอิจฉาออกมา ทว่าเธอกลับพูดว่า “เจ้าเสี่ยงเกินไปแล้ว! ความลับเกี่ยวกับไพฑูรย์ตาแมวสองสีนั้นยิ่งมีคนรู้น้อยยิ่งดี”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างหมดหนทาง “พวกเราใช้ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของเขาไปแล้ว หากข้าไม่เปิดเผยเรื่องนี้ ด้วยนิสัยตระหนี่ของท่าอาจารย์ข้า เขาอาจจะไม่อนุญาตให้เรากลับไปอย่างง่ายดายก็ได้! นอกจากนี้ ข้ายังมีคำสาบานจากมณีของเขาอีกด้วย ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องกลัวอีกต่อไป”

………………………………………………….

[1] 吹牛 แปลตรงตัวว่า เป่าวัว มีความหมายว่า ขี้โม้โอ้อวด

โจวเหว่ยชิงผงกหัวแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าโดยทั่วไปแล้ว อัจฉริยะมักจะเป็นเป้าหมายของพวกขี้อิจฉาริษยา”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อมองดูท่าทางภาคภูมิใจของโจวเหว่ยชิงแล้วอดไม่ได้ที่จะฟาดเขาด้วยฝ่ามือ “ให้ตาย บิดามัน เถอะ! ข้าเริ่มสงสัยว่าการยอมรับเจ้าเป็นศิษย์นั้นเป็นสิ่งถูกต้องหรือเป็นข้อผิดพลาดที่ชายชราคนนี้ตัดสินใจทำในบั้นปลายชีวิตกันแน่ นั่นอาจจะทำให้ข้าสูญเสียทุกอย่างไปเลยก็ได้!!”

โจวเหว่ยชิงพูดพร้อมกับยิ้ม “เฮ้ อาจารย์ท่านลืมไปแล้วเหรอ? ท่านเพิ่งสาบานด้วยมณีธาตุของท่านไปเมื่อกี้ ฉะนั้นตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่จะเสียใจ!”

“ข้า…” เป็นอีกครั้งที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อรู้สึกอยากตีโจวเหว่ยชิงให้ตาย อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดเขาก็กลับมาผ่อนคลายอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เขาไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ต้องตีโพยตีพายเสียหน่อย การมีลูกศิษย์เช่นนี้ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาปวดหัวเล็กน้อย แต่หากมองในมุมอื่น ลูกศิษย์เช่นนี้ก็จะมีความสามารถในการเอาชีวิตรอดที่ดีกว่าคนที่ซื่อสัตย์มากนัก

“ท่านอาจารย์ ศิษย์ผิดไปแล้ว! อย่าโมโหเลย! ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับสถานที่อื่นๆ ที่มีจ้าวมณีสวรรค์กับไพฑูรย์ตาแมวสองสีอีกหรือไม่?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

ฮูเหยียนเอ้าป๋อมองไปยังเฟิงหยู จากนั้นทั้งคู่ก็ส่ายหัวพร้อมกัน ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าว “ไพฑูรย์ตาแมวสองสีน่าจะเคยปรากฏขึ้นมาก่อน แต่นั่นน่าจะจำกัดอยู่ในขอบเขตการรับรู้ของจ้าวมณีสวรรค์ ทั้งข้าและเฟิงหยูต่างก็เป็นจ้าวมณีธรรมดา และพวกเราก็มีความรู้ที่จำกัดมากเกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์ ในโลกนี้ มีสถานที่หลายแห่งที่เป็นพื้นที่ของจ้าวมณีสวรรค์โดยเฉพาะ ข้าเชื่อว่าน่าจะมีไพฑูรย์ตาแมวสองสีอยู่บ้าง แต่ที่ใดหรือจำนวนเท่าไหร่ข้าย่อมไม่รู้แน่ชัด”

โจวเหว่ยชิงกล่าว “นั่นดูลึกลับเกินไปแล้ว!”

เฟิงหยูถอนหายใจและพูดว่า “ถึงแม้จ้าวมณีสวรรค์จะถูกจัดว่าเป็นจ้าวมณีกลุ่มหนึ่ง แต่ในความเป็นจริง จ้าวมณีสวรรค์นั้นอยู่ในระดับที่เหนือกว่าจ้าวมณีธาตุและจ้าวมณียุทธ์มาก ไม่ใช่แค่เพียงจำนวนมณีทั้งหมดที่มีมากกว่าจ้าวมณีทั่วไป แต่แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ในระดับเดียวกันกับจ้าวมณีธรรมดา ความแข็งแกร่งก็ยังเทียบชั้นกันไม่ติด ยกตัวอย่างเช่น ข้ามีมณีธาตุ 9 ดวง แต่หากเปรียบเทียบกับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 9 ชุดละก็ย่อมแตกต่างกันมากราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว แม้จะมีข้าเป็นร้อยคนก็อาจจะแพ้ให้แก่จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุดเพียงคนเดียว เจ้าอ้วนน้อย เจ้ามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมมาก ดังนั้นเจ้าต้องทะนุถนอมมันให้ดีและมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนักล่ะ”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าจริงจัง “แน่นอนขอรับ”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึม “เนื่องจากเจ้าเลือกที่จะสมัครเป็นทหารแล้ว ดังนั้นหลังจากที่แม่นางน้อยคนนั้นได้หลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ของเธอเสร็จ เจ้าก็กลับไปที่ค่ายทหารพร้อมกับเธอก่อน อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ตอนนี้ยังไม่มีสงคราม ค่ายทหารจึงเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในการซ่อนไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเจ้า อีกอย่างแม่นางน้อยคนนั้นน่าจะปกป้องเจ้าได้ และเจ้าก็ยังสามารถใช้ช่วงเวลานั้นฝึกฝนให้หนัก พัฒนาพลังและสะสมความแข็งแกร่งของเจ้า เมื่อเจ้าอายุครบ 16 ปี อาจารย์ของเจ้าคนนี้จะตามหาเจ้าและสอนวิธีสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ให้เจ้าเอง”

“เยี่ยมยอดไปเลย! ตกลงขอรับ” โจวเหว่ยชิงผงกหัวรับอย่างมีความสุข แม้ว่าเขาต้องการจะเรียนรู้วิธีสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ แต่เขาก็ยังไม่อยากจะแยกจากกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และการให้เวลาเตรียมตัวถึง 2 ปีนั้นก็เป็นสิ่งยอดเยี่ยมมากที่สุด!

ฮูเหยียนเอ้าป๋อพูดต่อ “แม้ความเป็นไปได้ที่เจ้าจะมีมณีชุดที่สองภายในสองปีนี้แทบจะเป็นศูนย์  แต่ข้าก็ยังต้องขอเตือนเจ้าไว้ว่า จากนี้ไปหากจะหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ เจ้าจะต้องได้รับอนุญาตจากข้าผู้เป็นอาจารย์เสียก่อน และเจ้าห้ามใช้มณียุทธ์หลอมรวมกับม้วนคัมภีร์ของคนอื่นโดยเปล่าประโยชน์อย่างเด็ดขาด”

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์สามารถวางใจได้ ข้าจะซื้อคัมภีร์ของคนอื่นทำไมในเมื่อมีของให้เปล่าจากอาจารย์เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อล่ะขอรับ”

ใบหน้าของฮูเหยียนเอ้าป๋อจริงจังขึ้นมาทันที “ข้าไม่ได้ล้อเล่น สิ่งนี้เกี่ยวพันกับความสำเร็จในอนาคตของเจ้าอย่างแท้จริง เอาล่ะ ข้าคนนี้จะต้องหลอกล่อเจ้าสักหน่อยเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กน้อยเช่นเจ้าจะฟังข้า เฟิงหยู เอาออกมาให้เขาดูซิ”

เฟิงหยูและฮูเหยียนเอ้าป๋ออยู่ด้วยกันมานานหลายปี ดังนั้นเขาจึงเข้าใจสิ่งที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อบอกเป็นอย่างดี ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไปเป็นจริงจัง เฟิงหยูยกมือขวาขึ้นมา จากนั้นแสงสลัวๆ ก็ปรากฏขึ้นบนข้อมือของเขา พวกมันก็ค่อยๆ แผ่ลามออกมาด้านนอก ทันใดนั้นมณียุทธ์ 9 ดวงปรากฏขึ้นเหนือข้อมือของเขาทันที

เฟิงหยูเป็นเพียงจ้าวมณียุทธ์ธรรมดา ดังนั้นมณียุทธ์ของเขาจึงเป็นหยกสีต่างๆผสมกัน 1ใน3 ส่วนเป็นหยกน้ำแข็ง และอีก2ส่วนที่เหลือก็เป็นหยกแดง มันเป็นมณียุทธ์ที่แสดงลักษณะประสานระหว่างความว่องไวในการตอบสนองและพละกำลัง

มณียุทธ์หยกแดงผสมหยกน้ำแข็ง ทั้ง 9 ดวงลอยวนล้อมรอบข้อมือของเฟิงหยู และแม้ว่าเขายังไม่ได้เปิดใช้พลังปราณสวรรค์มากนัก แต่เมื่อมองไปที่ตัวเขา โจวเหว่ยชิงก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและอดไม่ได้ที่จะเลื่อมใสในตัวเขา

บนข้อมือของเฟิงหยูในขณะนี้ จู่ๆ มณี 5 ดวงจากทั้งหมด 9 ดวงก็เคลื่อนที่ออกไปอย่างรวดเร็ว พวกมันเคลื่อน ไหวเร็วมากจนโจวเหว่ยชิงมองแทบไม่เห็นด้วยซ้ำว่าพวกมันลอยไปทางไหนกันแน่

หลังจากมณียุทธ์ทั้ง 5 นั้นแยกออกจากกัน พวกมันก็ลอยไปยังตำแหน่งหน้าผากกลางหว่างคิ้ว หน้าอก ท้องน้อย และไหล่ทั้งสองข้างของเฟิงหยูตามลำดับ มณียุทธ์ทั้ง 5 นั้นดูเหมือนจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่ร่างกายของเฟิงหยูอย่างช้าๆ เริ่มจากบริเวณหน้าผาก และจู่ๆ ส่วนนั้นก็ปรากฏหมวกเกราะ 2 สีที่มีลักษณะคล้ายกับมณียุทธ์ของเขาทุกระเบียดนิ้วขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยเกราะป้องกันส่วนหัวใจที่หน้าอก เข็มขัดเกราะรอบเอว และท้ายสุดก็เป็นเกราะไหล่ทั้งสองข้าง

เมื่อมณียุทธ์ทั้ง 5 เสร็จสิ้นกระบวนการการหลอมรวมเข้ากับศาสตรามณียุทธ์แล้ว ทันใดนั้นเหตุการณ์แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น จู่ๆ ก็มีลำแสงพุ่งออกมาจากชิ้นส่วนเกราะแต่ละชิ้น จากนั้นพวกมันก็ค่อยๆ แผ่ขนาดออกไปเชื่อมต่อกันในชั่วพริบตา ชิ้นส่วนเกราะแต่เดิมที่ปกป้องเพียง 5 ตำแหน่งบนร่างกายนั้น ฉับพลันก็กลายเป็นชุดเกราะเต็มตัวอย่างคาดไม่ถึง ดูเหมือนว่านอกเหนือจากตำแหน่งหลักทั้ง 5 แล้ว พื้นที่ส่วนอื่นๆ ของชุดเกราะนั้นดูค่อนข้างจะเลือนลางราวกับไม่มีอยู่จริง ทว่ามันก็กำลังครอบคลุมและปกป้องร่างกายของเฟิงหยูอยู่อย่างแน่นอน

ชุดเกราะนั้นไม่ได้ดูวิจิตรอะไรเลย มันไม่มีลวดลายหรือการออกแบบที่ใดๆ ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ ทว่ามันก็ยังดูเรียบง่ายและกลมกลืนไปด้วยกัน นั่นทำให้รู้สึกได้ถึงพลังความแข็งแกร่งที่แผ่กระจายออกมาได้อย่างชัดเจน เฟิงหยูดูราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นอีกคนโดยสิ้นเชิงหลังจากหลอมรวมเข้ากับชุดเกราะพวกนี้ แสงสว่างที่ส่องโชติช่วงออกมานั้นทำให้ท่าทางทั้งหมดของเขาดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าว่าการเคลื่อนไหวใดๆ ของเขานั้นซ่อนพลังมหาศาลที่รอเวลาปะทุออกมา

ฮูเหยียนเอ้าป๋อในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์จึงอธิบายจากด้านข้าง “เจ้าเห็นหรือไม่? แม้ว่าพวกมันจะเป็นเพียงศาสตรามณียุทธ์ธรรมดา อีกทั้งมณียุทธ์ทั้ง 5 ของเขาก็อาจกล่าวได้ว่าค่อนข้างไร้ประโยชน์ ป้องกันได้แค่เพียงส่วนเล็กๆ ของร่างกายเท่านั้น ดังนั้นเจ้าคิดว่าทั้งหมดนี่มีประโยชน์สักเท่าไหร่กันล่ะ? อย่างไรก็ตาม หลังจากมณีทั้ง 5 หลอมรวมเข้ากับศาสตรามณียุทธ์แล้ว พวกมันจะมีประสิทธิภาพป้องกันได้ร่างกายทั้งหมดได้ และนั่นก็คือความแตกต่างที่สำคัญที่สุด ด้วยชุดเกราะทั้งหมดนี้ แม้ว่าเฟิงหยูจะเผชิญหน้ากับจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุด อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถทนแรงปะทะได้หลายครั้งและไม่ถูกฆ่าตายในทันที”

“นี่เป็นความลับสุดท้ายที่ลึกล้ำที่สุดของศาสตรามณียุทธ์ ซึ่งมันก็คือชุดเกราะทั้งตัวนั่นเอง เมื่อจ้าวมณีคนหนึ่งหลอมรวมเข้ากับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่ถูกสร้างมาเข้าชุดกันจนครบ ชิ้นส่วนศาสตรามณียุทธ์เหล่านั้นจะสามารถเชื่อมต่อซึ่งกัน และกันได้ และนั่นยังช่วยปรับขอบเขตการป้องกันโดยรวมให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แบบครบชุดนั้น ผู้สร้างต้องมีระดับมากกว่าหรือเทียบเท่าปรามาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ ซึ่งก็คือระดับที่ข้าเป็นอยู่ตอนนี้นั่นเอง อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวข้าเองก็ยังสามารถสร้างชุดศาสตรามณียุทธ์ได้เพียง 5 หรือ 6 ชิ้นเท่านั้น แต่เมื่อชุดศาสตรามณียุทธ์นั้นมีจำนวนชิ้นส่วนมากขึ้น ศาสตรามณียุทธ์ชุดนั้นก็จะน่าสะพรึงกลัวมากกว่าเดิม”

“ตำนานกล่าวว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะสามารถสร้างชุดศาสตรามณียุทธ์ที่ประกอบด้วยศาสตรามณียุทธ์จำนวน 8 ชิ้นได้ และมีเพียงอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพระเจ้าเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างชุดศาสตรามณียุทธ์ได้ถึง 10 ชิ้น

ตอนนี้เจ้าได้หลอมรวมกับธนูราชันย์แล้ว และในอนาคตเจ้าก็สามารถมีศาสตรามณียุทธ์เพิ่มได้อีก 11 ชิ้น แน่นอนว่านั่นอยู่ในข้อแม้ที่ว่าเจ้าต้องทะลวงไปสู่ระดับเทวะให้ได้ก่อน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะกรณีไหน เนื่องจากเจ้ามีพลังลึกล้ำของไพฑูรย์ตาแมวสองสีอยู่ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่เจ้าจะสามารถไปถึงระดับนั้นได้ เพราะฉะนั้นตั้งแต่ศาสตรามณียุทธ์ชิ้นที่ 2 ของเจ้าเป็นต้นไป เจ้าต้องเตรียมไว้สำหรับชุดศาสตรามณียุทธ์ของเจ้าเท่านั้น! เจ้าห้ามใช้มณียุทธ์ของเจ้าไปหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์อื่นโดยเปล่าประโยชน์เด็ดขาด!”

………………………………………………………………

ทันใดนั้นเอง เฟิงหยูก็พุ่งตัวพรวดพราดเข้าไปหาโจวเหว่ยชิงและจับแขนซ้ายเขาเอาไว้เพื่อปิดบังมณีธาตุของอีกฝ่าย เฟิงหยูกล่าวอย่างดุดัน “เก็บมณีของเจ้าเดี๋ยวนี้!!”

โจวเหว่ยชิงกำลังตกตะลึงกับการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วดั่งพายุของฝ่ายนั้น แต่เฟิงหยูก็เร็วเกินไปจริงๆ ดังนั้นเขาจึงเพ่งไปที่หลุมดำบริเวณจุดตายไท่หยวนอย่างรวดเร็วและเรียกมณีของตนคืนกลับไป

ทันทีที่มณีธาตุหายไป เฟิงหยูและฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ผ่อนคลายสีหน้าลงและถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถัดจากนั้น เฟิงหยูก็ดึงแขนโจวเหว่ยชิงไปอีกทางอย่างฉับพลัน ในไม่กี่วินาทีต่อมาพวกเขากลับมาอยู่ข้างในห้องตามเดิม จากนั้นทั้งคู่ก็รีบปิดประตูห้องอย่างกะทันหัน ฮูเหยียนเอ้าป๋อยกมือซ้ายขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับว่าเขาได้ฝึกฝนมานับครั้งไม่ถ้วน จากนั้นไพฑูรย์ตาแมวดวงที่ 3 ก็เปล่งแสงออกมาสว่างจ้า แสงสีเงินค่อยๆ แผ่รัศมีออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็วก่อนจะครอบคลุมทั่วทั้งห้อง แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่รู้ว่าฮูเหยียนเอ้าป๋อกำลังทำอะไรอยู่ แต่หลังจากที่แสงสีเงินกระจายออกไปทั่วห้องแล้ว เขาก็ไม่ได้ยินเสียงแมลงจากลานด้านนอกอีกต่อไป

เฟิงหยูหันไปมองฮูเหยียนเอ้าป๋อ ใบหน้าของชายหนุ่มมีสีหน้าแปลกๆ ขณะที่เขากระซิบกระซาบเบาๆ “นี่เป็นปาฏิหาริย์หรือไม่? มีมณีธาตุเช่นนี้ด้วยหรือ?”

ร่างกายของฮูเหยียนเอ้าป๋อมีแสงสีเทาเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง และโจวเหว่ยชิงรู้สึกว่ามีประกายแวบวาบเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ก่อนที่พุงของชายชราร่างท้วมจะโผล่ขึ้นมาตรงหน้าจนเกือบจะชนเข้ากับร่างของเขา ฮูเหยียนเอ้าป๋อวางมือทั้งสองข้างลงบนไหล่ของโจวเหว่ยชิงอย่างมั่นคงและถามว่า “อ้วนน้อยโจว บอกข้าซิว่านอกจากเจ้าจะมีทักษะธาตุมิติแล้ว เจ้ายังมีธาตุลมด้วยใช่หรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงตอบด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้ได้อย่างไร? ท่านเห็นทักษะธาตุในมณีของข้างั้นหรือ?”

ร่างกายทุกส่วนของฮูเหยียนเอ้าป๋อดูเหมือนจะฟีบลงและแข็งทื่อ เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ จากนั้นเขาก็คลายมือบนไหล่ของโจวเหว่ยชิงแล้วถอยห่างออกไป 2 ก้าว มือทั้งสองข้างก็ท้าวเอวเอาไว้

“วะฮ่าฮ่า…ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน ดังมากเสียจนไม่เพียงแต่โจวเว่ยชิง แต่กระทั่งเฟิงหยูก็ยังตกใจกับเสียงหัวเราะนั่น อย่างไรก็ตาม ชายชราร่างท้วมคนนี้ก็ยังกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างมีความสุข ดูราวกับว่าเขาตื่นเต้นมาก

โจวเหว่ยชิงมองไปที่เฟิงหยูอย่างงุนงงและกล่าวว่า “ท่านอาวุโสเฟิง ผู้อาวุโสฮูเหยียนยังมีสติดีอยู่ใช่หรือไม่?”

เฟิงหยูมองอย่างโจวเหว่ยชิงพร้อมกับพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าทั้งอิจฉา ทั้งริษยา แล้วก็เกลียดเจ้ามากด้วย! เด็กน้อย เจ้ามีมณีเพียงแค่ชุดเดียว เหตุใดถึงกล้าแสดงไพฑูรย์ตาแมวสองสีออกมาต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้? ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าในโลกใบนี้จะมีไพฑูรย์ตาแมวสองสีอยู่จริงๆ แน่นอนว่าตาแก่ฮูเหยียนนั่นย่อมต้องคลั่งเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็เขาเพิ่งจะรับลูกศิษย์ที่ครอบครองไพฑูรย์ตาแมวสองสีไปนี่ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่เขาหรอก แม้แต่เหล่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีครบ 9 ชุดก็อาจจะฉีกยิ้มไปถึงหูเลยก็ได้หากได้รับเจ้าเป็นศิษย์ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเขาไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้ามีทักษะธาตุลม ตาแก่นี่ก็แค่หวังว่าเจ้าจะมีต่างหาก และเจ้าก็มีจริงๆ เสียด้วย! หากมีทั้งทักษะธาตุมิติ และทักษะธาตุลม นั่นก็อาจกล่าวได้ว่าเจ้าเกิดมาเพื่อเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์อย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดอีกด้วย!”

ในที่สุดฮูเหยียนเอ้าป๋อก็หยุดหัวเราะ เมื่อมองไปที่โจวเหว่ยชิงอีกครั้ง สายตาของเขาก็ราวกับว่ากำลังมองดูสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง “เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย! เอ่อ…ไม่สิ…ลูกศิษย์ที่แสนจะล้ำค่าของข้า! เจ้าควรจะพูดก่อนหน้านี้ว่าเจ้ามีทั้งทักษะธาตุมิติและธาตุลม! หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็คงไม่ต้องเสียเวลาคิดนานขนาดนี้หรอก! แม้ว่าชายชราคนนี้จะล้มละลายมันก็คุ้มค่าแล้ว! ไม่ต้องพูดถึงระดับปรมาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เลย แม้แต่ระดับเทวะหรือระดับพระเจ้า เจ้าก็ยังสามารถบรรลุได้!”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะออกมา ก่อนจะก้าวไปข้าหน้าสองก้าวและจับไหล่ของฮูเหยียนเอ้าป๋อเอาไว้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “อาจารย์ ท่านไม่ควรตื่นเต้นขนาดนั้น ข้าก็พูดไปแล้วว่าถึงเวลาที่จะได้เห็นปาฏิหาริย์แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อกี้ตอนที่ท่านหัวเราะมันฟังดูน่ากลัวจริงๆ”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อยังคงยิ้มแย้มอย่างมีความสุข แม้กระทั่งโจวเหว่ยชิงด่าเขา ชายชราก็ยังไม่มีท่าทีจะใส่ใจ นั่นก็เพราะเขาก็ตื่นเต้นเกินไปจริงๆ นั่นแหละ “ไอ้เด็กเหลือขอนี่! เจ้าถ่อมตัวหน่อยไม่เป็นรึ?”

โจวเหว่ยชิงกล่าว “อาจารย์ท่านอื่นของข้าพูดเสมอว่าการเจียมเนื้อเจียมตัวทำให้มนุษย์ไม่พัฒนา หากท่านไม่ภูมิใจในตัวเอง คนอื่นจะภูมิใจในตัวท่านได้อย่างไร?”

ใบหน้าของฮูเหยียนเอ้าป๋อพลันแข็งค้าง “เจ้ามีอาจารย์คนอื่นด้วย?”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างเผลอไผล “เมื่อก่อนข้าเคยเที่ยวเล่นกับเขาเป็นเวลา 2 ปี มีอะไรผิดปกติหรือ? นี่ข้าโดนจำกัดจำนวนอาจารย์ด้วยหรือ? อย่างไรก็ตาม ท่านมั่นใจได้เพราะตอนที่ข้าอยู่กับตาแก่นิสัยเสียนั่น มณีสวรรค์ของข้ายังไม่ตื่นขึ้นมาเลย แล้วข้าก็ไม่ได้พบเขามานานมากแล้วด้วย ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตาแก่นั่นจะไปที่ไหน”

เมื่อได้ยินเขาตอบนี้ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ผ่อนคลายลง “หากมณีสวรรค์ของเจ้าเพิ่งถูกปลุก นั่นหมายความว่าตอนนี้เจ้าอายุน้อยกว่า 16 ปี งั้นรึ? งั้นนานแค่ไหนกว่าเจ้าจะมีอายุครบ 16? ในการเริ่มต้นสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ เจ้าจะต้องมีอายุอย่างน้อย 16 ปี มิฉะนั้นเจ้าจะไม่โตพอที่จะควบคุมพวกอุปกรณ์ได้”

โจวเหว่ยชิงกระพริบและพูด “อาจารย์ ข้าจะอายุ 14 ปีในอีก 2 เดือน”

“อะไรนะ? เจ้ายังอายุไม่ถึง 14!?” ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะจ้องมองโจวเหว่ยชิงอีกครั้ง

โจวเหว่ยชิงตอบอย่างภาคภูมิ “ช่วยไม่ได้ ข้าแค่โตเร็วเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อส่ายหัวพูดว่า “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าหมายถึงเจ้าที่มีอายุเพียงแค่ 13 ปีแต่กลับเจ้าเล่ห์ มีแผนการณ์สกปรกมากมายขนาดนี้…ข้าสงสัยจริงๆว่าอาจารย์คนแรกของเจ้าสอนอะไรเจ้ามาบ้าง ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าเรียกเขาว่าเป็นตาแก่นิสัยเสีย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนดีเท่าไหร่…เจ้าอายุเเค่ 13 ปี แต่เจ้าก็เป็นถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจินตนาการไม่ออกเลยว่าเมื่อโตขึ้นเจ้าจะเป็นอย่างไร!”

“ …” โจวเหว่ยชิงเกาหัว “อาจารย์ จริงๆ แล้วข้าเป็นคนมีสัมมาคารวะมาก ใสซื่อบริสุทธิ์ และมีจิตใจดี มีคนให้ฉายากับข้าว่า ‘เด็กหนุ่มตัวน้อยผู้หมดจดงดงาม สุภาพบุรุษผู้ซื่อสัตย์เชื่อถือได้’ ด้วยนะ”

“บ๊ะ!” เมื่อฮูเหยียนเอ้าป๋อยอมรับโจวเหว่ยชิงเป็นลูกศิษย์แล้ว ความเย่อหยิ่งบนใบหน้าของเขาจึงหายไป ชายชราพูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า “เจ้า! ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้าช่างเป็นสมบัติล้ำค่าที่ตลกจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าทำไมของปาฏิหาริย์อย่างไพฑูรย์ตาแมวสองสีถึงเกิดขึ้นกับเจ้า แต่เพราะว่าเจ้าอายุน้อยกว่า 14 ปี เห็นได้ชัดว่าเจ้ายังไม่สามารถจะเรียนวิธีสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ได้ เพราะฉะนั้นคงต้องรอไปอีกสักระยะหนึ่ง งั้นตอนนี้เจ้าทำอะไรที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวตอบ “ข้าเพิ่งสมัครเข้าร่วมกับกองทัพในปีนี้ ตอนนี้ข้าอยู่ในกรมทหารที่ 5 กองพันที่ 3 ของอาณาจักร ส่วนภรรยาของข้าเป็นผู้บัญชาการกองพันที่ 3 และข้าก็เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเธอ”

เฟิงหยูมองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะกล่าว “เจ้าเข้าไปในกองทัพ จากนั้นมณีสวรรค์ของเจ้าก็ตื่นขึ้นมา ถูกต้องไหม?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้า “ท่านรู้ได้อย่างไร?”

เฟิงหยูพูดด้วยรอยยิ้ม “เด็กโง่ อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นขาดแคลนเจ้ามณีจำนวนมาก ถ้าเจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ก่อนเข้าร่วมกองทัพ พวกเขาจะไม่ปฏิบัติกับเจ้าราวกับขุมทรัพย์หรอกหรือ! ข้าจำได้ว่าภรรยาตัวน้อยของเจ้าก็เป็นที่รู้จักกันในฐานะอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เอาเถอะ ดีแล้วที่ตอนนี้เจ้าเป็นพลทหาร เพราะมันจะช่วยปกปิดความสามารถของเจ้าไว้ได้ นอกเหนือจากภรรยาตัวน้อยของเจ้าแล้ว ยังมีคนอื่นรู้เรื่องเกี่ยวกับไพฑูรย์ตาแมวสองสีอีกหรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงตอบ “ตอนนี้มีเพิ่มอีกสองแล้ว”

เฟิงหยูผงะ ส่วนฮูเหยียนเอ้าป๋อที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็มีรังสีสังหารแผ่ออกมา เขาส่งสัญญาณมือและพูดว่า “นั่นไม่ดี! เราควรรีบฆ่าพวกมันเพื่อกำจัดข้อมูลที่อาจจะรั่วไหลออกไป”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “อาจารย์ ท่านอยากฆ่าตัวตายงั้นหรือ? สองคนที่ข้ากล่าวถึงก็คือท่านกับผู้อาวุโสเฟิงหยูนั่นแหละ”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อจ้องมองด้วยความประหลาดใจ “ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ!! เจ้าก็ควรพูดออกมาให้มันชัดๆ สิ! เจ้าต้องจำไว้ว่า ตราบใดที่เจ้ายังไม่ได้ครอบครองมณีครบ 6 ชุด และเข้าสู่ระดับเทวะ เจ้าต้องมั่นใจว่าจะมีคนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้รู้เกี่ยวกับไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเจ้า เข้าใจไหม? มิฉะนั้นเจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับคนสองประเภท ประเภทหนึ่งจะใช้วิธีการทั้งหมดเพื่อเอาชนะใจเจ้าหรือชวนเจ้าเป็นพรรคพวกให้ได้ ส่วนคนอีกประเภทจะใช้วิธีการทั้งหมดเพื่อหาวิธีฆ่าเจ้าให้ตาย…”

…………………………………………………………..

เฟิงหยูยืนขึ้นและพูด “ข้าคาดว่าภรรยาตัวน้อยของเจ้าอาจจะทดลองหลอมรวมไม่สำเร็จในเวลาอันสั้นเช่นนี้แน่ ดังนั้นพวกเราลองไปหาตาแก่ฮูเหยียนกันก่อนเถอะ ไปดูว่าอนาคตของเจ้าจะเป็นอย่างไรต่อไป”

พวกเขาสองคนออกจากห้องว่างๆ นั้นและมุ่งหน้ากลับไปยังห้องที่ทั้งคู่จากมาก่อนหน้านี้ โจวเหว่ยชิงเดินตามหลังเฟิงหยู ในใจของเขากำลังกรุ่นคิดบางอย่าง เด็กหนุ่มเริ่มสงสัยเกี่ยวกับเสือดำมีปีกที่ปรากฏในจิตใต้สำนึกของตนมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์และยังประสบความสำเร็จในการฝึกฝนวิชาเทพอมตะ แม้กระทั่งในการหลอมรวมเข้ากับศาสตรามณียุทธ์ โจวเหว่ยชิงก็ยังทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย  นั่นต้องมีความเกี่ยวข้องกับไข่มุกสีดำที่เขากลืนเข้าไปก่อนหน้านี้แน่นอน

เมื่อกลับมาถึงห้องโถงหลักอีกครั้ง ทันทีที่เฟิงหยูเข้าไปในห้อง เขาก็เห็นฮูเหยียนเอ้าป๋อกำลังเดินไปมาอยู่กลางห้องด้วยท่าทีเคร่งเครียด

“เอ๋? ทำไมพวกเจ้าสองคนถึงกลับมาเร็วขนาดนี้!?” ฮูเหยียนเอ้าป๋อมองโจวเหว่ยชิงที่เดินมากับเฟิงหยูอย่างสงสัย

โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูด “เห…ก็ข้าทำธุระเสร็จแล้วนี่นา เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าข้าก็ต้องกลับมาสิ”

เฟิงหยูกล่าว “ตาแก่ฮูเหยียน ข้าคิดว่าเราได้พบกับผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงเข้าให้แล้ว การหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ของเขาประสบความสำเร็จในครั้งแรกเท่านั้น! เจ้าเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนไหมล่ะ? ไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม ข้าก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องพรรค์นี้มาก่อน!”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อมองโจวเหว่ยชิงด้วยความประหลาดใจ “น้องชาย เจ้าโชคดีเกินไปแล้ว เจ้าประสบความสำเร็จด้วยการหลอมรวมกับคัมภีร์ใบเดียวงั้นหรือ? แล้วใบที่เหลือล่ะอยู่ไหน?” เช่นเดียวกับนิสัยเจ้าเล่ห์ที่อยู่คู่กับโจวเหว่ยชิง นิสัยตระหนี่ถี่เหนียวก็ฝังรากลึกลงไปในกระดูกของฮูเหยียนเอ้าป๋อเช่นเดียวกัน

โจวเหว่ยชิงสวมหน้ากากเป็นผู้ชอบธรรมทันที จากนั้นก็กล่าวตอบ “ของขวัญที่ผู้อาวุโสฮูเหยียนมอบให้ ข้าจะส่งกลับคืนได้อย่างไร?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อรู้สึกอับอายกับคำถามของเขาทันที ก่อนจะพูดกับตัวเองว่า “หรือนี่จะเป็นการลงโทษจากสวรรค์?”

เฟิงหยูเอ่ยอย่างมีความสุข “ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าคนขี้เหนียวอย่างเจ้าก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับเขา! อย่าลังเลเลยน่า.. รีบตัดสินใจเร็วเข้า”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อถอนหายใจอย่างหนัก ทั้งสองมือลูบไปมาบนท้องกลมโตของตนเอง “เอาล่ะๆๆๆ พอแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องช่วยเขาพูดแล้ว เด็กน้อย แสดงมณีธาตุของเจ้าให้ข้าดูหน่อย ตราบใดที่ยืนยันได้ว่าเจ้ามีไพฑูรย์ตาแมวสีทองเหลือบเขียวบริสุทธิ์ที่แสดงถึงทักษะธาตุมิติของจ้าวมณีสวรรค์ ข้าก็จะยอมรับเจ้าในฐานะลูกศิษย์ ยิ่งไปกว่านั้น ในภายภาคหน้า ข้าจะยังรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บธาตุมณีของเจ้าทั้งหมดด้วย ทีนี้เจ้าพอใจหรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวอย่างแรงทันทีราวกับกลองป๋องแป๋งกำลังส่ายสะบัดไปมา[1]

ฮูเหยียนเอ้าป๋อพูดด้วยความโกรธ “เจ้ายังต้องการอะไรอีก???”

โจวเหว่ยชิงพูดอย่างโศกเศร้า “ผู้อาวุโส ท่านอย่าได้โมโหไปเลย ท่านคิดหรือไม่ว่าสามีและภรรยาย่อมเปรียบเสมือนเป็นคนๆ เดียวกัน เพราะฉะนั้น ส่วนของภรรยาข้าล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรายังต้องทำสัญญาอีกข้อ นั่นก็คือท่านจะไม่จำกัดอิสระของข้า”

ผู้อาวุโสฮูเหยียนเริ่มหอบหายใจอย่างรวดเร็วอีกครั้งทันที “เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย! นี่เจ้ากำลังฉวยโอกาสจากข้าหรือ!! ข้าไม่เคยพบไม่เคยเห็นลูกศิษย์เช่นเจ้ามาก่อน!!”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและหัวเราะ “ฮ่าๆ ข้าก็ไม่เคยพบไม่เคยเห็นคนขี้เหนียวเช่นท่านมาก่อนเช่นกัน! เพราะฉะนั้นเดี๋ยวก็ชินเอง!”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อหันไปหาเฟิงหยูด้วยสีหน้าแสดงความรวดร้าว แต่เฟิงหยูกลับเหลือบตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยท่าทางไร้เดียงสาว่าทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา

“เฟิงหยู ที่เจ้าปกป้องเขาก่อนหน้านี้ไม่เปล่าประโยชน์แน่ นับจากนี้ไปทักษะกักเก็บธาตุมณีของพวกเขา ข้าจะมอบให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนข้าจะจัดการกับศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดของพวกเขา ตกลงไหม?”

เฟิงหยูพยักหน้าแล้วพูดว่า “สำหรับมณี 6 ชิ้นแรกข้าจะรับผิดชอบเอง ทุกวันนี้ข้าไม่ได้ทำงานอะไรเลยด้วยซ้ำ การไปเที่ยวกับคนหนุ่มสาวนั้นย่อมดีกว่าอยู่กับเจ้ามากนัก”

ผู้อาวุโสฮูเหยียนส่งเสียงหึในลำคอก่อนจะพูด “เอาล่ะ ดีมาก เด็กน้อย ข้ายอมรับเงื่อนไขของเจ้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากว่าทักษะการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของเจ้าล้ำหน้าข้าไปแล้ว ผู้ใดจะสามารถจำกัดเสรีภาพของเจ้าได้กัน? เอาล่ะ รีบๆ แสดงมณีธาตุของเจ้าให้ข้าดูซิ”

โจวเหว่ยชิงกรอกตาไปมาขณะกล่าวตอบ “ก่อนอื่น ท่านต้องใช้มณีของท่านทำการสาบานว่าถ้ามณีธาตุของข้ามีทักษะธาตุมิติจริง ท่านจะยอมรับข้าเป็นศิษย์และยอมรับเงื่อนไขก่อนหน้านี้ทั้งหมด” ตอนที่เขาทำการสาบานในตอนนั้น เขาพยายามให้เล่ห์กลโดยใช้ชื่อปลอม ทว่าก็ยังสังเกตได้จากสีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ในเวลานั้นว่า สำหรับจ้าวมณีแล้ว คำสาบานกับมณีของพวกเขานั้นถือเป็นคำมั่นสัญญาที่จริงจังอย่างแท้จริง

ฮูเหยียนเอ้าป๋อแอบสบถด่า “ข้าไม่เคยพบคนเจ้าเล่ห์เช่นเจ้ามาก่อนเลยจริงๆ!” แม้ว่าจะตระหนี่ถี่เหนียวไปบ้าง แต่เมื่อตัดสินใจทำบางสิ่งแล้ว ชายชราก็ไม่ต้องการจะเสียเวลาอีกต่อไป ฮูเหยียนเอ้าป๋อยกมือซ้ายขึ้น มองเห็นเป็นชั้นแสงสีเงินสลัวปกคลุมร่างกายของเขาไว้ ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็มองเห็นไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวจำนวน 7 ดวงโผล่ออกมาลอยวนอยู่รอบข้อมือของเขา

มณีธาตุมิติจำนวน 7 ดวง…นั่นคือจ้าวมณีธาตุระดับเทวะขั้นแรก! ชายแก่พุงพลุ้ยคนนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เขายังเป็นจ้าวมณีธาตุที่มีระดับพลังสูงมากอีกด้วย! เห็นอย่างนี้แล้วเราไม่สามารถจะตัดสินคนจากภายนอกได้จริงๆ!

สำหรับมณีธาตุมิติทั่วๆ ไปอย่างไพฑูรย์ตาแมวนั้นปกติแล้วจะมีสีเขียว แต่สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ เนื่องจากมันเป็นไพฑูรย์ตาแมวบริสุทธิ์ ดังนั้นสีของมณีจึงจะต้องเป็นสีทองเหลือบเขียวดั่งที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้

ไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวทั้ง 7 ดวงนั้นเปล่งประกายวิบวับราวกับดวงตาทั้ง 7 กำลังกระพริบอยู่อย่างแปลกประหลาด จากนั้นฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ทำการสาบานด้วยมณีทั้ง 7 ตามที่โจวเหว่ยชิงร้องขอ เมื่อเขาพูดจบ มณีทั้ง 7 นั้นก็เปล่งประกายขึ้นมาพร้อมกัน แสงสีเงินพุ่งขึ้นไปเหนือท้องฟ้าและตกลงมายังหน้าผากของฮูเหยียนเอ้าป๋อ จู่ๆ อักขระจางๆ ปรากฏขึ้นครู่หนึ่งบนหน้าผากของเขาก่อนจะค่อยๆ จางหายไป

ฮูเหยียนเอ้าป๋อทำพิธีสาบานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในใจของเขาพลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย เขาส่งเสียงในลำคอและพูดอย่างหงุดหงิด “เจ้าเด็กเหลือขอ เท่านี้เจ้าพอใจหรือยัง? ตาเจ้าแล้ว เร็วๆ เข้า”

โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะ…ผู้อาวุโสทั้งสอง ถึงเวลาที่จะได้พบกับเรื่องปาฏิหาริย์แล้ว ข้าหวังว่าพวกท่านจะไม่หัวใจวายตายไปก่อนเพราะเห็นถึงพลังมณีธาตุของข้า”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อพูดอย่างหงุดหงิด “เด็กน้อย เจ้าจะโอ้อวดเกินไปหรือไม่ ทำราวกับว่าข้าไม่เคยเห็นไพฑูรย์ตาแมวสีทองเหลือบเขียวมาก่อน…” ขณะที่เขากำลังพูดคำเหล่านั้น โจวเหว่ยชิงก็ดึงแขนเสื้อฝั่งซ้ายขึ้นมาแล้วปลดปล่อยมณีธาตุของเขาออกมาจากจุดตายไท่หยวน จากนั้นคำพูดที่เหลือของฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ได้แต่ชะงักติดอยู่ในลำคอ

แต่เดิมเฟิงหยูกำลังทำสีหน้ารื่นรมย์อยู่ขณะมองเหตุการณ์ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าโจวเหว่ยชิงนั้นกำลังกลั่นแกล้งฮูเหยียนเอ้าป๋อ แต่ทว่าหลังจากที่เขาได้เห็นมณีธาตุของโจวเหว่ยชิงตรงหน้า ใบหน้าของเขาก็แข็งค้างขึ้นมาอย่างฉับพลัน

แน่นอนว่ามันคือมณีธาตุไพฑูรย์ตาแมว และมีเพียงดวงเดียวเสียด้วย แต่ทว่ามันกลับไม่ได้มีสีทองเหลือบเขียวอย่างที่เขาคาดคิด กลับกันมณีของเขานั้นมีสีแดงลึกล้ำราวกับทับทิมชั้นสูง

เฟิงหยูและฮูเหยียนเอ้าป๋อโลดแล่นอยู่ในโลกของจ้าวมณีมามากกว่า 60 ปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นไพฑูรย์ตาแมวที่แปลกประหลาดเช่นนี้

ภายในห้องนั้นตกอยู่ในความเงียบทันที มันเงียบกริบชนิดที่ว่าเข็มตกพื้นก็ยังได้ยินเสียง สายตาของเฟิงหยูและฮูเหยียนเอ้าป๋อราวกับถูกตรึงไว้ที่มณีธาตุรอบข้อมือซ้ายของโจวเหว่ยชิง

“สีแดง? เป็นไปได้ยังไงที่ไพฑูรย์ตาแมวจะมีสีแดง!?” ท้ายที่สุดฮูเหยียนเอ้าป๋อก็เปิดปากทำลายความเงียบ

โจวเหว่ยชิงหันไปรอบๆ ห้องก่อนจะดันประตูเปิดแล้วเดินออกไปข้างนอก “ท่านอาวุโสทั้งสอง โปรดมาที่นี่แล้วมองอีกครั้ง”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูตามเด็กหนุ่มออกไปอย่างรวดเร็ว แต่คราวนี้พวกเขาไม่เพียงแต่ตื่นตระหนกเท่านั้น แม้แต่ขากรรไกรของพวกเขาก็ยังอ้าค้าง มันยังคงเป็นไพฑูรย์ตาแมวเช่นเดิม แต่คราวนี้สีของมันเปลี่ยนไปเป็นสีเขียวเหลือบฟ้า หากแสงสีแดงนั้นดูสูงส่งแล้ว แสงสีเขียวเหลือบฟ้านี้ก็ดูลึกล้ำอย่างยิ่ง

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยใบหน้าใสซื่อ “ข้าเตือนท่านเมื่อครู่แล้วใช่หรือไม่? นี่เป็นเวลาที่จะได้เห็นปาฏิหาริย์…”

………………………………………………….

[1]卜楞鼓 กลองป๋องแป๋ง เป็นของเล่นเด็ก ใช้เขย่าไปมาให้ลูกตุ้มแกว่งโดนหนังหน้ากลองแล้วจะเกิดเสียงดังขึ้น

โจวเหว่ยชิงกำลังหวาดกลัวอย่างมาก เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงกระนั้น ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ก็ไม่สามารถถอยหลังได้แล้ว

หลังจากนั้นประมาณสามวินาที บนวงล้อสีทั้ง 6 สีที่ปรากฏในดวงตาของโจวเหว่ยชิง  ส่วนสีดำที่แสดงถึงทักษะธาตุมืด และส่วนสีเทาที่แสดงถึงทักษะธาตุปีศาจก็ผสานเข้าด้วยกันอย่างไม่คาดฝัน ก่อเกิดเป็นความรู้สึกแปลกๆ ครอบคลุมไปทั่วร่างกายของโจวเหว่ยชิง จากนั้นเสือดำแปลกประหลาดที่มีปีกงอกออกมาจากหลังก็ปรากฏตัวขึ้นในจิตใต้สำนึกของเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้ปากของมันกำลังอ้ากว้างราวกับว่าพยายามจะกลืนกินอะไรบางอย่าง

สิ่งที่โจวเว่ยชิงไม่รู้ก็คือตอนนี้ลวดลายสีดำเทากำลังเริ่มแผ่ขยายรูปร่างออกมาจากไหล่ขวาของเขาและเลื้อยไปตามแขน ในช่วงไม่กี่อึดใจมันก็ไปถึงข้อมือขวา

ต่อจากนั้น ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่กำลังกลืนกินปราณสวรรค์ของเขาอยู่ก็พลันหยุดชะงักกระทันหัน โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าจุดตายไท่หยวนตรงข้อมือซึ่งเป็นหนึ่งในสี่จุดตายที่เขาได้ทะลวงไปแล้วนั้น จู่ๆ ก็เปิดอ้าออกกว้างราวกับปากขนาดใหญ่ ทันใดนั้นแสงจากม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ก็ผลุบหายเข้าไปข้างในราวกับว่าถูกปากนั้นดูดกลืนเข้าไป

เนื่องจากแสงสว่างจากม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นั้นจ้าเกินไป ทำให้เฟิงหยูไม่ทันสังเกตเห็นลวดลายสีดำที่แขนของโจวเหว่ยชิง และแน่นอนว่าลวดลายนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นทันที  อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังทันได้เห็นร่างกายของโจวเหว่ยชิงผสานเข้ากับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์จนสำเร็จ และนั่นทำให้เขาถึงกับอ้าปากค้าง

จู่ๆ ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็เกิดขึ้นในใจของโจวเหว่ยชิง หลังจากวงล้อทั้ง 6 สีได้กลืนกินแสงจากม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เข้าไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ในวินาทีต่อมามันกลับคืนสู่สภาพเดิม โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่ามณียุทธ์ของตนมีชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนกลายเป็นส่วนหนึ่งกับมัน และความแข็งแกร่งที่เข้ามาเติมเต็มในร่างก็ทำให้จิตวิญญาณของเขาราวกับถูกกระตุ้น

เสียงครางต่ำๆ ดังสะท้อนออกมาจากตัวของโจวเว่ยชิง เขาเหลือพลังปราณสวรรค์แค่ 1 ใน 3 ส่วน แต่พวกมันก็กำลังไหลเข้าไปยังมณียุทธ์หยกน้ำแข็ง กลิ่นอายความชั่วร้ายพวยพุ่งออกมาจากบริเวณข้อมือของเขา จากนั้นมณียุทธ์ก็แยกตัวออกมาจากข้อมือของเขาก่อนจะตกลงไปในฝ่ามือ

โจวเหว่ยชิงกำมณียุทธ์นั้นไว้จนกระชับแน่น ทันใดนั้น ลำแสงสีขาวสองสายก็ยืดขยายรูปร่างออกมาจากฝ่ามือของเขาเป็นเส้นโค้งพร้อมกันสองทิศทาง จากนั้นพวกมันก็เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นคันธนูยาวกว้าง 1.5 เมตร ซึ่ง…ไร้สายธนู

หากเปรียบเทียบกับภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ คันธนูนี้ให้ความรู้สึกราวกับเป็นสิ่งของที่จับต้องได้จริง ตัวคันธนูดูเหมือนว่าถูกแกะสลักมาจากหยกน้ำแข็ง มันส่องแสงเป็นประกายงดงาม ล้อมรอบไปด้วยหมอกน้ำแข็งที่เปล่งแสงแวววับ รูปร่างเพรียวลมของมันให้ความรู้สึกราวกับสัตว์ร้ายทรงพลังที่ถูกปล่อยออกมาจากกรงขัง

โจวเหว่ยชิงยกธนูราชันย์ขึ้นมาดู ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าแขนของตนเองสามารถเชื่อมต่อกับธนูนี้ได้อย่างมหัศจรรย์ นั่นทำให้เขารู้สึกตกหลุมรักธนูนี้เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มจะชื่นชอบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์โล่ซวนอู่มาก แต่หลังจากที่เขาหลอมรวมเข้ากับธนูราชันย์ได้สำเร็จ หัวใจก็เต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจอย่างถึงที่สุด

“ท่านผู้อาวุโส เป็นไปได้ด้วยหรือที่คันธนูจะไม่มีสายธนู?” โจวเหว่ยชิงมองธนูราชันย์ในมือของเขาก่อนจะถามด้วยความสงสัย

เฟิงหยูตอบกลับด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย “เจ้าจำเป็นต้องเติมปราณสวรรค์เข้าไปที่มณีอีก หากเจ้าเพิ่งมาถึงระดับที่ 4 ของพลังปราณสวรรค์ เจ้าจะต้องใช้ปราณสวรรค์อย่างน้อยครึ่งหนึ่งเพื่อที่จะสร้างคันธนูนี้ให้สมบูรณ์ จำไว้ว่าแม้แต่สายธนูก็ต้องการพลังปราณสวรรค์เพื่อสร้างมันขึ้นมา”

โจวเหว่ยชิงกล่าวตอบเมื่อตระหนักได้แล้ว “ข้าเข้าใจแล้ว ปราณสวรรค์ของข้าไม่เพียงพอที่จะสร้างสายธนู เอาเถอะ ไว้ข้าจะลองสร้างอีกทีภายหลังละกัน” ขณะที่เขาถอนพลังปราณสวรรค์คืนกลับไป ธนูราชันย์ก็คืนร่างกลายเป็นมณียุทธ์หยกน้ำแข็งลอยวนอยู่เหนือข้อมือของเขาตามเดิมเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ประสิทธิภาพของมณียุทธ์ก็ลดลงไปมากเนื่องจากโจวเหว่ยชิงไม่เหลือพลังปราณสวรรค์มากนัก

“ดูเหมือนว่าการหลอมรวมมณียุทธ์เข้ากับศาสตรามณียุทธ์จะไม่ยากขนาดนั้นเลยนี่? ดูสิ ข้าเพิ่งทำสำเร็จไปเอง” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยความพึงพอใจอย่างมากขณะเขาเรียกคืนมณีของตนกลับไปเข้าที่

“เด็กน้อย! เจ้ามันไม่ใช่มนุษย์แล้ว!” เฟิงหยูโพล่งลมหายใจที่เขากลั้นไว้ออกมาขณะจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

โจวเหว่ยชิงก็จ้องเขากลับด้วยตาที่เบิกกว้างเช่นเดียวกัน “ผู้อาวุโส เหตุใดต้องด่าข้าด้วยเล่า?”

เฟิงหยูตอบด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ข้าไม่ได้ด่าเจ้า ข้าชื่นชมเจ้าต่างหาก! เจ้าคิดว่าการหลอมรวมมณียุทธ์กับศาสตรามณียุทธ์นั้นง่ายดายนักหรือ? แม้ข้าจะมีมณียุทธ์ครบทั้ง 9 ดวงแล้ว แต่ข้าก็ไม่คิดว่าการหลอมรวมมณียุทธ์กับศาสตรามณียุทธ์นั้นง่ายดายเลย เหตุผลที่แม่นางน้อยภรรยาเจ้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อพบกับตาแก่ฮูเหยียนก็เป็นเพราะว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์เช่นเขานั้นสามารถรับประกันความสำเร็จที่แน่นอนในการหลอมรวมเข้ากับศาสตรามณียุทธ์ได้ ถึงแม้ว่าจะแพงไปหน่อยก็ตามทีเถอะ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ในคัมภีร์ 100 ใบก็ยังรับประกันว่าอาจจะสำเร็จสักใบ แต่ข้าก็ยังไม่เคยเห็นใครสามารถหลอมรวมกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ได้สำเร็จภายในการทดลองครั้งแรกเช่นเจ้ามาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหลอมรวมเข้ากับศาสตรามณียุทธ์ด้วยซ้ำ สวรรค์ นี่เป็นเรื่องที่เกินกว่าการหยั่งรู้ของข้าแล้ว!”

โจวเหว่ยชิงกรุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คิดว่าตนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เขาเดาว่าเหตุผลที่ทำให้ตนเองประสบความสำเร็จอาจเป็นเพราะทักษะธาตุทั้ง 6 ของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทักษะธาตุในส่วนสีดำและสีเทาที่กลืนกินซึ่งกันและกัน ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังไม่ต้องการเปิดเผยความลับข้อนี้ ดังนั้นเขาจึงยิ้มและกล่าว “ท่านไม่ได้บอกว่าอัตราความสำเร็จของการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ของผู้อาวุโสฮูเหยียนคือ 1 ใน 100 ส่วนหรือ? ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ที่ 1 ส่วนที่ว่านั่นจะสามารถเกิดขึ้นในครั้งที่ 1 หรือครั้งที่ 100 นั่นไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ?”

เฟิงหยูกล่าวอย่างทำตัวไม่ถูก “นั่นเป็นความจริงที่ตำราเขียน แต่จากประสบการณ์ 60 ปีของข้านั้น ข้ายังไม่เคยเห็นหรือได้ยินใครที่ประสบความสำเร็จในการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ภายในครั้งแรกเลยสักครั้ง”

“60 ปี? ผู้อาวุโส ท่านล้อข้าเล่นกระมัง?” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างค่อนข้างตกใจ ดูจากรูปร่างภายนอกของเขา อย่างมากก็มีอายุได้ประมาณ 40 ปีเท่านั้น

เฟิงหยูหัวเราะ จากนั้นชายหนุ่มก็เอ่ยตอบ “เด็กน้อย อายุที่แท้จริงของข้านั้นน้อยกว่าตาแก่ฮูเหยียนเพียงหนึ่งปีเท่านั้น เจ้าคิดว่าเหตุใดเขาถึงเรียกข้าว่าตาแก่เฟิงหยูเช่นกันเล่า เจ้านั่นอายุ 75 ปี ส่วนข้าอายุ 74 ปี หากเปรียบเทียบกันแล้ว จ้าวมณียุทธ์อาจจะพ่ายแพ้แก่จ้าวมณีธาตุในระดับขั้นเดียวกัน แต่สิ่งที่เป็นข้อได้เปรียบที่สุดคือจ้าวมณียุทธ์มีพลังต่อต้านความแก่ชรา เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่พวกเราจ้าวมณียุทธ์มีคือพลังการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง ในขณะที่จ้าวมณีธาตุนั้นมีพลังกำกับควบคุมพลังธาตุ อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เจ้าเป็นจ้าวมณี เจ้าก็จะมีอายุขัยอย่างน้อย 150 ปี ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ที่มีอายุขัยมากกว่าเจ้ามณีทั่วไปเสียอีก และยังมีจ้าวมณีสวรรค์เช่นเจ้าที่มีอายุมากกว่า 200 ปีแต่มีพลังแข็งแกร่ง และน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง พวกเขากระทืบเท้าหนึ่งที มหาสมุทรทั้ง 4 ยังต้องสะเทือน หนทางการฝึกตนของเจ้านั้นยังอีกยาวไกลเหลือเกิน เพราะฉะนั้นระหว่างทางเจ้าจะต้องตั้งใจและทุ่มเทให้มากกว่านี้”

หลังจากได้ยินเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง “เพราะฉะนั้น จ้าวมณีสวรรค์เลยมีอายุขัยนานกว่าคนอื่นงั้นหรือ นี่ข้าได้รับประโยชน์จากการเป็นจ้าวมณีสวรรค์เยอะมากเสียจริง เอาล่ะ ท่านผู้อาวุโส ข้าขอเก็บม้วนคัมภีร์อีก 99 ใบนี้ไว้ได้หรือไม่ขอรับ?”

เฟิงหยูส่งกล่องไม้โจวเหว่ยชิง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “เฮ้ เจ้าหนู รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงชอบเจ้า?”

“ทำไมล่ะขอรับ?” โจวเหว่ยชิงหยิบกล่องไม้อย่างระมัดระวังแล้วปิดมัน จากนั้นก็เก็บลงในกระเป๋าของเขาทันที

เฟิงหยูตอบ “เพราะเจ้าไม่เสแสร้ง ตัวโกงที่แท้จริงย่อมเผยธาตุแท้ ดีกว่าสุภาพชนที่ปากว่าตาขยิบ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็ยังไม่ใช่ตัวโกงที่แท้จริงอีกด้วย แต่ยังไงซะ ข้าก็ย่อมอยากรู้อยากเห็นว่าคนอายุน้อยๆ อย่างเจ้าเรียนรู้ทักษะเจ้าเล่ห์เพทุบายขนาดนี้มาจากผู้ใด?”

ในหัวของโจวเหว่ยชิงมีภาพชายชราเจ้าเล่ห์คนหนึ่งผุดวาบขึ้นมาทันที แต่แน่นอนว่าคนๆ นั้นไม่ใช่บิดาของเขา เด็กหนุ่มแย้มยิ้มและพูดว่า “นั่น…ข้าบอกไม่ได้ขอรับ”

……………………………………………………

ในขณะนั้นเอง เฟิงหยูที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างก็โปรยยิ้มออกมา จากนั้นก็ขยับริมฝีปากพูด “ตาแก่ฮูเหยียน เงินทองเป็นแค่ของภายนอก รับมาแล้วก็ย่อมต้องจ่ายออกไป เจ้ายังไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้อีกหรือ? จ้าวมณีสวรรค์นั้นไม่ได้พบเจอได้ง่ายๆ หากเจ้าพลาดโอกาสครั้งนี้แล้ว เจ้าย่อมไม่มีวันเจอโอกาสดีๆ เช่นนี้อีกตลอดชั่วชีวิตของเจ้า เวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ เจ้าค้าขายได้เงินทองมากมายมหาศาลมาเพื่ออะไรรึ? ใจของเจ้ามีความสุขหรือไม่? เงินทองสำคัญกว่าความฝันทั้งชีวิตของเจ้างั้นรึ?”

โจวเหว่ยชิงมองเฟิงหยูอย่างประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเฟิงหยู ผู้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้พิทักษ์ของฮูเหยียนเอ้าป๋อ จะพูดอะไรที่ไม่ใช่ธุระของตนออกมาเช่นนี้

คิ้วของฮูเหยียนเอ้าป๋อขมวดเข้าหากันเป็นปม ทันใดนั้นแสงสีเงินก็สว่างวาบขึ้นมา จากนั้นร่างกายของเขาก็หายไปจากห้องอย่างฉับพลัน ก่อนโจวเหว่ยชิงจะได้ทันขยับตัวทำอะไร แสงสีเงินนั้นก็ส่องแสงจ้าขึ้นมากะทันหันอีกครั้ง คราวนี้ชายชราร่างท้วมก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เรียบร้อยแล้ว ในมือของเขายังมีกล่องไม้สีดำ 2 กล่อง ชายชราส่งแต่ละกล่องให้กับโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์

“เจ้าทั้งคู่ไปที่ห้องข้างๆ เพื่อเริ่มหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ นี่คือธนูราชันย์สำหรับเจ้า ส่วนนี่ก็คือรองเท้าวายุประสานสำหรับแม่นางน้อย ให้เวลาข้าคิดสักครู่เถอะ ตาแก่เฟิงหยู เจ้านำพวกเขาไปสิ”

เฟิงหยูตอบกลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ฮ่าๆๆ เด็กน้อยทั้งสอง ตามข้ามานี่เร็ว” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินนำออกไป

โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์รับกล่องที่มีน้ำหนักเบาพวกนั้นมา ก่อนจะเดินตามเฟิงหยูไป ตอนนี้มือของซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ถูกโจวเหว่ยชิงจับไว้ แต่เธอก็ไม่ได้พยายามจะแกะมือของเขาออก เธอยังคงงุนงงและสับสนอยู่มาก สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ช่างราวกับเป็นความฝันตื่นหนึ่ง เมื่อครู่ พวกเขายังไม่แม้แต่จะมีเงินพอซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์พวกนั้น แต่ตอนนี้ทั้งคู่กลับได้รับกล่องคัมภีร์นั่นมาคนละกล่อง และแน่นอนว่าพวกเขาไม่เสียเงินแม้แต่แดงเดียว

เฟิงหยูนำพวกเข้ามายังห้องข้างๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กน้อยทั้งสอง อย่าได้กังวลที่จะต้องแยกจากกันเลย เจ้าทั้งคู่เข้าไปคนละห้อง ขณะที่พวกเจ้ากำลังผสานกับศาสตรามณียุทธ์ พลังของพวกเจ้าจะได้ไม่ปะทะกัน”

ทันใดนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที จากนั้นเธอก็รีบสะบัดมือออกจากการกอบกุมของโจวเหว่ยชิง ดวงหน้าของเธอขึ้นสีแดงซ่าน

โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างอิดออด “ภรรยา เจ้าต้องระวังให้ดีนะ ตกลงไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์แอบเหยียบเท้าเขาเต็มแรง ก่อนจะหันหลังวิ่งเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง เมื่อประตูปิดลง เธอก็เก็บซ่อนสีหน้าดีอกดีใจเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ใบหน้างดงามยิ้มแย้มจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง สีหน้าของเธอดูเบ่งบานราวกับดอกไม้ เธอกอดกล่องไม้ไว้ในอ้อมกอดแน่น หากเทียบกับศรติดตามไร้เสียงที่เป็นศาสตรามณียุทธ์ชิ้นแรกของเธอแล้ว รองเท้าวายุประสานที่สามารถเพิ่มระดับมณีธาตุได้นั้นแข็งแกร่งและดีกว่าหลายเท่านัก ดังนั้น แม้ว่าเธอจะถูกโจวเหว่ยชิงเอาเปรียบโดยการเรียกว่าภรรยา เธอก็ไม่ได้โกรธเขาขนาดนั้น

เมื่อมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินจากไปแล้ว เฟิงหยูก็หันกลับมามองโจวเหว่ยชิงด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า เขากล่าวว่า “เจ้าอายุยังน้อย แต่กลับรู้วิธีจะคว้าโอกาสนี้ไว้เป็นอย่างดี เด็กน้อย เจ้ามีอนาคตไกลแน่นอน”

โจวเหว่ยชิงแสดงท่าทางที่ใช้ทำมาหากินบ่อยๆ อีกครั้ง สีหน้าของเด็กหนุ่มกลายเป็นซื่อๆ ไร้เดียงสา เขายิ้มและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสชมข้ามากเกินไปแล้ว ข้าต้องขอบคุณท่านที่ช่วยพูดแทนข้าก่อนหน้านี้ด้วย นั่นช่วยข้าได้มากเลยทีเดียว”

เฟิงหยูหัวเราะอย่างมีความสุข เขาตอบ “ไม่เป็นไรๆ ข้าทนกับตาแก่นี่มาพักหนึ่งแล้ว หากข้าไม่ได้สัญญาบางอย่างกับเขาไว้ ข้าก็คงไม่อยู่ที่นี่เพื่อปกป้องตาแก่ขี้เหนียวอย่างเขาหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าจะหลอมรวมเข้ากับศาสตรามณียุทธ์ใช่หรือไม่ เข้ามาเถอะ ข้าจะสอนวิธีหลอมรวมกับคัมภีร์พวกนี้เอง”

โจวเหว่ยชิงเข้าไปในห้องพร้อมๆ กับเฟิงหยู เมื่อเปรียบเทียบกับห้องที่หรูหราก่อนหน้านี้ ห้องนี้ดูเหมือนจะเป็นห้องว่างๆ ไม่มีอะไรเลย

เฟิงหยูกล่าว “เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ตาแก่ฮูเหยียนนั่นขี้เหนียวเกินไปน่ะสิ เอาล่ะ นั่งลงเถอะ”

โจวเหว่ยชิงนั่งลงบนพื้นและเฟิงหยูก็นั่งลงตรงข้ามกับเขา จากนั้นชายหนุ่มก็หยิบกล่องไม้ไปจากมือของโจวเหว่ยชิง

ในขณะที่เขาเปิดฝากล่อง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นั้นไม่ได้มีเพียงแผ่นเดียว แต่มีหลายแผ่นมากจนหนาเป็นตั้งๆ กระดาษแผ่นบนสุดมีลวดลายรูปแบบที่ซับซ้อนอย่างยิ่งปรากฏอยู่ เขาสามารถมองเห็นตรงกลางของรูปแบบเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน มันมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับธนูราชันย์ในภาพที่เด็กหนุ่มเห็นก่อนหน้านี้

“ทำไมเยอะขนาดนี้!” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ

เฟิงหยูกล่าวตอบ “เจ้าไม่ได้ยินที่ตาแก่ฮูเหยียนบอกก่อนหน้านี้เหรอ ด้วยฝีมือระดับปรมาจารย์ของเขา อัตราความสำเร็จในการหลอมรวมเข้ากับผู้ใช้คือ 1 ใน 100  หรือพูดให้ชัดก็คือ มาตรฐานที่สำคัญที่สุดของปรมาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ก็คือ ใน 100 แผ่น จะต้องมีสักแผ่นที่สำเร็จแน่นอน แต่ถ้าหากเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับล่างๆ นั่นก็อาจจะพูดยากหน่อย แม้ว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์จะสามารถกอบโกยเงินได้มหาศาล แต่อาชีพนี้ก็ยากที่จะฝึกฝนนัก แม้กระทั่งจ้าวมณีที่หายากอย่างจ้าวมณีทักษะธาตุมิติ พวกเขาก็ยังต้องพยายามอย่างหนัก อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีอัตราความสำเร็จต่ำก็จะมีคนอุดหนุนน้อย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เพียงไม่กี่คน”

ในขณะที่เอ่ย เขาก็หยิบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แผ่นบนสุดขึ้นมาและส่งมอบให้กับโจวเหว่ยชิง

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็สามารถเพ่งสายตาสำรวจม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ได้อย่างใกล้ชิด เขาพบว่าแผ่นกระดาษนั้นทำมาจากหนังชนิดพิเศษ และลายเส้นที่ปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นนี้ก็มีสีสันสดใส มีชีวิตชีวาราวกับว่าเป็นของจริง แม้ว่าเด็กหนุ่มจะมีมณีสวรรค์เพียงชุดเดียว แต่เขาก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษภายในม้วนคัมภีร์เล็กๆ นี้

“เจ้าสามารถทดลองหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ได้วันละหนึ่งครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็จะใช้ปราณสวรรค์ของเจ้ามากกว่าครึ่ง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องตกใจหากหลังจากนี้จะมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น ตอนนี้ให้เจ้าเริ่มชักนำพลังปราณสวรรค์ของเจ้าไปยังมณียุทธ์ จากนั้นวางมือขวาลงบนคัมภีร์แล้วพยายามสัมผัสถึงมันให้ได้ เจ้าไม่ต้องทำอย่างอื่นอีก มณียุทธ์ของเจ้าจะเริ่มแลกเปลี่ยนพลังกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เองตามธรรมชาติ กระบวนการทั้งหมดนี้จะถูกทำผ่านการ กระตุ้นจากพลังปราณสวรรค์ของเจ้า”

“ขอบคุณขอรับท่านอาวุโส” แม้ว่าโจวเหว่ยชิงตะเป็นคนเจ้าเล่ห์ แต่เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้วิธีแยกแยะผิดชอบชั่วดี ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงรู้สึกชื่นชมจ้าวมณียุทธ์ระดับเทวะขั้นสูงที่จิตใจดีอย่างเฟิงหยูมาก

โจวเหว่ยชิงค่อยๆ เริ่มชักนำปราณสวรรค์จากจุดตันเถียนขึ้นไป เมื่อปราณสวรรค์ไหลผ่านจุดตาย ณ กระดูกไหปลาร้าบนไหล่ขวาของเขา อัตราการดูดกลืนที่หลุมดำนั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทันที จุดตายไท่หยวนที่ข้อมือขวาพลันปลดปล่อยมณียุทธ์หยกน้ำแข็งออกมา และภายใต้การหลอมรวมเข้ากับปราณสวรรค์ มณียุทธ์ของเขาก็ปล่อยละอองหมอกเย็นยะเยือกสายหนึ่งออกมาทันที จากนั้นความแข็งแกร่งที่เคยคุ้นก็แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย โจวเหว่ยชิงไม่กล้าหยุดชะงักนาน เขายกแขนขวาขึ้นด้วยมือซ้าย จากนั้นก็นำฝ่ามือขวากดทาบลงบนม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์

เมื่อมองดูมณียุทธ์หยกน้ำแข็งบริสุทธิ์ของโจวเหว่ยชิง ดวงตาของเฟิงหยูก็อดไม่ได้ที่จะเผยความอิจฉาออกมา

ในขณะที่ฝ่ามือของเขาสัมผัสกับม้วนกระดาษ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดมหาศาลจากม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ทันใดนั้นปราณสวรรค์ของเขาก็ไหลทะลักออกมาจากร่างกายราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก ลวดลายบนม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เปล่งแสงสว่างออกมาอย่างฉับพลัน จากนั้นความรู้สึกแปลกประหลาดก็แผ่กระจายไปทั่วร่างกายของโจวเหว่ยชิง ราวกับว่าพลังที่แปลกประหลาดนั้นกำลังกลืนกินพลังปราณสวรรค์ไปด้วยขณะที่พวกมันเคลือบคลานไปทั่วร่างกาย

ไม่กี่อึดใจต่อมา ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ก็หายวับไปกับตา มันเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นแสงสว่างสายหนึ่งลอยวนล้อมรอบข้อมือขวาของโจวเหว่ยชิงเอาไว้ และในจิตใต้สำนึกของโจวเว่ยชิงก็ปรากฏภาพคันธนูยาวคันหนึ่งขึ้นมาทันที มันมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพที่เขาเห็นบนโต๊ะสี่เหลี่ยมก่อนหน้านี้ทุกประการ ความรู้สึกอันรุนแรงเข้มข้นค่อยๆ เกิดขึ้นภายในร่างกาย จากนั้นมันก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปยังมณียุทธ์หยกน้ำแข็งที่อยู่บริเวณมือขวา

มณีคู่ของจ้าวมณีสวรรค์มักจะต้องอยู่ด้วยกันเสมอ ในขณะที่มณียุทธ์ของเขากำลังถูกใช้งาน มณีธาตุอย่างไพฑูรย์ตาแมวสองสีก็ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นบนข้อมือซ้ายของโจวเหว่ยชิงที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ สิ่งที่ทำให้โจวเหว่ยชิงตกใจที่สุดก็คือ เมื่อเขาเริ่มใช้มณียุทธ์หลอมรวมเข้ากับศาสตรามณียุทธ์ จู่ๆ วงล้อทั้ง 6 สีก็เริ่มหมุนด้วยความเร็วสูงสุดอย่างไม่คาดคิด ขณะที่กงล้อกำลังหมุนอยู่นั้น ทั้งส่วนสีดำและส่วนสีเทาก็ส่องประกายแวววาวออกมา ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังดูดซับพลังปราณสวรรค์จากร่างกายออกไปด้วย นั่นทำให้ร่างกายของเขาต้องสูญเสียปราณสวรรค์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

……………………………………………………………..

การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของฮูเหยียนเอ้าป๋อทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเขายังรู้สึกได้ถึงความวิตกกังวลของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงรีบร้อนเรียกมณีสวรรค์ของเขากลับคืนที่เดิม

หลังจากได้ยินคำพูดของฮูเหยียนเอ้าป๋อ ความรู้สึกระแวดระวังภัยของเธอก็ลดลง “ผู้อาวุโส นี่หมายความว่าอย่างไร?”

ฮูเหยียนเอ้าป๋อถอนหายใจก่อนจะกล่าว “พูดตามตรง นี่เป็นชะตากรรมที่น่าเศร้าสำหรับพวกเราอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เจ้าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าผู้ที่จะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้นั้นต้องมีทักษะธาตุมิติ ไม่ว่าจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์หรือจ้าวมณีธาตุก็ตาม ตราบใดที่คนๆ นั้นมีทักษะธาตุนี้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะสามารถกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้  อย่างไรก็ตาม ในบรรดา 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความมืด แสง ชีวิต และมิติ สิ่งที่หายากที่สุดคือทักษะธาตุมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุมิติ คนเช่นนั้นหายากที่สุดอย่างไม่มีใครเทียบเทียมได้ เพราะฉะนั้นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ส่วนใหญ่จึงเป็นเพียงแค่จ้าวมณีธาตุที่มีทักษะธาตุมิติ เพราะว่ามันยากนักที่จ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุมิติจะเลือกเส้นทางอาชีพอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์”

หลังจากหยุดพักชั่วครู่ ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็กล่าวต่อ “ข้าจะบอกความลับให้เจ้า 2 อย่าง ระดับขั้นของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์นั้นขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการหลอมรวมคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เข้ากับร่างผู้ใช้และคุณภาพของศาสตรามณียุทธ์ อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับต่ำมักจะมีอัตราความสำเร็จในการหลอมรวมม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เข้ากับร่างกายผู้ใช้ได้น้อยกว่า 1 ใน 1000 ส่วน ดังนั้นจึงมักไม่ค่อยมีใครเลือกเส้นทางของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์มากนัก แม้แต่ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่ข้า ปรมาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ผู้นี้เป็นคนสร้าง อัตราความสำเร็จในการหลอมรวมม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เข้ากับร่างกายผู้ใช้ยังสำเร็จเพียงแค่ 1 ใน 100 ส่วน และนี่ก็คือขีดจำกัดของข้าแล้ว มีเพียงจ้าวมณีสวรรค์ที่เลือกเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เท่านั้นจึงจะสามารถกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ในระดับสูงมากกว่านี้ได้ หรือไม่แน่ คนผู้นั้นอาจจะไปถึงระดับขั้นพระเจ้าเลยก็ได้ และระดับพระเจ้านั่นก็เป็นความฝันสูงสุดของข้ามาโดยตลอด ความฝันที่ข้าคิดว่าในชาตินี้คงจะไม่มีวันทำได้สำเร็จแล้ว เสียดายที่ข้านั้นมีความรู้กว้างขวางเกินกว่าที่เขียนไว้ในตำราเสียอีก ดังนั้นข้าจึงต้องการถ่ายทอดความรู้ของข้าต่อไป และข้าหวังว่าลูกศิษย์ในอนาคตของข้าจะทำความฝันของข้าให้เป็นจริงให้ได้ในสักวัน…”

โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย “นี่ท่านกำลังพยายามชักชวนข้าเป็นลูกศิษย์หรือ?”

ใบหน้าของฮูเหยียนเอ้าป๋อกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที “นั่นเป็นความแตกต่างที่น่าปวดใจระหว่างพวกเราชาวอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์กับวิชาชีพอื่นๆ อาชีพอื่นนั้นมีแต่ลูกศิษย์ต้องตามหาอาจารย์ แต่สำหรับพวกเรานั้น อาจารย์ต้องเป็นคนตามหาลูกศิษย์  เจ้าก็รู้ว่าจ้าวมณีธาตุมิตินั้นหายากมาก ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุมิติที่ยากจนนั้นหาได้ยากกว่ามากนัก ดูสิ พวกเจ้าดูไม่ค่อยมีเงินมาก ดังนั้น น้องชาย ตราบใดที่เจ้าเต็มใจที่จะมาฝึกฝนและสืบทอดทักษะวิชาของข้า ราคาม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของข้าก็สามารถพูดคุยกันได้ ดังนั้น 500,000 เหรียญทองนั้นข้าย่อมไม่ขาย ข้าจะขายให้ด้วยราคาเท่ากับจำนวนเงินที่พวกเจ้ามี นั่นก็คือ 150,000 เหรียญทอง”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คลายมือที่จับโจวเหว่ยชิงจากนั้นก็กรุ่นคิด คำพูดของฮูเหยียนเอ้าป๋อทำให้เธอตื่นเต้นมาก เพราะอย่างที่รู้กันว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นไม่มีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เลยสักคนเดียว แม้ว่าฮูเหยียนเอ้าป๋อจะเป็นคนโลภและตระหนี่อย่างยิ่ง  แต่ในการสร้างศาสตรามณียุทธ์นั้นอาจกล่าวได้ว่าเขามีความสามารถอยู่ในระดับสูงส่ง ทั่วทั้งอาณาจักรเฟยหลี่แทบจะไม่มีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนใดเก่งไปกว่าเขาแล้ว หากโจวเหว่ยชิงได้ศึกษาวิธีสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์กับอีกฝ่าย นั่นอาจจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่ออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ในอนาคต

“ไม่มีทาง” โจวเหว่ยชิงปฏิเสธคำชักชวนของฮูเหยียนเอ้าป๋อโดยไม่ลังเล เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฮูเหยียนเอ้าป๋อซึ่งเคยทำท่าทียโสโอหังใส่ตน ในใจของเด็กหนุ่มจึงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาจะยอมรับเงื่อนไขของอีกฝ่ายได้อย่างไร?

ฮูเหยียนเอ้าป๋อหอบหายใจแรงขึ้น “ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ…ไม่ๆๆๆ! น้องชาย เจ้าไม่รู้หรือว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์นั้นรวยแค่ไหน? แม้พวกเราจะต้องทุ่มเทเวลาศึกษาและฝึกฝนเพื่อสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ แต่พวกเราก็ร่ำรวยที่สุดและยังเป็นอาชีพที่มีเกียรติสูง ได้รับการนับหน้าถือตาจากคนอื่นๆ อีกด้วย เอาแบบนี้ คัมภีร์ธนูราชันย์นี้ข้าจะขายแบบขาดทุนให้เจ้าเลย 100,000 เหรียญทอง สนใจหรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงส่งเสียงหึในลำคอ “ข้าเคยได้ยินแต่อาจารย์มอบของขวัญแก่ลูกศิษย์เป็นการต้อนรับ แต่ไม่เคยได้ยินว่าอาจารย์ขอเงินลูกศิษย์เป็นการต้อนรับมาก่อน ท่านเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวอย่างแท้จริง! ถ้าหากข้ายอมเป็นลูกศิษย์ของท่าน ข้าจะยังมีชีวิตที่ดีได้อีกหรือ? เพราะฉะนั้นข้าไม่เอาด้วยหรอก!”

เมื่อครู่ที่ผ่านมาฮูเหยียนเอ้าป๋อยังขึ้นราคาด้วยอย่างภาคภูมิ ทว่าตอนนี้โจวเหว่ยชิงกลับกำลังตอกกลับด้วยท่าทางเช่นเดียวกัน นี่คือการปะทะคารมแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันอย่างแท้จริง!

เฟิงหยูหัวเราะอย่างร่าเริง ปกติเขาเห็นคนมากมายไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้าฮูเหยียนเอ้าป๋อ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นชายชราต้องกล้ำกลืนยอมรับความพ่ายแพ้

ฮูเหยียนเอ้าป๋อถูมือไปมา สีหน้าแสดงความเจ็บปวด “ก็ได้ๆๆๆ เมื่อใดที่เจ้าตกลงเป็นลูกศิษย์ของข้าแล้ว ข้าจะมอบธนูราชันย์นี้ให้ ตกลงไหม?”

โจวเหว่ยชิงนั้นฉลาดเฉลียวเป็นที่สุด เขาย่อมรู้ว่านี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดสูงสุดที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อสามารถยอมได้ ความโกรธที่อยู่บนใบหน้าของเขาจางหายไปทันทีหลังจากฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวว่าจะมอบคัมภีร์ให้กับเขา เขาพูดต่อไปด้วยสีหน้าที่ดูซื่อๆและจริงใจ ว่า “ผู้อาวุโส ข้าขอขอบคุณสำหรับความตั้งใจอันดีของท่าน แต่ก็อย่างที่ท่านรู้ การฝึกของจ้าวมณีสวรรค์นั้นต้องใช้เงินจำนวนมาก ข้าและคู่หมั้นมาจากครอบครัวคนธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรามาจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ท่านก็รู้ว่าอาณาจักรของเราไม่ค่อยร่ำรวยเท่าไหร่ และอาณาจักรก็ไม่มีเงินพอจะช่วยสนับสนุนการฝึกของพวกเราด้วย เงินจำนวน 150,000 เหรียญทองที่ภรรยาข้านำมาด้วยนั้นเป็นเงินสนับสนุนทั้งหมดที่อาณาจักรสามารถช่วยเหลือพวกเราได้แล้ว แต่ว่าเงินจำนวนแค่นั้นย่อมไม่เพียงพอต่อการฝึกของพวกเรา ตัวข้านั้นไม่ติดขัดหากต้องเรียนรู้การสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์จากท่าน แต่ทว่าเวลานี้ข้ายังไม่สะดวกและคงต้องเลื่อนไปก่อนเพราะข้ายังไม่ได้บรรลุศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บธาตุมณีเลยสักอย่าง การเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์นั้นคงไม่ง่ายใช่หรือไม่? การหาเงินก็คงไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้สำเร็จได้ในเวลาสั้นๆ เช่นกัน ข้าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ข้าถึงจะมีเงินพอจนสามารถบรรลุได้ทั้งศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บธาตุมณี ก่อนหน้านี้พวกเราได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าร่วมกับวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรเฟยหลี่ เพราะฉะนั้น ข้าจึงต้องขอปฏิเสธความตั้งใจของท่านด้วยความขอบคุณ เฮ้อ…นี่ช่างเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตโดยแท้!”

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ยินว่าฮูเหยียนเอ้าป๋อจะมอบคัมภีร์ธนูราชันย์ให้โจวเหว่ยชิงโดยไม่ต้องเสียเงิน เธอก็อดจะตะลึงงันไม่ได้ นั่นเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เหตุใดทุกอย่างถึงกลับตาลปัตรไปได้ถึงขนาดนี้! เมื่อฟังคำพูดของโจว เหว่ยชิง แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะไม่ชอบใจที่ไอ้คนเจ้าเล่ห์นี้แอบอ้างชื่อของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้พูดปฏิเสธเขาออกไป เธอรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อใดก็ตามที่สีหน้าของอ้วนน้อยโจวเปลี่ยนไปเป็นเรียบง่าย ใสซื่อและดูจริงใจ นั่นเป็นช่วงเวลาที่เขากำลังเล่นละครหลอกลวงได้อย่างไร้ยางอายเป็นที่สุด

“ไม่ๆๆๆๆ นั่นย่อมไม่ดี ไม่ดีมากๆ เจ้าจะไปเข้าร่วมวังกักเก็บทักษะไม่ได้เด็ดขาด! เจ้าไม่รู้หรือว่าหากเข้าร่วมวังกักเก็บทักษะแล้ว นั่นก็เหมือนกับเจ้าขายตัวเองเพื่อเป็นทาสรับใช้ให้กับอาณาจักรเฟยหลี่?” หลังจากได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็เริ่มรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น

โจวเหว่ยชิงกล่าวพร้อมกับสีหน้าอับจนหนทาง “ ข้าไม่มีทางเลือก! หากข้าต้องขายตัวเองเป็นทาส ข้าก็จะทำ! ข้าได้ยินว่าทักษะธาตุสำหรับจ้าวมณีธาตุนั้นราคาแพงกว่า ดังนั้นเราสองคนจะทนแบกรับค่าใช้จ่ายเช่นนั้นไหวได้อย่างไร! ข้าคิดว่าตราบใดที่พวกเราทำได้ดีในวังกักเก็บทักษะ พวกเขาก็จะเต็มใจจ่ายเงินเพื่อช่วยให้เราสามารถซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่เราต้องการได้ ใช่หรือไม่จ๊ะภรรยาจ๋า?”

จากนั้นชายไร้ยางอายผู้นี้ก็หันไปพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทิ้งให้ฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูมองแผ่นหลังของเขาตาปริบๆ ส่วนด้านโจวเหว่ยชิง เขาก็ลอบขยิบตาให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างลับๆ

แม้ว่าเธอจะถูกเจ้าคนหน้าด้านนี่ใช้คำพูดแทะโลม แต่เธอก็ไม่มีทางเลือก อีกทั้งยังไม่สามารถทำแผนการณ์ของเขาพังได้ เธอจ้องมองเขาอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนจะตอบอืออาในลำคอ “อะ อืม”

โจวเหว่ยชิงหันหลังกลับไปหาฮูเหยียนเอ้าป๋ออีกครั้ง “ท่านผู้อาวุโส พวกเราไม่รบกวนแล้ว ธนูราชันย์นั่นท่านก็ขายให้กับคนอื่นเถิด  พวกเราจะมุ่งหน้าไปวังกักเก็บทักษะก่อน บางทีในอนาคตเราอาจมีวาสนาได้ซื้อคัมภีร์จากท่านอีก” หลังจากพูดจบ เขาก็จับมือซ่างกวนปิงเอ๋อร์และมุ่งหน้าไปยังทางออก

ในเวลานี้โจวเหว่ยชิงรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขาเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของฮูเหยียนเอ้าป๋อ และรู้สึกว่าตนแก้แค้นสำเร็จแล้ว ตาเฒ่าผู้นี้ย่อมชดใช้ให้เขาอย่างเหมาะสมกับสิ่งที่ตนทำลงไปก่อนหน้า นอกจากนี้เขายังได้แอบเอาเปรียบซ่างกวนปิงเอ๋อร์และจับมือของเธอราวกับเป็นคู่รักนี่ช่างยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบเกินไปแล้ว!!

“อย่าเพิ่งไป อย่าไปเลย! ให้เวลาข้ากรุ่นคิดสักครู่ก่อน!” ฮูเหยียนเอ้าป๋อเดินไปมาในห้องอย่างเคร่งเครียดราวกับหนูติดจั่น

……………………………………………………………

เมื่อโจวเหว่ยชิงได้ยินราคาเพิ่มขึ้นเป็น 400,000 เหรียญทอง เขาก็กำลังจะอ้าปากต่อว่าตาแก่นี่อีกครั้ง ทว่าจู่ๆ เด็กหนุ่มกลับรู้สึกได้ถึงแรงบีบบนแขน จากนั้นก็ถูกดึงไปด้านข้างโดยซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เมื่อเขาหันไปมองอีกฝ่ายก็ต้องประหลาดใจที่เห็นว่าเธอเกือบจะร้องไห้ออกมา ส่วนมือที่จับแขนของเขาอยู่นั้นก็กำลังสั่นเทา

“ผู้บัญชาการกองพัน ท่าน…”

“หุบปาก!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด เธอเคลื่อนตัวไปบังโจวเหว่ยชิงไว้และพูดกับชายชราร่างท้วมอย่างวิงวอน “ผู้อาวุโสฮูเหยียน โปรดอย่าไปฟังเขาเลย พวกเราผิดไปแล้วจริงๆ พวกเราตกลงจะซื้อในราคา 200,000 เหรียญทอง ข้ามีชิ้นส่วนหยกวิญญาณอยู่ที่นี่ด้วย มันน่าจะราคาประมาณ 50,000 เหรียญทอง ข้าจะมอบให้ท่านไว้ที่นี่เป็นประกัน หลังจากเขาหลอมรวมเข้ากับศาสตรามณียุทธ์ได้แล้ว พวกเราจะรีบนำเงินมาให้ท่านเพื่อแลกหยกวิญญาณกลับคืน ท่านตกลงไหม?”

ขณะที่พูด เธอก็ถอดสร้อยสีแดงออกมาจากคอของเธอ สร้อยเส้นนั้นมีจี้หยกสีงาช้างแขวนอยู่ ตัวจี้หยกถูกแกะสลักเป็นลายมงคลหยูอี้ แม้ว่ามันจะไม่มีแสงเรืองรองออกมา แต่ทว่าตัวจี้เองก็แผ่ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยื่นหยกออกมาเบื้องหน้าชายชราด้วยสีหน้าอ้อนวอน

ชายชราตวัดสายตามองของสิ่งนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นความประหลาดใจก็แวบเข้ามาในดวงตาของเขา ฮูเหยียนเอ้าป๋อพูดอย่างใจเย็น “หากเมื่อครู่เจ้านำเอามันออกมาก่อน ข้าก็คงจะตกลงไปแล้ว หยกวิญญาณชิ้นนี้มีมูลค่ามากกว่า 50,000 เหรียญทอง หรืออาจจะ 100,000 เหรียญทองด้วยซ้ำ  ด้วยของประกันเช่นนี้ ข้าย่อมต้องยอมขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ให้เจ้าอย่างแน่นอน แต่ว่านะ แม่หนู เมื่อกี้เจ้าหนุ่มคนนั้นดันมาขวางทางข้าเสียก่อน ฉะนั้นราคาของมันก็เหมือนอย่างที่ข้าเพิ่งพูดไปเมื่อกี้นี้ 400,000 เหรียญทองขาดตัว ข้า ฮูเหยียนเอ้าป๋อ พูดแล้วย่อมไม่คืนคำ และแน่นอนว่าราคานี้ไม่ใช่แค่สำหรับพวกเจ้า ใครก็ตามที่มาหลังจากนี้ก็จะต้องซื้อด้วยราคานี้เช่นกัน ดังนั้นหากตอนนี้เจ้าไม่มี 400,000 เหรียญทอง เจ้าก็ไปซะเถอะ ที่นี่มีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์มากมาย เจ้าสามารถไปเลือกหาที่อื่นได้”

นั่นมันเป็นไปได้ด้วยหรือ? โจวเหว่ยชิงจ้องมองตาแก่อ้วนฮูเหยียนเอ้าป๋อด้วยความตกตะลึง ประโยคที่เขาพูดออกไปอย่างไร้เหตุผลนั่นทำให้ราคากระโดดสูงขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เป็นราคาประมาณเกือบสองเท่าของราคาเริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ!

“ผู้บัญชาการกองพัน ไปกันเถอะ ตาแก่นี่ไม่ใช่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เพียงคนเดียวที่นี่เสียหน่อย เขาก็เหมือนก้อนอุจจาระในหลุมส้วม ทั้งเหม็นทั้งแข็ง ทำไมเราต้องซื้อม้วนคัมภีร์ของเขาด้วย?” โจวเหว่ยชิงคว้าแขนของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และขยับตัวจะพาเธอจากไป

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันหน้ากลับมาจ้องเด็กหนุ่มอย่างโกรธเคือง “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร! ในเมืองภูเขาลอยฟ้าแห่งนี้ มีเพียงผู้อาวุโสฮูเหยียนที่เป็นปรมาจารย์ศาสตรามณียุทธ์  อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนอื่นๆ จะมาเทียบเขาได้อย่างไร? เจ้าไม่เห็นคำที่เขียนกำกับไว้นั่นหรือ ‘สามารถเพิ่มระดับมณีธาตุได้’  มีเพียงแค่ปรมาจารย์ศาสตรามณียุทธ์หรือระดับที่เหนือกว่านั้นจึงจะสามารถสร้างคัมภีร์เช่นนี้ได้”

“เพราะเจ้าด่าตาแก่คนนี้ ตอนนี้ราคากลายเป็น 500,000 เหรียญทองแล้ว! ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอนี่! ถ้าเจ้าด่าข้าอีกครั้ง อนาคตเจ้าก็ลืมเรื่องจะซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์จากที่นี่ไปได้เลย!!” ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวอย่างเดือดดาล

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเผยประกายความโกรธเกรี้ยว เขาชูกำปั้นไว้ข้างหน้าเขาแล้วพูดว่า “ตาแก่ฮูเหยียน ข้าไม่เคยอยากจะชกใครเท่าท่านมาก่อน!”

ทันใดนั้นฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ยิ้ม และหัวเราะออกมาเสียงดัง “หากมีคนส่วนหนึ่งอยากจะต่อยข้า คนส่วนที่เหลือก็คงอยากจะฆ่าข้า อย่างไรก็ตาม ตาแก่คนนี้ก็ยังอยู่ดี แม้แต่จักรพรรดิของอาณาจักรเฟยหลี่ เวลาพบข้าก็ยังต้องไว้หน้าข้าสามส่วน แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใดกันล่ะ? หากจะฆ่าข้า เจ้าก็คงต้องผ่านด่านเฟิงหยูไปก่อน  เขาเป็นจ้าวมณียุทธ์ระดับเทวะขั้นสูงสุด ครอบครองมณียุทธ์ครบ 9 ดวง แน่นอนว่าทุกดวงย่อมมีศาสตรามณียุทธ์หลอมรวมอยู่ หากเจ้าเอาชนะเขาได้  ถึงตอนนั้นก็ค่อยมาด่าข้าต่อก็แล้วกัน…”

โจวเหว่ยชิงตกใจมาก แม้เขาจะเดาได้ว่าชายวัยกลางคนน่าจะแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง แต่กลับไม่ได้คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในระดับสูงสุดของจ้าวมณียุทธ์ และครอบครองมณียุทธ์ถึง 9 ดวงเช่นนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ครอบครองศาสตรามณียุทธ์เพียงหนึ่งชิ้น แต่เธอก็ยังแข็งแกร่งมากแล้ว หากเป็นเช่นนั้น จ้าวมณียุทธ์ระดับเทวะขั้นสูงสุดผู้ครอบครองมณียุทธ์ 9 ดวงที่หลอมรวมเข้ากับศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดแล้วจะยอดเยี่ยมขนาดไหน? ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตาแก่ร่างท้วมอย่างฮูเหยียนเอ้าป๋อคนนี้จะยังมีชีวิตปลอดภัยดีอยู่ถึงปัจจุบัน

เฟิงหยูส่ายหัวอย่างระอาใจ ก่อนจะพูด “น้องชาย เจ้าไปก่อนจะดีกว่า ตอนที่ตาแก่คนนี้คลุ้มคลั่งขึ้นมา เจ้าจะใช้เหตุผลอะไรกับเขาไม่ได้สักอย่าง”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังยืนนิ่งด้วยความรู้สึกสับสน เธอรู้ว่าวันนี้คงต้องกลับบ้านมือเปล่าแล้ว แม้พวกเขาโชคดีมากที่มาในเวลาที่มีม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ให้เลือกถึง 3 ชุด แต่ในท้ายที่สุดพวกเขากลับไม่สามารถซื้อสิ่งใดได้เลย ความรู้สึกที่อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาทำให้เธอไม่มีอารมณ์จะตำหนิโจวเหว่ยชิง

รังสีฆ่าฟันพุ่งวาบผ่านดวงตาของโจวเหว่ยชิงโดยที่เขาไม่รู้ตัว พลังปราณที่หมุนวนอยู่ ณ ที่จุดตายทั้ง 4 จุดของเด็กหนุ่มกำลังเพิ่มอัตราเร็วขึ้น ความเร็วในการหมุนและการดูดกลืนพลังกลายเป็น 2 เท่าในทันที จากนั้นแสงสีเทาอ่อนก็ค่อยๆคลืบคลานเข้าสู่ลูกตาดำของเขา ที่กึ่งกลางหน้าผากปรากฏร่องรอยของตัวอักษรสีดำว่า ‘ราชา’ ขึ้นอย่างชัดเจน มณีสวรรค์คู่หนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนข้อมือของโจวเหว่ยชิงพร้อมกัน มณียุทธ์นั้นยังไม่เท่าไหร่ มันเพียงแค่ส่งไอหมอกน้ำแข็งเย็นยะเยือกออกมาปกคลุมรอบข้อมือของเขาเท่านั้น แต่ทว่ามณีธาตุของเด็กหนุ่มกลับส่องแสงสว่างเจิดจ้าออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง

ภายใต้เสื้อคลุมที่ไร้แสงแดด สีของไพฑูรย์ตาแมวสองสีก็กลายเป็นสีแดงก่ำราวทับทิม และในเวลานี้ ไพฑูรย์ตาแมวสองสีบนข้อมือของโจวเหว่ยชิงก็คือเปล่งประกายสีเลือดออกมา มันแวววาวระยิบระยับราวกับดวงตาแดงก่ำกระหายเลือดของปีศาจ

เสื้อคลุมจ้าวมณีสวรรค์ที่ได้รับมาจากวังกักเก็บทักษะนั้นถูกออกแบบมาให้มีแขนเสื้อยาวกว่าปกติมากจนสามารถครอบคลุมได้ถึงข้อมือ ปกติแล้วมันควรจะสามารถปกปิดไพฑูรย์ตาแมวสองสีของโจวเหว่ยชิงได้ แต่ในเวลานั้น แสงสว่างเจิดจ้าของไพฑูรย์ตาแมวสองสีนั้นเปล่งประกายจนกระทั่งแสงนั้นเจาะทะลุแขนเสื้อคลุมของเขาออกมาภายนอก

ฮูเหยียนเอ้าป๋อนั้นแต่เดิมมีใบหน้าหยิ่งผยองเนื่องจากนึกดูถูกเหยียดหยามโจวเหว่ยชิงอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นประกายแสงที่เปล่งออกมาจากไพฑูรย์ตาแมวสองสีของอีกฝ่าย ความทะนงของเขาก็พลันหดหายไปในทันที

“ไพฑูรย์ตาแมว!!?” ทันใดนั้นลมหายใจของชายแก่ร่างท้วมก็กระชั้นขึ้นทันที “ทำไมเจ้าไม่บอกว่าเจ้าครอบครอง 1 ใน 4 มณีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด?! เจ้าไม่รู้หรือว่าจะได้ส่วนลดน่ะ!?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พลันรู้สึกตัวทันที จากนั้นการแสดงออกของเธอเปลี่ยนไป เธอพยายามดึงโจวเหว่ยชิงออกไปอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ถึงแม้จะมีส่วนลด ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของผู้อาวุโสนั้นก็ยังมีราคาแพงเกินไปสำหรับเราอยู่ดี ดังนั้นพวกเราขอตัวก่อน” หลังพูดจบ เธอก็รีบดึงโจวเหว่ยชิงไปยังทางออกทันที หากเทียบการได้ซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แล้ว สิ่งที่เธอกลัวมากกว่าคือการที่ทักษะธาตุของโจวเหว่ยชิงถูกเปิดเผย ครู่ก่อนที่มณีของโจวเหว่ยชิงสว่างจ้าจนพุ่งทะผ่านชุดคลุมของเขาออกมานั้นทำให้เธอตกตะลึงจนต้องรีบขอตัวลาในทันที

“ไม่ ไม่ อย่ารีบร้อนไปเลย!! ข้าจะไม่ขึ้นราคาอีกแล้ว!” ฮูเหยียนเอ้าป๋อก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อขวางทางออกเอาไว้ เขาจ้องมองข้อมือซ้ายของโจวเหว่ยชิงซึ่งถูกปิดด้วยแขนเสื้อด้วยสายตาลึกล้ำ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มีท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมาฉับพลัน “ท่านผู้อาวุโส ท่านเป็นถึงปรมาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ขั้นสูง ท่านคงจะไม่บีบบังคับให้พวกเราทำการซื้อขายกับท่านโดยไม่เต็มใจใช่หรือไหม? ”

ความเย่อหยิ่งบนใบหน้าของฮูเหยียนเอ้าป๋อพลันหายวับไปแทบจะทันที จากนั้นเขาก็กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงยินดี  “แม่นางน้อย อย่าเข้าใจผิดไป! ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงกลัวว่าความลับเกี่ยวกับทักษะธาตุมิติที่ยิ่งใหญ่ของเพื่อนเจ้าจะถูกเปิดเผย แต่ว่าเจ้าสามารถวางใจได้ แม้ว่าข้าฮูเหยียนเอ้าป๋ออาจจะโลภไปบ้าง แต่คุณธรรมของข้าก็ยังคงดีอยู่ นอกจากนี้ ข้าก็มักจะวางตัวเป็นกลาง และไม่ได้ขึ้นตรงกับอาณาจักรใดๆ ฉะนั้นข้าย่อมไม่ทำอันใดให้น้องชายผู้นี้เสียเปรียบแน่”

…………………………………………………………….

“คาราวะท่านอาวุโสฮูเหยียน” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันไปเคารพผู้มาใหม่ มือของเธอก็ผลักโจวเหว่ยชิงให้รีบคำนับชายชราร่างท้วมเพื่อแสดงความเคารพ

ตาขีดเล็กๆ ของชายชรากรอกไปมาขณะที่เขาโบกไม้โบกมือ “ไม่จำเป็นต้องมากความ เข้าเรื่องเถิด เจ้าต้องการม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ใช่หรือไม่? งั้นดูซะ นี่คือแผ่นแสดงรูปลักษณ์ ตอนนี้ข้ามีขายอยู่ทั้งหมด 3 ชิ้น เจ้าอยากได้อันไหนล่ะ?” ในขณะที่กล่าว เขาก็สะบัดแขนทีหนึ่ง จากนั้นกระดาษสามแผ่นก็ปรากฏขึ้นบนโต๊ะทรงสี่เหลี่ยม

โจวเหว่ยชิงขยี้ตาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาดไป ทว่าเขากลับไม่รู้เลยว่ากระดาษสามแผ่นนั้นมาปรากฏอยู่บนโต๊ะตัวนี้ได้อย่างไร

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์บีบมือของโจวเหว่ยชิงแน่น ก่อนจะส่งสายตาอาฆาตปรามเขาว่าห้ามพูดอะไรไร้สาระ และผลักเขาไปที่โต๊ะเหลี่ยมตัวนั้น

โจวเหว่ยชิงที่เพิ่งถูกผลักโดยมืออ่อนนุ่มคู่นั้นรู้สึกสุขใจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามเขาก็ยังค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ดังนั้นเขาจึงพยายามจะไม่พูดอะไรไร้สาระและตามเธอไปที่โต๊ะโดยดี

กระดาษ 3 แผ่นนั้นแท้จริงแล้วคือรูปวาด 3 รูป แต่ละรูปบ่งบอกอาวุธแต่ละชนิดที่แตกต่างกัน สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจของโจวเหว่ยชิงคือภาพซ้ายสุดซึ่งเป็นภาพของโล่กลม พื้นผิวของโล่นั้นมีลวดลายคล้ายกับกระดองเต่า ส่วนตรงกลางเว้าลงไปเป็นวงกลมเล็กๆ แม้ว่านั่นจะเป็นเพียงรูปวาด แต่ทว่าโล่นั้นก็ดูสง่างามและแข็งแกร่งมาก  สำหรับคนที่ขี้ขลาดและกลัวตายเช่นโจวเหว่ยชิง แน่นอนว่าเจ้าสิ่งนี้ย่อมดึงดูดความสนใจเขามากที่สุด  ข้างๆ รูปนั้นยังมีตัวอักษรเขียนกำกับไว้แถวเดียวว่า

โล่ซวนอู่ เฉพาะจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุจำเพาะเกี่ยวกับความแข็งแกร่ง ความทนทาน หรือความอึดของร่างกายเท่านั้น สามารถเพิ่มระดับมณีธาตุได้

โจวเหว่ยชิงนั้นพอจะเข้าใจประโยคด้านหน้าๆ อยู่บ้าง แต่ประโยคหลังเกี่ยวกับการเพิ่มพลังมณีนั้นเขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้น โล่นี้ยังจำกัดการใช้เฉพาะกับจ้าวมณีสวรรค์เท่านั้น นั่นทำให้เขาสับสนเป็นอย่างมาก

ภาพด้านขวานั้นเป็นรองเท้าคู่หนึ่ง แม้ว่ามันจะมีรูปลักษณ์ค่อนข้างเรียบๆ แต่จริงๆ แล้วมันกลับให้ความรู้สึกเบาสบายและมีชีวิตชีวา ที่บริเวณส่วนข้อเท้ายังมีรอยเว้าเล็กๆ อีกหนึ่งจุด คำอธิบายของมันคือ:

รองเท้าวายุประสาน เฉพาะจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุจำเพาะเกี่ยวกับความว่องไว สามารถเพิ่มระดับมณีธาตุได้

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จ้องมองภาพนี้อยู่ซักพัก ก่อนจะหันไปหาภาพกลาง เป็นจังหวะเดียวกันกับโจวเหว่ยชิงที่หันไปมองภาพกลางด้วยพอดี

รูปนั้นเป็นรูปของธนูยาวคันหนึ่ง รูปลักษณ์ภายนอกดูเรียบง่าย และธรรมดาอย่างถึงที่สุด ตัวคันธนูแทบจะไม่มีความโค้งใดๆ อีกทั้งยังไม่มีสายธนูอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีรอยเว้าเล็กๆ เหมือนอาวุธชิ้นอื่นๆ ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่จับ ธนูทั้งคันประกอบไปด้วยลวดลายสายหนึ่งลากยาวตั้งแต่ส่วนหัวจรดท้าย ให้ความรู้สึกกดดันราวกับลางร้ายกำลังมาเยือน เสมือนรอยเลือดที่ปรากฏอยู่บนคมมีดเล่มหนึ่ง

คำอธิบาย ธนูราชัน เฉพาะจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุจำเพาะเกี่ยวกับความแข็งแกร่ง สามารถเพิ่มระดับมณีธาตุได้ *ลดราคา 1 ใน 10 ส่วน สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุด

โจวเหว่ยชิงจ้องมองธนูราชันนั้นสักพักก่อนจะวกสายตากลับไปที่โล่ซวนอู่อีกครั้ง ยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกชอบโล่นี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในใจของเขานั้นคิดว่า หากโล่นั้นใหญ่พอ เขาก็สามารถใช้มันเพื่อให้ตนรอดพ้นจากลูกธนูในสนามรบได้

“ผู้อาวุโสฮูเหยียน ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของธนูราชันนี้ราคาเท่าไหร่หรอเจ้าค่ะ?” หลังจากลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดสายตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็แน่วแน่

ชายชราร่างท้วมจ้องมองเธอก่อนจะพูดว่า “แม่นางน้อย ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้ามีทักษะธาตุเกี่ยวกับความว่องไวไม่ใช่หรือ เจ้าควรจะรู้กฏของข้าดีนะ เจ้าไม่สามารถซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ธนูราชันได้”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าก่อนจะกล่าว “แน่นอนว่าข้าย่อมรู้กฏของท่านผู้อาวุโส แต่ข้าจะซื้อสิ่งนี้ให้กับเพื่อนของข้าคนนี้ เขามีมณีธาตุที่มีทักษะเกี่ยวกับความแข็งแกร่ง”

ชายแก่ร่างท้วมจึงเอ่ยปากอย่างเยือกเย็น “200,000 เหรียญทอง”

ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนสีชั่วพริบตา คิ้วเรียวบางของเธอขมวดขึ้นขณะที่กำลังกรุ่นคิดอย่างหนักหน่วง โจวเว่ยชิงรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที ใบหน้าของเขาดูตกใจเป็นอย่างมาก แม้เขาจะคาดเดาไว้ว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์จะต้องมีราคาแพง แต่ราคานี้ก็ออกจะเหนือความคาดหมายของเขาไปเสียหน่อย ตั้ง 200,000 เหรียญทองเชียวแน่ะ! ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเพียงแค่ศาสตรามณียุทธ์ชิ้นแรกของเขาอีกด้วย! หากเขาต้องซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แบบนี้อีก 12 ใบเพื่อให้พอดีกับจำนวนมณียุทธ์ทั้งหมด 12 ดวง เขาจะต้องใช้เงินทั้งหมดเท่าสักไหร่กัน!?

ดวงตาของเด็กหนุ่มกรอกไปมาอย่างใช้ความคิด จากนั้นโจวเหว่ยชิงก็คิดบางสิ่งได้ เขาถามด้วยใบหน้าซื่อๆ “ท่านอาวุโส งั้นโล่ซวนอู่นี้ราคาเท่าไหร่หรือขอรับ?”

“120,000 เหรียญทอง”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันกลับไปจ้องเขาด้วยสายตาเยียบเย็น “ไม่ เจ้าห้ามเลือกโล่นั่น ธนูราชันนี้เหมาะสมกับเจ้ามากกว่า”

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยสีหน้าอับจนหนทาง “ผู้บัญชาการกองพัน ข้าคิดว่ารองเท้าวายุประสานนั่นเหมาะกับท่านมากกว่า! เอาแบบนี้ดีหรือไม่ คราวนี้ท่านซื้อคัมภีร์ของท่านก่อน ส่วนข้านั้นยังไม่รีบร้อนเท่าไหร่” ทว่าในใจของเขามีแผนลับบางอย่าง เด็กหนุ่มวางแผนจะกลับไปขอเงินจากบิดาของตนแล้วแอบกลับมาที่นี่อย่างลับๆ เพื่อซื้อเกราะซวนอู่ภายหลัง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวก่อนจะกล่าว “ข้ามีศาสตรามณียุทธ์ชิ้นแรกแล้ว แค่นั้นก็เพียงพอที่จะป้องกันตนเองได้ แต่เจ้ากลับตรงกันข้าม เจ้าไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ผู้อาวุโสฮูเหยียน ตอนนี้ข้ามีแค่ 150,000 เหรียญทอง ข้าจะขอมอบเงินส่วนนี้ให้ท่านก่อน จากนั้นข้าจะกลับไปเอาอีก 50,000 เหรียญทองมาให้ท่าน ดังนั้นตอนนี้ท่านช่วยเก็บม้วนคัมภีร์ของธนูราชันนี้ไว้สักสองสามวันก่อนได้หรือไม่? ได้โปรดเถิด”

เมื่อฟังคำพูดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็ตกอยู่ในความเงียบ เมื่อมองเธอ ใบหน้าพลันเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ จริงๆ แล้วเขาเพียงแค่หยอกล้อให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซื้อม้วนคัมภีร์ให้เท่านั้น ภายในใจย่อมรู้ดีว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นเป็นคนมัธยัสถ์แค่ไหน ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงคิดว่าเธอต้องไม่ยอมควักเงินซื้อของแพงๆ ให้คนอื่นอย่างแน่นอน คาดไม่ถึงว่าเธอถึงกับตัดสินใจจะซื้อม้วนคัมภีร์ธนูราชันอย่างแน่วแน่ ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ได้ซื้อให้กับตนเองเสียด้วย เธอซื้อคัมภีร์แสนแพงนี้ให้กับเขา!

จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกดวงตาแสบร้อนทั้งสองข้าง และสายตาที่จ้องมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อนั้นถูกเขากำจนแน่น

ชายชราร่างท้วมส่งเสียงหึในลำคอ “จองงั้นรึ? เจ้าไม่รู้กฏของข้าหรืออย่างไร? วันนี้เจ้าถือว่ามีโชคมากที่ได้พบข้าพร้อมม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ถึง 3 แผ่น  ในปีนี้ข้าสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มาแค่ 3 ชิ้นเท่านั้น และภายใน 3 วันนี้ก็คงขายหมดแล้ว ทำไมข้าต้องเก็บไว้ให้เจ้าด้วย? หากไม่มีเงิน พวกเจ้าก็ออกไปได้แล้ว” หลังจากพูดจบเขาก็หันหลับเตรียมตัวจากไป คำพูดของเขานั้นแสนเย็นชาและเย่อหยิ่งอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งนั้น

ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความกังวล เธออ้อนวอน “ท่านผู้อาวุโส ท่านช่วยเมตตาผ่อนปรนกฏสักหน่อยได้หรือไม่?  ข้าจะทิ้งธนูอุษาม่วงไว้เป็นประกันที่นี่ด้วย ข้าจะกลับมาที่นี่ให้เร็วที่สุดแน่นอน”

ชายชรากล่าวอย่างเหลืออด “พูดไปก็ไร้ประโยชน์ กลับไปเถิด”

จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็ก้าวไปดักหน้าชายชราร่างท้วมเอาไว้ ในเวลาเดียวกันเขาก็พูดอย่างจริงใจ “ท่านอาวุโส ช่วยผ่อนปรนให้พวกเราด้วยเถิด พวกเราเดินทางมาไกลมากเพื่อมาพบท่าน ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของท่านนั้นยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว ได้โปรดให้โอกาสพวกเราด้วยเถิด”

ชายชรายังคงส่งเสียงหึในลำคอ “ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ธนูราชัน ตอนนี้ขึ้นราคาเป็น 300,000 เหรียญทองแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเจ้ายอมแพ้ซะเถอะ ไสหัวออกไปซะ!”

โจวเหว่ยชิงตกตะลึงชั่วขณะ ชายชราผู้นี้จะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว! จู่ๆ ก็ขึ้นราคาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยตั้ง 100,000 เหรียญทอง! ทันใดนั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็เริ่มคุกกรุ่นไปด้วยอารมณ์โกรธ “ท่านต้องโหดร้ายกับพวกข้าถึงขนาดนี้เลยหรือ? หากท่านให้โอกาสกับผู้อื่นหนึ่งครั้ง ภายภาคหน้าย่อมได้กลับคืนร้อยเท่าพันเท่า!”

อาวุโสฮูเหยียนยังคงยืนกรานด้วยใบหน้าเย็นชา “งั้นตอนนี้ 400,000 เหรียญทองแล้ว”

……………………………………………………………….

หลังจากผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ประตูห้องน้ำก็เปิดออก จากนั้นโจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าเชือกของเขาคลายลงเนื่องจากมีใครบางคนแก้มัดให้ เมื่อมองขึ้นไปเด็กหนุ่มก็ต้องตกตะลึงทันที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าของโจวเหว่ยชิง ปล่อยเส้นผมสีฟ้าเปียกๆ ของเธอลู่ลงกับไหล่บอบบาง เธอสวมเสื้อคลุมจ้าวมณีสวรรค์ที่มีขนาดใหญ่โคร่ง และเพราะเธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ใบหน้าที่งดงามของเธอก็กลายเป็นแดงเปล่งปลั่งราวกับแอปเปิ้ลสุก ทั่วทั้งร่างยังส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ เสน่ห์ของของเธอทำให้โจวเหว่ยชิงถึงกับตกตะลึงตัวแข็งทื่อ

“เจ้ามารน้อย ไปอาบน้ำซะ” ทันใดนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หน้าซับสีเลือดขึ้นก่อนจะรีบหันไปอีกด้านทันที เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นเป็นเพราะเธอไปบังเอิญเห็น ‘บางส่วน’ ของอ้วนน้อยโจวผงาดขึ้นมาใต้ร่มผ้าน่ะสิ! ก่อนหน้านี้เจ้าคนไร้ยางอายอย่างโจวเหว่ยชิงนั้นกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันบางอย่าง ดังนั้นส่วน ‘นั้น’ ของร่างกายของเขาจึง เอ่อ…มีปฏิกิริยา…

โจวเหว่ยชิงไม่มีทางอาบน้ำได้เร็วกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์แน่นอน ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มักจะได้ชำระล้างร่างกายของเธอบางส่วนที่แม่น้ำขณะที่เขาต้องออกไปตามล่าหาของกิน ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงไม่มีเวลาทำความสะอาดร่างกายตัวเองเลย และตัวเขาก็สกปรกมอมแมมมากอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดก็ได้อาบน้ำเสียที! ด้วยเหตุนี้โจวเหว่ยชิงจึงไม่รีบร้อนอาบน้ำ เขาค่อยๆ ขัดตัวไปพลางหย่อนอารมณ์ไปพลางด้วยความรื่นรมณ์…

เมื่อโจวเหว่ยชิงออกมาจากห้องน้ำ เขาก็พบว่าเบื้องหน้าของตนมีผ้าห่มถูกทิ้งลงมาจากเตียง และกำลังนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ตระหนักได้ว่า นั่นคงจะเป็นที่นอนของเขาในคืนนี้เป็นแน่

เมื่อรุ่งสางซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหันไปมองโจวเหว่ยชิงอีกครั้งหลังจากที่เขาออกมาจากห้องน้ำ สำหรับเธอ แม้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะไม่ได้หล่อเหลาหมดจดขนาดนั้น แต่เขาก็ยังถือว่ามีหน้าตาน่ามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนาดร่างกายที่สูงใหญ่ของอีกฝ่าย หลังจากที่ร่างกายของเขาดูดซับพลังจากไข่มุกรัตติกาล ความสูงของโจวเหว่ยชิงก็เพิ่มขึ้นพรวดพราดเป็น 1.75 เมตร หากมองจากตาเปล่าไม่ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าเขาอายุน้อยกว่า 14 ปี และตอนนี้เด็กหนุ่มก็ได้เปลี่ยนไปสวมชุดคลุมจ้าวมณีสวรรค์แล้ว นั่นจึงทำให้เขาดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“ไปกันเถอะ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่อยากให้โจวเหว่ยชิงสังเกตเห็นท่าทางเขินอายของเธอ ดังนั้นจึงเร่งให้เขาออกเดินทางทันที ทั้งคู่สวมเสื้อคลุมบ่งบอกสถานะจ้าวมณีสวรรค์ แม้ไม่อาจบอกได้ว่าพวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน แต่อย่างน้อยเมื่อทั้งสองคนเดินไปด้วยกันก็ไม่ได้ดูขัดตามากนัก

ขณะที่พวกเขากำลังเดินออกจากโรงเตี๊ยม ดวงตาของเถ้าแก่ก็เกือบจะถลนหลุดออกมาจากเบ้าเมื่อเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมจ้าวมณีสวรรค์ของคนทั้งคู่ ชายชราไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันหนึ่งจะมีจ้าวมณีสวรรค์ถึงสองคนมาพักที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ ของตนเช่นนี้

โจวเหว่ยชิงรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเมื่อพวกเขาเดินไปตามถนนในเมืองภูเขาลอยฟ้าอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าผู้ที่สัญจรไปมาบนท้องถนนนั้นมองมาที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และเขาด้วยความเคารพอยู่หลายส่วน ซึ่งนี่ย่อมเป็นการแสดง ออกของผู้คนทั่วไปต่อจ้าวมณีสวรรค์ แม้แต่ในอาณาจักรเฟยหลี่ที่เป็นอาณาจักรที่น่าเกรงขาม สถานะของจ้าวมณีสวรรค์ก็ยังคงสูงส่งอย่างไม่มีใครเทียบได้

“ผู้บัญชาการกองพัน พวกเราเดินช้าลงหน่อยได้หรือไม่?” หลังจากได้อาบน้ำอย่างเพลิดเพลินเป็นเวลานาน โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่าร่างกายทั้งหมดของเขานั้นกำลังรู้สึกผ่อนคลาย แต่ทันทีที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกมาจากโรงเตี๊ยมได้ เธอก็ออกเดินอย่างเร่งรีบจนเขาตามแทบไม่ทัน

หลังจากนั้นไม่นาน โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกประหลาดใจที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พาเขากลับไปที่วังกักเก็บทักษะอีกครั้ง แต่แทนที่จะเข้าไปข้างใน เธอกลับเดินไปยังหมู่บ้านที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ตรงข้ามกับวังกักเก็บทักษะแทน หมู่บ้านนี้ประกอบด้วยเรือนชั้นเดียวหลายๆ หลังที่ไม่ได้มีลักษณะโดดเด่นอะไรนัก แต่ละหลังมีลานด้านหน้าแปลงเล็กๆ และล้อมไว้ด้วยรั้วสูง และเมื่อเปรียบเทียบกับลักษณะของปราสาทที่วิจิตรบรรจงของวังกักเก็บทักษะแล้ว บ้านเรือนพวกนี้จึงดูเรียบง่ายและธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้มากขึ้น โจวเหว่ยชิงก็ค้นพบว่าบริเวณแถบนี้ไม่ได้เงียบสงบอย่างที่เขาคาดคิดเนื่องจากมีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังสัญจรไปมาอยู่ด้วย และตรงกลางระหว่างรั้วบ้านเรือนเหล่านั้นก็ประกอบไปด้วยทางเดินกว้างประมาณ 2 เมตรทอดยาวลึกเข้าไปข้างใน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินไปตามทางเดินนั้นอย่างเคยชิน และเมื่อพวกเขาเดินขนาบข้างกัน เธอก็กล่าวกับโจวเหว่ยชิง “หากเราไม่สวมชุดคลุมจ้าวมณีสวรรค์ เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ก็อาจจะถูกจู่โจมโดยจ้าวมณีที่คอยดูแลสถานที่นี้อยู่ อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์แต่ละคนก็จะอาศัยอยู่ในเรือนพวกนี้ และพวกเขาทั้งหมดก็เป็นผู้อาวุโสที่มีเกียรติมาก ดังนั้นหลังจากนี้เจ้าต้องระมัดระวังคำพูดคำจาให้ดี เพราะในสถานที่แบบนี้ข้าไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยให้เจ้าได้ ไม่ว่าอาณาจักรใดก็ตาม สถานะของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์นั้นสูงส่งมาก พวกเขามีจำนวนน้อยกว่าพวกจ้าวมณีสวรรค์เสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาส่วนใหญ่ยังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุมิติ”

“อืม” โจวเหว่ยชิงพยักหน้าตกลง ลอบคิดว่าในครั้งนี้เขาจะไม่พูดจาไร้สาระอีก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นำเขาไปยังเรือนเล็กๆ ข้างในสุด และหยุดอยู่หน้าประตูทางเข้า เธอเคาะประตูเบาๆ “ท่านอาวุโสฮูเหยียนอยู่หรือไม่?”

ไม่นานประตูก็เปิดออก ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากข้างใน เขาสูงมาก อาจจะประมาณ 2 เมตรได้เลยทีเดียว แต่ทว่ากลับไม่ได้รูปร่างกำยำ ออกจะเพรียวบางเสียด้วยซ้ำ อายุน่าจะประมาณ 40 ปี ดวงหน้าให้ความรู้สึกนุ่มนวลคล้ายกับดวงจันทร์ และยังสวมชุดผ้าฝ้ายสีเทาเรียบง่าย สรุปแล้วเขาดูธรรมดามาก ยกเว้นก็แต่ใบหน้าที่ออกจะเย็นชาเกินไปหน่อย

สิ่งแรกที่โจวเหว่ยชิงสังเกตเห็นก็คือมือของเขา มือทั้งสองข้างมีขนาดใหญ่มาก แต่ก็เรียวบางเหมือนกับรูปร่างของอีกฝ่าย นิ้วทั้งสิบของชายหนุ่มนั้นกระจ่างใสเหมือนหยก มองดูราวกับว่ามือของเขาเป็นแกนกลางที่สำคัญที่สุดของร่างกายเลยทีเดียว

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็นชายวัยกลางคนเธอก็คำนับทักทายทันที จากนั้นก็กล่าวอย่างเคารพว่า “คำนับท่านอาวุโสเฟิง ท่านอาจารย์ฮูเหยียนอยู่หรือไม่?”

เมื่อชายวัยกลางคนเห็นหญิงสาว เขาก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง “โอ้ แม่นางน้อย! เหตุใดเจ้าถึงเลื่อนขั้นได้รวดเร็วเช่นนี้? ตอนนี้ท่านฮูเหยียนอยู่ข้างใน แต่เจ้าก็รู้ว่าเขาตระหนี่ถี่เหนียวแค่ไหน มีหรือเขาช่วยหากเจ้ามามือเปล่า ฉะนั้น วันนี้เจ้าเตรียมเงินมามากพอหรือไม่?”

เมื่อได้ยินคำสาธยายจากชายวัยกลางคน โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา เขาพูดกับเธอด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ผู้บัญชาการกองพัน นี่ท่านติดนิสัยขี้เหนียวมาจากผู้อาวุโสฮูเหยียนใช่หรือไม่?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันกลับมาพูดกับเขาอย่างโกรธๆ “เงียบซะ! คาราวะท่านอาวุโสเฟิงเร็วเข้า!”

โจวเหว่ยชิงคำนับชายวัยกลางคนคนนั้น “คาราวะท่านผู้อาวุโส ข้ามีนามว่าอ้วนน้อยโจวขอรับ”

ชายวัยกลางคนผงกหัวแล้วพูดว่า “เข้ามาสิ” ขณะที่กล่าว เขาก็เดินนำเข้าไปข้างในแล้ว

พวกเขาตามเข้าไปในลานที่อยู่ทางด้านหลังกำแพง ข้างในนั้นราวกับเป็นโลกอีกใบที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับข้างนอก พวกเขาเดินตามเส้นทางเล็กๆ ที่ปูด้วยกรวดนำไปสู่เรือนหลังใหญ่ด้านหลัง ลานหน้าเรือนนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้และพืชนานาชนิด แม้ว่าจะไม่ได้มีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเย็นเลย แต่สถานที่แห่งนี้ก็มีบรรยากาศงดงามราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิที่มีอากาศบริสุทธิ์ และกลิ่นหอมของดอกไม้ก็ยังอบอวลพาให้ชื่นใจ

พวกเขาเดินตามอาวุโสเฟิงไป ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องๆ หนึ่งซึ่งตั้งอยู่บริเวณกลางเรือน พอเข้ามาถึง ชายวัยกลางคนก็กระโกนเรียกเสียงดัง “ตาแก่ฮูเหยียน! แขกมาถึงแล้ว”

ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างหรูหรา ด้านในสุดยังมีภาพเขียนอันวิจิตรงดงามตั้งอยู่ ส่วนด้านหน้ามีโต๊ะสี่เหลี่ยมและเก้าอี้ไม้สีดำขนาดใหญ่ที่หมุนได้ ห้องทั้งห้องให้ความรู้สึกทึมทื่อ ปราศจากของตกแต่งที่ทำให้แขกรู้สึกหย่อนใจ

ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะมีโอกาสได้สำรวจห้องเพิ่ม เขาก็สังเกตเห็นก้อนกลมๆ ก้อนหนึ่งกำลังเดินนวยนาดจากห้องด้านข้างเข้ามาภายในห้องนี้ เมื่อเขาเพ่งสายตาดูก็พบว่ามันเป็นชายชราคนหนึ่ง

ชายคนนี้อายุราว 60 ถึง 70 ปี หนวดเคราของเขากลายเป็นสีขาวโพลนเกือบหมดแล้ว แต่ทว่าก็ยังมองดูสุขภาพดี ใบหน้าดูอิ่มเอิบ ผิวหน้าของเขาแทบไม่มีริ้วรอยเนื่องจากมันเต่งตึงไปด้วยไขมัน ยิ่งไปว่านั้น ดวงตาก็ถูกไขมันนั่นเบียดเสียจนเห็นเพียงแค่ขีด 2 ขีด อย่างไรก็ตาม นัยน์ตานั้นกลับยังดูเปล่งประกายมีชีวิตชีวาดั่งผู้ปัญญา เขาแต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายสีเทาเรียบง่ายคล้ายๆ กับผู้อาวุโสเฟิง สิ่งที่แตกต่างคือแขนเสื้อของเขานั้นยาวเป็นพิเศษจนคลุมมิดทั้งสองมือ ลักษณะที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็นสัดส่วนรูปร่างของเขา เนื่องจากอีกฝ่ายมีรูปร่างอ้วนกลมจนดูเหมือนแตงโมลูกย่อมๆลูกหนึ่งเลยทีเดียว…

…………………………………………………………….

โจวเหว่ยชิงพูดตอบด้วยใบหน้าน่าสงสาร “ข้าผิดไปแล้ว…ข้าไม่ได้ตั้งใจเลยจริงๆ ข้าแค่เผลอไปหน่อยเท่านั้นเอง…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงหึในลำคอ “หลังจากที่เจ้าลงทะเบียนกับวังกักเก็บทักษะและรับป้ายของวังเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เจ้าก็สามารถดำเนินการซื้อทักษะกักเก็บธาตุในวังได้แล้ว อันที่จริงจ้าวมณีธาตุและจ้าวมณียุทธ์ธรรมดาสามารถลงทะเบียนรับป้ายทองได้เช่นกัน แต่พวกเขาจะไม่ได้รับเสื้อคลุมที่บ่งบอกว่าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ จำไว้ว่าเมื่อเจ้าซื้อทักษะกักเก็บธาตุที่นี่ เจ้าจะได้ส่วนลด 1 ใน 10 ส่วน และมณีที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ดวงยังสามารถนำไปลดได้เพิ่มอีก 1 ใน 10 ส่วน ดังนั้นหากคราวหน้าเจ้ามีโอกาสมาที่นี่อีกครั้งเพื่อซื้อทักษะกักเก็บธาตุ เจ้าต้องจำไว้ว่าให้รายงานการเลื่อนขั้นก่อนเพื่อให้ได้ส่วนลด”

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “งั้นก็หมายความว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 9 ดวงก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเลยหรือ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้า “ข้าไม่เคยได้ยินเหมือนกัน แต่ลือกันว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีเกิน 6 ดวงนั้นไม่ค่อยมาที่วังกักเก็บทักษะกันแล้ว ส่วนเหตุผลนั้นก็คงต้องรอให้พวกเราไปถึงระดับนั้นก่อนถึงจะรู้”

“ผู้บัญชาการกองพัน ข้าขอถามหน่อยว่าทักษะกักเก็บธาตุนี่ต้องใช้เงินซื้อประมาณเท่าไหร่หรือ?” หัวใจของโจวเหว่ยชิงรู้สึกคันยิบ ทั้งๆ ที่มีวิธีที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งได้วางอยู่ต่อหน้าเขาแต่กลับไม่สามารถจะซื้อมันได้เพราะไม่มีเงิน  เนื่องจากบิดาของโจวเหว่ยชิงเป็นคนซื่อตรงจึงไม่ได้มีเงินทองมากมาย  แต่อย่างไรก็ตาม พ่อทูนหัวของเขาก็เป็นถึงผู้ปกครองอาณาจักรเชียวนะ และตอนนี้ตัวเขาเองก็กลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว ในอนาคตเมื่อกลับไปที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ โจวเหว่ยชิงจึงคิดว่าจะต้องขอเงินพวกเขาสักหน่อย…

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าว “ทดลองผนึกทักษะธาตุหนึ่งครั้งต้องจ่ายประมาณ 500 เหรียญทอง”

โจวเหว่ยชิงกระพริบตาด้วยความงุนงง “500 เหรียญทอง นั่นก็ไม่ได้แพงมากนี่นา!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงมองเขากลับด้วยสายตาเยือกเย็น “แต่อัตราความสำเร็จมีเพียง 1 ใน 100 ส่วน…หากเจ้าโชคไม่ดี แม้ลองร้อยครั้งก็ยังไม่สำเร็จเลยก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือเวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ในแต่ละวัน จ้าวมณีคนหนึ่งสามารถลองผนึกทักษะธาตุได้วันละ 1 ครั้งเท่านั้น และราคาที่ข้าบอกไปนั่นเป็นเพียงแค่ราคาปกติสำหรับสัตว์อสูรสวรรค์ระดับธรรมดา หากเป็นอสูรสวรรค์ระดับปรมะหรือระดับเทวะขั้นสูง ราคาของมันย่อมมหาศาล อย่างไรก็ตาม อัตราความสำเร็จในการผนึกทักษะธาตุของสัตว์อสูรระดับสูงก็จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และทักษะที่จะได้รับนั้นก็ย่อมดีมากกว่าเช่นกัน”

โจวเหว่ยชิงพูดไม่ออก เขารู้แค่เพียงรายได้จากการเก็บภาษีของเมืองหลวงอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นเก็บได้เพียง 500,000 เหรียญทองต่อปีเท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่าอาณาจักรของพวกเขาไม่มีกำลังพอจะสนับสนุนจ้าวมณีสวรรค์หลายๆ คนได้

“เพราะฉะนั้น พวกสัตว์อสูรสวรรค์ก็มีระดับคล้ายๆ กับพวกเราสินะ เอาล่ะ งั้นตอนนี้เราอย่าเพิ่งไปคิดเกี่ยวกับทักษะกักเก็บธาตุเลย พวกเราไปหาอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่ท่านพูดถึงกันเถอะ” นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงรู้ซึ้งถึงความสำคัญของเงินทอง หนทางการฝึกตนของจ้าวมณีสวรรค์นั้นยากเข็ญกว่าที่เขาคิดไว้หลายขุมเลยทีเดียว…

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าก่อนจะพูด “ตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วสินะว่าทำไมข้าถึงให้ความสำคัญกับการเก็บเงิน ความจริงแล้ว ถึงแม้อาณาจักรของเรามีจ้าวมณีสวรรค์จำนวนมาก อาณาจักรของพวกเราก็ไม่มีเงินเพียงพอจะสนับสนุนทุกคนได้หรอก เพราะท้ายที่สุดแล้ว อาณาจักรของพวกเรานั้นเล็กจ้อยมากเมื่อเทียบกับอาณาจักรใหญ่ๆอย่างอาณาจักรเฟยหลี่และอาณาจักรป่ายต้า หากเราไม่มีวังกักเก็บทักษะของตนเอง ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะรวบรวมจ้าวมณีสวรรค์เพื่อสร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้”

“ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ พออาบน้ำทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนชุดแล้ว เราจะไปหาอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ผู้เก่งกาจมากผู้หนึ่ง” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดหลังจากกรุ่นคิดสักพัก

“นี่ข้าหูฝาดไปหรือ? คนขี้เหนียวอย่างท่านถามหาโรงเตี๊ยมที่ต้องเสียเงิน!?” โจวเหว่ยชิงกล่าวพร้อมกับมองไปที่เธอด้วยความประหลาดใจ

ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลายเป็นสีแดง  “เจ้าอยากตายนักใช่ไหม? ยังอยากจะมีชีวิตอยู่หรือไม่!?”

“อยู่ !!!! แน่นอนว่าข้าอยู่!!! ”

สิบห้านาทีผ่านไป ทั้งสองคนก็ยืนอยู่ในห้องโถงของโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง โรงแรมนี้เล็กจริงๆ และมีชั้นเดียวเท่านั้น นอกเหนือจากความสะอาดแล้วโจวเหว่ยชิงก็ไม่สามารถหาข้อดีอื่นๆ ได้

“เถ้าแก่ ข้าขอห้องพักหนึ่งห้อง” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวกับเจ้าของโรงเตี๊ยมอายุ 50 ปีคนหนึ่งที่ยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน

เถ้าแก่คนนั้นมองมาที่พวกเขาสองคนพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ จากนั้นยื่นถุงกุญแจที่ปักลวดลายให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขากล่าว “เชิญที่ห้อง 1 พัก 2 วัน ทั้งหมด 1 เหรียญเงิน  อะแฮ่ม… พวกเจ้ายังเยาว์วัยนัก ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจเสียบ้างนะ…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รับถุงกุญแจมา เธอหันหลังกลับอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะหันหน้าเดินหนีไป แต่โจวเหว่ยชิงกลับรีบถลาเข้าไปหาเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก่อนจะแอ่นอกอวดกล้ามเนื้อของเขา “เถ้าแก่! สายตาท่านช่างเฉียบคมยิ่งนัก! ดูสิ ข้ายังหนุ่มแน่นสุขภาพดีขนาดนี้ เหตุใดจะต้องยับยั้งชั่งใจด้วยเล่า?”

“อ้วนน้อยโจว!!”

“ไปแล้วขอรับๆๆๆๆๆ!” โจวเหว่ยชิงรีบตอบกลับอย่างรวดเร็วก่อนจะวิ่งตามเธอไป

ขณะเดินตามซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาก็ถามขึ้นด้วยใบหน้าเศร้าๆ “ผู้บัญชาการกองพัน ในที่สุดเราก็มาถึงที่นี่สักที แต่ว่านะ ท่านจองห้องแค่ห้องเดียวแบบนี้ ท่านคงจะไม่ให้ข้าออกไปนอนข้างถนนเพื่อประหยัดเงินใช่ไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตวัดสายตามองเขา “ข้ากับเจ้าจะนอนข้างในห้องเดียวกันนี้แหละ”

โจวเหว่ยชิงตกตะลึงทันที เขามึนงงจนตาพร่า อ้าปากค้างจนน้ำลายไหลออกมา จากนั้นก็บ่นพึมพำกับตัวเอง “นี่…นี่…ทำไมความสุขถึงมาเร็วขนาดนี้นักล่ะ ผู้บัญชาการกองพัน ความสัมพันธ์ของพวกเราก้าวหน้าลัดขั้นตอนเกินไปหรือเปล่า?”

“อ้วนน้อยโจว ข้าอดทนกับเจ้ามานานเกินไปแล้ว!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ข่มขู่เสียงต่ำ นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงรีบหุบปากลงทันที เนื่องจากเขารู้ว่าเสือโคร่งตัวเมียมักจะแผดเสียงเช่นนี้ก่อนจะโจมตีเสมอ

ห้องพักไม่ได้มีขนาดใหญ่มากแต่อย่างน้อยมันก็สะอาดสะอ้าน อีกทั้งจริงๆแล้วมันยังมีห้องน้ำแยกสำหรับอาบน้ำและขับถ่ายอีกด้วย ในนั้นยังมีอุปกรณ์ทุกอย่างครบครันเช่นกัน

ในห้องมีเพียงเตียงเดียวและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็วางกระเป๋าสัมภาระของเธอไว้บนนั้นก่อนจะนั่งลงบนเตียง ขณะนี้ใบหน้าที่งดงามของเธอดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก และโจวเหว่ยชิงมองดูด้วยความปวดใจ

“อ้วนน้อยโจว มานี่” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์บอกโจวเหว่ยชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ

“อา…” เนื่องจากทำให้เธอโกรธไปก่อนหน้านี้ ครั้งนี้โจวเหว่ยชิงจึงเดินไปหาเธอด้วยสีหน้านอบน้อม ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความจริงใจเป็นอย่างมาก

ก่อนที่เขาจะได้หยุดเคลื่อนไหว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ขยับตัวอย่างฉับพลัน ความเร็วของเธอถูกเร่งไปที่ขีดจำกัดสูงสุด ในตอนนั้นโจวเหว่ยชิงมั่นใจว่าเธอใช้ทั้งมณียุทธ์ และมณีธาตุของเธอพร้อมๆ กัน เขาทันเห็นเพียงแค่แสงวูบผ่านเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่ง จากนั้นมือทั้งสองข้างของเขาก็ถูกรวบไปไพล่ไว้ข้างหลังและถูกกดลงบนเตียงอย่างแรง

“ผู้บัญชาการกองพัน อย่ารุนแรงเลย!! ข้าจะไม่ต่อต้านเด็ดขาด!!!!” เมื่อสัมผัสได้ถึงมือนุ่มๆ ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หัวใจของโจวเหว่ยชิงก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม ครู่ต่อมาเขาก็ไม่สามารถรักษาสีหน้าลามกได้อีกต่อไป

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นำเชือกจากไหนไม่รู้มามัดมือ และเท้าของโจวเหว่ยชิงเอาไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ดึงเชือกให้กระชับแน่น

“ผู้บัญชาการกองพัน ท่านชอบแบบนี้หรือ!? ท่านคงจะไม่ได้ใช้แส้หรือเทียนไขด้วยใช่ไหม? ข้ากลัวเจ็บนะ!!” แม้แต่ในเวลาเช่นนี้ คนไร้ยางอายอย่างเขาก็ดันพูดโผล่งขึ้นมากลางคัน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ฟาดเขาหนึ่งที ก่อนจะตอบ “หากเจ้าพูดอะไรไร้สาระอีก ข้าจะถอดถุงเท้าเจ้า จากนั้นก็เอาไปยัดปากเจ้าอีกที!”

“ข้าเงียบแล้วๆๆ!!!” ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าโจวเหว่ยชิงแล้วว่าถุงเท้าของเขาสกปรกเพียงใด ถ้าเขาถอดถุงเท้าออกและโยนไปที่ผนัง ด้วยความเหนียวเหนอะหนะ พวกมันอาจจะแปะติดอยู่กับผนังเลยก็เป็นได้…เมื่อจินตนาการว่าถุงเท้านั่นถูกยัดเข้ามาในปากของเขา…โจวเหว่ยชิงรีบหุบปากเงียบทันที

สักครู่ต่อมา ขณะที่ได้ยินเสียงน้ำไหล โจวเหว่ยชิงก็เข้าใจในที่สุดว่าทำไมซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงมัดเขาเอาไว้ ผู้บัญชาการกองพันผู้งดงามของเขากำลังอาบน้ำอยู่นั่นเอง เห็นได้ชัดว่านี่จึงเป็นการป้องกันไม่ให้เขาแอบดู จริงๆ แล้ว การกระทำของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ถูกต้องซะทีเดียว เพราะถึงกับมัดเข้าไว้เช่นนี้ โจวเหว่ยชิงจึงอดไม่ได้ที่จะหลุดลอยเข้าไปในฝันกลางวัน ในนั้นมีภาพที่เต็มไปด้วยความปรารถนาฟุ้งกำจายไปทั่วจิตใจของเด็กหนุ่ม อย่างไรก็ตาม ถึงอย่างไรเขาก็เคยเห็นเธอเปลือยมาก่อนแล้วนี่นา…

…………………………………………………………..

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินนำโจวเหว่ยชิงเข้าไปในปราสาท ขณะที่กำลังเดินนั้นเธอก็กล่าวกับเขา “สำหรับจ้าวมณีทั่วๆ ไปที่ต้องการเข้าร่วมวังกักเก็บทักษะ พวกเขาจำเป็นต้องถูกแนะนำ และรับรองโดยจ้าวมณีสวรรค์คนหนึ่ง แต่ในฐานะที่พวกเราเป็นจ้าวมณีสวรรค์ เราจึงไม่ต้องทำเช่นนั้น จำไว้ว่าหากใครต้องการดูหลักฐานการเป็นจ้าวมณีแห่งสวรรค์ก็ให้เจ้าเปิดเผยมณียุทธ์ของเจ้าเท่านั้น ส่วนมณีธาตุนั้นเป็นความลับของพวกเราจ้าวมณีสวรรค์ที่พวกเราจะไม่แสดงให้ผู้อื่นเห็นง่ายๆ นอกเหนือจากเวลาต่อสู้

โจวเหว่ยชิงมองไปรอบๆ ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ผู้บัญชาการกองพัน อาณาจักรเฟยหลี่นี่ช่างร่ำรวยจริงๆ!! ตอนนี้พวกเราก็อยู่ที่วังกักเก็บทักษะแล้ว ถ้าหากพวกเราไม่ได้มาซื้อทักษะธาตุ แล้วพวกเรามาทำอะไรที่นี่ล่ะ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตอบ “พวกเรามาที่วังนี้เพื่อให้เจ้าเปลี่ยนชุดใหม่  จริงๆ แล้วเป้าหมายของพวกเราในครั้งนี้คือการซื้อศาสตรามณียุทธ์ต่างหาก ทว่าข้าก็มีเงินจำกัด ดังนั้นเราจึงใช้เงินที่นี่มากไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเราจะพบกับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ พวกเราก็ยังต้องพึ่งดวงอยู่ดี เพราะไม่แน่ว่าเราจะมีเงินพอซื้อของที่ต้องการหรือไม่ แต่อย่างน้อยข้าก็หวังว่าพวกเราคงจะได้อะไรสักอย่างติดไม้ติดมือกลับไปในการเดินทางครั้งนี้”

เมื่อเข้ามาภายในวังกักเก็บทักษะ หากเทียบกับความโอ่อ่าภายนอกแล้ว ข้างในนั้นดูจะมีขนาดแคบกว่าเล็กน้อย หลังจากผ่านประตูใหญ่มาแล้ว พวกเขาก็มาถึงห้องโถงซึ่งมีกว้างประมาณ 200 ตารางเมตร และห้องโถงนี้ก็มีประตูทางเข้าที่แตกต่างกันแยกออกไป 9 ทิศทาง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นำโจวเหว่ยชิงไปที่ทางเข้าแรกที่อยู่ฝั่งซ้ายสุด น่าแปลกที่ไม่มีทหารเฝ้าทางเข้าพวกนี้เลย พวกเขาเดินผ่านเข้าไปข้างในได้ประมาณ 30 เมตร ในที่สุดก็เห็นแสงไฟส่องสว่างอยู่ข้างหน้ารำไร เมื่อเข้ามาถึง โจวเหว่ยชิงก็พบกับห้องโถงที่มีขนาดใหญ่กว่าห้องโถงด้านนอกมาก

รอบห้องมีโต๊ะตั้งประจำการอยู่หลายแห่ง และด้านหลังโต๊ะแต่ละตัวก็มีเจ้าหน้าที่ยืนประจำอยู่ พนักงานแต่ละคนดูมีอายุแตกต่างกันไป ทว่าพวกเขาทุกคนล้วนสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวพร้อมกับสัญลักษณ์รูปดาบไขว้สีทองปักอยู่บริเวณหน้าอก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นำโจวเหว่ยชิงไปยังโต๊ะตัวหนึ่ง เจ้าหน้าที่ที่ประจำการอยู่ก็รีบลุกขึ้นยืนต้อนรับพร้อมกับถามคำถามกับพวกเขา “พวกท่านทั้งคู่มาลงทะเบียนใหม่หรือว่ามารายงานการเลื่อนระดับ?”

โจวเหว่ยชิงไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด จึงหันกลับมาขอความช่วยเหลือจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอจึงตอบแทนเด็กหนุ่ม “ข้ามาที่นี่เพื่อรายงานการเลื่อนระดับ ส่วนเขามาที่นี่เพื่อลงทะเบียนใหม่”

พนักงานคนนั้นจึงกล่าวอย่างนอบน้อม “ตกลง โปรดแสดงมณีทางยุทธ์ของท่านให้ข้าตรวจสอบ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งสายตาให้โจวเหว่ยชิงแสดงมณีของเขา จากนั้นเธอก็นำหยกหินมังกรทั้ง 2 ดวงของเธอออกมาอีกครั้ง หลังจากเห็นมณียุทธ์บริสุทธิ์ ใบหน้าของเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ฉายแววให้ความเคารพเพิ่มมากขึ้น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ล้วงป้ายสีทองอันหนึ่งออกมาจากอกของเธอแล้วมอบให้กับเจ้าหน้าที่คนนั้น ด้านหลังของป้ายนั้นมีสัญลักษณ์ดาบไขว้ของอาณาจักรเฟยหลี่สลักอยู่ ส่วนด้านหน้าของมันมีรูปหยกหินมังกรดวงเล็กๆ ล้อมรอบด้วยลวดลายอักขระบางอย่างติดอยู่พร้อมกับหมายเลขบางอย่างเขียนกำกับอยู่ด้านล่างด้วย

หลังจากเจ้าหน้าที่รับป้ายนั้นไปตรวจสอบอยู่สักครู่ เขาก็กล่าวว่า “ยอดเยี่ยม! ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ยินดีด้วย ท่านได้รับการเลื่อนระดับจากจ้าวมณีสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับแรกไปสู่จ้าวมณีสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับกลาง โปรดรอสักครู่ เราจะมอบแผ่นป้ายใหม่กับท่าน เช่นเดียวกับเสื้อคลุมผืนใหม่”

ทางฝั่งโจวเหว่ยชิงนั้นก็มีพนักงานอีกคนมาต้อนรับเขา

“ยินดีต้อนรับสู่การลงทะเบียนใหม่ ณ วังกักเก็บทักษะของเมืองภูเขาลอยฟ้า ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับท่าน จ้าวมณีสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับแรก ต้องการให้ข้าลงทะเบียนให้ท่านเลยหรือไม่?”

พนักงานที่ทำหน้าที่ต้อนรับโจวเหว่ยชิงเป็นหญิงสาวอายุ 20 ปี หน้าตาของเธอดูงดงามกว่าระดับธรรมดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนี้กลับมีรูปร่างโดดเด่นเหนือใคร โดยเฉพาะส่วนหน้าอกซึ่งดึงดูดความสนใจของโจวเหว่ยชิงได้ทันที

“ฮ่าๆ ใช่แล้ว ใช่แน่นอน!” โจวเหว่ยชิงลอบกลืนน้ำลายลงคอและแอบขยิบตาให้เธอ

“รบกวนบอกชื่อของท่านด้วย” เด็กสาวรู้สึกได้ถึงสายตาอันร้อนแรงของโจวเหว่ยชิง เธอจึงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เป็นที่ทราบกันดีว่าในสถานที่แห่งนี้ แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ก็ยังไม่กล้าจะวางก้ามใหญ่โต ยิ่งไปกว่านั้น คนตรงหน้านี้ยังดูเด็กมากอีกด้วย

“อืม…ใหญ่มากจริงๆ…ขนาด 36…” โจวเหว่ยชิงบ่นพึมพำกับตนเอง

พนักงานหญิงเหงื่อแตกทันที เธอรีบยกแขนขึ้นเพื่อปิดบังหน้าอกของตนเอาไว้ ก่อนจะพูดว่า “จ้าวมณีสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับแรก โปรดสำรวมด้วย ไม่อย่างนั้น วังกักเก็บทักษะจำเป็นจะต้องจัดการกับคนที่หยามเกียรติของพวกเรา”

เมื่อหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดบังร่างกายส่วนบน โจวเหว่ยชิงก็พลันมองเห็นมือซ้ายของพนักงานหญิงคนนี้ได้ชัดเจน มณีธาตุของเธอคือไพลิน 2 ดวงซึ่งเป็นมณีธาตุน้ำบ่งบอกว่าคนตรงหน้าเป็นจ้าวมณีธาตุขั้นพื้นฐานระดับกลาง  ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับสถานที่นี้มากนัก แต่เด็กหนุ่มก็เดาได้ว่าจ้าวมณีธาตุที่ทำงานอยู่ที่นี่ย่อมต้องบรรลุทักษะกักเก็บธาตุแล้วแน่ๆ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ แต่หากไม่มีศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บธาตุ เขาจะแข็งแกร่งพอเป็นคู่ต่อสู้ของเธอได้อย่างไร! ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็มีมณีสวรรค์เพียงชุดเดียวด้วย!

“อา! ข้าไม่ได้ตั้งใจนะขอรับ! พอดีข้าเผลอตัวไปนิดหน่อยน่ะ…แฮ่ๆ…พี่สาว…ท่านดูแข็งแกร่งมากเสียจนข้าต้องชมออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ท่านจะโทษข้าไม่ได้หรอกนะ…” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างจริงจัง แต่ทว่าหลังจากที่เขาหลุดพูดคำว่า ‘36’ ออกไปแล้ว หญิงสาวคนนั้นก็โกรธเขาไปเป็นที่เรียบร้อย

โจวเหว่ยชิงรีบหันกลับไปขอความช่วยเหลือจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่อยู่ใกล้ๆ อย่างไรก็ตาม เธอพูดขึ้นมาเบาๆราวกับบ่นกับตัวเองว่า “ข้าไม่รู้จักเขา…”

ตะ…ตอบสนองได้เร็วมาก!! เมื่อโจวเหว่ยชิงเห็นว่าเขากำลังจะเกิดเรื่อง เขาจึงรีบลนลานเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “เอ่อ…ลงทะเบียน…อ้อ…ถึงเวลาต้องลงทะเบียนแล้วใช่ไหม? เอาล่ะๆ…ข้าชื่ออ้วนโจวน้อย เพศชาย มาจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ อายุ 13 ปี จ้าวมณีสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับแรก ชายโสดผู้หล่อเหลาแข็งแรง!” เขาพูดไปพลางพยักหน้าไปพลางราวกับเห็นพ้องกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไปอย่างถึงที่สุด

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ ดังนั้นหญิงสาวจึงพยายามระงับความโกรธก่อนจะกลับไปนั่งที่ของเธอและนำกระดาษลงทะเบียนออกมา แต่ทว่า ทันใดนั้นทั้งเธอและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็จ้องมองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาตกตะลึงไปพร้อมๆ กัน ทั้งคู่ถามด้วยน้ำเสียงแทบจะโทนเดียวกัน “เจ้าอายุ 13 !!??”

โจวเหว่ยชิงเผยสีหน้าใสซื่ออย่างที่เขาทำเป็นประจำ “ใช่ขอรับ! ข้ายังเป็นเด็กวัยแรกรุ่นอยู่เลย แม้ว่าขนตรงนั้นของข้าจะงอกแล้วก็เถอะ ท่านอยากจะดูมั้ยล่ะ? อีกสองเดือนข้าจะอายุ 14 ปีเต็มแล้ว!”

สิ่งที่ทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดไม่ออกที่สุดก็คือ ขณะที่โจวเหว่ยชิงพูดอยู่นั้น เขาก็ยังแสดงสีหน้าใสซื่อและจริงจังเป็นอย่างมาก ขัดกับเธอที่กำลังอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง หญิงสาวไม่คาดคิดจริงๆ ว่าโจวเหว่ยชิงจะอายุเพียงแค่ 13 ปี!! ทันใดนั้น ความเกลียดชังในใจของเธอที่มีต่อเขาก็ลดลงหลายส่วน ท้ายที่สุดแล้วแม้ว่าเขาจะน่ารำคาญในบางครั้ง แต่เธอก็รู้ว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ตั้งใจไปเสียทั้งหมด ดังนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงสามารถพูดได้ว่านั่นคือชะตาลิขิตจริงๆ เพราะหากว่าโจวเหว่ยชิงตอนนั้นไม่ได้พบกับตน ตอนนี้เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้

หญิงสาวที่ช่วยลงทะเบียนให้โจวเหว่ยชิงนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่เต็มใจที่อยู่ใกล้ๆเด็กหนุ่มอีกต่อไป เธอจึงทำการลงทะเบียนให้เขาเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนจะส่งแผ่นป้ายสีทองและเสื้อคลุมให้เขาอย่างรวดเร็ว แผ่นป้ายนั้นเกือบจะเหมือนกับของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทุกประการ เว้นเสียแต่สัญลักษณ์หยกหินมังกรนั้นถูกแทนที่ด้วยหยกน้ำแข็ง เสื้อคลุมที่เขาได้รับมานั้นมีสีขาวปลอดตลอดทั้งผืน และปักสัญลักษณ์ดาบไขว้สีทองเล็กๆ ตรงอกซ้าย

การเลื่อนระดับของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เสร็จสมบูรณ์แล้วเช่นกัน ตอนนี้แผ่นป้ายของเธอก็ถูกประทับด้วยรูปหยกหินมังกร 2 ดวง และเสื้อคลุมของเธอก็มีสัญลักษณ์ดาบไขว้สีทองเพิ่มอีกมาอีกอัน

“ไปกันเถอะ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป เธอไม่อยากจะให้เจ้าอ้วนน้อยโจวอยู่พล่ามอะไรไร้สาระที่นี่ต่อเพราะนั่นจะยิ่งทำให้เธอเสียหน้ามากขึ้น

หลังจากที่ออกจากวังกักเก็บทักษะมาแล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เตะเข้าที่บั้นท้ายของโจวเหว่ยชิงเข้าเต็มแรง จากนั้นก็ตำหนิเขาว่า “เจ้าจะเลิกพูดพล่ามไร้สาระหรือจะให้ข้าเย็บปากเจ้า!! เจ้ายังเด็กขนาดนี้แต่ว่าจิตใจไม่ใสสะอาดเลยสักนิด! นี่เจ้าโตมายังไงกันแน่? หึ! อายุ 13 ปีงั้นรึ! แล้วทำไมเจ้าถึงสมัครมาเป็นทหาร?” ถ้าหากเขาไม่สมัครทหาร เธอก็คงจะไม่… ยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเท่านั้น

………………………………………………………………….

หลังจากนั้นไม่นาน โจวเหว่ยชิงก็ไปหาเก็บมันเทศมาจนได้ เขานำมันไปเผาจนสุกและแบ่งปันกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ วัตถุดิบที่อยู่ในมือของเขานั้น แม้ว่าจะเป็นมันเทศธรรมดาๆ เขาก็ยังสามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอาหารอันโอชะได้ หลังจากลอกเปลือกที่ไหม้เกรียมเล็กน้อยออกไปแล้ว เด็กหนุ่มก็โรยเกลือป่นเล็กน้อย ทันใดนั้นรสชาติของมันเทศก็อร่อยขึ้นทันทีอย่างคาดไม่ถึง

สิ่งที่ทำให้โจวเหว่ยชิงเศร้าที่สุดก็คือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ปล่อยให้เขาล่าสัตว์ตลอด 12 วันที่ผ่านมาเลย ตลอดการเดินทางเขากลายเป็นสัตว์กินพืชอย่างเต็มรูปแบบจนรู้สึกราวกับว่าตนกำลังจะกลายเป็นมันเทศไปในไม่ช้าแล้ว

“ผู้บัญชาการกองพัน ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าเรากำลังจะถึงเมืองภูเขาลอยฟ้าในอีกไม่กี่ไมล์ไม่ใช่หรือ? ทำไมพวกเราไม่ไปทานอาหารในเมืองแทนล่ะ?” โจวเหว่ยชิงพูดอย่างไม่พอใจเมื่อเขากัดมันเผาในมือ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตวัดสายตามองเขา “กินอาหารในเมืองย่อมเสียเงิน ดังนั้นกินอาหารที่นี่จะช่วยให้เราประหยัดค่าอาหารไปหนึ่งมื้อ”

โจวเหว่ยชิงกรอกตาขึ้นก่อนจะพูด “ช่างเถอะ! ในอนาคตข้าจะหาเงินเยอะๆ ไม่อย่างนั้นข้าต้องอดตายเพราะท่านแน่”

“หึ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้กล่าวตอบ นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก

การเดินทางที่ผ่านมานั้นถือเป็นการฝึกที่ดีสำหรับโจวเหว่ยชิง การใช้ทักษะธาตุลมอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้เขาคุ้นเคยกับการใช้งานปราณสวรรค์มากขึ้น แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถใช้มันได้คล่องแคล่วเท่ากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลารวบรวมปราณสวรรค์ก่อนใช้งานมณีอีกต่อไป

วิชาเทพอมตะค่อยๆ เผยความยอดเยี่ยมของมันออกมา ปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเปรียบปริมาณปราณสูงสุดที่เขาเคยมีเป็นขนาดของไข่นกพิราบ ตอนนี้มันมีขนาดเท่าไข่ไก่แล้ว การเร่งเดินทางโดยไม่หยุดทุกๆ วันทำให้หลุมดำทั้ง 4 จุดดูดกลืนพลังภายนอกเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงสุดตลอดเวลา และนั่นมีผล อย่างมากต่อการระดับปราณสวรรค์ในร่างของเขา อย่างไรก็ตาม มันก็ยังค่อนจะข้างห่างไกลจากการเลื่อนระดับถัดไปของวิชาเทพอมตะ ซึ่งนั่นก็คือการทะลวงจุดตายหยงฉวนนั่นเอง

จุดตายหยงฉวนเป็นจุดตายสุดท้ายในการฝึกวิชาเทพอมตะส่วนแรก ซึ่งจุดนี้ทะลวงผ่านได้ยากที่สุด เส้นชีพจรที่ทับซ้อนอยู่กับจุดตายนี้ก็ยังซับซ้อนมากอีกด้วย โจวเหว่ยชิงเคยลองชักนำปราณสวรรค์ไปยังจุดตายนี้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่ปรานของเขาก็ไม่สามารถไปถึงจุดตายหยงฉวนได้ เห็นได้ชัดว่าเขาต้องสะสมปราณสวรรค์ให้มากขึ้นกว่านี้จึงจะสามารถทำได้สำเร็จ

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เมืองใหญ่แห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาของโจวเหว่ยชิง และซ่างกวนปิงเอ๋อร์

กำแพงเมืองขนาดมหึมานี้ดูราวกับจะทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุดในสายตาของพวกเขา มันมีความสูงประมาณ 40 เมตร จนทุกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเมืองนี้ดูเล็กจ้อยลงไปราวกับมดตัวน้อยเลยทีเดียว ที่ใจกลางเมืองมีสัญลักษณ์ประจำอาณาจักรเฟยหลี่ประดับอยู่ มันคือดาบไขว้คู่ที่ระบายด้วยสีดำซ้อนทับด้วยสีทอง สัญลักษณ์นี้ติดอยู่บนธงที่สะบัดไหวท่ามกลางสายลม บ่งบอกถึงความสง่างามของอาณาจักร

มีสะพาน 3 สายทอดยาวผ่านคูน้ำกว้าง 50 เมตรที่ไหลอยู่รอบเมืองภูเขาลอยฟ้า สะพานนี้เชื่อมต่อกับประตูเมืองขนาดยักษ์ที่มีรูปร่างโค้งสูงทั้ง 3 บาน และมีชื่อของเมืองที่สลักด้วยลายเส้นเปี่ยมพลังแขวนอยู่เหนือประตูตรงกลาง ผู้คนที่เดินทางเข้าออกจากเมืองนั้นพลุกพล่านราวกับไม่มีจำนวนที่สิ้นสุด และแม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะยังไม่ได้เข้าไปในเมือง แต่ก็ยังสามารถสัมผัสถึงความคึกคักจอแจภายในนั้น

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เนื่องจากเธอพาเขาข้ามสะพานตรงกลางเข้าไปภายในเมืองและพาเขาเดินลึกเข้าไปข้างในด้วยความคุ้นเคย

ภายในเมืองภูเขาลอยฟ้านั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวายและผู้คนมากมายเบียดเสียดกันจนไม่มีที่ว่าง โจวเหว่ยชิงมองไปรอบๆ อย่างไม่หยุดหย่อน เขารู้สึกราวกับว่ามองอะไรแทบจะไม่เห็นเลย นี่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรใหญ่อย่างเฟยหลี่อย่างแท้จริง! แม้เมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นจะมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับเมืองภูเขาลอยฟ้าแล้ว เมืองของเขาแทบจะเทียบไม่ติดเลยทีเดียว

“ผู้บัญชาการกองพัน เราจะไปที่ไหนกันเหรอ? โจวเหว่ยชิงก้มลงมองดูชุดนักธนูที่ค่อนข้างสกปรกของตัวเองและพูดด้วยท่าทางระมัดระวัง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตอบ “เราจะไปวังกักเก็บทักษะก่อน”

ใบหน้าของโจวเหว่ยชิงสว่างไสวขึ้นทันที “เราจะไปผนึกทักษะกักเก็บธาตุมณี?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวแต่ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม เธอเร่งก้าวไปสู่ส่วนลึกของเมืองแทน แม้ว่าเธอจะไม่ได้เร่งความเร็วเหมือนกับที่พวกเขาทำมาตลอดระหว่างทางที่ผ่านมา แต่เธอก็ยังเคลื่อนไหวค่อนข้างเร็ว นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงต้องรีบวิ่งตามเธอให้ทันจนไม่ได้สำรวจร้านค้าที่เรียงรายไปตามทางเลย

เมืองภูเขาลอยฟ้านั้นใหญ่มาก ทั้งคู่เดินทางเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะชะลอตัวลงในที่สุด เมื่อโจวเหว่ยชิงมองตามสายตาของเธอไปข้างหน้า เขาก็เห็นว่าไม่ไกลจากพวกเขานั้นมีปราสาทขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนราชวังตั้งอยู่ แม้เขาจะไม่คุ้นเคยกับเมืองภูเขาลอยฟ้า แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่านี่คือย่านใจกลางเมือง ด้านหน้าของปราสาทมีเสาสีขาวขนาดใหญ่ที่มีความสูงหลายสิบเมตรตั้งอยู่จำนวน 12 ต้น ตรงกลางมีสัญลักษณ์ดาบไขว้สีทองขนาดใหญ่แขวนอยู่อย่างโดดเด่น เพียงแค่มองด้วยตาเปล่าก็ยากที่จะตัดสินว่าสถานที่แห่งนี้มีขนาดใหญ่แค่ไหน

ด้านหลังเสาใหญ่ทั้ง 12 ต้นมีประตูบานใหญ่อยู่ 1 บาน บริเวณนั้นมีทหาร 8 นายสวมชุดเกราะเงินส่องแสงเป็นประกายกำลังยืนประจำการที่ประตูทั้งสองด้านนั้น  อาวุธของพวกเขาคือดาบหนักซึ่งยาวกว่า 1.5 เมตรและหนาเกือบ 1 ฟุต ปลายดาบหนักนั้นตั้งอยู่กับพื้นขณะที่มือทั้งสองข้างของพวกเขาจับด้ามดาบเอาไว้ สายตาเย็นชาของทหารพวกนั้นกำลังสอดส่องมองดูทุกคนเดินผ่านไปมา เนื่องจากไม่มีใครกล้าเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้ รัศมี 50 เมตรรอบๆ สำนักจึงไม่มีคนเดินอยู่เลย นั่นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของปราสาทนี้อย่างชัดเจน

หลังจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดพักครู่หนึ่ง เธอก็พาโจวเหว่ยชิงมุ่งหน้าเข้าไปในปราสาทแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่านี่คือวังกักเก็บทักษะที่เธอพูดถึงก่อนหน้า

“หยุดก่อน” ทหารเกราะเงิน 2 คนที่อยู่ด้านนอกสุดของประตูตะโกนขึ้นพร้อมกันด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ พวกเขายกดาบหนักสองเล่มนั้นขึ้นจากพื้นเพื่อขวางทางซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิงเอาไว้ จากลักษณะท่าทางของพวกเขา โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารแผ่ออกมาอย่างชัดเจน

เห็นได้ชัดว่าทหารเหล่านี้เป็นพลทหารราบชั้นเยี่ยมที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวท่ามกลางสมรภูมิรบอันดุเดือดมาแล้ว อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของพวกเขานั้นไม่มีทหารราบที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่เลยเนื่องจากค่าใช้จ่ายในฝึกพลทหารเช่นนี้สูงเกินไป แต่ทว่า อาณาจักรเฟยหลี่ถึงกับใช้ทหารชั้นยอดพวกนี้เฝ้าปราสาท!!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดชะงักทันที เธอยกมือขวาขึ้นมาพร้อมกับมีแสงสว่างวาบขึ้น หยกหินมังกรสีเขียวบริสุทธิ์ 2 ดวงของเธอก็ปรากฏตัวขึ้นมา พวกมันเปล่งประกายระยิบระยับเหนือข้อมือสีขาวราวกับน้ำนมของเธอ

ทหารเกราะเงินถอนดาบในมือคืนทั้งคู่ ดาบสองเล่มกลับไปตั้งอยู่ข้างหน้าของพวกเขาตามเดิม จากนั้นชายหนุ่มก็กล่าวด้วยความเคารพ “ยินดีต้อนรับจ้าวมณีสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับกลาง เชิญเข้าไปได้”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้า และหันไปหาโจวเหว่ยชิง “แสดงมณียุทธ์ของเจ้า”

“โอ้” โจวเหว่ยชิงมองดูเกราะเงินของทหารสองคนนั้นด้วยความอิจฉาขณะที่ยกมือขวาของขึ้นมาเพื่อแสดงมณี เขาแอบคิดในใจว่าเกราะเงินนี้น่าจะแข็งแกร่งมาก หากเขาได้ใส่มันล่ะก็…แม้จะเป็นลูกศรจากระยะไกลก็อาจจะเจาะไม่เข้า นี่มันยอดเยี่ยมไปเลยนี่นา!

มณียุทธ์อย่างหยกน้ำแข็งบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นรอบข้อมือขวาของโจวเหว่ยชิง แสงแวววาวจากมณียุทธ์ของเขาดูราวกับไอเย็นเยือกจากน้ำแข็งกำลังจะปะทุออกมา

“จ้าวมณีสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับแรก เชิญเข้าไปได้” ก่อนหน้านี้พวกเขากำลังจะยกดาบหนักๆ ขวางทางโจวเหว่ยชิง แต่หลังจากได้เห็นมณีสวรรค์บริสุทธิ์บนข้อมือขวาของเขา พวกเขาก็ย่อมเข้าใจว่าโจวเหว่ยชิงเป็นจ้าวมณีสวรรค์ ทหารเกราะเงิน 2 คนจึงพร้อมใจกันถอยออกไป เผยให้เห็นเส้นทางเข้าสู่ด้านในของปราสาท

………………………………………………………..

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดมาถึงตรงนี้ เธอก็หยุดจังหวะหนึ่งและมองไปยังโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาที่ดูซับซ้อน แต่ทว่าสิ่งที่หญิงสาวเห็นกลับเป็นสีหน้าเบิกบานใจของโจวเหว่ยชิง นั่นทำให้เธอพูดต่อด้วยความหงุดหงิด “ข้ากำลังคุยเรื่องสำคัญกับเจ้าอยู่นะ!! นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?!”

โจวเหว่ยชิงขยิบตา “ผู้บัญชาการกองพัน ท่านดีต่อข้ามากจริงๆ ท่านใส่ใจข้าถึงขนาดนี้ ข้าเลยอดจะตื่นเต้นดีใจไม่ได้ ดังนั้นข้าตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าจะยากขนาดไหนข้าก็จะฝึกฝนอย่างหนักและกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่น่าเกรงขามให้ได้ หลังจากนั้นข้าถึงจะสามารถปกป้องท่านได้ยังไงล่ะ…”

ใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ส่ายหัวพูดว่า “ข้าไม่ได้ห่วงเจ้าสักหน่อย…ข้าทำเพื่ออาณาจักรต่างหาก! แล้วข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้าปกป้องด้วย!!”

โจวเว่ยชิงพูดอย่างหนักแน่น “แน่นอนว่าข้าต้องปกป้องเจ้า สามีจะไม่ปกป้องภรรยาได้อย่างไร?”

“เจ้า…” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คำรามด้วยความโกรธ จากนั้นเท้าข้างหนึ่งก็กระโจนไปเตะเข้าที่แผ่นหลังของคนไร้ยางอาย เธอกล่าวด้วยสีหน้าโมโห “ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไร เจ้าก็สามารถลากเข้าเรื่องน่าอายหรือเรื่องไร้สาระได้ตลอด! ช่างเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ!”

โจวเหว่ยชิงม้วนตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะยิ้มตอบ “แล้วสามีปกป้องภรรยานั้นไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม และจริงจังหรือ? อ้ากกก!! อย่าเพิ่งลงมือๆๆๆ ให้ข้าพูดให้จบก่อนนน! เอาล่ะๆ ท่านเพิ่งจะพูดก่อนหน้านี้ว่า ยกเว้นเสียแต่ว่า อะไรนะ ?”

เมื่อเห็นว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังจะจู่โจมเขาอีกครั้ง โจวเหว่ยชิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ขนาดใหญ่ริมถนนรีบโผล่หัวออกมาถามทันที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดชะงักครู่หนึ่งด้วยสายตาลังเล เธอหยุดเคลื่อนไหวและพูดกับเขาว่า “เจ้าอ้วนน้อยโจวออกมานี่”

เมื่อเห็นใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดูจริงจังมาก โจวเหว่ยชิงก็อดประหลาดใจไม่ได้  ไม่ช้าเขาก็เดินออกจากหลังต้นไม้พลางยกมือขึ้นโบกไปมาต่อหน้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ก่อนจะถาม “เฮ้ ผู้บัญชาการกองพัน ท่านสบายดีไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “อ้วนน้อยโจว แม้ว่าเจ้าจะเจ้าเล่ห์และไร้ยางอาย คำพูดคำจาก็น่ารำคาญมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องจำไว้ว่าเรามาจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เรื่องอื่นๆ ข้ายังทนได้ แต่ถ้าเจ้าละเมิดสัญญาและทรยศอาณาจักร ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยตัวเองแน่ ไม่ว่าตอนนั้นเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป!”

“ได้ๆ ข้าสัญญา” โจวเหว่ยชิงกระพริบตาและรำพึงอยู่ในใจของเขา แน่นอน เรื่องแบบนี้ต้องให้เจ้าพูดด้วยหรือ? จักรพรรดิของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เป็นพ่อทูนหัวของข้า และพ่อของข้าก็ยังเป็นแม่ทัพใหญ่ของอาณาจักร  ความคิดนี้ผุดมาในใจของเขาทันทีก่อนเธอจะพูดจบด้วยซ้ำ ทันใดนั้นสมองของเขาก็เริ่มคิดไปถึงคำพูดที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้กล่าวออกมาก่อนหน้า ‘เรื่องอื่นข้ายังพอทนได้…’ เรื่องอื่นนี่มันเรื่องไหนกันน้า…จอมมารน้อยเริ่มฝันกลางวันทันที โชคดีที่เขารู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จริงจังมาก ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกออกมา

เมื่อเห็นว่าเขาตอบค่อนข้างตรงไปตรงมา ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย เธอกล่าวต่อ “เจ้าอ้วนน้อยโจว ตอนนี้ข้าจะพูดต่อแล้ว เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะเข้าร่วมวังกักเก็บทักษะ”

“เข้าร่วมวังกักเก็บทักษะ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้า “สำหรับจ้าวมณีทั่วๆ ไป มันยากมากที่จะเข้าร่วมกับวังกักเก็บทักษะ เพราะในการเข้าร่วมกับพวกเขา สิ่งพื้นฐานอันดับแรกก็คือคนๆ นั้นจะต้องเป็นจ้าวมณีสวรรค์ และพวกเขาก็ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดด้วย

อาณาจักรใหญ่ๆ แต่ละแห่งก็จะมีวังกักเก็บทักษะเป็นของตนเอง ซึ่งเจ้าของก็คือเหล่าราชวงศ์ของอาณาจักร นั้นๆ จ้าวมณีสวรรค์ที่เข้าร่วมวังกักเก็บทักษะจะได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรของพวกเขาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บธาตุมณี อาณาจักรของพวกเขาจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จ้าวมณีสวรรค์คนนั้นต้องสาบานตนว่าจะภักดี และทำงานให้กับอาณาจักรของพวกเขาอย่างเต็มความสามารถ

อย่างไรก็ตาม อาณาจักรของเราไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะสร้างวังกักเก็บทักษะ แต่อาณาจักรเฟยหลี่มีอยู่ 1 แห่ง หากในอนาคตพวกเขาพยายามจะชักชวนเจ้า เจ้าจะเข้าร่วมหรือไม่?”

ในขณะที่ถาม ในใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก เธอรู้จักโจวเหว่ยชิงแค่เพียงผิวเผินเท่านั้นและยังไม่รู้ว่านิสัยที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร เธอจึงอดไม่ได้ที่จะคิดต่อไปว่า หากเจ้าอ้วนน้อยโจวคิดทรยศอาณาจักรเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็จะไม่ช่วยเหลือเขาต่อไปอีก และแม้ว่าเธอจะไม่ฆ่าเขา แต่เธอก็จะทำลายมณีสวรรค์ของเขาทิ้งซะ

โจวเหว่ยชิงกล่าวโดยไม่ลังเล “แน่นอนว่าเข้าร่วมอยู่แล้วสิ! ทำไมข้าถึงจะไม่เข้าร่วมล่ะ?”

“เจ้า…” รังสีฆ่าฟันของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงทันที “เจ้ามันไร้ยางอาย!!!”

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ข้าไร้ยางอายตรงไหน? ข้าจะเข้าร่วมวังกักเก็บทักษะของพวกเขาก่อน จากนั้นก็รอให้ข้าฝึกฝนมณีสวรรค์ให้สำเร็จขั้นสูงสุด จากนั้นค่อยกลับไปที่อาณาจักรของเรา นั่นใช้ไม่ได้หรือ? ตราบใครที่ข้าแข็งแกร่งมากพอจนไม่มีใครสู้ได้ ใครจะสนว่าข้าเข้าร่วมวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรไหน “

“หึ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแม้จะกำลังโมโหอยู่ อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนน้อยโจวนี่ช่างมีมุมมองที่แปลกประหลาดเสียจริงๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นจิตสังหารของเธอก็มอดลงไปในทันที “เจ้ากำลังฝันกลางวันอยู่หรือ! เจ้าคิดว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อควบคุมเจ้างั้นหรือ? ในการเข้าร่วมวังกักเก็บทักษะ เจ้าจะต้องทำสัญญาผูกมัดจิต หากว่าเจ้าหักหลังวังกักเก็บทักษะหรือราชวงศ์ของอาณาจักรแล้ว เจ้าจะต้องตายสถานเดียว!”

เมื่อโจวเหว่ยชิงได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนสีทันที “ช่างขี้งกซะจริง! ว่าแต่อะไรคือสัญญาผูกมัดจิตล่ะ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้แต่ถามตัวเองในใจว่า หากก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงตอบว่าเขาตั้งใจจะเข้าร่วมกับวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรเฟยหลี่จริงๆ เธอจะกล้าสังหารเขาหรือไม่? คำถามนั้นเธอไม่สามารถตอบได้อย่างแท้จริง เพราะแม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะมีข้อบกพร่องมากมาย แต่เขาก็เป็นผู้ชายคนแรกของเธอ…ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าบางครั้งเด็กหนุ่มผู้นี้จะทำตัวน่าหงุดหงิดไปเสียหน่อย แต่เวลาไม่กี่วันที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้ร่วมกับเขานั้น เธอก็รู้สึกว่าตนเองได้แสดงความรู้สึกเช่นโมโหและหัวเราะออกมามากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ก่อนๆ

“พูดไปด้วยเดินไปด้วยเถอะ…สัญญาผูกมัดจิตเป็นผลมาจากทักษะระดับสูงของจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุมืด ภายใต้ความร่วมมือของอีกฝ่าย จ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุมืดสามารถประทับตราของตนลงบนคำสาบานที่อีกฝ่ายได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ และเมื่อคนๆ นั้นละเมิดคำสาบาน เขาจะต้องจบกับจุดจบ นั่นจึงเป็นทักษะที่โหดมากเลยทีเดียว!…”

พวกเขาเดินทางต่อไปจนกระทั่งค่ำ ก่อนจะออกจากป่าดาราได้สำเร็จในที่สุด

ทว่าก่อนพวกเขาจะออกจากป่า โจวเหว่ยชิงก็ทำซุปหน่อไม้น้ำค้างอีกถ้วยให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดื่ม นั่นเป็นเพราะว่าหากทั้งคู่ออกจากป่าดาราไปแล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถหาหน่อไม้พวกนี้ได้อีก เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ดื่มซุปแสนอร่อยที่เขาทำนั้น เธอก็ทำตัวดีกับเขามากขึ้น แต่ทว่าก็ยังไม่อนุญาตให้ล่าสัตว์ตามใจชอบอยู่ดี

12 วันให้หลัง

“อ้วนน้อยโจว ไปหาอะไรมากินหน่อยสิ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปัดทำความสะอาดพื้นที่เล็กๆ ตรงหน้าของเธอ และนั่งลง

โจวเหว่ยชิงถอนหายใจ “ชีวิตอันน่าสงสารของข้า! ข้าอีกแล้วรึ!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตวัดสายตามองเขาก่อนจะพูด “เจ้าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของข้า การรับใช้ผู้บังคับบัญชาไม่ใช่งานของเจ้าหรือ?”

โจวเหว่ยชิงตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ “ได้! ได้! ข้ากำลังไปแล้ว!”

หลังจากเดินทางมาได้ 12 วัน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยังคงสดใส และงดงามเหมือนเดิม แต่โจวเหว่ยชิงนั้นกลับมีใบหน้าซีดเซียวราวกับศพ แสดงให้เห็นถึงอาการเหนื่อยล้าของเขาจากการเดินทาง

ตอนที่พวกเขาเพิ่งออกจากเมืองเกาทัณฑ์สวรรค์ โจวเหว่ยชิงก็คิดว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ช่างเป็นคนมัธยัสถ์เหลือเกิน แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มเชื่อสุดใจแล้วว่าผู้บัญชาการกองพันหญิงที่งดงามคนนี้เป็นคนที่ขี้เหนียวสุดๆ จนไม่ยอมใช้เงินแม้แต่เหรียญเดียว!

12 วันที่ผ่านมา ทั้งคู่ได้เดินผ่านมาเมืองต่างๆ มาหลายเมืองแล้ว แต่พวกเขาก็ได้แต่ร่อนเร่ และตั้งกระโจมอยู่ข้างนอกเมืองเท่านั้น ไม่ได้แวะเข้าไปในเมืองเลย ดังนั้นอย่าแม้แต่จะพูดถึงโรงเตี๊ยมใดๆ มีท้องฟ้าเป็นผ้าห่ม มีพื้นดินเป็นเตียง พวกเขาไม่ได้ใช้เงินสักเหรียญตลอดการเดินทาง แม้กระทั่งอาหารแห้งของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็คิดว่าเธออาจจะนำมันมาจากโรงอาหารทหาร!

สิ่งที่ทำให้โจวเว่ยชิงเศร้ายิ่งกว่าเดิมก็คือซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนใดๆ แถมยังพึงพอใจมากอีกต่างหาก เพราะปกติหญิงสาวก็มักจะเดินทางเช่นนี้ตลอดอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้เธอยังมีพ่อครัวเพิ่มอีกด้วย ดังนั้นจะไม่ให้เธอพึงพอใจได้อย่างไร?

แม้ว่าอ้วนน้อยโจวจะทำตัวน่าโมโหอยู่ตลอดเวลา แต่เขามีความสามารถที่น่าประทับใจ เขาสามารถสรรหาวัตถุดิบตามรายทางเพื่อนำมาปรุงอาหารให้อร่อยล้ำเลิศได้เสมอ นอกจากนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังยึดมั่นในกฎของตัวเองอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือพูดกับโจวเหว่ยชิงให้น้อยที่สุดไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม และนั่นทำให้เขาไม่สามารถใช้กลอุบายอะไรกับเธอได้นั่นเอง

………………………………………………………………….

หลังจากนั้นไม่นาน น้ำซุปหน่อไม้น้ำค้างก็ถูกทั้งคู่จัดการจนหมดเกลี้ยง โดยความเป็นจริงนั้นโจวเหว่ยชิงได้กินแค่เพียง 1 ใน 3 ส่วนเท่านั้น และส่วนใหญ่ก็ถูกซ่างกวนปิงเอ๋อร์จัดการไปจนหมด

หลังจากกินจนหมดหม้อ เธอซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เลียริมฝีปากของเธอและยื่นลิ้นสีชมพูเล็กๆ น่ารักของเธอออกมาราวกับว่าไม่พอใจที่อาหารหมด เนื่องจากเธอมักจะกินอาหารที่โรงอาหารของกองทัพ และที่โรงอาหารนั่นก็ไม่เคยมีอาหารอร่อยๆ เลย!

เธอหันไปมองโจวเหว่ยชิงด้วยท่าทางประหม่า และบังเอิญเห็นว่าเขายังคงเคี้ยวอาหารแห้งอยู่ ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความเสียใจและอับอาย เธอกำลังคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่เธอปฏิเสธจะให้อาหารแห้งกับเขาก่อนหน้านี้ ทว่าท้ายที่สุดแล้วเธอก็กลับมากินอาหารดีๆ ของเขาอย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าที่งดงามของเธอจึงเห่อร้อนและแดงซ่านด้วยความอาย

โจวเหว่ยชิงถามขึ้นมาเบาๆ “อร่อยไหม?”

“อะ…อื้ม” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย

โจวเหว่ยชิงยิ้มแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า “ถ้าอย่างนั้น ในอนาคตข้าจะทำซุปนี่ไว้ให้เจ้าบ่อยๆดีหรือไม่?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าอีกครั้ง

โจวเหว่ยชิงเปล่งเสียงออกมาอีกครั้งพร้อมกับคำพูดที่น่าอายว่า “อะแฮ่ม เนื่องจากข้าเป็นบุรุษที่หล่อเหลาแถมยังเก่งงานครัว ดังนั้นเจ้าจะให้โอกาสข้าเกี้ยวพาเจ้าได้หรือไม่?”

เนื่องจากคำพูดก่อนหน้าของเขายังสะท้อนอยู่ในใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอจึงเกือบพยักหน้ารับ “เอ่อ… เอ๊ะ!  ไม่!”

จากนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้ว่าเธอถูกหลอก เธอจึงกระโจนไปหาเขาด้วยท่าทีคุกคามเช่นเคย แต่เมื่อเธอกำลังจะต่อว่าโจวเหว่ยชิงด้วยความโกรธ เธอก็เห็นว่าชายคนนี้กำลังยกมือทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะราวกับบอกว่ายอมแพ้แล้ว จากนั้นก็รีบลงไปนอนขดตัวอยู่บนพื้น พูดด้วยท่าทางน่าสงสาร “ถึงแม้ท่านจะไม่ตกลง แต่ท่านก็ไม่ควรจะตีข้านะ!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อใช้เท้าสะกิดเบาๆ ที่บั้นท้ายของเขาก่อนจะพูดอย่างหงุดหงิด “ใครจะตีเจ้ากัน? ถึงเวลาต้องไปแล้ว”

พวกเขาออกเดินทางอีกครั้ง และแม้ว่าคราวนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะยังมีท่าทีไม่สนใจอ้วนน้อยโจวเหมือนเดิม แต่หลังจากได้กินซุปหน่อไม้ของเขา เธอก็ไม่สามารถแสดงสีหน้าเย็นชาได้อีกต่อไป

“ผู้บัญชาการกองพัน เราจะไปที่ไหนกันเหรอ? อย่างน้อยก็ใบ้ให้ข้ารู้สักนิดจะได้ไหม ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตวัดสายตาเขาอย่างรวดเร็วและพูดว่า “เรากำลังจะไปที่เมืองภูเขาลอยฟ้า อาณาจักรเฟยหลี่”

โจวเหว่ยชิงชะงักด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะพาเขาไปยังสถานที่ห่างไกลขนาดนั้น ถึงว่าล่ะ…ไม่น่าแปลกใจที่เธอพูดก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาจะไม่กลับไปที่ค่ายเป็นเวลาหลายเดือน

อาณาจักรเฟยหลี่ และอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์มีชายแดนติดกัน และอาณาจักรนี้ก็ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ อาณาจักรเฟยหลี่เป็นหนึ่งในอาณาจักรใหญ่บนดินแดนไร้ขอบเขต ยิ่งไปกว่านั้นยังมีขนาดใหญ่กว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เกือบร้อยเท่า! ในบรรดาอาณาจักรต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในทวีปฝั่งตะวันตกของดินแดนไร้ขอบเขตนั้น มีเพียงอาณาจักรป่ายต้าเท่านั้นที่มีความแข็งแกร่งเทียบได้กับอาณาจักรเฟยหลี่ ซึ่งอาณาจักรป่ายต้าไม่ได้มีชายแดนติดกับอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เนื่องจากมีอาณาจักรคาลิเซคั่นอยู่ตรงกลาง

สำหรับเมืองภูเขาลอยฟ้าที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดถึงนั้น โจวเหว่ยชิงย่อมรู้จักเช่นกัน เมืองภูเขาลอยฟ้าเป็นหนึ่งในหัวเมืองที่สำคัญที่สุดทางภาคใต้ของอาณาจักรเฟยหลี่ และยังเป็น 1 ใน 5 เมืองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเฟยหลี่อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น มันยังใหญ่กว่าเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ประมาณ 10 เท่าและมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก

อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และอาณาจักรเฟยหลี่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เหมือนกับที่อาณาจักรคาลิเซมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับอาณาจักรป่ายต้า นอกเหนือจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และอาณาจักรคาลิเซแล้วก็ยังมีอาณาจักรเล็กๆ อีกมากมายตั้งอยู่รายรอบอาณาจักรป่ายต้าและอาณาจักรเฟยหลี่ ซึ่งอาณาจักรเล็กๆ เหล่านั้นก็ทำหน้าที่คล้ายกับตัวกันชนวนระหว่างอาณาจักรใหญ่สองอาณาจักรนี้ และถ้าไม่ใช่เพราะอาณาจักรเล็กๆ พวกนั้น อาณาจักรใหญ่ทั้งสองที่มีความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกันอย่างมากนี้อาจจะเปิดสงครามครั้งใหญ่กันไปแล้วก็เป็นได้

“นี่เรากำลังจะไปเมืองภูเขาลอยฟ้างั้นหรือ? นั่นไกลเกินไปหรือไม่?!! ถึงแม้ว่าพวกเราจะเดินทางเร็วมาก แต่ถึงจะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเหมือนที่เรากำลังทำอยู่นี่ก็ตั้งอย่างน้อย 10 วันกว่าจะไปถึงนะ! ฉะนั้นข้าว่าพวกเรานั่งรถม้าจากสถานีไปไม่ดีกว่าหรือ? นั่นใช้เวลาแค่ประมาณ 5 วันเองนะขอรับ!” แม้ว่าพวกเขาจะวิ่งได้เร็วมาก แต่ก็ยังเทียบกับความเร็วฝีเท้าของม้าไม่ได้ เนื่องจากระหว่างอาณาจักรมีสถานีขนส่งและรถม้าเพื่อใช้ขนส่งพิเศษจากเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ไปยังเมืองภูเขาลอยฟ้า ซึ่งนั่นย่อมเร็วกว่าการเดินไปที่นั่นด้วยเท้า

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตวัดสายตาไปมองเขา จากนั้นก็พูดว่า “การโดยสารรถม้านั้นย่อมเสียเงิน แค่ค่าโดยสารก็ปาไปแล้วตั้ง 2 เหรียญทองต่อคน และแน่นอนว่านั่นไม่รวมอาหาร แต่หากเราเดินทางด้วยเท้า อย่างมากพวกเราก็ซื้อแค่พวกอาหารแห้ง ดังนั้นพวกเราทั้งคู่จะใช้เงินทั้งหมดตลอดการเดินทางน้อยกว่า 1 เหรียญทองซะอีก”

โจวเหว่ยชิงจ้องมองเธออย่างตะลึงงัน “ผู้บัญชาการกองพัน ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าท่านเป็นคนมัธยัสถ์ขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเป็นถึงหนึ่งในเสาหลักของอาณาจักรและเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้นๆของอาณาจักร ท่านเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่หายากที่สุด และยังเป็นขุนนางขั้นที่ 4 อีกด้วย! เงินเดือนของท่านควรอยู่ที่ประมาณ 80 ถึง 100 เหรียญทอง ฉะนั้นเหตุใดท่านต้องเสียดายเหรียญทองเพียงแค่ 4 เหรียญด้วย!?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “โลหะดีๆ ย่อมต้องเก็บไว้ตีส่วนคมดาบ[1] ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ เราต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อใช้ฝึกฝนเลื่อนระดับ อาณาจักรได้มอบอะไรให้ข้ามามากมายแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงควรประหยัดในสิ่งที่ไม่จำเป็น ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเพิ่งจะกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ เดินทางในระยะแค่นี้ไม่ถือว่าสาหัสอะไร ดังนั้นเจ้าควรใช้โอกาสนี้ปรับตัวให้เข้ากับมณีสวรรค์ของเจ้าจะดีกว่า”

โจวเหว่ยชิงยกนิ้วโป้งขึ้นโบกไปมาให้แก่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอจึงถามอย่างสงสัย “เจ้ากำลังทำอะไร?”

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ฮี่ฮี่ การแต่งงานกับเจ้าน่าจะเป็นอะไรที่ความสุขเสียจริงเลยน้า…”

ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง “เจ้าอยากจะโดนดีอีกรอบหรือไง?!!”

โจวเหว่ยชิงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ผู้บัญชาการกองพัน ข้าผิดไปแล้ว!! แต่ว่า…นี่พวกเรากำลังจะไปเมืองภูเขาลอยฟ้าทำไมหรือ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์แทบจะข่มความอยากทุบตีเขาไว้ไม่ได้  เจ้าคนไร้ยางอายนี่มักจะยอมรับผิดก็จริง แต่เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นเลย

“พวกเราจะลองไปเสี่ยงโชคดู ข้าเพิ่งปลุกมณีสวรรค์ดวงที่สองสำเร็จ และมณีสวรรค์ดวงแรกของเจ้าก็ยังไม่มีศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะธาตุเลย อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราไม่มีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์หรือวังกักเก็บทักษะเหมือนพวกเมืองใหญ่ๆ และเมืองภูเขาลอยฟ้าเป็นเมืองใหญ่ที่ใกล้ที่สุดสำหรับเรา”

เมื่อได้ฟังเธอพูด จิตวิญญาณของก็พลุ่งพล่านเป็นอย่างมาก “ผู้บัญชาการกองพัน ถ้าท่านไม่ให้ข้าสร้างชุดเกราะ แล้วท่านจะให้ข้าสร้างอะไรแทนล่ะ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว “มันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิดน่ะสิ! ประการแรก ไม่ว่าเราจะได้พบกับคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์หรืออสูรสวรรค์ที่มีทักษะธาตุที่เหมาะสมกับเรามากแค่ไหน แต่บางทีเราอาจจะไม่มีเงินเพียงพอจะซื้อมันก็ได้ ก็อย่างที่ข้าบอกเจ้าก่อนหน้านี้ เราต้องอาศัยดวงเพียงแค่นั้น

สำหรับจ้าวมณีสวรรค์นั้น ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บธาตุนั้นสำคัญมาก เพราะเมื่อเราทำสองขั้นตอนใหญ่นี้เสร็จแล้ว เราก็จะสามารถใช้พลังมณีทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เจ้าจงจำคำสัญญา 3 ข้อของเราไว้ให้ดี หากข้าไม่อนุญาติ เจ้าห้ามเปิดเผยว่าเจ้าคือจ้าวมณีสวรรค์เด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้ามให้ใครรู้เกี่ยวกับไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเจ้า ได้ยินใช่ไหม?”

“ข้าได้ยินแล้ว!” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้เขาตื่นเต้นมากที่จะได้สัมผัสกับศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บธาตุเป็นครั้งแรก เพียงแค่คิดเขาก็รู้สึกว่ามันช่างดีเหลือเกิน คล้ายกับว่าเขากำลังค่อยๆ เข้าก้าวเข้าสู่โลกของจ้าวมณี ความรู้สึกนี้น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากจนทำให้เขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอีกต่อไปแม้จะกำลังวิ่งอยู่ก็ตาม

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไพฑูรย์ตาแมวสองสีที่เปล่งประกายสีเขียวอมฟ้าขณะลอยวนอยู่บนข้อมือโจวเหว่ยชิง เขากำลังใช้ทักษะธาตุลมอยู่นั่นเอง

เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกล่าว “เจ้ามีพรสวรรค์ที่ดี แต่นั่นย่อมมาพร้อมกับปัญหา มณีธาตุของเจ้าประกอบด้วย 5 ทักษะธาตุที่แข็งแกร่ง นั่นย่อมหมายถึงมณีธาตุของเจ้าต้องกักเก็บทักษะธาตุไว้ถึง 5 ธาตุ และราคาของมันเมื่อรวมกันแล้วย่อมแพงมหาศาลจนแม้แต่กระทั่งอาณาจักรของเราก็ยังไม่อาจจะช่วยเหลือได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะธาตุของเจ้ายังมีทั้งทักษะธาตุมืด ทักษะธาตุมิติ รวมไปถึงทักษะธาตุปีศาจซึ่งเป็นทักษะที่ทรงพลังมาก ทั้งหมดนั่นย่อมหมายถึงหากเจ้าต้องการจะกักเก็บทักษะธาตุจากพวกมัน เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ที่มีระดับความยากอยู่ในขั้นที่สูงมาก ดังนั้นเส้นทางการฝึกของเจ้าจึงดูยากลำบากกว่าจ้าวมณีสวรรค์คนอื่นถึงร้อยเท่าเลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเปิดเผยไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเจ้าให้ผู้อื่นรู้ก็เป็นเพราะข้ากลัวว่าเมื่อจ้าวมณีสวรรค์คนอื่นเห็นความสามารถของเจ้า พวกเขาคงจะอยากสังหารเจ้าให้ตาย ยิ่งจ้าวมณีคนใดมีความสามารถมาก ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะตายตั้งแต่อายุยังน้อย

ยกเว้นเสียแต่ว่า…”

…………………………………..

[1] สำนวน โลหะดีๆ เก็บไว้ตีส่วนคมดาบ (最好的合金都是用在刀刃上) หมายถึง การใช้ทรัพยากรที่มีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ดวงตาที่งดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความสับสนทันที ประสบการณ์ของเธอบอกว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาแสดงท่าทางเคร่งขรึมออกมา นั่นหมายถึงเขาจะต้องมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่แน่นอน “กินได้เท่าที่เจ้าต้องการเลย แต่ถ้าหากมันมีพิษขึ้นมาเจ้าก็สมควรตายแล้ว!”

เธอตอบประชดประชันกลับไป ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่โต้แย้งใดๆ เขาเริ่มมองหาพื้นที่ทำอาหาร ถอนหญ้าบนพื้นออกเพื่อให้เหลือพื้นที่โล่งๆ ประมาณ 2 ตารางเมตร ก่อนที่จะวางใบไม้และหน่อไม้ที่เขารวบรวมไว้บนพื้น จากนั้นเขาก็หายเข้าไปในป่า ใช้เวลาไม่นานเขาก็หอบกิ่งไม้แห้งและเศษเถาวัลย์กลับออกมา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สังเกตว่ามือของโจวเหว่ยชิงนั้นคล่องแคล่วว่องไวมาก เขาใช้นิ้วมือทั้งสิบของเขาเคลื่อนไหวหยิบจับอย่างรวดเร็วไม่กี่ครั้ง เถาวัลย์และกิ่งไม้แห้งๆ พวกนั้นก็ถูกสร้างเป็นโครงไม้แบบง่ายๆ คล้ายราวตากผ้าขนาดเล็ก ใบไม้ขนาดใหญ่จากต้นดาราในมือของเขากำลังถูกพับขึ้นลงไปมา มันเร็วมากเสียจนเธอไม่สามารถจะมองเห็นขั้นตอนทั้งหมดของเขาได้ชัดเจน ทันใดนั้นใบไม้นั้นก็ถูกพับเข้าด้วยกันกลายเป็นหม้อขนาดเล็ก จากนั้นเขาก็พันหม้อใบไม้ไว้ด้วยเถาวัลย์เล็กๆ 4 เส้น ก่อนที่จะแขวนมันไว้กับโครงไม้ที่เขาสร้างขึ้นมาก่อนหน้า

โจวเหว่ยชิงใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดอย่างคล่องแคล่ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้

เขาเริ่มกะเทาะหน่อไม้ให้แตก จากนั้นก็มีเสียงของเหลวไหลออกมาจากหน่อไม้นั้น แทบไม่น่าเชื่อว่าแก่นกลางของหน่อไม้จะมีของเหลวใสอยู่ภายใน หลังจากกะเทาะหน่อไม้ได้หลายๆ อันแล้ว หม้อใบไม้ก็เต็มไปด้วยของเหลวใสจากหน่อไม้นั้น ยิ่งไปกว่านั้น มันน่าพิศวงมากที่ไม่มีน้ำสักหยดไหลซึมออกจากหม้อใบไม้นั้นเลย

โจวเหว่ยชิงน้ำเศษไม้ที่เหลืออยู่มาสุมๆ กันไว้เป็นกอง จากนั้นจึงควานหาย่ามสะพายหลังที่เขานำมาด้วยและหยิบหินจุดไฟออกมา เขาใช้หินจุดไฟ ประกายไฟค่อยๆ ลามเลียขยายขนาดใหญ่ขึ้น ไม้แห้งส่งเสียงปริแตก และมันก็ทำให้หม้อใบไม้ค่อยๆร้อนขึ้น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เผลอเดินเข้าไปใกล้โจวเหว่ยชิงในขณะที่เขากำลังวุ่นวายกับสิ่งเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว เธออดไม่ได้ที่จะถามได้ว่า “ใบไม้จะไม่ถูกเผาจนไหม้หรอ?”

เนื่องจากนานๆ ครั้งเสียงของเธอจะไม่เย็นชาเช่นนี้  โจวเหว่ยชิงจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก “ไม่ไหม้แน่นอนเพราะว่ามันมีน้ำอยู่ภายใน” ในขณะที่กำลังพูดมือของเขาก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว เขาหยิบมีดเล็กๆ ออกมาจากย่าม มือซ้ายหยิบหน่อไม้ที่เขากะเทาะน้ำออกก่อนหน้านี้มาปอกเปลือกข้างนอกออก จากนั้นก็หั่นเนื้ออ่อนๆ ข้างในโยนลงหม้อ หลังจากทำเช่นนี้ซ้ำๆ ซักพักหนึ่ง หน่อไม้ที่มีขนาดเท่ากับแขนทารกก็ถูกหั่นกลายเป็นชิ้นเล็กๆ อยู่ในหม้อ และในเวลาเดียวกันนั้นเอง น้ำในหม้อก็เริ่มเดือด นั่นช่างเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะจริงๆ

ตอนนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนมานั่งยองๆ อยู่ข้างโจวเหว่ยชิงอย่างไม่รู้ตัว เธอมองดูเขาทำทุกอย่างจนเสร็จ จากนั้นสายตาของเธอก็อ่อนลงอย่างมาก ผู้ชายที่สามารถทำอาหารได้ ปกติแล้วมักจะเป็นผู้ชายที่อบอุ่นอ่อนโยนสำหรับผู้หญิง นอกจากนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังชอบอาหารรสชาติอ่อนๆ และซุปหน่อไม้นี้ยังดึงดูดเธอมากกว่าเนื้อซะอีก

โจวเหว่ยชิงปัดมือไปมาเพื่อทำความสะอาดก่อนที่จะเก็บมีดและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม้ไผ่ชนิดนี้เป็นไม้พื้นเมืองเฉพาะถิ่นของป่าดารา สามารถพบได้แค่ที่นี่เท่านั้น จริงๆ มีคนน้อยมากที่รู้ว่ามันจะงอกขึ้นใต้ต้นดาราที่มีอายุมากๆ เท่านั้น และมันจะดูดซับน้ำค้างยามเช้าในโพรงกลางลำต้นของต้นดาราซึ่งหวาน และอร่อยมาก ข้าเรียกมันว่าหน่อไม้น้ำค้าง และมันอร่อยมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านำเนื้อหน่อไม้มาต้มในน้ำค้างจากแกนกลางของมันเอง เนื่องจากมันจะสามารถคงรสชาติดั้งเดิมไว้ได้ดีที่สุด เอาล่ะ พอถูกต้มไปสักพักมันก็กินได้แล้ว เราแค่ต้องเติมเกลืออีกนิดหน่อยเท่านั้น”

เพราะว่าเขาถูกบิดาของเขาโยนเข้าป่าดั้งแต่เด็กเพื่อฝึกการเอาชีวิตรอด ไม่ว่าจะเป็นทะเลทราย ป่าดงดิบ หรือแม้แต่เทือกเขาซับซ้อน ดังนั้นเขาจึงเคยฝึกฝนการเอาชีวิตรอดมาแล้วในทุกพื้นที่ตั้งแต่อายุสิบขวบ ดังนั้น ผู้ที่รู้จักกันในนามเศษสวะไร้ประโยชน์อย่างเขาจึงต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากยากเข็ญ เพราะฉะนั้นการหาอาหารในป่าดาราที่เขาคุ้นเคยจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว

ซุปหน่อไม้น้ำค้างในหม้อที่ทำจากใบไม้เต็มไปด้วยฟองอากาศและกลิ่นหอมอ่อนๆ ล่องลอยออกมา นั่นทำให้ทุกคนที่ได้กลิ่นต้องน้ำลายไหลด้วยความอยากอาหาร

โจวเหว่ยชำเลืองมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์และพบว่าเด็กหญิงอายุ 15 ปีคนนี้กำลังแอบกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว ตอนแรกเขากะจะแกล้งเธอสักหน่อย แต่แล้วหัวใจของเขาก็อ่อนยวบลง เขาหยิบช้อนที่ทำขึ้นมาจากเปลือกหน่อไม้ขึ้นมามอบให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ 1 คัน จากนั้นก็เอาเกลือออกมาแล้วเทลงในซุปหน่อไม้เพื่อปรุงรส

หน่อไม้สดและนุ่มมาก หน่อไม้พวกนี้สามารถกินได้ทันทีหลังจากที่ต้มครู่หนึ่งในน้ำค้างที่กำลังเดือด โจวเหว่ยชิงกวักมือให้สัญญาณเชิญชวนซ่างกวนปิงเอ๋อร์ จากนั้นเขาก็ใช้ช้อนตักซุปหน่อไม้ก่อนอย่างรวดเร็ว เป่าสองสามครั้งเพื่อทำให้มันเย็นลงแล้วนำเข้าปาก ตอนนี้เขาทั้งหิวและกระหายน้ำมาก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกช้อนขึ้นและกำลังจะเริ่มกิน แต่ทันใดนั้นมือของเธอหยุดกลางอากาศ เธอกัดริมฝีปากล่างด้วยสายตาซับซ้อนขณะจ้องมองโจวเหว่ยชิง เมื่อไม่นานมานี้เธอปฏิเสธที่จะให้เขากินอาหารแห้งของเธอ แต่ตอนนี้เธอกำลังจะกินอาหารที่เขาทำ ดังนั้นในใจของเธอจึงรู้สึกสับสนมาก

“ท่านก็ให้อาหารแห้งข้าสักชิ้นสิ ซุปแค่นี้ไม่พอยาไส้ข้าหรอก! เพราะฉะนั้นข้าจะแลกอาหารแห้งกับซุปนี่ ตกลงไหม?” โจวเหว่ยชิงมองเธอและยื่นมือออกมาเรียกร้องด้วยสีหน้าน่าสงสาร

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันมามองเขาซักพักก่อนจะถอดย่ามสะพายหลังแล้วนำอาหารแห้งส่งให้โจวเหว่ยชิงส่วนหนึ่ง ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าคนเจ้าเล่ห์คนนี้ก็ไม่ได้นิสัยแย่อย่างที่คิด

ซุปหน่อไม้น้ำค้างมีสีเขียวอ่อนๆ ส่วนหน่อไม้ชิ้นบางๆ ที่ลอยอยู่นั้นก็มีสีอ่อนนุ่มนวลราวกับหยก กลิ่นหอมหวานลอยอบอวลไปในอากาศ ถึงแม้ว่าซุปนี้จะไม่มีเครื่องปรุงรสอื่นๆ นอกจากเกลือ แต่แค่หน่อไม้ที่สดและอ่อนนุ่มนี้ก็อร่อยมากแล้ว ยิ่งผสมกับน้ำค้างภายในหน่อไม้ ซุปนี้ยิ่งอร่อยกลมกล่อมลงตัวมาก

ทันทีที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ชิมน้ำซุปเป็นครั้งแรก เธอก็ตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง กลิ่นหอมอ่อนๆ และรสชาติหวานนุ่มนวลละมุนละไมไหลผ่านจรดโคนลิ้นจากนั้นก็เคลื่อนเข้าสู่กระเพาะของเธอ ความรู้สึกอบอุ่นแทรกซึมทั่วไปร่างกาย รสชาติหอมหวานยังคงติดค้างอยู่ที่ปลายลิ้นและกลิ่นหอมของมันก็ยังตลบอบอวลอยู่ในจมูก ความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์เช่นช่างนี้ดีกว่าการกินอาหารแห้งเป็นร้อยพันเท่า!

จู่ๆ เธอรู้สึกเสียใจที่ไม่ยอมให้โจวเหว่ยชิงฆ่ากระต่าย เพราะบางทีคนๆ นี้อาจทำอาหารจานนั้นออกมาได้อร่อยเหมือนกับซุปนี่ก็ได้…

ส่วนโจวเหว่ยชิงนั้นไม่ได้พยายามหยอกล้อหรือยั่วยุซ่างกวนปิงเอ๋อร์ กลับกันเขานั่งนิ่งอยู่ข้างหม้อใบไม้ของเขา กินอาหารแห้งไปพร้อมกับซดซุปหน่อไม้น้ำค้างอย่างเอร็ดอร่อย ดวงตาของเขาจ้องมองเธอราวกับตกอยู่ในภวังค์

ท่าทางของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขณะกำลังทานซุปนั้นนั้นงดงามเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีหน้าของเธอที่ดูมีความสุขราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในความฝันขณะที่ชิมน้ำซุปครั้งแรกนั่นทำให้หัวใจของโจวเหว่ยชิงเต้นแรงอย่างน่าประหลาด ในสายตาของเขา ใบหน้าที่งดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นดูยั่วยวนใจมากกว่าซุปหน่อไม้เสียอีก

โจวเหว่ยชิงกำลังตกหลุมรักท่าทางน่ารักๆ เช่นนั้นของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ในขณะที่เธอก็กำลังตกหลุมรักกับซุปหน่อไม้น้ำค้างที่เขาทำ เขากำหมัดแน่น ตัดสินใจแล้วว่าจะทำทุกอย่างเพื่อตามจีบเธอ และทำให้เธอเป็นภรรยาของเขาให้ได้!

ขณะนั้นเอง เขาก็ฝันกลางวันว่าตนได้แต่งงานกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกวันๆ เขาจะสามารถโอบกอดและขับกล่อมให้เธอนอนหลับไปด้วยกันภายใต้อ้อมแขนของเขาได้ เมื่อคิดได้ดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มลามกทันที

โชคดีที่หญิงงามตรงหน้าเขามัวแต่ให้ความสนใจกับการดื่มน้ำซุป เธอจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าหื่นกามของคนเจ้าเล่ห์อย่างเขา…

……………………………………………………………….

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่งที่ต้นไม้ใหญ่ห่างจากโจวเหว่ยชิงประมาณ 10 เมตร เธอถอดกระเป๋าสะพายหลังแล้วนำอาหารแห้ง และน้ำออกมา

โจวเหว่ยชิงหอบต่อไปอีกพักหนึ่ง จากนั้นจึงปรับจังหวะลมหายใจได้ ท้ายที่สุดลมหายใจของเขาก็กลับมาสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้พกอาหารแห้งมาด้วย ดังนั้นเมื่อเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังกินอาหารและดื่มน้ำ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายขณะที่ขยับเข้าใกล้เธอ

“ผู้บัญชาการกองพัน ข้าอยากกินบ้างเหมือนกันนะขอรับ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไปที่ดวงตากระหายอยากของโจวเหว่ยชิง ส่งเสียงหึในลำคอแล้วก็ทำท่าทีเพิกเฉยต่อไป

โจวเหว่ยชิงกล่าว “หัวหน้าไม่กินหากลูกน้องหิวโหย ถ้าข้าไม่มีอะไรกิน ข้าก็จะไม่เดินทางต่อ!” เขาพูดพลางนั่งลงข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้นั่งชิดถึงขนาดตัวติดกัน แต่เพียงแค่นั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยกันเขาก็สามารถได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเธอแล้ว ดังนั้นแม้ว่าท้องของเขาจะว่างเปล่า แต่เขาก็ยังรู้สึกพึงพอใจมาก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขยับตัวหนีเล็กน้อยเพื่อสร้างระยะห่างระหว่างเธอกับเขา ก่อนจะกินต่อไปอย่างช้าๆ เธอกะแล้วว่าโจวเว่ยชิงจะต้องมาขอร้องเธอเมื่อเขาหิว คนๆ นี้เหมือนกับพวกอันธพาลเหลี่ยมจัด หากเธอไม่รีบจัดการกับเขาให้อยู่หมัด ภายภาคหน้าเขาจะเชื่อฟังเธออีกได้อย่างไร และความจริงแล้วเธอไม่เชื่อว่าอ้วนน้อยโจวจะมีปัญหาหากต้องอดอาหารไปหนึ่งหรือสองมื้อ

ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังคิดอย่างลับๆ ว่าแผนการการสู้ด้วยความเงียบของเธอนั้นประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม โจวเหว่ยชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอก็เคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน ต่อมาร่างของเขาก็กระโจนขึ้นเหมือนเสือดาวและกำลังจะหายวับเข้าไปในป่า

“เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกตกใจ เธอพลันลุกขึ้นยืนพร้อมกับเขา

“ข้าจะไปหาอะไรมากินน่ะสิ!” โจวเหว่ยชิงทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นก่อนจะกระโจนหายเข้าไปในป่า

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกตะลึง เธอรีบเก็บอาหารแห้งก่อนจะไล่ตามโจวเหว่ยชิงเข้าไปในป่า  เหตุผลที่เธอติดตามเขาก็เพราะเธอกลัวว่าคนเจ้าเล่ห์นี้จะไม่รักษาสัญญาของเขา และหนีไปแทน นอกจากนี้เธอยังค่อนข้างสงสัยว่าโจวเหว่ยชิงจะหาของกินได้อย่างไร

หลังจากไม่กี่วันที่ได้รู้จักกับเขา เธอก็ยิ่งเชื่อว่าอ้วนน้อยโจวนั้นใช้ชีวิตมาอย่างปากกัดตีนถีบมากกว่า เพราะแม้ว่าจะไม่ได้มีคนดีมากมายในหมู่ขุนนาง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีคนเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดที่น่ารังเกียจเหมือนกับเขาในหมู่ชนชั้นสูงพวกนั้น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปลุกพลังมณียุทธ์และมณีธาตุของเธอ ก่อนจะเร่งความเร็วตามโจวเหว่ยชิงไปติดๆ แม้ว่าเธอจะไม่คุ้นเคยกับป่าดาราเท่ากับโจวเหว่ยชิง แต่อาศัยการได้ยินและความเร็วที่เหนือกว่าของเธอ เธอจึงสามารถตามเขาทันได้อย่างง่ายดาย

เธอมองไปที่โจวเหว่ยชิงที่สามารถวิ่งซอกแซ่กไปมาในป่าได้อย่างชำนาญและว่องไวปราดเปรียว สิ่งที่ผิดปกติมากที่สุดคือแสงสีเขียวที่เรืองรองออกมาจากเขาเป็นครั้งคราว ซึ่งแค่นั้นก็ทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกตกใจมากแล้ว เพราะท้ายที่สุดเธอก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีพลังด้านความว่องไวปราดเปรียว ดังนั้นเธอจึงได้ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการเคลื่อนไหวมาเป็นอย่างดี ดูจากการเคลื่อนไหวของโจวเหว่ยชิงแล้ว เธอก็แน่ใจว่าเขาใช้ทักษะธาตุลมของเขาแค่บางคราวที่เขาต้องการเท่านั้น  ซึ่งเวลานั้นก็คือเมื่อเขาต้องการที่จะกระโดดขึ้นสูงหรือเมื่อต้องการเร่งความเร็วอย่างฉับพลันเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือใช้เพื่อข้ามหรือหลบสิ่งกีดขวางบนทางของเขาซะเป็นส่วนใหญ่ และในการทำเช่นนั้น เขาไม่เพียงแต่สามารถรักษาความเร็วสูงได้ แต่ยังสามารถประหยัดปราณสวรรค์ไว้ได้มากที่สุดอีกด้วย

จริงๆ แล้วซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็สามารถทำแบบนี้ได้เช่นกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ โจวเหว่ยชิงปลุกพลังปราณสวรรค์ของเขาให้ตื่นขึ้นได้เมื่อไหร่? นั่นมันเพิ่งไม่กี่วันมานี้เองไม่ใช่เหรอ! ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถควบคุมทักษะธาตุลมของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย! ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พบว่าเธอไม่สามารถจะละเลยคนๆนี้ได้อีกต่อไป

หลังจากที่โจวเหว่ยชิงวิ่งเข้าไปในป่าได้ประมาณหลายร้อยเมตร ในที่สุดเขาก็กระโจนขึ้นไปคว้ากิ่งไม้กิ่งหนึ่งก่อนจะเหวี่ยงตัวเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ ครู่ต่อมาเขาก็กระโจนลงไปที่กิ่งไม้หนากิ่งหนึ่ง ใช้เท้าขวาเกี่ยวกิ่งไม้ไว้ได้อย่างมั่นคง ขณะที่เท้าซ้ายของเขาย่ำลงบนกิ่งไม้ ดึงคันธนูออกมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว จับลูกธนูพาดแล้วง้างสายธนูจนเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวง ปลายลูกศรขยับไปมาเล็กน้อยเพื่อปรับตำแหน่งตามเป้าหมายที่เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พลันคิดอย่างตกใจ ช่างเป็นนักธนูที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญอะไรเช่นนี้

ในฐานะนักธนูมณีสวรรค์ที่น่าเกรงขาม เธอเองก็คุ้นเคยกับการยิงธนูเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าเธอสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าโจวเหว่ยชิงไม่ได้ใช้มณีสวรรค์ของเขาในระหว่างการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย จากประสบการณ์และความสามารถในการพาดลูกธนู และง้างธนูในชั่วพริบตาของเขา รวมทั้งท่าทางที่คุ้นเคยกับปราการแวดล้อมเป็นอย่างดี เพียงแค่สิ่งเหล่านี้ก็บ่งบอกได้ว่าเขาเป็นนักธนูที่โดดเด่นอยู่แล้ว และแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ แค่ทักษะเหล่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างชื่อในกองพันธนู

ทันใดนั้น ดวงตาของโจวเหว่ยชิงก็สว่างวาบ ร่างกายเขาเปล่งประกายสายฟ้าออกมาก่อนลูกศรจะพุ่งไปทางป่าลึก

อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนั้นเอง มือทั้งสองของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็วูบไหว แสงสีเขียวพุ่งออกมาจากธนูอุษาม่วงของเธอ แม้ว่ามันจะถูกยิงออกมาภายหลังโจวเหว่ยชิง แต่มันก็พุ่งไปปะทะเข้ากับลูกศรของโจวเหว่ยชิงทันทีทันใด จากนั้นลูกศรของโจวเหว่ยชิงก็เสียการทรงตัว เกิดเป็นแสงประกายวูบวาบพร้อมกับเสียงเปรี้ยง! จากนั้นลูกศรของทั้งคู่ก็พุ่งไปฝังตัวอยู่บนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป

โจวเหว่ยชิงรีบพลิกตัวลงจากต้นไม้อย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด ร่างของเขาไถลลงไปจากต้นดารา จากนั้นก็รีบไปแอบซ่อนอยู่หลังต้นไม้ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของตนถูกปกปิดไว้ด้วยลำต้นหนาๆ ของต้นดาราจนมิด

“นี่เจ้ากลัวตายขนาดนี้เลยหรือ?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว

เมื่อได้ยินว่านั่นคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็โผล่หัวขึ้นมาแล้วพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง “มนุษย์ย่อมกลัวตายเป็นธรรมดานี่นา! ถ้าหากว่านั่นเป็นศัตรูล่ะ? ผู้บัญชาการกองพันที่รักของข้า ท่านควรจะยกย่องชื่นชมข้าในเรื่องการมีสติระมัดระวังตัวนะ! มีลูกน้องเช่นข้า ท่านไม่รู้สึกภูมิใจหรือ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงหึในลำคอ “กระต่ายตัวน้อยนั้นน่ารักมาก แต่เจ้าก็ยังต้องการจะฆ่ามัน เจ้าไม่ควรพรากชีวิตบริสุทธิ์ของใครขณะที่มีข้าอยู่ด้วย!”

โจวเหว่ยชิงรีบกล่าวด้วยใบหน้าที่น่าสงสาร “ผู้บัญชาการกองพันผู้งดงาม ข้าจะมีชีวิตอยู่อย่างหิวโหยได้อย่างไร! ท่านไม่ยอมมอบอาหารแห้งให้ข้ากิน แต่พอข้าจะล่าอาหารมากินเอง ท่านก็ยังจะห้ามข้าอีก เป็นเช่นนี้แล้วจะยุติธรรมได้อย่างไร!”

เมื่อเห็นท่าทางทุกข์ใจของโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจของเธอถึงรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เธอเผยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจในตัวเองขณะที่กล่าว “เจ้าไม่ได้พูดว่าเจ้ามีความสามารถในการหาอาหารหรอกหรือ? ดังนั้นเจ้าสามารถหาอาหารได้ต่อตามใจ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฏที่ว่าจะไม่ล่าสิ่งมีชีวิต”

โจวเหว่ยชิงเดินออกมาจากข้างหลังต้นไม้ สะพายธนูไว้ที่หลังตามเดิมและถอนหายใจออกมาด้วยใบหน้าทุกข์ทรมาน “ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าจะยังไม่ได้กินเนื้อสัตว์เลย ผู้บัญชาการกองพันผู้งดงาม ข้ายังอยู่ในวัยเจริญเติบโต การขาดสารอาหารนั้นเป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก!”

“หึ! เจ้าถึกทนพอๆ กับวัวกระทิง ไหนล่ะสารอาหารที่เจ้าขาด?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอพูดจบใบหน้าของเธอก็แดงก่ำ ท้ายที่สุดแล้วเธอเองก็เคยได้สัมผัสถึงความถึกทนของเจ้าอ้วนน้อยโจวด้วยตนเอง

ทว่าคำพูดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เป็นจริงเช่นกัน หลังจากที่โจวเหว่ยชิงปลุกมณีสวรรค์ของเขาได้ ไม่เพียงแต่ความสูงของเขาจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ร่างกายของเขาก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อทรงพลังดูเด่นชัดภายใต้เครื่องแบบทหาร ราวกับว่าเขามีพลังเก็บสำรองไว้ไม่มีที่สิ้นสุด หากตัดสินจากรูปร่างของเขาในหมู่ทหารแล้ว เขาย่อมจะต้องมีรูปร่างของทหารชั้นยอด และแน่นอนว่าดีกว่าผู้ใหญ่ตัวโตๆ คนหนึ่งเสียอีก จงอย่าลืมว่าเขายังอายุน้อยกว่า 14 ปี

น่าเสียดายที่สำหรับโจวเหว่ยชิงแล้ว เขาไม่ได้เห็นตอนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังทำท่าเขินอาย ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะพึงพอใจในตนเองมากขึ้นก็ได้ ขณะที่เขาพูด เขาก็ก้มหัวลงแนบติดพื้นราวกับกำลังมองหาบางอย่าง มือทั้งสองข้างของเขาขยับไปมารอบๆ พุ่มไม้ด้วยท่าทางชำนาญ หลังจากนั้นไม่นานในมือของเขาก็เต็มไปด้วยสิ่งของหลายอย่างเช่นหน่อไม้ จากนั้นเขาก็หยิบใบของต้นดาราขนาดใหญ่หลายๆ ใบออกมา ก่อนจะกลับมายืนหลังตรงอีกครั้ง

“ผู้บัญชาการกองพันสุดสวย แล้วของพวกนี้ล่ะใช้ได้ไหม?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง

…………………………………………………………

“ใครขอให้เจ้าเป็นห่วงข้า? ถอยไป” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยความโมโห ก่อนจะสะอื้นออกมา

โจวเหว่ยชิงเกาหัวแกร่กๆ “เอาล่ะๆ ข้าผิดเองๆ ข้าจะเชื่อฟังท่าน หลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ตามที่ท่านอยากให้ข้าทำ ตกลงไหม? แม้ท่านจะให้ข้าหลอมรวมกับหมู ข้าก็จะไม่โต้แย้งเด็ดขาด!” ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปที่หูของเขาและกระพือมันออกให้คล้ายกับหูของหมู

“หึ! เจ้าก็เป็นหมูอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกเรียกว่าอ้วนน้อยโจวหรอก!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกท่าทางตลกๆ ของเขาทำให้หลุดขำพรืดออกมาอีกครั้ง จากนั้นเธอก็ยกเท้าขึ้นเตะเขาอีกครั้ง คราวนี้โจวเหว่ยชิงยืนนิ่งๆ รับลูกเตะนั้นอย่างเต็มใจ แม้ว่าใบหน้าของเขาจะบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเกินจริงไปเสียหน่อย แต่เขาก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้ดูเหมือนว่าเขาเต็มใจที่จะถูกลงโทษเพื่อให้ได้รับการให้อภัยจากเธอ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาจากใบหน้าของเธอ ก่อนจะจ้องมองเขาอย่างรวดเร็ว ในใจของเธอกำลังคิดว่า ‘เจ้าโรคจิตคนนี้จะเป็นคู่กัดกับข้าไปตลอดชีวิตจริงๆ ใช่หรือไม่ๆ? ทำไมข้าถึงไม่เคยรับมือเขาได้เลยนะ?’

“เจ้าพูดเองว่าเจ้าจะทำตามที่ข้าพูด และหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ใดๆ ก็ตามที่ข้าบอก ซึ่งนั่นย่อมรวมถึงทักษะกักเก็บมณีธาตุของเจ้าด้วย”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างรวดเร็วซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่กลัวจะโดนซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่อยตีหรือดุด่า แต่เขากลัวว่าเธอจะร้องไห้ใส่เขาเป็นที่สุด จะว่าไปแล้ว การต่อยตีนั้นถือเป็นการแสดงออกถึงความรัก การดุด่าก็คือความรัก ดังนั้นจอมเจ้าเล่ห์น้อยตนนี้จึงถือว่าการกระทำของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นเป็นไปตามธรรมชาติของคู่รัก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นเธอร้องไห้ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกยอมแพ้ทันที แม้ว่าใบหน้าภายนอกเขามักจะหัวเราะอย่างความสุข แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาภายในใจเขารู้สึกผิดมากกับเหตุการณ์ในวันนั้น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็นว่าเขาเป็นคนรักษาคำพูด ความโกรธของเธอจึงค่อยๆ ลดลง “อืม…กลับกันเถอะ เจ้าเก็บข้าวของให้พร้อม วันพรุ่งนี้ตอนเช้าเราจะไปจากค่ายทหาร”

“ออกจากค่าย? พวกเราจะไปไหนงั้นหรือ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้างุนงง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตอบ “เจ้าจะรู้เองเมื่อถึงเวลา เตรียมใจให้พร้อม คราวนี้เราจะออกเดินทางอย่างน้อยสองถึงสามเดือน และเจ้าก็ไม่ต้องเข้าร่วมการฝึกของทหารใหม่”

โจวเหว่ยชิงขยิบตา “แค่ข้ากับท่าน?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดเดิน เธอหันกลับมาจ้องมองเขาอย่างโกรธแค้น “ถ้าอยากตายก็พูดต่อไปสิ! หากเจ้ากล้าคิดอะไรลามกๆ อีกล่ะก็ ข้าจะ…ข้าจะ…”

โจวเหว่ยชิงรีบพูดต่อทันที “ท่านจะร้องไห้ให้ข้าล่ะสิ…เฮ้อ…ข้าล่ะกลัวท่านเสียใจเป็นที่สุด… ” ในขณะที่เขาพูดคำเหล่านั้น เขาก็เปิดใช้ทักษะธาตุลมทันทีและกระโจนหนีไปด้วยความเร็วสูงสุด

เมื่อมองเห็นโจวเหว่ยชิงกำลังหนีหัวซุกหัวซุน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หัวเราะออกมาอีกครั้งในลำคอ จากนั้นก็ร่วมเล่นไล่จับกับเขาอย่างไม่คาดคิด เธอตะโกน “จงออกมา! ศรติดตามไร้เสียง”

ด้วยเสียง *ฟุ่บ* ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็ล้มไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น ก่อนจะกลิ้งตกลงไปในป่า สีหน้าดูหวาดกลัวจนแม้แต่ชางกวนปิงยังนึกกังวล เธอไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาถูกโจมตีโดยองค์หญิงตี้ฝูหยา ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมีความรู้สึกอ่อนไหวเป็นพิเศษ

หลังจากที่โจวเหว่ยชิงตกกระแทกพื้นอย่างแรงแล้วเขาจึงตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ในขณะที่เสียงหัวเราะของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดังก้องขึ้นมานั้นเอง เสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสงสารก็ดังขึ้นในป่าดารา “ท่านจะคิดจะสังหารสามีของท่านหรือ…” ทันใดนั้นเสียงหัวเราะอย่างยินดีก็หยุดลง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนที่ดังขึ้นอย่างเจ็บปวด

ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สวมเสื้อและกระโปรงผ้าฝ้ายง่ายๆ หยิบธนูอุษาม่วงของเธอสะพายเข้าที่หลัง จากนั้นก็เดินตรงไปยังทางออกของค่ายทหาร ซึ่งเวลานั้นเหล่าทหารที่เห็นเธอต่างก็คิดว่าแม้แต่เสื้อผ้าธรรมดาๆ ก็ยังไม่สามารถปกปิดความงามอันน่าประทับใจของเธอได้

เมื่อเธอเดินไปถึงประตูทางออกของค่ายทหาร เธอก็เห็นโจวเหว่ยชิงซึ่งยังคงแต่งกายในเครื่องแบบทหารนอนพักผ่อนอยู่ใกล้ทางออก เขาสะพายคันธนูยาวไว้ด้านหลังพร้อมกับแล่งธนูสองอัน นอกจากนั้นยังสวมชุดเครื่องแบบพลธนู ไม่ลืมแม้กระทั่งหมวกลมของนักธนู

เมื่อเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาถึง โจวเหว่ยชิงก็หันไปให้ความสนใจกับเธอทันที เขาทำความเคารพอย่างเหมาะสมและตะโกนเสียงดัง “อรุณสวัสดิ์ขอรับผู้บัญชาการกองพัน!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างโมโห “ข้าไม่ได้บอกเจ้าเมื่อวานนี้เหรอว่าให้ใส่ชุดธรรมดา?”

โจวเหว่ยชิงเกาหัวอย่างอายๆ “ข้าไม่มีเสื้อผ้าธรรมดาเลยสักตัวเดียว มีแค่ชุดเครื่องแบบทหารนี้ แล้วก็ยังไม่มีชุดสำรองไว้เปลี่ยนด้วยขอรับ” ในขณะที่เขาพูด เขาก็มองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กัดริมฝีปากล่างเพื่อระงับอารมณ์อยากต่อยคน เธอพูดอย่างเย็นชา “เอาเถอะ ไปกันได้แล้ว” ขณะที่กล่าว เธอก็เริ่มขยับตัวเคลื่อนไหว โจวเหว่ยชิงรีบปลดปล่อยไพฑูรย์ตาแมวสองสีออกมาเพื่อเปิดใช้ทักษะธาตุลมของเขา จากนั้นก็ออกตัวตามเธอไป พวกเขาสองคนวิ่งตามกันไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็ออกจากบริเวณค่ายกลุ่มทหารและมุ่งหน้าทางทิศตะวันออกไปตามถนนสายหลัก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้พูดคุยกับโจวเหว่ยชิงระหว่างทางเลยเนื่องจากเธอรู้ว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับคนไร้ยางอายเช่นเขา แม้ว่าเธอจะโมโหเจ้าอ้วนน้อยโจวอยู่บ้าง แต่หลังจากทำข้อตกลง 3 ข้อกับเขาแล้ว เธอก็ไม่ต้องการจะฆ่าเขาอีกต่อไป เธอพร่ำบอกกับตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อนว่าทั้งหมดนี้เพื่อประโยชน์ของอาณาจักร

อันที่จริงวิธีการของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง โจวเหว่ยชิงที่ไล่ติดตามซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นพยายามหยอกล้อ และล่อลวงให้เธอพูดอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ทำเป็นไม่สนใจ นั่นทำให้เขาเป็นกังวลมากจนเอาแต่จับหู และเกาแก้มตัวเอง และหากเขาพูดอะไรที่อ่อนไหวหรือไม่เข้าท่าออกมา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็แค่ต้องเร่งความเร็วหนี เพราะเธอได้รับพลังความว่องไวจากมณียุทธ์ของเธอ เธอจึงสามารถทิ้งห่างเขาได้ทันที นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงพยายามวิ่งไล่ตามจนกระทั่งเขาหอบหนัก

ตั้งแต่เช้าจรดเที่ยง มากกว่า 4 ชั่วโมงที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์แทบจะไม่ได้พูดประโยคใดๆ กับโจวเหว่ยชิงเลย ทั้งยังไม่หยุดพักอีกด้วย ในเวลานี้ดวงอาทิตย์อยู่สูงเหนือท้องฟ้า และโจวเหว่ยชิงก็กำลังเหงื่อแตกพลั่ก แน่นอนว่าการวิ่งเป็นเวลา 4 ชั่วโมงนั้นไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขา แต่ปัญหาก็คือความเร็วของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างหาก! ในเวลานี้ เขามีปราณสวรรค์อยู่ในระดับที่จำกัด เมื่อมันถูกใช้จนหมดความเร็วของเขาก็จะลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดหลุมดำทั้ง 4 ของเขาก็จะดูดซับพลังจากบรรยากาศรอบตัวกลับเข้าไปใหม่อย่างช้าๆ หลังจากสะสมพลังปราณสวรรค์จนเต็มอีกครั้ง เขาจึงสามารถใช้ทักษะธาตุลมเพื่อเร่งความเร็วได้อีก กระบวนการแบบนี้ถูกทำซ้ำๆไม่รู้จบ สะสมปราณจนเต็ม จากนั้นก็ใช้พลังมณีเร่งความเร็วใหม่อีกครั้ง

เมื่อถึงตอนนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาเธอลดความเร็วของเธอลงเพื่อให้โจว เหว่ยชิงตามเธอได้ทัน เนื่องจากเธอรู้ว่าเขามีเพียงมณีธาตุลมเท่านั้น จึงไม่อาจเปรียบเทียบกับเธอที่ได้รับพลังมาจากทั้งมณียุทธ์ และมณีธาตุ แต่ทว่า ท้ายที่สุดเธอก็พบว่าอ้วนน้อยโจวที่เพิ่งจะปลุกมณีสวรรค์และมีพลังปราณอยู่ในระดับ 4 นั้นสามารถใช้ปราณสวรรค์ของเขาได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมาก ซึ่งนั่นเกินกว่าที่เธอคาดการณ์ไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากชั่วโมงที่ 2 เป็นต้นไป เวลานั้นเขาเริ่มมีจังหวะการชะลอตัวและเร่งความเร็วแบบแปลกๆ นั่นจึงทำให้เธอยิ่งสงสัยมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สงสัยนั้นย่อมไม่แปลก เนื่องจากจุดเด่นที่ไม่เหมือนใครของวิชาเทพอมตะอย่างการดูดซับปราณสวรรค์จากสภาพแวดล้อมได้อย่างง่ายดายนั้นไม่ใช่สิ่งที่วิชาอื่นๆจะทำได้

“พักสักครู่เถอะ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดชะงักชั่วครู่ แม้ว่าพวกเขาจะวิ่งมาด้วยความเร็วเต็มที่ แต่หลังจากวิ่งมาทั้งเช้า พวกเขาก็ยังคงอยู่ในป่าดารา และหากว่าพวกเขาต้องการออกจากป่าขนาดใหญ่นี้ แม้ว่าจะรักษาความเร็วเดิมเอาไว้ได้แต่ก็คงจะต้องใช้เวลาถึงตอนเย็นเลยทีเดียว

โจวเหว่ยนั่งแหมะลงที่พื้น และเอนหลังไปซบต้นดาราต้นหนึ่งที่ปลูกไว้ข้างถนน เขาหอบหายใจด้วยความเหนื่อย เหงื่อเปียกโชกไปทั่วร่างกาย อย่างไรก็ตาม เขายังค้นพบความสามารถอันน่าอัศจรรย์ของปราณสวรรค์ของเขาด้วย เมื่อปราณสวรรค์ของเขาหมดลง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่หลุมดำพวกนั้น แต่พวกมันก็ยังคงดูดกลืนปราณจาก รอบๆ เข้าไปเต็มกำลังเพื่อเติมเติมปราณสวรรค์ในร่างของเขา

……………………………………………………………..

“สิ่งที่เรียกว่าศาสตรามณียุทธ์ก็คือการที่มณียุทธ์ของเราสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นอาวุธ ชิ้นส่วนเกราะ หรือแม้แต่รูปร่างอื่นๆ ได้ เมื่อมันเปลี่ยนรูปร่างแล้ว มันก็จะมีพลังลักษณะเดียวกันกับมณียุทธ์ของเจ้า ซึ่งนั่นสามารถสร้างอาวุธที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับเราได้ “ตัวช่วยภายนอก” ที่ข้าบอกก็คือสิ่งนี้

สำหรับตัวข้านั้น ศรติดตามไร้เสียงของข้าสามารถโจมตีศัตรูได้จากทุกมุมในรัศมี 500 เมตรจากตัวข้า และความเร็วของมันคือ 3 เท่าของลูกธนูทั่วไป นอกจากนั้นยังมีความสามารถในการเจาะทะลวงเกราะอีกด้วย ดังนั้นตราบใดที่ข้ามีพลังปราณสวรรค์เพียงพอ ข้าก็สามารถใช้มันได้ซ้ำเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ระดับปราณสวรรค์ของข้าอยู่ขั้นพื้นฐานระดับ 8 ดังนั้นข้าจึงใช้ลูกศรนี้ได้สูงสุด 12 ดอก”

ศรติดตามไร้เสียงคืนร่างเป็นหยกหินมังกรก่อนจะกลับไปลอยวนอยู่บนข้อมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อีกครั้ง ในขณะนี้ โจวเหว่ยชิงกำลังสูดหายใจเข้าลึก แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าจ้าวมณีนั้นช่างเป็นบุคคลที่น่าเกรงขาม แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าพลังของพวกเขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้ เขาโชคดีที่ในวันนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้อยากจะฆ่าเขาจริงตามแรงอาฆาตของเธอ ไม่เช่นนั้น…

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้แสดงความรู้สึกภาคภูมิใจอะไรหลังจากแสดงศรติดตามไร้เสียงของเธอให้เขาดู ตรงกันข้ามเธอกลับดูเหมือนจะค่อนข้างสิ้นหวัง “ตอนนี้เจ้ารู้ถึงความแตกต่างของพลังมณีระหว่างการมีตัวช่วยกับไม่มีตัวช่วยแล้วสินะ ในการจะสร้างศาสตรามณียุทธ์ของเรานั้น จำเป็นต้องซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่สอดคล้องกันมาเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ราคาของม้วนคัมภีร์เหล่านั้นแพงหูฉี่มากๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือ อัตราสำเร็จในการสร้างศาสตรามณียุทธ์นั้นก็ต่ำมากเช่นกัน อาณาจักรเล็กๆ อย่างเกาทัณฑ์สวรรค์นั้น ไม่มีใครมีเงินมากพอจะออกค่าใช้จ่ายมากมายขนาดนั้นได้นอกเหนือจากราชวงศ์ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมจำนวนของจ้าวมณีในอาณาจักรเราถึงน้อยมาก  เนื่องจากจ้าวมณีเกือบทั้งหมดต่างไม่สามารถซื้อตัวช่วยภายนอกนั้นมาใช้ได้ ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะเป็นนักธนู เพราะหากไม่มีกำลังพอจะซื้อตัวช่วยได้เต็มที่ นักธนูยังสามารถใช้มณีพลังของพวกเขาได้เหนือกว่าอาชีพอื่นๆ เช่นนี้”

ขณะที่เธอกล่าว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ง้างธนูอุษาม่วงของเธออีกครั้ง แต่คราวนี้เธอใช้ลูกศรขนนกธรรมแทน และเมื่อธนูอุษาม่วงถูกง้างจนสุด มณีธาตุราชันแห่งทุรมาลิน 2 ดวงบนมือซ้ายของเธอก็สว่างวาบเป็นแสงสีแดงเจิดจ้า ก่อนจะค่อยๆ ลุกลามไปยังธนูอุษาม่วง และลูกธนูอย่างรวดเร็ว เสียงสายธนูสั่นกึกก้อง ก่อนลูกธนูจะถูกปล่อยออกไปเป็นเส้นตรงสีแดง และพุ่งทะลุผ่านต้นดาราที่อยู่ไกลออกไป 50 เมตรได้อย่างแม่นยำ

“มณียุทธ์ของข้านั้นมีความสามารถเพิ่มความเร็ว ทำให้ข้าสามารถยิงธนูออกไปได้เร็ว และแรงกว่านักธนูธรรมดาๆ และขณะเดียวกัน มณีธาตุลมของข้าก็ยังช่วยให้ลูกธนูที่ยิงออกไปมีความเร็วและการทะลุทะลวงเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นเมื่อรวมพลังมณียุทธ์และมณีธาตุของข้าแล้ว ประสิทธิภาพของมันจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นการเลือกเป็นนักธนูจึงทำให้ข้าใช้ความสามารถของมณีพลังทั้งคู่ได้ดีกว่า”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าพูดว่า “แล้วทักษะกักเก็บธาตุมณีล่ะ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “หากศาสตรามณียุทธ์มอบอาวุธให้เราแล้ว ทักษะกักเก็บธาตุมณีจะมอบพลังธาตุที่ทรงพลังให้เรา เจ้าดูนี่”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือซ้ายขึ้นมา ราชันแห่งทุรมาลินหนึ่งดวงค่อยๆ หลอมรวมเข้าไปในฝ่ามือของเธอเงียบๆ ทันใดนั้น แสงสีเขียวก็พุ่งขึ้นจากมือซ้ายของเธอก่อนจะลอยวนรอบนิ้วของเธอ ขณะที่เธอสะบัดนิ้ว กงจักรวายุสีเขียว 3 อันที่มีลักษณะรูปร่างเป็นพระจันทร์เสี้ยวและมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 หลาก็ลอยอยู่ตรงหน้าเธอ วินาทีต่อมาพวกมันก็เริ่มหมุนรอบพวกเขาทั้งสองคน อากาศราวกับถูกเฉือนเป็นชิ้นๆ ทำให้เกิดเสียงเสียดสีดังขึ้นอย่างแสบแก้วหู นั่นทำให้โจวเว่ยชิงที่ได้ยินถึงกับขนลุก

“นี่เป็นทักษะธาตุมณีที่เก็บไว้ในมณีธาตุชิ้นแรกของข้าเรียกว่า “กงจักรวายุ” ”มันเป็นทักษะที่ใช้ต่อสู้ระยะประชิด มีระยะการโจมตี 30 เมตร โดยทั่วไปแล้ว อาวุธจากมณียุทธ์และทักษะของมณีธาตุนั้นสามารถเติมเต็มซึ่งกัน และกันได้ดี พวกมันสร้างสมดุลในการโจมตี และการป้องกันทั้งในระยะประชิด และระยะไกล และสิ่งเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับจ้าวมณีสวรรค์อีกด้วย แม้ว่าจ้าวมณีธาตุหรือจ้าวมณียุทธ์ธรรมดาก็สามารถสร้างศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บธาตุมณีได้ แต่สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นย่อมแตกต่างกับสิ่งที่จ้าวมณีสวรรค์สร้างขึ้นมาอย่างสิ้นเชิงในแง่ของจำนวน ตัวอย่างเช่น กงจักรวายุ 3 อันที่ข้าใช้ หากเป็นจ้าวมณีธาตุลมธรรมดาที่ใช้ทักษะเดียวกัน แน่นอนว่าเขาสามารถสร้างกงจักรวายุได้แค่อย่างมากแค่ 1 อันเท่านั้น

การสร้างศาสตรามณียุทธ์ต้องใช้ม้วนคัมภีร์ที่สร้างโดยอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ และราคาของมันก็ถือว่าสูงเกินไปมาก อย่างไรก็ตาม การกักเก็บทักษะธาตุสำหรับมณีธาตุนั้นยุ่งยากมากกว่าเนื่องจากต้องใช้มณีธาตุกักเก็บทักษะธาตุจากเหล่าสัตว์อสูรสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น มณีธาตุ 1 ดวง สามารถกักเก็บได้ทักษะเดียว แต่พวกอสูรสวรรค์นั้นมีทักษะหลากหลายมากๆ นี่ยังไม่รวมถึงความยากลำบากในการจัดการกับอสูรสวรรค์พวกนั้นด้วยนะ และหากเจ้าต้องการจะกักเก็บทักษะจากพวกมัน แต่ทักษะของพวกมันไม่เข้ากันกับทักษะธาตุของเจ้า เจ้าก็จะต้องสูญเสียพื้นที่กักเก็บทักษะในมณีดวงนั้นไปเปล่าๆ และมณีธาตุดวงนั้นก็จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป  ดังนั้น เมื่อจ้าวมณีคิดจะกักเก็บทักษะไว้ที่มณีธาตุ พวกเขาจะต้องทำด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะจ่ายเงินในราคาที่สูงมากเพื่อเข้าร่วมวังกักเก็บทักษะ เพราะอย่างน้อยก็รับประกันว่าพวกเขาจะได้ทักษะที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาแน่ๆ”

ในที่สุดตอนนี้โจวเหว่ยชิงก็เข้าใจว่าการเป็นจ้าวมณีสวรรค์นั้นยากเพียงใด ความยากลำบากไม่ได้มีเพียงแค่การฝึกปราณเท่านั้น แต่ยังมีทั้งอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ ทั้งวังกักเก็บทักษะอีก เพียงแค่ฟังทุกสิ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวออกมาก็ทำให้เขาเวียนหัวแล้ว อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยคำพูดของเธอก็ทำให้เขาเข้าใจสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือจ้าวมณีสวรรค์ที่ไม่มีศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บธาตุนั้นอ่อนแอกว่าจ้าวมณีคนอื่นๆ มาก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองดูใบหน้าสุขุมและมุ่งมั่นของโจวเหว่ยชิงและรู้สึกค่อนข้างพึงพอใจ แม้ว่าเธอจะยังคงไม่สามารถยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้ แต่ทุกอย่างที่เธอมีอยู่ในตอนนี้ทั้งหมดก็ได้รับมาจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ฉะนั้นเธอจึงหมายมั่นว่าจะจงภักดีต่ออาณาจักรอย่างสุดหัวใจ และเธอก็เต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์มีจ้าวมณีสวรรค์ที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง เพราะหากไม่ต้องการเช่นนี้ เธอคงไม่ปล่อยโจวเหว่ยชิงไปในคืนนั้นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้เห็นความเคร่งขรึมและตัวตนอีกด้านที่หาได้ยากจากตัวเขา หัวใจของเธอก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

“อ้วนน้อยโจว ถ้าหากข้าให้เจ้าสร้างศาสตรามณียุทธ์ เจ้าจะสร้างอะไร?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างใจเย็น

โจวเหว่ยชิงตอบโดยไม่ลังเลว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นชุดเกราะทั้งตัว!! รวมถึงหมวกเกราะด้วย! ข้าต้องหุ้มตัวเองด้วยของแข็งๆ และสิ่งที่ดีที่สุดย่อมเป็นเกราะที่คงทนฟันแทงไม่เข้า วะฮ่าๆ!!!”

ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีเขียวในทันใด จากนั้นเท้าของเธอก็เหวี่ยงเข้าที่บั้นท้ายของโจวเหว่ยชิงอีกครั้งหนึ่ง “เจ้าทำตัวน่ารังเกียจให้น้อยลงได้หรือไม่? อยากตายมากใช่ไหม!?”

โจวเหว่ยชิงยกมือกุมบั้นท้ายราวกับว่าเขากำลังทุกข์ทรมานจากความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก “มนุษย์ที่ไม่กลัวความตายย่อมต้องถูกลงโทษโดยทั้งสวรรค์ และนรก! อายุขัยของพวกเราก็มีแค่ไม่กี่สิบปี แต่ข้ายังใช้ชีวิตอยู่ได้ไม่นานเลยนะ!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าควรหยุดฝันกลางวันให้เร็วที่สุดจะดีกว่าเพราะว่าความคิดของเจ้ามันเป็นไปไม่ได้ จำนวนศาสตรามณียุทธ์สำหรับมณียุทธ์แต่ละดวงนั้นมีจำกัด อย่างมากที่สุดเจ้าก็สามารถสร้างได้แค่ดาบยาวหนึ่งเล่มหรือธนูยาวหนึ่งคันต่อมณีหนึ่งดวง การสร้างชุดเกราะทั้งตัวแบบครบชุดนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย!”

โจวเหว่ยชิงกระพริบตา และพูดว่า “ท่านจะฟันธงไปแบบนั้นไม่ได้ สำหรับมณียุทธ์ดวงแรกของข้า ข้าจะสร้างหมวกเกราะ ส่วนดวงต่อไปก็สร้างเกราะป้องกันส่วนหัวใจ เมื่อเป็นดังนี้ ข้าจึงจะสร้างเกราะได้ทั้งชุดในสักวันหนึ่งได้แน่ๆ!”

“เจ้า…” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์โกรธจนตัวสั่น เธอจ้องมองไปที่ใบหน้าไม่สะทกสะท้านของโจวเหว่ยชิง ความโกรธแค้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้รวมกับไปกับความรู้สึกอยุติธรรมที่ปะทุอยู่ในใจของเธอทำให้จู่ๆ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมา เธอกัดริมฝีปากล่างของตนเองแน่น พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ส่งเสียงออกมา

“ เอ่อ…” เมื่อเห็นว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์เริ่มร้องไห้ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกปวดใจเป็นอย่างยิ่ง เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ เธออย่างระมัดระวัง “อย่าร้องไห้เลย ตกลงไหม? ท่านรู้หรือไม่ว่ายิ่งร้องก็ยิ่งขี้เหร่นะ…”

……………………………………………………………….

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยายามควบคุมความเร็วของตัวเองเพื่อให้เขาตามทัน จากนั้นก็กล่าวขึ้นโดยไม่มองเขา “เรียกข้าว่าผู้บัญชาการกองพัน แล้วก็ ถ้าหากข้าคิดจะฆ่าเจ้า เจ้าคิดว่าข้าต้องรอถึงตอนนี้ด้วยหรือ?”

หลังจากวิ่งต่อไปอีกระยะหนึ่ง เธอก็หยุดพัก ณ พื้นที่โล่งกว้างแห่งหนึ่งในป่าดารา

“เอาล่ะ ที่นี่ใช้ได้… พวกเราพอจะมีเวลาอยู่บ้างก่อนการฝึกทหารจะเริ่ม และในช่วงเวลานี้ ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับวิธีฝึกปราณสวรรค์และใช้มณีสวรรค์ด้วยประสบการณ์ของข้าเอง และหลังจากที่การฝึกทหารใหม่เริ่มต้นขึ้น เจ้าก็ไม่ต้องไปฝึกร่วมกับทหารเกณฑ์ธรรมดาพวกนั้น แต่เจ้าจะต้องฝึกด้วยตัวเองเพราะตอนนั้นข้ามีหลายสิ่งหลายอย่างจะต้องจัดการ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเย็นชา

เมื่อเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเว่ยชิงก็รู้สึกอับจนหนทาง นี่เป็นความคิดที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับเขา ไม่ว่าเขาจะพูดหรือทำอะไร เธอก็เพียงทำหน้าเยือกเย็นไร้อารมณ์เท่านั้น นั่นจึงจะทำให้เจ้าคนไร้ยางอายนี่ไม่กล้าจะทำตัวได้คืบจะเอาศอกอีก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นๆ “ตอนนี้เจ้ามีมณีสวรรค์ชุดแรก และกลายเป็นเจ้ามณีสวรรค์แล้ว ดังนั้นควรเรียกระดับของเจ้าว่า จ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นแรก ส่วนข้ามีมณีสวรรค์สองชุดแล้ว ดังนั้นข้าจึงเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นกลาง ปกติแล้วการฝึกปราณสำหรับพวกเราจ้าวมณีสวรรค์นั้นยากมาก หากเจ้าต้องการไล่ตามข้าให้ทัน เจ้าต้องฝึกฝนอย่างหนักจนบรรลุปราณสวรรค์ระดับที่ 8 และแยกมณีสวรรค์ของเจ้าออกมาอีกชุด ข้าสามารถสอนเจ้าได้เมื่อเวลานั้นมาถึง ส่วนตอนนี้ข้าจะสอนเจ้าเพิ่มเกี่ยวกับการใช้มณีสวรรค์”

โจวเหว่ยชิงเกิดความรู้สึกมุ่งมั่นแรงกล้าขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น และเขาก็ตั้งใจฟังอย่างว่าง่าย ซ่างกวนปิง เอ๋อร์กล่าว “ข้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์เช่นกัน แต่ข้าได้เลือกอาชีพนักธนู เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงเลือกเช่นนั้น?”

โจวเหว่ยชิงตอบทันทีด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ “ต้องเป็นเพราะว่าท่านกลัวตายเหมือนกับข้าแน่นอน! ในฐานะพลธนูเราสามารถซ่อนตัวในเงามืดและแอบซุ่มโจมตีศัตรูได้ด้วยลูกธนู ซึ่งนั่นปลอดภัยกว่าแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วความปลอดภัยก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เหงื่อตก เธอแทบจะรักษาสีหน้าเยือกเย็นบนใบหน้าเอาไว้ไม่ได้ จากนั้นจึงกัดฟันพูดด้วยความโกรธ “เจ้าคิดว่าทุกคนไร้ยางอายเหมือนเจ้างั้นหรือ? เหตุผลที่ข้าเลือกเป็นนักธนูเพราะข้ายากจนมากต่างหาก! และรู้หรือไม่ว่า แม้กระทั่งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราเองก็ยังไม่สามารถสนับสนุนการฝึกของจ้าวมณีสวรรค์ได้อย่างเต็มที่ด้วยซ้ำ”

โจวเหว่ยชิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขากล่าว “เป็นไปได้อย่างไร?? นอกจากแม่ทัพโจวแล้ว ท่านก็เป็นเพียงคนเดียวที่เป็นจ้าวมณีสวรรค์นะ! ถ้าหากท่านไม่มีเงิน ข้าคิดว่าราชวงศ์ของเราย่อมให้การสนับสนุนแก่ท่านอย่างไม่มีเงื่อนไขแน่นอน”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ “เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด จำนวนเงินและทรัพยากรที่ต้องใช้เพื่อพัฒนาและฝึกปรือเจ้ามณีสวรรค์หนึ่งคนนั้นมีค่ามากมายอย่างที่เจ้าคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

หากกล่าวถึงพื้นฐานของมณีธาตุและมณียุทธ์ จ้าวมณีสวรรค์อย่างพวกเรานั้นมีทั้งมณียุทธ และมณีธาตุ มณียุทธ์ทำให้ร่างกายของเราแข็งแกร่งขึ้นโดยตรง ส่วนมณีธาตุก็ช่วยให้พลังทักษะธาตุกับร่างกายเรา นั่นทำให้พวกเรามีความสามารถมากกว่าคนทั่วๆ ไป

อย่างไรก็ตาม หากเราใช้พลังมณีแค่เพียงเพิ่มพลังให้กับร่างกายของเราแค่นั้น ความสามารถที่แท้จริงของมณีก็จะถูกจำกัดอยู่เพียงแค่นี้ ยกตัวอย่างเช่น ทักษะธาตุลมที่เราใช้เมื่อสักครู่นี้สามารถเพิ่มความเร็วให้กับร่างกายเราได้เล็กน้อย  เมื่อพลังปราณสวรรค์และทักษะธาตุลมของเราหลอมรวมเข้าด้วยกัน มันจะถูกเรียกว่าปราณสวรรค์ธาตุลม และเมื่อเราต่อสู้โดยใช้อาวุธหรือแค่มือเปล่าๆ มันก็จะสามารถเพิ่มความเร็วให้ร่างกายของเราเพื่อใช้ในการโจมตีได้ อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ทักษะธาตุสายฟ้าของเจ้า มันจะช่วยกระตุ้นร่างกายด้วยสายฟ้าเพื่อให้ร่างกายมีพลังโจมตีมากยิ่งขึ้น สำหรับจ้าวมณีทั่วๆ ไป การใช้พลังจากมณีเพื่อเสริมพลังให้ร่างกายได้เช่นนี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว  แต่หากเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทั้งมณียุทธ์และมณีธาตุ การใช้พลังมณีได้เพียงแค่นี้อาจจะไม่เพียงพอ

และอย่างที่เรารู้กันว่าสำหรับจ้าวมณีสวรรค์แล้ว การฝึกปราณสวรรค์นั้นยากกว่าจ้าวมณีธรรมดามาก เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจึงใช้พลังของมณีได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นหากเราต้องการจะใช้พลังมณีให้เต็มประสิทธิภาพสูงสุด เราจะต้องมี “ตัวช่วยภายนอก” บางอย่างเพื่อทำให้มณียุทธ์และมณีธาตุของเราสามารถใช้งานได้เต็มขีดจำกัดของมัน”

โจวเหว่ยชิงค่อนข้างสับสน เขากล่าว “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าท่านหมายความว่าอย่างไร”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวตอบ “ข้าจะยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เจ้าเข้าใจ ทักษะของมณีธาตุที่เรามีอยู่นั้น ปกติแล้วจะสามารถเพิ่มพลังให้กับร่างกายของเราเองได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้โจมตีศัตรูได้ หากว่าไม่มี “ตัวช่วย” บางอย่าง อย่างไรก็ตาม เมื่อเราใช้ “ตัวช่วยภายนอก” มันจะสามารถช่วยเพิ่มความสามารถพิเศษที่ทำให้เราสามารถปล่อยพลังธาตุภายในตัวเราออกไปโจมตีศัตรูได้ เจ้าเพียงแค่ต้องจำสองคำนี้ไว้ให้ดี ศาสตรามณียุทธ์ และทักษะกักเก็บธาตุมณี สองคำนี้เป็นวิธีพื้นฐานที่ทำให้เราสามารถเพิ่มขีดจำกัดของมณียุทธ์และมณีธาตุของเราได้”

“ศาสตรามณียุทธ์ ทักษะกักเก็บธาตุมณี?“ โจวเหว่ยชิงทวนคำพูดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แม้ว่าแม่ทัพโจวจะเข้มงวดกับเขามากโดยเฉพาะเรื่องการศึกษา แต่เนื่องจากเส้นชีพจรของเขาอุดตัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถูกสอนเกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์มากนัก ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงมีความรู้สึกราวกับว่าประตูลึกลับกำลังเปิดกว้างรอให้เขาเข้าไปค้นหา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวต่อไปว่า “ยิ่งมีมณียุทธ์ดวงใหม่เพิ่มมากขึ้น ร่างกายของพวกเราก็จะแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพวกเราที่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ผู้ครอบครองมณียุทธ์บริสุทธ์ ความแข็งแกร่งของพวกเราจะเพิ่มขึ้นมากกว่าจ้าวมณีธรรมดาถึง 1.5 เท่า อย่างไรก็ตาม พลังอันน่าพิศวงของมณียุทธ์ก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นี้ เจ้าดูนี่”

ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังพูดอยู่นั้น เธอก็ยกมือซ้ายขึ้นมาอย่างช้าๆ เผยให้เห็นหยกหินมังกรสองดวงที่โปร่งแสงเป็นประกายวิบวับกำลังหมุนวนเป็นวงกลมอยู่ที่ข้อมือของเธอ เมื่อโจวเหว่ยชิงสังเกตดู เขาก็พบว่าหยกหินมังกรดวงแรกนั้นจู่ๆ แสงของมันก็ดับวูบลงไป จากนั้นมันก็พุ่งทะยานออกไปจากข้อมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แสงสีเขียวก็ค่อยๆเรืองรองออกมาจากหยกหินมังกรดวงดวงนั้นและมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างกลางอากาศ

รอเพียงไม่กี่อึดใจ หยกหินมังกรดวงนั้นก็เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นลูกธนูยาวดอกหนี่ง! ทั่วทั้งตัวของมันราวกับทำมาจากหยกหินมังกร ทั้งเป็นประกายและโปร่งแสง มีขนาดไม่ต่างไปจากลูกธนูธรรมดาๆ ยกเว้นเสียแต่ว่ามันมีแสงสีเขียวเรืองรองออกมารอบๆ ตัวมัน

“งั้น…นี่คือศาสตรามณียุทธ์หรือ?” โจวเหว่ยชิงจ้องมองอย่างตะลึงงันในขณะที่เขาพูด เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะสามารถนำมณียุทธ์มาใช้งานได้อย่างมหัศจรรย์เช่นนี้

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้า เธอยกมือซ้ายของเธอขึ้นมาจับธนูอุษาม่วง นิ้วชี้และนิ้วกลางจับลูกธนูหยกหินมังกรพาดไปบนสายธนู

“จับตาดูข้าเอาไว้”

เมื่อเตือนเสร็จ เธอก็ง้างธนูอุษาม่วงไปจนสุดสาย จากนั้นแสงสีเขียวก็พุ่งออกไปพร้อมกับเสียงสั่นกระทบกันของสายธนู ความเร็วที่แท้จริงของมันทำให้นั่นดูราวกับเป็นภาพลวงตา สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือหลังจากที่ลูกธนูหยกหินมังกรถูกปล่อยออกมา โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย สิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือแสงสีเขียวที่พุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ลูกธนูนั่นไม่ได้พุ่งไปเป็นเส้นตรงด้วยซ้ำ แต่กลับพุ่งเลี้ยวลดไปมาจากนั้นก็หมุนตัวกลับมาทางเดิม ยิ่งไปกว่านั้นมันยังสามารถเลี้ยวหลบต้นดาราได้อย่างคล่องแคล่วราวกับมันสามารถมองเห็นได้

“นี่เป็นไปได้ยังไง!?” โจวเหว่ยชิงสั่นสะท้าน ความคิดแรกที่ปรากฏในใจของเขาก็คือ หากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้ไอ้เจ้านี่ยิงเขา แม้ว่าจะมีตัวเขาสักร้อยคนก็คงต้องตายเป็นแน่!

“นี่เป็นศาสตรามณียุทธ์ของมณีดวงแรกของข้า “ศรติดตามไร้เสียง” มันจะถูกควบคุมโดยข้าจนกว่าจะโจมตีสำเร็จ จากนั้นมันก็พุ่งจะกลับมา” ขณะที่เธอพูด ลูกศรหยกหินมังกรก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในมือของเธอและเรืองรองแสงสีเขียวออกมา

………………………………………………………………

ท้ายที่สุดแล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าความสำเร็จทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ของโจวเหว่ยชิง แต่เป็นผลพลอยได้ที่เขาได้รับจากการทะลวงจุดฆ่าตัวตายจากวิชาเทพอมตะ ผลพลอยได้อันน่าอัศจรรย์นี้ทำให้เขาสามารถฝึกทักษะพื้นฐานของจ้าวอัญมณีสวรรค์ได้อย่างราบรื่น

เมื่อเห็นว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จ้องมองเขาด้วยความงุนงง โจวเหว่ยชิงก็เดินเข้าไปใกล้เธอและยิ้มกว้าง “ข้ารู้ว่าข้ายอดเยี่ยมมาก แต่ถ้าเจ้ามัวแต่จ้องมองข้าเช่นนั้น ข้าก็เขินแย่สิ!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาจากภวังค์ ใบหน้าของเธอขึ้นสีแดงด้วยความอับอาย จากนั้นลูกเตะก็โบยบินไปที่บั้นท้ายของโจวเหว่ยชิง เธอกัดฟันพูด “อ้วนน้อยโจว! ข้ารอฟาดหน้าเจ้ามานานมากแล้ว!!!”

โจวเหว่ยชิงเข้าใจทันทีว่ากำลังจะเกิดเรื่องกับเขา ทันใดนั้นทักษะการแสดงออกว่าหวาดกลัวก็ถูกงัดออกมาใช้อย่างรวดเร็ว อนิจจา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะถูกหลอกอีกครั้งได้อย่างไร? การเคลื่อนไหวของเธอจึงรวดเร็วราวกับสายลมขณะที่ก้าวไปหาเขาด้วยความโมโห

“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย…”

สิบนาทีต่อมา อ้วนน้อยโจวก็งอตัวอยู่บนพื้นเหมือนกุ้งต้ม ร่างกายของเขาสั่นขณะที่ส่งเสียงพึมพำออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ดูน่าสงสารราวกับว่าจะตายได้ทุกเวลา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างพูดไม่ออก ในความเป็นจริงเธอแทบจะไม่ได้ต่อยโดนเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ทักษะการแสดงของชายคนนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ! แม้เธอจะรู้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังแสดงละคร แต่สุดท้ายเธอก็ยังตีเขาต่อไม่ลง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างโกรธเคือง “หยุดเล่นละครได้แล้วเจ้าบ้า! ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน”

เมื่อได้ยินดังนั้น โจวเหว่ยชิงผู้ซึ่งดูเหมือนกำลังใกล้ตายเมื่อครู่นี้ก็เด้งตัวขึ้นมาจากพื้นทันที และกระโดดไปรอบๆ อย่างมีชีวิตชีวา แม้ว่าใบหน้าของเขาจะมีรอยช้ำอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังเต็มไปด้วยพลังชีวิตและความแข็งแกร่ง

เขาถูกอัดจนน่วมหลายครั้งหลายคราตั้งแต่ยังเด็ก ความต้านทานทางกายภาพของเขาจึงเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถเปรียบเทียบได้ เหมือนที่ทะเลสาบวารีเยือกแข็ง ตอนที่เขาปะทะกับตี้ฝูหยา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาคาดไม่ถึงว่าตี้ฝูหยาจะกล้าโจมตีเขาด้วยมณีธาตุล่ะก็ เขาก็คงจะไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงได้เรียนรู้แล้วว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็ต้องระวังตัวอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีของตี้ฝูหยายังทำให้เขาได้รับบทเรียนอันมีค่าว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จ้องเขาและพูดว่า “ใครขอให้เจ้าทำลายธนูอุษาสีม่วงนั่น? เจ้ารู้ค่าของธนูคุณภาพสูงชนิดนี้หรือไม่? เซียวเซ่อแพ้พนันเจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าก็ควรเก็บมันไว้ใช้เองจะเป็นประโยชน์กว่า” เนื่องจากเธอเกิดมาในครอบครัวคนธรรมดา และลูกของคนจนก็มักจะถูกสอนให้รู้คุณค่าของเงินทองตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้นเมื่อมองไปที่ธนูอุษาสีม่วงที่แตกอยู่บนพื้น ในใจของเธอจึงรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

โจวเหว่ยชิงส่ายหน้า เขาพูดอย่างเย่อหยิ่ง “ข้าไม่ต้องการธนูของเขา ข้ากลัวว่ามันจะทำให้มือข้าสกปรก แค่มองไอ้หนุ่มหน้าหยกนั่น ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไร แต่ว่าถ้าเป็นธนูท่านที่มอบให้กับข้า ข้าจะดูแลมันอย่างดีและเก็บไว้บนหิ้งเลยทีเดียว ทุกวันๆ ข้าจะดมกลิ่นหอมๆ ของท่านที่เหลือติดอยู่บนนั้น จากนั้นพลังของข้าก็จะถูกเติมเต็มอีกครั้ง!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำมือแน่น “อยากโดนอีกหมัดรึไง? หา!”

ร่างกายของโจวเหว่ยชิงหดกลับทันที เขาจ้องมองเธอด้วยดวงตาหงอยๆ แล้วพูดว่า “ท่านบอกว่าวันนี้ท่านจะปล่อยข้าไปไม่ใช่หรือ? แต่หากท่านอยากจะตีข้าอีกจริงๆ ก็มาสิ…”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกว่าการจัดการกับเขาเป็นเรื่องยากขึ้นทุกขณะ เธอไม่สามารถตัดสินคนๆ นี้ด้วยความคิดแบบเดิมๆ ได้ ความเจ้าเล่ห์ของเขานั้นอยู่เหนือไปอีกระดับอย่างแท้จริง

“พูดไร้สาระให้น้อยๆ ลงหน่อยเถอะ เอาล่ะ แสดงว่าตอนนี้เจ้าเชื่อมกับมณีสวรรค์ของเจ้าได้แล้ว เช่นนั้นมณีธาตุของเจ้ามีทักษะอย่างไรบ้าง?”

ทันทีที่กล่าวถึงการฝึกฝนมณีสวรรค์ สีหน้าของโจวเว่ยชิงก็พลันเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างหาได้ยาก เขากล่าวว่า “หลังจากปราณสวรรค์ และมณีธาตุของข้าหลอมรวมกัน ข้าเห็นสีที่แตกต่างกันหลายสี เมื่อข้าเพ่งไปที่แต่ละสี ร่างกายของข้าก็จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับทักษะธาตุต่างๆ ที่เป็นตัวแทนแต่ละสี ข้ามีทักษะธาตุ 5 สีที่แตกต่างกัน และข้าคิดว่าพวกมันน่าจะเป็นทักษะดังนี้ สีเขียวเป็นทักษะธาตุลม สีฟ้าเป็นทักษะธาตุสายฟ้า สีดำเป็นทักษะธาตุมืด และสีเงินเป็นทักษะธาตุมิติ ส่วนสุดท้ายเป็นสีเทา เมื่อข้าเพ่งไปที่มัน ข้าก็ถูกความกระหายเลือดเข้าครอบงำและต้องการจะฆ่าฟัน ยิ่งไปกว่านั้น ปราณสวรรค์ของข้าก็ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน นั่นมันแปลกมากๆ ดังนั้นข้าจึงเรียกมันว่าทักษะธาตุปีศาจไปก่อนชั่วคราว” เขาไม่ได้พูดถึงทักษะธาตุสุดท้ายของเขา ไม่ใช่เพราะเขาไม่ไว้วางใจซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่เป็นเพราะเขาเองก็แน่ใจว่าแม้แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าเป็นทักษะธาตุอะไรกันแน่

เมื่อฟังที่เขาพูดเสร็จ เส้นเลือดในตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตีบตัน เธอรำพึงในใจ ‘ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้จึงได้รับทักษะธาตุที่ดีมากมายขนาดนี้ ยิ่งกว่านั้น เป็นเพราะของเขา…ข้าถึง…’

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สะบัดหัวไล่ความคิดนั้น เธอพยายามจะหยุดคิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น แต่ทว่าเธอก็รู้สึกได้ว่าความรู้สึกของตนเองเวลามองโจวเหว่ยชิงก็แปลกไปในบางครั้ง

“ตามข้ามา” ขณะที่พูด เธอก็สะพายธนูอุษาสีม่วงของเธอไว้ด้านหลัง หยิบแล่งธนูสองอัน ก่อนจะเดินออกไป

โจวเหว่ยชิงเดินตามเธอออกจากกระโจมบัญชาการ มุ่งหน้าไปยังชานเมือง ในไม่ช้าทั้งคู่ก็ออกจากพื้นที่ค่ายทหาร ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หันมามองเขาและพูดว่า “ใช้ทักษะธาตุลมของเจ้า”

“ให้ข้าใช้มันยังไง?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้างุนงง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “เพ่งความสนใจไปที่ส่วนสีเขียวของวงล้อทักษะธาตุ”

โจวเหว่ยชิงหยุดนิ่ง ก่อนจะปลดปล่อยมณีสวรรค์ของเขาออกมา จากนั้นเขาค่อยๆ ชักนำปราณสวรรค์ของเขาไปที่มณีธาตุ ทันทีที่วงล้อแสงหกสีปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาก็มุ่งความสนใจไปยังพื้นส่วนสีเขียวตามที่เธอบอกไว้ ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มเบาขึ้น ราวกับว่ามีอากาศกำลังหมุนวนอยู่รอบตัวเขา สิ่งนั้นทำให้รู้สึกเบาสบายและล่องลอยราวกับขนนก ในบรรดาทักษะธาตุต่างๆ ที่มณีธาตุของเขามีอยู่ ทักษะธาตุลมคือทักษะธาตุที่ใช้ปราณสวรรค์น้อยที่สุด และในขณะที่เขาใช้งานมณีธาตุของเขานั้น อัตราการดูดกลืน ณ หลุมดำจากจุดตายทั้ง 4 ก็เร่งความเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน พวกมันกำลังเร่งดูดซับพลังปราณสวรรค์จากภายนอกเข้ามาภายในร่างของเขา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รอโจวเหว่ยชิงอย่างอดทนขณะที่เขาเริ่มใช้มณีธาตุของเขา กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเกือบสองนาที จนกระทั่งเธอเห็นชั้นแสงสีเขียวสลัวเริ่มรายล้อมร่างของโจวเหว่ยชิง จากนั้นเธอจึงเริ่มเคลื่อนไหว ในชั่วพริบตาแสงสีเขียวก็สว่างวาบขึ้นมาบนข้อมือของเธอ มันคือทักษะธาตุลมนั่นเอง และด้วยเหตุนั้นมันก็ทำให้เธอวิ่งนำโจวเหว่ยชิงไปก่อนด้วยความเร็วสูง

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงใช้ประโยชน์จากมณีธาตุของเขา เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาเบามากจนแทบจะลอยขึ้นได้ และทุกอย่างก็ดูง่ายดายราวกับไม่ต้องออกแรงอะไรเลย เขาเพียงแค่ต้องสัมผัสเท้าเบาๆ บนพื้น จากนั้นก็สามารถลอยไปข้างหน้าได้ไกลถึง 3-4 เมตร วิธีนี้ไม่เพียงแต่ทำให้วิ่งเร็วกว่าปกติหลายเท่า แต่มันยังไม่ต้องใช้แรงมากนักอีกด้วย

ไม่น่าแปลกใจที่คนจำนวนมากต้องการที่จะเป็นจ้าวมณี ความสามารถของจ้าวมณีนั้นน่ามหัศจรรย์จริงๆ! เมื่อ โจวเหว่ยชิงพบข้อได้เปรียบต่างๆ มากมายของทักษะธาตุลม เขาอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานขึ้นมาในใจ อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังสามารถมองเห็นช่องว่างความแตกต่างระหว่างเขากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เห็นได้ชัดว่าเธอสามารถเปิดใช้ทักษะธาตุลมของเธอทันที ผิดกับเขาที่ต้องใช้เวลาเตรียมการนาน

หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เดินทางไปได้ไกลเกือบ 10 ไมล์ จากบริเวณค่ายทหารไปถึงเขตชานเมืองของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ และขณะนี้ทั้งคู่ก็กำลังเข้าสู่ป่าดารา

“ปิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ได้กำลังจะพาข้ามาฆ่าปิดปากใช่ไหม?” โจวเหว่ยชิงกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างขำขันขณะที่เขาวิ่งตามซ่างกวนปิงเอ๋อร์เข้าไปในป่าดารา

………………………………………………………………

ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะเริ่มจับสายธนู บรรดานายหมู่ภายใต้สังกัดของเซียวเซ่อก็เริ่มตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่า “อย่าเสียแรงเลยไอ้หนู รีบเรียกท่านปู่เร็วเข้า! ได้เรียกผู้บัญชาการกองร้อยของพวกเราว่าท่านปู่นั้นเป็นโชคดีของเด็กเหลือขออย่างแกแล้วนะ!!!”

โจวเหว่ยชิงหันไปมองที่นายหมู่ที่ตะโกนออกมา แสร้งทำเป็นว่าเขาได้ยินไม่ชัด ก่อนจะถาม “ท่านขอให้ข้าเรียกอะไรนะ?

นายหมู่คนนั้นตอบออกมาอย่างลืมตัว “ท่านปู่”

โจวเหว่ยชิงยิ้มออกมาและกล่าวอย่างยินดี “โอ้ ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ! แต่ว่านะ มีหลานอย่างเจ้าได้เนี่ย บรรพบุรุษน่าจะต้องลืมทำบุญมาแน่ๆ”

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!!?” นายหมู่คนนั้นเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาถูกหลอกโดยเจ้าทหารใหม่ที่ดูซื่อๆ คนนั้น เขาลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ แต่ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงก็ทำสีหน้าเยาะเย้ยและออกแรงใช้แขนทั้งสองข้างง้างธนูอุษาสีม่วงออกจนกระทั่งกลายเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวงทันที

นายหมู่คนนั้นยืนขึ้นกำลังจะสาบแช่งเขาอย่างโกรธแค้น แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าโจวเหว่ยชิงง้างธนูอุษาสีม่วงออกมาได้จนสุด เข้าอ้าปากค้าง สีหน้าของเขาแสดงออกว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่นิด ไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียว นายหมู่ที่อยู่ใต้บัญชาของเซียวเซ่อต่างก็มีอาการเดียวกันทั้งหมด แม้แต่เซียวเซ่อเองก็ยังทำหน้าราวกับเห็นผี ใบหน้าของเขาราวกับมีคำว่าตกใจเขียนติดอยู่ สำหรับมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังปราณสวรรค์นั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดึงธนูอุษาสีม่วงได้

โจวเหว่ยชิงไม่ได้ปล่อยสายธนูคืนหลังจากง้างมันออกมาได้ แต่กลับคงนิ่งอยู่ในท่าง้างจนสุดนั้นโดยไม่เคลื่อนไหว สีหน้าท่าทางใสซื่อปนขุ่นเคืองที่แสดงออกทั้งหมดก่อนหน้าได้หายไปหมด ขณะนี้มีเพียงสายตาดูถูกเหยียดหยามมองไปยังเซียวเซ่อ โจวเหว่ยชิงร้องเสียงดัง “คุกเข่า เรียกข้าว่าท่านปู่สิ”

หลังจากโจวเหว่ยชิงพูดด้วยเสียงกระแทกกระทั้นเสร็จ เหล่านายหมู่ใต้บัญชาของเซียวเซ่อก็พุ่งไปล้อมเขาไว้ทันที ดูจากท่าทางแล้ว พวกเขากำลังคิดจะโจมตีโจวเหว่ยชิง

ทันใดนั้น รังสีความชั่วร้ายก็วาบผ่านเข้ามาในดวงตาของโจวเหว่ยชิง ภายใต้แขนเสื้อของเขา มณียุทธหยกน้ำแข็งกำลังหมุนวนอย่างเงียบๆ ราวกับหมอกในตอนกลางคืน จากนั้นก็ปรากฏขึ้นบนข้อมือขวาของเขา

พลังปราณสวรรค์และมณียุทธของเขาผสานเข้าด้วยกันในทันที โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่าธนูอุษาสีม่วงที่ถืออยู่ในมือนั้นมีน้ำหนักเหลือเพียงแค่เล็กน้อย ร่างกายทุกส่วนของเขาเต็มไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถอธิบายได้ จู่ๆ มือทั้งสองของเขาก็ออกแรงอย่างไม่รู้สึกตัว จากนั้นก็มีเสียงอะไรบางอย่างแตกหักออกจากกัน ซึ่งนั่นก็คือธนูอุษาสีม่วงที่อยู่ในมือของเขานั่นเอง มันถูกโจวเหว่ยชิงง้างจนหักอย่างไม่มีใครคาดคิด

โจวเหว่ยชิงเหวี่ยงธนูอุษาสีม่วงลงไปที่พื้นราวกับว่ามันเป็นเศษขยะ จากนั้นยกกำปั้นขวาของเขาขึ้นมาเป่าเศษธนูออกจากมือ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ข้าดันคิดว่ามันเป็นของชั้นดี คาดไม่ถึงว่าแค่จับนิดจับหน่อยก็หักเสียแล้ว แล้วนี่ท่านจะยังเรียกมันว่าเป็นธนูได้อีกหรือ?”

“นายหมู่ผู้ไม่มีขนนก” ที่กำลังเตรียมจะโจมตีโจวเหว่ยชิงพลันตกใจจนผมแทบร่วง นั่นเป็นธนูอุษาสีม่วงที่ทำมาจากไม้ดาราอายุกว่าร้อยปีเลยนะว้อยยย!!!!

ดั่งที่ผู้บัญชาการกองร้อยเหมาหลี่ได้พูดไว้ก่อนหน้าแล้วว่า มีเพียงไม่กี่คนในที่นี้ที่สามารถง้างธนูนั้นได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถง้างได้จนคันธนูหัก ต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งขนาดไหนจึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้?

จู่ๆ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เนื่องจากไม่มีผู้ใดกล้าขยับตัวแม้แต่น้อย

“พอได้แล้ว พวกเจ้าเล่นอะไรกัน? อยากโดนจับเข้าคุกทหารกันมากนักหรือไง?” เสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดังก้องอยู่ในอากาศด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น และ”นายหมู่ผู้ไม่มีขนนก” ก็ได้โอกาสรีบถอยกลับอย่างรวดเร็ว

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไปที่ธนูอุษาสีม่วงซึ่งแตกอยู่บนพื้น จากนั้นความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาสีเขียวของเธอ เธอหันไปหาเซียวเซ่อและกล่าวว่า “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว ใช่หรือ  ไม่?”

ใบหน้าของเซียวเซ่อกลายเป็นสีเขียวสลับขาว เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะโดนทหารใหม่อย่างเจ้าอ้วนน้อยโจวหลอกเอาได้ นอกจากนี้ เขายังต้องเสียหน้าต่อหน้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์อีก ทั้งธนูอุษาสีม่วงของเขาเองก็ถูกทำลาย

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็สามารถระงับความโกรธในใจของเขาเอาไว้ได้และยิ้มออกมาอย่างขวยเขิน “อะแฮ่ม ฉะนั้นพี่ชายโจวก็เป็นดาบซ่อนคมสินะ ข้ามองคนผิดไปจริงๆ ขอแสดงความยินดีกับท่านผู้บัญชาการกองพันที่สามารถหาผู้ช่วยที่เก่งกาจขนาดนี้มาได้”

“หากเขาสามารถง้างธนูอุษาสีม่วงได้จนขาดขนาดนี้ เขาก็ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์อีกแล้ว ผู้บัญชาการกองพัน ค่ายทหารใหม่สำหรับพวกทหารเกณฑ์กำลังจะเปิดในไม่กี่วันนี้ ดังนั้นข้าจะต้องไปจัดการกับพวกทหารใหม่พวกนั้นก่อน” หลังจากพูดจบ เขาก็นำเหล่า”นายหมู่ผู้ไม่มีขนนก” ทั้งหมด10 คนของเขาจากไปด้วย

“ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ท่านยังไม่ได้รักษาสัญญาของท่านเลย ท่านยังไม่คุกเข่าหรือเรียกข้าว่า “ท่านปู่” เลย แต่ท่านกลับกำลังเดินจากไปเสียแล้ว?” โจวเหว่ยชิงพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยัน

เซียวเซ่อหันกลับมามองที่เขา ทันใดนั้นชายหนุ่มรูปงามคนนี้ก็ยิ้มออกมาอย่างคาดไม่ถึง  มันเป็นรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์เพทุบาย “พี่ชายโจว ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าธนูอุษาสีม่วงนั้นเป็นของเดิมพันของข้า และก่อนหน้านั้น ข้าก็พูดแค่ว่า         “ทำไมต้องเรียกเจ้าว่าปู่ด้วย?” ดังนั้นนั่นย่อมไม่ถือว่าข้าตกลงจะคุกเข่าเสียหน่อย และหากอยากจะให้ข้าเรียก ก็ย่อมได้ ฉะนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า “อ้วนน้อยโจว” สักสามรอบดีหรือไม่? สำหรับการเดิมพัน ธนูอุษาสีม่วงของข้าก็ถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่เกี่ยวข้องกับมันอีกต่อไป พวกเราไปกันเถอะ” หลังจากพูดจบ เขาก็โบกมือพาคนของเขาหันหลังเดินจากไป

“บ๊ะ! นี่มันขี้โกงชัดๆ?!” โจวเหว่ยชิงมองเซียวเซ่อที่ถอยกลับไปด้วยความโมโหและหงุดหงิด เขายังอายุน้อยและไม่ทันได้สังเกตเห็น “การเล่นคำ” ของเซียวเซ่อ ดูเหมือนว่าชายคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้

ในอีกด้านหนึ่ง ขณะที่เซียวเซ่อกำลังเดินออกจากกระโจมบัญชาการ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายวับไปกับตา เขากัดฟันพูด “ตรวจสอบประวัติเจ้าอ้วนน้อยโจว ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไปเจอกับมันได้ยังไง! หรือว่ามันจะมาจากพวกตระกูลราชวงศ์?”

นายหมู่ที่ถูกหลอกให้เรียกโจวเหว่ยชิงว่า ‘ปู่’ พูดขึ้นมาเบาๆ “นายท่าน มองดูแล้วเจ้าอ้วนโจวนั่นดูเหมือนเพิ่งจะมีพลังเมื่อไม่นานมานี้เอง ไม่จำเป็นต้องระดมกำลังไปแก้แค้นมันหรอก เพราะคืนนี้ข้าจะไปที่กระโจมของมันและช่วยท่านระบายความโกรธเอง!”

“หึ” เซียวเซ่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคิดว่าพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งสามารถทำลายธนูอุษาม่วงได้หรือไม่? หากคิดไม่ผิด เจ้าเด็กนั่นน่าจะเป็นจ้าวมณียุทธ์ และด้วยพลังมณีของมัน ทำให้ร่างกายของมันแข็งแกร่งมาก ข้าย่อมรู้จักจ้าวมณีในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เกือบทุกคน แต่ว่ามันไม่ใช่หนึ่งในนั้น ฉะนั้นเจ้าควรไปตรวจดูอย่างระมัดระวัง อย่าให้ข้อมูลขาดหายไปแม้แต่กระผีกเดียว”

“ได้ขอรับ”

หลังจากเซียวเซ่อจากไป ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไล่เหมาหลี่และนายหมู่ของเขาออกไปด้วย ก่อนจากไปเหมาหลี่ยังยกนิ้วโป้งให้กับโจวเหว่ยชิงอย่างลับๆ ดวงตาของเขาแสดงออกถึงการยอมรับในตัวโจวเหว่ยชิง เห็นได้ชัดว่าการที่เซียวเซ่อเสียหน้าทำให้เขามีความสุขมาก

หลังจากที่ทุกคนออกไป ก็เหลือเพียงโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ในกระโจมบัญชาการ “อ้วนน้อยโจว เจ้าผสานกับมณีสวรรค์ของเจ้าได้หรือไม่” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถาม สีหน้าแสดงความประหลาดใจออกมาชัดเจน เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ เธอจึงไม่ต้องเก็บซ่อนสิ่งที่คิดไว้อีกต่อไป

โจวเหว่ยชิงตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “ใช่ขอรับ! ข้าทำเร็จเย็นวานนี้ วิธีที่ท่านสอนข้านั้นง่ายมาก ข้าชักนำปราณขึ้นมา จากนั้นก็พยายามเชื่อมมันเข้ากับมณีธาตุและมณียุทธ์ของข้า และทั้งหมดนั่นก็เป็นไปอย่างราบรื่นเช่นกัน”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกอยู่ในความเงียบ การฝึกของจ้าวมณีง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? แน่นอนว่าไม่ โดนเฉพาะอย่างยิ่งจ้าวมณีสวรรค์ การฝึกกักเก็บปราณสวรรค์นั้นยากกว่ามาก เหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงถูกเรียกว่า ‘อัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้นๆของอาณาจักร’ ก็เป็นเพราะว่าครั้งแรกที่เธอฝึกฝน “การเรียกคืน” และ “การปลดปล่อย” นั้น เธอใช้เวลาเพียง 5 วันในการฝึกเพื่อผสานปราณสวรรค์เข้ากับมณี และใช้เวลา10วันเต็มกว่าจะสามารถเชื่อมต่อกับมณีสวรรค์ได้ แต่ถึงกระนั้น ไอ้เจ้าคนหน้าซื่อใจคดนี่กลับใช้เวลาเพียงแค่คืนเดียวเรียนรู้ทั้งหมดจนสำเร็จ! แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจจะรับรู้ แต่เธอก็เข้าใจว่ามันถึงเวลาแล้วที่เธอจะส่งคืนฉายา “อัจฉริยะอันดับหนึ่ง” ของตัวเอง

…………………………………………………………….

โจวเหว่ยชิงมองธนูอุษาม่วงในมือของเซียวเซ่อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย จากนั้นก็หันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์อีกครั้งด้วยความสับสน “ผู้บัญชาการกองพัน ธนูนี่มันเป็นยังไงกันแน่? แตกต่างกับธนูของพวกเรายังไงหรือขอรับ? แล้วเราได้รับอนุญาตให้ทาสีคันธนูของเราได้ด้วยหรือ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จ้องโจวเหว่ยชิงด้วยความโมโห “ถ้าผู้บัญชาการกองร้อยเซียวต้องการให้เจ้าลองทดสอบ เจ้าก็ควรไปลองได้แล้ว หยุดพูดอะไรที่ไร้ประโยชน์ซะ”

โจวเหว่ยชิงรับธนูอุษาม่วงจากเซียวเซ่อและนึกเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ ก็เพราะในความเป็นจริงเขาคุ้นเคยกับธนูอุษาม่วงมากกว่าธนูไม้ดาราทั่วๆ ไปอยู่แล้วน่ะสิ!

เดิมทีเพื่อที่จะสามารถง้างธนูอุษาม่วงให้ได้ เขาฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาถึง 2 ปี หรืออาจกล่าวได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาฝึกยิงธนูในจวนแม่ทัพ เขาก็มักจะใช้ธนูอุษาม่วงเสมอ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงยิงพลาดเป้าหมายไปเล็กน้อยในวันที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทดสอบเขาเกี่ยวกับความแม่นยำในการยิงธนู เหตุผลมันก็ง่ายๆ เป็นเพราะเขาไม่คุ้นชินกับน้ำหนักของธนูไม้ดาราธรรมดาๆ นั่นต่างหาก! ตลอดสองปีที่ผ่านมาเขาต้องฝึกง้างธนูนั่นทุกวันจนแขนของเขามีสภาพบวมเบ่งอยู่เป็นประจำ แม้ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง แดดจะออก หรือลมกรรโชกแรงแค่ไหน แม่ทัพใหญ่โจวก็ไม่เคยยอมให้เขาพักแม้แต่วันเดียว  ยิ่งไปกว่านั้นเขายังจำคำพูดของบิดาได้ดี “แม้ว่าเจ้าจะเป็นเศษสวะ แต่เจ้าก็ยังคงเป็นลูกชายเศษสวะของข้าโจวสุ่ยหนิว! หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะง้างธนู บิดาของเจ้าคนนี้ก็จะฟาดกำปั้นใส่เจ้าจนตัวงอเป็นคันธนูเอง!”

น้ำหนักของธนูอุษาม่วงนั้นเป็นเกือบสองเท่าของธนูธรรมดา นั่นก็คือ 20 กิโลกรัม และมันก็ค่อนข้างหนักมากสำหรับคนทั่วไป โจวเหว่ยชิงทำท่าทียกมันขึ้นด้วยความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง เขาถามเซียวเซ่ออย่างสงสัย “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว คันธนูสีม่วงของท่านค่อนข้างหนักเลยทีเดียว! ท่านทนใช้มันเข้าไปได้อย่างไร?”

เซียวเซ่อส่งเสียงดูถูกเหยียดหยาม “นั่นย่อมขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ใช้เช่นข้า หึ เป็นเช่นนี้เจ้ายังคงฝันที่จะใช้ธนูอุษาม่วงของข้าอยู่อีกหรือ? แม้เจ้าจะเกิดใหม่หรือเริ่มกินนมแม่ใหม่อีกรอบ เจ้าก็ยังไม่สามารถแข็งแกร่งได้เช่นข้าหรอก เอาล่ะ ถือธนูของข้าให้ดีๆ ถ้าเจ้าทำมันตกล่ะก็…อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน!”

“โอ้” สีหน้าท่าทางซื่อๆ ของโจวเหว่ยชิงทำให้เขาดูเหมือนเป็นเด็กหนุ่มบ้านนอกที่ไม่เคยสัมผัสชีวิตในเมืองมาก่อน

ในขณะที่เขาส่งเสียง เขาก็พลันคว้าคันธนูนั่นขึ้นมาง้างสายขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทว่ามันกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิด! อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเขากลับกลายเป็นสีแดงก่ำราวกับว่าเขาใช้พละกำลังที่มีทั้งหมดไปกับการง้างธนูครั้งนี้แล้ว

เซียวเซ่อไม่แม้แต่จะหันไปมองโจวเหว่ยชิง เขาหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์และพูดว่า “ดูสิ ท่านผู้บัญชาการกองพัน ในเมื่อเขาไม่สามารถง้างธนูอุษาม่วงของข้าได้ เจ้าอ้วนน้อยโจวนี้จะมีคุณสมบัติเพียงพอจะเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของท่านได้อย่างไร?”

ก่อนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะได้ทันพูดอะไร ผู้บัญชาการกองร้อยเหมาลี่ก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้ “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว อ้วนน้อยโจวเพิ่งเข้าร่วมกองทัพเอง แค่ง้างธนูยาวธรรมดาได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว สำหรับธนูอุษาม่วงนั้น ไม่ใช่แค่เขา แต่สำหรับทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะง้างได้เช่นกัน”

เซียวเซ่อตวัดสายตาไปมองเหมาหลี่ด้วยความเย็นชา แต่ทว่าก็ไม่ได้สนใจที่จะตอบกลับและทำราวกับเหมาหลี่เป็นธาตุอากาศ สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างรอคอยคำตอบ

ตอนนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยากจะทำเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือปรี่เข้าไปต่อยเจ้าอ้วนโจวสักหมัด แม้เธอจะไม่รู้ว่าโจวเหว่ยชิงสามารถใช้พลังมณีสวรรค์ของเขาได้แล้ว แต่ก็รู้ว่าหลังจากปลุกมณีสวรรค์ของเขาขึ้นมาได้ ความสามารถทางกายภาพของเขาก็ย่อมต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงว่านี่มันแค่ธนูอุษาม่วงเพียงคันเดียว แม้ว่าจะมีธนูเช่นนี้อีก 2-3 คัน เธอก็รู้ว่าเขามารถยกทั้งหมดนั่นไหวอยู่ดีเนื่องจากมณียุทธ์ของเขาได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามการแสดงของไอ้คนเจ้าเล่ห์นี่ต้องบอกว่าดูสมจริงมาก เมื่อมองใบหน้าของเขาที่กำลังแดงก่ำราวกับใช้กำลังไปทั้งหมดนั่น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็โกรธมากจนใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีเขียว

“ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว อ้วนน้อยโจวยังไม่ได้ยอมแพ้สักหน่อย ทำไมท่านไม่รอดูก่อนล่ะ” ในขณะที่พูดอยู่นั้น เธอก็พลันลุกขึ้นยืนส่งพลังออกไปในเสี้ยววิ แม้ว่าเธอจะไม่เดินไปหาเขา แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กำลังจ้องโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาดุเดือด

โจวเหว่ยชิงรู้สึกคันเล็กน้อยข้างในหู จู่ๆ ก็มีเสียงเบาๆ ราวกับเสียงยุงเสียดแทงเข้ามาในหูของเขา “เจ้าอ้วนน้อยโจว! จะหยุดเล่นละครหรือจะให้ข้าฟาดเจ้าจนตาย!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คิดว่าโจวเหว่ยชิงคงจะไม่กล้าเล่นละครต่อตามที่เธอขู่ แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากที่เธอพูดคำเหล่านั้นออกไป โจวเหว่ยชิงก็ปล่อยมือจากคันธนูลงทันที ยิ่งไปกว่านั้น คนเจ้าเล่ห์นี้ก็กำลังคร่ำครวญอย่างหนักขณะเร่งสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ทำท่าทางราวกับว่าเขากำลังจะหมดแรงได้อย่างไร้ที่ติ

เซียวเซ่อพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ผู้บัญชาการกองพัน ดูสิ ท่านก็เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะง้างธนูอุษาม่วงของข้า ดังนั้นข้าคิดว่าท่านควรถอนคำสั่งของท่านเสียจะดีกว่า”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำหมัดแน่น หากเธอไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้เหมาะกับตำแหน่งและสถานะของเธอ เธอก็อาจจะรีบวิ่งไปต่อยไอ้จอมเจ้าเล่ห์นั่นสักหมัดแล้ว

“ใครบอกว่าข้าง้างธนูอุษาม่วงนี้ไม่ได้? แค่ตอนนี้ข้ายังไม่ได้เตรียมร่างกายเท่านั้นเอง! ข้าง้างได้แน่ๆ ถ้าลองอีกรอบ!!” โจวเหว่ยชิงกำลังพูดอย่างมั่นใจขณะที่ยังหอบหนักอยู่ ที่หน้าผากของเขายังมีเหงื่อผุดอยู่ประปราย

เซียวเซ่อหัวเราะ เขาประสานมือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง แสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ที่สง่างามโดยธรรมชาติ

“แม้ว่าข้าจะให้เจ้าลองสักร้อยครั้ง เจ้าก็ยังไม่สามารถง้างธนูนี้ได้ เจ้าคิดว่าธนูอุษาม่วงนี้เกิดมาเพื่อให้เจ้าใช้หรือ คนชั้นล่างอย่างเจ้าเนี่ยนะ?”

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความขุ่นเคือง “คนชั้นล่าง? แล้วคนชั้นล่างไม่ใช่มนุษย์หรือ? ใครบอกว่าข้าง้างไม่ได้? ข้าทำได้แน่นอน! พนันกับข้าไหม หากข้าไม่สามารถง้างมันได้ ข้าจะฆ่าตัวตายตรงนี้เลย!!”

ในขณะนั้น เหมาหลี่ที่นิ่งเงียบอยู่พลันสังเกตได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนิทกับโจวเหว่ยชิงเท่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่เขาก็รู้ว่าจอมเจ้าเล่ห์น้อยตนนี้ไม่ได้ไร้เดียงสาหรือเป็นคนดีอย่างที่เขาเห็น นอกจากนี้ เมื่อเช้านี้เขายังได้สัมผัสถึงความแข็งแกร่งของโจวเหว่ยชิงด้วยตนเอง ดังนั้นแม้ว่าเขาจะไม่สามารถง้างธนูอุษาม่วงได้อย่างเต็มที่ แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจะง้างได้บ้าง

เซียวเซ่อพูดด้วยเสียงเย็นๆ “เอาล่ะ ข้าให้เจ้าลองได้อีกครั้ง อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะกล้าฆ่าตัวตายที่นี่หรือไม่” ในสายตาของเขา ความตายของทหารธรรมดาคนหนึ่งจะนับว่าเป็นอะไรได้

โจวเหว่ยชิงหยิบธนูอุษาม่วงขึ้นมาอีกครั้ง และกำลังจะเริ่มดึง แต่ขณะที่เขากำลังจะออกแรง เขาก็ดูเหมือนจะจำบางสิ่งได้ ทันใดนั้นเขาก็หันไปมองเซียวเซ่อ และกล่าวว่า “เนื่องจากเราได้ทำการพนันกัน เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะเดิมพันทั้งสองด้านไม่ใช่หรือ? หากข้าง้างธนูได้ ท่านจะฆ่าตัวตายที่นี่หรือไม่?” ด้วยรูปลักษณ์ที่เรียบง่ายและใสซื่อของเขา การถามคำถามลักษณะเช่นนี้ทำให้คนรอบตัวรู้สึกว่าเขาไร้เดียงสามาก

เซียวเซ่อกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? ชีวิตของเจ้าเทียบกับข้าได้งั้นรึ? ข้ามียศเป็นถึงขุนนางขั้นที่ 4! อืม…งั้นให้ธนูอุษาม่วงนี้จะเป็นเดิมพันของข้าก็แล้วกัน และหากเจ้าง้างมันไม่ได้ ข้าก็ไม่ต้องการชีวิตของเจ้าหรอก เจ้าเพียงแค่ต้องคุกเข่าและเรียกข้าว่า “ท่านปู่” สามครั้ง จากนั้นข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”

โจวเหว่ยชิงฟังคำพูดของเซียวเซ่อและส่ายหัวอย่างแรง “ไม่ หากแพ้ข้าก็จะไม่ทำเช่นนั้นเด็ดขาด บิดาของข้าเคยกล่าวว่า เข่าของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทอง ถึงธนูของท่านจะหนักมาก แต่ว่าก็ยังมีค่าน้อยกว่าทองอยู่ดี ดังนั้น เพื่อความเท่าเทียม ถ้าท่านแพ้ ท่านก็ต้องคุกเข่าและเรียกข้าว่าท่านปู่”

เซียวเซ่อไม่เชื่อว่าเขาจะแพ้ ขณะมองดูใบหน้าดื้อรั้นของโจวเหว่ยชิงเขาก็กล่าวตอบด้วยความรังเกียจ “ตราบใดที่เจ้าสามารถง้างธนูได้ มีเหตุอะไรให้ข้าไม่ยอมรับล่ะ เร็วๆ เข้า อย่าทำให้ข้าเสียเวลาอันมีค่าไปเปล่าๆ”

“เยี่ยม!!” โจวเหว่ยชิงยิ้มออกมา บางทีในสายตาของคนอื่น รอยยิ้มของเขาอาจดูเรียบง่ายและซื่อๆ แต่ในสายตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้น มันเป็นรอยยิ้มหลอกลวงและเจ้าเล่ห์อย่างไม่มีใครเทียบ อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้ขัดขวางโจวเหว่ยชิง เพราะแม้แต่เธอเองก็ยังรู้สึกว่านี่มันช่างน่าสนุกจริงๆ

………………………………………………………

“ขอรับ” เหมาหลี่เดินไปนั่งบนเก้าอี้ของเขาซึ่งตั้งอยู่ด้านขวาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์

โจวเหว่ยชิงมองอย่างพิจารณา จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าผู้บัญชาการกองร้อยเหมาหลี่ไม่ถูกกับผู้บัญชาการกองร้อยที่หล่อเหลาคนนั้นแน่ๆ เพราะเขารีบเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ของเขาอย่างไร้อารมณ์โดยไม่ได้ชายตามองอีกคนเลยแม้แต่น้อย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และโจวเหว่ยชิงสบตากัน เขาแอบยักคิ้วให้เธอเล็กน้อย การกระทำเช่นนี้ดูเป็นธรรมชาติมากจนคนอื่นๆ ไม่ทันสังเกตเห็น แต่ทว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นถึงจ้าวมณีแห่งสวรรค์ และที่สำคัญกว่านั้นคือเธอยังเป็นนักแม่นนักธนูมือดี ด้วยเหตุนั้นสายตาของเธอจะไม่ดีกว่าคนทั่วไปได้อย่างไร? นอกจากนี้เธอก็ยังคุ้นเคยกับนิสัยกะล่อนของโจวเหว่ยชิงเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเขายักคิ้วให้ดังนั้น รังสีฆ่าฟันก็วาบผ่านเข้ามาในดวงตาของเธอ บางครั้งซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หวังว่าจะต่อยไอ้คนเจ้าเล่ห์นี้ให้ได้สักหมัด

“อ้วนน้อยโจว เจ้ามายืนข้างหลังข้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของผู้บัญชาการกองพัน” หลังจากหันไปจ้องที่โจวเว่ยชิงสักครู่ เธอก็สั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ขอรับ” โจวเหว่ยชิงรับคำอย่างเชื่อฟัง และสาวเท้าเดินไปอยู่ด้านหลังของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ การเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเธอนั้นย่อมเป็นการดีต่อเขามาก ไม่เพียงแต่จะสะดวกในการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์เท่านั้น แต่ยังได้ใช้เวลาร่วมกับเธอมากขึ้นอีกด้วย นั่นให้เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก! โชคดีที่เขาไม่กล้าเผยสีหน้าออกมาจนเกินงามเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก แต่ทว่าดวงตาของเขายังคงเผยความสุขออกมาให้เห็น

“เดี๋ยวก่อน” ทันใดนั้น น้ำเสียงคัดค้านก็ดังขึ้นอย่างฉับพลัน แม้โจวเหว่ยชิงจะยอมรับว่าเสียงนั้นค่อนข้างฟังดูไพเราะและหนักแน่นดี แต่ทว่าจริงๆ แล้วเสียงนั้นคือเสียงของผู้บัญชาการกองร้อยหนุ่มรูปงามคนนั้น

“มีอะไร? ท่านสงสัยอะไรหรือ ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันไปมองเขา สายตาแข็งกร้าวของเธอค่อยๆจางหายไปเป็นสงบนิ่ง หรืออาจจะบอกได้ว่าสีหน้าของเธอแทบจะกลายเป็นสีหน้าอ่อนโยนเสียด้วยซ้ำ

ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวพยักหน้าเบาๆ ไม่ปิดบังความกระตือรือร้นของเขาต่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์สักนิด เขาตอบกลับ “ผู้บัญชาการกองพัน ด้วยสถานะของท่านแล้ว ท่านก็สมควรจะได้รับมอบทหารผู้ช่วยส่วนตัว แต่ว่าผู้ช่วยส่วนตัวของท่านนั้น ไม่ควรจะช่วยเหลือจัดการธุระประจำวันของท่านได้เพียงอย่างเดียวแต่ควรจะสามารถปกป้องท่านได้ด้วย เจ้าอ้วนน้อยโจวคนนี้เป็นเพียงทหารใหม่ นี่จึงอาจเป็นเรื่องหนักเกินไปสำหรับเขาที่จะต้องแบกภาระอันหนักอึ้งเช่นนี้?”

ตราบใดที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยังสามารถรักษาความสงบเยือกเย็นของตนไว้ได้อย่างง่ายดายเสมอ เธอแสดงให้เห็นรอยยิ้มจางๆ จากนั้นจึงพูดว่า “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ท่านคิดว่าข้าต้องการให้ผู้ช่วยปกป้องหรือ? หากเป็นเช่นนั้น ท่านจะแนะนำใครแทนล่ะ?”

โจวเหว่ยชิงชะงักฝีเท้าเมื่อผู้บัญชาการกองร้อยเซียวเริ่มพูด เขารู้สึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง เนื่องจากสายตาชื่นชมที่ผู้บัญชาการกองร้อยรูปงามมองไปยังซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นช่างชัดเจนในสายตาของทุกคน โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขาและแอบวิพากษ์วิจารณ์ในใจอย่างลับๆ เจ้าหนุ่มนี่ช่างมีใบหน้างดงามราวกับชายบำเรอเสียจริง ใครๆ ก็พูดกันว่า ชายบำเรอรูปงามนั้นย่อมเชื่อถือไม่ได้ มองครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าเขาต้องเป็นพวกข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงแน่ๆ!!

ถึงแม้แต่เดิมเขาไม่ได้มีความหวังมากมายในการตามเกี้ยวซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ในเมื่อตอนนี้เขาได้กลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว และเมื่อผ่านคืนนั้นมา โจวเหว่ยชิงหรืออ้วนน้อยโจวก็ย่อมมี “สิทธิ์อันชอบธรรม” ในตัวของเธอ เหมือนกับที่เธอก็มีสิทธิ์ในตัวเขาเช่นกัน

แน่นอนว่าสิ่งที่อยู่ในใจของเขานั้นเป็นไม่ใช่สิ่งที่เด็กอายุ13 ปีควรคิดได้ ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะที่เขาจะแสดงความรู้สึกออกไป

หลังได้ยินคำถามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน ท่านก็ไม่จำเป็นต้องได้รับความคุ้มครองจากผู้ช่วยส่วนตัวอยู่แล้ว เพียงแต่เขาสามารถยิงธนูได้หรือไม่? ถ้าหากเขาตามท่านไปในสนามรบ เขาจะไม่ทำให้ท่านเสียหน้าหรือ? นอกจากนี้ แม้ว่าท่านจะไม่จำเป็นต้องได้รับความคุ้มครองจากผู้ช่วยส่วนตัว แต่เขาก็ยังสามารถติดตามท่านไปในสนามรบได้ ข้าเซียวเซ่อ ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองร้อยเพื่อติดตามท่าน ข้าสัญญาว่าจะต่อสู้เพื่อปกป้องผู้บัญชาการกองพันด้วยชีวิต!”

ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ท่าทางไม่กลัวตายของเขาทำให้โจวเหว่ยชิงเกือบคล้อยตามไปแล้ว ทว่าเขากลับทำได้เพียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในใจ เหอะ! ไม่วางท่าสักหน่อยจะตายหรือไม่?

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล “ขอบคุณมากสำหรับความตั้งใจของผู้บัญชาการกองร้อย แต่ท่านเป็นเสาหลักของกองพันที่ 3 ของเรา ด้วยเหตุนั้นข้าจะให้ท่านเป็นผู้ช่วยส่วนตัวได้อย่างไร? สำหรับโจวเหว่ยชิง ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งเป็นทหารใหม่ แต่ข้าก็ได้ทดสอบเขามาก่อนหน้านี้แล้วและเห็นว่าเขามีทักษะที่สามารถพัฒนาขึ้นไปได้อีก  นอกจากนี้เขายังเคยฝึกฝนการยิงธนูมาก่อน และมีความสามารถพอที่จะเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของข้าได้”

เซียวเซ่อขมวดคิ้วก่อนกล่าวว่า “ท่านผู้บัญชาการกองพัน เอาอย่างนี้ดีหรือไม่?  ควรให้อ้วนน้อยโจวแสดงความสามารถของเขาออกมา อย่างน้อยเพื่อให้เราสบายใจว่าท่านเลือกคนไม่ผิด”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังคงมีสีหน้าไม่สะทกสะท้านเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการยืนกรานของเซียวเซ่อ “ได้ งั้นทำตามที่ผู้บัญชาการกองร้อยพูด แต่ผู้บัญชาการกองร้อยเซียววางแผนจะทดสอบผู้ช่วยส่วนตัวของข้าอย่างไร” จริงๆ แล้วความสงบที่เธอแสดงออกมานั้นไม่ได้ตรงกับสิ่งที่อยู่ภายข้างในจิตใจของเธอเลย แต่ในกองพันที่ 3 แม้ว่าเธอจะเป็นผู้บัญชาการกองพัน แต่จริงๆ แล้วผู้บัญชาการกองร้อยเซียวนั้นกลับมีอิทธิพลกับทหารคนอื่นๆ มากกว่าเธอเสียอีก และแม้ว่ายศขุนนางของเขาจะต่ำกว่าเธอ แต่เขามีเบื้องหลังที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่สามารถเพิกเฉยได้

เซียวเซ่อลุกขึ้น และขยับมืออย่างรวดเร็ว เขาหยิบคันธนูยาวออกมาจากข้างที่นั่งของเขา คันธนูยาวของเขานั้นมีรูปร่างคล้ายคลึงกับของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทว่าสีของธนูนั้นเป็นสีม่วงเข้มตลอดทั้งคัน เพียงแค่มอง โจวเหว่ยชิงก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่ามันทำมาจากวัตถุดิบชั้นเยี่ยม

ปกติแล้ว เราสามารถนำไม้จากป่าดารามาใช้สร้างคันธนูได้หลังจากที่มีพวกมันมีอายุอย่างน้อย 10 ปี ส่วนไม้ดาราที่กองทัพนำมาใช้นั้นมีอายุอย่างน้อยๆ ก็ 30 ปีขึ้นไปทั้งนั้น นั่นเป็นเพราะเมื่ออายุถึง 30 ปีขึ้นไปไม้จะมีความแข็งแรงเพียงพอสำหรับการนำไปใช้ต่อสู้หรือออกรบนั่นเอง ธนูสีม่วงที่เซียวเซ่อและซ่างกวนปิงเอ๋อร์พกติดตัวนั้นทำมาจากไม้ของต้นดาราเช่นกัน แต่พวกมันล้วนทำมาจากต้นดาราอายุกว่า 100 ปี

ปกติแล้วไม้จากต้นดาราจะมีสีแดงเข้ม แต่เมื่อพวกมันเติบโตขึ้นจนมีอายุเกิน 100 ปี พวกมันก็จะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม และมีลายเป็นเส้นเล็กๆ พาดผ่านเหมือนรอยขนวัว และหากตรวจดูอย่างละเอียดก็จะพบว่าบนลวดลายนั้นยังมีจุดสีทองเรืองรองออกมาด้วยเช่นกัน ลวดลายเช่นนี้จึงเคยเป็นหนึ่งในชื่อต้นกำเนิดของไม้ดารา และร่องรอยบนไม้ดาราอายุร้อยปีลักษณะเช่นนี้มักจะถูกเรียกว่า “รอยขนวัวประกายพรึก”

เมื่อไม้ดารามีอายุเกินกว่า 100 ปี คุณภาพของมันก็จะก้าวกระโดดขึ้นไปจากเดิมหลายเท่า เนื่องจากความแข็งแกร่งและความคงทนของมันจะเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่าเดิม คันธนูที่สร้างขึ้นจากไม้ดาราอายุ 100 ปีทนต่อแรงดึงอย่างน้อย 3 เท่าของคันธนูธรรมดา และต้องใช้แรงมากกว่า 100 กิโลกรัม เพื่อที่จะง้างขึ้นได้สูงสุด ดังนั้นระยะการยิงของมันจึงไกลมากกว่าเดิม และยังสามารถยิงหวังผลได้อย่างมีประสิทธิภาพถึง 500 หลา ยิ่งไปกว่านั้น หากใช้พลังปราณสวรรค์ควบคู่ไปด้วย ระยะการยิงก็จะยิ่งไกลออกไปหลายเท่าอย่างน่าประทับใจ  ดังนั้นคันธนูยาวนี้จึงเป็นที่รู้จักในนาม “ธนูอุษาม่วง” แต่ละชิ้นมีค่าเท่ากับทอง 100 เหรียญ หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของไม้ดารา คันธนูนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บัญชาการกองร้อยธรรมดาๆ ควรจะมีได้ เนื่องจากแม้ว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์จะโด่งดังในเรื่องธนู และการยิงธนู แต่มันก็ยังยากที่จะรับประกันว่าผู้บัญชาการระดับกองพันจะได้รับธนูที่มีคุณภาพสูงขนาดนี้จากกองทัพได้

เซียวเซ่อนำธนูอุษาม่วงของเขาออกมา และเดินไปหยุดตรงหน้าโจวเหว่ยชิงด้วยรอยยิ้มจางๆ เขากล่าว “อ้วนน้อยโจวใช่หรือไม่ หากเจ้าสามารถง้างธนูอุษาม่วงของข้าได้ นั่นย่อมหมายถึงเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของท่านผู้บัญชาการกองพัน เอาล่ะ รับไปซะ ใช้กำลังทั้งหมดที่เจ้ามีอยู่ได้เลย แต่ระวังอย่าหักโหมจนเกินไปล่ะ หากเจ้าฉี่ราดตรงนี้มันคงเป็นภาพไม่น่าดูเท่าไหร่”

คำพูดของเซียวเซ่อทำให้ “นายหมู่ผู้ไม่มีขนนก” ทั้งหลายหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายหมู่ทั้ง 10 คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา พวกเขาเปล่งเสียงหัวเราะดังกว่าคนอื่นถึงสองเท่าโดยไม่มีความเคารพต่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของผู้บัญชาการกองพันแม้แต่น้อย

……………………………………………………………..

ในขณะที่คิดนั้นโจวเหว่ยชิงเรียกคืนมณีสวรรค์ของเขากลับเข้าสู่จุดไท่หยวน

เท่าที่เขารู้ การฝึกปราณสวรรค์สำหรับวิชาเทพอมตะนั้นคือการเพ่งสมาธิไปยังหลุมดำจุดต่างๆ บนร่างกาย ดังนั้นไม่ว่าจะนั่งหรือนอนก็ย่อมไม่มีความแตกต่าง โจวเหว่ยชิงจึงใช้เหตุผลนี้แก้ต่างให้ตัวเองสามารถล้มตัวลงนอน หลับตาและเพ่งสมาธิไปยังจุดหลุมดำนั้นได้อย่างเกียจคร้าน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิชาเทพอมตะจะไม่เหมือนกับวิชาอื่นๆ เพราะว่ามันสามารถฝึกฝนได้ขณะที่นอนราบ แต่ท่าทางการนอนนี้ช่างสบายเกินไป ดังนั้นเขาจึงเผลอหลับไปในเวลาไม่นาน โชคดีที่หลุมดำทั้ง 4 แห่งยังคงดูดซับพลังจากสภาพแวดล้อมเข้าไปอย่างต่อเนื่องแม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่ได้เพ่งสมาธิไปที่มัน ถึงแม้อัตราความเร็วนั้นจะช้ามากก็ตาม

“อ้วนน้อยโจว อ้วนน้อยโจว ตื่นได้แล้ว!!!” แสงหนึ่งสาดเข้าที่ใบหน้าของโจวเหว่ยชิง ปลุกเขาให้ตื่นจากฝันอันสวยงาม

“มีอะไรหรือ? ให้ข้าหลับต่ออีกหน่อย…” โจวเหว่ยชิงหันไปพูดอย่างเกียจคร้าน

เสียง *ผลัวะ* ขึ้นขณะที่ใครบางคนเตะเข้าที่บั้นท้ายของเขาอย่างจัง โจวเหว่ยชิงพลันสะดุ้งตกใจตื่นด้วยความหวาดกลัว เขารีบลุกขึ้นยืนตัวตรงเมื่อเห็นผู้บัญชาการกองร้อยเหมาหลี่ยืนอยู่ในกระโจมของเขา และแสงเจิดจ้านั้นก็คือแสงอาทิตย์ที่ส่องมาจากการเปิดกระโจมนั่นเอง

เหมาหลี่พูดอย่างโมโห “นี่เจ้ายังไม่เตรียมตัวอีกหรือ? ลุกได้แล้ว!! เจ้าว่าตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วน่ะ หา?! ทหารขี้เกียจอย่างเจ้าเหมาะแล้วที่จะฝึกกับข้าอย่างสมน้ำสมเนื้อ!”

โจวเหว่ยชิงไม่มีทางเลือกนอกจากลุกขึ้นพูดว่า “ท่านผู้บัญชาการกองร้อย ให้ข้าไปกินข้าวเช้าก่อนได้หรือไม่?”

เหมาหลี่ทั้งโกรธ และโมโห เขาคิดกับตัวเอง เจ้าหมอนี่ทำตัวไม่รู้ไม่ชี้เก่งเป็นที่หนึ่งจริงๆ!! ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากไปทำตัวเหลาะแหละกับท่านผู้บัญชาการกองพันเช่นนั้น เขาจะยังทำตัวราวกับทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้ แน่นอนว่านั่นทำให้เธอโกรธมากทีเดียวเชียว!

“ข้าปลุกเจ้าขึ้นมากินข้าวงั้นรึ? ใครให้เจ้าตื่นสายเองกันล่ะ กิน…กินลมที่เจ้าผายออกมาน่ะสิ!! ไม่มีสิ่งใดเหลือให้เจ้ากินแล้ว!! มากับข้าเดี๋ยวนี้ ผู้บัญชาการกองพันเรียกเจ้าไปหา” ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เหมาหลี่ก็คว้าไหล่ของโจวเหว่ยชิงและพยายามลากเขาออกจากกระโจม ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกประหลาดใจ

แต่เดิมเขาคิดว่าเขาสามารถลากโจวเหว่ยชิงออกจากกระโจมได้ง่ายๆ แต่เมื่อลองทำเช่นนั้นจริงๆ เขากลับพบว่าร่างของโจวเหว่ยชิงนั้นหนักราวกับยกภูเขา แม้จะใช้กำลังมากเพียงใดเขาก็ไม่สามารถทำให้โจวเหว่ยชิงขยับได้เลย

“เอ๋?” เหมาหลี่เขามองโจวเหว่ยชิงด้วยความประหลาดใจแล้วกล่าว “ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ! นี่เจ้าฝึกปราณสวรรค์งั้นเรอะ?”

โจวเหว่ยชิงตอบอย่างภาคภูมิใจ “ใช่ขอรับ” หลังจากร่างกายของเขาได้พัฒนาขึ้นจากการตื่นของมณีสวรรค์ เขาก็แทบจะไม่รู้สึกถึงกำลังที่เหมาหลี่ใช้กับเขาเลย และเนื่องจากคำสัญญาของเขาที่มีต่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทำให้เขาต้องหุบปากสนิททันทีหลังจากนั้น

คำตอบง่ายๆ นั้นทำให้เหมาหลี่มองเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ในโลกของคนธรรมดาสามัญนั้น มีประชากร    1 ใน 100 คนสามารถฝึกปราณสวรรค์ได้ และในจำนวนคนที่ฝึกปราณสวรรค์ได้ทั้งหมด มีเพียง 1 ใน 100 เท่านั้นที่จะมีโอกาสเป็นจ้าวมณี

แน่นอนว่ากลุ่มที่ฝึกพลังปราณสวรรค์ได้จนถึงขั้น 1 หรือ 2 ก่อนอายุ 16 ปีนั้นย่อมมีอยู่จำนวนไม่น้อย และแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถปลุกพลังมณีได้ แต่ก็ยังมีร่างกายแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วๆ ไป

ในด้านการฝึกปราณนั้น การฝึกใน 3 ระดับแรกของขั้นพื้นฐานเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด และยากที่สุดอีกด้วย ทุกการเปลี่ยนแปลงระดับพลังมีความสำคัญเท่ากับการเกิดใหม่ครั้งหนึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากมันคือการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบใหม่ทั้งหมดในร่าง จากนั้นก็วิวัฒน์ร่างขึ้นไปอีกขั้น สำหรับคนบางคนเช่นโจวเหว่ยชิงที่สามารถก้าวกระโดดไปสู่ระดับที่ 4 ได้โดยตรงนั้นจึงถือเป็นการผสมผสานระหว่างการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของร่างกายและการวิวัฒน์ร่างรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน!

ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นคนที่ฝึกพลังปราณสวรรค์ได้ถึงแค่ขั้นพื้นฐานระดับ 2 พวกเขาก็ยังคงเป็นต้องการของกองทัพอย่างมาก ดังนั้นหลังจากขั้นตอนการรับสมัคร พวกเขาส่วนใหญ่ก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นนายหมู่ เนื่องจากพวกเขามีความสามารถในการต่อสู้ที่ดีกว่าทหารธรรมดาทั่วไป เหมาหลี่เองก็เป็นคนที่ฝึกฝนปราณสวรรค์ได้จนถึงระดับที่ 2 และเกือบจะกลายเป็นจ้าวมณีได้อยู่แล้ว ทันทีที่เขาพบว่าโจวเหว่ยชิงมีพลังปราณสวรรค์ความรู้สึกที่มีต่อโจวเหว่ยชิงก็ดีขึ้นอย่างมาก

“เฮ้อ! เราลงเรือลำเดียวกันแท้ๆ ข้าขอโทษเจ้าด้วยละกัน ฝึกปราณสวรรค์ได้แต่ไม่สามารถเป็นจ้าวมณีได้ คนมีพรสวรรค์เช่นพวกเราช่างถือว่าน่าอนาถใจโดยแท้ ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสแต่ท้ายสุดแล้วก็ไม่สามารถเป็นจ้าวมณีได้ คงจะดีกว่าหากว่าเราไม่ได้รับโอกาสนั้นตั้งแต่แรกและเป็นเพียงแค่คนธรรมดา…” เหมาหลี่กล่าวด้วยความรู้สึกอันท่วมท้นในจิตใจ

ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ผิด ถ้าหากบางคนเป็นคนธรรมดามาตั้งแต่เกิด ไม่ได้รู้สึกถึงพลังหรือความแข็งแกร่งของปราณสวรรค์ พวกเขาก็คงจะไม่รับรู้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ของมณีสวรรค์ และคงไม่ได้กระหายอยากจะเป็นจ้าวมณี แต่สำหรับผู้ที่เคยสัมผัสพลังปราณสวรรค์มาแล้ว พวกเขาย่อมเป็นผู้ที่ปรารถนาจะครอบครองความแข็งแกร่งที่ได้จากการเป็นจ้าวมณีอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า หากไม่รู้เสียก็คงจะเป็นสุข

โจวเหว่ยชิงไม่มีทางเลือกนอกจากยักไหล่ ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถเปิดเผยกับเหมาหลี่ได้ว่าตนเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว แต่ทว่าเหมาหลี่เองก็ไม่ได้สงสัยเช่นกัน เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วใครมันจะไปเข้าร่วมกองทัพในฐานะทหารสามัญหากตัวเองเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ล่ะ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทุกอาณาจักรนั้น จ้าวมณีถือว่ามีศักดิ์เป็นขุนนางเลยทีเดียว

“ไปกันเถอะ ดูเหมือนว่าสองวันมานี้ผู้บัญชาการกองพันดูจะยังใจดีอยู่ อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ทรมานเจ้า ดูสิ แขนขาเจ้ายังอยู่ครบทุกส่วน ไม่มีที่ไหนหายไปสักที่ คราวหน้าอย่าลืมรักษาเวลาด้วยล่ะ! ยังไงซะ เจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของกองร้อยที่ 4 ของข้า ดังนั้นข้าจะดูแลเจ้าเอง!” เหมาหลี่ตบบ่าโจวเหว่ยชิงแรงๆ และไม่ได้พยายามลากเขาไปอีก จากนั้นเขาจึงหันหลังเดินจากไป

โจวเหว่ยชิงรีบสวมเสื้อคลุม และตามเขาออกไปนอกกระโจม เขาเดินตามเหมาหลี่ไปจนถึงที่พักของผู้บัญชาการซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในกระโจม โจวเหว่ยชิงพบกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้บัญชาการ แม้ว่าทั้งคู่จะพบกันหลายครั้งก่อนหน้าและเขาก็ยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเธอ แต่สายตาของเธอยังคงกระแทกกระทั้นใส่เขาอย่างรุนแรง

วันนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์แต่งกายด้วยชุดซ้อมรบ เกราะสีเงินประจำตัวผู้บัญชาการกองพันที่เธอสวมอยู่นั้นทำให้เธอดูกล้าหาญและสง่างามเป็นอย่างยิ่ง เธอไม่ได้สวมหมวกเกราะ และผมยาวสลวยของเธอก็ถักเป็นหางม้าไว้ข้างหลัง แม้ว่าเธอจะมีอายุเพียง 15 ปี แต่เธอก็ดูกลมกลืนราวกับเป็นแม่ทัพใหญ่ขณะที่นั่งอยู่บนโต๊ะผู้บัญชาการกองพันนั่น

ทางด้านซ้ายมือของเธอมีเด็กหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีอายุประมาณ 20 นั่งอยู่ เขามีผมสีดำประบ่า และมีผิวพรรณเรียบเนียนดั่งหยก ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีนัยน์ตาดอกท้อที่ทรงเสน่ห์ และเย้ายวน เขาสวมชุดเกราะเบา มีขนนกสีเหลืองประดับอยู่บนหมวก แสดงให้เห็นว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกันกับเหมาหลี่ นั่นก็คือผู้บัญชาการกองร้อยนั่นเอง

เมื่อมองไปอีกด้านหนึ่งของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เก้าอี้นั้นว่างเปล่า เห็นได้ว่าในครั้งนี้มี 2 กองร้อยกำลังเปิดรับสมัครทหารใหม่ ดังนั้นที่นั่งอีกด้านที่ว่างอยู่จึงต้องตกเป็นของเหมาหลี่แน่นอน

ข้างหลังที่นั่งสองที่นั้น นายหมู่จำนวนสิบคนกำลังนั่งอยู่ในชุดเกราะหนัง ในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ มีเพียงทหารระดับผู้บัญชาการกองร้อย และสูงกว่าเท่านั้นจึงจะมีเครื่องแบบแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นขนนกบนหมวกของพวกเขา ชนิดชุดเกราะ หรือสีเครื่องแบบ ดังนั้นนายหมู่ที่ดูแลทหาร 10 นายนั้นจึงมักจะถูกเรียกขานว่า “นายหมู่ผู้ไร้ขนนก”

เหมาหลี่พาโจวเหว่ยชิงเข้าไปภายในกระโจม จากนั้นทุกคนก็หันมามองพวกเขาทันที

“รายงานท่านผู้บัญชาการกองพัน ข้าพาอ้วนน้อยโจวมาที่นี่แล้วขอรับ” เหมาหลี่พูดอย่างกระตือรือร้นกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้บัญชาการกองร้อยเหมาลี่ ขอบคุณสำหรับความพยายามของท่าน นั่งลงก่อนเถิด”

…………………………………………………………..

เมื่อไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขาเปล่งแสงสว่างออกมา โจวเหว่ยชิงก็พลันเห็นแสงวูบวาบเบื้องหน้า และรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเริ่มเปลี่ยนแปลงและพร่ามัวไป

ขณะนี้เป็นเวลากลางคืน และเนื่องจากมณีนี้มีสีแดงก่ำ แสงที่สาดกระจายออกมาจึงทำให้ทั่วทั้งกระโจมอาบย้อมไปด้วยสีแดง ในขณะเดียวกันนั้น ภาพร่างของวงล้อก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศต่อหน้าโจวเหว่ยชิง มันมีลักษณะโปร่งแสง ภายในวงล้อนั้นแบ่งเป็น 6 ส่วน และลอยติดอยู่เบื้องหน้าโจวเหว่ยชิงเสมอไม่ว่าเขาจะหันไปทางไหนก็ตาม เขายกมือขึ้นเพื่อลองสัมผัสมัน แต่ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าฝ่ามือของเขากลับไปอยู่ข้างหลังวงล้อนั้น!

หลังจากพยายามอยู่สองสามครั้ง โบกมือไปมาชิดกับดวงตาของตัวเอง เขาพบว่ามือของเขาก็ยังคงอยู่ข้างหลังวงล้อประหลาดนี่! ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าวงล้อนี่ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงบนโลก มันปรากฏอยู่แนบชิดกับดวงตาของเขา และมีเพียงเขาเท่านั้นที่เห็นมัน

วงล้อนั้นแบ่งเป็น 6 ส่วน แต่ละส่วนมีสีแตกต่างกัน สีเขียว สีน้ำเงิน สีเงิน สีดำ สีเทา และโปร่งใสไม่มีสี และเมื่อเขาเพ่งความสนใจไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง วงล้อก็จะหมุนไปจนส่วนนั้นอยู่ด้านบนสุด

ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างปรากฏขึ้นทันทีเมื่อโจวเหว่ยชิงเพ่งความสนใจไปยังส่วนสีเขียว เขาตระหนักได้ว่าร่างกายของตนคล่องแคล่วว่องไวมากขึ้น น้ำหนักตัวเบาหวิวราวกับขนนก นั่นทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตนเองแทบจะบินได้ เมื่อยกมือซ้ายของเขาขึ้นมา เขาก็เห็นแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นระหว่างนิ้วของเขา ซึ่งปกตินี่ควรจะเป็นทักษะธาตุลมเช่นเดียวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์

สิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่รู้ก็คือ แท้จริงแล้วเป็นเพราะมณีธาตุของซ่างกวนปิงเอ๋อร์มีทักษะธาตุลม นั่นจึงทำให้เธอสามารถรอดชีวิตจากการเป็นเครื่องสังเวยของเขาได้ทั้งๆ ที่มันอันตรายเป็นอย่างยิ่ง หากตอนนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้มีทักษะธาตุที่คล้ายกันกับเขา ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือทั้งเธอ และเขาจะต้องตายทั้งคู่ด้วยแรงระเบิดจากร่างของโจวเหว่ยชิง

เมื่อกงล้อหมุนไปยังส่วนสีน้ำเงิน เขาก็รู้สึกชาไปทั่วทั้งตัวเนื่องจากมีสายฟ้าเกิดขึ้น แสงสีเขียวที่ข้อมือซ้ายของเขาถูกแทนที่ด้วยแสงสีน้ำเงินซึ่งสะท้อนแสงแปลบปลาบ และทั่วทั้งกระโจมก็สว่างขึ้นเป็นระยะด้วยแสงวูบวาบราวกับฟ้าผ่านั่น โจวเหว่ยชิงกระพริบตาและคิดกับตัวเอง เพราะฉะนั้นแล้ว ทักษะธาตุที่สองของข้าคือสายฟ้า? ปกติแล้วมณีธาตุมีทักษะธาตุแบบนี้ด้วยรึ? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยล่ะ? ดูเหมือนพรุ่งนี้ต้องไปถามซ่างกวนปิงเอ๋อร์สักหน่อยแล้ว

เมื่อเขาเพ่งไปยังส่วนถัดไป วงล้อก็หมุนตัวอีกครั้ง และเปลี่ยนเป็นสีเงิน ในทันนั้นความรู้สึกชาหนึบ และกระแสไฟฟ้าก็หายไป แสงริบหรี่ของกระโจมก็ถูกแทนที่ด้วยแสงสีเงินนุ่มนวลซึ่งมีความเสถียรเป็นอย่างยิ่ง น่าประหลาดที่แสงสีเงินนี้ไม่ได้ส่องสว่างแค่บริเวณรอบๆ ข้อมือของโจวเหว่ยชิงเท่านั้น แต่กลับสว่างไสวอยู่รอบๆ ตัวเขา นอกจากนี้เขายังสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อวงล้อหยุดอยู่ในส่วนนี้ พลังปราณสวรรค์ของเขาก็ถูกดูดกลืนออกไปอย่างหนักหน่วง อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าทักษะธาตุสีเงินนี้มีความหมายว่าอย่างไร

และเนื่องจากเขาไม่รู้ว่าทักษะธาตุนี้คืออะไร เขาจึงเรียกมันว่าทักษะธาตุที่ไม่รู้จักไปก่อน…

เมื่อหมุนไปยังส่วนที่ 4 ซึ่งเป็นสีดำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นเป็นทักษะธาตุมืดที่เขาได้รับมาจากบิดาของเขา ความมืดแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งกระโจม ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นแม้แต่มือของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น อัตราการเผาผลาญพลังปราณสวรรค์ก็เกือบเท่ากับทักษะธาตุสีเงินที่ไม่รู้จักก่อนหน้า

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้ว่าทักษะธาตุที่ไม่รู้จักนั้นควรจะเป็นอะไร เนื่องจากทักษะธาตุมืดนั้นเป็น 1 ใน 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และในเมื่อทั้งทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุที่ไม่รู้จักนั้นใช้พลังปราณสวรรค์เกือบเท่ากัน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าไอ้เจ้าทักษะธาตุที่ไม่รู้จักนี้ต้องเป็น 1 ใน 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเหมือนกันแน่นอน

นอกเหนือจากธาตุมืดแล้วก็มี ธาตุแสง ธาตุชีวิต และธาตุมิติ และดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่ธาตุแสงเสียด้วย เพราะธาตุแสง และธาตุมืดเป็นธาตุที่อยู่ขั้วตรงกันข้ามกัน และมันก็ไม่ใช่ธาตุชีวิต เพราะธาตุชีวิตจะต้องให้ความรู้สึกถึงพลังชีวิตที่เข้มข้นกว่านี้ ดังนั้น หลังจากตัดข้อที่เป็นไปไม่ได้ทั้งหมดออกแล้ว ก็เหลือเพียงแค่ธาตุมิติเท่านั้น

ใน 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โจวเหว่ยชิงได้ครอบครองถึง 2 ทักษะธาตุ! นั่นทำให้เขารู้สึกปลาบปลื้มดีใจเป็นอย่างมาก ด้วยทักษะธาตุลม และสายฟ้า ร่างกายของเขาย่อมต้องแข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีทักษะธาตุอื่นๆ อีกตั้ง 2 อย่างแน่ะ!

กงล้อหมุนอีกครั้ง คราวนี้มันไปหยุด ณ ส่วนที่ 5 และเมื่อมาถึงส่วนนี้ โจวเหว่ยชิงก็หยุดชะงักเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นส่วนต่อไปอย่างรวดเร็ว เหตุผลก็ง่ายๆ เมื่อเขามาถึงส่วนที่ 5 ซึ่งเป็นสีเทานั้น ไอความเย็นที่เคยปรากฏขึ้นหลายครั้งหลายคราก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง นำพาความกระหายเลือดรุนแรงและอารมณ์ด้านลบอื่นๆ มาพร้อมกับมัน ปั่นป่วนอารมณ์ของเขาจนเกือบทำให้เขาสูญเสียการควบคุมตัวเอง ดังนั้นเขาจึงต้องรีบเปลี่ยนไปยังส่วนถัดไป

ในขณะที่เขาหมุนกงล้อไปที่ส่วนที่ 6 ซึ่งเป็นส่วนที่ไร้สี พลังปราณที่เหลืออยู่ทั้งหมดสามส่วนของเขาก็ถูกใช้ไปจนไม่เหลือ โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มบิดเบี้ยวและสายตาของเขาก็พร่ามัว ทันใดนั้นเขาก็พลันรู้สึกราวกับร่างกายของเขานั้นเปราะบางจนแทบจะแตกสลายได้ง่ายๆ จากนั้นกงล้อทักษะธาตุก็หายไปในพริบตา และแสงของไพฑูรย์ตาแมวสองสีก็อ่อนลง

โจวเหว่ยชิงหอบอย่างหนัก เขาหวาดกลัวจนสุดหัวใจ ทักษะธาตุก่อนหน้านี้ยังคงใช้ได้ แต่ทักษะธาตุ 2 ส่วนสุดท้ายเหล่านั้นคืออะไรกันแน่? ทักษะธาตุที่ 5 ยังคงอธิบายได้เล็กน้อยว่ารัศมีความชั่วร้าย และกระหายเลือดนั้นมีความเป็นไปได้ว่ามันคือทักษะธาตุปีศาจ แต่อย่างไรก็ตาม ทักษะธาตุส่วนสุดท้ายนั้นคืออะไรกันแน่? ทำไมพลังปราณสวรรค์ของเขาถึงถูกใช้ไปจนหมดตอนที่เพ่งไปยังส่วนนั้น?

หลุมดำจากจุดตายทั้ง 4 ที่ถูกทะลวงนั้นกำลังเร่งดูดซับปราณสวรรค์จากบรรยากาศรอบตัวเข้ามาแทนที่ปราณสวรรค์ที่ถูกใช้ไป นั่นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานอารมณ์ของเขาก็ค่อยๆ สงบลง และโจวเหว่ยชิงก็รับรู้บางอย่างเกี่ยวกับทักษะธาตุที่ 6 นั่นก็คือ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถคาดเดาทักษะธาตุที่แท้จริงของมันได้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าตนเองมีทักษะธาตุที่ 6 อยู่จริงๆ!

ไพฑูรย์ตาแมวสองสีเป็นมณีที่คุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวมากเนื่องจากมันจะเกิดกับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุมากกว่า 4 ชนิดเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถตรวจสอบทักษะธาตุที่ 6 ได้ แต่ทักษะธาตุนี้ก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับทักษะธาตุมิติที่ยังมีคุณสมบัติค่อนข้างคลุมเครือ อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่ามันดูดกลืนพลังปราณสวรรค์เป็นปริมาณมากในระยะเวลาชั่วพริบตานั้นย่อมหมายถึงระดับพลังปราณสวรรค์ปัจจุบันของเขาไม่เพียงพอที่จะใช้พลังของทักษะธาตุนี้

เมื่อคิดได้ดังนั้น หัวใจของโจวเหว่ยชิงก็สงบลงได้ การมีปราณสวรรค์ไม่เพียงพอไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ตราบใดที่เขายังคงฝึกฝน และทะลวงผ่านจุดตายของวิชาเทพอมตะไปได้เรื่อยๆ โจวเหว่ยชิงเชื่อว่าวันหนึ่งเขาย่อมใช้ประโยชน์จากทักษะธาตุนั้นได้

……………………………………………………………

อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันนั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าอารมณ์ของเขาเปลี่ยนไป ในขณะที่ปราณสวรรค์ของกำลังหมุนเวียนผ่านชีพจร เขาก็เริ่มรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบ้าคลั่งกระหายเลือด

เกิดอะไรขึ้น? เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ได้เกิดจากพลังปราณสวรรค์ เพราะซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลยตอนที่เธออธิบายสิ่งต่างๆ กับเขาก่อนหน้านี้

ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมาในหัวของโจวเหว่ยชิง เขาจำเสือดำขนาดใหญ่ในคืนนั้นได้ในความทรงจำของเขา นั่นคือความรู้สึกบ้าคลั่งกระหายเลือดที่เขารู้สึกได้จากตัวมัน แม้แต่ความรู้สึกเยือกเย็นในคืนนั้นก็ปรากฏขึ้นมาด้วยเช่นกัน โชคดีที่รังสีชั่วร้ายเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่คิดร้ายกับเขา ในความเป็นจริง เมื่อพวกมันปรากฏตัวขึ้นก็ดูเหมือนว่าพลังปราณสวรรค์ของเขาเริ่มเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นด้วยซ้ำ

ในที่สุด กระแสพลังปราณสวรรค์ทั้งสองสายก็มาถึงบริเวณจุดตายบนกระดูกไหปลาร้าทั้งสองข้าง พวกมันจึงสัมผัสโดนจุดหลุมดำที่อยู่ที่นั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อปราณสวรรค์ปะทะเข้ากับหลุมดำ ทันใดนั้นพวกมันก็เร่งความเร็วขึ้นและไหลไปตามแขนของโจวเหว่ยชิงอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก วินาทีต่อมา ปราณสวรรค์ทั้งสองสายก็ไหลมาถึงจุดไท่หยวน จุดตายบนข้อมือของเขา

ความรู้สึกราวกับทั่วทั้งร่างกำลังเชื่อมประสานกันทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกเหมือนมณีสวรรค์ของเขากำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เพียงวูบเดียว มณีของเขาก็ไหลกลับเข้าสู่ร่างผ่านจุดไท่หยวนบนข้อมือและนอนแน่นิ่งอยู่ในเส้นชีพจรของเขา โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าเขาสามารถสัมผัสได้รางๆ ถึงมณีภายในร่าง

นี่ข้าทำสำเร็จแล้วรึ? ดูเหมือนว่าจะไม่ยากอย่างที่คิดไว้นี่นา โจวเหว่ยชิงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เขาสามารถเรียกคืนมณีได้สำเร็จในการลองครั้งแรก เขาไม่ได้รู้เลยว่า เหตุผลแท้จริงที่ทำให้เขาสามารถเรียกมณีคืนสำเร็จนั้นเป็นเพราะว่าเขาได้ทะลวงจุดไท่หยวนบนข้อมือของเขาไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่นสามารถช่วยให้การเรียกคืนและปลดปล่อยมณีเป็นไปได้อย่างง่ายดาย มิเช่นนั้นแล้วผู้ฝึกหัดเช่นเขาจะประสบความสำเร็จภายในครั้งแรกได้อย่างไร! สิ่งนี้ย่อมเป็นสิ่งที่แม้แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เองก็ยังคาดไม่ถึง และมันก็เป็นเพียงผลพลอยได้เล็กๆ น้อยๆ ที่วิชาเทพอมตะมอบให้เขาเท่านั้น

เขาพลันเพ่งความคิดไปควบคุมจุดเชื่อมโยงระหว่างปราณสวรรค์ และจุดไท่หยวนที่ข้อมือ ทันใดนั้นมณีสวรรค์ทั้งสองดวงของเขาก็พุ่งออกมาจากข้อมือ และเพียงแค่ใช้ความคิดอีกครั้ง พวกมันก็กลับเข้ามาอยู่ในร่างกายเขา กระบวนการทั้งหมดนั้นดูง่ายดายเป็นอย่างมาก

หากซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้เกี่ยวกับกระบวนการฝึกของเขา เธอจะต้องตกใจอย่างแน่นอน แม้แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะแห่งอาณาจักรก็ยังใช้เวลาถึงครึ่งเดือนกว่าจะสามารถเรียกคืน และปลดปล่อยมณีสวรรค์ของเธอได้คล่องแคล่ว ทว่าโจวเว่ยชิงกลับทำสำเร็จภายในครั้งเดียว

โจวเว่ยชิงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับมณีสวรรค์ของเขามาก และเนื่องจากเป้าหมายการฝึกของเขาในวันนี้ได้สำเร็จไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะศึกษามณีสวรรค์ และพลังของมันให้ถ่องแท้ ไม่ต้องพูดถึงเด็กอายุ 13 ปีเช่นเขาเลย แม้แต่คนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวก็คงตื่นเต้นจนอยากจะรีบสำรวจมณีสวรรค์ของพวกเขาทันทีที่ปลุกมันขึ้นมาได้เช่นกัน

เขาเลือกที่จะสำรวจมณียุทธ์หยกน้ำแข็งของเขาก่อน เพราะว่าไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขานั้นได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับมัน

ก่อนหน้านี้ขณะที่เขาพยายาม “ปลดปล่อย” และ “เรียกคืน” มณีของตนนั้น โจวเหว่ยชิงได้ใช้พลังปราณสวรรค์ของตนห่อหุ้มมณีพวกนั้นไว้ ทำให้พวกมันสามารถผสานเข้ากับพลังของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงเคลื่อนย้ายมณีพวกนั้นได้อย่างง่ายดายผ่านจุดไท่หยวน เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาจึงใช้ปราณสวรรค์ของเขาแทรกซึมเข้าสู่มณียุทธ์อย่างระมัดระวัง

ขณะที่ปราณสวรรค์กำลังกลืนกินมณียุทธ์ ร่างของเขาก็สั่นสะท้าน ราวกับขุมพลังบริสุทธิ์ที่มีความแข็งแกร่งอัดแน่นอยู่ในนั้นแพร่กระจายออกมาจากมือขวาของเขาก่อนจะลามไปทั่วร่างกาย ทั้งกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นชีพจร สิ่งทั้งหมดเหล่านี้ล้วนแต่ถูกเติมเต็มด้วยพลังอันเข้มข้นนั้นเช่นเดียวกัน  เขารู้สึกราวกับว่าตนเองมีพละกำลังเพิ่มมากขึ้นจนสามารถยกวัวตัวใหญ่ขึ้นได้อย่างง่ายดายหากว่ามันยืนอยู่ตรงหน้าเขา

หลังจากมณีสวรรค์ของเขาถูกปลุกขึ้นมา แม้ว่าโจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าร่างกายของเขาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลง และมีพัฒนาการมากมาย แต่มันก็ยังห่างไกลจากความรู้สึกที่เขามีอยู่ในตอนนี้อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้มีเพียงความแข็งแกร่งและความคล่องตัวที่พัฒนาขึ้นเล็กน้อย รวมทั้งร่างกายของเขาที่รู้สึกเบาลง อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เขาสามารถรู้สึกได้ถึงพลังแข็งแกร่งที่แท้จริงซึ่งกำลังไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกายของเขา เขารู้สึกราวกับได้ระเบิดพลังภายในร่างกายออกมา

อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงยังพบว่า ขณะที่ความแข็งแกร่งนี้กำลังกระจายไปทั่วตัวของเขา พลังปราณสวรรค์ภายในร่างก็ถูกกลืนหายไปอย่างช้าๆ เช่นกัน แม้ว่าอัตราการกลืนกินจะไม่เร็วนัก แต่ปราณสวรรค์ก็ไหลทะลักออกไปจากร่างกายอย่างต่อเนื่อง

ถึงตอนนี้เขาได้ทะลวงจุดตายไปแล้ว 4 จุดคือ จุดกระดูกไหปลาร้า จุดไท่หยวน จุดซูซานหลี่ และจุดซานหยินเจียว และตอนนี้เขาก็พบว่าหลุมดำบนจุดตายพวกนั้นจะเพิ่มอัตราการดูดกลืนเมื่อปราณสวรรค์แทรกซึมเข้าสู่มณียุทธ์ของเขา ยิ่งไปกว่านั้น อัตราการดูดกลืนยังสูงกว่าตอนที่เขาพยายามเพิ่งสมาธิไปยังหลุมดำเหล่านั้นเพียงอย่างเดียวซะอีก!

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตราการดูดกลืนของหลุมดำพวกนั้นจะเร็ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยปราณสวรรค์ที่เสียไปได้ พวกมันทำได้เพียงชะลอการลดลงของปราณสวรรค์ในร่างกายเท่านั้น

โจวเว่ยชิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก และคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตามหากซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้เรื่องนี้เข้า เธอจะต้องอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงแน่นอน

ไม่ว่าจะเป็นจ้าวมณียุทธ์ จ้าวมณีธาตุ หรือจ้าวมณีสวรรค์ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาจะใช้มณี พวกเขาจำเป็นต้องคิดให้ถี่ถ้วนรอบคอบก่อนเสมอเพราะปราณสวรรค์นั้นจะสะสมได้ผ่านการฝึกฝนเท่านั้น แม้ว่าการฝึกขั้นสูงบางอย่างจะสามารถกู้คืนพลังปราณสวรรค์ได้อย่างช้าๆ ขณะที่ไม่ได้ฝึกฝน แต่ก็ยังแตกต่างจากโจวเว่ยชิงที่สามารถดูดซับปราณสวรรค์ได้แม้ในขณะที่เขากำลังใช้มณี!

นี่เป็นความลับอีกอย่างหนึ่งของวิชาเทพอมตะ

การเสี่ยงชีวิตของคนๆ หนึ่งเพื่อทะลวงผ่านจุดตาย หากผ่านอันตรายมาได้มากมายขนาดนี้แล้ว จะไม่มีข้อได้เปรียบได้อย่างไร? ผู้คิดค้นวิชาเทพอมตะได้ทะลวงจุดตายจุดหนึ่งเข้าโดยบังเอิญและค้นพบข้อได้เปรียบมากมายเหล่านี้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาพยายามพัฒนาวิชานี้อย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถจะหยุดฝึกมันต่อไปได้แม้ว่าจะเสี่ยงชีวิตแค่ไหนก็ตาม

ใครๆ ก็ต่างจินตนาการได้ทั้งนั้นว่า ยิ่งทะลวงจุดตายเพิ่มขึ้น ความแข็งแกร่งของวิชาเทพอมตะก็จะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ ซึ่งนั่นก็เป็นผลมาจากการดูดซับปราณสวรรค์ตลอดเวลาของหลุมดำนั่นเอง แน่นอนว่าความพิเศษของมันยังทำให้สามารถเรียกใช้มณีสวรรค์ได้เร็วขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น มันยังทำให้โจวเหว่ยชิงสามารถเรียกใช้พลังปราณสวรรค์ของเขาได้เรื่อยๆ ตลอดการต่อสู้ แน่นอน นั่นย่อมขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสามารถรอดชีวิตจากการทะลวงจุดตายครั้งต่อๆ ไปได้หรือไม่ด้วย

เมื่อถอนปราณสวรรค์ออกจากมณียุทธ์ ความแข็งแกร่งภายในร่างกายก็ราวกับจะอันตรธานไปด้วย และการสูญเสียความแข็งแกร่งอย่างฉับพลันนี้ทำให้โจวเหว่ยชิงเผลอเลียริมฝีปากของเขาโดยไม่ตั้งใจ ความรู้สึกของการมีพลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ช่างน่าติดใจเสียจริง แต่ว่ามันก็ใช้พลังปรานสวรรค์ไปเยอะเหมือนกันแฮะ

หลังจากการทดลองผสานกับมณียุทธ์ของเขาสำเร็จ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกมั่นอกมั่นใจมากขึ้น เขาตั้งสมาธิเพ่งจิตไปยังปราณสวรรค์ของเขาเพื่อชักจูงมันไปล้อมมณีธาตุอย่างไพฑูรย์ตาแมวสองสีไว้ด้วยความระมัดระวัง

ในครั้งนี้โจวเหว่ยชิงพิถีพิถันเป็นอย่างยิ่ง เขาชักจูงปราณสวรรค์ของเขาไปที่ไพฑูรย์ตาแมวสองสีอย่างช้าๆ ในขณะที่ปราณสวรรค์ของเขากำลังแทรกซึมเข้าในมณีนั้นเอง ทันใดนั้นก็มีปรากฏการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น!

……………………………………………………………

เมื่อได้ฟังน้ำเสียงหนักแน่นของโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมา

เจ้านี่ก็ยังมีข้อดีนี่นา อย่างน้อยก็ยังขยันและมีวิธีผลักดันตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีไพฑูรย์ตาแมวสองสีในตำนานด้วย!…อีกอย่าง…เขาก็เอาเปรียบข้าไปแล้ว…และยังกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ไปแล้วด้วย…ดังนั้นก็น่าจะคู่ควรกับข้าแล้วล่ะมั้ง…

จากนั้นเธอก็ส่ายหัวอย่างรุนแรง ก่อนจะประณามตนเองในใจ

นี่ข้ากำลังคิดอะไรอยู่!! เอาเถอะ ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องจับตาเจ้าอ้วนน้อยโจวไว้ให้ดีก่อน ศีลธรรมของเขานั้นเป็นปัญหาใหญ่ ข้าไม่ควรจะดูแค่วันสองวันก่อนจะตัดสินใจ…

“อ้วนน้อยโจว จำไว้ว่าเมื่อเจ้าฝึกปราณสวรรค์ เจ้าสามารถฝึกฝนได้ตามคัมภีร์เทพอมตะของเจ้า แต่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เจ้าพยายามจะทะลวงจุดตายของเจ้า จำไว้ว่าข้าจะต้องอยู่ด้วยเพื่อคอยป้องกันให้กับเจ้า เพราะเจ้าไม่ควรจะฝึกวิชาส่วนนี้ด้วยตัวเอง”

โจวเหว่ยชิงเผยสีหน้ามีความสุขมากกว่าเดิม เขาตอบกลับทันที “เห…เอาล่ะ…ข้าเข้าใจแล้วๆ…ขอบคุณท่านผู้บัญชาการกองพันสำหรับความห่วงใยและความกังวลที่ท่านมีต่อข้านะขอรับ ฮิฮิ” ในขณะที่กล่าวเช่นนั้น เขาก็โน้มตัวไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยสีหน้าทะเล้น

เมื่อเห็นว่าเขากลับมากวนประสาทอีกครั้งหลังจากเริ่มจริงจังได้สองนาที ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เริ่มรู้สึกหมดหวังอย่างช่วยไม่ได้ “อ้วนน้อยโจว! นั่งให้ดีๆ ข้าจะกลับแล้ว!”

โจวเหว่ยชิงรีบนั่งตัวตรงอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนท่าทางกลับมาเป็นจริงจังอีกครั้ง ซึ่งถ้าหากว่าเป็นคนอื่น พวกเขาก็อาจจะถูกท่าทางแบบนั้นของเขาหลอกเอาได้ น่าเสียดาย ไม่ใช่กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่รู้จักจอมเจ้าเล่ห์คนนี้ดี เธอรู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะแสดงสีหน้าท่าทางอย่างไรออกมา ในหัวของเขาจะต้องกำลังคิดเรื่องพิเรนทร์ๆ อยู่เป็นแน่!

“ก่อนหน้านี้ข้าได้บอกเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์ และจ้าวมณีทั่วไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ข้าจะสอนเกี่ยวกับการใช้งานมณียุทธและมณีธาตุ แต่ว่าตอนนี้ก็ดึกแล้ว ดังนั้นข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นวิธีการเก็บ และปล่อยมณีออกมาแบบคร่าวๆ ก่อน วิธีการนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือการนำมณีออกมาจากร่าง เรียกว่า “การปลดปล่อย” ส่วนที่สองคือการทำให้มณีสวรรค์กลับเข้าสู่ร่าง เรียกว่า “การเรียกคืน”

ทั้ง “การปลดปล่อย” และ “การเรียกคืน” นั้นย่อมต้องอาศัยพลังปราณสวรรค์ ปกติเมื่อมีพลังปราณสวรรค์ตั้งระดับที่ 1 ขึ้นไป ปราณเหล่านั้นจะไปรวมตัวกันอยู่ ณ จุดตันเถียนบริเวณท้องน้อยของเจ้า เจ้าจะต้องตั้งสมาธิเพ่งจิตไปที่ปราณสวรรค์ที่อยู่บริเวณนั้น จากนั้นก็พยายามนำมันมาหลอมรวมเข้ากับมณีสวรรค์ของเจ้า แล้วจึงชักนำมันให้ “ปลดปล่อย” หรือ “เรียกคืน” เจ้าสามารถเริ่มฝึกในคืนนี้ได้เลย ส่วนวันพรุ่งนี้ข้าจะสอนเรื่องอื่นๆ เพิ่ม”

หลังจากพูดจบซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยืนขึ้น ข้างนอกมืดมากแล้ว และเธอก็ไม่เต็มใจที่จะอยู่ในสถานที่ที่มีความทรงจำเลวร้ายเช่นนี้นานๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เตรียมตัวจะจากไป โจวเหว่ยชิงรีบลุกขึ้นยืนส่ง แต่เมื่อเขาทำท่าทางเช่นนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ก้าวถอยหลังทันทีเพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย

หลังจากตวัดสายตาไปมองเขาคราหนึ่ง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รีบผละออกไป

โจวเหว่ยชิงจ้องมองเธอจากไปตาไม่กะพริบผ่านช่องว่างเล็กๆ ในกระโจม เขาพลันคิดกับตัวเอง ช่างเป็นเป็นบั้นท้ายที่สมบูรณ์แบบจริงๆ!

อย่างไรก็ตามเขาเรียนรู้แล้วว่าไม่ควรจะพูดสิ่งที่คิดออกไปอย่างโจ่งแจ้ง แต่ควรจะเพลิดเพลินไปกับความคิดนั่นเงียบๆภายในใจจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยเธอก็ไม่มีวันรู้ยังไงล่ะ!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้นำตะเกียงน้ำมันของเธอจากไปด้วย โจวเหว่ยชิงจึงอาศัยแสงไฟนั้นนั่งลงบนเตียงแล้วเปิดคัมภีร์วิชาเทพอมตะไปที่หน้า 5

เขาได้ทะลวงจุดตาย 4 จุดแรกแล้ว และหากเขาต้องการฝึกฝนต่อไป เขาต้องเริ่มต่อในหน้าที่ 5 ซึ่งนั่นกล่าวถึงจุดตายที่ 5

จุดตายสุดท้ายของวิชาส่วนแรก

จุดตายที่ 5 นั้นคือจุดหยงฉวนซึ่งอยู่ที่ฝ่าเท้า และหากมันถูกทะลวง นั่นจะสร้างความเสียหายให้กับจุดตันเถียนและยังไปทำลายระบบสำคัญๆ ในร่างกายอีกด้วย

เมื่อตั้งสมาธิ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ถึงหลุมดำ ณ ตำแหน่ง 4 จุดตายที่ถูกเขาทะลวงก่อนหน้านี้ จากสิ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์บอกเขามาก่อนหน้า เขาก็พอจะเข้าใจว่าพลังที่พวกเขาดูดซับเข้ามาในร่างก็คือปราณสวรรค์ที่รวมตัวกันอยู่ในบรรยากาศรอบๆ ตัว

วิธีการฝึกปราณสวรรค์ในวิชาเทพอมตะนั้นค่อนข้างง่าย มันเขียนไว้เพียงย่อหน้าสั้นๆ ว่า เมื่อพลังปราณสวรรค์ในจุดตันเถียนเต็มแล้ว นั่นหมายถึงเจ้าพร้อมที่จะทะลวงจุดตายถัดไปแล้ว และเมื่อทะลวงจุดตายถัดไปได้สำเร็จ นั่นหมายถึงระดับพลังปราณสวรรค์ในร่างก็จะเพิ่ม 1 ระดับเช่นกัน แต่กระนั้น หากล้มเหลว ย่อมหมายถึงความตาย

จากประโยคนั้น สามารถอธิบายได้ง่ายๆ ก็คือ หลังจากทะลวงจุดตายจุดแรกได้สำเร็จ สิ่งต่อไปก็คือการฝึกฝนและเก็บสะสมพลังปราณสวรรค์เพื่อทะลวงขั้นต่อไป และเมื่อจุดตันเถียนมีพลังปราณสวรรค์สะสมอยู่จนเต็มแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะทะลวงจุดตายจุดต่อไป ซึ่งในขั้นนี้หากทำสำเร็จย่อมหมายความว่าระดับพลังปราณสวรรค์จะเพิ่มขึ้นอีก 1 ขั้น แต่ถ้าหากผิดพลาดขึ้นมา นั่นย่อมหมายถึงความตายสถานเดียว อันที่จริงแล้วอาจกล่าวได้ว่า ในวิชาเทพอมตะนี้ วิธีการฝึกปราณสวรรค์จริงๆ นั้นไม่มี ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีเคล็ดอื่นๆ อะไรเลยด้วย!

อย่างไรก็ตาม เมื่อลองทดสอบบางอย่างดูเมื่อเช้านี้ โจวเหว่ยชิงเริ่มเข้าใจความลึกลับของวิชาเทพอมตะนี้เข้าให้แล้ว…

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการฝึกวิชานี้เท่ากับการฆ่าตัวตายชัดๆ แต่เมื่อฝึกสำเร็จ กระบวนการฝึกจะง่ายกว่าการฝึกวิทยายุทธ์แบบอื่นๆ มาก!

โจวเหว่ยชิงได้ลองฝึกวิทยายุทธ์หลากหลายแบบตั้งแต่เขายังเด็กๆ เขาต้องหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์รอบๆ เส้นชีพจรเป็นวงกลม และวิชาพวกนี้ก็มักจะซับซ้อนมาก เมื่อโคจรพลังเสร็จหนึ่งรอบ เขาก็เหงื่อแตกพลั่กแล้ว  ดังนั้นกระบวนการฝึกต่างๆ ในวิชาพวกนี้ แค่มองเฉยๆ ก็ยังทำให้เขาปวดหัวจนแทบระเบิดได้

หากเปรียบเทียบกันในตอนนี้ การฝึกวิชาเทพอมตะจึงดูง่ายกว่ามาก แค่จุดหลุมดำที่เกิดขึ้นหลังจากทะลวงจุดตายสำเร็จก็ประเมินคุณค่าไม่ได้แล้ว เนื่องจากมันสามารถดูดกลืนพลังปราณสวรรค์จากบรรยากาศรอบตัวได้ตลอดเวลา ซึ่งนั่นทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วย

ดังนั้นแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจฝึกฝน แต่พลังปราณสวรรค์ของเขาก็จะยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเจ้าหลุมดำนี่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเขาทำการเพ่งสมาธิไปยังจุดหลุมดำที่ว่า ความเร็วในการดูดกลืนปราณสวรรค์ก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย นั่นเป็นวิธีฝึกปราณที่ง่ายที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาแล้ว!

 …..

แต่ในความเป็นจริงเหรียญก็มักจะมีสองด้าน วิชาเทพอมตะที่โจวเหว่ยชิงได้รับมานั้นเป็นวิชาที่น่าอัศจรรย์ และถูกสร้างขึ้นมาโดยยอดอัจฉริยะผู้หนึ่ง อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นถึงยอดอัจฉริยะผู้คิดค้นวิชานี้ขึ้นมา เขาก็สามารถทะลวงจุดตายได้แค่ 10 กว่าจุดเท่านั้น สุดท้ายเขาก็เสียชีวิตลง เพราะทะลวงจุดตายจุดถัดไปไม่สำเร็จ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครสามารถทะลวงจุดตายแรกได้สำเร็จอีกเลย

สิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับวิชานี้คือ การทะลวงผ่านจุดแรกนั้นยากมาก แต่ทว่าวิธีการฝึกปราณสวรรค์ของมันนั้นกลับง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง และสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากทะลวงจุดตายได้ครบ 36 จุดนั้น แม้แต่ผู้คิดค้นเองก็ยังทำได้แค่คาดเดา

เมื่อรู้ดังนั้น โจวเหว่ยชิงก็ตั้งสมาธิเพ่งไปหลุมดำนั่นและเร่งการดูดซับพลังปราณสวรรค์  ในเวลาเดียวกันเขาก็ตรวจสอบจุดตันเถียนของเขาไปด้วย

จากนั้นโจวเหว่ยชิงจึงตระหนักได้ว่า ตอนนี้จุดตันเถียนของตนแทบไม่มีปราณสวรรค์อยู่เลย ปราณสวรรค์ที่ถูกดูดซับมาจากบรรยากาศรอบตัวนั้นเข้าไปเติมเต็มจุดตันเถียนของเขาไม่ถึง 1 ใน 10 ส่วนด้วยซ้ำ แต่การมีสมาธิจดจ่อก็สามารถทำให้พลังปราณพวกนั้นขยับได้ เห็นดังนั้น โจวเหว่ยชิงจึงอยากจะทดสอบ “ปลดปล่อย” และ “เรียกคืน” มณีของตนดู

ด้วยประสบการณ์จากทะลวงจุดตายบนกระดูกไหปลาร้า เด็กหนุ่มตั้งสติ แยกปราณสวรรค์ในจุดตันเถียนออกเป็นสองส่วน มุ่งหน้าไปยังแขนทั้งสองข้างของเขาอย่างช้าๆ

กระบวนการนี้ค่อนข้างช้า เนื่องจากโจวเหว่ยชิงเพิ่งจะเคยลองชักนำพลังปราณสวรรค์ในรูปแบบนี้เป็นครั้งแรก แม้ว่าจำนวนปราณสวรรค์ที่เขาชักนำมานี้จะมีจำนวนเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความจุในตันเถียนของตนเอง แต่เมื่อเทียบกับจำนวนที่เคยใช้ทะลวงจุดตายบนกระดูกไหปลาร้า ขนาดจำนวนเล็กน้อยพวกนี้ก็แทบจะเป็นร้อยเท่าของปราณสวรรค์ในตอนนั้นเลยทีเดียว และเมื่อปราณสวรรค์ของเขากำลังไหลผ่านเส้นชีพจร โจวเหว่ยชิงก็รับรู้ถึงความเย็นสบายบริเวณนั้นด้วย

……………………………………………………….

โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “หากข้าพูดความจริง เกรงว่าข้าจะไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้อีก อันที่จริงสถานะของข้าก็สูงอยู่บ้างและตระกูลของข้าก็ถือว่าร่ำรวย  แต่ว่าตั้งแต่เด็ก บิดาของข้าก็ชอบโมโหใส่ข้าอยู่เรื่อยเพราะข้าฝึกพลังไม่ได้ ข้าก็เลยโกรธมาก จากนั้นข้าเลยตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพเพื่อสร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้กับตัวเอง ข้าจะได้กลับไปที่ตระกูลได้อย่างภาคภูมิใจ! ปิงเอ๋อร์…ไม่ใช่สิ…ท่านผู้บัญชาการกองพัน ท่านจะเชื่อใจข้าได้หรือไม่? ได้โปรดอย่าถามถึงต้นกำเนิดของข้าเลย ข้าสาบานด้วยชีวิตของข้าว่าข้าไม่ใช่คนเลวอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็จะปฏิบัติต่อท่านอย่างดีในอนาคต!”

“ใครอยากให้เจ้าดีกับข้ามิทราบ?!” ความโกรธของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง แต่เธอก็ตระหนักว่าขณะที่ โจวเหว่ยชิงกำลังพูดอยู่นั้น สีหน้าของเขาก็ดูจริงใจเปิดเผยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หัวใจของเธอจึงอ่อนไหวเล็กน้อยอย่างหาสาเหตุไม่ได้

“เอาล่ะ ข้าจะไม่ถามเกี่ยวกับที่มาของเจ้าอีก แต่ต่อจากนี้ไปข้าจะมีข้อตกลง 3 ข้อร่วมกับเจ้า ซึ่งเจ้าต้องสาบานกับมณีสวรรค์ของเจ้าด้วย จากนั้นข้าถึงจะเริ่มสอนเจ้าถึงขั้นตอนการฝึกฝนของจ้าวมณีสวรรค์ เจ้าตกลงหรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าซ้ำๆ “ได้ ข้าตกลง” สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือเรียนรู้วิธีการฝึกของจ้าวมณีสวรรค์ และยิ่งไปกว่านั้นคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเป็นคนสอนเขาด้วยตัวเอง เช่นนี้เขาจะไม่เต็มใจได้อย่างไร! สำหรับคำสาบานพวกนั้น เขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว

ในที่สุดสีหน้าเกรี้ยวกราดของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เลือนหายไป เธอกล่าว “ประการแรก เจ้าต้องสาบานว่าจะจงรักภักดีต่ออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เสมอ ไม่ว่าระดับของเจ้าจะพัฒนาไปถึงขั้นไหนในอนาคต เจ้าก็จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าทันทีและทำการสาบาน ยังไงซะ เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้เขาก็ได้ทำการสาบานประโยคคล้ายๆกันนี้มาแล้วต่อหน้าบิดาของเขา และจักรพรรดิตี้เฟิงหลิง และเขาก็ไม่ว่าอะไรหากจะต้องทำมันอีกครั้ง

“ประการที่สอง นับจากนี้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า เจ้าห้ามเปิดเผยตัวตนว่าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ ยกเว้นเสียแต่ว่ามันเกี่ยวพันถึงความตาย มิฉะนั้นเจ้าห้ามเปิดเผยมณีของเจ้าให้ผู้อื่นเห็นเด็ดขาด”

“เอ๋?!! ห้าม นี่หมายถึงห้ามข้าใช้พลังหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจะให้ข้าฝึกเพื่ออะไร?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างโมโห “เจ้าโง่!! เจ้าคิดว่าการครอบครองไพฑูรย์ตาแมวสองสีในตำนานเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าตอนนี้หรือไม่? หากอาณาจักรอื่นรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาก็จะส่งนักฆ่าจำนวนนับไม่ถ้วนมาฆ่าเจ้า!! จนกว่าเจ้าจะมีพลังแข็งแกร่งในระดับหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านั้นเจ้าต้องซ่อนพลังที่แท้จริงของเจ้าเอาไว้ก่อน”

โจวเหว่ยชิงเข้าใจในทันที จากนั้นเขาก็รีบพูด “เจ้าเป็นห่วงข้าสินะ งั้นข้าก็จะสาบาน” ในขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็รีบเอ่ยคำสาบาน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างเย็นชาและพูดว่า “ข้อสุดท้าย ไม่ว่าระดับพลังในอนาคตของเจ้าจะเป็นเช่นไร เจ้าห้ามบังคับข้าให้ยอมรับเจ้า หากว่าข้าไม่ยินยอม”

โจวเหว่ยชิงผงะกับคำสาบานสุดท้าย “ท่านกลัวว่าระดับพลังของข้าจะแซงท่าน จากนั้นข้าจะบังคับให้ท่านอยู่กับข้า?”

“ใช่” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง

สีหน้าของโจวเหว่ยชิงพลันเปลี่ยนไป และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไปในพริบตา “ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นไรหรือ? ข้ายอมรับว่าเมื่อวานเป็นความผิดของข้าจริงๆ แต่ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น และข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้นกับเจ้า

ข้าเอาเปรียบเจ้าก็จริง แต่ว่าข้าก็จะหาทางชดเชยในเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน เจ้าก็อย่าได้ดูถูกใจข้านักเลย ข้า โจว…อ้วนน้อยโจว… ไม่ว่าข้าจะแย่ขนาดไหน… ข้าก็จะไม่บังคับฝืนใจผู้หญิงหรอก เพราะฉะนั้น ข้าสาบาน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เว้นเสียแต่ว่านั่นจะเป็นความต้องการของซ่างกวนปิงเอ๋อร์  ไม่เช่นนั้นข้า อ้วนน้อยโจว จะไม่บังคับให้เธอทำสิ่งที่เธอไม่ต้องการ…”

เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงเกิดโทสะ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางคิดกับตนเองว่า ถึงแม้คนอย่างเขาอาจจะน่ารำคาญไปเสียหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็มีข้อดีอยู่บ้าง

น่าเสียดายที่เธอไม่รู้ว่า สำหรับจอมเจ้าเล่ห์อย่างโจวเหว่ยชิงนั้น แม้ว่าเขาจะดูจริงใจกับคำสาบานมาก แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังหาทางหนีทีไล่ให้กับตัวเองเสมอ เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วเขาก็สาบานด้วยชื่อเล่นสมัยเด็กของเขา “อ้วนน้อยโจว” ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา “โจวเหว่ยชิง”

ขณะที่ดวงตาของพวกเขาสบกันนั้น โจวเหว่ยชิงก็พลันเห็นความโศกเศร้าที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของดวงตาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาจึงมีท่าทีอ่อนลง ยังไงก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นความผิดของเขา เพราะเขาได้พรากสิ่งที่มีค่าที่สุดของหญิงสาวไปจากเธอ

“ท่านผู้บัญชาการกองพัน อย่าได้โกรธอีกเลย ในอนาคตข้าจะเชื่อฟังทุกอย่างที่ท่านพูด หากท่านขอให้ข้าขโมยไก่ ข้าก็จะไม่ไล่เตะหมา[1]อย่างแน่นอน ข้าจะทำตามที่ท่านขอทุกอย่าง!”

เมื่อมองเห็นสายตาเป็นห่วงจากโจวเหว่ยชิงและรับฟังคำพูดที่ไร้สาระของเขา ในที่สุดใบหน้าเย็นชาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อ่อนลง เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา  “ใครจะไปขอให้เจ้า”ขโมยไก่ไล่เตะหมา”กัน ข้าเป็นอะไรกับเจ้าตอนไหนไม่ทราบ?”

เมื่อเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะออกมา โจวเหว่ยชิงก็พลันรู้สึกใจเต้นแรง เขากำลังจะพูดต่อ แต่ก็ได้ยินซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เอาล่ะ ตอนนี้นั่งให้มันดีๆ ข้ากำลังจะสอนทุกอย่างที่ข้ารู้เกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์ จำไว้ว่าเจ้าต้องพยายามฝึกอย่างหนัก”

เมื่อได้ยินว่าเธอจะสอนเขาฝึกวิทยายุทธ์ของจ้าวมณีสวรรค์ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที และพยักหน้าอย่างจริงจัง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวต่อ “มนุษย์เรานั้นภูมิใจในตนเองอย่างมากในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์ทรงปัญญา และเราก็เรียกร่างกายของเราว่าเป็นภาชนะแห่งสวรรค์ เมื่อผ่านการฝึกฝน เราจะสามารถกระตุ้นพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดได้ และพลังที่เราได้รับนั้นเรียกว่า “ปราณสวรรค์”

ปราณสวรรค์เป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นจ้าวมณียุทธ์ จ้าวมณีธาตุ หรือจ้าวมณีสวรรค์ พวกเราทุกคนต้องการปราณสวรรค์เพื่อใช้พลังทุกอย่าง

สำหรับจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุทั่วๆ ไป พลังมณีดวงแรกของพวกเขาจะถูกปลุกขึ้นเมื่อปราณสวรรค์ของพวกเขามาถึงระดับที่ 3  และสำหรับมณี 2 ดวงถัดไปนั้นต้องการปราณสวรรค์เพียง 2 ระดับเพื่อปลุกพวกมันขึ้นมา อย่างไรก็ตาม หลังจากดวงที่ 3 เป็นต้นไป มณีแต่ละดวงก็จะต้องใช้พลังปราณสวรรค์ 3 ระดับเพื่อปลุกพวกมันขึ้นมา จนกระทั่งครบ 9 ดวง

อย่างไรก็ตาม จ้าวมณีสวรรค์อย่างพวกเรานั้นต้องการปราณสวรรค์ที่มากกว่าจ้าวมณีทั่วๆ ไปเพื่อส่งพลังให้มณีสวรรค์ของเรา”

“จ้าวมณีสวรรค์ต้องการพลังปราณสวรรค์ระดับ 4 เพื่อปลุกมณีดวงแรก นี่คือเหตุผลว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงรู้ว่าเจ้ามีพลังปราณสวรรค์อยู่ในระดับที่ 4  แน่นอนว่าหลังจากนั้น มณีสวรรค์ทุกดวงก็ยังคงต้องการปราณสวรรค์ 4 ระดับเพื่อปลุกมันขึ้นมา สิ่งที่ข้าจะพูดก็คือ สำหรับเราจ้าวมณีสวรรค์ พวกเราจำเป็นต้องมีปราณสวรรค์อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นบรรลุวิถี หรือก็คือระดับที่ 12 ของขั้นบรรลุวิถีก่อน จึงจะสามารถครอบครองมณีได้ครบทั้งหมด 12 ดวง นี่คือเหตุผลว่าทำไมจ้าวมณีสวรรค์จึงยากที่จะฝึกฝนสำเร็จ และกระบวนฝึกปราณของเรายังเรียกอีกอย่างว่า 12 มณีสวรรค์ผันชะตา หรือ มณีสวรรค์ผัน 12 ชะตา”

โจวเหว่ยชิงตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ เขามีความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกอย่างที่เกี่ยวกับมณีสวรรค์ และขณะที่เขาฟังซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่นั้น เขาก็ไม่เคยละสายตาไปจากเธอเลย

เมื่อพูดถึงข้อนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็จุดไฟในตะเกียงน้ำมันที่เธอนำมาด้วย  แสงสว่างส่องไปทั่วกระโจมที่มืดมิด เมื่อโจวเหว่ยชิงมองดูรูปร่างหน้าตาที่งดงามของเธอใกล้ๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะใจสั่น เขาอายุเพียง 13 ปี และยังควบคุมจิตใจตนได้ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าคืนก่อนเขาได้สร้าง “สายสัมพันธ์” ร่วมกับเธอมาแล้วด้วย ดังนั้นหัวใจของเขาจึงเต้นเร็วอย่างลิงโลด จิตใจก็ล่องลอยไปไกลราวกับตกอยู่ในภวังค์ โชคดีที่ความรู้เกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์นั้นน่าดึงดูดสำหรับเขามาก นั่นทำให้เขาไม่ได้แสดงสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวต่อไปว่า “ข้าตรวจสอบวิชาเทพอมตะของเจ้าก่อนหน้านี้แล้ว เจ้าบอกว่าคืนที่ผ่านมาเจ้าสามารถทะลวงจุดตายได้ถึง 4 จุด?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้า

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วของเธอก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า หากเจ้าเลือกวิธีฝึกปราณสวรรค์ด้วยวิทยายุทธตามคัมภีร์นั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่สามารถฝึกแบบอื่นได้อีก ในเมื่อเจ้าใช้การฝึกวิทยายุทธตามวิชาเทพอมตะไปแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะฝึกต่อไป ซึ่งการฝึกแบบนี้มีความพิเศษมาก แต่ก็ค่อนข้างอันตรายด้วย”

“เอ๋? ข้าเปลี่ยนวิธีการฝึกปราณไม่ได้งั้นหรือ” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าก่อนจะตอบ “ใช่ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก แม้ว่าวิธีนี้จะลำบากไปเสียหน่อย แต่ขั้นตอนที่ยากที่สุดคือการทำลายจุดตายแรก ซึ่งเจ้าก็ได้ทะลวงไปแล้วถึง 4 จุด ดังนั้นข้าเชื่อว่าสิ่งที่ตามมาน่าจะค่อนข้างง่ายกว่า ยิ่งไปกว่านั้น หากสิ่งที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้เป็นจริง ไข่มุกสีดำที่เจ้ากลืนเข้าไปก่อนหน้านั้นก็ย่อมสามารถปกป้องเจ้าได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนที่เจ้าฝึก มันก็เป็นธรรมดาที่ขั้นต่อไปจะยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อระดับของเจ้าสูงขึ้น เจ้าก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมด้วย”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดให้กำลังใจตนเอง “ข้าจะพยายามอย่างหนักและฝึกต่อไปขอรับ!!!” ในที่สุดโอกาสของเขาก็มาถึง และเขาสาบานว่าเขาจะไม่กลับไปเศษสวะอีก!!!!

 ………………………………………………..

[1] สำนวน 偷鸡摸狗 แปลตรงตัวว่า ขโมยไก่ไล่เตะหมา หมายถึง การก่ออาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผลักโจวเหว่ยชิงออกให้พ้นทางและพุ่งตัวไปยังประตูทางออก เมื่อเธอเปิดกระโจม อากาศบริสุทธิ์เย็นสบายก็พัดเข้ามาภายใน เธอหายใจลึกๆ เพื่อให้ตนเองสงบลง

เวลาผ่านมาหนึ่งวันเต็มแล้ว และด้วยพลังปราณสวรรค์ในร่าง ร่างกายของเธอก็ฟื้นฟูจนหายเป็นปกติแล้ว อย่างไรก็ตาม บาดแผลที่หัวใจจะสามารถสมานได้ง่ายดายเพียงนั้นหรือ? หลังจากกรุ่นคิดมาตลอดทั้งวัน ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจวางเหตุผลอยู่เหนือความโกรธ จากนั้นเธอจึงมุ่งหน้ามาหาโจวเหว่ยชิง

“เจ้าอ้วนน้อยโจว” เธอหันกลับมาพร้อมกับปิดกระโจมลงอีกครั้งเพื่อเผชิญหน้ากับโจวเหว่ยชิง

“ขอรับ?” เมื่อได้ยินเธอเรียกเขา โจวเหว่ยชิงก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทางที่คล้ายกับสุนัขทำตาละห้อยทำให้เธออยากจะฟาดกำปั้นลงบนใบหน้าของเขานัก!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หายเข้าใจลึกๆ อีกครั้งก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึม “จำไว้ว่า เมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าข้าได้ยินข่าวลือแพร่สะพัดออกไป เจ้าจะได้รู้ผลที่ตามมาแน่… ”

“เอ๋?” โจวเหว่ยชิงเบิกตากว้าง ในขณะนี้ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงออกว่านอบน้อมเชื่อฟัง แต่ในใจกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่คิดจะฆ่าเขาแน่นอน และเมื่อมองใบหน้างดงามของเธอในขณะนี้ เขาก็อดจินตนาการไม่ได้ว่าเมื่อคืนนี้เธอตกอยู่ใต้ร่างของเขา จากนั้นหัวใจของเขาก็ลุกเป็นไฟด้วยความตื่นเต้น

“เจ้าได้ยินที่ข้าพูดชัดเจนหรือไม่?!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยใบหน้างอง้ำ

“ได้ยิน…ข้าได้ยินชัดเจนขอรับ ตะ แต่ว่า ท่านผู้บัญชาการกองพัน ข้า ข้า…” โจวเหว่ยชิงมองอย่างลังเล

“เจ้าเป็นอะไร? ทำไมต้องพึมพำเสียงเบาๆ ด้วย? มีอะไรจะพูดก็พูดออกมาซะ!!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างโมโห อดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าและเตะเขาอย่างจัง

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวทันที “ข้าไม่ควรพูด…ข้ากลัวท่านจะตีข้า!”

“พูดออกมาซะ ข้าจะไม่ตีเจ้า” มนุษย์ย่อมอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา และซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มีอายุแค่เพียง 15 ปี เท่านั้น ถึงแม้ว่าเธอจะยังโกรธโจวเหว่ยชิง แต่เธอก็ยังอยากรู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไร

โจวเหว่ยชิงมองเธออย่างกล้าๆ กลัวๆ จากนั้นก็กระซิบเบาๆ “ท่านจะไม่ตีข้าจริงๆ ใช่ไหม?”

“เมื่อไหร่เจ้าจะพูดสักที!?” สีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นในพริบตา

“เอาล่ะๆ! ข้าจะบอกแล้ว ตกลงไหม?

ผู้บัญชาการกองพัน เมื่อคืนเป็นครั้งแรกของข้า เพราะฉะนั้นข้าย่อมลืมเรื่องเมื่อคืนไม่ลง! แม้ว่าท่านจะไม่รับผิดชอบข้า ข้าก็จะไม่ต่อว่าท่าน…แต่…มันก็ช่วยไม่ได้ที่ข้าจะยังจดจำมันไว้…” โจวเหว่ยชิงพลันมีสีหน้าโศกเศร้าราวกับว่าเขาเป็นผู้เสียสละตนเองเมื่อคืนนี้

“ผู้บัญชาการกองพัน อย่าจ้องข้าเช่นนั้นได้หรือไม่…ข้ากลัวนะขอรับ! ขะ ข้าแค่พูดความจริงเท่านั้น อ้ากกกกกกกกกก!! ช่วยด้วย! มีคนจะฆ่าข้าแล้วววว!!!”

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกล่าวประโยคแรก ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตระหนักได้ว่าคนพาลผู้นี้ไม่ได้จะพูดอะไรที่มีสาระเลยสักนิด และก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ยิ่งเธอได้ฟัง ความโกรธของเธอก็ปะทุเพิ่มมากขึ้น และท้ายที่สุด ใบหน้าที่งดงามของเธอก็กลายเป็นสีเขียวสลับขาวด้วยความโกรธ ดังนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขาพอดีจึงหยิก และบิดเข้าที่เอวของโจว เหว่ยชิงเป็นมุม 180 องศาด้วยความเร็วราวกับพายุ  ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือดก็ดังขึ้นมาลั่นกระโจม

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นปิดปากโจวเหว่ยชิงเอาไว้ เธอไม่ต้องการให้ลูกน้องคนอื่นๆ ของเธอรู้ว่าเธออยู่ในกระโจมของเจ้าคนหน้าด้านนี้ตอนดึกๆ

“ถ้าเจ้าพูดอะไรไร้สาระอีก ข้าจะจับเจ้าตอนซะ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทั้งโกรธและอับอาย ในที่สุดเธอก็ใช้เสียงข่มขู่เขาให้เงียบ

โจวเหว่ยชิงถูกมือปิดปากทำให้เขาสงบลงทันที ทันใดนั้นมือของเขาก็กวาดลงไปปกปิดร่างกายส่วนล่างอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็มองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยสีหน้าตกใจ คราวนี้เขากลัวสิ่งที่เธอขู่เข้าจริงๆ

“เจ้า…นั่งลง” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดีใจมากที่เธอไม่ได้พกดาบมาด้วย ไม่อย่างนั้นเธอคงรับประกันไม่ได้ว่าคนกลิ้งกลอกนี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

โจวเหว่ยชิงนั่งลงบนเตียงอย่างเชื่อฟัง คราวนี้เขาพยาพยามทำตัวดีอย่างมาก แม้ว่าเขาจะชอบมองดูเธอทำสี หน้าโกรธๆ แต่เขาก็รู้ว่าจะแกล้งรุนแรงเกินไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกมากในอนาคต เป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นความสุขเพียงอย่างเดียวที่เขาตั้งตาคอยในชีวิตการเป็นทหารของเขา

“อ้วนน้อยโจว ข้าขอถามเจ้า เจ้ารู้เกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์มากแค่ไหน?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่งไขว่ห้างที่ปลายเตียงอีกด้านเพื่อรักษาระยะห่างหนึ่งเมตรระหว่างโจวเหว่ยชิง และตัวเธอเอง

“เอ่อ…รู้แค่พื้นๆ เท่าที่ท่านบอกกับข้าเมื่อวาน” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างไม่ลังเล

เสียง *ผัวะ* ดังขึ้นพร้อมกับที่สมุดหนังเล่มหนึ่งถูกเหวี่ยงมาใส่เขา โจวเหว่ยชิงคลำดูและพบว่ามันเป็นคัมภีร์วิชาเทพอมตะที่หายไปของเขานั่นเอง

“บอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้? ในวันนั้นข้าสัมผัสถึงปราณสวรรค์จากตัวเจ้าไม่ได้เลย เหตุใดเจ้าถึงสามารถปลุกมณีสวรรค์ของเจ้าได้ในตอนกลางคืน? ยิ่งไปกว่านั้นมณีธาตุของเจ้ายังมีจำนวนมากกว่าปกติด้วย อย่าบอกข้านะว่ามันเป็นเพราะวิชาเทพอมตะนี่?

สิ่งนี้มัน…แม้ว่ามันอาจจะเป็นไปได้ แต่มันก็คือการฆ่าตัวตายดีๆ นี่เอง! และแม้ว่าเจ้าจะฝึกวิชานี้ได้สำเร็จ แต่ไม่ว่าเจ้าจะโชคดีแค่ไหน เจ้าก็คงไม่สามารถเพิ่มพลังปราณสวรรค์แบบพรวดพราดจากระดับ 0 ไประดับ 4 ได้แน่ๆ”

โจวเหว่ยชิงกล่าวตอบอย่างไฟแล่บ “อาจเป็นเพราะไข่มุกสีดำแปลกๆ ที่ข้ากลืนเข้าไป ก่อนที่ข้าจะเข้าร่วมกองทัพ ข้าได้ไปเดินเล่นแถวๆ ป่าดารา จากนั้นไม่นานข้าก็เหนื่อยและก็เผลอหลับไปในป่า ใครจะไปรู้ ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มืดลงและข้าก็พบว่าตัวเองขยับไม่ได้ มีรอยแยกเกิดขึ้นบนท้องฟ้า ไข่มุกสีดำที่มีแสงสีเขียว สีน้ำเงิน และสีเงินล้อมรอบอยู่ก็โผล่ขึ้นมาจากรอยแยกนั่นด้วย มันพุ่งเข้ามาในปากของข้า ในเวลานั้นข้ารู้แค่ว่าร่างกายของข้าเย็นมาก จากนั้นข้าก็สลบไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่เจออะไรผิดปกติ ข้าก็เลยกลับไปที่เมือง พอมาถึงเมือง ข้าก็เห็นประกาศรับสมัครทหาร ดังนั้นข้าก็เลยสมัครซะเลย แล้วเมื่อคืนนี้ข้าพยายามจะฝึกวิชาเทพอมตะจริงๆ ข้าก็ได้ลองทะลวงจุดตายแรกตรงกระดูกไหปลาร้าดู และในที่สุดข้าก็ทะลวงมันสำเร็จจนได้ แต่ว่าทันทีที่ทำสำเร็จข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายทั้งหมดมันชาไปแทบทุกส่วน จะขยับก็ขยับไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น จู่ๆ ก็มีไอความเย็นขุมหนึ่งปะทุออกมาจากตันเถียนของข้า จากนั้นข้าก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย พอข้าตื่นขึ้นมาก็เจอผู้หญิงยืนเปลือยอยู่ตรงหน้า จากนั้นข้าก็รู้ว่าจุดตายทั้ง 4 จุดของข้าถูกทะลวงเรียบร้อยแล้ว…”

“หุบปาก…” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยใบหน้าขึ้นสี เธอยกมือขึ้นมาโบก จากนั้นกลุ่มพลังสีเขียวอ่อนสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าโจวเหว่ยชิง เสียง *ตูม* ดังขึ้นก่อนที่เตียงนอนด้านหน้าของเขาจะหักลงเป็นสองท่อน นั่นทำให้เขากลัวจนหยุดส่งเสียง

ถ้าพลังนั่นระเบิดใกล้เข้ามาอีก 2-3 นิ้ว นกเขาตัวน้อยในกางเกงของเขาก็คงจะไม่เหลือรอด…

หลังจากตวัดสายตาจ้องมองโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ครุ่นคิดกับตนเอง เธอไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย แต่ด้วยวิธีการเล่าของคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้ เธอจะเชื่อเขาได้หรือไม่? แต่ถ้าเธอไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด ก็คงไม่มีวิธีอื่นที่จะสามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่เขาพูดเธอก็มองตาเขาไปด้วย ดังนั้นเธอจึงเห็นว่าโจวเหว่ยชิงนั้นมีความจริงใจแฝงอยู่ในสายตา และดูเหมือนว่าคำพูดของเขาก็ค่อนข้างจะน่าเชื่อถืออยู่บ้าง

“เจ้ามาจากไหน?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างเคร่งขรึม เธอไม่ได้ถามเพื่อตอบข้อสงสัยของตนเอง สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือมณีธาตุในตำนานของเขาต่างหาก คนเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะมีความสามารถอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถ้าเขามีต้นกำเนิดที่ไม่รู้จัก เธอก็ไม่แน่ใจว่าเธอควรจะสอนวิธีการฝึกปราณให้เขาดีหรือไม่

โจวเหว่ยชิงลังเลสักครู่ก่อนจะพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ ท่านอยากได้ยินความจริงหรืออยากให้ข้าแต่งเรื่องให้ฟังดี?”

เมื่อได้ยินเขาเรียกเธอด้วยชื่อจริง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตอบอย่างโกรธๆ “เรียกข้าว่าผู้บัญชาการกองพัน! และแน่นอนว่าข้าต้องการฟังความจริง!”

………………………………………………………..

หลังจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องไห้มาครึ่งค่อนวัน เธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อย โจวเหว่ยชิงเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าที่สดใส ก่อนจะกล่าวเตือน “ท่านผู้บัญชาการ ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ท่านยังไม่อยากกลับอีกหรือ? ถ้าพวกเราไม่กลับไปตอนนี้ คนอื่นอาจเจอพวกเราในสภาพนี้ก็ได้นะ”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้ว่าโจวเหว่ยชิงเดินกลับมาหา เธอจึงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เขาทั้งใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า! ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไปให้พ้น!?”

โจวเหว่ยชิงนั้นสามารถอ่านสีหน้าท่าทางของผู้คนได้ เขาจึงสังเกตเห็นว่าหลังจากที่เธอร้องไห้มานาน ประกายความโกรธเกรี้ยวในดวงตาของเธอก็ได้บรรเทาลงมากแล้ว และแม้ว่าน้ำเสียงของเธอนั้นยังจะยังฟังดูดุร้ายอยู่ แต่มันก็ไม่มีจิตสังหารผสมอยู่แล้ว

“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” เมื่อเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดร้องไห้แล้ว โจวเหว่ยชิงจึงรีบวิ่งออกไปทันที แม้ว่าความโกรธของเธอจะบรรเทาไปมากแล้ว แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวก็ยังอยากจะอัดเขาให้น่วมอยู่ไม่น้อย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็นโจวเหว่ยชิงวิ่งหนีออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน นั่นทำให้เธอนั้นยิ้มออกมาได้เล็กน้อย หญิงสาวยืนขึ้นก่อนจะเดินกลับไปที่ค่ายทหารอย่างช้าๆ

เมื่อโจวเหว่ยชิงกลับมาถึงที่กระโจมของตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากก่อนหน้านี้เขามัวแต่กลัวว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะฆ่าตนทำให้ตอนตื่นมาไม่ทันได้สังเกตภายในกระโจมอย่างถี่ถ้วน แต่ตอนนี้ก็เป็นเวลาสว่างแล้ว นั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเย็นวาบไปทั่วไขสันหลังและรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยอมให้อภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

ภายในกระโจมนั้นแทบจะเละเป็นโจ๊ก เศษเสื้อผ้ากระจายเกลื่อนกลาด และส่วนใหญ่ก็คือชุดสีเครื่องแบบทหารสีม่วงที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สวมมาเมื่อคืนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรอยคราบเลือดติดอยู่บนผ้าปูเตียงด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อคืนนั้นรุนแรงบ้าคลั่งแค่ไหน

โจวเหว่ยชิงรีบเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายก่อนจะรวบรวมพวกมันใส่ไว้ในถุงผ้าที่นำมาก่อนหน้า จากนั้นเขาก็ค่อยๆฉีกผ้าปูกที่นอนที่มีคราบเลือดติดอยู่อย่างระมัดระวัง เพราะสิ่งนี้คือเครื่องหมายระหว่างพวกเขาทั้งสองคน  เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะเก็บมันไว้ หากในอนาคตซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยอมรับการอยู่ร่วมกับเขา โจวเหว่ยชิงก็จะมอบสิ่งนี้กับเธอ แน่นอนว่าหญิงสาวจะรับหรือเปล่านั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หลังจากที่เขาทำความสะอาดสิ่งต่างๆ เสร็จแล้ว เด็กหนุ่มกลับไม่พบคัมภีร์วิชาเทพอมตะ ดังนั้นดูเหมือนว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเป็นคนเก็บไป ไม่ใช่ว่าโจวเหว่ยชิงไม่อยากจะยกมันให้กับเธอ แต่ทว่าเขากลัวซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะลองฝึกวิชานี้ต่างหาก

การฝึกวิชาเทพอมตะเมื่อคืนทำให้โจวเหว่ยชิงตระหนักได้ถึงความอันตรายและความยากลำบากในการฝึกฝนวิชานี้ หากไม่ได้ไข่มุกสีดำที่ตนกลืนเข้าไปก่อนหน้า เขาก็อาจจะตายไปก่อนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะมาถึงด้วยซ้ำ

ไม่ ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกแน่นอน! 

เขาต้องหาโอกาสเตือนเธอเรื่องการฝึกวิชานี้ และถึงแม้ว่าเธอต้องการที่จะฝึก ก็ต้องใช้เวลาถึง 2-3 วันกว่าจะฟื้นตัวได้

เมื่อโจวเหว่ยชิงมองไปที่มณีบนข้อมือตนเอง เขาก็รับรู้ได้ว่ามันยังไม่ได้หายไปไหน นั่นทำให้เขาตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน จากนั้นเด็กหนุ่มก็พลันรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่เผชิญมาทั้งคืน ดังนั้นเขาจึงล้มตัวลงนอนและหลับไป

ตั้งแต่เขาถูกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งตัวมายังกระโจมห่างไกลผู้คนเช่นนี้เพื่อลงโทษ นั่นทำให้ไม่มีใครกล้ามารบกวนเด็กหนุ่มเลยแม้แต่คนเดียว โจวเหว่ยชิงจึงหลับได้สนิทตลอดทั้งวัน จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน

“อ่า…ช่างสบายจริงๆ” โจวเหว่ยชิงบิดขี้เกียจก่อนที่จะมีเสียงดังกร็อบแกร่บออกมาจากกระดูกของเขา มันเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกสบายจริงๆ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง จากนั้นเขาจึงมองไปยังมณีสวรรค์ที่ข้อมือ พวกมันยังคงลอยวนอยู่บนนั้นเป็นวงกลม

“ทำไมข้าถึงเรียกมณีสวรรค์กลับเข้าที่เหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้ล่ะ? แล้วทีนี้ข้าจะทำยังไงดีละเนี่ย?” ตั้งแต่เด็กที่โจวเหว่ยชิงถูกตราหน้าว่าเป็นเศษสวะ ทำให้เขาไม่เคยได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมณีพลังเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มรู้แค่เพียงความรู้พื้นฐานทั่วไป ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตนควรต้องทำอย่างไร

ช่างมันเถอะ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาไปกังวลเรื่องนั้น ถึงเวลากินแล้ว! กินก่อนแล้วค่อยคิดละกัน หิวจะตายอยู่แล้ว!! เนื่องจากวันนี้เขาหลับมาทั้งวัน เมื่อรวมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เวลานี้โจวเหว่ยชิงจึงตื่นขึ้นเพราะหิวเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มสวมเครื่องแบบทหาร เขาเอาแขนเสื้อลงมาปิดบังมณีสวรรค์ของตัวเองไว้ก่อนที่จะรีบวิ่งไปทานอาหารเย็นมื้อใหญ่

เมื่อท้องเต็มอิ่ม จิตวิญญาณของโจวเหว่ยชิงก็ถูกเติมเต็มไปด้วย เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่พบว่าตัวเองมีรูปร่างใหญ่โตขึ้น แต่เดิมเขาสูงประมาณ 1.7 เมตร ซึ่งสูงมากแล้วสำหรับเด็กอายุ 13 ปีเช่นเขา อย่างไรก็ตาม คืนที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเขาจะสูงขึ้นไปอีก 2-3 เซนติเมตร และกล้ามเนื้อก็ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นไปอีก

หากไม่นับรวมความรู้สึกผิดต่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว วันนี้ก็ถือว่าอารมณ์ของเขาค่อนข้างดีเลยทีเดียว ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ได้ครอบครองมณีสวรรค์ที่ตนใฝ่ฝันมานาน! นั่นยังไม่นับรวมมณีธาตุในตำนานของเขาเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากแม้แต่สถานะของจ้าวสวรรค์ธรรมดาก็ทำให้เด็กหนุ่มพึงพอใจอย่างยิ่งแล้ว!

หากไม่ใช่เพื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาอาจจะตรงดิ่งกลับบ้านทันทีเพื่อบอกข่าวดีนี้แก่บิดาของตน นั่นรวมไปถึงการไปกล่าวตอกหน้าคนที่ชอบดูถูกเขาอย่างองค์หญิงตี้ฝูหยาว่าโจวเหว่ยชิงเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว!

โจวเหว่ยชิงพุ่งกลับไปที่กระโจมของเขาด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มยินดี แต่ทันทีที่เด็กหนุ่มเปิดกระโจมออก ลางสังหรณ์ก็ร้องเตือนอย่างตื่นตระหนกทันที เขาจึงตะโกนออกมา “นั่นใคร?”

สัญชาตญาณตื่นตัวที่แปลกประหลาดนั้นค่อยๆ เลือนหายไป และเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไรกันแน่ ขณะนี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว สายตาของเด็กหนุ่มจึงมองไม่ค่อยเห็นสิ่งต่างๆภายในกระโจมมากนัก

ฉับพลัน สีหน้าของโจวเหว่ยชิงก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเมื่อเขามองเห็นคนที่อยู่ในกระโจมได้ชัดเต็มตา เด็กหนุ่มกล่าวทักทายด้วยด้วยรอยยิ้มโง่งม “ท่านผู้บัญชาการกองพัน ท่านมาที่นี่ทำไมหรือ?” ในขณะที่เขากล่าว ขาข้างหนึ่งได้ก้าวเข้าไปในกระโจมแล้ว แต่ทว่าขาอีกข้างกลับไม่ยอมขยับตามเพราะรู้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาทำอะไรที่นี่

ตอนนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบสีน้ำเงินซึ่งเข้ากับผมสีฟ้าของเธอมาก โจวเหว่ยชิงเห็นว่าชุดเครื่องแบบของเขาถูกพับอย่างเรียบร้อยวางอยู่บนเตียงของเขา และเมื่อเด็กหนุ่มเข้าไปในกระโจม หญิงสาวก็จ้องมองไปที่เตียงด้วยสายตาว่างเปล่า

“เข้ามา” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา

โจวเหว่ยชิงมองไปรอบๆ เพื่อตรวจสอบว่าหญิงสาวพกอาวุธมาด้วยหรือไม่ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่กล้าก้าวเข้าไปใกล้เธอมากนัก ทำได้แค่เพียงยืนอยู่ใกล้ๆ ทางเข้าออกกระโจมเท่านั้น เด็กหนุ่มเมียงมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยท่าทางประหม่า ราวกับว่าเมื่อคืนเขาเป็นคนถูกเธอล่วงเกิน

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หน้าแดงเถือก นี่เธอถูกเอาเปรียบโดยเจ้าคนไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร!

“ผ้านั่นอยู่ที่ไหน” เธอถามห้วนๆ

“ผ้าอะไร?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างไม่เข้าใจ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงด้วยความอับอาย เธอจ้องมองที่เตียง ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็เข้าใจในทันที เขาพูดอย่างระมัดระวัง “ข้าเก็บมันไว้…เป็นที่ระลึก”

หน้าอกของซ่างกวนปิงเอ๋อร์สะท้อนขึ้นลงด้วยความโกรธ “เจ้า…เอามันมาให้ข้า!” เธอกลัวเหลือเกินว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้และเผลอฆ่าเจ้าคนหน้าด้านคนนี้เข้า!

โจวเหว่ยชิงหยิบเศษผ้าไม่กี่ชิ้นที่เขาเก็บไว้อย่างระมัดระวังออกมาจากอกอย่างลังเล จากนั้นก็ยื่นส่งให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แน่นอนว่าเธอทนดู “ของที่ระลึก” ที่น่าอับอายนั่นไม่ไหว ดังนั้นหญิงสาวจึงรีบผละออกไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เธอย่อมไม่รู้แม้แต่น้อยว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างโจวเหว่ยชิงนั้นจะแอบเก็บเศษผ้าไว้กับตัวด้วยอีกส่วน!

………………………………………………………

โจวเหว่ยชิงไม่กล้าทำตัวชักช้า เขารีบยกมือขึ้นมาต่อหน้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หลังจากตรวจดูมณีธาตุบนข้อมือซ้ายของโจวเหว่ยชิงอย่างถี่ถ้วนแล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความเกลียดชังนั้นดูราวกับตกอยู่ในภวังค์ “ไพฑูรย์…ไพฑูรย์…ตาแมว…สองสี มันคือไพฑูรย์ตาแมวสองสีจริงๆ!”

“ทำไมกัน? สวรรค์ทำไมต้องเล่นตลกกับข้าด้วย! ทำไมเจ้าบ้านี่ถึงมีไพฑูรย์ตาแมวสองสี!!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันกับตนเอง

การเปลี่ยนหัวข้อสนทนาย่อมเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการระงับความโกรธ และโจวเหว่ยชิงก็รีบคว้าโอกาสนี้อย่างรวดเร็ว เขาถามเสียงเบา “ท่านผู้บัญชาการกองพัน ไพฑูรย์ตาแมวสองสีนี้คืออะไรหรือ? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างสับสน “ไพฑูรย์ตาแมวสองสีเป็นมณีที่พิเศษมาก มันจัดอยู่ในตระกูลเดียวกันกับไพฑูรย์สีทอง แต่ความพิเศษของมันคือ หากมันอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ มันจะมีสีเขียวอมน้ำเงิน ซึ่งนั่นควรจะเป็นสีที่งดงามที่สุดของหยกมรกต ทว่าภายใต้แสงเทียนหรือแสงโคมตอนกลางคืน  มณีนี้จะมีสีแดงกุหลาบหรือสีแดงอมม่วง ดังนั้น มันจึงเป็นที่รู้จักกันในนาม “มรกตยามทิวา ทับทิมยามราตรี” ในบรรดามณีทั้งหมด มันคือมณีที่หายากที่สุด และถ้าไพฑูรย์สองสีนี้มีสัญลักษณ์ตาแมวพาดผ่านด้วย มันก็จะกลายเป็นไพฑูรย์ตาแมวสองสี ซึ่งเป็นอัญมณีที่มีค่าที่สุดในโลก และนั่นหมายถึงมันมีค่ามากกว่าเพชรถึงร้อยเท่า!!!”

โจวเหว่ยชิงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับไพฑูรย์ตาแมวสองสีมาก่อน แต่เมื่อเขาตรวจดูอย่างละเอียดก็พบว่าสีของมัน   กำลังค่อยๆ เปลี่ยนไปขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นมานี่เอง สีน้ำเงินเข้มที่เขาเห็นก่อนหน้าก็กำลังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว และสัญลักษณ์ตาแมวก็ดูจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

“‘งั้นท่านหมายความว่า มณีธาตุของข้าเป็นไพฑูรย์ตาแมวสองสี? แล้วทักษะธาตุของมันคืออะไรล่ะ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ลืมแม้กระทั่งลูกศรที่จ่อลำคอของเขาอยู่

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังคงตกอยู่ในความสับสน เธอกล่าวว่า “ไพฑูรย์สองสีเป็นมณีธาตุที่สามารถเกิดขึ้นได้กับจ้าวมณีสวรรค์เท่านั้น นอกจากมันจะมีพลังและทักษะธาตุที่แข็งแกร่งมากกว่าปกติแล้ว มันก็ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง ซึ่งนั่นก็คือการมีทักษะธาตุหลากหลายชนิดในคนๆ เดียว นั่นหมายถึง หากจ้าวมณีสวรรค์คนหนึ่งมีทักษะธาตุมากกว่า 2 ชนิดขึ้นไป ก็สัญนิษฐานได้ว่ามณีของเขาคือไพฑูรย์สองสีนั่นเอง”

โจวเหว่ยชิงกะพริบตา และกล่าวว่า “นั่นหมายความว่าข้าจะมีทักษะธาตุมากกว่า 2 ชนิดงั้นหรือ ? แล้วนั่นมันดีกว่าการมีทักษะธาตุเดียวอย่างไร?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาที่สับสนของเธอก็หายไปแทนที่ด้วยท่าทางกรุ่นคิด เธอพลันส่ายหัว ลูกศรในมือของเธอขยับเล็กน้อย ความเจ็บปวดที่ลำคอนั้นสั่งให้เขาเงียบ โจวเหว่ยชิงพลันสั่นสะท้านด้วยความกลัว “ไม่ใช่ทักษะธาตุแค่ 2 ชนิด แต่มีเจ้ามีทักษะธาตุอย่างน้อย 4 ชนิด! ไพฑูรย์ตาแมวสองสีถือว่าเป็นมณีในตำนานสำหรับหมู่มณีธาตุ เมื่อมันปรากฏขึ้นย่อมหมายความว่าจ้าวมณีสวรรค์คนนั้นมีทักษะธาตุมากกว่า 4 ชนิดขึ้นไป…”

โจวเหว่ยชิงมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างมึนงง จากนั้นเขาก็เริ่มหัวเราะ “นี่ข้ากลายเป็นบุคคลในตำนานงั้นหรือ?!” เป็นเศษสวะมา 13 ปี แต่จู่ๆก็กลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ในตำนาน แม้ว่าเขาจะเพิ่งเผชิญหน้ากับความตายและการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน จอมเจ้าเล่ห์คนนี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะภูมิใจในตนเอง

ตอนนี้ความรู้สึกของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นเต็มไปด้วยความสับสน แค่โจวเหว่ยชิงเป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ธรรมดา เธอก็ไม่มีสิทธิ์จะฆ่าเขาแล้วด้วยซ้ำ

หลังจากที่เธอไล่ตามเขาออกมาจากกระโจม อารมณ์ของเธอก็ค่อยสงบลงบ้าง เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เป็นเรื่องบังเอิญอย่างแท้จริง เมื่อวานตอนที่มณีสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงตื่นขึ้น และเขากำลังต้องการเครื่องสังเวย จังหวะนั้นเธอกลับโผล่เข้าไปพอดี ขณะนั้นเธอรู้ว่าโจวเหว่ยชิงควบคุมตนเองไม่ได้ และผลที่ตามมาย่อมเป็นความตายของเธอ แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็รอดชีวิตมาแล้ว นั่นหมายความว่าโจวเหว่ยชิงสามารถหยุดยั้งตนเองในวินาทีสุดท้าย นั่นทำให้เธอยังรอดชีวิตอยู่ในตอนนี้

เธอรู้ว่า แม้ว่าเขาจะทำผิดร้ายแรงต่อเธอ แต่เขาก็ไม่ได้มีสติควบคุมตัวขณะทำเช่นนั้นเนื่องจากถูกควบคุมโดยทักษะธาตุปีศาจขณะมณีสวรรค์ของเขาถูกปลุกขึ้นมา

แต่เธอจะปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างนั้นหรือ? ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังคงปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ได้ และเธอก็จะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปด้วย! หญิงสาวคนใดไม่ใฝ่ฝันถึงความรักบ้าง? ตัวเธอเองนั้นมักจะวาดฝันเกี่ยวกับสามีในอนาคตของเธอว่าจะต้องเป็นเช่นไรบ้าง ต้องหล่อเหลา ถ่อมตัว สุภาพอ่อนโยน จิตใจดีงาม และหากเป็นจ้าวมณีสวรรค์ด้วยก็ย่อมดี ชายผู้นั้นต้องรักเธออย่างลึกซึ้ง ปฏิบัติต่อเธออย่างเคารพ และประคบประหงมเธอราวกับสิ่งมีค่า จากนั้นเธอก็จะมอบความบริสุทธิ์ของตนเองให้กับเขาในคืนวันแต่งงาน…

ทว่าในตอนนี้ฝันกลางวันทั้งหมดของเธอก็แตกสลายไปหมดสิ้นแล้ว! และความบริสุทธิ์ของเธอก็ถูกทำลายโดยไอ้เจ้าคนที่ดูหน้าตาซื่อๆ แต่ข้างในกลับกลิ้งกลอกเช่นนั้น ผู้ชายหน้าตาบ้านๆ อย่างเจ้าอ้วนน้อยโจว! นี่ยังไม่ต้องพูดเกี่ยวกับความรักระหว่างพวกเขาเลย มันไม่มีความรู้สึกพิศวาสใดๆ ทั้งสิ้น!

เธออยากจะทำเหมือนไม่สนใจทุกอย่าง และฆ่าเขาทิ้งไปซะ แต่หากว่าเธอว่าถ้าเธอทำเช่นนั้นลงไปจริงๆ เธอก็ย่อมจะต้องเสียใจภายหลัง ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ และยังเป็นผู้ครอบครองไพฑูรย์ตาแมวสองสีในตำนานอีกด้วย!!! เพื่ออาณาจักรของเธอแล้วเธอจึงไม่สามารถฆ่าเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ในอนาคตเขาอาจจะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในสุดยอดจ้าวมณีสวรรค์ หรือแม้กระทั่งอาจจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์อันดับหนึ่งในแผ่นดินก็เป็นได้ เธอจะทำลายอนาคตของผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้ได้อย่างไร?

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึก เธอพยายามสงบสติ และดึงลูกธนูออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็ตะโกนเสียงดัง “ไปซะ! ออกไปให้พ้นสายตาข้าเดี๋ยวนี้!”

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปลดลูกธนูที่คุกคามเขาออกไปแล้ว โจวเหว่ยชิงรู้สึกเหมือนได้รับการให้อภัย “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” ในขณะที่พูดเขาก็ชิงหนีไปแล้ว

“ไอ้คนเจ้าเล่ห์! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ข้าบอกให้เจ้ากลับไปที่กระโจม!!!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็นว่าเจ้าอ้วนน้อยโจว กำลังพยายามจะหนีอีกครั้ง เธอจึงโกรธขึ้นมาอีก เธอปล่อยลูกเตะพลังออกไปสกัดเขาไว้ นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงสะดุดเกือบจะล้มทันที แต่ทว่าการออกแรงเช่นนั้นย่อมทำให้ร่างกายส่วนล่างของเธอเจ็บขึ้นมาอย่างฉับพลันด้วย  ไอ้เจ้าคนทุเรศนั่นดูเหมือนจะทำให้เธอโมโหได้ตลอดจริงๆ!

โจวเหว่ยชิงคอตกราวกับยอมรับความผิด “อย่าโกรธเลย… ข้ากลับไปที่ค่ายตอนนี้เลยดีหรือไม่? ข้าสัญญา ไม่ว่าท่านจะทุบตีข้ายังไงข้าก็จะไม่ต่อต้านเด็ดขาด!”

ระหว่างที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดึงลูกธนูกลับไปนั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกราวกับมีมีดมาแทงเข้าที่หัวใจของเขา นั่นทำให้เขารู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จิตใจดีเกินไป แม้ว่าเขาจะทำเรื่องร้ายแรงกับเธอเช่นนั้น แต่เธอก็ยังคงไว้ชีวิตเขา…

ในขณะนั้น โจวเหว่ยชิงพลันค้นพบว่าตนเองตกหลุมรักซ่างกวนปิงเอ๋อร์เข้าเสียแล้ว!! หากบอกว่าก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรกับเธอ ตอนนี้เด็กหนุ่มกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว เพราะขณะนี้เขากลายเป็นเป็นจ้าวมณีสวรรค์ และยิ่งไปกว่านั้น ตนยังครอบครองไพฑูรย์ตาแมวสองสีในตำนานด้วย! โจวเหว่ยชิงเชื่อว่าหากเขาฝึกฝนอย่างหนัก วันหนึ่งเขาจะคู่ควรกับเธอ และเด็กหนุ่มสาบานในใจเงียบๆ ว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดี

แน่นอน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สมองของโจวเหว่ยชิงก็มักจะมีความคิดเจ้าเล่ห์ปะปนอยู่เสมอ ในขณะที่กำลังคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งอยู่นั้น เขาก็พลันเกิดความคิดอีกอย่างขึ้นมาเช่นกัน หากวันหนึ่งข้าพาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่กลายเป็นภรรยาข้าไปพบกับบิดา สงสัยนักว่าบิดาที่ไม่เคยยิ้มแย้มนั้นจะแสดงสีหน้าตกใจแบบไหนออกมา? คงจะตลกน่าดูเชียว ฮิฮิ!

เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงมองมาด้วยความรู้สึกราวกับสงสาร ความรู้สึกของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็พังทลายราวกับเขื่อนแตก เธอทรุดลงนั่ง ลูกศรในมือร่วงหลุดลงไปกับพื้น จากนั้นก็กอดเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดัง เธอยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวด้วยซ้ำ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าตนนั้นทนรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว จากนั้นเธอจึงร้องไห้โฮออกมา

โจวเหว่ยชิงยังไม่ได้เดินไปไกลนัก เมื่อได้ยินเสียงร้องของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาก็พลันหยุดชะงัก จากนั้นเขาจึงเดินกลับไปหาเธออย่างระมัดระวัง  หยิบลูกธนูขึ้นมาแล้วโยนมันทิ้งไป ก่อนที่จะนั่งยองๆ ข้างๆ เธออย่างระมัดระวัง เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าจะปลอบใจเธอได้อย่างไร ดังนั้นจึงทำได้แค่นั่งอยู่ข้างๆ ในขณะเดียวกันนั้น โจวเหว่ยชิงก็กำลังคิดกับตัวเองว่า ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ที่งดงามที่สุดในอาณาจักรจริงๆ! เพราะว่าแม้แต่ตอนที่เธอกำลังร้องไห้อยู่ เธอก็ยังดูงดงามมาก!!!

………………………………………………………………

ทันทีที่เขาเริ่มวิ่ง โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของเขา เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาตอนนี้เบากว่าเดิมถึงสิบเท่า และทุกย่างก้าวของเขานั้นพาเขาไปได้ไกลกว่า 5-6 เมตร ยิ่งไปกว่านั้น ความปวดเมื่อยจากการวิ่งในวันก่อนหน้าก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็นึกถึงสาเหตุที่ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อคืน จากนั้นก็คร่ำครวญออกมา โอ้ ไม่นะ!! เขาลืมคัมภีร์วิชาเทพอมตะไว้ที่กระโจม!!

ในไม่ช้าความกลัวของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความสุข เนื่องจากเขาเพิ่งจะนึกบางอย่างได้ นี่ข้าฝึกวิชาเทพอมตะสำเร็จหรือ? เขาคิดพลางวิ่งออกจากค่ายทหารแล้วมุ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็มุ่งความสนใจไปที่จุดตายบนกระดูกไหปลาร้าด้วย

โจวเหว่ยชิงตระหนักได้ว่าจุดตายบนกระดูกไหปลาร้าของเขานั้นดูเหมือนกับมีหลุมดำเกิดขึ้น หลังจากเมื่อคืนเขาได้ทำการทะลวงมันสำเร็จ มันก็ได้ดูดกลืนพลังชีวิตของเขาเข้าไป แต่ทว่าตอนนี้หลุมดำนั้นกลับกำลังดูดกลืนพลังจากโลกภายนอกเข้าไปแทน นี่มันช่างน่าทึ่งเป็นอย่างมาก!!

เมื่อเขาจดจ่ออยู่กับหลุมดำนั้น โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ทันทีว่าพลังการดูดกลืนนั้นแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ และไอพลังความเย็นจากธรรมชาติรอบตัวเขาก็ไหลเข้าสู่ร่างกายไปยังจุดตันเถียนอย่างไม่หยุดยั้ง นอกจากนี้เขายังรับรู้การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว

เมื่อเขาจดจ่อกับจุดตายที่เหลืออีก 3 จุด เขาก็พลันรู้สึกว่าพวกมันก็ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กัน

จุดแรกอยู่ที่ข้อมือทั้งสองข้าง แม้ว่าโจวเหว่ยชิงยังไม่สามารถจดจำวิชาเทพอมตะได้ทั้งหมด แต่เขาได้อ่านหน้าแรกมาผ่านๆ หลายครั้ง และจำได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นจุดตายจุดที่สองในการฝึกวิชาเทพอมตะส่วนแรก ซึ่งจุดตายนี้เรียกว่าจุดไท่หยวน เมื่อทะลวงจุดนี้ มันส่งผลต่อเส้นชีพจรนับร้อย ซึ่งนั่นทำให้เกิดอาการบาดเจ็บภายในได้ จุดตายไท่หยวนนั้นมีส่วนคล้ายกับจุดตายบนกระดูกไหปลาร้าเนื่องจากมันเป็นเส้นชีพจรคู่เหมือนกัน จุดหนึ่งอยู่ ณ ข้อมือฝั่งซ้าย และอีกจุดอยู่ฝั่งขวา

นอกจากจุดไท่หยวนแล้ว ก็ยังมีจุดตายอื่นๆ อีกก็คือจุดซูซานหลี่ตรงหัวเข่า และจุดซานหยินเจียวตรงข้อเท้า ตอนนี้ทั้ง 3 จุดตายนั้นก็ให้ความรู้สึกเดียวกันกับจุดตายบนกระดูกไหปลาร้าที่ถูกทะลวง แต่ละจุดปรากฏหลุมดำซึ่งกำลังดูดกลืนพลังจากภายนอกเข้ามาสู่ร่างกายของเขา

โจวเหว่ยชิงรู้ว่านี่เป็นผลมาจากพลังของไข่มุกสีดำ ยิ่งไปกว่านั้นไข่มุกนี้ยังเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาทะลวงจุดตายทั้งสี่ได้สำเร็จ ไม่น่าเชื่อว่าในพริบตาเดียว เขาก็เกือบจะทะลวงจุดตายส่วนแรกของวิชาเทพอมตะจนครบ ขาดก็เพียงแค่จุดสุดท้ายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ปราณสวรรค์ของเขาพุ่งพรวดไปยังระดับ 4 อย่างน่าพึงพอใจ!!

ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นพวกสมองช้า ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกเสียใจและเจ็บปวดจากการทำร้ายซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งรู้สึกตื่นเต้นที่ฝึกฝนวิชาเทพอมตะสำเร็จ

ปราณสวรรค์ระดับ 4? นั่นแปลว่าตอนนี้ข้าปลุกพลังมณีได้แล้วหรือ??!!

โจวเหว่ยชิงตระหนักได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็มองลงไปยังข้อมือ และทันทีที่ทำเช่นนั้น จู่ๆ เขาก็หยุดวิ่งและยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้เสียงดังอย่างบ้าคลั่ง

“ฮ่าๆ! วะฮะฮ่า! มณีสวรรค์! ในที่สุดข้าก็มีมณีสวรรค์!! ข้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว!!!! วะฮะฮ่า! ตอนนี้ใครจะกล้าด่าข้าว่าเป็นเศษสวะอีก!!!!”

การหัวเราะอย่างบ้าคลั่งนี้ทำให้เขาแทบไม่เหลือน้ำลาย ความรู้สึกอัปยศอดสูในหลายปีที่ผ่านมาถูกปลดปล่อยออกมาโดยฉับพลัน และเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความดีใจออกมาอย่างลิงโลด

ข้อมือขวาของโจวเหว่ยชิงคือไข่มุกสีขาววาววับและโปร่งแสงราวกับผลึกน้ำแข็ง มณีนั้นไร้สิ่งเจือปน มันเป็นหยกบริสุทธิ์ของจ้าวมณีสวรรค์ ทว่ามันก็ยังแตกต่างจากหยกหินมังกรของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เนื่องจากมันคือหยกน้ำแข็ง ซึ่งนั่นจะเสริมให้เขามีพละกำลังที่แข็งแกร่ง

เมื่อมองที่ข้อมือซ้ายของเขา มันเป็นอัญมณีที่แปลกประหลาด และไม่เหมือนใคร มันมีสีน้ำเงินเข้ม แต่ตรงกลางกลับมีจุดสีขาวส่องแสงเป็นประกาย ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่ามันจะเคลื่อนไหวไปตามข้อมือของโจวเหว่ยชิง เมื่อเขาขยับข้อมือ มันก็จะพยายามขยับมาอยู่ด้านบนสุดเสมอ  และเมื่อเทียบกับตอนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็น ในเวลานั้นไพฑูรย์นี้เป็นสีแดงกุหลาบ แต่ทว่าตอนนี้สิ่งที่โจวเว่ยชิงเห็นกลับเป็นสีน้ำเงินเข้ม และตรงกลางภายในแสงสีขาวนั้นก็ยังมีร่องรอยของสีเทาปะปนอยู่ด้วย

นี่มันมณีธาตุไหนกันแน่?? หรือว่าจะเป็นมณีธาตุมิติ? โจวเหว่ยชิงรู้ว่าไพฑูรย์นั้นมีทักษะธาตุมิติ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะรู้เรื่องของมณีสวรรค์ไม่มากเท่ากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่เขาก็รู้ว่าปกติแล้วไพฑูรย์ไม่ได้มีสีเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่าแม่ทัพโจวมีทักษะธาตุมืด โจวเหว่ยชิงในฐานะลูกชายของเขาก็ควรจะได้รับการสืบทอดทักษะธาตุนั้นด้วย แต่ทำไมเขามณีของเขาถึงกลายเป็นไพฑูรย์สีแปลกประหลาดเช่นนี้ น่าเสียดายที่ข้าไม่กล้าพอจะย้อนกลับไปถามซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ดูเหมือนแผนการในการเข้าร่วมกองทัพของข้าจะล้มเหลว ดังนั้น ตอนนี้ข้าควรรีบเผ่นหนีก่อน!!! สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต ข้าจะหาวิธีตอบแทนและชดเชยให้แก่เธอ ท้ายที่สุด ตอนนี้ข้าก็กลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว ใครจะรู้ว่าครั้งหน้าเราอาจจะคู่ควรกันก็ได้ ฮ่าๆ!

โจวเหว่ยชิงคิดขณะที่วิ่งไปด้วย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาฉับพลัน ร่างกายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์บอบช้ำมาก สิ่งที่เขาทำกับเธอนั้นย่อมทำให้ทั้งมนุษย์และสวรรค์รุมเกลียดเขา! ในขณะที่กำลังต่อว่าตัวเองอยู่นั้น โจวเหว่ยชิงก็พลันคิดอย่างมีเลศนัย เฮ้อ ช่างน่าเสียดายจริงๆ…ถ้าเพียงข้าตื่นขึ้นมากลางคันตอนนั้น…

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังจะก้าวเดินต่อ เขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ด้านหลังคอของเขา และความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมาในเสี้ยววิ ร่างกายของเขาแข็งทื่อทันที

“อ้วนน้อยโจว เจ้าข่มเหงข้า และตอนนี้เจ้าคิดจะหนีไปไหน?!” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธทำให้โจว เหว่ยชิงตัวสั่นด้วยความกลัว เขายกมือขึ้นยอมแพ้อย่างรวดเร็ว “ปะ เปล่า ข้าไม่ได้วิ่ง ข้าไม่ได้วิ่งหนีนะ! ท่านผู้บัญชาการกองพัน ค่อยพูดค่อยจากันดีหรือไม่ อย่ารีบด่วนตัดสินใจเลย ให้ข้าอธิบายก่อน !!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อ้อมมาด้านหน้าของโจวเหว่ยชิง ลูกศรในมือเธอกำลังจ่ออยู่ที่คอของเขา แม้ว่าสภาพของเธอตอนนี้จะยังไม่เรียบร้อยมากนัก แต่ตอนนี้เธอก็สวมชุดทหารที่โจวเหว่ยชิงเพิ่งซักเมื่อวานไว้อย่างหลวมๆ อยู่

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ และร่างกายของเธอก็แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามาก หากผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งถูกทารุณเหมือนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ประสบเมื่อวาน แม้ว่าเธอจะไม่ตาย แต่เธอก็ย่อมจะต้องล้มป่วยเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้รับการเยียวยาจากมณีสวรรค์ทั้ง 2 ของเธอแล้ว หลังจากพักชั่วครู่หนึ่ง เธอก็ฟื้นพลังปราณสวรรค์ และสามารถเคลื่อนไหวได้ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงกำลังจะหลบหนี เธอจะพอใจได้อย่างไร? เธอซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงรีบคว้าเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งไว้ในกระโจมขึ้นมาใส่เพื่อปกปิดร่างกายตัวเอง ก่อนออกจะไล่ล่าตามหาโจวเหว่ยชิง

ขณะที่เธอพบโจวเหว่ยชิง เธอก็เห็นเขากำลังยกมือขึ้นมา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลังเลอยู่พักหนึ่งเมื่อเห็นมณีบนข้อมือของเขาอีกครั้ง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้มาถึงตัวเขาช้า

“ยกข้อมือซ้ายให้ข้าดู” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเคยงดงาม และอ่อนโยนตอนนี้กลับกลายเป็นสีแดงฉาน พวกมันเต็มไปด้วยความเย็นชา และโกรธเกรี้ยว หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่ามณีที่ข้อมือซ้ายของเขาทำให้เธอประหลาดใจมาก เธอก็อาจจะแทงเขาด้วยลูกธนูไปแล้ว

……………………………………………………………….

ข้า…ข้ากลายเป็นเครื่องสังเวยเพื่อปลุกมณีสวรรค์ของเขา…

น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอไม่เคยคาดคิดว่าครั้งแรกของเธอจะเกิดขึ้นแบบซับซ้อนคลุมเครือกับคนเช่นนี้

ฆ่าเขา ข้าต้องฆ่าเขา!

ขณะที่เธอพยายามรวบรวมปราณสวรรค์อยู่นั้นก็พลันตระหนักได้ว่าตนเองมีปราณเหลืออยู่เพียงเสี้ยวเดียว และเธอก็ไม่สามารถเรียกมณีของเธอออกมาได้ ดังนั้นเธอจึงเริ่มมองหาอาวุธมีคมอย่างอื่นโดยไม่มีทางเลือก

“อืม…” โจวเหว่ยชิงส่งเสียงในลำคอเมื่อเริ่มรู้สึกตัวตื่น นั่นก็เป็นเพราะเขารู้สึกได้ถึงน้ำหนักตัวของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่หายไปจากอกของเขา

ในขณะที่เขาลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือร่างเปลือยเปล่าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทันใดนั้นเขาก็เบิกตากว้างทันที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นิ่งงัน ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและรังสีฆ่าฟัน เธอจ้องมองเขากลับอย่างเดือดดาล ทันใดนั้นความรู้สึกประหลาดใจของโจวเว่ยชิงก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว เขาหลับตาลงพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง “ข้ากลัวแทบตาย! ที่แท้ก็เป็นแค่ฝันเปียกเองหรือนี่ งั้นข้าก็ควรจะหลับต่อสินะ ใครจะรู้ว่าฉากต่อไปจะมีอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน ฮิฮิ”

“ข้า…จะ…ฆ่า… เจ้า…!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กัดฟันพูดออกมาสี่คำ  ในที่สุดเธอก็พบอาวุธมีคมที่เธอมองหาแล้ว จากนั้นเธอจึงพยายามขยับร่างกายอย่างอยากลำบากเพื่อไปหยิบลูกธนูออกมาจากแล่ง และพุ่งเข้าหาโจวเหว่ยชิง

เมื่อโจวเว่ยชิงได้ยินเสียงร้องของเธอ เขาก็พลันกลับมามีสติอีกครั้ง ทันที่จะได้เห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์พุ่งเข้าใส่เขาพอดี ด้วยความตกใจ เขารีบพลิกตัวหลบด้วยความเร็วประหนึ่งสายฟ้า จากนั้นก็กลิ้งลงจากเตียง หลบการโจมตีของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างเฉียดฉิว

หลังจากการโจมตีครั้งนี้ พลังเฮือกสุดท้ายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หมดลง เธอไม่มีแรงจะทำร้ายเขาได้อีกต่อไป

”นะ…นี่…คือของจริงเหรอ?” เมื่อสติของเขากลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง โจวเหว่ยชิงก็จ้องมองที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างตกตะลึง ในเวลานี้เขาไม่ได้แสดงละครแต่ว่าตกใจกับฉากตรงหน้าจริงๆ

สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่แค่เพียงซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่เปลือยเปล่าเท่านั้น แต่ความจริงที่ว่าผิวอ่อนนุ่มของเธอเต็มไปด้วยรอยช้ำสีน่าเกลียดและที่บริเวณขาเรียวของเธอยังคงมีคราบเลือดติดอยู่นั้นก็เป็นของจริง

ความคิดแรกของโจวเหว่ยชิงคือตอนนี้เขากำลังเผชิญเคราะห์กรรมที่หนักหน่วงที่สุดเข้าให้แล้ว! ในที่สุดเขาก็จำบางสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมาได้

ความทรงจำครั้งสุดท้ายของเขาคือการเห็นเสือลักษณะแปลกๆ ที่มีปีก 2 คู่ด้านหลังและยังมีหางเป็นหางแมงป่อง จากนั้นเขาก็เสียการควบคุมร่างกาย รู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่น และสุดท้ายก็ยังรู้สึกเจ็บปวดทรมาณอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกดีในภายหลัง ราวกับว่าเขาได้รับยาบรรเทาอาการ ความรู้สึกเบาสบายเข้ามาแทนที่ความเจ็บปวด เขารู้สึกได้ว่ามีไอพลังหลายกลุ่มได้อาละวาดอยู่ในร่างกายของเขา จากนั้นพวกมันก็ไหลออกไปอย่างช้าๆ และความเจ็บปวดเหล่านั้นก็จางหายไป

ในเวลานั้นเขายังจำได้ชัดเจน เพราะว่าสิ่งที่เขาเห็นก็คือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่กำลังร้องครวญครางอยู่เบื้องล่างเขา…

ถึงแม้ว่าโจวเหว่ยชิงค่อนข้างเจ้าเล่ห์ มีนิสัยลามก และแก่แดดไปสักหน่อยสำหรับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ทว่าเขาก็ไม่ได้มีนิสัยชั่วร้ายเลวทราม เมื่อได้พบกับสถานการณ์เช่นนี้ หัวของเขาก็พลันว่างเปล่า เขาขืนใจเธอด้วยการใช้กำลังบังคับเช่นนี้ ไม่ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยากจะแก้แค้นเขาอย่างไร โจวเหว่ยชิงก็ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยายามจะลุกขึ้นอีกครั้งทว่าน้ำตาของเธอก็ไหลรินอาบแก้ม เธอยกลูกธนูในมือพยายามแทงลงไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างยากลำบาก

*ชิ้ง* เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นเมื่อลูกธนูพุ่งปะทะเข้ากับบริเวณหน้าอกของโจวเหว่ยชิง มันแทงไม่เข้าเนื่องจากบริเวณนั้นถูกป้องกันไว้ด้วยเกราะโลหะผสมไทเทเนียม ยิ่งไปกว่านั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่มีพลังเหลืออยู่เลย การออกแรงของเธอจึงทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้อ้อมแขนของโจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงโอบกอดร่างกายที่อ่อนนุ่มและบอบช้ำของเธอ การโจมตีของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำให้เขาตื่นเต็มตา

“ ข้าเสียใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ขะ ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ข้าจะรู้ว่าข้าไม่คู่ควรกับท่าน แต่หากท่านไม่รังเกียจ ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่าง และดูแลท่านเอง” ขณะโจวเหว่ยชิงกล่าว เขาก็แสดงออกว่าจริงจังมาก  และไม่มีการพูดจาหยาบคายเหมือนปกติ ย้อนกลับไปยังอดีตขณะที่เขายังอยู่ที่ตระกูล เวลาที่เขาทำความผิดร้ายแรง เขาก็มักจะใช้น้ำเสียงดังกล่าวในการขอโทษ

ร่างกายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แข็งทื่ออยู่ในอ้อมแขนของโจวเหว่ยชิง เธออยู่ในอ้อมแขนของเขาในท่าที่เธอหันไปอีกด้าน ทันใดนั้นสายตาของเธอก็พลันเหลือบไปเห็นบางอย่างบนข้อมือซ้ายของเขา สิ่งที่เธอเห็นคือมณีธาตุสีกุหลาบที่ดูคล้ายกับทับทิม

สีของมันเหมือนกันทุกประการกับทับทิม แต่ทว่ามณีของโจวเหว่ยชิงกลับมีลวดลายบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ มันดูคล้ายกับดวงตาของแมว ใช่ ในความเป็นจริงนี่เป็นลักษณะเฉพาะของไพฑูรย์ตาแมว

ในฐานะที่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ สัมผัสของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นไวต่อมณีธาตุของจ้าวมณีสวรรค์ด้วยกันมาก แม้ว่าตอนนี้เธอจะโศกเศร้าอยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนสัญชาตญาณของเธอ เหตุผลที่ทำให้เธอตกใจจนแข็งทื่อก็เป็นเพราะว่าเมื่อเธอสังเกตเห็นมณีแปลกๆ นี่เธอกลับพบว่าตนเองไม่สามารถจำแนกได้ว่ามันคืออะไร

มณีสวรรค์เช่นไพฑูรย์นั้นมีทักษะธาตุมิติที่เป็น 1 ใน 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม  ไพฑูรย์สำหรับจ้าวมณีธาตุทั่วไปนั้นจะมีสีเหลืองเข้ม ส่วนไพฑูรย์ของจ้าวมณีสวรรค์จะเป็นสีทองบริสุทธิ์ ซึ่งไพฑูรย์นั้นเรียกว่าไพฑูรย์สีทอง มันเป็นมณีที่มีสีทองบริสุทธิ์และมีตรงกลางเป็นสีเขียวอ่อนเปล่งประกาย แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ไพฑูรย์สีแดงกุหลาบที่อยู่ตรงหน้านี้

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเพื่อมองมณีนั้นให้ชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่าทางนั่นทำให้โจวเหว่ยชิงเข้าใจผิดคิดว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยายามจะทำร้ายเขาอีกครั้ง

แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะสวมชุดเกราะโลหะผสมไทเทเนียม แต่มันก็ป้องกันเฉพาะส่วนบนของร่างกายเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์เชียวนะ!!! ความกลัวตายทำให้เขารีบปล่อยซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลงและวิ่งหลบเข้าไปอยู่ที่ซอกกระโจม

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร่วงลงบนเตียงอีกครั้ง นั่นทำให้เธอขดตัวด้วยความเจ็บปวด เหตุการณ์นี้ทำให้เธอหายตกอยู่ในภวังค์ จากนั้นความโกรธก็กลับมาแทนที่

โจวเหว่ยชิงได้ถอดชุดคลุมตัวนอกของเขาออกเมื่อเริ่มฝึกวิชาเมื่อคืนที่ผ่านมา และเมื่อมณีของเขาถูกปลุกขึ้น ก็มีเพียงชุดคลุมด้านในของเขาเท่านั้นที่ฉีกขาดออกไป ด้วยเหตุนี้ เมื่อโรคกลัวตายเขากำเริบ เขาจึงรีบคว้ากางเกง และเสื้อคลุมของเขาขึ้นมาก่อนจะพลิกไปอีกด้านของกระโจมแล้ววิ่งหนีออกไปด้วยความเร็วราวกับพายุ

ข้างนอกกระโจมตอนนี้มีเพียงแสงสว่างริบหรี่เนื่องจากแสงแรกของวันเพิ่งจะมาเยือนขอบฟ้าด้านนอกไม่นาน ทันทีที่เขาออกมาจากกระโจมได้ โจวเหว่ยชิงก็รีบร้อนสวมเสื้อผ้าของเขาในเวลาอันรวดเร็ว และออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เขารู้ดีว่าเขาได้ทำเรื่องร้ายแรงกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ต้องวิ่งหนีออกมาก่อนเพื่อรักษาชีวิตของตน

…………………………………………………………..

ดวงตาเช่นนั้นคืออะไรกันแน่? เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์จ้องไปที่ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นเธอก็ได้แต่มึนงงสับสน ภายในกระโจมนั้นมีไอความเย็นจัดมากกว่าข้างนอกถึง 10 เท่า

ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นแผ่อารมณ์ด้านลบต่างๆออกมามากมาย มันเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ความชั่วร้าย ความกระหายเลือด และความชั่วร้ายอื่นๆ อีกมากมายที่เธอไม่สามารถบรรยายออกมาได้ แม้ว่าระดับพลังปราณสวรรค์ของเธอจะไม่สูงมาก แต่เธอก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ ทว่าเมื่อเธอมองไปยังดวงตาคู่นั้น เธอรู้สึกว่าภาพที่เธอเห็นค่อยๆ หมุนวนรอบตัวเธอ ราวกับว่าวิญญาณของเธอกำลังถูกดูดกลืนโดยนัยน์ตาชั่วร้ายคู่นั้น

ช่วงเวลาที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังตกตะลึงอยู่นั้น พลังแข็งแกร่งขุมหนึ่งก็พลันดึงตัวเธอเข้าไปใกล้ จู่ๆ ซ่างกวน   ปิงเอ๋อร์ รู้สึกว่าร่างกายของเธอถูกรัดไว้ในอ้อมแขนแข็งแรงคู่หนึ่ง ด้วยสัญชาติญาณการป้องกันตัวเองทำให้เธอมีเริ่มมีสติขึ้นมาเล็กน้อย และเมื่อลืมตาขึ้นเธอก็ตระหนักได้ว่าเจ้าของดวงตาแดงก่ำคู่นั้นเป็นเจ้าอ้วนน้อยโจวจริงๆ!

ขณะนี้ร่างกายของโจวเหว่ยชิงดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่ขึ้นราวกับเขากลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว กล้ามเนื้อทั้งหมดขยายขนาดออกมาเต็มที่ ผิวหนังยังเรืองรองไปด้วยอักขระลวดลายสีดำและสีเทาราวกับปีศาจ รอบตัวของเขาเปล่งรัศมีความชั่วร้ายและป่าเถื่อนออกมา ชุดเครื่องแบบกองทัพที่เขาสวมอยู่นั้นถูกพลังภายในของเขากระแทกออกจนขาดวิ่นไปหมด เหลือแค่เพียงเกราะอ่อนประกายแวววาวเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ติดร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่งของเขา โชคดีที่เส้นเอ็นของอสรพิษพิเศษนั้นแข็งแกร่ง และยืดหยุ่นมาก เกราะอ่อนนั้นจึงไม่ได้ถูกทำลายไปเพราะร่างกายที่มีขนาดใหญ่ขึ้นพรวดพราดของเขา

“ปล่อยข้านะ!!!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธ เธอพยายามใช้พลังปราณสวรรค์ของเธอกระแทกตัวออกจากอ้อมกอดของโจวเหว่ยชิง อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเอง รังสีชั่วร้ายก็วาบผ่านนัยน์ตาของเขา จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงจูบเข้าที่ริมฝีปากของเธอ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกว่ามีพลังไอเย็นขุมหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามาในร่างกายของเธอ และพลังปราณสวรรค์ที่เธอกำลังโคจรออกมานั้นก็พลันถูกมันแช่แข็งไปด้วย ขณะนี้เธอไม่สามารถจะขยับตัวตอบโต้ได้เลย สิ่งที่ทำให้เธอตกอยู่ในความหวาดกลัว และสิ้นหวังก็คือในไอเย็นขุมนั้นยังซุกซ่อนสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่ไม่เหมือนใครอยู่ภายในด้วย ซึ่งนั่นทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกอ่อนระทวยหมดสิ้นเรี่ยวแรง เพราะว่าขณะที่ร่างกายของกำลังเย็นลงนั้น ในอกของเธอกลับกำลังเริ่มร้อนรุ่มขึ้น สัญชาติญาณขั้นพื้นฐานของมนุษย์ถูกจุดขึ้นมาด้วยพลังที่หายเข้าไปภายในร่างของเธอ

“การสังเวย” แม้ว่าจิตสำนึกของซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะไม่ชัดเจนอีกต่อไป แต่เธอก็นึกถึงคำๆนี้โดยไม่รู้ตัว

ตำนานกล่าวไว้ว่า มีจ้าวมณีสวรรค์ที่มีเอกลักษณ์พิเศษจำนวนหนึ่ง แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนน้อยมาก แต่พวกเขาก็จัดเป็นหมู่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจ้าวมณีสวรรค์ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังเป็นแหล่งรวบรวมความชั่วร้าย เมื่อมณีสวรรค์ของพวกเขาถูกปลุกขึ้น พวกเขาจะมีทักษะธาตุที่พิเศษไม่เหมือนใคร ซึ่งธาตุเหล่านั้นจะมีพลังแข็งแกร่งเหนือกว่าทักษะธาตุอื่นๆ ซึ่งทักษะนี้เรียกว่าทักษะธาตุปีศาจ และทักษะปีศาจนี้จะทำการเผาผลาญร่างกายของผู้ใช้จนทำให้พวกเขาถูกความกระหายเลือดครอบงำในระหว่างที่มณีตื่นขึ้นมา ในช่วงเวลานั้นพวกเขาต้องหาเครื่องสังเวยเพื่อทำให้ทักษะปีศาจร้ายนี้พึงพอใจและหยุดทำร้ายพวกเขา เครื่องสังเวยจึงมักจะเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้พวกเขามากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นญาติสนิท เพื่อน หรือแม้แต่คนรักของพวกเขา ดังนั้น เมื่อจ้าวมณีสวรรค์คนนั้นผ่านพิธีการสังเวย และปลุกมณีสวรรค์สำเร็จ พวกเขาก็จะได้รับทักษะธาตุปีศาจเพิ่มอีกหนึ่งทักษะ กลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีจำนวนทักษะธาตุสูงกว่าจ้าวมณีสวรรค์คนอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ในการทำการสังเวยนั้น คนที่พวกเขาใช้เป็นเครื่องสังเวยก็ไม่มีอะไรรออยู่นอกเสียจากความตาย บางครั้งถึงกับถูกข่มขืนอย่างไร้ความปราณีก่อนจะถูกฆ่า ปรากฏการณ์นี้จึงอยู่เหนือการควบคุมของทุกๆ คน ซึ่งในความเป็นจริงนั้น มีจ้าวมณีสวรรค์หลายคนฆ่าตัวตายหลังจากตื่นขึ้นมา และตระหนักได้ถึงสิ่งที่พวกเขาทำลงไป หรือหากไม่ได้ฆ่าตัวตาย เขาผู้นั้นก็อาจจะเปลี่ยนแปลงนิสัยจากหน้ามือเป็นหลังมือ และมีพลังอยู่คนละระดับเหนือกว่าจ้าวมณีสวรรค์คนอื่นๆ คนกลุ่มนี้จึงถือว่าน่ากลัวที่สุด ยากต่อกร แม้แต่ในความฝันที่โหดร้ายที่สุดของเธอ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยังไม่เคยจินตนาการว่าจะมีเรื่องโหดร้ายแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเองได้เลย

แต่นั่นก็เป็นเพราะเธอไม่ได้ระมัดระวังให้ดีก่อน ยิ่งไปกว่านั้น จริงๆ แล้วเธอก็เป็นเพียงเด็กอายุ 15 ปี แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะรู้สึกถึงการผันผวนของพลังขนาดใหญ่ภายในกระโจม แต่เธอก็สันนิษฐานว่าเจ้าอ้วนน้อยโจวที่เพิ่งปลุกพลังมณีของเขาได้นั้นคงจะไม่สามารถต่อกรกับตนเองที่มีมณีสวรรค์ถึง 2 ดวงได้  เพราะเหตุนั้น เธอจึงไม่ได้โคจรพลังมณีของเธอก่อนจะเข้าสู่กระโจม จากนั้นด้วยความตกใจ เธอจึงถูกโจวเหว่ยชิงจับได้ในที่สุด

มันจบแล้ว! นี่ข้ากำลังจะตายงั้นหรือ? ท่านแม่…ท่านแม่…

ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นึกถึงแม่ของเธอ และน้ำตาสองสายก็ไหลอาบลงที่แก้ม ในวินาทีต่อมา ร่างกายของเธอและโจวเหว่ยชิงที่กำลังกอดกันอยู่นั้นก็ถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นพลังความปรารถนาบางอย่าง

ไอพลังสีดำเหลือบเทาหลั่งไหลออกมาจากร่างของโจวเหว่ยชิงอย่างบ้าคลั่ง และดูเหมือนว่าพวกมันจะก่อตัวเป็นรังไหมสีดำขนาดใหญ่ห่อหุ้มร่างกายของเขาและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอาไว้ด้วยกัน

เสื้อผ้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และโยนออกมาจากรังไหมนั่นทีละส่วน เสียงอึกทึกครึกโครม เสียงหายใจหอบ รวมทั้งครวญครางที่มีทั้งความสุขสมเคล้าไปกับความเจ็บปวดดังออกมากึกก้องจากภายในรังไหมสีดำ

มีทั้งเสียงกระดูกหักและกระดูกเสียดสีกันดังลั่นออกมาไม่หยุด อวัยวะสำคัญภายในร่างกายของโจวเหว่ยชิงถูกบิดคว้านไปมาทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดของเขาสูบฉีดเร็วขึ้นเกือบห้าเท่าของความเร็วปกติ ทว่าในขณะเดียวกันร่างกายของเขาก็ถูกพลังชั่วร้ายนั่นรักษาอย่างทันท่วงที ตอนนี้ลวดลายสีดำบนผิวของเขามีขนาดหนาขึ้นเรื่อยๆ และกลุ่มแสงสีเขียว สีน้ำเงิน และสีเงิน ก็กำลังพัวพันเข้ากับรังไหมสีดำนั้นเช่นกัน

หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่งทุกอย่างก็สงบลง ดวงตาสีเลือดของโจวเหว่ยชิงดูเหมือนจะเข้มข้นขึ้น ในขณะนั้น เขามีความปรารถนาอย่างยิ่งยวดที่จะกลืนกินลูกแกะไร้เดียงสาในอ้อมแขนของเขา ราวกับว่าไข่มุกรัตติกาลต้องการจะกลืนกินราชันแห่งทุรมาลินให้จงได้ อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นเขาก็สบเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าที่อ่อนโยนและงดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ไม่ ไม่ ข้ากลืนกินเธอไม่ได้!!

นั่นคือความคิดสุดท้ายของโจวเหว่ยชิงก่อนเขาจะอุ้มร่างของเธอขึ้นมากอดไว้แน่น ร่างกายทั้งคู่เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง จากนั้น เมื่อมณีเริ่มก่อตัวขึ้นที่ข้อมือของเขา โจวเหว่ยชิงก็หมดสติไป ทุกอย่างพลันกลับเข้าสู่สภาพปกติอย่างที่มันเคยเป็น

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอรับรู้ได้ก็คือกลิ่นแปลกๆ ของอะไรสักอย่าง จากนั้นเธอก็เริ่มมีสติอย่างเต็มที่ ความเจ็บปวดในร่างกายทำให้เธอร้องครวญครางเสียงดัง

เกิดอะไรขึ้นกับข้า?

ความทรงจำของเธอไม่ปะติดปะต่อจากช่วงเวลาที่สติของเธอเริ่มลางเลือน และเมื่อเธอลืมตาขึ้นอย่างมึนงง เธอก็รับรู้ได้ว่าเธอกำลังนอนอยู่บนหน้าอกที่แข็งแกร่งของใครบางคนอยู่ จากนั้นเธอเริ่มสั่นสะท้านอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เนื่องจากเธอรู้ว่าทั้งตัวของเธอรวมถึงร่างข้างล่างนั่นเปลือยเปล่าสนิท และความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นก็อยู่ในร่างกายส่วนล่างของเธอด้วย!

ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังพยายามปีนออกมาจากร่างของโจวเหว่ยชิงนั้น ความทรงจำของเธอก็เริ่มกลับมาอย่างช้าๆ

…………………………………………………………………

แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะกลัวตาย แต่ความมุ่งมั่นและดื้อรั้นของเด็กหนุ่มนั้นมีมากกว่าคนทั่วไป ต้องขอบคุณบิดาของเขาสำหรับเรื่องนั้น เพราะหากบิดาของโจวเหว่ยชิงไม่ได้ฝึกฝนเด็กหนุ่มอย่างหนักตั้งแต่เด็กๆ เขาก็คงจะไม่กลายเป็นคนเช่นนี้

เมื่อเวลาผ่านไป โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกัน บางครั้งรู้สึกชา บางครั้งรู้สึกปวด บางครั้งก็คันจนทนไม่ไหว นั่นทำให้เด็กหนุ่มกลิ้งตัวไปมาในกระโจมอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ชั้นไอพลังสีดำและเทายังคงหลั่งไหลออกมาจากร่างของเขากระจายไปทั่ว จนกระทั่งทั่วทั้งกระโจมเต็มไปด้วยไอหมอกสีดำนี้

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำคล้ายเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ สติสัมปชัญญะของเขาก็เริ่มเลือนหายไปด้วยความเจ็บปวด ภายในจิตใต้สำนึกดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะเห็นภาพแปลกประหลาด หรืออาจจะพูดได้ว่าเห็นสิ่งมีชีวิตน่าพิศวงบางอย่าง

มันเป็นเสือดำขนาดมหึมา มีลำตัวสีดำสนิทดุจหมึกไร้สิ่งเจือปน ร่างกายของมันถูกปกคลุมด้วยม่านพลังสีดำ และเทา ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยไอความตาย กระแสพลังสีเขียว และสีน้ำเงินหมุนวนอยู่รอบตัวของมัน แต่สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือหางของมันนั้นไม่ใช่หางเสือปกติ ทว่าเป็นหางของแมงป่องขนาดใหญ่

นั่นมันสิ่งมีชีวิตชนิดไหนกัน? โจวเหว่ยชิงได้แต่ประหลาดใจและไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนเองเห็น เขาไม่ใช่คนโง่ จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่ฉลาดมากด้วยซ้ำ หากในเวลานี้โจวเหว่ยชิงยังไม่สามารถตระหนักได้ว่าการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนเป็นเพราะไข่มุกสีดำที่กลืนไปก่อนหน้า  เขาก็คงไม่ใช่โจวเหว่ยชิงแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา และสิ่งที่เด็กหนุ่มทำได้ก็มีเพียงแค่ยอมรับและพึ่งพามันเท่านั้น

สิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่รู้ก็คือ เส้นลมปราณอุดตันที่ปิดกั้นเขาจากการฝึกปราณมา 13 ปี นั้นได้ถูกชำระล้างออกด้วยกลุ่มพลังสีดำ และขาวที่กำลังหมุนวนรอบร่างกายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งสกปรกในร่างกายของเขาก็ถูกขับออกอย่างรวดเร็วเช่นกัน ร่างทั้งร่างจึงตกอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดทรมาณแสนสาหัส โจวเหว่ยชิงกำลังเข้าสู่กระบวนการชำระล้างร่างกายใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการฝึกปราณสวรรค์ 3 ระดับแรก

ในค่ายทหารเวลานี้มีเพียง 2 กองร้อยซึ่งประกอบไปด้วยทหาร 200 นายประจำการอยู่นอกเมืองหลวง ซึ่งพลทหารทั้งสองกองร้อยนี้คือพลธนูและพลทหารราบ อย่างไรก็ตามพวกเขามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์ในการรับสมัครทหารใหม่เท่านั้น ดังนั้นทหาร 200 นายก็เพียงพอแล้ว

ในฐานะผู้บัญชาการกองพัน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงเป็นมีตำแหน่งสูงที่สุดในค่าย และกระโจมของเธอก็ยังตั้งอยู่กลางค่ายอีกด้วย ในขณะนี้ หญิงสาวกำลังนั่งไขว่ห้างบนเตียงของตนเองเพื่อฝึกพลังปราณสวรรค์

ไม่ว่าจะเป็นจ้าวมณียุทธ์ จ้าวมณีธาตุ หรือแม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ ปราณสวรรค์นั้นถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐาน หากต้องการเพิ่มระดับให้มณี คนๆนั้นก็ต้องฝึกเพิ่มพลังปราณสวรรค์เสียก่อน

ทันใดนั้นคิ้วของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กระตุก กระแสพลังสีเขียวจางๆ ถูกปล่อยออกมาจากริมฝีปากของเธอก่อนจะถูกดูดกลับอย่างช้าๆ ผ่านทางจมูก มือของหญิงสาวค่อยๆ วางกลับลงบนหัวเข่า จากนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เปิดดวงตาขึ้น

“นั่นมันคือพลังอะไร? ช่างเป็นความรู้สึกที่เยือกเย็นเหลือเกิน เป็นมณีธาตุหรือมณียุทธกันแน่? จ้าวมณีสวรรค์? มีจ้าวมณีสวรรค์เกิดขึ้นในค่ายของเรางั้นหรือ!!!?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลุกออกจากเตียงอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายความไม่มั่นใจ ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ ความรู้สึกของเธอนั้นไวและเฉียบคมกว่าคนทั่วไปถึง 10 เท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อจ้าวมณีสวรรค์ด้วยกันเอง

เมื่อมณีสวรรค์ตื่นขึ้นก็มักจะมีเสียงพลังปะทุออกมาเสียงดัง เช่นเดียวกับเวลาที่มีมณียุทธ และมณีธาตุเกิดขึ้นมา ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวก็มักจะกระตุ้นให้จ้าวมณีสวรรค์ในบริเวณใกล้เคียงเกิดปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรง แน่นอนว่าขอบเขตของการรับรู้นี้ย่อมมีจำกัด อย่างเช่นแม่ทัพโจวซึ่งอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลของเขาก็จะไม่สามารถรับรู้ได้

หลังจากหยุดพักสักครู่เพื่อฟื้นตัว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มุ่งไปยังแหล่งที่มาของพลังนั่นทันที สายตาของเธอมุ่งตรงไปยังทิศเดียว หญิงสาวมั่นใจว่านั่นคือพลังที่ตื่นขึ้นมาของจ้าวมณีสวรรค์อย่างแน่นอน และอดไม่ได้ที่จะชื่นชมยินดี

อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นมีจ้าวมณีสวรรค์เพียง 2 คน นั่นคือแม่ทัพใหญ่โจว และตัวเธอเอง สำหรับ      อาณาจักรเล็กๆ เช่นอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้น การมีจ้าวมณีสวรรค์เพิ่มขึ้นมาอีกคนย่อมหมายถึงความแตกต่างอย่างมหาศาล เหตุผลที่ว่าทำไมอาณาจักรคาลิเซจึงสามารถหยุดยั้งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ได้อยู่เสมอ ก็เป็นเพราะว่าพวกเขามีจ้าวมณีสวรรค์ 3 คน หากไม่ใช่เพราะระดับปราณสวรรค์ของแม่ทัพโจวนั้นสูงกว่าพวกเขาอยู่มาก อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ก็อาจถูกอาณาจักรคาลิเซกำจัดไปแล้วก็เป็นได้ เพราะอาณาจักรคาลิเซนั้นต้องการดินแดนของพวกเขามาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาณาเขตบริเวณป่าดารา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้หยุดวิ่งแม้แต่น้อย เธอรู้ว่าช่วงเวลาที่พลังของจ้าวมณีสวรรค์ตื่นขึ้นมานั้นเป็นช่วงเวลาที่อันตรายมาก หากพวกเขาไม่ระวัง ร่างกายของพวกเขาก็จะถูกทำลายโดยพลังมหาศาลที่เกิดจากการตื่นขึ้นของมณีคู่

นั่นจึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ว่าทำไมมีจ้าวมณีสวรรค์จำนวนน้อยมาก เนื่องจากจ้าวมณีสวรรค์เกือบ 3 ใน 10 มักจะไม่รอดจากการณ์ที่กล่าวไปก่อนหน้า ดังนั้นเธอจึงต้องค้นหาจ้าวมณีสวรรค์คนนั้นให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยเหลือเขาให้ปลุกพลังสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างปลอดภัย

เมื่อใช้สัญชาตญาณค้นหา ในที่สุดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ค้นพบแหล่งที่มาของพลังอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินผ่านกระโจมต่างๆ ไปจนถึงกระโจมเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ณ บริเวณริมเขตค่ายทหาร เธอก็อดจะไม่ได้ที่จะหยุดยืนมองด้วยความสับสน และประหลาดใจอย่างสุดขั้ว

เป็นเจ้านั่น!? จะเป็นเจ้านั่นไปได้อย่างไร!? นี่มันกระโจมของเจ้าอ้วนน้อยโจวที่เป็นลมหมดสติไปตอนบ่ายมิใช่หรือ?

ในความเป็นจริงนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้รังเกียจโจวเหว่ยชิง แต่ทว่าเรื่องที่เขาทำให้เธอโมโหหลายครั้งหลายคราด้วยความบังเอิญนั่นก็ทำให้เธอตัดสินใจว่าต้องลงโทษจอมเจ้าเล่ห์อย่างเขาสักครั้ง ในสายตาของหญิงสาว โจวเหว่ยชิงเป็นเพียงทหารตัวเล็กๆ ภายในกองทัพ ภายนอกเขาเป็นคนดูซื่อตรง แต่ภายในกลับเป็นคนเจ้าเล่ห์กลับกลอก อย่างไรก็ตาม สำหรับเธอเขาก็ไม่ใช่คนแปลกประหลาดอะไร ดังนั้นหลังจากที่เห็นเด็กหนุ่มเป็นลมหมดสติไป เพราะความเหนื่อยล้าในวันนี้ เธอก็ได้ตัดสินใจจะลดน้ำหนักของหินในวันพรุ่งนี้แล้วด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเหตุผลที่ฝึกเช่นนี้ไม่ใช่แค่เพียงต้องการจะลงโทษโจวเหว่ยชิง แต่เธอนั้นประทับใจในพรสวรรค์ในการยิงธนูของเขาด้วย จึงต้องการฝึกร่างกายของอีกฝ่ายให้แข็งแรง ซึ่งถ้าหากโจวเหว่ยชิงรู้เรื่องนี้ ใครจะรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นคนจิตใจดีแต่กำเนิด และถึงแม้หญิงสาวจะยืนสับสนอยู่นอกกระโจมด้วยความตกใจอยู่พักหนึ่ง สักครู่เธอก็กลับมามีสติอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดแล้ว โจวเหว่ยชิงก็เป็นทหารใต้บังคับบัญชาของตน นั่นไม่รวมถึงประโยชน์ที่กองพันของเธอจะได้รับหากว่ามีจ้าวมณีสวรรค์เพิ่มขึ้นมาอีกคน และเนื่องจากทั้งคู่ก็ต่างเป็นประชาชนของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ หญิงสาวจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ลงมือช่วยเขาในครั้งนี้

คิดได้ดังนั้น เธอจึงไม่ลังเลที่จะพุ่งตัวไปยังกระโจมของโจวเหว่ยชิง ก่อนจะก้าวเข้าไปในกระโจม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้สึกได้ถึงกระแสไอความเย็นขนาดใหญ่พัดออกมาจากภายในกระโจม แม้ว่าหญิงสาวจะมีปราณสวรรค์ระดับ 8 แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหนาวสั่นราวกับเลือดทั้งหมดในร่างกายจับตัวเป็นน้ำแข็ง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เร่งโคจรพลังปราณสวรรค์อย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้านไอเย็น

ช่างเป็นพลังที่รุนแรงเสียจริง! ทั้งๆ ที่ตอนกลางวันเธอลองจับชีพจรเขาดูและพบว่าอีกฝ่ายไม่มีปราณสวรรค์ใดๆเลย แต่ทว่าในตอนกลางคืนเขากลับปลุกพลังมณีออกมาได้? จะเป็นไปได้หรือที่ในช่วงเวลาสั้นๆเด็กหนุ่มจะเพิ่มระดับพลังปราณสวรรค์ไปถึง 4 ขั้น?

จ้าวมณีสวรรค์นั้นแตกต่างจากจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุ – พวกเขาจะต้องมีปราณสวรรค์ระดับ 4 ก่อนจึงจะปลุกมณีของพวกขึ้นมาได้ นั่นจึงยากกว่าเมื่อเทียบกับจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุที่สามารถปลุกมณีได้เมื่อปราณสวรรค์อยู่ในระดับที่ 3

ขณะที่หญิงสาวกำลังกรุ่นคิดนั้น ภายในใจก็เต็มไปด้วยความสับสน สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือความเย็นยะเยือกจนถึงไขกระดูกเช่นนี้ แม้แต่จ้าวมณีธาตุน้ำก็ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ แม้แต่พลังน้ำแข็งของพวกเขาก็ทำให้รู้สึกเพียงหนาวเย็นเท่านั้น ไม่ใช่ความเย็นจัดไปถึงกระดูกและมืดมิดเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าทักษะธาตุของเขาคือธาตุมืด?

เมื่อเทียบกับจ้าวมณีสวรรค์ด้วยกันเอง ทักษะธาตุจากมณีของพวกเขาเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดความแข็งแกร่ง ในบรรดาทักษะธาตุทั้งหมด ธาตุที่แข็งแกร่งที่สุดคือธาตุมืด ธาตุแสง ธาตุมิติ และธาตุชีวิต ทักษะธาตุทั้ง 4 นี้จึงถือว่าเป็น 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่เพียงแต่หายากมาก แต่ยังแข็งแกร่งกว่าทักษะธาตุทั่วๆ ไปอีกด้วย ซึ่งในบรรดาทักษะธาตุทั้ง 4 ชนิดนี้ ธาตุมืดได้รับการยอมรับว่าลึกลับที่สุด หากเจ้าอ้วนน้อยโจวนี้มีทักษะธาตุมืดจริงๆ อนาคตของเขาก็จะรุ่งโรจน์มาก ยิ่งไปกว่านั้น นั่นอาจจะทำให้เขามีพลังยิ่งใหญ่กว่าเธออีกก็เป็นได้

เมื่อคิดได้ดังนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่กล้ารั้งรออีกต่อไป เธอมุดเข้าไปในกระโจมอย่างรวดเร็ว ทันทีที่หญิงสาวเข้าไปถึงข้างในกระโจม สิ่งแรกที่เห็นก็คือดวงตาสีแดงก่ำดุจเลือดคู่หนึ่ง

…………………………………………………………………

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังคิดจะยอมแพ้ ทันใดนั้นเองก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกมาจากภายในท้องของตน ซึ่งนั่นได้อธิบายไว้ในคัมภีร์ มันหมายความว่า เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังปราณสวรรค์ในร่าง! โจวเหว่ยชิงรู้สึกตื่นเต้นยินดี เด็กหนุ่มรีบเพ่งความสนใจไปที่บริเวณท้องส่วนล่างเมื่อรู้สึกได้ถึงไอความหนาวเย็นจากที่นั่น จากนั้นเขาก็พยายามชักนำมันขึ้นขึ้นมาข้างบน

สิ่งที่ทำให้โจวเหว่ยชิงประหลาดใจก็คือ หลังจากที่กระแสความเย็นนี้ปรากฏขึ้น ระดับความเย็นยะเยือกก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่อธิบายไว้ในวิชาเทพอมตะที่จะเป็นเพียงไอความเย็นเล็กๆ ทันทีที่ความเย็นนี้ถูกชักจูงมาถึงบริเวณหน้าอก มันก็หลอมรวมกันกลายเป็นก้อนกลมขนาดเล็กก้อนหนึ่ง กระบวนการทั้งหมดดูราบรื่นมาก และมันก็กำลังจะเคลื่อนไปถึงจุดตาย ณ บริเวณกระดูกไหปลาร้าของเขา

‘ต้องสำเร็จ!’ โจวเหว่ยชิงกรีดร้องในใจ ตอนนี้เขาไม่สามารถหันหลังกลับได้อีกแล้ว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงกัดฟันทำทุกอย่างด้วยแรงทั้งหมดที่มี นั่นคือการนำพาไอความเย็นจัดให้พุ่งตามชีพจรไปทะลวงจุดตายที่กระดูกไหปลาร้าด้านซ้ายอย่างรุนแรง

ทันทีที่ไอเย็นนี้พุ่งเข้าปะทะจุดตายนั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายซีกซ้ายของเขาถูกฟ้าผ่าจนชาไปทั้งแถบ ครู่ต่อมา ความรู้สึกชาหนึบนั้นก็เริ่มแพร่กระจายจากร่างกายซีกซ้ายไปยังซีกขวา จากนั้นทั่วทั้งร่างของโจวเหว่ยชิงก็ชาไร้ความรู้สึก ยกเว้นแต่ที่ส่วนศีรษะเท่านั้น

มวลอากาศที่รุนแรงบ้าคลั่งดูเหมือนจะพุ่งออกมาจากจุดตายที่ถูกทะลวง ณ กระดูกไหปลาร้าด้านซ้ายของเขาก่อนจะวิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้โจวเหว่ยชิงไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ อีกต่อไป ทว่าสติกลับเริ่มพร่าเลือน จากนั้นเด็กหนุ่มก็พ่นเลือดออกมาเต็มปาก โจวเหว่ยชิงเพิ่งรับรู้ว่าในการฝึกพลังปราณสวรรค์นั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่ทว่าเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดกับเขาไปเมื่อกี้ต่างหาก!!

ความรู้สึกชาหนึบไปทั่วตัวเช่นนี้มักจะมีความหมายว่าการฝึกนี้กำลังมีบางอย่างผิดพลาด ข้อความที่ระบุไว้บนคัมภีร์ยังบอกด้วยว่าวิชาเทพอมตะนั้นเปรียบได้กับวิชาสละวิญญาณ หรือก็คือการเผชิญหน้ากับความตาย และดูเหมือนว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ในโลกแห่งการฝึกปราณนั้น สิ่งต่างๆ มักจะขึ้นอยู่กับโชคชะตา และอาจกล่าวได้ว่าความสำเร็จมักจะเกิดขึ้นกับคนเพียง 1 ใน 10,000 เท่านั้น และชัดเจนว่าตอนนี้โจวเหว่ยชิงไม่ใช่คนๆ นั้น

หากไม่สามารถทะลวงจุดตายได้ก็มีเพียงความตายที่รออยู่

เด็กชายผู้น่าสงสารคนผู้นี้ไม่รู้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับอะไร ทว่าก็ยังคงพยายามสู้ต่ออย่างสุดความสามารถ โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับจุดตายบนกระดูกไหปลาร้าฝั่งซ้ายของเขากลายเป็นช่องทางที่ทำให้พลังชีวิตทั้งหมดไหลออกจากร่าง ทว่าเมื่อเข้าใกล้ความตาย โจวเหว่ยชิงกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ กลับกันเขากำลังรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

เมื่อสติสัมปชัญญะของเขาเริ่มจางหายไป โจวเหว่ยชิงยังคงหวังว่าตนจะโชคดี ข้าทำสำเร็จหรือไม่?

เมื่อมาถึงจุดนี้ ไอความเย็นขนาดเล็กๆ ก็ปะทุออกมาจากภายในช่องท้องของเขาอีกครั้ง ราวกับว่ามีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่แตกกระจายออกเป็นลูกศรน้ำแข็งนับไม่ถ้วนกระหน่ำยิงออกไปยังเส้นชีพจรของตนอย่างบ้าคลั่ง

วินาทีก่อนโจวเหว่ยชิงยังคงล่องลอยอยู่ในภวังค์อย่างรื่นรมย์ ทว่าในวินาทีต่อมาราวกับว่าตัวเขาถูกผลักเข้าไปยังห้องแช่แข็ง ความรู้สึกมึนงงสับสนถูกแทนที่ด้วยความเย็นจัด เมื่อมาถึงจุดนี้ จิตใต้สำนึกของโจวเหว่ยชิงถูกครอบงำด้วยความรู้สึกหิวกระหาย ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีเลือด ผมสีหมึกลอยเหยียดขึ้นกลางอากาศ และร่างกายของเด็กหนุ่มก็ดูเหมือนจะเรืองรองไปด้วยไอพลังสีดำเหลือบเทา

พลังชีวิตที่พุ่งออกมาจากจุดตาย ณ กระดูกไหปลาร้าของเขาถูกหยุดยั้งเอาไว้ด้วยการปรากฏตัวของไอสีดำนั่น หากเปรียบจุดตายที่โจวเหว่ยชิงทะลวงเป็นรูบนลูกบอล ไอพลังสีดำนั่นก็ทำหน้าที่เหมือนสิ่งที่อุดรูนั้นไว้

ร่างกายของโจวเหว่ยชิงเริ่มสั่นคลอนอย่างควบคุมไม่ได้ ความหนาวเย็นนั้นไม่ได้มาจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ แต่ทว่ามันมาจากส่วนลึกภายในร่างกายของเขา มันแทรกซึมเข้าไปในกระแสเลือดลึกเข้าไปจนถึงไขกระดูก สิ่งที่โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ก็คือไอความเย็นนั้นถูกปลดปล่อยออกมาจากภายในร่างกายของเขาซ้ำๆ พร้อมกันนั้นเด็กหนุ่มก็ยังเห็นไอสีดำเหลือบเทาก่อตัวขึ้นเป็นชั้นๆ บนผิวหนังของตนอย่างชัดเจน ความเย็นจัดทำให้เขาสูญเสียการควบคุมร่างกาย และล้มลงกับพื้น ริมฝีปากเปิดอ้าออกโดยไม่ได้ตั้งใจ ลมหายใจก่อให้เกิดเป็นไอพลังสีดำเหลือบเทา ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าผิวหนังชั้นนอกของเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยลวดลาย 2 ชนิดซึ่งประกอบไปด้วยสีดำและสีเทา

โจวเหว่ยชิงกำลังฝึกวิชาเทพอมตะที่เปรียบดั่งการเรียนรู้การฆ่าตัวตาย เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วโอกาสหนึ่งในหมื่นคนนั้นมีไม่สูงนัก แต่ถึงกระนั้น แม้ว่าเขาจะดูเหมือนไม่มีโชคในด้านการฝึกปราณตั้งแต่กำเนิด แต่โจวเหว่ยชิงกลับโชคดีเป็นอย่างยิ่งในด้านอื่นๆ และโชคที่ว่านี้ก็เกิดจากไข่มุกสีดำที่เขากลืนเข้าไปขณะอยู่ที่ป่าดารา

หากการฝึกวิชาเทพอมตะสำเร็จเป็นโอกาส 1 ใน 10,000 แล้วล่ะก็ การกลืนไข่มุกรัตติกาลนี้ย่อมเป็นโอกาสพิเศษที่จะเกิดขึ้นได้เพียงแค่ครั้งเดียวบนโลกใบนี้ เนื่องจากโจวเหว่ยชิงได้เริ่มฝึกวิชาเทพอมตะ ทำให้จุดตาย ณ กระดูกไหปลาร้าของเขาเปิดออก นั่นจึงกระตุ้น และปลุกให้ไข่มุกรัตติกาลซึ่งนอนสงบอยู่ในร่างกายของเด็กหนุ่มสำแดงอานุภาพของมันออกมา สภาพที่เกิดขึ้นในขณะนี้นั้นเกิดจากการตื่นขึ้นของไข่มุกรัตติกาลนั่นเอง

เดิมทีเมื่อไข่มุกรัตติกาลได้เข้าสู่ร่างกายของเขาแล้ว อานุภาพของมันนั้นช่วยเพิ่มพลังในร่างกายของโจวเหว่ยชิงอย่างช้าๆ เพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเด็กหนุ่มเริ่มใช้วิชาเทพอมตะในคืนนี้ มันก็ได้กระตุ้นพลังของไข่มุกออกมาล่วงหน้า

บางสิ่งที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างชั่วร้ายนี้เหมือนจะขยายขนาดของมันขึ้นภายในร่างของเขา ความรู้สึกเย็นยะเยือกนั้นมาจากพลังอันมหาศาลของไข่มุกรัตติกาลนั่นเอง พลังของมันแทรกซึมเข้ามาในทุกซอกทุกมุมของร่างกายเด็กหนุ่มอย่างไม่ลังเล  ตอนนี้โจวเหว่ยชิงจึงถูกมันครอบงำอย่างแท้จริง

หากเป็นคนอื่น บางทีตอนนี้เขาอาจจะรู้สึกตัวแล้ว แต่ทว่าร่างของโจวเว่ยชิงกลับกำลังดูดซับพลังงานของไข่มุกรัตติกาลนั้นอย่างตะกละตะกลาม

อันที่จริง นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมไข่มุกรัตติกาลถึงได้เลือกที่จะเข้าสู่ร่างกายของเขาหลังจากที่ปรากฏตัวขึ้นในมิตินี้

ในเวลานั้น สิ่งที่ดึงดูดมันก็คือความโกรธแค้นของโจวเหว่ยชิง และความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ของเขาหลังจากถูกบอลอัคคีขององค์หญิงตี้ฝูหยาเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส ไข่มุกรัตติกาลเพิ่งจะเดินทางมาถึงมิตินี้พอดีกับที่โจวเหว่ยชิงกำลังพ่นเลือดออกมาโดนมันด้วยความบังเอิญ เลือดของโจวเหว่ยชิงนั้นมีพลังธาตุมืด ซึ่งสอดคล้องกับพลังของไข่มุกรัตติกาลพอดี ด้วยเหตุนั้นมันจึงเลือกโจวเหว่ยชิง

สำหรับสาเหตุที่ว่าทำไมเลือดของโจวเหว่ยชิงถึงมีพลังธาตุมืดนั้นมันก็ง่ายๆ เพราะทักษะธาตุของแม่ทัพโจวคือธาตุมืดนั่นเอง เนื่องจากเด็กหนุ่มสืบสายเลือดมาจากแม่ทัพใหญ่โจว เขาจึงได้รับการสืบทอดทักษะธาตุเดียวกันมาด้วย นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาจึงดึงดูดไข่มุกรัตติกาลและหลอมรวมเข้ากับมันได้

อย่างไรก็ตาม พลังของไข่มุกรัตติกาลนั้นอยู่เหนือการควบคุมมากเกินไป นอกจากทักษะธาตุมืดแล้วมันยังมีทักษะธาตุอื่นๆ อีก ซึ่งนั่นรวมไปถึงทักษะธาตุมิติที่นำมันมายังโลกใบนี้ พร้อมกับทักษะธาตุอื่นๆที่ถูกซ่อนไว้อีกมากมายด้วย พลังปริมาณมหาศาลและทักษะธาตุต่างๆ ที่หลอมรวมเข้าด้วยกันนั้นตรงดิ่งเข้าสู่ร่างกายของโจวเหว่ยชิง และกำลังเปลี่ยนแปลงธาตุภายในร่างกายของเขา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมความเจ็บปวดที่เผชิญอยู่ถึงรุนแรงมากขนาดนี้ มันเป็นความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส มากกว่าอาการปวดเมื่อยหรือความเจ็บปวดที่เด็กหนุ่มประสบมาก่อนหน้านี้อย่างเทียบไม่ติด

…………………………………………………………..

ในตอนแรกเริ่มที่โจวเว่ยชิงได้รับเคล็ดวิชาเทพอมตะนี้ ไอ้เจ้าหลักการทั่วไปที่เขียนเตือนไว้หน้าแรกก็ทำให้เขาหวาดกลัวซะจนไม่กล้าที่จะเริ่มฝึก ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงแค่อ่านเนื้อหาคร่าวๆ เท่านั้น

ในการบ่มเพาะปราณสวรรค์ คนผู้หนึ่งจะต้องใช้การฝึกวิทยายุทธ์ ดูดซับปราณสวรรค์จากธรรมชาติรอบๆ ตัวเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย และเพิ่มพลังปราณสวรรค์ภายในร่าง พลังปราณสวรรค์นั้นถูกแบ่งออกเป็น 4 ขั้นใหญ่ๆ คือ ปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐาน ขั้นทะลวงพิภพ ขั้นทะลุสวรรค์ และขั้นบรรลุวิถี ซึ่งแต่ละขั้นก็จะแบ่งออกเป็นอีก 12 ระดับย่อยๆ วิชาเทพอมตะนี้ก็เป็นการฝึกวิทยายุทธ์เช่นเดียวกันกับการฝึกปราณสวรรค์ แต่ทว่ามันมีความพิเศษและแตกต่างอย่างมากจากการฝึกวิทยายุทธ์ทั่วๆ ไป

ซึ่งการฝึกวิทยายุทธ์ทั่วไปนั้นไม่ว่าจะฝึกในระดับใดก็ตามมักเป็นการฝึกสมาธิหรือการฝึกร่างกายในรูปแบบต่างๆเพื่อกระตุ้นแก่นชีวิตภายในให้ซึมซับพลังงานรอบๆ ตัวมาเป็นพลังปราณให้กับตนเอง อย่างไรก็ตาม วิชาเทพอมตะได้เปลี่ยนแปลงเส้นทางการฝึกตนเดิมให้เป็นวิถีใหม่อย่างสิ้นเชิง อาจกล่าวได้ว่าหลักสำคัญของวิชานี้นั้นง่ายดายมาก มันคือการทะลวงจุดตายทั้งหมดของร่างกายนั่นเอง

การฝึกวิชานี้ไม่จำเป็นต้องดูดซับปราณสวรรค์จากธรรมชาติรอบตัวผ่านการทำสมาธิหรือการฝึกร่างกายใดๆ  ทุกครั้งที่ทะลวงจุดตายได้หนึ่งจุด พลังปราณสวรรค์ภายในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับทันที ดังนั้นสำหรับผู้ฝึกวิชานี้ การดูดซับพลังปราณสวรรค์นั้นมีจุดประสงค์เพียงเพื่อช่วยทะลวงจุดตายภายในร่างกายนั่นเอง ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า แม้การฝึกวิทยายุทธ์นี้อาจจะดูไม่ซับซ้อน ทว่าการทะลวงจุดตายนั้นก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้สำเร็จได้จริงๆ หากสามารถทะลวงจุดตายของร่างกายได้ครบทั้งหมด 36 จุด ปราณสวรรค์ของเขาก็จะพัฒนาไปสู่ระดับ 36 ซึ่งก็คือระดับสุดท้ายของขั้นทะลุสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นคืออีกก้าวเดียวชายหนุ่มก็จะเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของการฝึกปราณสวรรค์ นั่นก็คือขั้นบรรลุวิถี

แม้แต่แม่ทัพใหญ่โจว บิดาของโจวเหว่ยชิง ในฐานะที่เป็นนักรบอันดับต้นๆ ของอาณาจักรผู้มีปราณสวรรค์อยู่ในระดับ 32 หรือก็คือขั้นทะลุสวรรค์ระดับ 8 แม้จะผ่านมา 5 ปีแล้วแต่เขาก็ยังไม่สามารถเลื่อนระดับขึ้นมาได้อีก

เมื่อโจวเหว่ยชิงยังเด็ก แม่ทัพโจวเคยตามหาคัมภีร์การฝึกวิทยายุทธ์หลากหลายวิชาเพื่อให้เขาได้ลองฝึก และอย่างน้อยวิชาทั้งหมดที่เคยลองก็ไม่มีวิชาไหนเลยที่ต้องทะลวงจุดตายของร่างกายทั้งหมด

นั่นจึงเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมโจวเหว่ยชิงจึงไม่กล้าที่จะลองฝึกวิชานี้ อย่างไรก็ตามหลังจากหลายปีผ่านไป แม่ทัพโจวก็ยังคอยตรวจสอบร่างกายของเขาเป็นประจำแทบทุกปี ทว่าแม้เด็กหนุ่มโตขึ้นก็ยังไม่มีสัญญาณของพลังปราณสวรรค์เลย ดังนั้นเขาจึงต้องรับบทเป็นเศษสวะต่อไป โจวเหว่ยชิงได้ต่อสู้กับตนเองในใจมานานว่าจะเริ่มฝึกวิชาเทพอมตะนี้ดีหรือไม่ แต่ในวันนี้ ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่

แม่ทัพโจวเป็นจ้าวมณีสวรรค์ และโดยปกติแล้วตราบใดที่ลูกหลานของเขาสามารถสามารถปลุกพลังมณีได้ พวกเขาก็มักจะสืบทอดพลังมณีสวรรค์นั้นจากผู้มีสายเลือดใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบร่างกายของโจวเหว่ยชิง แม่ทัพใหญ่กลับพบว่าเส้นชีพจรที่อุดตันของลูกชายหลายเส้นนั้นลากผ่านจุดตายด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงไม่กล้าใช้ปราณสวรรค์ของตนเองทะลวงเส้นลมปราณที่อุดตันของโจวเหว่ยชิง แม้เขาจะหวังให้ลูกชายของตนเป็นจ้าวมณีก็ตาม

ในเวลานั้นโจวเหว่ยชิงได้แต่คิดว่าหากเขาสามารถฝึกวิชาเทพอมตะ และทะลวงจุดตายเหล่านั้นได้ ตนก็จะแก้ปัญหาเส้นลมปราณอุดตัน และสามารถเริ่มต้นฝึกปราณสวรรค์ได้เสียที

และในวันนี้ หลังจากได้ฟังความลับของจ้าวมณีสวรรค์จากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ความปรารถนาที่อยากจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์นั้นก็เพิ่มมากขึ้นจนเกินความเจ็บปวดที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้เสียแล้ว  โจวเหว่ยชิงตัดสินใจแล้ว อย่างน้อยตนก็ควรจะลองวิชาเทพอมตะนี้ดู หากไม่กล้าในตอนนี้ เขาจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเองได้อย่างไร?

ตอนนี้โจวเหว่ยชิงรู้ชัดแจ้งว่ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้าหากไม่ปลุกพลังมณีก่อนอายุ 16 เขาก็จะสูญเสียโอกาสในการทำเช่นนั้นตลอดไป และหากถึงเวลานั้น ตนก็จะกลายเป็นเศษสวะไร้ค่าตลอดกาล ใครบ้างจะพึงพอใจหากถูกเรียกขานเช่นนั้นไปตลอดชั่วชีวิต? ดังนั้น แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะกลัวความตาย แต่เขาก็กลัวที่จะเป็นคนไร้ค่าไปตลอดชั่วชีวิตด้วย

เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าใสซื่อของโจวเหว่ยชิงถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นจริงจัง ใช้ประโยชน์จากแสงสลัวของโคมไฟชั่วคราวของเขา โจวเหว่ยชิงพลิกหนังสือเก่าๆ เล่มนั้นไปยังหน้าถัดไป ในหน้าที่ 2 นี้แสดงถึงจุดตายจุดแรกที่จะต้องทะลวงเพื่อเริ่มฝึกวิชาเทพอมตะ

บนหนังแกะเก่าๆ นั้นเขียนไว้ว่า ร่างกายมนุษย์มีชีพจรเดี่ยวทั้งหมด 52 จุด ชีพจรคู่ 300 จุดและชีพจรพิเศษนอกเส้นพลังปราณอีก 50 จุด รวมทั้งสิ้น 702 จุด โดยชีพจรทั้งหมดนั้น มีจุดสำคัญ 108 จุด จุดไม่อันตราย 72 จุด และจุดตาย 36 จุด ซึ่งนั่นก็คือจุดตายที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้

วิชาเทพอมตะส่วนแรก การฝึกวิทยายุทธ์บริเวณส่วนแขนและขา

จุดตายแรก กระดูกไหปลาร้า

จุดตาย ณ กระดูกไหปลาร้าตั้งอยู่ที่ส่วนบนของไหล่ หนังแกะหน้าดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจะทะลวงจุดตายตรงกระดูกไหปลาร้าได้อย่างไร รวมถึงมีรูปภาพและข้อความกำกับเพื่อแสดงจุดต่างๆ อีกด้วย

จุดตายตรงกระดูกไหปลาร้านั้นเป็นชีพจรคู่ จุดหนึ่งอยู่ฝั่งซ้าย อีกจุดอยู่ฝั่งขวา โจวเหว่ยชิงพยายามกดลง ณ จุดตายบนกระดูกไหปลาร้าฝั่งซ้าย ฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายซีกซ้ายรู้สึกชาอยู่ครู่หนึ่ง นั่นทำให้เด็กหนุ่มหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!

เป็นที่ทราบกันดีว่าสำหรับจุดตายทั้ง 36 จุดนั้นมีทั้งจุดที่อันตรายน้อยและอันตรายมาก หลังจากพลิกคัมภีร์ไปหน้าหลังๆ แล้วเขาก็พบว่าจุดตายในขั้นหลังๆ ที่ต้องทะลวงนั้นเป็นจุดตายที่อันตรายกว่ามาก

การฝึกวิชานี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนแรกคือบริเวณแขนขา ประกอบไปด้วยจุดตายทั้งหมด 5 จุด ส่วนที่สองคือแผ่นหลัง ประกอบไปด้วยจุดตาย 8 จุด ส่วนที่สามคือแผ่นอก ประกอบด้วยจุดตาย 14 จุด และส่วนสุดท้ายคือบริเวณศีรษะซึ่งประกอบด้วยจุดตาย 9 จุด ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่า วิชานี้เริ่มฝึกจากส่วนที่ (อาจจะ) ง่ายที่สุดไปจนถึงยากที่สุด แต่ถึงกระนั้น แม้แต่จุดตายที่กระดูกไหปลาร้าซึ่งเป็นจุดที่ง่ายที่สุดก็นำมาซึ่งความรู้สึกน่าขนลุกเช่นนี้ โจวเว่ยชิงจึงสั่นด้วยความหวาดกลัว จุดตายพวกนี้จะถูกทะลวงได้จริงหรอเนี่ย!!!?

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเด็กหนุ่มก็คิดตกอีกครั้ง ก็เหมือนที่ผู้คนกล่าวกันไว้ว่า ‘อะไรที่เป็นของเจ้าก็ย่อมเป็นของเจ้า’ ถ้าหากเขาสามารถทะลวงจุดตายนี้ได้ เขาก็มีโอกาสได้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ แต่ถ้าหากไม่ลองเลย เขาจะกลายเป็นคนไร้ค่าตลอดไป

เพื่อที่จะไม่ต้องเป็นเศษสวะอีกต่อไป!!! นี่คือความศรัทธาในหัวใจของโจวเหว่ยชิงที่ทำให้เขาสามารถก้าวเข้าสู่วิถีการฝึกปราณสวรรค์ได้ในที่สุด เขาตั้งสมาธิอย่างเงียบๆ และเริ่มฝึกฝนตามที่คัมภีร์วิชาเทพอมตะนี้เขียนไว้

ตั้งสมาธิจดจ่อ ณ จุดตายบนกระดูกไหปลาร้า เขาเริ่มรู้สึกถึงระบบต่างๆ ภายในร่างกายอย่างช้าๆ ส่วนที่ยากที่สุดของการฝึกฝนคือขั้นตอนการเริ่มต้นเสมอ ในกรณีของโจวเหว่ยชิงก็เช่นกัน การเริ่มต้นที่ยากที่สุดก็คือการสัมผัสถึงพลังปราณสวรรค์ภายในร่างกายของตนซึ่งมีเบาบางมากจนแทบไม่รู้สึก จากนั้นก็เหนี่ยวนำพลังปราณนั้นมาใช้เพื่อทำลายจุดตาย ตามคัมภีร์นั้น จุดตายบนกระดูกไหปลาร้าเป็นจุดที่ง่ายที่สุดในการทะลวงจากทั้ง 36 จุด และสิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมเป็นการที่เขาจะมีชีวิตรอดจากการทะลวงจุดตายครั้งนี้ได้หรือไม่? หากรอดพ้นจากการทะลวงจุดตายนี้ไปได้ ก็ถือว่าเขาผ่านขั้นตอนแรกที่สำคัญไปได้แล้ว

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดทำให้โจวเหว่ยชิงไม่สามารถรักษาความสงบเยือกเย็นได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหนุ่มยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังปราณสวรรค์ภายในร่างเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะกลัวตาย แต่หากได้ตัดสินใจทำบางสิ่งไปแล้ว เขาก็มีความอดทนสูงมาก

2 ชั่วโมงผ่านไป…จวบจนดึกดื่นมากเสียขนาดนี้แล้ว มีเพียงเสียงจิ้งหรีดที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้นที่จะขัดจังหวะความเงียบสงัดของค่ำคืนนี้ได้

นี่ตัวข้าถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถฝึกพลังปราณได้หรือ? แม้กระทั่งวิชาเทพอมตะนี้ก็ยังเป็นไปไม่ได้สำหรับข้าอีกงั้นหรือ? เป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงเต็มแล้ว และโจวเหว่ยชิงก็กำลังจะยอมแพ้  หลังและเอวของเขามีอาการปวดอย่างรุนแรง ปลายเท้าเริ่มชาหนึบจากการนั่งนิ่งๆ เป็นเวลานาน แต่ทว่าเด็กหนุ่มกลับยังไม่รู้สึกถึงพลังปราณสวรรค์ภายในร่างเลยแม้แต่นิดเดียว

………………………………………………………………

ณ จวนตระกูลแม่ทัพใหญ่

ในห้องรับแขกมีบุรุษ 2 คนกำลังนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ หนึ่งในนั้นคือจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ตี้เฟิงหลิง ส่วนอีกด้านเป็นบุรุษที่มีรูปร่างกำยำดั่งเจดีย์เหล็ก เขามีอายุราว 50 ปี ผิวสีทองแดงเปล่งรัศมีความแข็งแกร่ง ใบหน้าสี่เหลี่ยมองอาจ ดวงตาเรียวดั่งพยัคฆ์ จมูกโด่งและริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง แม้ว่าเขาจะกำลังนั่งอยู่ แต่ทว่าใครๆ ต่างก็สามารถมองเห็นตัวตนสูงใหญ่ของเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ได้อย่างง่ายดาย

กล้ามเนื้อที่ดูแข็งแกร่งราวหินผาถูกเสริมให้ดูน่าเกรงขามด้วยชุดเครื่องแบบทหาร ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยพลัง นัยน์ตาสีดำเข้มดูเหมือนจะมีแสงเรืองรองออกมาจากภายใน ชายคนนี้เป็นเสาหลักของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ แม่ทัพใหญ่โจวสุ่ยหนิว หรือก็คือบิดาของโจวเหว่ยชิงนั่นเอง

แม่ทัพโจวมีความคล้ายคลึงกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์เนื่องจากเขาเกิดมาในครอบครัวคนธรรมดาเดียวเช่นกัน ครอบครัวของชายหนุ่มหาเลี้ยงชีพโดยการเลี้ยงกระบือ ซึ่งนั่นจึงเป็นที่มาของชื่อเขานั่นเอง (  水牛 shuiniu แปลว่ากระบือ) แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะชื่อของเขา เพราะใครก็ตามที่ทำเช่นนั้นได้ตายไปแล้วนั่นเอง

“ฝ่าบาท ดูนี่สิ เช้านี้มีคนส่งจดหมายนี่มาให้ข้า มันเป็นลายมือของเจ้าเด็กเหลือขอนั่นจริงๆ” โจวสุ่ยหนิวส่งจดหมายให้จักรพรรดิตี้เฟิงหลิงดู

“พี่ใหญ่โจว ท่านทำจดหมายปลอมขึ้นมาเพื่อปลอบใจข้าใช่หรือไม่? ยังไงซะ ข้าก็ได้ตัดสินใจแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเหว่ยชิง ตี้ฝูหยาจะต้องตายไปกับเขาด้วย” ตี้เฟิงหลิงกล่าวอย่างหนักแน่น เขานำตี้ฝูหยามาที่จวนแม่ทัพเมื่อวานนี้เพื่อขอขมาเป็นการส่วนตัว ทว่าเมื่อได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงยังกลับไม่ถึงบ้าน เขาก็ส่งคนจำนวนมากออกไปค้นหารอบๆ เมือง แต่สุดท้ายกลับไร้วี่แวว

โจวสุ่ยหนิวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ฝ่าบาท ข้าจะกล้าโกหกท่านได้อย่างไร? ท่านไม่ควรถูกหลอกด้วยท่าทางซื่อๆของเขา จริงๆ แล้วเจ้าเด็กนั่นเจ้าเล่ห์มากกว่าใคร และขนาดข้าเองก็ยังถูกหลอกมาหลายครั้ง เดาว่าคราวนี้รู้ตัวว่าก่อปัญหาร้ายแรง และกลัวว่าข้าจะจัดการกับตัวเอง นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ไม่กล้าวิ่งโร่กลับบ้าน ท่านดูสิ เจ้าเด็กนี่พล่ามได้ดูดีทีเดียว ฮึ่ม! ออกไปผจญภัยสร้างชื่อเสียงงั้นรึ? เรื่องตบตาชัดๆ! เจ้าเด็กนี่แค่ไม่กล้าจะโผล่หัวกลับมาบ้านเท่านั้นแหละ พวกเราอย่าไปใส่ใจเลยจะดีกว่า”

ตี้เฟิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ตราบใดที่เหว่ยชิงไม่กลับบ้านอย่างปลอดภัย ข้าก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้! ยังไงเรื่องนี้เป็นความผิดของตี้ฝูหยา พี่ใหญ่ หากเหว่ยชิงกลับมาบ้าน ท่านก็อย่าได้ลงโทษเขาเลย อย่างไรก็ซะเด็กคนนี้ก็เป็นคนน่าสงสาร เหว่ยชิงไม่ได้อยากเกิดมาพร้อมกับเส้นลมปราณอุดตัน ท่านไม่ควรทำเรื่องร้ายๆ กับเขาอีก”

“ฮึ!” โจวสุ่ยหนิวกล่าวอย่างไม่พอใจ “บิดาพยัคฆ์ บุตรสุนัข! อย่างน้อยเจ้าเด็กนั่นก็รู้ฐานะตัวเองดี เขาพูดถูก ตัวเองจะคู่ควรกับผู้สูงส่งอย่างองค์หญิงได้อย่างไร? ในความคิดของข้า เราควรทำตามที่เขาบอก ยกเลิกการหมั้นหมายไปซะ”

จักรพรรดิตี้เฟิงหลิงหน้าเปลี่ยนสี “จะเป็นไปได้ยังไง! ตอนนี้ตี้ฝูหยาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลโจวแล้ว แม้ตายก็ยังเป็นผีตระกูลโจว! พี่ใหญ่ ท่านก็รู้ว่ากษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ ดังนั้นพวกเราไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้อีก หากข้าดูถูกเหว่ยชิงเพียงเพราะเขาไม่ใช่จ้าวมณี และยกเลิกการหมั้นหมาย ข้าจะมีหน้าเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ได้อย่างไร…”

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงตื่นขึ้น เขาก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง และเริ่มทนกลิ่นเหงื่อไคลไม่ไหว เด็กหนุ่มปวดเมื่อยที่ขาเป็นพิเศษ มันหนักอึ้งราวกับว่าขาทั้งสองข้างนั้นทำมาจากลูกตะกั่ว ขยับแต่ละทีราวกับมีเข็มพันเล่มแทงไปทั่ว ซึ่งนั่นทำให้เขาร้องครางด้วยความเจ็บปวด

“ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ รอก่อนเถอะ!! สักวันเจ้าจะต้องอยู่ใต้อำนาจของข้า และข้าจะแก้แค้นเจ้าให้ดู!!”

หลังจากพักชั่วครู่ โจวเหว่ยชิงก็คลานออกมาจากเตียงของเขา ทันทีที่ลุกขึ้นก็เห็นว่าข้างเตียงมีถาดขนาดใหญ่ 2 ใบ วางอยู่พร้อมกับกระดาษที่เขียนด้วยลายมือแนบไว้ด้วย

เมื่อมองดูของในถาดสองใบนั้นก็พบว่าถาดหนึ่งมีหมั่นโถวลูกใหญ่อยู่ 3 ลูก ขณะที่อีกถาดมีอาหารอีก 2 ชนิดคือผักทอดและเนื้อตุ๋นวางอยู่ด้วยกัน โจวเหว่ยชิงนั้นใช้พลังงานทั้งหมดของเขาไปในตอนบ่ายแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงหิวโหยมาก เด็กหนุ่มจัดแจงช่วยตัวเองหยิบอาหารใส่ปากอย่างรวดเร็ว ในใจพลันคิดว่าอย่างน้อยซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มีสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง หมั่นโถวนึ่งและกับข้าวยังคงอุ่นอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นรสชาติก็ค่อนข้างดีทีเดียว แน่นอนว่าอาหารพวกนี้ย่อมไม่ได้มาจากโรงอาหารของพลทหารธรรมดาเป็นแน่  ขณะที่กิน โจวเว่ยชิงก็มองดูกระดาษข้อความซึ่งเขียนไว้เพียง 4 คำเท่านั้นว่า “ฝึกต่อพรุ่งนี้”

“ปัดโถ่เอ้ย!! ยังไม่จบอีกหรือ!! ข้าจับสิ่งนั้นของเจ้าไปแค่ครั้งเดียวเอง!” โจวเหว่ยชิงพูดด้วยความโกรธเคือง จากนั้นก็บีบหมั่นโถวในมืออย่างแรงราวกับพยายามจะนึกถึงความรู้สึกในอุ้งมือตอนนั้นให้ได้

โจวเหว่ยชิงกินอาหารมื้อเย็นอย่างรีบๆ จากนั้นก็เผ่นออกจากกระโจมด้วยความรวดเร็ว เด็กหนุ่มต้องทนกับความเจ็บปวดไปทั่วร่างขณะอาบน้ำ แม้ว่ามารน้อยตนนี้จะฉลาดแกมโกง และกลัวตายเป็นที่สุด แต่เขามีข้อดีนั่นก็คือเขารักสะอาดเป็นอย่างมาก! ยิ่งไปกว่านั้นโจวเหว่ยชิงยังซักเสื้อผ้าเองด้วย!

อย่าได้คิดว่าเพราะเขาเกิดมาในตระกูลสูงส่งจะทำให้ไม่รู้จักทำงานบ้าน เพราะในความเป็นจริงนั้นมันตรงข้ามกันเลยต่างหาก!! โจวเหว่ยชิงเชี่ยวชาญงานบ้านต่างๆ ตั้งแต่การปรุงอาหารไปจนถึงการทำความสะอาดเลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็มาจากการสอนสั่งของบิดาที่เข้มงวดของเขานั่นเอง

ที่คฤหาสน์ตระกูลแม่ทัพโจว โจวเหว่ยชิงอาศัยอยู่คนเดียวในพื้นที่ลานเล็กๆ ของตระกูล หลังจากอายุ 6 ขวบเขาก็ถูกบังคับให้ต้องพึ่งพาตนเองโดยไม่มีคนรับใช้ แม้ว่าแท้จริงแล้วเด็กหนุ่มจะมีทุกอย่างที่ต้องการก็ตาม ด้วยเหตุนี้แม่ทัพโจว และฮูหยินของเขาจึงทะเลาะกันหลายครั้งหลายครา แต่แม่ทัพโจวนั้นก็หัวแข็งยืนกรานเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด และในท้ายที่สุดฮูหยินโจวจึงทำได้เพียงแค่สอนโจวเหว่ยชิงเกี่ยวกับการทำงานบ้านด้วยตัวเองเท่านั้น

หลังจากทำความสะอาดร่างกาย และซักชุดเครื่องแบบของเขาแล้ว โจวเหว่ยชิงก็เปลี่ยนเป็นชุดใหม่และมุ่งหน้ากลับไปยังกระโจมของตนท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบราวกับไม่มีผู้คน

หลังจากกลับถึงกระโจม โจวเหว่ยชิงก็เปิดถุงผ้าที่เขาพกติดตัวมาด้วย ข้างในเป็นสิ่งของจิปาถะที่ซื้อหลังออกมาจากร้านช่างตีเหล็ก นั่นรวมถึงเครื่องปรุงอาหาร ตะเกียงน้ำมัน ฯลฯ แม้ว่าพวกมันจะเป็นสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ยังจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดในการเป็นทหารนั้นย่อมไม่ใช่การไม่ได้รับอาหารดีๆ อยู่แล้ว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงซื้อเครื่องปรุงรสเหล่านั้นมาด้วย ซึ่งนั่นทำให้เขาสามารถทำอาหารได้ง่ายขึ้นหากจำเป็น และสำหรับน้ำมันตะเกียงนั่น มันมีประโยชน์ในเวลานี้นี่แหละ

โจวเหว่ยชิงหยิบชามข้าวที่เขาล้างแล้วมาเทน้ำมันตะเกียงลงไป จากนั้นก็นำด้ายบางๆ มาม้วนเข้าด้วยกัน และปักแช่ไว้ในน้ำมันสักครู่หนึ่งเพื่อทำไส้ตะเกียง จากนั้นก็จุดไฟ นี่คือการสร้างโคมไฟชั่วคราว มันสามารถให้แสงสว่างทั่วกระโจมขนาดเล็กของเขาได้

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ เด็กหนุ่มก็มุดศีรษะออกนอกกระโจมแล้วมองไปรอบๆ เพื่อยืนยันว่าเขาอยู่คนเดียว จากนั้นก็มุดหัวกลับเข้าไป โจวเหว่ยชิงเอื้อมมือไปที่เสื้ออย่างระมัดระวังและหยิบถุงผ้าเคลือบมันออกมา

“โชคดีที่ห่อไว้ด้วยผ้าเคลือบมัน วันนี้ดันเหงื่อออกเยอะมากซะด้วย ถ้ามันเปียกจนขาดเสียหายไปจริงๆ ข้าคงจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ” เขาเปิดถุงผ้าอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นหนังสือเก่าๆ ที่ถูกห่ออยู่ข้างใน มันไม่ได้ทำจากกระดาษแต่ทำมาจากหนังแพะคุณภาพสูงเย็บเข้าด้วยกัน หนาประมาณ 2 นิ้ว และมีความยาวหลายสิบหน้า มันดูเก่าโบราณคร่ำครึ ขอบหนังสือก็ยังหลุดรุ่ยเป็นฝอยๆ ด้านบนของหนังสือเล่มนี้มีอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ 4 ตัว วิชาเทพอมตะ

นี่คือสมบัติที่โจวเหว่ยชิงนำมาจากป่าดาราเมื่อวานนี้ มันคือคัมภีร์ที่เขาค้นพบเมื่อตอนอายุ 10 ขวบ ขณะนั้นแม่ทัพโจวโยนเด็กหนุ่มเข้าไปในป่าลึกเพื่อฝึกฝนทักษะการเอาชีวิตรอด เขาพบคัมภีร์นี้ซ่อนอยู่ในโครงกระดูกมนุษย์ผู้หนึ่ง แต่ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครแม้กระทั่งบิดาของเขาเอง ดังนั้นมันจึงถูกซ่อนไว้ในโพรงเล็กๆ ของต้นไม้ในป่าดาราตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เมื่อโจวเหว่ยชิงเปิดหน้าแรก ก็เผยให้เห็นคำเล็กๆเขียนอยู่ว่า หลักการทั่วไปของวิชาเทพอมตะ

ผู้ไม่มีความมุ่งมั่นจะไม่สามารถเรียนรู้สิ่งนี้ได้ ผู้ที่ไม่พร้อมสละชีพของตนก็ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งนี้ได้เช่นกัน วิชาเทพอมตะเป็นวิชาที่ต้องสละวิญญาณให้แก่ความตาย แต่ทว่ามันก็เป็นวิชาที่ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นจริงขึ้นมาได้ วิชานี้ใช้จุดตายในร่างกาย 36 แห่งเป็นจุดทะลวงพลังเพื่อดึงชีวิตกลับมาจากความตาย และหากไม่ระวังนั่นย่อมหมายถึงชีวิต จงระวัง…จงระวัง…ผู้ที่สามารถทะลวงจุดตายทั้ง 36 แห่งได้ครบจะสามารถดึงพลังของโลกทั้งใบออกมาใช้ได้ เขาคนนั้นจะมีชีวิตอมตะตราบเท่าที่โลกยังไม่แตกสลาย…

…………………………………………………………….

“นี่มันโหดเกินไปแล้ว!!! หมายความว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีแค่ 1 ดวงนั้นแข็งแกร่งกว่าจ้าวมณีธาตุ หรือจ้าวมณียุทธที่มีมณี 2 ดวงหรือ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวตอบ “ในแง่ของความแข็งแกร่งขั้นพื้นฐาน ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตาม จ้าวมณีสวรรค์นั้นก็มีช่วงเวลาการฝึกที่หนักหน่วงมากกว่าจ้าวมณีธาตุหรือจ้าวมณียุทธ์ทั่วๆ ไป ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ จ้าวมณียุทธหรือจ้าวมณีธาตุที่สามารถฝึกฝนจนครอบครองมณีครบทั้ง 9 ดวงนั้นยังถือว่ามีมากมาย แต่ทว่าข้ายังไม่เคยได้ยินว่ามีจ้าวมณีสวรรค์คนใดที่สามารถฝึกฝนไปถึงขั้นสูงสุดนั้นได้มาก่อน ในความเป็นจริงแล้ว จ้าวมณีสวรรค์ควรจัดเป็นผู้ฝึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับจ้าวมณีแบบอื่นๆ ด้วยซ้ำ

 

ตำนานกล่าวไว้ว่า จ้าวมณีสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดจะสามารถครอบครองมณีได้สูงสุดถึง 12 ดวง ซึ่งระดับพลังนั้นย่อมขัดต่อกฎธรรมชาติ ดังนั้นคนผู้นั้นจึงสามารถเปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งวัฏจักรโลกได้ตามใจชอบ!” ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวนั้น ดวงตาของเธอก็เผยความปรารถนาที่อยากจะขึ้นไปอยู่ในระดับดังกล่าว

 

“มณี 12 ดวงเชียวนะ!! จ้าวมณีสวรรค์สามารถครอบครองมณีได้ถึง 12 ดวง!! และมณีทั้งหมดนั่นย่อมไม่ใช่มณี 9 ดวงที่พบได้ทั่วไปสำหรับจ้าวมณียุทธ์หรือจ้าวมณีธาตุ”

 

หลังจากฟังคำอธิบายจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็รู้ว่าบิดาของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน  นั่นก็เพราะว่าบิดาของเขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่ครอบครองมณี 8 ดวงนั่นเอง!!

 

เห็นดังนั้น โจวเหว่ยชิงจึงถามอย่างสงสัยว่า “ข้าได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่โจวแห่งอาณาจักรของเราเป็นจ้าวมณีสวรรค์ เขาแข็งแกร่งมากหรือไม่?”

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่ลังเล “แน่นอนว่าเขาแข็งแกร่ง! แม่ทัพใหญ่โจวคือคนที่ข้าเคารพมากที่สุด! แม้แต่ในอาณาจักรใหญ่ๆ ทั้งหลาย ระดับพลังของเขาก็ถือว่าแข็งแกร่งมาก ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงอาณาจักรเล็กๆ อย่างอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราเลย กระทั่งจักรพรรดิของเรายังเคยกล่าวเอาไว้ว่า แม้ว่าจ้าวมณีทั้งหมดในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์จะร่วมมือกันก็ยังไม่สามารถเอาชนะแม่ทัพใหญ่โจวเพียงคนเดียวได้ นั่นก็เพราะแม่ทัพใหญ่โจวครอบครองมณีทั้งหมดถึง 8 ดวง ซึ่งก็หมายความว่าเขาคือผู้ครอบครองมณีระดับเทวะขั้นกลาง ซ้ำในแผ่นดินนี้เขายังถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญลำดับต้นๆ ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะธาตุของแม่ทัพโจวยังติด 1 ใน 4 ของทักษะธาตุที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย!”

 

แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะกำลังยกย่องบิดาของตนอยู่ แต่โจวเหว่ยชิงนั้นกลับไม่ได้ดีใจเลยสักนิด เหตุผลนั้นก็ง่ายๆ หลังจากที่เด็กหนุ่มใช้พลังทั้งหมดเพื่อวิ่งไล่ตามซ่างกวนปิงเอ๋อร์ให้ทัน เรี่ยวแรงก็ถูกใช้จนเกือบจะหมดไปแล้ว โจวเหว่ยชิงได้แต่หอบหายใจ ตัวเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ในตอนนี้แม้แต่การอ้าปากพูดก็ดูเหมือนจะยากเกินไป

 

“เร็วๆ หน่อยสิ!” จู่ๆ ก็มีแส้ปรากฏในมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และเมื่อมองใบหน้าของโจวเหว่ยชิงที่เต็มไปด้วยเหงื่อ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข จริงๆ แล้วเจ้าคนไร้ยางอายนี่ก็มีสภาพร่างกายค่อนข้างดีอยู่เหมือนกัน หลังจากวิ่งมานานพร้อมกับแบกถุงถ่วงน้ำหนักไปด้วย เขาก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ ชัดเจนว่าความเจ็บปวดที่เด็กหนุ่มแสดงก่อนหน้านี้เป็นของปลอม!

 

“ผู้บัญชาการกองพัน ข้าไปต่อไม่ไหวแล้ว ให้ข้าพักเถิด!” โจวเหว่ยชิงเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าของเขาพลางจ้องมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างอ้อนวอน

 

น่าเสียดายที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ตกหลุมพรางของจอมเจ้าเล่ห์นี่อีก ใบหน้าที่งดงามของเธอจึงเย็นเยียบขึ้น จากนั้นแส้ของเธอก็ฟาดเข้าที่บั้นท้ายของโจวเหว่ยชิงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ความเจ็บปวดทำให้โจว เหว่ยชิงสั่นสะท้าน และฝีเท้าอันเชื่องช้าของเด็กหนุ่มก็เพิ่มความเร็วอีกครั้ง ก็ไอ้เจ้าเกราะอ่อนนั่นไม่ได้ป้องกันบั้นท้ายของเขาเสียหน่อยนี่หว่า!!

 

ในทางกลับกัน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่วิ่งอยู่เคียงข้างโจวเหว่ยชิงนั้นดูเกือบจะคล้ายกับภูติผี ปลายเท้าของเธอแตะพื้นเบาๆ แต่ดูราวกับว่าสามารถลอยขึ้นได้เกือบ 10 เมตรในทุกๆ ก้าว การวิ่งของหญิงสาวจึงดูเหมือนจะไม่ต้องใช้แรงเลยด้วยซ้ำ สาเหตุนั้นก็มาจากการที่มณียุทธ์ของเธอเพิ่มความคล่องตัวและความเร็วให้กับร่างกาย ส่วนมณีธาตุของซ่างกวนปิง  เอ๋อร์ก็เป็นทักษะธาตุลมที่เร็วที่สุด ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าตัวเธอเป็นส่วนผสมที่ดีที่สุดสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ที่ว่องไวปราดเปรียว หากว่าหญิงสาววิ่งด้วยความเร็วสูงสุด แม้แต่จ้าวมณียุทธ์ที่มีมณี 4 ดวงก็ไม่สามารถไล่ตามซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทัน

 

“อ้ากกกกกกกกกก!! เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!!!” เมื่อถูกฟาดเข้าที่บั้นท้าย โจวเหว่ยชิงก็พยายามจะยืนขึ้นต้านแรงโน้มถ่วง แต่ปรากฏว่าเขากลับล้มลงไปคลุกฝุ่นอีกครั้ง  อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะล้มลงอีกครั้ง เท้าเรียวงามข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเด็กหนุ่ม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้นิ้วเท้ายันหน้าอกของโจวเหว่ยชิงเอาไว้ไม่ให้ล้มลง ก่อนจะใช้มันดันตัวเขาขึ้นไปยืนอย่างมั่นคง จากนั้นแส้อีกตัวก็ฟาดลงบนบั้นท้ายของเขาอีกครั้ง นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงตะโกนด้วยความเจ็บปวด

 

“แสดงละครต่อไปสิ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงกัดฟัน เธอแทบจะไม่ได้ใช้พลังใดๆ เลยในการทดลองฟาดเขาครั้งแรก และก็เป็นอย่างที่หญิงสาวคาดไว้ เจ้าอ้วนน้อยโจวนั่นล้มเหลวในการตบตาครั้งนี้! นั่นจึงพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายแสดงละครมาตลอด!

 

และเพราะเหตุนั้น ต่อหน้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงจึงไม่มีโอกาสได้แกล้งล้มลงอีก เธอจึงเป็นเหมือนกับเงามรณะที่ติดตามตัวเขา ทันทีที่โจวเหว่ยชิงเริ่มวิ่งช้าลงก็จะมีแส้ฟาดลงมาทันที และเมื่อเด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นล้มลง เขาก็จะได้รับการช่วยเหลือด้วยปลายเท้าจากนั้นก็ตามมาด้วยแส้ ดังนั้นคราวนี้โจวเหว่ยชิงจึงได้รับบทเรียนอย่างแสนสาหัสจริงๆ บั้นท้ายของเขาแสบร้อน และร่างกายก็เริ่มเหนื่อยล้ามากขึ้นเรื่อยๆ ปอดก็ราวกับมีไฟสุม แต่ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่สามารถชะลอตัวได้

 

“ผู้บัญชาการกองพัน ข้า…ข้า…ข้าผิดไปแล้ว…” โจวเหว่ยชิงนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการพูดจาเกลี้ยกล่อมเอาใจ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่ที่คนดื้อด้านไม่ยอมรับความผิดของตน เพราะท้ายที่สุดแล้วคนฉลาดย่อมรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง แต่อนิจจา หลังจากที่ถูกหลอกถึงสองครั้งสองครา  ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่หลงกลอุบายของโจวเหว่ยชิงอีก

 

“ตอนนี้เจ้าสึกนึกผิดแล้วใช่หรือไม่? แต่ว่ามันก็สายไปแล้ว!!!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเดือดดาล

 

หลังจากผ่านไป 15 นาที เครื่องแบบทหารของโจวเหว่ยชิงก็เปียกโชกไปหมด เพราะแบกถุงที่มีน้ำหนัก 20 กิโลกรัม ขณะกำลังวิ่งไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นเด็กอายุ 13 ปีเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาจะต้านทานการออกกำลังที่หนักหน่วงเช่นนี้ได้อย่างไร

 

นัยน์ตาของโจวเหว่ยชิงเริ่มพร่ามัวก่อนจะดับวูบลง ร่างกายของเขาจึงล้มฟุบไปข้างหน้าอีกครั้ง เท้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยื่นออกไปพยุงร่างเด็กหนุ่มเหมือนปกติ แต่ทว่าคราวนี้แม้ว่าเธอจะหยุดเขาไว้ได้แต่ร่างกายของโจวเหว่ยชิงก็ยังคงดิ่งลงพื้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คิดอะไรไม่ออกชั่วขณะ จากนั้นหญิงสาวก็อ้อมไปข้างหลังพร้อมกับพยุงร่างของอีกฝ่ายวางลงบนพื้นด้วยเท้า เวลานี้เธอรู้แล้วว่าเจ้าทหารใหม่นี่เป็นลมไปแล้วจริงๆ

 

“เฮ้ย! เฮ้ย! เจ้าอ้วนน้อยโจว” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้เท้าเขี่ยร่างของโจวเหว่ยชิงสองที ทุรมาลินบนข้อมือซ้ายของเธอสว่างวาบขึ้นและแสงสีแดงจางๆ ก็พุ่งไปยังข้อมือของโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ต้องการที่จะสัมผัสตัวอีกฝ่าย หญิงสาวจึงใช้พลังของตนตรวจสอบชีพจรของเขาดู

 

“เป็นลมไปจริงๆ เหรอนี่?” ปราณสวรรค์ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ในขั้นพื้นฐานระดับ 8 แล้ว และแม้ว่าเธอจะใช้ปราณสวรรค์จากมณีธาตุของเธอตรวจสอบร่างกายของโจวเหว่ยชิง แต่เห็นได้ชัดว่าคราวนี้เขาไม่ได้แสดงละครและหมดสติไปจากความเหนื่อยล้าจริงๆ

 

………………………………………………………….

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น  ลูกศรพุ่งออกไปปักแน่นที่กลางต้นไม้ เพียงแต่มันแฉลบไปซ้ายเล็กน้อยจากเป้าหมายตรงกลาง

ทักษะการยิงของโจวเหว่ยชิงนั้นถือว่าค่อนข้างแม่นยำ เนื่องในกองพันที่ 3 มีเพียงแค่หัวหน้ากองร้อยเท่านั้นที่ทำได้ดีถึงเพียงนี้ แม้ว่าพลทหารแม่นธนูจะต้องยิงเป้าขนาดเท่ากับมนุษย์จริงในระยะ 200 เมตรให้ผ่าน แต่ก็มีทหารเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ทำได้

“ฮ่าๆ ข้ายิงเข้าเป้าล่ะ!” โจวเหว่ยชิงโบกธนูของตนให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างพึงพอใจ อันที่จริงเขาไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยว่าจะยิงเข้าเป้า เพราะดูเหมือนว่าจากทักษะของโจวเหว่ยชิง เขาสามารถยิงได้เข้าเป้าประมาณ 7 ใน 10 ครั้ง ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เด็กหนุ่มเลือกเข้าร่วมหน่วยธนูตั้งแต่แรก

“นั่นถือว่ายิงเข้าเป้าแล้วหรือ? ข้าบอกให้เจ้ายิงเข้า “ตรงกลาง” เป้า ข้าใช้เท้ายิงก็ยังแม่นกว่าเจ้าเสียอีก!!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเหยียดหยาม

โจวเว่ยชิงหันขวับกับคำพูดของเธอทันที “ใช้เท้าของท่านงั้นเหรอ? พิสูจน์สิ! หากท่านสามารถใช้เท้ายิงเข้าเป้ากลางต้นไม้ต้นนั้นได้ ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่างรวมถึงเข้าฝึกพิเศษด้วย!!!”

“ข้าเป็นผู้บัญชาการกองพันของเจ้า ยังไงซะเจ้าก็ควรฟังคำสั่งของข้าอยู่ดี! เอาธนูของเจ้ามานี่!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวด้วยความโกรธ

โจวเหว่ยชิงมอบคันธนูและลูกธนูให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หญิงสาวกล่าวอย่างเย็นชา “ดูนี่ซะ!” ขณะที่เธอพูดก็สะบัดรองเท้าออก เผยให้เห็นเท้าเรียวนุ่มขาวกระจ่างใสคู่หนึ่ง ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะได้ทันตอบสนอง หญิงสาวก็พลันยกเท้าขึ้นจับคันธนู ขาขวาถูกยกขึ้นกวาดไปด้านหลังเพื่อยกธนูขึ้น เธอใช้มือทั้งสองข้างยันกับพื้นเพื่อพยุงตัวเองไว้ และใช้เท้าอีกข้างคีบลูกธนูออกจากแล่ง

สิ่งที่ทำให้โจวเหว่ยชิงอ้าปากค้างด้วยความตกใจก็คือร่างกายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ (ที่อยู่ในท่ากลับหัว) นั้นถูกดัดราวกับคันธนู ขาขวาของเธออยู่ตำแหน่งด้านหน้า ส่วนขาซ้ายก็กำลังพาดลูกศรไว้ที่สายธนูและง้างออกเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว บั้นท้ายของหญิงสาวอยู่ในตำแหน่งเดียวกับศีรษะ และขาเรียวยาวก็อยู่ตรงหน้าโจวเหว่ยชิง

เธอใช้ขาขวาปล่อยลูกศรออกมา เสียงแหวกอากาศเกิดขึ้นก่อนลูกศรจะพุ่งออกไปราวสายฟ้า โจวเหว่ยชิงมองตามลูกธนูตาไม่กระพริบ ท้ายสุดเขาก็เห็นลูกศรนั้นปักกระแทกเข้าไปในลำต้นของต้นไม้นั้นตรงกลางเป้าพอดิบพอดี

เป็นไปได้ยังไง!? ทักษะการใช้ขายิงธนูของหญิงสาวนั้นช่างงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ! โจวเหว่ยชิงชื่นชมจากหัวใจ สมควรแล้วที่เธอเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้นๆ ของอาณาจักร! สิ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์แสดงก่อนหน้านี้คือความสามารถในการยืดหยุ่น และควบคุมร่างกาย และหญิงสาวไม่ได้ใช้ปราณสวรรค์หรือมณีสวรรค์แม้แต่น้อย เธอใช้ศักยภาพของตนเองเช่นเดียวกับโจวเหว่ยชิง ซึ่งนั่นเป็นเพียงทักษะการยิงธนูธรรมดาๆ เท่านั้น

หลังการพลิกตัวกลับมายืนดังเดิม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็พาตัวเองมายืนอยู่หน้าโจวเว่ยชิงก่อนที่จะเหวี่ยงคันธนู   และแล่งธนูคืนให้เขา หญิงสาวกล่าวอย่างสุขุม “ตอนนี้เจ้าเชื่อหรือยัง?”

โจวเหว่ยชิงมองเธออย่างใจลอยและกล่าวว่า “ท่านผู้บัญชาการกองพัน…ข้าคิดว่าครั้งต่อไปหากท่านใส่ชุดกระโปรงก็ไม่ควรใช้ทักษะเช่นนี้อีก มิฉะนั้นท่านจะเปิดเผยบางอย่างออกมาได้…แต่จริงๆ แล้วเรียวขาของท่านสวยงามมากขอรับ!!!” ทว่าเขาก็ยังมีอีกประโยคที่ได้แต่เก็บไว้พูดกับตนเอง  ‘บั้นท้ายของท่านก็มีรูปร่างที่ดีเช่นกันนะขอรับ!!’

เพราะก่อนหน้านี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็นโจวเหว่ยชิงมีท่าทีตกใจจึงคิดว่าท่าทางแบบนั้นหมายความว่าเขากำลังประทับใจในฝีมือของเธอ ทว่าหญิงสาวกลับคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรทำนองนี้ออกมา! นั่นจึงทำให้ดวงตาของเธอลุกโชนด้วยความโกรธอีกครั้งด้วยความอับอาย “ในหัวขี้เลื่อยของเจ้ามีอะไรบ้างหา?! มีแต่ความคิดสกปรกพวกนั้นตลอดเลยใช่หรือไม่!? เอาล่ะ อย่าชักช้า!!! แบกถุงนี่ไปและวิ่งรอบๆ ค่ายจนกว่าข้าจะบอกให้หยุด หรือจะให้ข้าเปลี่ยนเป็นการซ้อมกับข้าตัวต่อตัว?!!!”

“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้…” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด เด็กหนุ่มแบกถุงขึ้นและเริ่มออกวิ่งอย่างช้าๆ น่าเสียดาย ไม่ว่าตอนนี้เขาจะดูน่าสมเพชแค่ไหนในสายตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ใบหน้าของโจวเหว่ยชิงกลับกระตุ้นให้เธออยากจะทุบตีเขามากกว่าเดิม

“เร็วขึ้น! เร็วขึ้นอีก!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เตะเข้าที่ด้านหลังเด็กหนุ่มก่อนจะสวมรองเท้าและวิ่งตามไป เธอจะดูแลการฝึกซ้อมนี้อย่างดีเป็นการส่วนตัว และไม่ให้โอกาสเขาได้พักผ่อนแน่!

โจวเหว่ยชิงหันกลับไปมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์และตระหนักว่าตอนนี้เธอมณีสีแดงเป็นประกายอยู่ 2 ดวงรอบข้อมือ

นั่นคือมณีสวรรค์งั้นหรือ? โจวเหว่ยชิงมองด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าการวิ่งในขณะที่แบกถุงน้ำหนัก 20 กิโลกรัม ไปด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทว่าเขาก็ยังพอจะรับมือไหว สำหรับมณีสวรรค์นั้น เขามีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับมัน และปรารถนาที่จะครอบครองมันมาก ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ท่านผู้บัญชาการกองพัน นั่นคือมณีสวรรค์ของท่านใช่หรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าจ้าวมณีสวรรค์นั้นครอบครองทั้งมณียุทธ์และมณีธาตุ มณีธาตุของท่านคือทับทิมสีเพลิงใช่หรือไม่?”

มณีสีแดงทั้ง 2 ดวงนั้นมีลักษณะคล้ายกันกับมณีธาตุไฟของตี้ฝูหยา ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่เขาเห็นคือแสงสว่างเรืองรองของมณี เมื่อเปรียบเทียบกับมณีของตี้ฝูหยา มณีที่ข้อมือซ้ายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นสว่างกว่าเกือบสองเท่า นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบระหว่างทับทิมธรรมดาของตี้ฝูหยากับทับทิมสีเพลิงทั้งสองดวงบนข้อมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ มณีของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นดูนุ่มนวล และมีชีวิตชีวากว่า ทำให้เกิดความรู้สึกสงบ และเบาสบายเมื่อมองดู

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ถ้าเจ้าวิ่งได้เร็วกว่าข้า ข้าจะบอกเจ้า” แม้ว่าเธอจะโกรธเจ้าอ้วนน้อยโจว แต่หญิงสาวก็ไม่ได้รู้สึกระแวดระวังเขาอย่างใด ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ เธอสามารถตรวจสอบได้ว่าโจวเหว่ยชิงนั้นไม่มีปราณสวรรค์ใดๆเลย

เมื่อได้ยินดังนั้นโจวเหว่ยชิงก็เลิกพยายามหาทางแอบอู้ เขาเร่งฝีเท้าขึ้น แม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับตน แต่ความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับมณีสวรรค์นั้นอยู่เหนือทุกสิ่ง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวต่อ “จ้าวมณีสวรรค์นั้นแตกต่างจากทั้งจ้าวมณียุทธ และจ้าวมณีธาตุ มันไม่ง่ายเหมือนการครอบครองพลังมณีทั้งสองประเภท เจ้าดูเหมือนจะรู้ข้อมูลพื้นฐานของจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุ เช่นนั้นเจ้าบอกได้ไหมว่าพลังของข้าแตกต่างกับทั้งจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุอย่างไร?” ขณะที่กล่าว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็แสดงมณีที่มือขวาของเธอให้ดู

รอบๆ ข้อมือขวาของเธอคือหยกสองดวง ทั้งคู่มีสีเขียวอ่อนเปล่งประกายราวกับมรกตโปร่งแสง

“หยกหินมังกร…บริสุทธิ์?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ หยกหินมังกรนั้นถือว่าเป็นมณีชั้นสูงสำหรับจ้าวมณีธาตุเพราะว่าพวกมันช่วยเสริมความเร็วให้แก่เจ้าของ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้โจวเหว่ยชิงประหลาดใจที่สุด สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือความบริสุทธิ์ของมณีต่างหาก เห็นได้ชัดว่ามณียุทธ์ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นไม่มีหยกชนิดอื่นๆ ผสมอยู่ด้วยเลย และหยกชนิดเดียวที่เธอมีนั้นคือหยกประเภทเสริมความเร็วอย่างหินมังกรบริสุทธิ์

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าว “มณียุทธ์ของจ้าวมณีสวรรค์นั้นแตกต่างจากมณียุทธ์ของจ้าวมณียุทธ์ธรรมดาในแง่ของความบริสุทธิ์ กล่าวคือจ้าวมณีสวรรค์สามารถเพิ่มทักษะยุทธ์ได้เพียงอย่างเดียว ตัวอย่างเช่นของข้าคือความเร็ว อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการเพิ่มพลังจะมากกว่า 1.5 เท่า ของมณียุทธ์ปกติ ซึ่งความรู้ทั้งหมดนี้ปกติแล้วได้รับการสอนในโรงเรียนสำหรับจ้าวมณี

บริสุทธิ์ มันคือความบริสุทธิ์ของมณีนั่นเอง! โจวเหว่ยชิงพลันรู้แจ้งถึงความแตกต่างระหว่างจ้าวมณีสวรรค์และจ้าวมณียุทธ์ แม้ว่าจะสามารถมีทักษะยุทธ์ได้เพียง 1 อย่าง แต่พลังที่มากว่าปกติ 1.5 เท่าในทุกๆ ระดับขั้นพลังนั้นหมายความว่า ไม่ว่าทักษะยุทธ์ใดๆ ที่จ้าวมณีสวรรค์นั้นครอบครอง จ้าวมณียุทธ์ธรรมดานั้นไม่สามารถต่อกรได้เลย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวต่อไป “สำหรับมณีธาตุของข้า มันไม่ใช่ทับทิมอย่างที่เจ้าคิด ทักษะธาตุของข้าไม่ใช่ไฟ แต่เป็นลม” ที่จริงแล้วหญิงสาวไม่จำเป็นต้องอธิบายทุกอย่างให้โจวเหว่ยชิงฟังด้วยซ้ำ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกมีความสุขเมื่อได้เห็นใบหน้าตกตะลึงของเจ้าหมอนั่น

“ลม? แต่ว่ามณีธาตุลมควรจะเป็นทุรมาลินสีเขียวไม่ใช่หรือ!” โจวเหว่ยชิงถามอีกครั้งอย่างแปลกใจ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ในทำนองเดียวกัน มณีธาตุของจ้าวมณีสวรรค์ก็มีความแตกต่างจากจ้าวมณีธาตุทั่วไป มณีธาตุของข้าเป็นทุรมาลินก็จริง แต่มันก็เป็นทุรมาลินที่หายากที่สุดในทุรมาลินทั้งหมด นั่นก็คือ ทุรมาลินสีแดงที่รู้จักกันในนามราชันแห่งทุรมาลินนั่นเอง นี่คือความแตกต่างอีกอย่างระหว่างจ้าวมณีสวรรค์และจ้าวมณีธาตุ แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นธาตุลมเหมือนกัน แต่ทักษะธาตุลมของราชันแห่งทุรมาลินของข้าอยู่ที่ประมาณ 1.5 เท่าของทุรมาลินธรรมดา คุณสมบัติอื่นๆ ก็เหมือนกัน พูดง่ายๆ ก็คือมณีของจ้าวมณีสวรรค์มักจะเป็นมณีชั้นสูงที่สุดของมณีธาตุเสมอ”

…………………………………………………………..

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พลันครางในลำคอด้วยความโกรธ “เจ้าอ้วนน้อยโจว ข้าจะจัดการอีก 9 แส้ที่เหลือในวันหลัง! ด้วยร่างกายที่อ่อนแอเช่นนี้เจ้าจะเป็นทหารได้อย่างไร? ก่อนจะเข้าร่วมการฝึกทหาร ผู้บัญชาการกองพันเช่นข้านี้จะฝึกส่วนตัวให้เจ้าอย่างหนักเอง ถ้าเจ้าฝึกกับข้าไม่ผ่าน ก็เก็บข้าวของไปจากที่นี่ซะ อย่าทำให้กองพันทหารที่ 3 ของเราเสียหน้า! ข้าจะกลับมาหาเจ้าอีกครั้งครั้งมื้ออาหารกลางวัน” หลังจากพูดจบ เธอก็หมุนเท้าจากไป

 

โจวเหว่ยชิงมองดูซ่างกวนปิงเอ๋อร์จากไป หลังจากที่เขายืนขึ้น สีหน้าเจ้าเล่ห์พลันหายวับไป “ทุกคนย่อมมีนิสัยแตกต่างกัน เฮ้อ เอาล่ะ! จากนี้ไปข้าจะไม่โกรธผู้บัญชาการกองพันอีกแล้ว เพราะถ้าเทียบกับตี้ฝูหยาแล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นคนที่จิตใจดีมากเลยทีเดียว” จริงๆแล้วเขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะถูกปล่อยตัวอย่างง่ายดายเช่นนี้ พนันได้เลยว่าถ้าคนที่จัดการกับตนเป็นตี้ฝูหยา เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานกับการลงแส้อีก 9 ครั้งที่เหลือเป็นแน่!!

 

หลังจากการโจมตีครั้งแรก โจวเหว่ยชิงก็เห็นชัดเจนจากสีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ว่าเธอทนเห็นเขาทรมาณอีกเป็นครั้งที่สองไม่ได้ และนั่นทำให้เด็กหนุ่มประทับใจและชื่นชอบเธอเป็นอย่างมาก แน่นอนสำหรับปีศาจจอมเจ้าเล่ห์ตนนี้  ความรู้สึกชอบนั้นทำให้เขาคิดย้อนกลับไปถึงสัมผัสบนมือของตนเมื่อวันก่อนหน้า ซึ่งนั่นทำให้โจวเหว่ยชิงน้ำลายไหลขึ้นมาอีกครั้ง

 

ไม่ช้าก็เวลาเที่ยงตรง อาหารกลางวันในกองทัพไม่มีอะไรพิเศษ พวกมันคืออาหารง่ายๆ ที่กินเพียงเพื่อให้อิ่มท้องเท่านั้น เนื่องจากโจวเหว่ยชิงไม่ได้คุ้นเคยกับการดูแลเป็นพิเศษหรือกินอาหารที่หรูหราจากตระกูล เขาจึงพอใจกับการเติมท้องด้วยอาหารพื้นๆ เช่นนี้ แน่นอนว่าสถานที่ๆ เด็กหนุ่มกำลังรับประทานอาหารอยู่คือโรงอาหารของพลทหารธรรมดา ส่วนนายทหารระดับอื่นๆ ก็มีพื้นที่แยกออกไปเป็นสัดส่วน

 

เมื่อเขากลับมาจากโรงอาหารก็เห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนรอเขาอยู่ข้างนอกกระโจมแล้ว เธอยังคงอยู่ในชุดเดียวกันกับตอนก่อนหน้านี้

 

โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเองอย่างลับๆ ว่า ‘จะดีสักแค่ไหนหากเธอเป็นคนรักที่กำลังรอเขาอยู่’ แน่นอนมันเป็นเพียงความคิดที่เหลวไหลของเด็กหนุ่ม ข้อดีที่สุดของโจวเหว่ยชิงก็คือรู้ถึงขีดจำกัดของตนเอง และเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของอาณาจักรจะตกหลุมรักกับเศษสวะที่เส้นลมปราณอุดตันเช่นเขา

 

“คารวะท่านผู้บัญชาการกองพัน” โจวเหว่ยชิงรีบเดินไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็วและทักทายอย่างมีไหวพริบ

 

แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเป็นคนจิตใจดีโดยกำเนิด แต่เธอก็ยังฉลาดหลักแหลมมากเช่นกัน หลังจากที่หญิงสาวตีโจวเหว่ยชิงและจากไปในตอนเช้าเธอก็ตระหนักได้ว่าตัวเองถูกหลอก! เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ใช้แรงมากขนาดนั้นเสียหน่อย เขาจะเจ็บปวดทุรนทุรายอย่างไร? เห็นได้ชัดว่าคนเจ้าเล่ห์นั่นแกล้งแสดงตบตา! ถึงแม้เด็กหนุ่มอาจจะดูซื่อตรงมาก แต่เจ้าอ้วนน้อยโจวนั่นต้องไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน!! และหากหญิงสาวไม่ลงโทษเขาให้หลาบจำก็คงบรรเทาความโกรธของตนไม่ได้ เมื่อคิดว่าชายคนแรกที่แตะต้องตัวเธอนั้นเป็นคนกลิ้งกลอกเช่นนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่สามารถระงับอารมณ์อยากสังหารคนเอาไว้ได้อีก

 

“เจ้าอ้วนน้อยโจว ข้าขอถามเจ้า การเป็นพลธนูนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างเคร่งขรึม

 

โจวเหว่ยชิงตอบอย่างไม่รั้งรอ “ความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความแม่นยำ”

 

เมื่อได้ยินคำตอบที่รวดเร็วและถูกต้อง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงค่อนข้างประหลาดใจ “ดีมาก เจ้าพูดถูก จากพฤติกรรมของเจ้าในเช้าวันนี้ ข้าเห็นว่าร่างกายของเจ้าอยู่ในสภาพไม่ดีและไม่อยู่มาตรฐานสำหรับพลธนู ดังนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะทำการฝึกพิเศษให้เจ้า”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไป “ผู้บัญชาการกองพัน พวกเราเริ่มทีหลังได้หรือไม่? ข้าเพิ่งกินอาหารกลางวันมา และอยากจะงีบหลับตอนบ่ายสักหน่อย…”

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้ามีสิทธิ์ต่อรองกับข้าได้ด้วยรึ?! ทหารต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ข้าหวังว่าเจ้าจะจำจุดนั้นได้ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเป็นทหารที่ดีได้หรือ? ข้าจะไปเตรียมของบางอย่าง การฝึกพิเศษของเจ้าจะเริ่มในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า!”

 

หลังจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์จากไปแล้ว โจวเหว่ยชิงก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะแสดงออกว่าแข็งแกร่ง แต่หัวใจเธอก็อ่อนโยนจริงๆ  ให้เวลาข้าหนึ่งชั่วโมงแหน่ะ! ฮ่าๆๆ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องแสดงละครต่อหน้านางอีกแล้วละมั้ง เอาล่ะ ข้าไปงีบสักหน่อยดีกว่า นอนกลางวันนั้นเป็นกิจวัตรที่ยอดเยี่ยมเชียวล่ะ ดีสำหรับผิวพรรณด้วย!”

 

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับมาในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังพร้อมกับแบกถุงที่มีน้ำหนักมากมาด้วย สิ่งที่เธอได้ยินก็คือเสียงกรนของเจ้าอ้วนน้อยโจว

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทั้งขันและหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน เจ้าอ้วนน้อยโจวนี้เพียงแค่กินและนอนจริงๆ เช่นนี้เขาก็ไม่สามารถบอกได้แล้วว่าเธอใช้อำนาจของเธอรังแกเขา ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหนุ่มจะนอนหลับได้สนิทพร้อมกับกรนเสียงดังขนาดนี้

 

“อ้วนน้อยโจว ตื่นเดี๋ยวนี้!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตะโกนเสียงดังอยู่นอกกระโจม เธอจะไม่เข้าไปในกระโจมของเขาเด็ดขาด! จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าไอ้เจ้ากลิ้งกลอกนั่นนอนเปลือยอยู่?

 

เสียงกรนยังคงดำเนินต่อไป

 

ดวงตาเจ้าเล่ห์ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์พลันประกายวิบวับ ทันใดนั้นเธอก็ตะโกนเสียงดัง “ไฟไหม้ !! ไฟไหม้ !! “

 

“อ๊าาาาาาาาาาาาา…” เสียงกรีดร้องดังก้องจากภายในกระโจมก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะรีบวิ่งอย่างงุ่มง่ามออกมาจากกระโจม โชคยังดีที่แม้ว่าเด็กหนุ่มจะแต่งตัวไม่เรียบร้อย แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสวมเสื้อผ้า

 

“ไหน ที่ไหน? ไฟไหม้ที่ไหน?!!!” โจวเหว่ยชิงตะโกนขณะที่เขารีบวิ่งออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างโมโห “เจ้ากลัวตายขนาดนั้นเลยหรือ หา!?”

 

เมื่อถึงตอนนี้ ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ตื่นเต็มตา เขามองไปรอบๆ และตระหนักได้ว่าไม่มีเปลวไฟสักที่ เด็กหนุ่มจึงรู้ทันทีว่าถูกหลอก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “มนุษย์ย่อมกลัวตายเป็นธรรมดา คนที่ไม่กลัวตายคือคนโง่!! นี่ท่าน หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอกลับไปนอนจะได้ไหม…” หลังจากกล่าวเสร็จ เขาก็มุดหัวเข้ากระโจมของตนอีกครั้ง

 

“ไอ้เจ้าคนทุเรศ!! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตระหนักว่าทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับเจ้าอ้วนน้อยโจว ตนเองก็มักจะตกอยู่ในความเดือดดาลเสมอ

 

“ผู้บัญชาการกองพัน มีอะไรอีกหรือเปล่าขอรับ?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างหงุดหงิด

 

“การฝึกพิเศษ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กัดฟันพูดขณะมองดูคนเจ้าหน้าด้านนั่นทำท่าจะมุดกลับกระโจม หญิงสาวยกมือขึ้นแล้วโยนถุงผ้าหนักๆ ใส่แขนของโจวเหว่ยชิง ตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอจะให้บทเรียนแก่เขาวันนี้ให้ได้เพื่อบรรเทาความขุ่นเคืองของตนเอง

 

ฉับพลันนั้นโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่ามือของเขากำลังถือบางอย่างที่หนักๆ และเมื่อเปิดถุงดู เด็กหนุ่มก็พบว่ามันเต็มไปด้วยก้อนหินที่มีน้ำหนักรวมประมาณ 20 กิโลกรัม ฉับพลันนั้นเองเขาก็ไม่กล้าจะแข็งข้ออีกต่อไป โจวเหว่ยชิงพูดด้วยท่าทางน่าสงสาร “ผู้บัญชาการกองพัน นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้วนะขอรับ!!!!”

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเย็นชา “ในฐานะที่เป็นพลธนู ความเร็วและความแข็งแกร่งของเจ้าจะต้องมากกว่าผู้อื่น ถ้าไม่ได้รับการฝึกฝนทางร่างกายอย่างหนัก เจ้าจะอยู่รอดในสนามรบได้อย่างไร?”

 

โจวเหว่ยชิงกล่าวตอบ “แต่ว่า…แค่ยิงแม่นก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?”

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย “งั้นเจ้ายิงธนูแม่นหรือไม่?”

 

โจวเหว่ยชิงมีความมั่นใจในการยิงธนูของเขามากจึงพยักหน้าทันที

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ได้! หากฝีมือการยิงธนูของเจ้าแม่นยำกว่าข้า หรืออย่างน้อยก็เท่ากับข้า เจ้าก็ไม่ต้องเข้ารับการฝึกพิเศษจากข้า ไปเก็บอุปกรณ์ของเจ้าแล้วตามข้ามา!” โจวเหว่ยชิงโค้งรับคำสั่งอย่างสั่นเครือ ก่อนจะติดตาม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกจากค่ายทหารไป

 

เมื่อพวกเขาออกจากค่ายทหารแล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หยุด และชี้ไปที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง ลำต้นของมันมีความหนาเท่ากับร่างมนุษย์คนหนึ่ง ตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณ 200 หลา “เห็นต้นไม้นั่นไหม? การจะเป็นนักแม่นธนูธรรมดาๆ เจ้าต้องยิงศัตรูที่อยู่ไกลออกไปอย่างน้อย 200 หลาได้ เป้าของเจ้าตอนนี้คือตรงกลางลำต้นของต้นไม้นี้ เอาล่ะ เริ่มได้!!”

 

โจวเหว่ยชิงนำคันธนูของเขาออกมา ก่อนจะดึงลูกธนูความยาวประมาณ 90 เซนติเมตร ออกมาจากแล่งธนู พาดลูกศรไปที่คันธนู ง้างสายและเล็งไปยังเป้าตรงหน้า มองเห็นต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป 200 เมตรเป็นเพียงเป้าเล็กๆ ก่อนปล่อยลูกธนูออกไป

 

…………………………………………………………………..

เมื่อออกจากประตูเมืองมาก็พบค่ายทหารทันที โจวเหว่ยชิงเดินเข้าไปในค่ายอย่างตื่นเต้น เขายกมือสัมผัสเกราะอ่อนอันใหม่เอี่ยมของตนพร้อมกับหมวกโลหะหนัก 1 กิโลกรัมที่สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะลืมปัญหาที่ก่อไว้เมื่อวานจนหมด

ขณะที่เพิ่งจะมาถึงค่าย โจวเหว่ยชิงก็พบใครบางคนที่คุ้นเคยเข้าเสียก่อน คนๆ นั้นคือผู้บัญชาการกองร้อยคนเมื่อวานที่ตั้งคำถามกับเขานั่นเอง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ใบหน้าของอีกฝ่ายดูจริงจังเป็นอย่างมาก และชายหนุ่มก็ยื่นมือมาหยุดโจวเหว่ยชิงเอาไว้

“เจ้าคืออ้วนน้อยโจวใช่หรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงยิ้มซื่อๆ ก่อนจะตอบ “ใช่! ท่านพี่ใหญ่ประจำกองร้อย ข้าคืออ้วนน้อยโจว!”

ผู้บัญชาการกองร้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “ใครเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า? ในกองทัพเรียกขานกันด้วยตำแหน่งและยศ ข้าเหมาหลี่ ผู้บัญชาการกองร้อยที่ 4  สังกัดกองพันที่ 3 กรมทหารที่ 5 จากนี้ไป เจ้าเป็นพลทหารของกองร้อยที่ 4 เข้าใจหรือไม่?”

โจวเหว่ยชิงตอบกลับ “เข้าใจขอรับ” แม้ว่าเขาจะพูดแบบนั้น แต่ในใจก็ยังแอบนินทาผู้บัญชาการกองร้อยคนนั้นในใจ: เหมาหลี่?  ลาโง่?[1] ผู้บัญชาการกองร้อยลาโง่?

ผู้บัญชากองร้อยเหมาหลี่ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่า ขณะที่เขาเก๊กหน้าเขร่งขรึมใส่โจวเหว่ยชิงอยู่นั้น ตัวเองกลับโดนปีศาจน้อยตั้งชื่อเล่นใหม่เสียแล้ว   และแน่นอนว่านั่นเป็นชื่อเล่นที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิตการเป็นทหารของเขาเลยทีเดียว

“ตามข้ามา” เหมาหลี่หันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ตั้งกระโจมค่ายทันที

โจวเหว่ยชิงเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างสับสน ในใจคิดสงสัยว่าเหตุใดผู้บัญชากองร้อยถึงต้องมาดูแลเขาด้วยตน  เอง? ถึงอย่างไรตนก็เป็นเพียงแค่พลทหารใหม่คนหนึ่ง ปกติคนที่มาดูแลเขาควรจะเป็นแค่หัวหน้าหมู่ไม่ใช่หรือ? ปกติแล้วผู้บัญชาการกองร้อยนั้นเป็นผู้ดูแลทหาร 100 คน ในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ที่มีกำลังทหารไม่มากนั้น ยศของเขาจึงจัดได้ว่าเป็นระดับกลางๆ ในกองทัพ ในขณะที่ยศของผู้บัญชาการกองพันอย่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นจัดได้ว่าเป็นนายทหารระดับสูง

เหมาหลี่พาเด็กหนุ่มเดินเข้าไปในค่ายทหารเป็นระยะทางไกลมาก  จนกระทั่งถึงพื้นที่อันรกร้างห่างไกลคน เขาก็นำเข้าไปยังกระโจมเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณริมเขตค่ายทหาร

โจวเหว่ยชิงตามอีกฝ่ายเข้าไปข้างในกระโจม ในกระโจมนั้นมีขนาดประมาณแค่ 10 เมตร และมีเตียงเล็กๆ วางอยู่ 1 เตียง ปราศจากข้าวของอย่างอื่นอีก

เหมาหลี่ยืนอยู่ในกระโจมพลางกล่าวว่า “ช่วงเวลาที่รอให้กระบวนการจัดเกณฑ์ทหารเพิ่มจบสิ้นและช่วงเวลาก่อนพวกเราจะออกไปฝึกกันจริงๆ เจ้าจะได้พักอยู่ที่กระโจมนี่ ตอนนี้กรมทหารที่ 5 ต้องการรับสมัครทหารเพิ่ม 1,000 นาย และกองพันที่ 3 ของเราเพียงกองเดียวต้องการ 100 นาย และจากที่ข้าคาดการณ์ เราอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน จึงจะได้ทหารครบ

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยความคาดไม่ถึง “ว้าว!! ท่านผู้บัญชาการกองร้อย กองทัพช่างดูแลพลทหารได้อย่างดีจริงๆ ทหารทุกนายได้รับกระโจมส่วนตัวหมดเลยหรือ?”

“แหะๆ” เหมาหลี่หัวเราะก่อนจะพูด “แน่นอน นี่เป็นสิทธิพิเศษสำหรับเจ้า เจ้ามารน้อย! ข้าช่วยเจ้าไม่ได้จริงๆ รับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไปเองละกัน เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนเถิด โรงอาหารตั้งอยู่มุมซ้ายของค่ายทหารและหาเจอง่ายมาก เมื่อถึงเวลาที่พวกเราจะต้องไปเข้าร่วมการฝึก จะมีคนมาแจ้งให้เจ้ารู้” พูดจบ เขาก็หมุนตัวออกกระโจมไป

หลังจากที่เหมาหลี่จากไป โจวเหว่ยชิงก็เริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดีเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ในตอนนี้ เด็กหนุ่มถอดธนูยาวพร้อมกับแล่งธนูออกวางไว้กับพื้นกระโจมและออกไปเช่นกัน

เขายังไม่ได้ตรวจสอบพื้นที่รอบๆ กระโจม ตอนนี้ด้วยความหวาดระแวง โจวเหว่ยชิงจึงเริ่มต้นสำรวจรอบๆ ที่พักของตนอย่างละเอียดและพบว่าในบริเวณนั้นไม่มีใครเลย ยิ่งไปกว่านั้น กระโจมที่ใกล้ที่สุดก็ยังห่างออกไปถึง 50 เมตร อาจจะพูดได้ว่า กระโจมของเขาอยู่สุดขอบของค่ายทหารจริงๆ

หรือว่านั่นจะเป็นเพราะฐานะของตนถูกเปิดเผยแล้ว ? เป็นไปไม่ได้! ข้าระมัดระวังตัวถึงขนาดนี้นี่นา! แต่ทันใดนั้นเอง ใบหน้าอันงดงามแต่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ปรากฏขึ้นในหัวของโจวเหว่ยชิง หัวใจของเขาพลันห่อเหี่ยว เด็กหนุ่มได้แต่บ่นพึมพำกับตนเอง “ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นเป็นถึงยอดหญิงงามอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของอาณาจักร ดังนั้นนางจึงไม่ควรจะเป็นผู้หญิงประเภทหน้าอกใหญ่แต่ไร้สมอง คอยเจ้าคิดเจ้าแค้นอาฆาตพยาบาทข้าใช่ไหม?”

“เจ้า…อ้วน…โจว…!!!!!!!” ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราดดังขึ้นข้างๆ หูพร้อมกับเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เสียงนั้นมีเสน่ห์ราวกับเสียงร้องของนกขมิ้น แต่ทว่าน้ำเสียงนั้นคล้ายเป็นลางไม่ดีสำหรับโจวเหว่ยชิงเอาเสียเลย

เด็กหนุ่มหันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว เผชิญหน้ากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบทหารพร้อมกับมีคันธนูยาวสีม่วงเข้มพาดอยู่ที่แผ่นหลัง เขาทำได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง เส้นผมของเธอถูกมัดรวบขึ้นเป็นหางม้า ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้สวมชุดเกราะ ส่งผลให้ชุดทหารสีม่วงเข้มที่สวมขับเน้นส่วนโค้งเว้าของเธอยิ่งกว่าเดิม เมื่อรวมกับธนูยาวที่สะพายอยู่ข้างหลัง มันจึงกลายเป็นภาพที่งดงามของนักรบผู้กล้าหาญ โชคร้ายที่ใบหน้าน่ารักนั้นกลับดำทะมึนราวกับว่ากำลังจะพ่นไฟออกมาเมื่อได้ยินเขาพูดว่า “หน้าอกใหญ่แต่ไร้สมอง”

อ้ากกกก นี่มันโชคร้ายประเภทไหนกัน? โจวเหว่ยชิงทอดถอนใจก่อนจะพยายามยิ้มอย่างประจบประแจง “ท่านผู้บัญชาการกองพัน! ข้าเพียงแค่…เอ่อ…ชื่นชมท่าน…เอ่อ ชื่นชมการเติบโต…อืม…พัฒนาการของ…” เมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขา แม้กระทั่งโจวเหว่ยชิงเองก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดแก้ตัวอย่างไรให้พ้นจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้ได้

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังโกรธมาก! ก่อนหน้านี้เธอได้ออกคำสั่งให้ผู้บัญชาการกองร้อยเหมาหลี่นำตัวโจวเหว่ยชิงไปพักที่กระโจมห่างไกลผู้คนเพื่อที่เธอจะได้แก้แค้นเขาได้ถนัดๆ แม้ตอนแรกหญิงสาวจะรู้สึกผิดเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้และถามกับตัวเองว่าทำเกินกว่าเหตุไปหรือไม่ เพราะไม่ว่ายังไงโจวเหว่ยชิงก็เป็นเพียงทหารใหม่และทุกอย่างก็อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ แต่หลังจากที่ได้ยินเขาพูดนินทาเธอเช่นนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะถูกหลอกโดยเจ้าคนหน้าตาใสซื่อนี้ได้อีก  อย่างไร!!

“พลทหารโจว รับคำสั่ง!” เธอตะโกนเสียงดัง

ก็เหมือนที่เขาว่ากันไว้ว่าคนฉลาดมักจะต้องรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง โจวเหว่ยชิงรีบยืนตรงรอฟังคำสั่ง พวกเขาทั้งสองคนนั้นห่างชั้นกันจนแทบจะไม่ต้องเปรียบเทียบด้วยซ้ำ นอกจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาและที่มีตำแหน่งสูงมากแล้ว เธอก็ยังเป็นจ้าวมณีสวรรค์อีกด้วย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอื้อมมือขวาออกไปหยิบแส้ออกมาจากเอว ก่อนจะมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาเยียบเย็นและกล่าวว่า “พลทหารโจว สบประมาทผู้บังคัญบัญชา มีโทษฟาดด้วยแส้ 10 ครั้ง ข้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเป็นผู้ลงมือ อ้วนน้อยโจว หันมาเดี๋ยวนี้!!!”

โจวเหว่ยชิงมองแส้ในมือของอีกฝ่ายอย่างโศกเศร้า เขาได้แต่ร้องไห้ในใจอย่างไร้เสียง คาดไม่ถึงเลยว่าจะถูกลงโทษในวันแรกของการมาอยู่ค่ายทหาร! แต่ตอนนี้เขาดันอยู่ใต้อำนาจของเธอจึงทำได้เพียงหันกลับมาด้วยหัวใจอันหนักอึ้งและไม่เต็มใจ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงในลำคอด้วยความโกรธ ก่อนจะก้าวไปอยู่ด้านหลังของโจวเหว่ยชิงและ *เพียะ* มีเสียงแส้กระทบไปบนแผ่นหลังของโจวเหว่ยชิง

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!!” เสียงกรีดร้องโหยหวนของโจวเหว่ยชิงดังราวกับว่าเขากำลังถูกตอน ร่างล้มลงหน้ากระแทกพื้นก่อนจะกลิ้งไปมาด้วยความเจ็บปวด

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองที่แส้ของเธอด้วยความฉงนใจพลางคิดอย่างสับสนว่า นี่มันเจ็บขนาดนั้นเลยรึ? ข้าไม่ใช้พลังปราณสวรรค์เสียหน่อย! เจ้าอ้วนน้อยโจวนี่ก็ดูร่างกายแข็งแรงดี ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาจะอ่อนแอขนาดนี้?

การแสดงของโจวเหว่ยชิงนั้นสมจริงมาก ร่างกายของเด็กหนุ่มพลันบิดไปมาด้วยความเจ็บปวดขณะที่เขากลิ้งอยู่บนพื้นราวกับว่ากำลังจะตายจริงๆ

หากพูดถึงการถูกทุบตี ใครจะมีประสบการณ์ไปมากกว่าโจวเหว่ยชิงได้? ตั้งแต่เด็กเขาถูกลงโทษโดยการเฆี่ยนตีจากผู้เป็นบิดานับครั้งไม่ถ้วน และเด็กหนุ่มก็มีประสบการณ์โชกโชนในด้านการแสดงกลอุบายเมื่อถูกทุบตี

ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้แส้ฟาดเขา  โจวเหว่ยชิงก็เซตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยในจังหวะเดียวกันเพื่อลดแรงกระแทกบนแผ่นหลัง จากนั้นจึงใช้ท่าทางเจ็บปวดของตนเป็นอุบายหลอกให้เธอเห็นใจ เด็กหนุ่มชำนาญการใช้กลวิธีนี้มากและมีทักษะในการนำมันออกมาใช้อย่างแนบเนียน ถึงขนาดที่ว่านี่อาจจะเป็นสัญชาตญาณแต่กำเนิดของเขาเลยด้วยซ้ำ!!!

อันที่จริงจอมมารน้อยตนนี้กำลังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจเพราะว่าตัวเองนั้นสวมชุดเกราะโลหะผสมไทเทเนียมอยู่ เมื่อรวมกับการที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้ใช้พลังปราณสวรรค์ของเธอเลย เขาจึงไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่นิด ด้วยเหตุนี้ท่าทางเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจึงเป็นแค่การแสดงหลอกๆ เท่านั้น และการแสดงนี้ก็อาจจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่โจวเหว่ยชิงเผชิญอยู่ได้

เมื่อมองเห็นท่าท่างเจ็บปวดทรมานของเจ้าอ้วนโจวน้อย ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตีเขาไม่ลงอีกเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่กลิ้งไปมาซักพัก ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็สงบลง หากแต่ก็ยังมีอาการชักกระตุกราวกับกำลังใกล้ตายก็ไม่ปาน!

……………………………………………………………….

[1]毛利 (เหมาหลี่) เป็นชื่อที่มีการเขียนคล้ายกับคำว่า 毛驴 (เหมาลู่) ที่แปลว่าลา (ซึ่งลา มักจะมีความหมายโดยนัยว่า คนโง่)

เถ้าแก่ร้านจ้องมองโจวเหว่ยชิงอย่างตกตะลึง “เอ่อ ท่านจะนับเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ!! ของชิ้นนี้ต้องใช้ช่างตีเหล็กที่มีประสบการณ์กว่า 2 คนลงแรงเป็นเวลากว่าครึ่งปีจึงจะสร้างออกมาเสร็จสมบูรณ์ นี่ย่อมไม่นับรวมราคาเส้นเอ็นของอสรพิษวิเศษด้วย!” ปกติแล้วเขาตั้งราคาเกราะอ่อนนี้อยู่ที่ 60 เหรียญทอง ซึ่งนั่นคือเงินเดือนเกือบ 20 ปีของพลทหารทั่วไป

โจวเหว่ยชิงเบิกตาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าซื่อๆ ว่า “เถ้าแก่ ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้บอกว่ากิโลละ 6 เหรียญทองหรอกหรือ? ท่านยังบอกอีกด้วยว่าจะไม่คิดค่าแรง ข้าจะซื้อของชิ้นนี้ให้เป็นของขวัญให้กับท่านผู้บัญชาการกองพัน เรื่องแค่นี้ท่านคงไม่งกหรอกใช่ไหม? การค้าขายนั้นย่อมต้องมีความจริงใจเป็นหลัก ท่านรู้หรือไม่น่ะหา!

เอาอย่างนี้ หากท่านต้องการเพิ่มราคา ข้าก็จะไม่เกี่ยง แต่ตอนนี้ข้ายังไม่มีเงินมากพอ หากข้ามอบสิ่งนี้ให้กับผู้บัญชาการกองพันแล้ว เงินที่เหลือท่านมาสามารถไปเรียกเก็บกับเธอได้เลย เป็นเช่นนี้ท่านว่าดีหรือไม่? ยังไงซะ ผู้บัญชาการกองพันของเราก็เป็นเสาหลักของบ้านเมือง! เพื่อความปลอดภัยของเธอแล้ว ข้าจะยอมมอบเงินเดือนทั้งหมดที่ข้าเก็บไว้หลายปีให้แก่ท่าน แต่ว่าตอนนี้ข้าไม่มีเงินเหลือแล้วจริงๆ” ในขณะที่เขาตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอยู่นั้น สีหน้าของโจวเหว่ยชิงผู้แสนเจ้าเล่ห์ก็เต็มไปด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์และน่าสงสาร

“นี่… นี่…” เมื่อได้ยินว่านี่เป็นของขวัญสำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เถ้าแก่ก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน การได้พบกับโจวเหว่ยชิงในวันนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ในที่สุดเขาก็พลันถอนหายใจ “ได้ ได้เพราะนี่เป็นของขวัญสำหรับผู้บัญชาการหรอกนะ เพราะฉะนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก แต่คราวหน้า หากว่ามีคำสั่งซื้อขนาดใหญ่อื่นๆ อีก ได้โปรดอย่าลืมร้านของข้าล่ะ!”

โจวเหว่ยชิงลอบหัวเราะในใจอย่างยินดี เขาไม่กล้าจะอยู่ต่อนานจึงรีบร้อนกล่าวลา “ขอบคุณท่านมาก! ข้าจะกลับมาใหม่คืนนี้เพื่อรับหมวก อ้อ ท่านช่วยเย็บผ้าคลุมรอบๆ หมวกด้วยจะได้หรือไม่ มันจะได้ดูเหมือนกับหมวกธรรมดาๆไม่สะดุดตาเกินไป และถ้าเป็นไปได้ ช่วยทำให้หมวกมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมด้วยได้หรือไม่ การป้องกันจะได้เพิ่มมากขึ้น” หลังจากพูดจบ โจวเหว่ยชิงก็คว้าชุดเกราะอ่อนออกไปอย่างพึงพอใจ

หลังออกจากร้านช่างตีเหล็ก โจวเหว่ยชิงก็หันตัวมุ่งหน้าไปยังตรอกซอยแห่งหนึ่งที่เงียบสงัดปลอดผู้คน จากนั้นเด็กหนุ่มก็ถอดเครื่องแบบทหารด้านนอกออกและจัดแจงสวมเกราะอ่อนให้เข้าที่ แม้ว่าเกราะนี้จะยังใหญ่เกินไปสำหรับเขาอยู่บ้าง แต่ความยืดหยุ่นของเส้นเอ็นอสรพิษวิเศษนั้นดีมาก โจวเหว่ยชิงจึงสามารถปรับให้กระชับขึ้นได้อีกเล็กน้อย หลังจากสวมเครื่องแบบทหารกลับคืนก็มองไม่เห็นเกราะอ่อนนั้นแล้ว

“ช่างเป็นอุปกรณ์ป้องกันที่ยอดเยี่ยมจริงๆ! เฮ้อ โชคร้ายที่โลหะผสมไทเทเนียมนั้นไม่ได้ช่วยโคจรพลังปราณสวรรค์ นอกจากนั้นมันก็ยังไม่สามารถใส่ทักษะธาตุลงไปให้มีพลังโจมตีหรือป้องกันใดๆ ได้ หากว่าวัตถุดิบนี้มีความสามารถแบบนั้นด้วย ราคาของมันก็คงจะสูงขึ้นเทียมฟ้า” โจวเหว่ยชิงถอนหายใจ โลหะผสมไทเทเนียมนั้นมีประโยชน์มากมาย แต่มันก็ยังไม่สมบูรณ์แบบเลยซะทีเดียว เพราะอย่างที่โจวเหว่ยชิงได้กล่าวไป ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวนั้นทำมันให้ไม่สามารถกลายเป็นอาวุธสำหรับจ้าวมณีได้ ดังนั้นราคาของมันจึงถูกลงมาก

หลังจากจัดการสิ่งต่างๆเรียบร้อยแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังป่าดาราเพื่อนำสมบัติเก่าแก่ที่เขาซ่อนไว้ออกมา นั่นเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในช่วงชีวิต 13 ปีที่ผ่านมาของตนเลยทีเดียว

ขณะที่โจวเว่ยชิงกำลังจะเข้าร่วมกองทัพอย่างไม่ทุกข์ร้อน บรรยากาศกดดันตึงเครียดก็พลันเกิดขึ้นอีกฝั่งในพระราชวังของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์

“เสด็จพ่อ อย่าได้โกรธเลย ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง” องค์หญิงตี้ฝูหยากำลังคุกเข่าสำนึกผิดพลันร้องไห้สะอื้นออกมา

ด้านหน้าของเธอเป็นชายวัยกลางคนอายุราว 40 ปี เขาอยู่ในชุดคลุมสีทองอร่ามขณะกำลังย่ำเท้ากลับไปมา บนศีรษะประดับด้วยมงกุฎทองคำ ผิวพรรณใสกระจ่างดั่งหยก กลิ่นอายบารมีของชายผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินแผ่กดดันอยู่เหนืออากาศ ทำให้คนรับใช้หมอบอยู่รอบๆ สั่นด้วยความกลัว เขาขมวดคิ้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ

ทว่าเมื่อได้ยินเสียงร้องขอของตี้ฝูหยา ชายหนุ่มก็หยุดเดินกะทันหันและตะโกนด้วยความเดือดดาล “ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหม! หากว่าเหว่ยชิงไม่เป็นอันใดก็แล้วไป แต่ถ้าหากเขาตายจากการกระทำที่ไม่ยั้งคิดของเจ้าขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เจ้าก็ต้องตายไปกับเขาด้วย!”

ก่อนหน้านี้ ขณะที่ตี้ฝูหยาเพิ่งจะกลับมาถึงราชวัง จิตใจของเธอก็เริ่มหวาดกลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็เอาชนะความกลัวของตนเองและตัดสินใจบอกความจริงแก่จักรพรรดิตี้เฟิงหลิงผู้เป็นบิดา ในตอนแรกหญิงสาวก็ยังคงพูดอ้อมค้อมไปมา แต่ทันทีที่จักรพรรดิตี้เฟิงหลิงได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับโจวเหว่ยชิง เขาก็รีบเรียกตัวหนี่ย่ามาเค้นถามทันที จนกระทั่งในที่สุดเขาก็รับรู้เรื่องราวทั้งหมดโดยละเอียด  และทันทีที่รู้ความจริงทั้งหมด ตี้เฟิงหลิงก็โกรธเป็นอย่างมาก จักรพรรดิหนุ่มเร่งรีบออกคำสั่งส่งจ้าวมณีธาตุชีวิตทั้งหมด 4 คนไปกับหนี่ย่าในการออกตามหาโจวเหว่ยชิงเพื่อรักษาชีวิตของเด็กหนุ่มเอาไว้ให้ได้

ตี้ฝูหยาจ้องมองบิดาของตนด้วยความตกตะลึง เธอไม่คาดคิดว่าโจวเหว่ยชิงจะมีน้ำหนักในใจของบิดาถึงเพียงนี้

“ท่านพ่อ เขาเป็นเพียงข้ารับใช้ของท่าน แต่ว่าข้าเป็นลูกของท่านนะเจ้าค่ะ!” จักรพรรดิตี้เฟิงหลิงมีบุตรชายและบุตรสาวอย่างละคน แน่นอนว่าบุตรสาวเพียงคนเดียวนั้นย่อมเป็นตี้ฝูหยาที่อายุ 16 ปี และเธอก็มีน้องชายอีก 1 คน

ตี้เฟิงหลิงเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง หลังจากมีลูกชายและมั่นใจว่าลูกชายของเขาสุขภาพแข็งแรงดีแล้ว ตี้เฟิงหลิงก็ตัดสินใจที่จะไม่มีบุตรอีก เหตุผลนั้นก็ง่ายๆ เพราะจักรพรรดิหนุ่มไม่ต้องการให้ลูกๆ ของเขาต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ในอนาคตนั่นเอง ดังนั้นตี้เฟิงหลิงจึงตั้งใจสอนสั่งบุตรชายเพียงคนเดียวของตนด้วยความพยายามทั้งหมดที่มีแทน

ตี้เฟิงหลิงกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้ายังจำได้อยู่หรือว่าเป็นบุตรสาวของข้า? ในอดีต ตอนที่อาณาจักรของเราต่อสู้กับอาณาจักรคาลิเซ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่โจวเสี่ยงชีวิตปกป้องข้า ใช้ร่างของเขาบังห่าธนูของศัตรูให้ข้า เจ้าก็คงจะไม่ได้มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้! ตอนนั้นพี่ใหญ่โจวโดนธนู 26 ดอกเสียบทะลุร่าง ต้องใช้จ้าวมณีธาตุชีวิตกว่า 4 คนรักษาเขาเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนเต็มกว่าจะยื้อชีวิตกลับมาได้! ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา พี่ใหญ่โจวได้เสี่ยงชีวิตมานับไม่ถ้วน เขาหลั่งเลือดเนื้อต่อสู้เพื่ออาณาจักรของเราอย่างกล้าหาญ หากไม่มีเขา ก็ย่อมไม่มีอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ และหากเป็นเช่นนั้น เจ้ายังจะได้เป็นองค์หญิงอยู่อีกหรือ?

ในฐานะที่เจ้าเป็นคนในราชวงศ์ เจ้าได้ลงแรงทำสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ให้กับอาณาจักรบ้าง? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ากลับเอาแต่เพ้อฝันถึงแต่วีรบุรุษขี่ม้าขาวมาหาเจ้าไปวันๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าวันนี้โจวเหว่ยชิงอาจจะบังเอิญมาพบเจ้าเข้าจริงๆ หรือแม้กระทั่งว่าหากเขาจะตั้งใจมาแอบดูเจ้า แล้วมันอย่างไรล่ะ? ตามธรรมเนียมแล้วเจ้าก็เป็นคู่หมั้นของเขา และพูดอย่างตรงไปตรงมา แม้เหว่ยชิงจะทำเรื่องน่าอับอายกับเจ้า เขาก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะทำได้ แต่เจ้า! เจ้ากลับทำร้ายเหว่ยชิงด้วยพลังมณีของเจ้า! ข้าขอบอกเจ้าไว้ว่าข้าไม่ได้ล้อเล่น ถ้าหากเขาตายไปจริงๆ เจ้าก็ย่อมต้องชดใช้ด้วยความตายเช่นกัน ไม่เช่นนั้นข้าจะมีหน้าไปพบพี่ใหญ่โจวได้อย่างไร!!”

ตอนนี้ตี้ฝูหยาหวาดกลัวเข้าจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินบิดาของเธอพูดถึงความตายสองครั้งสองครา เธอยังไม่พร้อมที่จะถูกฝังไปกับโจวเหว่ยชิงแต่ก็รู้ว่าบิดาได้ตัดสินใจไปแล้ว แม้ว่าเธอเองจะยังไม่อยากเชื่อก็ตาม

“ฝ่าบาท” ทันใดนั้นเองก็มีกลุ่มคนจำนวน 5 คนรุดเข้ามาภายในห้องก่อนจะโค้งคำนับไปยังจักรพรรดิตี้เฟิงหลิง พวกเขาคือกลุ่มจ้าวมณีธาตุชีวิตจำนวน 4 คนที่เขาส่งออกไปก่อนหน้านั้นเอง

“เป็นอย่างไรบ้าง? เหว่ยชิงล่ะ?” ตี้เฟิงหลิงถามอย่างกังวล

ผู้นำคนหนึ่งของกลุ่มจ้าวมณีชีวิตกล่าวอย่างนอบน้อม “ไม่ต้องเป็นห่วงพะยะค่ะ พวกเราไม่พบตัวท่านโจวน้อย เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพวกเราพบรอยเท้าของเขาเดินออกไปจากป่าดาราพะยะค่ะ ดังนั้นพวกเราจึงสรุปว่า นายน้อยโจวจากไปอย่างปลอดภัยดีพะยะค่ะ”

ตี้เฟิงหลิงขมวดคิ้ว “เป็นไปได้อย่างไร? เหว่ยชิงเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีพลังปราณสวรรค์ หากว่าเขาถูกโจมตีด้วยมณีธาตุไฟ ข้าเกรงว่าเขา…”

จ้าวมณีคนนั้นกล่าวตอบ “ยังไงซะนายน้อยโจวก็เป็นถึงบุตรชายของแม่ทัพใหญ่นะพะยะค่ะ บางทีท่านแม่ทัพอาจจะเคยให้ของวิเศษบางอย่างที่สามารถช่วยชีวิตนายน้อยโจวยามคับขันได้…”

ในที่สุดสีหน้าของจักรพรรดิตี้เฟิงหลิงก็ผ่อนคลายลง เขาหันไปหาตี้ฝูหยาและกล่าวว่า “ลุกขึ้น ตามข้าไปที่ตระกูลแม่ทัพใหญ่โจวเพื่อขอโทษเหว่ยชิง”

ถึงขั้นนี้แล้วตี้ฝูหยาจะยังสามารถพูดขัดไดๆได้อีกหรือ? แม้ว่าเธอจะแอบตำหนิโจวเหว่ยชิงในใจ แต่เธอก็ยังคงลุกขึ้นตามบิดาของเธอออกไป พลันรู้สึกในใจว่าตนคิดผิดจริงๆที่สารภาพความจริงออกไป

ฝั่งโจวเหว่ยชิงนั้นไม่ได้รับรู้เลยว่าเขาได้ก่อปัญหาใหญ่ในเมืองหลวงเสียแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กหนุ่มจึงรับประทานอาหารเช้าที่โรงเตี๊ยมที่พัก ก่อนจะเดินทางจากไปยังค่ายทหารพร้อมกับคันธนูยาวและอุปกรณ์ใหม่เอี่ยมของตน

……………………………………………………………….

“ยินดีต้อนรับท่านทหาร ต้องการสิ่งใดบอกข้ามาได้เลย” เจ้าของร้านทักทายโจวเหว่ยชิงเมื่อเห็นเครื่องแบบกองทัพที่เขาสวมอยู่

ในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นแม้ว่าอาชีพช่างตีเหล็กจะไม่ถือว่าต่ำต้อย แต่ก็ยังห่างชั้นจากอาชีพทหารมากนัก สาเหตุก็เพราะว่าอาชีพทหารนั้นเป็นอาชีพที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดนอกเหนือจากจ้าวมณี กองกำลังทหารที่แข็งแกร่งเพียงแค่ 50,000 นายของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์แห่งนี้ร่วมต่อสู้ป้องกันการรุกรานจากอาณาจักรโดยรอบมาได้เป็นระยะเวลายาวนาน นั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้พวกเขาเป็นที่รักของประชาชนเป็นอย่างมาก แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะยังดูเยาว์วัย แต่ทว่าเขาก็ยังดูสง่างามเมื่ออยู่ในชุดเครื่องแบบกองทัพ

โจวเหว่ยชิงถามขึ้นมา “ท่านคือเถ้าแก่ร้านอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้วขอรับ ร้านค้าของเราอาจไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็เป็นร้านที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจากชาวเมือง ดังนั้นไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใดข้าก็จะมอบส่วนลดให้กับท่าน เพราะพวกท่านกำลังปกป้องอาณาจักรของเรา!”

โจวเหว่ยชิงยิ้มแย้มจนเห็นฟัน เขายกมือขึ้นถอดหมวกออกก่อนจะเมียงมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เอนตัวไปกระซิบอย่างลับๆ กับเจ้าของร้าน

“เถ้าแก่ ข้ามาจากกองธนูหน่วยที่ 3 สังกัดกรมที่ 5 ของกองทัพ จริงๆ แล้วข้ามาที่นี่เพื่อภารกิจลับจากผู้บัญชาการกองพันเพื่อสร้างสิ่งของบางอย่าง ถ้าหากท่านทำได้ดี ก็ไม่ต้องพูดถึงผลประโยชน์ที่ท่านจะได้รับเลยทีเดียว”

เถ้าแก่ร้านลังเลอยู่ครู่ใหญ่ เขาประเมินโจวเหว่ยชิงด้วยสายตา แม้ว่านักธนูคนนี้ดูอายุน้อยมาก แต่เขากลับมีใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่เหมือนคนที่จะโกหกหลอกลวงได้!

โจวเหว่ยชิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ท่านรู้จักผู้บัญชาการกองพันที่ 3 หรือไม่? หากท่านได้ยินชื่อผู้บัญชาการกองพันของเราท่านก็จะเข้าใจเอง เพราะนางก็คือหญิงงามของอาณาจักร ผู้บัญชาการซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่นเอง ท่านสามารถไปตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง”

เมื่อได้ยินชื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ดวงตาของเถ้าแก่ก็สว่างวาบขึ้นทันที “โอ้ ผู้บัญชาการซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต้องการสร้างอะไรรึ?” สำหรับคนทั่วไปในอาณาจักร ชื่อของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นเป็นราวกับเป็นตำนาน เนื่องจากเธอเกิดมาในครอบครัวคนธรรมดาและยังเป็นที่รู้จักในนามเทพธิดาสามัญชน ดังนั้นเถ้าแก่จึงไม่คิดสงสัยว่าจะมีใครบางคนกล้าใช้ชื่อเสียงของหญิงสาวเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตนเอง มิฉะนั้นคนๆ นั้นอาจจะโดนชาวเมืองทุกคนด่าตะเพิดได้ หากซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้ว่าโจวเหว่ยชิงใช้ชื่อของเธอเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง ใครจะรู้ว่าหญิงสาวจะจัดการกับเขาอย่างไรบ้าง!

โจวเหว่ยชิงกล่าวต่อว่า “เพื่อสร้างบางอย่าง ข้าต้องการโลหะที่ทนทานที่สุด แข็งแรงแต่ต้องน้ำหนักเบา และข้าก็รีบมาก ต้องการให้มันเสร็จภายในวันนี้ ส่วนเงินนั้นย่อมไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงให้เสร็จเร็วที่สุด” เมื่อพูดจบ เขาก็วางเหรียญทองลงบนโต๊ะ

แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่สามารถฝึกปราณได้ตั้งแต่เด็ก แต่เรื่องไหวพริบปฏิญาณนั้นเขาฉลาดกว่าใครๆ เมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน เหตุผลที่เด็กหนุ่มอ้างชื่อของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถรอได้ คำสั่งซื้อปกตินั้นจะต้องใช้เวลา ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึงการต่อคิวและระยะเวลาการรอที่นาน

ทันทีที่โจวเหว่ยชิงล้วงทองคำออกมา เถ้าแก่ก็เริ่มเชื่อเรื่องที่เขากุขึ้น เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา พวกเรามีโลหะผสมไทเทเนียมคุณภาพเยี่ยมซึ่งสามารถนำไปหลอมโดยมณีธาตุไฟได้ แม้ว่าราคาอาจจะสูงหน่อย แต่คุณสมบัตินั้นเหมาะสมกับสิ่งที่เจ้าต้องการมาก ปกติแล้วโลหะผสมไทเทเนียมนี้ราคาประมาณ 10 เหรียญทองต่อ 1 กิโลกรัม แต่เพราะว่าผู้ว่าจ้างคือผู้บัญชาการซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ดังนั้นข้าจะลดให้เหลือ 7 เหรียญทองต่อ 1 กิโลกรัมละกัน เจ้าว่าดีหรือไม่?”

เมื่อได้ยินคำว่าโลหะผสมไทเทเนียม ดวงตาของโจวเหว่ยชิงสว่างวาบขึ้นมาในทันที เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับวัตถุดิบประเภทโลหะมาก่อน เนื่องจากบิดาของตนมีชุดเกราะที่สร้างจากโลหะผสมไทเทเนียมอยู่ด้วย มันมีความแข็งแรงและทนทานมากทว่ากลับน้ำหนักเบาและสวมใส่ได้คล่องตัว มันจึงถือว่าเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างอาวุธและชุดเกราะเลยทีเดียว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง “เยี่ยม ข้าต้องการสิ่งนั้นแหล่ะ ส่วนเจ้านี่คือสิ่งที่ข้าต้องการสร้าง” โจวเหว่ยชิงยื่นหมวกของตนให้แก่เถ้าแก่ร้านดู

เถ้าแก่คนนั้นสับสนไปในชั่วขณะ ก่อนจะกล่าว “นี่มันหมวกสำหรับนักธนูไม่ใช่หรอกรึ?”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ใช่แล้ว พวกเราต้องการจะหลอมหมวกชนิดใหม่ด้วยวัตถุดิบนั่น ท่านลองนึกดูสิ ในสนามรบที่แสนอันตราย สิ่งที่นักธนูอย่างเราต้องเผชิญหน้าด้วยย่อมเป็นลูกธนูของศัตรูฝั่งตรงข้าม หากเจ้าหมวกนี่ทำจากโลหะผสมไทเทเนียมแล้วล่ะก็ ห่าลูกศรที่ศัตรูกระหน่ำยิงมาจากบนฟากฟ้าก็จะไม่สามารถทำอันตรายแก่พวกเราได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าต้องการทำที่จับจากผ้าใบหนาๆ ใส่ไว้ข้างในหมวกด้วย หากถึงเวลาที่จำเป็น พวกเราก็จะดึงหมวกออกมาใช้แทนเป็นโล่ได้”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของโจวเหว่ยชิง เถ้าแก่ร้านตีเหล็กก็ประทับใจในแผนการของเด็กหนุ่มเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม โลหะผสมไทเทเนียมนั้นหายากและมีราคาแพงมาก เขาจึงสงสัยว่าจะสามารถสร้างอาวุธป้องกันเช่นนี้ให้กับนักธนูทั้งกองทัพได้หรือ?

อันที่จริง โจวเหว่ยชิงเคยคิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้มานานมากแล้ว  ในอดีตตอนที่เขาได้แต่อยู่บ้านไปวันๆ อย่างเบื่อหน่าย เด็กหนุ่มก็มักจะใช้เวลาว่างเหล่านั้นไปกับการคิดค้นอะไรแปลกประหลาดอยู่เนืองๆ ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขากำลังจะสมัครเข้าร่วมกองทัพและได้ยินนายกองคนหนึ่งบอกว่ากองพลธนูเป็นหน่วยที่ปลอดภัยที่สุดนั้น เด็กหนุ่มก็ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่านั่นเป็นเพียงการพล่ามมั่วๆ ของนายกองคนนั้น

ในฐานะที่เป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่โจว เขาจะไม่รู้เกี่ยวกับอันตรายของกองพลธนูได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองพลธนูแห่งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ซึ่งมีอัตราการเข้าออกของทหารใหม่บ่อยที่สุด เนื่องจากทุกคนต่างก็ทราบกันดีว่ากองพลธนูของอาณาจักรนั้นสามารถสร้างความเสียหายแก่ศัตรูได้เป็นอย่างมาก เหล่ากองทัพของศัตรูจึงมักมุ่งเน้นกำจัดกองธนูก่อนเป็นหลัก ยิ่งไปกว่านั้นการต่อสู้ระหว่างกองธนูระหว่างอาณาจักรก็ยังเกิดขึ้นบ่อยมากเช่นกัน เหตุผลเดียวที่โจวเหว่ยชิงยังคงเลือกที่จะเข้าร่วมกองธนูนั้นก็เป็นเพราะว่าเขานั้นมีแผนเพิ่มความปลอดภัยของตนเองไว้อยู่แล้วสองสามประการ และคำพูดที่ว่าพลธนูมักไม่ได้ต่อสู้ระยะประชิดนั้นก็ยังเป็นความจริงอยู่เสมอ

โจวเหว่ยชิงมีความคิดที่จะเปลี่ยนหมวกของพลธนูให้เป็นโล่ตั้งแต่อายุได้สิบเอ็ดขวบแล้ว การใช้หมวกนี้ในสนามรบนั้นง่ายมาก เมื่อศัตรูยิงลูกศรเข้ามา เขาเพียงแต่ต้องหมอบตัวลงและขดตัวให้อยู่ภายในรัศมีของหมวกเท่านั้น เมื่อลูกศรของศัตรูเข้ามาปะทะก็มีแนวโน้มที่พวกมันจะกระเด็นออกไปนั่นเอง แน่นอนว่าความคิดเช่นนี้คงไม่ง่ายนักที่คน ธรรมดาๆ จะคิดได้ มีเพียงคนที่กลัวตายเช่นโจวเหว่ยชิงเท่านั้นจึงจะมีวิธีคิดที่เจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกงเช่นนี้

ในเวลานั้นเขาย่อมต้องการที่จะบอกแม่ทัพโจวเกี่ยวกับแผนการนี้ แต่ทว่าทุกครั้งที่เด็กหนุ่มพยายามมองไปยังใบหน้าที่ดุดันเคร่งครัดของผู้เป็นบิดา ท้ายที่สุดเขาก็ได้แต่เก็บกลืนคำพูดเหล่านั้นไว้ในใจ  ไม่มีใครรู้แน่ว่าบิดาของโจวเหว่ยชิงจะอนุมัติหรือปฏิเสธความคิดนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้วการจะผลิตหมวกโลหะผสมไทเทเนียมให้กับพลธนูทั้งกองทัพนั้นดูจะเป็นเรื่องที่ไปไม่ได้เอาเสียเลย

“น่านับถือ! นี่ต้องเป็นความคิดของท่านผู้บัญชาการกองพันแน่ๆ ช่างมีความคิดลึกล้ำเสียจริง! เอาล่ะ ข้าจะรวบรวมคนและทำให้สำเร็จภายในคืนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังจะเก็บเงินเพียงค่าวัตถุดิบเท่านั้น ไม่คิดค่าแรง ดังนั้นราคาก็จะกลายเป็น 6 เหรียญทองต่อ 1 กิโลกรัม”

โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะภาคภูมิใจกับตนเอง นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ได้จากการหลอกลวงคนในครั้งนี้ นั่นก็คือไม่ต้องร้องขอก็มีคนลดราคาให้  ถึงแม้ว่านั่นจะทำให้เถ้าแก่คิดว่าความคิดที่ลึกล้ำนี้มีที่มาจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทว่าเขาก็ไม่สนใจ เพราะว่ายังไงก็ตาม สิ่งที่เด็กหนุ่มกังวลที่สุดก็มีเพียงแค่ความปลอดภัยของตนเองเท่านั้น

“เถ้าแก่ ท่านมีสินค้าชนิดอื่นอีกหรือไม่ที่ทำจากโลหะผสมไทเทเนียม? โดยเฉพาะพวกอุปกรณ์สำหรับป้องกัน” โจวเหว่ยชิงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีโลหะผสมไทเทเนียมราคาแค่ 6 เหรียญทองต่อกิโลกรัม เท่าที่เขารู้ราคาปกติของมันคือ 10-12 เหรียญทองต่อกิโลกรัม และเนื่องจากเด็กหนุ่มกำลังจะเข้าสู่สนามรบในอนาคต เขาจึงต้องการเตรียมพร้อมให้มากที่สุด

“ท่านถามได้ถูกคนแล้ว! ข้ามีชุดเกราะอ่อนที่ทำจากโลหะผสมไทเทเนียมเย็บติดกับเส้นเอ็นของสัตว์อสูรสวรรค์อย่างอสรพิษวิเศษด้วย มันมีน้ำหนักเบาแต่มีความทนทานสูงมาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักธนูเช่นท่าน” ขณะที่เขากล่าวอยู่ก็เดินไปที่ด้านหลังของโต๊ะคิดเงินก่อนจะนำเกราะอ่อนที่ส่องประกายแสงสีเงินออกมา

โจวเหว่ยชิงรับมันมาถือไว้ในมือและคลี่ดู มันเป็นเกราะครึ่งตัว ครอบคลุมตั้งแต่ช่วงบนของร่างกายยาวไปจนถึงข้อมือ น้ำหนักเบามาก อาจจะน้อยกว่า 2 กิโลกรัมด้วยซ้ำ ซึ่งนี่ก็คืออีกหนึ่งข้อดีของโลหะผสมไทเทเนียม

โจวเหว่ยชิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นเกราะอ่อนนั้น “เยี่ยมมาก! ข้าต้องการเกราะนี่ อืม มันน่าจะหนักน้อยกว่าหนึ่งกิโลกรัม แต่เถ้าแก่ท่านอย่าได้กังวลไป ข้าจะไม่ยอมให้ท่านเสียเปรียบแน่! ดังนั้นข้าจะจ่ายให้ท่านในราคา 2 กิโลกรัม รับไปเถิด นี่คืออีก 12 เหรียญทอง” ในขณะที่เขากล่าว โจวเหว่ยชิงก็วาง 12 เหรียญทองไว้บนโต๊ะด้วยความเร็วราวกับพายุ

………………………………………………………….

“อ้วนน้อยโจว มานี่สิ” เสียงเรียกอย่างเย็นชาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดังมาจากข้างในกระโจม โจวเหว่ยชิง นิ่งงันสักพักก่อนจะคิดได้ว่าเธอกำลังเรียกตน เขาจึงรีบเร่งเดินเข้าไปข้างใน

ข้างในกระโจมขนาดใหญ่นี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้และอาวุธมากมาย ซึ่งส่วนมากนั้นเป็นอุปกรณ์สำหรับนักธนู ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นยังไม่ได้เก็บดาบของตนเองเข้าฝัก ในทางกลับกัน เธอวางกระแทกมันลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะกล่าวกับพลทหารที่อยู่แถวนั้น “มอบอุปกรณ์ให้เขา แล้วก็พาออกไปให้พ้นหน้าข้าด้วย”

ในกระโจมมีทหารอยู่มากกว่า 10 นาย พวกเขากำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ และส่งมอบมันให้แก่เหล่าทหารใหม่ แน่นอนว่าทหารเหล่านั้นไม่ได้รับรู้เหตุการณ์ก่อนหน้า และได้แต่สงสัยว่าเหตุใดผู้บัญชาการกองพันจึงดูหงุดหงิดผิดปกติเช่นนี้ หลังจากได้รับคำสั่ง ทหารที่ดูมีประสบการณ์นายหนึ่งก็หยิบชุดอุปกรณ์ของนักธนูส่งให้แก่โจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงก้มมองดูสิ่งที่เขาได้รับมาอย่างละเอียด มันเป็นชุดเครื่องแบบทหาร 2 ชุด ประกอบไปด้วย ถุงเท้า รองเท้า ชุดทหาร ชุดเกราะหนัง คันธนูยาวที่มีขนาดกว้างตัวโจวเหว่ยชิง แล่งธนู 2 กระบอก และหมวกขนาดใหญ่ 1 ใบ

ในกองทัพทั้งหมดนั้นมีเพียงนักธนูที่ได้รับอุปกรณ์เช่นหมวกใบกว้างนี้ จุดประสงค์ที่แท้จริงของมันไม่ใช่เพื่อป้องกันลมแต่เพื่อบังแสงจ้าของดวงอาทิตย์ต่างหาก เนื่องจากนักธนูต้องการวิสัยทัศน์ที่ดีที่สุดเพื่อที่จะเล็งเป้า หากพวกเขาตกอยู่ในตำแหน่งที่ต้องหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ความแม่นยำของพวกเขาย่อมต้องลดลง  ดังนั้นนักแม่นธนูจึงต้องสวมใส่หมวกใบใหญ่ไว้เพื่อบังแสงแดดและเพิ่มทัศนวิสัยการมองเห็นให้แก่พวกเขา

นายทหารคนนั้นมอบเหรียญทองให้แก่โจวเหว่ยชิง 3 เหรียญ ก่อนจะกล่าวกับเขา “นี่คือค่าจ้างปีแรกของเจ้า เจ้ามีเวลาหนึ่งวัน กลับไปเก็บของที่บ้านแล้วก็จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย กลับมาที่นี่วันพรุ่งนี้ก่อนเวลาบ่ายโมงตรง จำไว้ว่าอย่าทำอุปกรณ์ที่แจกไปเสียหาย เพราะเมื่อเจ้ากลับมาวันพรุ่งนี้ เจ้าจะต้องสวมเครื่องแบบทหารพร้อมอุปกรณ์มาด้วย เข้าใจหรือไม่?”

“เข้าใจขอรับ” ถ้าไม่ใช่เพราะยังตกใจกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นก่อนหน้ากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงคงจะตื่นเต้นกับการได้รับอุปกรณ์ทหารเหล่านี้มาก อย่างไรก็ตาม แม้แต่ในตอนนี้เขาก็ยังจำความรู้สึกตอนสัมผัสสิ่งนุ่มๆนั่นได้ โจวเหว่ยชิงพลันคิดในใจว่าตนจะไม่ล้างมือไปซักพักซักใหญ่ๆ

ตามปกติแล้วนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ในฐานะผู้บัญชาการกองพันควรกล่าวอะไรสักอย่างเพื่อปลุกใจทหารใหม่ แต่ทว่าตอนนี้จะให้เธอพูดอันใดได้? ดังนั้นสิ่งเดียวที่เธอทำคือจ้องมองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาดุร้ายจนเขาไม่กล้าจะมองกลับ โจวเหว่ยชิงย่อมไม่กล้าอยู่นานไปกว่านี้ เขารีบคว้าสัมภาระก่อนจะวิ่งกระโจนออกไป

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองตามโจวเหว่ยชิง ก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคิดกับตนเอง

เจ้าอ้วนน้อยโจวนะเจ้าอ้วนน้อยโจว! รอก่อนเถอะ ข้าจะให้เจ้าชดใช้แน่!

ถ้าหากโจวเหว่ยชิงได้รู้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังคิดจะหาวิธีทรมาณเขาอยู่ คนเจ้าเล่ห์อย่างเขาจะต้องรีบตอบกลับเป็นแน่ว่า “ย่อมได้! ข้ายอมให้ท่านบีบคืนทุกส่วนบนร่างกายเลยเป็นไง!” หรือแม้กระทั่งอาจจะพูดว่า “ก็กล้ามอกของข้ามันโตไม่ได้เหมือนของท่านนี่นา!”

ขณะที่เขากำลังจะเดินพ้นจากเขตกองบัญชาการ โจวเหว่ยชิงก็สังเกตได้ว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนี้เลย เมื่อมองไปรอบๆ เด็กหนุ่มก็สังเกตเห็นป้ายห้องน้ำอยู่ ซึ่งบนป้ายนั่นก็มีสัญลักษณ์แปลกๆ ที่เขาไม่รู้จักติดอยู่ด้วย

เด็กหนุ่มรีบคว้าสัมภาระของตนและวิ่งตรงไปที่ห้องน้ำ ซึ่งเมื่อไปถึงที่นั่น โจวเหว่ยชิงก็พบว่ามันสะอาดและน่ารื่นรมย์กว่าที่คาดไว้ แม้ว่ามันจะมีเพียงหนึ่งห้องและมีประตูที่ทำจากไม้เท่านั้นก็ตาม

โจวเหว่ยชิงมองหาที่สะอาดๆ และวางสัมภาระลง ก่อนจะเริ่มถอดเสื้อผ้าของตนออก ก่อนหน้านี้เสื้อผ้าภายในชุดคลุมของเขามีสภาพขาดวิ่นจนดูแทบไม่ได้ แถมยังรู้สึกไม่สบายตัวอีกด้วย ดังนั้นตั้งแต่ได้รับชุดเครื่องแบบทหารนี่มา เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเปลี่ยนไปใส่ชุดทหารให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เมื่อเขาถอดชุดคลุมออก ร่างกายก็แทบจะเปลือยเปล่าล่อนจ้อน โจวเหว่ยชิงไม่ได้รีบร้อนใดๆ เด็กหนุ่มยืนผ่อนคลายสักพักก่อนจะเริ่มปลดเบาด้วยความรื่นรมย์

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังยืนทำธุระส่วนตัวอยู่ ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ทว่าเมื่อหันกลับไปข้างหลังก็ต้องผงะเมื่อเห็นว่าเป็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่กำลังเปิดประตูเข้ามา

ทางด้านซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ขณะที่เปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำ สิ่งแรกที่หญิงสาวเห็นย่อมเป็นบั้นท้ายเปลือยเปล่าของโจวเหว่ยชิง นอกจากนี้ ในเวลานั้นเขากำลังสะบัด “ไอ้เจ้าสิ่งนั้น” ตอนเสร็จสิ้นภารกิจอยู่พอดี ภาพที่เห็นทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกใจจนสิ้นสติ และนั่นก็เป็นเวลาเดียวกับที่โจวเหว่ยชิงหันกลับมาพอดี

สายตาของทั้งคู่ประสานกัน ก่อนจะมีเสียงร้องดังขึ้นมาจากทั้งสองฝั่ง ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือเสียงกรีดร้องของโจวเหว่ยชิงนั้นกลับดังกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์เสียอีก

ใบหน้างดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลายเป็นสีแดงเถือกด้วยความอับอาย เธอจึงรีบผละออกไปในพริบตานั้นเอง โจวเหว่ยชิงพลันได้สติ รีบสะบัด “เจ้าสิ่งนั้น” ให้เสร็จก่อนจะเก็บเข้าที่ เขารีบสวมเสื้อผ้าและคิดในในว่า ซวยอีกแล้วไง!

เมื่อสะพายคันธนูยาวที่กลางหลังและสวมหมวกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบร้อนเดินออกมาที่ประตูทางออกพลันหาทางหนีทีไล่ในใจ ข้าควรจะรีบวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด! ขอให้นางจับไม่ทันด้วยเถิด!

“หยุด!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตะโกนเรียกโจวเหว่ยชิงอย่างโมโห ใบหน้าของเธอขึ้นสีด้วยความโกรธ “ไอ้เจ้าคนวิปริต! อยู่ตรงนั้นเลยนะ ห้ามขยับ! เดี๋ยวข้าจะไปจัดการกับเจ้า!” ขณะที่พูดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รีบสวนเท้าเข้ามาใกล้

นี่มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าเหลือเชื่ออีกเรื่องของวันซะจริงๆ สาเหตุที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปิดประตูเข้ามาโดยไม่ตรวจดูก่อนนั่นก็เป็นเพราะว่าห้องน้ำนี้เป็นห้องน้ำส่วนตัวของเธอโดยเฉพาะ ดังนั้นสัญลักษณ์ที่ป้ายห้องน้ำจึงดูแปลกประหลาดกว่าที่อื่น เพราะมันหมายถึงห้องน้ำส่วนตัวของผู้บัญชาการกองพัน

เนื่องจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นผู้หญิงส่วนน้อยของกองทัพ ประกอบกับการที่เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์และเป็นยังความหวังของอาณาจักร นั่นจึงเป็นเรื่องธรรมดามากที่ผู้บัญชาการกรมทหารจะมอบสิทธิพิเศษอย่างห้องน้ำส่วนตัวให้กับเธอ

ในตอนแรก เธอรีบร้อนออกมาจากกระโจมก็เพื่อจะเข้าห้องน้ำ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์อันน่าอับอายนั้นกับเจ้าอ้วนน้อยโจว ทำให้การเข้าห้องน้ำของเธอต้องถูกเลื่อนออกไป หลังจากที่โจวเหว่ยชิงจากไปแล้วเธอก็พลันสงบสติอารมณ์ลงได้ ก่อนจะมุ่งหน้าไปห้องน้ำอีกครั้งเพื่อทำธุระของตนให้เสร็จ คาดไม่ถึงว่าจะบังเอิญไปเจอเขาเข้าอีกรอบในสถานการณ์ที่หมอนั่นยืนเปลือยเปล่าทั้งตัว! ดังนั้นเธอจึงไม่เพียงแต่อายและโกรธ ในใจยังสับสนวุ่นวายมากอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยากจะอัดโจวเหว่ยชิงให้น่วมแค่ไหน แต่หญิงสาวก็ยังอยากจะจัดการ “ธุระ” ของเธอให้เสร็จเสียก่อน! คิดได้ดังนั้นเธอจึงผลุนผลันเข้าห้องน้ำไป ส่วนเรื่องคิดบัญชีกับเขานั้นเอาไว้ทีหลัง!

….

รออยู่ตรงนี้ก็ซวยน่ะสิ! โจวเหว่ยชิงคิดกับตนเอง มีเพียงคนโง่เท่านั้นแหละที่จะรอที่นี่ บางทีพรุ่งนี้นางอาจจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วก็ได้ สุดท้ายโจวเหว่ยชิงก็ขัดคำสั่งของผู้บัญชาการกองพันและวิ่งหลบหนีไป หลังจากออกมาจากเขตค่ายทหาร เขาก็มุ่งหน้าไปยังกลางเมืองหลวงทันที เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกมาจากห้องน้ำ ไอ้เจ้าคนโรคจิต (ในสายตาของเธอ) นั้นก็ได้หนีหายไปแล้ว นั่นทำให้หญิงสาวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ

หลังจากที่มาถึงเมืองหลวง โจวเหว่ยชิงก็มองหาที่พักเพื่อจะนอนสักคืน เขาซื้อพู่กันและกระดาษเพื่อจะเขียนจดหมายหาบิดา

ท่านพ่อ ท่านมักจะพูดว่าข้านั้นไร้ประโยชน์ แต่ข้าก็รู้ว่า แม้ข้าจะเป็นเศษสวะแต่นั่นก็คือตัวตนของข้าเอง ดังนั้นข้าจึงจะไม่อยู่สร้างปัญหาให้ท่านอีกต่อไป ก็เหมือนกับที่โบราณว่าไว้ว่า อ่านหนังสือหมื่นเล่มก็ไม่เท่าออกเดินทางหมื่นลี้ ข้าจึงตัดสินใจจะออกเดินทางไปผจญภัยและสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ดังนั้นช่วยบอกเลิกงานหมั้นระหว่างข้ากับองค์หญิงตี้ฝูหยาด้วย เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วข้าก็เป็นเพียงเศษสวะไร้ประโยชน์ในขณะที่นางกลับเป็นถึงอัจฉริยะยอดคน ข้าจึงไม่ต้องการจะเป็นตัวถ่วงในชีวิตของนาง ยิ่งไปกว่านั้น ท่านก็รู้ว่านางไม่ได้ชอบข้าเลยแม้แต่น้อย นั่นคือทั้งหมดที่ข้าอยากจะบอกกับท่าน โปรดช่วยดูแลท่านแม่และไม่ต้องตามหาข้า ท่านก็รู้ว่าข้ากลัวตายมากกว่าใคร ดังนั้นข้าจะกลับไปอย่างมีชีวิตเป็นๆ แน่นอน ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า          

โจวเหว่ยชิง

หลังจากเขียนจดหมายเสร็จ เขาก็ไปยังร้านค้าที่รับฝากส่งจดหมายและจ่ายเงิน ซึ่งจดหมายนั่นจะไปถึงบ้านของโจวเหว่ยชิงในวันพรุ่งนี้ หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังร้านของช่างตีเหล็ก เนื่องจากเขากำลังจะเป็นทหาร โจวเหว่ยชิงจึงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตนเองเป็นอันดับหนึ่ง ดังที่ได้กล่าวไว้ในจดหมาย เขานั้นกลัวตายมากกว่าคนอื่นๆ และเนื่องจากวันนี้เป็นวันเดียวที่โจวเหว่ยชิงว่างงาน ดังนั้นจึงตัดสินใจจะจัดการธุระให้เรียบร้อยก่อนจะต้องกลับไปที่ค่ายในวันพรุ่งนี้

โจวเหว่ยชิงนั้นเติบโตในเมืองหลวง เด็กหนุ่มจึงคุ้นเคยกับตรอกซอยทุกที่ในเมืองนี้ เนื่องจากเขายังเด็กและใช้ชีวิตอย่างยากลำบากจากการดูถูกเหยียดหยามของผู้อื่น การออกจากตระกูลในครั้งนี้ทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกมีชีวิตชีวาราวกับลูกนกหลุดออกจากกรง ดังนั้นเขาจึงยังไม่ได้รู้สึกคิดถึงบ้านมากนัก

หลังจากเดินไปไม่นาน โจวเหว่ยชิงก็เลี้ยวเข้าไปยังร้านช่างตีเหล็กที่ใกล้ที่สุดทันที

…………………………………………………….

ขณะเดินกลับมาถึงยังถนนหลักเขาก็พลันหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น นั่นทำให้ความโกรธของโจวเหว่ยชิงปะทุเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แม้ว่าเขานั้นจะรอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์ แต่ความประทับใจต่อคู่หมั้นของตนกลับดิ่งลงเหว ถ้าหากไม่บังเอิญได้พบกับไข่มุกสีดำนั่น เด็กหนุ่มก็อาจจะกลายเป็นศพคาป่าดาราไปแล้ว

“ตี้ฟู่หยา รอก่อนเถอะ! สักวัน ข้าจะชำระแค้นและทำให้เจ้าเสียใจในสิ่งที่ทำกับข้าวันนี้” เขากล่าวอย่างอาฆาตมาดร้าย โจวเหว่ยชิงไม่ได้โกรธขนาดนี้มานานแล้ว แม้กระทั่งกลุ่มคนที่เคยหัวเราะเยาะเกี่ยวกับลมปราณอุดตันของตนตั้งแต่สมัยเด็กๆ เขาก็ยังไม่โกรธแค้นพวกมันถึงเพียงนี้ นั่นก็เพราะอย่างน้อยพวกมันก็ไม่เคยลงมือทำร้ายโดยตรง ผิดกับตี้ฟู่หยาที่หมายกระทั่งจะเอาชีวิตเขา และเหตุผลที่ทำเช่นนั้นก็เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด เห็นได้ชัดว่าโจวเหว่ยชิงนั้นเป็นบุคคนประเภทสิบปีชำระแค้นก็ยังไม่สาย

ในขณะที่เข้าใกล้เขตเมืองหลวงอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เด็กหนุ่มก็พลันสงบสติลงได้อย่างช้าๆ ขณะนี้โจว  เหว่ยชิงสวมใส่เพียงแค่เสื้อคลุมด้านนอก ส่วนข้างในนั้นไร้สิ่งปกปิด โชคยังดีที่เขายังพอมีเหรียญทองจำนวนหนึ่งเหลืออยู่ติดกายบ้างเล็กน้อย เนื่องจากบิดามักจะเข้มงวดกับเด็กหนุ่มเสมอ นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงไม่ได้มีเงินทองให้ใช้สอยมากนัก

“ข้าควรจะกลับบ้านดีมั้ยนะ?” โจวเหว่ยชิงพลันหยุดกรุ่นคิด “ไม่ ข้ากลับบ้านแบบนี้ไม่ได้แหงๆ นางมารร้ายตี้ฟู่   หยาจะต้องวิ่งแจ้นไปฟ้องท่านพ่อของนางว่าข้าเป็นพวกถ้ำมองแอบดูนางอาบน้ำ และถ้าตาแก่ที่บ้านได้ยินเรื่องนี้เข้า ชีวิตข้าคงจบไม่สวยแน่ๆ” เมื่อนึกถึงนัยน์ตาดุดันของผู้เป็นบิดา เขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว เด็กหนุ่มเติบโตขึ้นมาด้วยการสั่งสอนด้วยกำปั้นของบิดา เมื่อใดก็ตามที่ก่อเรื่อง โจวเหว่ยชิงก็จะได้รับหมัดเป็นสิ่งตอบแทนเสมอ ครั้งนี้ หากตาแก่นั่นได้ยินเรื่องที่เขาแอบดูองค์หญิงอาบน้ำเข้าล่ะก็ แน่นอนว่าจะต้องหลบหลีกโทษไม่พ้นเป็นแน่ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย ช่วงนี้เขาจึงยังไม่ควรจะกลับบ้าน

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากไม่กลับบ้าน แล้วเขาควรจะไปที่ไหนดีล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เหลือเงินติดกายเพียงเล็กน้อยเช่นนี้?  โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกว่าจู่ๆ ตัวเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

แม้จะมีรูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรง แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กอายุ 13 และไม่มีทักษะใดๆ ให้ใช้หาเลี้ยงชีพได้เลย ถึงแม้คิดจะหนีออกจากบ้าน แต่เขาก็จะใช้ชีวิตอยู่รอดข้างนอกเพียงลำพังได้หรือ ชั่วขณะหนึ่ง โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมา

แม้จะมีความคิดวิตกกังวลอยู่มากมาย แต่เขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไปยังประตูเมืองหลวง

“เอ๋? ทำไมถึงมีคนมากมายอย่างงี้ล่ะ?” ทันทีที่ประตูเมืองปรากฏอยู่เบื้องหน้า โจวเหว่ยชิงก็พลันตระหนักได้ว่ามีฝูงชนจำนวนหลายร้อยยืนออกันอยู่สองฝั่งของประตูซึ่งล้วนแล้วแต่มีทหารคอยคุมกำกับอยู่บริเวณรอบๆ อีกทีหนึ่ง

เกิดอะไรขึ้นที่นี่? ในหัวของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยความสงสัย เขาพลันเร่งเดินไปมุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น โชคดีที่แม้ว่าบริเวณนั้นจะเต็มไปด้วยผู้คน แต่มันก็ยังไม่แออัดขึ้นขั้นเดินแทรกผ่านไม่ได้ เด็กหนุ่มจึงสามารถเบียดตัวไปข้างหน้าด้วยความทุลักทุเล

เบื้องหน้าฝูงชนนั้นมีโต๊ะตัวยาวเรียงรายเป็นแถวหน้ากระดาน แต่ละโต๊ะก็มีกลุ่มคนมุงอยู่เป็นกลุ่มๆ ฉากหลังโต๊ะเหล่านั้นมีอักษรติดไว้ชัดเจนว่า “รับสมัครพลทหาร” ข้างใต้นั้นยังเขียนกำกับว่า

อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ต้องการเกณฑ์ทหารใหม่เข้าร่วมกองทัพ 3000 นายเพื่อคุ้มกันชายแดน

รับสมัครชายฉกรรจ์ที่มีอายุ 16 ถึง 26 ปี  สุขภาพแข็งแรงโดยกำเนิด หรือมีพลังปราณสวรรค์

“ประเทศชาติต้องมาก่อน ทหารกล้าจงเข้าร่วมกับกองทัพ

เพราะการปกป้องอาณาจักรและครอบครัวย่อมเป็นหน้าที่ของลูกผู้ชาย”

สำหรับบุคคลที่มีพลังปราณสวรรค์ที่ประกาศนั้นกล่าวถึงนั้นย่อมหมายถึงคนที่ยังมีพลังปราณขั้นพื้นฐานระดับ 1 หรือ 2 นั่นเอง เพราะถ้าหากว่าพวกเขาบรรลุไปถึงระดับ 3 และปลุกพลังมณีขึ้นมาได้แล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการเกณฑ์ทหารในครั้งนี้ หากแต่สามารถเข้าร่วมโรงเรียนฝึกทหารหรือแม้แต่โรงเรียนสำหรับจ้าวมณีได้โดยตรงทันที ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะมีอนาคตอันรุ่งโรจน์มากกว่านั่นเอง

โดยปกติแล้ว พลังของมณีนั้นมักจะตื่นขึ้นก่อนที่คนๆ นั้นจะอายุครบ 16 ปี หากว่าครบกำหนดอายุแล้วพลังไม่ตื่นขึ้นมา เป็นไปได้ว่าในอนาคตก็ยากที่จะปลุกพลังมณีได้อีก ดังนั้น สรุปง่ายๆ ก็คือ การเกณฑ์ทหารในครั้งนี้จึงเป็นการรับสมัครทหารธรรมดาๆ นั่นเอง

เข้าร่วมกองทัพงั้นรึ? ขณะเหม่อมองไปยังป้ายประกาศ โจวเหว่ยชิงก็พลันรู้สึกว่าถูกชักจูงโดยคำชักชวนเหล่านั้น

เดี๋ยวนะ ถ้าหากเขาสมัครเป็นทหารในกองทัพ เขาก็ไม่ต้องกลับบ้านแล้วนี่! เขาจะได้รับเงินเดือนแถมยังถูกกองทัพเลี้ยงดูอีก! ทว่าก็อาจจะต้องสร้างชื่อปลอมๆ ขึ้นมาเสียก่อนเพื่อไม่ให้คนจับได้ อย่างน้อยต่อไปนี้ตาแก่นั่นก็จะด่าข้าว่าเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว! ฮ่าๆ นี่มันคือโอกาสทองที่สวรรค์ประทานให้ชัดๆ

โจวเหว่ยชิงยังอายุน้อยและมัวแต่หลงดีใจกับสิ่งที่ตนวาดฝัน จึงไม่ทันได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนถึงความยากลำบากในการเข้าร่วมกองทัพ ท้ายที่สุดแล้วประสบการณ์อันน้อยนิดนั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น ยิ่งรวมกับการที่เมื่อกลับบ้านไปแล้วจะต้องพบเจอกับการถูกล้อเลียนว่าเป็นคนไร้ประโยชน์และการกวดขันของบิดาอีก ทั้งหมดจึงทำให้เขาตัดสินใจที่จะไม่กลับบ้าน

หลังจากตัดสินใจได้ โจวเหว่ยชิงก็เบียดตัวไปข้างหน้า ก่อนจะกล่าวกับทหารกองทะเบียนคนหนึ่ง “พี่ชาย ข้าอยากสมัคร ให้ข้าสมัครเถิด!”

แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนหลายร้อยคนเกาะกลุ่มมุงดูอยู่รอบๆ แต่แท้จริงแล้วจำนวนผู้สมัครกลับมีเพียงหยิบมือเท่านั้น สาเหตุก็มาจากการที่นครเกาทัณฑ์สวรรค์เป็นเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักร มาตรฐานการครองชีพของผู้คนที่นี่จึงสูงกว่าที่อื่นๆ และเนื่องจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เป็นอาณาจักรเล็กๆ ดังนั้นจึงมีการปะทะกับอาณาจักรอื่นๆที่อยู่รายรอบบริเวณแถบชายแดนบ่อยครั้ง นั่นจึงทำให้อาชีพทหารเป็นอาชีพที่เสี่ยงชีวิตและอันตรายมาก แน่นอนว่าอาชีพนี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักสำหรับคนทั่วไป  นับจะประสาอะไรกับพวกขุนนางที่มีอันจะกินทั้งหลายในเมืองหลวงกันล่ะ

มีทหารประมาณ 20 นายที่ทำหน้าที่นั่งรับสมัครอยู่หลังโต๊ะ พวกเขาเป็นทหารกรำศึกที่มีตำแหน่งหัวหน้านายกองขึ้นไป นายทหารที่โจวเหว่ยชิงกำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นมีอายุราวๆ 30 ปี และแม้ว่าเขาจะนั่งอยู่เฉยๆ แต่ร่างกายสูงใหญ่ของเขาก็เปล่งรัศมีความแข็งแกร่งออกมาชัดเจน นายกองคนนี้มีเค้าหน้าเฉพาะกึ่งเบื่อหน่ายกึ่งเจ้าเล่ห์ ซึ่งแสดงถึงประสบการณ์ในกองทัพเป็นเวลานาน

“เฮ้ย! ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอนี่ แกจะสมัครทหารงั้นเรอะ?” เมื่อเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วก็มีคนขยับเข้ามาใกล้โต๊ะของเขา นายกองคนนั้นก็พลันรู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น มีทหารกว่า 20นายตั้งโต๊ะรับสมัครอยู่ แต่โจวเหว่ยชิงกลับเลือกโต๊ะของเขา นั่นทำให้เขารู้สึกได้หน้าเป็นอย่างมาก

“ใช่แล้ว! ข้าอยากสมัครเป็นทหาร!” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเสียงดังฟังชัด เมื่อมองไปยังเหล่านายกองที่แต่งตัวเต็มยศในชุดเกราะ โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกว่าพวกเขานั้นเปล่งรัศมีความน่าเกรงขามออกมา ซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าการเข้าร่วมกองทัพนั้นเป็นความคิดที่ถูกต้อง

นายกองคนนั้นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะถามเขา “เยี่ยม! แล้วเจ้าอยากจะเข้าร่วมกองทหารไหน?”

“เอ๋?” เม้ว่าบิดาของโจวเหว่ยชิงจะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ แต่ว่าตัวเขาเองกลับไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับระบบการจัดการภายในกองทัพเลย ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงถามเสียงเบาๆ ว่า  “มันต่างกันยังไงรึพี่ชาย?”

“แน่นอนว่าย่อมแตกต่างกัน แม้ว่าการฝึกขั้นพื้นฐานของทหารทุกกองจะเหมือนๆ กัน แต่คุณสมบัติของทหารที่แต่ละกองต้องการ การทดสอบและการฝึกฝนนั้นย่อมแตกต่างกันไปตามกองกำลังที่ตนสังกัดอยู่

ยกตัวอย่างเช่น คนที่อยู่ในกองทหารราบ ก็เน้นไปที่พละกำลังเพราะจะต้องอยู่ในสนามรบที่วุ่นวายและต้องวิ่งพล่านไปทั่วตลอด พละกำลังที่มากกว่าคนปกติกับฝีเท้าเร็วจะทำให้มีโอกาสรอดชีวิตในสนามรบมากขึ้น แต่จริงๆ แล้วแทบทุกหน่วยก็ต้องเริ่มต้นจากกองทหารราบนั่นแหละ  ทหารหลายๆ นายก็เริ่มฝึกที่หน่วยนี้เป็นหน่วยแรก แน่นอนว่าย่อมต้องมีทหารหน่วยพื้นฐานอื่นๆ อีกหลายหน่วย ตัวอย่างก็เช่น ทหารหน่วยลำเลียงอาวุธ หน่วยพลาธิการ และหน่วยจัดเตรียมอาหาร แต่ถึงยังไงซะ หน่วยทหารพวกนั้นก็ไม่ค่อยจะก้าวหน้าในอาชีพการงานเท่าไหร่หรอกนะ ข้าขอบอกเจ้าไว้เลย” ขณะที่นายกองคนนั้นกล่าว เขาก็เบ้ปากด้วยความดูหมิ่นเมื่อพูดถึงทหารกองหลังๆ

ทันทีที่ได้ยินเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดในสนามรบ ความกระตือรือร้นก่อนหน้านี้ของโจวเหว่ยชิงก็ค่อยๆ ดับมอดลง อา! ใช่แล้ว การเข้าร่วมกองทัพย่อมหมายถึงต้องต่อสู้ในสนามรบจริงๆ แต่เขาไม่ได้มีฝีมือมากนัก  หากจะเอาชีวิตไปทิ้งกลางสนามรบเหมือนเป้าซ้อมปืนใหญ่ก็คงจะไม่คุ้มค่าแน่

“อะแฮ่ม พี่ชาย ข้าขอเวลาคิดสักเล็กน้อยจะได้ไหม?” มนุษย์ล้วนแล้วแต่กลัวตายกันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจวเหว่ยชิงที่มีอายุเพียงแค่ 13 ปี ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วร่างกายเขาจะดูเหมือนหนุ่มอายุ 16 ก็ทีเถอะ

…………………………………………………………

โจวเหว่ยชิงเคยพบซ่างกวนปิงเอ๋อร์เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในพิธีมอบตำแหน่งของเธอ อาณาจักรต่างๆ ในดินแดนไร้ขอบเขตนั้นมักจะมีลำดับยศขุนนางอยู่ทั้งหมด 6 ขั้นแตกต่างกัน เรียงจากขุนนางขั้นที่ 6 คือขั้นที่ต่ำสุดไปจนถึงขุนนางขั้นที่ 1 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุด  แน่นอนว่าในหลายๆ อาณาจักร บรรดาศักดิ์แต่ละขั้นก็มักจะมีอำนาจแตกต่างกันออกไป

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นเกิดในครอบครัวธรรมดา ทว่าหญิงสาวกลับได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางขั้นที่ 6 เมื่ออายุได้เพียง 12 ปี ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังได้เลื่อนขึ้นเป็นขุนนางขั้นที่ 5 ในปีถัดมาอีกด้วย

ความจริงแล้วในปีนี้หญิงสาวจะมีอายุครบ 15 ซึ่งมากกว่าโจวเหว่ยชิงอยู่ 2 ปี แต่ถึงกระนั้น ยศของเธอก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นขุนนางขั้นที่ 4 เช่นเดียวกับโจวเหว่ยชิงแล้ว  อย่างไรก็ตาม หากเทียบกันแล้ว ตำแหน่งของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นได้รับมาจากความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริง ต่างกับบรรดาศักดิ์ของของโจวเหว่ยชิงที่ได้รับตกทอดมาจากบิดาของเขา ฉะนั้นถึงแม้ว่าองค์หญิงตี้ฝูหยาจะดูราวกับเป็นดาวดวงเด่นดวงใหม่ของราชวงศ์ แต่เธอก็ยังดูหม่นแสงเมื่อเปรียบเทียบกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เพราะถึงแม้จะมีอายุน้อยกว่าเจ้าหญิง 1 ปี แต่หญิงสาวกลับเป็นผู้ครอบครองมณีถึง 2 ชุด นั่นก็คือทั้งมณีธาตุและมณียุทธ์นั่นเอง

เมื่ออายุได้ 12 ปี ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ฝึกพลังปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานทะลุไปถึงระดับ 3 จากนั้นเธอก็ปลุกพลังมณีคู่ของตัวเองขึ้นมาได้ ซึ่งปกติแล้วหากมณียุทธ์และมณีธาตุปรากฏขึ้นพร้อมกันในตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็มักจะถูกเรียกโดยรวมว่ามณีสวรรค์ และคนผู้นั้นจะถูกเรียกว่า จ้าวมณีสวรรค์

ปรากฏการณ์เช่นนี้หายากกว่าการให้กำเนิดลูกแฝดในครอบครัวเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาณาจักรเล็กๆเช่นเกาทัณฑ์สวรรค์ที่ซึ่งจ้าวมณีสวรรค์นั้นมีจำนวนหยิบมือ ดังนั้นเหตุผลที่ว่าทำไมซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถึงถูกยกย่องโดยอาณาจักรและได้รับตำแหน่งขุนนางขั้นที่ 4 ตั้งแต่อายุยังน้อยนั้นจึงเป็นเพราะเธอคือจ้าวมณีสวรรค์คนที่สองของอาณาจักรอย่างไรล่ะ! และแน่นอน จ้าวมณีสวรรค์คนแรกนั้นย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากบิดาของโจวเหว่ยชิง แม่ทัพใหญ่โจวนั่นเอง

แม้ว่าแม่ทัพใหญ่โจวจะเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์คนแรกของอาณาจักร แต่ทว่าระดับขั้นพลังของผู้เป็นบิดานั้นก็ยังคงเป็นที่สงสัยมาตลอดภายในใจของโจวเหว่ยชิง เนื่องจากเขาเส้นสมปราณอุดตันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ บิดาจึงไม่เคยพูดเกี่ยวกับการฝึกฝนของจ้าวมณีสวรรค์เลย สิ่งเดียวที่โจวเหว่ยชิงรู้ก็คือเรื่องผิวเผินอย่างการที่จ้าวมณีสวรรค์นั้นคือส่วนผสมของจ้าวมณีธาตุและจ้าวมณียุทธ์

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพลังของจ้าวมณีสวรรค์จะคล้ายคลึงกับจ้าวมณีธาตุและจ้าวมณียุทธ์ แต่ในความเป็นจริงนั้น การฝึกฝนปราณสวรรค์และการเลื่อนขั้นระดับพลังของจ้าวมณีสวรรค์นั้นมีความแตกต่างกับการฝึกธรรมดาของจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งรูปลักษณ์ของมณีและทักษะธาตุที่จ้าวมณีสวรรค์ครอบครองนั้นก็แตกต่างกับทั้งจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุ อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วความแตกต่างนั้นคืออะไรกันแน่ สิ่งที่เขารู้ก็คือจ้าวมณีสวรรค์นั้นแข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับจ้าวมณีอื่นๆ ดังนั้นหลายครั้งหลายครา โจวเหว่ยชิงก็วาดฝันว่าเขาจะกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์

ครั้งเดียวที่โจวเหว่ยชิงเคยเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็คือวันที่เธอได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางระดับ 4 ซึ่งในวันนั้นจักรพรรดิเป็นผู้ที่เป็นคนมอบตำแหน่งให้เธอด้วยพระองค์เอง และในเวลานั้นบิดาของโจวเหว่ยชิงก็พาเขาไปชมพิธีการด้วย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะเคยเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาก่อนและสามารถจดจำเธอได้ในพริบตา แม้ว่าเธอนั้นจะไม่รู้จักเขาก็ตาม

น่าเสียดายที่ตอนนี้สีหน้าของหญิงสาวที่งดงามที่สุดในอาณาจักรกำลังดูบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ รูปลักษณ์ที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำคล้ายกำลังจับตัวเป็นน้ำแข็งเย็นยะเยือก เธอขมวดคิ้ว แขนทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาปกปิดหน้าอกเอาไว้

เวลานี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทั้งตกใจและโมโห เธอเพิ่งจะเดินออกจากกระโจมกองบัญชาการใหญ่ตอนที่เจ้าเด็กนี่เลิกผ้าม่านอย่างไม่ระมัดระวังจนไปโดนหน้าอกของเธอเข้า! ความจริงแล้วตั้งแต่เด็กยังไม่มีผู้ชายคนไหนได้แตะต้องร่างกายของตนด้วยซ้ำเนื่องจากหญิงสาวไม่มีบิดาและถูกเลี้ยงมาโดยมารดาแต่เพียงผู้เดียว ยิ่งไปกว่านั้น หากเธอไม่ได้กำลังตกใจและต้องคอยยกมือขึ้นกันหน้าอกไว้ด้วย แรงเตะที่โจวเหว่ยชิงได้รับอาจจะรุนแรงกว่านี้ก็เป็นได้

โจวเหว่ยชิงพลันถูกปลุกขึ้นมาสู่ความเป็นจริงตรงหน้า เขานึกย้อนไปถึงคำพูดที่ผู้คุมคนนั้นได้กล่าวเอาไว้ และทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าหญิงงามตรงหน้าเขานี้เป็นผู้บัญชาการกองพัน ยิ่งไปกว่านั้นคือ เธอเป็นผู้บัญชาการกองพันที่ 3 ผู้ที่จะต้องมอบอุปกรณ์ฝึกทหารให้กับเขาคนนั้นนั่นเอง! เมื่อเหม่อมองไปที่ใบหน้าและท่าทางอันแสนเยือกเย็นของซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็พลันตระหนักได้ว่าเขาเพิ่งจะจับโดนส่วนต้องห้ามของอีกฝ่ายเข้า!

ก่อนหน้านี้ที่ที่ป่าดารา เขาเพิ่งจะได้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าขององค์หญิงตี้ฝูหยา และพลันรู้สึกตื่นเต้นเลือดลมสูบฉีดเป็นอย่างมาก และในตอนนี้ เขาก็เพิ่งจะได้จับตรงส่วนนั้นของซ่างกวนปิงเอ๋อร์! เหตุใดวันนี้เขาถึงได้ดวงดีเช่นนี้? ในวันนี้วันเดียว เด็กหนุ่มได้มีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับหญิงสาวที่โด่งดังที่สุดในอาณาจักรถึง 2 คน!

เมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้สัมผัสไปก่อนหน้านี้ “ปุ” เลือดกำเดาไหลของเขาก็ไหลออกมาอีกครั้ง แม้ว่าสีหน้าของโจวเหว่ยชิงจะดูใสซื่อบริสุทธิ์ แต่เลือดกำเดาที่ไหลออกมานั้นก็ได้เปิดเผยความคิดที่สกปรกของเขาเข้าให้แล้ว

“เจ้าเป็นใคร?” เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงมีเลือดกำเดาไหลออกมา สีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยิ่งเย็นชา เธอชักดาบออกมาก่อนจะร้องตะโกนและชี้ดาบไปยังโจวเหว่ยชิงในเวลาเดียวกัน

“อ๊าาาาา นี่มันเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น! ขะ ข้า ข้าเป็นทหารใหม่น่ะขอรับ ข้ามาที่นี่เพื่อรายงานตัวรับอุปกรณ์และชุดของข้า” โจวเหว่ยชิงโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคว้าใบสมัครจากมือโจวเหว่ยชิงไปดู สีหน้าของเธอดูสงบลงเล็กน้อยหลังจากตระหนักได้ว่านี่อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ แม้ว่าลึกๆ แล้วเธอจะโกรธโจวเหว่ยชิงมากก็ตาม

“แล้วทำไมเจ้าถึงต้องทำท่าทางลุกลี้ลุกลนขนาดนั้นด้วย?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เก็บดาบของเธอ รังสีฆ่าฟันในดวงตาค่อยๆ จางหายไป ทว่าน้ำเสียงของเธอยังคงไว้ซึ่งความเย็นชา ดูเหมือนว่าท้ายที่สุดแล้วหญิงสาวก็ควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้แม้ว่าจะถูกเขาพลาดกระทำเช่นนั้นลงไป

โจวเหว่ยชิงรู้สึกประทับใจในตัวของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นอย่างมาก ดูสิ! นางเกิดในตระกูลธรรมดาๆ แต่ทว่ากลับมีเมตตามากกว่าองค์หญิงของอาณาจักรซะอีก! ความอับอายที่เธอได้รับนั้นไม่ได้น้อยไปกว่าตี้ฝูหยาเลย แต่ปฏิกิริยาของคนทั้งสองกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ถ้าหากว่านางเป็นคู่หมั้นของข้าแทนล่ะก็ มันจะดีสักเพียงใดนะ? โจวเหว่ยชิงเริ่มฝันกลางวันเป็นตุเป็นตะอยู่ในใจ

“ตามข้าเข้าไปข้างใน” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันไปผลักม่านเดินกลับเข้าไปในกระโจมกองบัญชาการใหญ่อีกครั้ง

โจวเหว่ยชิงกำลังจะเดินตามเข้าไป แต่ทว่ากลับมีคนผู้หนึ่งเข้ามาประชิดตัวเขาเข้าเสียก่อน จากนั้นเด็กหนุ่มก็ได้ทราบว่าทหารผู้นี้ได้เดินตามซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกมาจากกองบัญชาการใหญ่ก่อนหน้านี้ ชายผู้นั้นสวมเกราะเบาปกปิดจุดตายบนร่างกาย หมวกของเขายังประดับไปด้วยขนนกสีเหลือง นี่เป็นสัญลักษณ์ของทหารตำแหน่งผู้บัญชาการกองร้อย แต่เนื่องจากความสนใจทั้งหมดของโจวเหว่ยชิงพุ่งไปที่ผู้บัญชาการกองพันแต่เพียงผู้เดียว จึงไม่ได้สังเกตเห็นการปรากฏตัวของเขา

ชายคนนั้นกระซิบเสียงเบา “เฮ้ยไอ้หนู ใจกล้าไม่เบาเลยนี่หว่า รู้สึกยังไงบอกข้าบ้างสิ?”

โจวเหว่ยชิงนั้นราวกับตกอยู่ในภวังค์ เขาจึงกล่าวออกมาอย่างใจลอย “กล้ามอกของท่านผู้บัญชาการกองพันนั้นไม่เลวจริงๆ!”

นายกองคนนั้นเพียงตั้งใจจะหยอกล้อเขาเล่นด้วยความอิจฉาเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าไอ้เด็กหนุ่มนี้จะตอบเขากลับมาเสียงดังฟังชัด ผิดกับรูปลักษณ์ใสซื่อของเจ้าตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งคำตอบของโจวเหว่ยชิงนั้นสามารถนิยามได้เพียงว่า “ช่างไม่กลัวตายเสียจริง!”

จู่ๆ ก็มีแสงวาบผ่านหน้าเขา โจวเหว่ยชิงรู้สึกขนหัวลุกขึ้นกะทันหันเมื่อมองเห็นม่านด้านหน้าเขาถูกฟันออกเป็นสองส่วน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนอยู่หลังม่านนั้น มือที่ถือดาบอยู่สั่นด้วยความโกรธ เธอจ้องมองโจวเหว่ยชิง “ถ้ายังขืนพูดเรื่องนี้อีก ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นขันทีซะ!”

“ผู้บัญชาการกองพัน! ข้าขอโทษขอรับ ข้าผิดไปแล้วจริงๆ!!” โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกผิดที่เผลอพูดออกไปเสียงดังทั้งๆ ที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ใกล้ซะขนาดนี้ เขาลนลานกล่าวยอมรับผิดด้วยใบหน้าลุแก่โทษ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงฮึ่มฮัมในลำคอก่อนจะหมุนตัวกลับไปในกระโจม นายกองผู้นั้นเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจึงยกนิ้วโป้งให้แก่โจวเหว่ยชิงก่อนจะรีบชิงเผ่นจากไป ปกติแล้วซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นคนไม่ค่อยถือตัว และยังควบคุมอารมณ์ได้ดี ทว่าเมื่ออยู่ในสนามรบหญิงสาวก็โหดเหี้ยมไม่แพ้ใครๆ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากคอยอยู่เป็นเป้ารับอารมณ์ของอีกฝ่ายหรอกนะ!

……………………………………………………….

แน่นอนว่าการใช้ธนูยาวนี้ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง นั่นคือนักธนูจะต้องมีพละกำลังแข็งแกร่งและมีทักษะที่ยอดเยี่ยมในหลายๆด้าน รวมถึงจะต้องสามารถทำงานประสานกันในหน่วยได้เป็นอย่างดี นั่นจึงหมายถึงการฝึกซ้อมย่อมต้องกินเวลายาวนาน เนื่องจากคนในหน่วยต้องร่วมฝึกต่อสู้ประสานกันจนเข้ากันได้อย่างดีเยี่ยม จึงจะสามารถออกสู่สนามรบจริงได้

ความสำคัญของนักแม่นธนูนั้นย่อมไม่เป็นที่กังขาอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองธนูของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์แห่งนี้ ความเป็นจริง เมื่อตอนที่บิดาของโจวเหว่ยชิงยังอายุน้อยกว่านี้และเป็นเพียงผู้บัญชาการกองพัน เขาเป็นผู้คิดค้นสร้างรูปแบบการโจมตีอันทรงประสิทธิภาพให้แก่หน่วยแม่นธนูของกองทัพจนประสบความสำเร็จเป็นที่เลื่องลือ ในเวลานั้น ศัตรูของพวกเขาคืออาณาจักรคาลิเซที่ตั้งอยู่ทางใต้ ซึ่งกองกำลังส่วนใหญ่ของพวกเขานั้นเป็นทหารม้า

ณ เวลานั้น ผู้บัญชาการโจวได้เลือกเนินเขาลาดชันแห่งหนึ่งเป็นที่ซุ่มโจมตีกองทัพคาลิเซซึ่งกำลังจะเคลื่อนพลผ่านไป ซึ่งขณะนั้น อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์มีพลทหารแม่นธนูอยู่ประมาณ 2,000 คน ทั้งหมดแบ่งออกเป็น 3 กองย่อยๆคอยซุ่มโจมตีอยู่ 3 ที่ใกล้ๆ กัน หน่วยที่ซุ่มอยู่ด้านซ้ายใช้พุ่มไม้หนาและขุดหลุมเพลาะเป็นที่กำบัง ส่วนหน่วยทางขวาใช้แม่น้ำเล็กๆ เป็นแนวป้องกัน หน่วยสุดท้ายนั้นผู้บัญชาการโจวนำรบด้วยตนเอง ทั้งหมดคอยซุ่มอยู่ข้างหลังสองหน่วยแรกเพื่อรอฟังคำสั่ง หน่วยพลธนูแต่ละกองนั้นมีทหารม้าซึ่งสละม้ามาเป็นทหารราบคอยคุ้มกันประมาณ 150 นาย ถือโล่สูงกำบังเป็นแถวเรียงกันจำนวน 6 แถว

ด้วยกำลังหลักที่เป็นเพียงพลธนู ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับกองทัพศัตรูที่ส่วนใหญ่เป็นทหารม้า และมีจำนวนมากกว่าถึงสามเท่า แต่ผู้บัญชาการโจวกลับสามารถนำทัพจนได้ชัยอย่างงดงาม ข้าศึกแตกพ่ายกลายเป็นการสังหารหมู่ฝ่ายเดียว นี่คือการนำทัพที่สร้างชื่อให้กับนายพลโจวและนำไปสู่การเลื่อนตำแหน่งสู่ระดับสูงของกองทัพ

หลังจากโจวเหว่ยชิงได้รับรู้วีรกรรมการสู้รบของบิดา เมื่อเขาจับธนูขึ้นมาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหึกเหิมและตื่นเต้น และเพราะว่าตนเป็นบุตรของชายผู้เป็นตำนานนั่น คันธนูยาวนี้จึงถูกโจวเหว่ยชิงง้างฝึกฝนมาหลายครั้งหลายครา แต่อย่างไรก็ตาม การง้างธนูต่อสู้ในสนามรบจริงก็ย่อมให้ความรู้สึกแตกต่างกับการซ้อมอยู่แล้ว

หลังจากสูดหายใจเข้าลึกคราหนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็จับเข้าที่คันธนูด้วยมือซ้าย เขาใช้นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางจับเข้าที่สายง้างอย่างชำนาญ ก่อนจะใช้กำลังง้างสายขึ้นและเล็งไปยังเบื้องหน้า

นักธนูคนนั้นตาลุกวาว อุทานอย่างยกย่อง “เยี่ยมมาก! นี่น้องชาย เจ้าเคยใช้ธนูยาวนี่มาก่อนใช่หรือไม่ ท่าง้างสายธนูของเจ้านั้นธรรมดาสามัญ ทว่ากลับลื่นไหลและดูแม่นยำยิ่งนัก หากมีเป้าวางอยู่เจ้าคงยิงเข้าตรงกลางเป็นแน่

สำหรับนักธนูอย่างพวกเรา การยิงให้เข้าเป้านั้นสำคัญมาก ฉะนั้นพวกกองทัพจึงให้ความสำคัญกับพวกเรามากยังไงล่ะ”

ด้วยท่าทางราวกับง้างสายนี้มาเป็นพันครั้งเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงจะยิงไม่เข้าเป้าได้อย่างไร! เมื่อย้อนกลับไปตอนที่เขายังอาศัยอยู่ที่ตระกูล บิดาของเขานั้นดูจะมีความสุขมากซะเหลือเกินกับการ “ทรมาน” เด็กหนุ่มต่างๆ นาๆ ด้วยการฝึกฝนพวกนี้ แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะฝึกพลังปราณสวรรค์ไม่ได้ ทว่าในการฝึกฝนร่างกายขั้นพื้นฐานอย่างเช่นต่อสู้มือเปล่าหรือด้วยอาวุธต่างๆ นั้นเขาย่อมได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากแม่ทัพใหญ่ของอาณาจักร แม้กระทั่งตาแก่นั่นจะออกไปทำงาน ก็ยังมอบหมายตารางฝึกฝนให้โจวเหว่ยชิงฝึกให้สำเร็จ และแน่นอนว่าเขาย่อมต้องกลับมาตรวจสอบความเรียบร้อยเสมอ เพราะถ้าหากว่าไม่ตรวจละก็…ฮี่ๆๆๆ…

ด้วยการเขี่ยวเข็ญของบิดา โจวเหว่ยชิงจึงไม่ได้ง้างธนูเป็นเพียงอย่างเดียว แต่เขากลับยิงธนูได้แม่นยำและรวดเร็วเป็นอย่างมาก นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เด้กหนุ่มยิ้มร่าอย่างมีความสุขที่ตนเลือกเข้าร่วมหน่วยแม่นธนู อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นมีชื่อเสียงในเรื่องกองกำลังพลทหารแม่นธนูเป็นอย่างมาก และแม่ทัพโจวก็ทุ่มเทกำลังฝึกฝนทหารหน่วยนี้อย่างหนัก

โจวเหว่ยชิงค่อยๆ คลายมือจากสายธนู ภายในไม่กี่อึดใจเขาก็กลับมายืนหลังตรง จริงๆ แล้วโจวเหว่ยชิงก็เป็นเพียงเด็กอายุ 13 ปีเท่านั้น และแม้ว่าร่างกายของเขาจะดูแข็งแรงไม่ด้อยไปกว่าชายฉกรรจ์ทั่วๆ ไป แต่พละกำลังของเด็กหนุ่มก็ยังคงทำให้ง้างสายธนูคาไว้ได้ไม่นานนัก

“เอาล่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว ยินดีด้วย!  เจ้าหนู ตั้งแต่นี้ต่อไปเจ้ากลายเป็นพี่น้องในกองธนูของเราแล้ว! กองพันของเราเป็นส่วนหนึ่งของกรมทหารที่ 5 และกรมทหารที่ 5 นั้นก็มีทหารสังกัดอยู่ 10 กองพัน เนื่องจาก 4 ใน 10 กองพันนั้นคือหน่วยธนู ดังนั้นพวกเราเลยอยู่กองพันธนูลำดับที่ 3

ในดินแดนไร้ขอบเขตนั้น การจัดตั้งหน่วยทหารต่างๆ ก็จะคล้ายๆ กัน

ทหาร 10 นาย จะเรียกว่า ทหาร 1 หมู่

ทหาร 10 หมู่ (100 คน) เรียกว่า ทหาร 1 กองร้อย

ทหาร 10 กองร้อย (1,000 คน) เรียกว่า ทหาร 1 กองพัน

ทหาร 10 กองพัน (10,000 คน) เรียกว่า ทหาร 1 กรม

ทหาร 10 กรม (100,000 คน) เรียกว่า ทหาร 1 กองพล

แน่นอนว่ากองกำลังของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นมีไม่ถึง 1 กองพลหรอก เพราะอาณาจักรของเรามีทหารทั้งหมดแค่ 5 กรม หรือประมาณ 50,000 นายเท่านั้นเอง”

“เอ๋? การทดสอบมีแค่นี้เองเหรอพี่ชาย?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ

ผู้คุมคนนั้นตอบกลั้วเสียงหัวเราะ “ทำไม? เจ้าคิดว่ามันจะยากกว่านี้รึ? พวกเรารับสมัครทหารใหม่ ไม่ได้คัดเลือกลูกเขยเสียหน่อย ตราบใดที่พวกเจ้าร่างกายแข็งแรงดี มีแรงที่จะง้างธนูยาวนี้ได้ก็พอแล้ว เด็กน้อย นี่เจ้าเพิ่งอายุ 16 ใช่ไหม เอาเถอะ เจ้ายังโตได้อีกมาก เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นๆ ก็คงไม่มีปัญหาหรอก ที่สำคัญคือการฝึกพื้นฐานจะใช้เวลาถึง 3 เดือน และเจ้าก็ไม่ต้องกังวล เราจะยังไม่ส่งทหารใหม่ไปออกรบจริงๆ หรอกน่า เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าเอาของไปเก็บตรงนั้นก่อนล่ะกัน น้องชาย ข้าบอกเอาไว้เลยนะว่า เจ้าน่ะโชคดีมากที่ได้เข้ากองพันธนูที่ 3 ของเรา เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เองตอนที่ผู้บัญชาการของเรามอบอาวุธให้เจ้าตรงโน้น” ขณะที่เขากล่าวก็ตวัดเครื่องหมายผ่านลงบนใบสมัครของโจวเหว่ยชิงไปด้วยก่อนจะส่งกลับคืน

นักธนูคนนั้นบอกตำแหน่งที่ตั้งกองบัญชาการให้แก่โจวเหว่ยชิง ซึ่งที่นั่นตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก กระโจมเหล่านั้นดูเหมือนจะเพิ่งสร้างขึ้นมาไม่นานด้วยซ้ำ เพราะยังมีเกวียนสัมภาระกำลังจอดขนของลงอยู่

ตอนนี้เขากำลังจะเป็นทหารจริงๆ ใช่หรือไม่?  โจวเหว่ยชิงเริ่มคิดด้วยความตื่นเต้น

เนื่องจากว่าตั้งแต่ยังเด็ก โจวเหว่ยชิงมักถูกบิดาดุด่าว่าเป็นคนไร้ประโยชน์ และเขาไม่เคยรู้สึกถึงความสำเร็จเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าการทดสอบก่อนหน้านี้จะง่ายมาก แต่เขาก็ผ่านการทดสอบนั้นมาด้วยกำลังของตนเอง โจวเหว่ยชิงยืดอกด้วยความภาคภูมิใจขณะที่เดินไปยังกองบัญชาการของกองทัพ

ใบสมัครในมือของเขาทำหน้าที่เป็นใบผ่านทางยังจุดตรวจต่างๆ และการบอกเล่าจากทหารยาม เด็กหนุ่มสามารถเดินเข้ามาถึงกองบัญชาการใหญ่ของกองพันธนูที่ 3 ได้อย่างราบรื่น ที่หน้ากระโจมขนาดใหญ่มีป้ายเขียนกำกับไว้ว่า “รายงานตัวทหารใหม่ที่นี่”

ตอนนี้โจวเหว่ยชิงตื่นเต้นมาก เขารีบเดินเข้าใกล้กระโจมนั้นและยกมือขึ้นเพื่อขยับม่านเปิดเข้าไปข้างใน ทันใดนั้นเองก็พลันเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ขณะที่เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเพื่อเปิดกระโจมออก ใครบางก็คนกำลังเดินสวนออกมาในเวลาเดียวกัน เนื่องจากฤดูนี้เป็นฤดูร้อน ม่านกระโจมจึงทำจากผ้าบางๆ เพื่อระบายอากาศและป้องกันแมลง ด้วยความตื่นเต้นของโจวเหว่ยชิง เขาจึงเผลอจับม่านกระโจมนั้นอย่างเต็มแรง แต่ในขณะที่คว้าม่านนั้น โจวเหว่ยชิงก็พลันจับโดนบางสิ่งบางอย่างที่มีรูปร่างกลม นุ่มนิ่มและหยืดหยุ่นอย่างพิศวงไว้ด้วย โจวเหว่ยชิงเผลอบีบมันอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องตกใจดังมาจากปลายอีกด้าน ก่อนที่เขาจะถูกใครบางคนเตะออกไปจนกระเด็น

แรงเตะดูเหมือนจะไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น แต่โจวเหว่ยชิงกลับกระเด็นถอยหลังไปไกลกว่า 7 ก้าว บั้นท้ายของเขาเกือบจะล้มลงจ้ำเบ้ากับพื้น ม่านถูกผลักออก และมีคนผู้หนึ่งก้าวออกมา

เธอเป็นเด็กสาวหน้าตางดงาม อายุประมาณ 16 ปี สูงราว 1.7 เมตร และมีรูปร่างดูผอมเพรียวบอบบาง เธอมีเส้นผมสีฟ้ายาวสลวยซึ่งถูกรวบไว้เป็นหางม้าข้างหลัง สวมชุดเครื่องแบบสีดำซึ่งโจวเหว่ยชิงจำได้ว่าเป็นเครื่องแบบของผู้บัญชาการกองพัน อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้สวมชุดเกราะ ซึ่งหากว่าเธอสวมมันก็จะกลายเป็นเครื่องแบบผู้บังคับกองพันแบบเต็มยศ

องค์หญิงตี้ฝูหยานั้นจัดว่างดงามมากแล้ว แต่ก็เทียบไม่ได้กับหญิงสาวผู้นี้ ทั้งคู่ราวกับอยู่คนละระดับ ผิวของเธอดูนุ่มนิ่มและเรียบเนียนราวกับน้ำนม สิ่งที่โดดเด่นที่สุดน่าจะเป็นดวงตาสีฟ้าอ่อนอันน่าหลงใหลคู่นั้น มันดูอ่อนโยนและงดงามสมบูรณ์แบบยิ่งนัก รูปร่างหน้าตาของหญิงสาวนั้นไร้จุดบกพร่อง ทำให้ทุกคนที่มองต่างก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนราวกับสายน้ำ

ในขณะที่โจวเหว่ยชิงมองไปยังหญิงสาว เขาก็พลันต้องตกใจเมื่อพบว่าตนรู้จักอีกฝ่าย แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะเคยเห็นเธอแค่ครั้งเดียวจากที่ไกลๆ แต่ความงดงามนั้นก็ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอมา ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ลำดับต้นๆ ของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ และยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นที่รู้กันว่าความงามของเธอนั้นก็เป็นอันดับต้นๆ ของอาณาจักรเช่นกัน

ชื่อของเธอก็คือ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์

………………………………………………………..

“อะไรนะ? นี่เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้ารึ?” ฉับพลันนายกองผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห ความสูงกว่า 1.9 เมตรของเขาทอดบังศีรษะของโจวเหว่ยชิงจนมิด แผ่รังสีคุกคามกดดันขณะที่เขาคว้าข้อมือของโจวเว่ยชิงและเบียดหน้าขมึงทึงเข้าใกล้

“อ๊าาาา…ย่อมไม่ๆ ข้าแค่หมายถึง ข้าต้องการเวลาคิดสักเล็กน้อยว่าจะเข้ากองทหารหน่วยไหนดี…” โจวเหว่ยชิงรีบชิงพูดด้วยรอยยิ้มกลบเกลื่อนบนใบหน้า ดั่งโบราณกล่าวไว้ว่า คนฉลาดย่อมรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ฉะนั้นโจวเหว่ยชิงจึงย่อมไม่ต้องการมีปากมีเสียงให้ตนถูกอัดจนน่วม

ความเป็นจริงนั้น หากเด็กหนุ่มเปิดเผยฐานะของตนออกไป พวกทหารก็ต้องก้มหัวลงคุกเข่าให้เขาอยู่แล้ว แต่ถึงแม้ว่านิสัยของโจวเหว่ยชิงจะเป็นคนเจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกง แต่เขายังเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้เป็นบิดาเสมอ ตั้งแต่เด็ก บิดามักจะพร่ำสอนกับโจวเหว่ยชิงเสมอว่าลูกผู้ชายที่แท้จริงนั้นจะต้องมุ่งมั่นและทำตามหลักการของตนเอง ไม่หวังพึ่งพิงฐานะของตระกูลเป็นอันขาด ดังนั้น แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะมาจากตระกูลที่มีฐานะสูงส่งตระกูลหนึ่งในอาณาจักร เขาก็ไม่เคยใช้ฐานะของตนหาผลประโยชน์จากผู้อื่นเหมือนองค์หญิงตี้ฝูหยา

และความเป็นจริงนั้น แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะเปลี่ยนใจไม่สมัครเกณฑ์ทหารแล้ว ตามกฏนายกองคนนี้ก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี น่าเสียดายที่โจวเหว่ยชิงยังเด็กและไร้ประสบการณ์เกินกว่าที่จะรู้เรื่องนั้น

หลังจากได้ยินเสียงตอบรับจากโจวเหว่ยชิง นายกองคนนั้นก็นั่งลงพร้อมกับใบหน้าฉายแววพึงพอใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองโจวเหว่ยชิงก่อนจะพูด “เอาล่ะ รีบๆตัดสินใจ แล้วก็กรอกรายละเอียดตรงนี้ซะ จะได้ไปทดสอบสมรรถภาพต่อ ข้าขอบอกไว้เลยนะไอ้หนู เจ้าน่ะโชคดีมากเพราะนี่เป็นการรับสมัครครั้งแรกๆ การทดสอบเลยจะไม่เข้มงวดมาก ไม่อย่างนั้นแกคิดเรอะว่าการสมัครเป็นทหารมันจะง่ายขนาดนี้?”

โจวเหว่ยชิงถามต่อด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “พี่ชาย อะแฮ่ม ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ ในสนามรบ ทหารหน่วยไหนยืนอยู่ข้างหลังสุดแบบไม่ต้องปะทะกับศัตรูบ้าง?”

เด็กชายทุกคนย่อมใฝ่ฝันอยากจะเป็นผู้กล้าเมื่อพวกเขายังเด็ก แต่โจวเหว่ยชิงนั้นมีหลักการของตนเอง เขาไม่อยากจะเป็นแค่ทหารแบกของ กางกระโจม หรือทำอาหาร ถ้าหากได้เป็นทหารจริงๆ ก็ควรเป็นทหารที่มีหน้าที่ดีๆหน่อย เพราะหาไม่แล้วละก็ เมื่อบิดารู้เข้า เด็กหนุ่มจะต้องถูดอัดจนน่วมแน่ๆ! ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเขาเองก็ไม่อยากจะเสียหน้าด้วย! แต่หากได้เป็นทหารเข้าสู่สนามรบจริงๆ โจวเหว่ยชิงก็ยังอยากจะหาตำแหน่งเหมาะๆ ที่จะทำให้ตนอยู่รอดปลอดภัย เพราะสำหรับเขาแล้ว ความปลอดภัยย่อมมาเป็นอันดับหนึ่ง โจวเหว่ยชิงเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนย่อมกลัวตาย และเขาก็ไม่ใช่วีรบุรุษที่สามารถเผชิญกับความตายได้อย่างห้าวหาญด้วย

นายกองคนนั้นมองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตามีเลศนัย เขากล่าวอย่างรวดเร็ว “นั่นง่ายมาก แน่นอนว่าหน่วยที่เจ้าต้องการจะเข้าคือหน่วยธนู เพราะพลธนูนั้นมักจะอยู่ในแนวหลัง และแม้ว่าต้องไปนำยิงที่แนวหน้าของกองทัพ แต่ก็มักจะได้ถอยกลับมาตั้งหลักในแนวหลังเมื่อกองทัพทั้งสองเข้าปะทะกัน นอกเสียจากว่าทั้งกองทัพจะถูกทำลายไปแล้วนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นนักธนูก็ไม่ได้ปะทะกับศัตรูตรงๆ หรอก”

เมื่อได้ยินดังนั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก “ใช่แล้ว! นั่นมันเหมาะกับข้าจริงๆ! ทำไมข้าถึงไม่ได้นึกถึงหน่วยที่มีชื่อเสียงที่สุดของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์อย่างหน่วยธนูนะ พี่ชาย ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าอยากจะสมัครเป็นนักธนูขอรับ!” อย่างน้อยเขาก็รู้ว่านักธนูมักจะถูกจัดตำแหน่งให้อยู่ข้างหลังเพื่อรับการป้องกันจากกองทัพหลัก

นายกองเห็นว่าแผนการณ์ยุยงส่งเสริมของตนได้ผลจึงหัวเราะออกมาก่อนจะยืนขึ้นและจับพู่กันขึ้นมา “เจ้าชื่ออะไร อายุเท่าไหร่?”

“ข้าชื่อโจว…” โจวเหว่ยชิงกัดลิ้นหยุดได้ทันเวลาก่อนที่จะเผลอบอกชื่อจริงออกไป “ข้าชื่อว่าอ้วนน้อยโจว อายุ16ปีขอรับ” แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะอายุเพียง 13 ปี แต่อย่างน้อยเขาก็เกิดในครอบครัวขุนนางและเป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูล ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงมีความรู้เพียงพอที่จะพลิกแพลงบิดเบือนคำพูดไม่ให้เป็นเท็จซะทีเดียว อย่างน้อยก็ยังอยู่ในระดับที่เหนือกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป

เนื่องจากเขาตัดสินใจจะเข้าร่วมกองทัพ ดังนั้นเพื่อซ่อนตัวตนจากบิดาของเขา โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจที่จะใช้ชื่อปลอมที่เป็นชื่อเล่นสมัยเด็กของเขา ซึ่งชื่อนั้นเป็นชื่อที่ไม่ได้ใช้มานานกว่า 10 ปีแล้ว ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่บิดาจะค้นพบตัวเขาจากชื่อนี้

“อ้วนน้อยโจวงั้นรึ? มองยังไงแกก็ไม่เห็นอ้วนเลยสักนิด!” นายกองพึมพำกับตัวเองขณะที่จดรายละเอียดลงไป ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าโจวเหว่ยชิงนั้นดูเด็กเกินกว่าจะอายุ 16 ปี

หลังจากนั้นไม่นาน การสมัครก็เสร็จสมบูรณ์ เขาก็ส่งใบสมัครนั้นให้แก่โจวเหว่ยชิงและชี้นิ้วไปที่มุมหนึ่ง  “เอาล่ะ ไปตรงนั้นเพื่อทดสอบกับนักธนู ถ้าเจ้าสอบผ่านก็จะได้เป็นนักธนูของอาณาจักรแล้ว”

“ขอบคุณมากขอรับพี่ชาย” โจวเหว่ยชิงรับใบสมัครนั้นมาอย่างยินดี  ภายในใจพลันคิดว่า การเข้าร่วมหน่วยทหารที่จะทำให้เขาไม่ตกอยู่ในอันตรายมากนักอย่างหน่วยธนูนั้นเป็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุดแล้ว นี่มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!

โจวเหว่ยชิงรีบร้อนไปยังตำแหน่งที่จัดทดสอบ ที่นั่นมีทหารรออยู่ 4-5 นาย พวกเขาล้วนสวมชุดเครื่องแบบสีดำและสีเทา สวมทับด้วยเกราะหนังน้ำหนักเบา ปลอกมือที่ดัดแปลงเฉพาะเพื่อสวมที่ข้อมือนักธนู นอกจากนั้นยังมีหมวกขนาดใหญ่ครอบไว้ที่ศีรษะเพื่อป้องกันสายตาจากแสงแดดและสายฝน ด้านหลังยังมีคันธนูยาวสะพายไว้พร้อมกับแล่งธนูอยู่ด้านข้าง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุปกรณ์สามัญสำหรับนักธนู เมื่อสวมใส่ก็แลดูองอาจและสง่างาม

ณ ขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดเข้ารับการทดสอบ มีเพียงทหารใหม่สองสามนายกำลังยืนมุงดูอยู่อย่างสนอกสนใจ โจวเหว่ยชิงย่อมรับรู้ว่าบิดาของตนเข้มงวดเพียงใด และถ้าเขาโหดเหี้ยมกับลูกชายของตัวเองขนาดนี้แล้วล่ะก็ กองทัพของเขาก็คงจะมีวินัยอย่างเข้มงวดเช่นกัน ดังนั้น ถึงแม้ว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์จะค่อนข้างเล็กและมีกำลังทหารเพียงไม่กี่หมื่นนาย แต่ทหารเหล่านั้นต่างก็ล้วนเป็นขุนศึกผู้ยอดเยี่ยมและมีความสามารถในการต่อสู้กับศัตรูที่มีจำนวนใกล้เคียงหรือสูงกว่า โจวเหว่ยชิงรู้ดีว่าบิดาของเขาไม่เคยพ่ายแพ้ในสนามรบ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วในอาณาจักรรอบๆ อีกด้วย

“คารวะพี่ชาย ข้ามาทำการทดสอบเป็นนักธนู” โจวเหว่ยชิงส่งใบสมัครของเขาให้กับหนึ่งในผู้คุมที่สบตากับตนอยู่ ชายคนนั้นจึงกล่าวว่า “น้องชาย เลือกได้ดี! ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าที่เลือกเข้ากองธนูของเรา หน่วยของเรานั้นเป็นหน่วยที่ดีที่สุดในกองทัพเชียวล่ะ เอาธนูนี่ไปซะ แล้วก็ลองง้างดูแบบนี้” ผู้คุมคนนั้นทดลองง้างธนูของเขาให้ดูก่อนจะส่งต่อให้โจวเหว่ยชิง

โจวเหว่ยชิงก้มมองดูธนูนั้นอย่างละเอียดรอบหนึ่ง มันทำจากไม้ดาราที่มีคุณภาพเยี่ยม ยาวประมาณ 1.8 เมตร และกว้างกว่า 0.9 เมตร ส่วนหน้าของคันธนูนั้นโค้งรับกันได้อย่างเหมาะเจาะ ขณะที่เชือกขึงนั้นเหยียดยาวเป็นเส้นตรงไม่บิดเบี้ยวแม้แต่น้อย ส่วนที่จับนั้นกว้างประมาณ 4 เซนติเมตร ส่วนที่ต่อออกมาจากที่จับก็มีขนาดเรียวเล็กลงเรื่อยๆ ไปจน ถึงปลายของทั้งสองฝั่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกห่อหุ้มด้วยเส้นเอ็นอย่างดี

ด้วยการห้ำหั่นกันในศึกสงคราม คันธนูยาวเช่นนี้จึงได้รับการคิดค้นพัฒนามายาวนานต่อเนื่องปีแล้วปีเล่า ในดินแดนไร้ขอบเขตสมัยโบราณนั้นมีวัสดุหลากหลายชนิดที่มักจะนำมาใช้ทำธนู ในยุคนั้นธนูทั่วไปมีความยาวประมาณ 1.2 เมตร มีระยะโจมตีหวังผลสูงสุด 200 เมตร น้อยสุด 100 เมตร และอำนาจการทะลุทะลวงต่ำ ขณะที่เวลาผ่านไป ธนูก็ค่อยๆถูกพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นคันธนูยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นพบวัสดุชั้นดีอย่างไม้ดารา ทำให้คันธนูยาวถูกใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น

แม้ปัจจุบันคันธนูยาวนี้ถือว่าเป็นอาวุธประจำกายสำหรับพลธนูของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ แต่ก็มันก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากแม้แต่ทหารธรรมดาที่ไม่มีพลังปราณสวรรค์ก็สามารถยิงโจมตีหวังผลสูงสุดได้ตั้งแต่ 200 ถึง 400 เมตร ซึ่งเป็นระยะโจมตีที่มีประสิทธิภาพเกือบสองเท่าของธนูแบบเก่า นอกจากนั้น อัตราความเร็วในการยิงยังสูงถึง 10-12 ลูกต่อนาที และเมื่อมันตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของนักแม่นธนู ความเร็วก็ย่อมสูงมากกว่า

คันธนูยาวนั้นเบาเนื่องจากวัสดุที่ทำมันขึ้นมา และมันยังใช้งานง่ายกว่าธนูแบบเก่า แม้ว่าจะให้ระยะหวังผลที่ดีกว่าและพลังทำลายล้างสูงกว่าก็ตาม ดังนั้นคันธนูยาวจึงเหมาะสำหรับทั้งใช้ซุ่มโจมตีและปะทะโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น รูปลักษณ์ที่สง่างามของมันก็ยังทำให้ธนูอื่นๆกลายเป็นสิ่งล้าสมัย จึงอาจกล่าวได้ว่าคันธนูยาวเปรียบดั่งราชาในสนามรบสำหรับการโจมตีระยะไกลเลยทีเดียว

การยิงโจมตีระยะไกลของธนูยาวอาจให้ผลราวกับการระดมยิงด้วยปืนใหญ่ เมื่อเหล่าพลทหารราบกำลังพุ่งเข้าปะทะศัตรู พลธนูที่ซุ่มอยู่ในแนวหลังก็สามารถยิงธนูขึ้นไปในแนวโค้งเพื่อทำร้ายศัตรูในกองทัพหน้าได้ ซึ่งนี่ก็เป็นจุดอ่อนของพลทหารม้าที่มักไม่สวมเกราะหนัก เพราะเมื่อนักธนูยิงด้วยกำลังสูงสุด ลูกธนูอันแหลมคมนั้นก็สามารถเจาะผ่านแม้กระทั่งเกราะอ่อนได้

…………………………………………………..

ณ ป่าดารา ริมทะเลสาบวารีเยือกแข็ง

ร่างของโจวเหว่ยชิงนอนหมดสติอยู่บนพื้นในท่าแผ่แขนขาออกไปทุกด้าน ขณะนั้นเอง ร่างกายของเขาก็เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่ง

แสงสีดำนั้นห่อหุ้มรอบตัวเขาเป็นชั้นๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่มีแสงอาทิตย์จ้า พลังธาตุมืดถูกปลดปล่อยออกมาจากภายในร่างกายลอยวนล้อมรอบตัวเด็กหนุ่มไว้ราวกับรังไหม

บาดแผลเหวอะหวะบนแผ่นหลังของเขาที่ถูกบอลอัคคีขององค์หญิงโจมตีเริ่มสมานกันในความเร็วที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือในขณะที่แผลของโจวเหว่ยชิงกำลังสมานตัวนั้น ไขกระดูก กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน หรือแม้แต่เส้นลมปราณที่อุดตันนั้นก็กำลังหลอมรวมเข้ากับม่านพลังสีเทามืดกลุ่มหนึ่งภายในร่าง

มันคือม่านพลังสีเทาที่น่าพิศวง ให้ความรู้สึกเยือกเย็นน่ากลัวกว่าไอความมืดจากรังไหมสีดำที่ห่อหุ้มตัวเด็กหนุ่มอยู่เสียอีก หากแต่มันก็เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตที่แสนแปลกประหลาด  อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กลุ่มพลังสีเทานี้กำลังแผ่ขยายออกมาจากภายในร่างกายเพื่อกลืนกินไอสีดำจากรังไหมที่ห่อหุ้มเขา  ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ ตัวก็พลันเกิดเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาด  พืชพรรณเหล่านั้นเริ่มเหี่ยวเฉากลายเป็นสีเทาเข้ม เริ่มต้นจากพื้นที่รอบๆ ร่างของโจวเหว่ยชิงก่อนจะแผ่ขยายอาณาเขตออกไปเป็นวงกลมรัศมี 5 เมตร ทำให้พืชที่อยู่รายรอบเหล่านั้นล้มตายอย่างรวดเร็วขณะที่ตัวเด็กหนุ่มกลับเร่งรักษาตัวเองได้เร็วยิ่งขึ้น สิ่งนี้ทำให้แลดูราวกับมีไอปีศาจลอยละล่องอยู่เหนืออากาศอย่างน่าขนลุก

ม่านพลังสีเทาเข้มที่เริ่มสมานเข้ากับไอดำจากรังไหมนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศหนาวเย็นลง แผ่ความรู้สึกกดดันและชั่วร้ายออกมา กลุ่มแสงจำนวน 5 สีแตกต่างกันลอยวนอยู่เหนือร่างของโจวเหว่ยชิง ประกอบไปด้วยแสงสีดำ สีเทา สีเขียว สีน้ำเงิน และสีเงิน เขากระตุกเล็กน้อยขณะที่กลุ่มแสงเหล่านั้นพุ่งออกมาและล่องลอยวูบวาบอยู่เหนือร่าง ทั้งหมดนั่นเป็นผลมาจากไข่มุกสีดำอันแปลกประหลาดเด็กหนุ่มกลืนลงไปก่อนหน้านี้นั่นเอง

แสงอันอบอุ่นของพระอาทิตย์ไม่อาจย่างกรายเข้ามายังบริเวณรอบๆ ร่างของโจวเหว่ยชิงได้ บนหน้าผากของเขายังปรากฏตัวอักษรสีดำว่า “ราชา” อย่างช้าๆ ในขณะที่ชั้นพลังสีดำซึ่งปกคลุมร่างของเขาก็เริ่มปรากฏเป็นลวดลายบางอย่าง ก่อนจะแผ่ออกไปยังม่านพลังสีเทาในรูปแบบเดียวกัน ชั้นพลังทั้ง 2 นั้นก่อกำเนิดเป็นลายเส้น 3 มิติก่อนจะลุกลามไปทั่วร่างกายของเด็กหนุ่มไม่เว้นแม้กระทั่งใบหน้า

เหตุการณ์นี้ดำเนินต่อไปเกือบค่อนชั่วโมง ก่อนที่ม่านแสงทั้งหมดจะค่อยๆ จางหายและซึมกลับเข้าไปยังร่างของโจวเหว่ยชิง ลวดลายแปลกประหลาดเหล่านั้นก็ค่อยๆ เลือนลางไปเช่นกัน

ผิวสีแทนสุขภาพดีของโจวเหว่ยชิงดูซีดขาวกว่าที่เคย ใบหน้าของเขาดูราวกับหล่อเหลามีเสน่ห์เพิ่มมากขึ้น แผ่นหลังที่บอบช้ำจากแรงระเบิดของบอลอัคคีก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่หลงเหลือร่องรอยแผลเป็นแม้แต่นิด ราวกับว่าเขาไม่เคยมีบาดแผลนั้นเกิดขึ้นมาก่อน

หลังจากนั้นไม่นาน นิ้วของโจวเหว่ยชิงเริ่มขยับและความทรงจำทั้งหมดก็เริ่มกลับมา ในขณะที่ลืมตาขึ้น เด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหนาวสั่นในฉับพลันนั้น แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างในขณะที่ไม่ได้สติไป แต่ก็สัมผัสถึงความหนาวเย็นทั่วร่างหลังจากที่ตื่นขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มหนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจ ความรู้สึกราวกับถูกแช่แข็งนี้ทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกไม่สบายตัว ก่อเกิดเป็นความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้

“ข้า… ข้ายังไม่ตายงั้นรึ?” โจวเหว่ยชิงลุกขึ้นนั่งทันทีทันใดและสัมผัสได้ว่าน้ำหนักตัวของเขาเบาหวิวกว่าที่เคย เด็กหนุ่มรีบกวาดมือขึ้นไปจับยังแผ่นหลังทันที ราบเรียบ? เขาเบิกตาถลนด้วยความประหลาดใจ

“ทั้งหมดนี่เป็นความฝันงั้นรึ?” โจวเหว่ยชิงมองไปรอบๆ จากนั้นก็มองเสื้อผ้าขาดวิ่นบนตัว พื้นที่รัศมีวงกลมรอบๆตัวล้วนเต็มไปด้วยซากต้นไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวเฉา นี่มันไม่ใช่ความฝันแน่ๆ

เด็กหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นกุมหน้า ความทรงจำของโจวเหว่ยชิงเริ่มกลับมาแจ่มชัดอย่างช้าๆ

“ไอ้ไข่มุกสีดำแปลกๆนั่นเหมือนจะเข้ามาในร่างของข้า?” ฉับพลันโจวเหว่ยชิงก็ย้อนนึกถึงความทรงจำสุดท้ายก่อนจะสลบไป ก่อนหน้านั้นเด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนมีไอเย็นสายหนึ่งพุ่งเข้าสู่กระเพาะ จากนั้นเขาก็สลบเหมือดไปด้วยความหนาวไม่รับรู้อะไรอีกเลย เมื่อมองดูซากต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ โจวเหว่ยชิงจึงคาดคะเนว่ามันคือความเสียหายจากการโจมตีของบอลอัคคีขององค์หญิงตี้ฝูหยา

เนื่องจากโจวเหว่ยชิงเกิดมาพร้อมกับเส้นลมปราณอุดตัน แม้ว่าเขาจะได้รับยศศักดิ์เป็นขุนนางน้อยแต่กำเนิด ทว่าเขาก็เข้าเรียนในโรงเรียนธรรมดาที่ไม่ได้สอนเกี่ยวกับพลังของจ้าวมณี ดังนั้นเขาจึงได้คาดคะเนผิดพลาดไปเช่นนั้น หากว่าพลังขององค์หญิงตี้ฝูหยาแข็งแกร่งอย่างที่เขาจินตนาการ เธอคงไม่เป็นเพียงแค่จ้าวมณีธาตุทั่วๆ ไป ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องรับมือกับความแข็งแกร่งระดับที่เขาคิด บอลอัคคีของอีกฝ่ายคงเผาทำลายร่างกายเขาให้ไหม้เป็นจุลไปแล้ว

“ไอ้มุกสีดำนี่มันอะไรกันนะ?” แม้ว่าเขาจะคาดคะเนผิดไป แต่สิ่งหนึ่งที่รู้ชัดเจนก็คือ เขาถูกบอลอัคคีนั้นโจมตีจนอาการสาหัส ขาข้างหนึ่งเกือบเหยียบปรโลกไปแล้ว แต่เป็นเจ้าไข่มุกสีดำนั่นเองที่ช่วยรักษาชีวิตเอาไว้

นี่ข้าเคยทำความดีอันใหญ่หลวงขนาดไหนมาก่อนรึเปล่านะ? หรือมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับข้า? นี่ข้ามีพลังแล้วงั้นรึ!? โจวเหว่ยชิงเริ่มตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าโดยปกติแล้วเขาจะมีนิสัยมองโลกในแง่ดีทำให้ไม่ใส่ใจในความโชคร้ายที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ทว่าการได้เกิดมาในตระกูลที่มีเกียรติเช่นนี้ เด็กหนุ่มก็ย่อมมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้แข็งแกร่งตามบิดาอย่างแรงกล้า

ขณะที่สอดส่องสายตาไปรอบๆ เขาก็พลันเลือกต้นดาราขนาดยักษ์ต้นหนึ่งใกล้ๆ เป็นเป้าใช้ทดสอบพลัง

เหตุที่ต้นไม้นี้ชื่อต้นดาราก็มาจากใบของพวกมันที่มีลักษณะเป็น 5 แฉกคล้ายกับดวงดารา ต้นดาราที่มีอายุ 100 ปี ถือว่าเติบโตจนเต็มที่แล้ว เปลือกของมันย่อมหนาและแข็งเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังมีความยืดหยุ่นที่ดีเยี่ยม นั่นคือสาเหตุว่าทำไมมันถึงถูกเลือกเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศสำหรับสร้างคันธนู

โจวเหว่ยชิงมุ่งตรงไปยังต้นดาราที่เขาเลือกไว้ ก่อนจะหมุนมือไปมา จากนั้นก็ต่อยลงที่ลำต้นหนาๆ ของมันเต็มแรง

“ปึ้ก!” “อ๊าาาา!” แน่นอนว่าเสียงแรกคือเสียงหมัดกระทบกับลำต้น และเสียงที่ตามมาคือเสียงร้องลั่นราวกับแมวที่ถูกเหยียบหาง โหยหวนราวกับไม่ใช่เสียงของมนุษย์

 โจวเหว่ยชิงนั้นหวาดกลัวต่อความเจ็บปวดมาตั้งแต่เขายังเด็กๆ ทว่าต้นดารานั้นกลับนิ่งงันไม่ขยับ กลับกลายเป็นเขาเองที่กระโดดไปมาพร้อมกับกุมกำปั้นนั้นไว้อย่างทรมาณ ความเจ็บปวดที่หมัดข้างขวานั้นแผ่ซ่านไปทั่วจนทำให้ชาจนแทบไม่รู้สึก ส่วนมือของเขาถลอกปอกเปิกจนแทบดูไม่ได้ ความทรมาณนั้นทำให้เด้กหนุ่มต้องกระโดดไปมาราว 10 นาทีก่อนจะค่อยๆ ดีขึ้นในที่สุด

“บ้าเอ้ย!” เด็กหนุ่มสบถขณะที่เป่าปากไปที่มือแรงๆ “เหอะ ดูเหมือนว่าโชคหล่นทับหัวที่ว่านั่นจะเกิดกับข้าไม่ได้จริงๆสินะ”

โชคดีที่เขายังเด็กและพลังหมัดไม่แข็งแกร่งนัก ดังนั้นกระดูกมือจึงไม่แตกหักไปเสียก่อน หลังจากที่ความเจ็บปวดจางหายไป โจวเหว่ยชิงก็จัดเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ก่อนจะหยิบชุดคลุมจากข้างทะเลสาบมาสวมและเดินคอตกจากไป

สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ หลังจากที่เขาจากไปราว 15 นาที ณ ตำแหน่งที่เขาได้ฝากรอยเลือดจากการหวดกำปั้นลงไปสุดแรงบนต้นดารา เปลือกแข็งรอบๆต้นเริ่มผุพังอย่างช้าๆ และกลุ่มพลังสีเทาก็ค่อยๆ แผ่กระจายออกมาเหนืออากาศ  3 วันให้หลัง ต้นดาราที่มีอายุเก่าแก่มากกว่า 50 ปีต้นนี้ก็ถูกกำจัดไปจากป่าดาราอย่างไร้ร่องรอย

และแน่นอน โจวเหว่ยชิงนั้นไม่ได้รับรู้เรื่องเลยนี้แม้แต่นิดเดียว

…………………………………………………….

ฝ่าบาท อย่าเพคะ!” หนี่ย่าพยายามตะโกนห้ามออกมาด้วยความกลัว ถึงกระนั้น องค์หญิงก็โกรธเกินกว่าที่จะถูกหยุดได้แล้ว หญิงสาวใช้มือขวาผลักองครักษ์หญิงออกไปพ้นทาง และผายมือซ้ายไปยังโจวเหว่ยชิง

 

แม้ว่าหนี่ย่าจะมีพลังปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับ 9 ซึ่งสูงกว่าองค์หญิงตี้ฝูหยาอยู่ถึง 2 ระดับ แต่เนื่องจากยังไม่ได้โคจรพลังออกมาจากมณียุทธของตัวเอง รวมทั้งกลัวว่าอาจจะทำอันตรายแก่องค์หญิง หนี่ย่าจึงไม่สามารถห้ามอีกฝ่ายได้ ฉับพลันนั้นเอง ตี้ฝูหยาจึงปลดปล่อยทักษะธาตุไฟออกไปโจมตีร่างของโจวเหว่ยชิงทันที

 

ทับทิมสีแดงดวงแรกบริเวณข้อมือซ้ายของตี้ฝูหยาส่องแสงสว่างวาบ ก่อนบอลอัคคีสีแดงเพลิงขนาดเท่าศีรษะจะพุ่งตรงไปยังแผ่นหลังของโจวเหว่ยชิงและระเบิดออกอย่างรุนแรง

 

โจวเหว่ยชิงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมาณ แรงระเบิดผลักเด็กหนุ่มออกไปไกลกว่า 5 เมตรก่อนจะม้วนร่างลงกระแทกกับพื้น แผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะและคาวเลือด นอกจากนั้นยังได้กลิ่นเนื้อไหม้จากข้างหลังอย่างชัดเจน

 

“เจ้า…เจ้า…” โจวเหว่ยชิงพยายามเงยหน้าขึ้นมองตี้ฝูหยาที่กำลังตกใจด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีอย่างยากลำบาก เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าองค์หญิงจะลงมือทำร้ายตนอย่างสาหัสเช่นนี้ได้

 

ตี้ฝูหยาหน้าซีดด้วยความตกตะลึง หลังจากที่ปล่อยพลังออกไปด้วยความโกรธ หญิงสาวก็เพิ่งตระหนักถึงสิ่งที่ทำลงไปได้

 

ตี้ฝูหยาย่อมรู้ว่าอานุภาพของทักษะบอลอัคคีที่มาจากมณีดวงแรกของเธอนั้นร้ายกาจเพียงใด และถึงอย่างไรโจวเหว่ยชิงก็เป็นบุตรของท่านแม่ทัพใหญ่โจว แต่ทว่าตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้วที่จะนึกเสียใจ

 

ด้วยความที่ตนเป็นองครักษ์ของตี้ฝูหยา หนี่ย่าเองก็ตกตะลึงไปไม่น้อย  หญิงสาวเหงื่อแตกพลั่ก หากว่าองค์หญิงสังหารโจวเหว่ยชิง บุตรของท่านแม่ทัพใหญ่ผู้ซึ่งได้รับพระราชทานตำแหน่งขุนนางตั้งแต่กำเนิดคนนี้จนถึงแก่ความตายจริงๆล่ะก็ อาจจะทำให้ทั้งอาณาจักรเกิดเรื่องโกลาหลก็เป็นได้ แต่ทว่าทั้งตัวนางเองและองค์หญิงก็ต่างไม่มีพลังรักษา เมื่อรู้เช่นนั้นทั้งสองจึงรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่ง

 

ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสก็พลันมืดครึ้มลง เมฆหนาก่อตัวพร้อมกับสายฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นระยะ ตามด้วยฟ้าผ่าเสียงดังลั่นสะเทือนแผ่นดิน ในขณะนั้น หญิงสาวทั้งสองคนต่างก็รู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาจับขั้วหัวใจ

 

 “ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะ…” ตี้ฝูหยาพึมพำกับตนเองเสียงเบา

 

หนี่ย่าพลันนึกบางอย่างออก หญิงสาวจึงรีบดันให้ตี้ฝูหยาออกวิ่งพลางกล่าว “ฝ่าบาท อากาศกำลังแปรปรวน พวกเราควรจะรีบกลับไปที่วังแล้วพาจ้าวมณีธาตุชีวิตกลับมาที่นี่เพื่อช่วยเขานะเพคะ” องครักษ์หญิงรู้ว่าเจ้าคนประหลาดโจวเหว่ยชิงที่ไม่มีพลังปราณใดๆ นั้นไม่มีโอกาสรอดชีวิตสักส่วน แต่ในเวลานี้ พวกนางต้องรีบหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนจะมีใครมาพบเห็นเข้า ไม่อย่างนั้นทั้งคู่คงต้องจบเห่แน่

 

แม้ว่าจะมีจ้าวมณีธาตุไฟจำนวนน้อยมากในอาณาจักรแห่งนี้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้มีเพียงเจ้าหญิงแค่องค์เดียว ตราบใดที่ไม่ถูกจับได้ ทั้งสองคนก็ยังคงมีหวังที่จะรอดจากเรื่องนี้

 

โจวเหว่ยชิงนอนเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงฝีเท้าของทั้งสองคนเดินห่างออกไป ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่าทั้งร่างของตนกำลังหลอมละลายในลาวาร้อนจัด เลือดถูกต้มจนสุก และลมหายใจก็ราวกับมีควันพวยพุ่งออกมา

 

บาดแผลด้านหลังของเขาไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไป มันชาไปเกือบแทบจะทุกส่วน แต่ทว่าพิษของบาดแผลนั้นยังคงลุกลามไปทั่วร่างกายของเขา ถึงแม้หากมีจ้าวมณีธาตุแห่งชีวิตสักคนเข้ามารักษาทันทีที่ถูกโจมตี เด็กหนุ่มก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พิษของพลังธาตุไฟนั้นลุกลามไปทั่วอวัยวะทุกส่วนของร่างกายแล้ว และพลังชีวิตของเขาก็กำลังถูกรีดเค้นออกไปอย่างช้าๆ

 

โจวเหว่ยชิงนั้นแต่เดิมเป็นคนมองโลกในแง่ดี หลังจากที่กลายเป็นตัวตลกที่ไม่สามารถใช้ปราณสวรรค์ได้ เขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่ได้เรื่อยมาปราศจากอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวลใดๆ ทว่าตอนนี้โจวเหว่ยชิงยังไม่อยากตายและยังมีหลายสิ่งที่อยากจะทำ เด็กหนุ่มไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าตนจะมาตายด้วยน้ำมือของคู่หมั้น ความจริงแล้วเขาไม่ได้เกลียดอีกฝ่าย เพียงแต่เกลียดสวรรค์ที่ไม่มอบร่างกายที่สามารถฝึกปราณสวรรค์ได้มาให้เขา หากได้เป็นจ้าวมณีจริงๆ เรื่องราวก็คงจะต่างออกไปจากเดิมราวกับพลิกฝ่ามือ ความเกลียดชังและความอาฆาตพยาบาทราวกับระเหยออกมาจากตัวโจวเหว่ยชิง  เขาเอ่ยสาบานด้วยความคับแค้นใจ “ตี้ฝูหยาเอ๋ย หากข้าไม่ตายวันนี้ วันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้ามาคุกเข่าต่อหน้าและอ้อนวอนให้ข้าตบแต่งเจ้าเป็นภรรยา และในตอนนั้น ข้าผู้นี้ก็จะปฎิเสธเจ้าอย่างที่เจ้าทำกับข้าในวันนี้!”

 

หลังจากสบถคำสาบานออกไปเป็นครั้งสุดท้าย โจวเหวิ่นชิงพลันสติลางเลือน แม้แต่ความเจ็บปวดบนร่างกายก็ดูจะหายไป นี่ข้าจะตายเช่นนี้จริงๆ รึ? เขาคิดพลันสลบวูบไป

 

จู่ๆ ก็มีรอยแยกสีดำแปลกประหลาดแหวกอากาศออกกว้างกว่า 3 เมตร สิ่งนั้นดูราวกับดวงตาขนาดมหึมาที่ลืมตื่นขึ้นบนอากาศ มุมปากโจวเหวิ่นชิงพลันเผยอออกพร้อมกับมีเลือดสายหนึ่งหลั่งออกมา

 

ทันในนั้นเองกลุ่มแสงแปลกประหลาดก็พุ่งออกมาจากรอยแยกสีดำนั้น มันมีรูปทรงกลม ใหญ่เท่ากำปั้นเด็กทารก สีมืดประดุจถ่าน ทว่าก็ยังเรืองรองไปด้วยแสงสีเขียว สีน้ำเงิน และสีเงินผสมกัน เลือดที่โจวเหวิ่นชิงสำลักออกมาก่อนหน้านี้พลันไหลขึ้นไปรวมกันยังที่รอยแยกนั้น พริบตาเดียวไอเย็นวูบหนึ่งก็พุ่งตรงออกมาจากลำแสงมุ่งเข้าสู่ร่างกายของเด็กหนุ่ม ความเย็นแผ่ไปทั่วอวัยวะทุกส่วน ร่างกายของเขาเริ่มสั่นกระตุกคล้ายกับได้รับความเจ็บปวดเช่นเดียวกับที่ถูกไฟเผาครั้งก่อนหน้า หากแต่มันเป็นความรู้สึกราวกับถูกโยนเข้าไปยังห้องแช่แข็ง  โจวเหว่ยชิงพลันสะดุ้งตื่นและรู้สึกราวกับทุกสิ่งรอบตัวคมชัดขึ้นกว่าที่เคย

 

ไข่มุกรัตติกาลคล้ายจะถูกกระตุ้นด้วยพลังงานบางอย่างในร่างกายของเขา เสียงวูบเกิดขึ้นพร้อมกับไข่มุกนั้นพุ่งตรงเข้าไปในปากของโจวเหว่ยชิง เขารู้สึกหนาวเย็นในลำคอ ร่างกายก็แข็งค้างราวกับถูกแช่แข็ง สติสัมปชัญญะพลันหลุดหายก่อนจะสลบเหมือดไปในที่สุด

 

รอยแยกเหนือร่างของโจวเหวิ่นชิงปิดลงอย่างช้าๆ ดังเช่นที่มันปรากฏขึ้น ท้องฟ้ามืดครึ้มพลันสลายหายไป พระอาทิตย์กลับมาทอแสงเหนือป่าดารา และแสงสีทองก็สาดส่องเหนือทะเลสาบวารีเยือกแข็งอีกครั้ง

 

………………………………………………………..

 ท่าทางนั้นทำให้องครักษ์หญิงหลงเชื่อและเจือจางความโกรธลง หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ชีวิตของเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้า มันขึ้นอยู่กับองค์หญิงว่าจะตัดสินโทษของเจ้าอย่างไร”

 

“องค์หญิง? สวรรค์! ท่านกำลังพูดหญิงองค์หญิงตี้ฝูหยางั้นหรือ!?” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างตกใจ

 

“เจ้ารู้จักข้า?” น้ำเสียงเย็นชาแฝงด้วยความยโสดังขึ้นมาจากด้านหลังขององครักษ์หญิง

 

ชั่วพริบตาพื้นที่ข้างองครักษ์หญิงก็มีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ผมเปียกๆ สีชมพูลู่ไปกับไหล่บอบบาง รูปร่างที่ยั่วยวนสายตานั้นปกคลุมด้วยชุดสีชมพู ใบหน้างดงามของหญิงสาวเผยออกมาให้เห็นพร้อมกับนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลลึก หน้าอกสะท้อนขึ้นลงด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว

 

ทันทีที่สบตากับฝ่ายตรงข้าม ทั้งคู่ก็โพล่งออกมาพร้อมกัน  “เป็นเจ้า?”

 

โจวเหว่ยชิงหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย คิดกับตัวเองว่า ซวยแล้วไง! ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงติดประหม่า “คารวะองค์หญิงตี้ฝูหยา คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอท่านในสถานที่เช่นนี้” เพื่อที่จะได้หลบหนีออกจากสถานการณ์ตรงหน้า โจวเหว่ยชิงจึงพยายามทำสีหน้าอ่อนน้อมจริงใจ

 

โชคร้ายที่องค์หญิงนั้นไม่ใช่บุคคลที่จะล้อเล่นด้วยง่ายๆ หลังจากเก็บสีหน้าประหลาดใจไว้ได้แล้ว ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นโกรธขึ้งก่อนจะกำหมัดแน่น “แกนั่นเอง ไอ้เศษสวะ! กล้าดียังไงถึงตามมาแอบดูข้าอาบน้ำ! หนี่ย่า กำจัดมันซะ!”

 

องครักษ์หญิงก้าวออกมารับคำสั่งจากผู้เป็นนายอย่างไม่ลังเล แม้จะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาอย่างเจ้าหนุ่มคนนี้จะแอบตามมาโดยที่เธอไม่ทันรู้ตัว แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็กนี่ก็ได้เห็นเรือนร่างขององค์หญิงไปเสียแล้ว ดังนั้นโทษของมันจึงมีแค่ความตายเท่านั้น

 

“ช้าก่อน!” โจวเหว่ยชิงไม่ได้พบเจ้าหญิงบ่อยนัก และยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่เคยคุยกับอีกฝ่ายแม้แต่ประโยคเดียว ถึงแม้ว่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงเกี่ยวกับความหยิ่งยโสขององค์หญิงมาบ้าง แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าเธอจะกล้าออกคำสั่งให้ฆ่าเขาเช่นนี้ หากเขาไม่กล่าวอะไรออกไปสักหน่อยคงต้องตายของจริงแน่

 

ขณะที่ดาบของหนี่ย่ากำลังจะขยับนั้นเอง โจวเหว่ยชิงพลันรีบร้อนกล่าวออกมา “ช้าก่อน! ข้าเป็นคู่หมั้นของ   นาง!”

 

หนี่ย่าหยุดดาบของตนเองไว้ด้วยความฉงนและมองไปยังองค์หญิงตี้ฝูหยา ใบหน้าขององค์หญิงครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด

 

“ใครบอกว่าข้ามีคู่หมั้นเศษสวะเช่นเจ้า! ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังน่าสมเพชและน่ารังเกียจสิ้นดี กล้าดียังไงถึงมาแอบดูข้าอาบน้ำ… หนี่ย่า รีบกำจัดมันเดี๋ยวนี้ ข้าจะรับผิดชอบเอง!” ตี้ฝูหยาคำรามอย่างเดือดดาลราวกับราชสีห์ตัวเมีย

 

ตี้ฝูหยามีเหตุผลที่ทำให้โมโหเกี่ยวกับเรื่องบ้าๆ นี่โดยเฉพาะ เนื่องจากเมื่อวานหญิงสาวเพิ่งรบเร้าขอเสด็จพ่อให้ยกเลิกการหมั้นหมายนี่ไปซะ แต่วันนี้ดันมาเจอโจวเหว่ยชิงแอบดอดตามมาถึงที่นี่ หากให้ลองสัญนิษฐาน โจวเหว่ยชิงคงได้ยินเรื่องที่ตนขอถอนหมั้นและหาเรื่องตามมาถึงที่นี่เพื่อก่อเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ตี้ฝูหยาก็มักจะดูถูกคนที่ไม่มีพลังปราณสวรรค์อยู่แล้ว นั่นทำให้หญิงสาวรังเกียจโจวเหว่ยชิงยิ่งกว่าเดิม

 

หนี่ย่ามองไปที่เจ้าหญิงอีกครั้ง จากนั้นก็มองกลับไปที่โจวเหว่ยชิงและกล่าวอย่างลังเล “ท่านเป็นบุตรของท่านแม่ทัพใหญ่โจวอย่างนั้นรึ?”

 

โจวเหว่ยชิงเผยใบหน้าอับจนหนทาง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยตนเอง “ใช่! ข้าคือโจวเหว่ยชิง! เป็นบุตรสุนัขในสำนวน “บิดาพยัคฆ์ไม่มีบุตรสุนัข[4] ” แล้วก็ยังเป็นคู่หมั้นขององค์หญิงอีกด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบดูนางเสียหน่อย ปกติข้ามาอาบน้ำที่นี่เป็นประจำอยู่แล้ว นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้นจริงๆ นะขอรับ!”

 

องครักษ์หญิงละสายตาไปมองยังองค์หญิง “ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่านี่อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด…ท่านโจวน้อยไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบดูท่าน นอกจากนั้นเขายังเป็น…”

 

“หุบปาก!” คิ้วของตี้ฝูหยาขมวดขึ้นด้วยความโกรธ หญิงสาวก้าวไปหนึ่งก้าวก่อนจะผลักหนี่ย่าออกไปให้พ้นทางและเดินตรงไปยังโจวเหว่ยชิง “ข้าไม่มีคู่หมั้นเช่นเจ้า ข้า ตี้ฝูหยา ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจ้าวมณีธาตุระดับเทวะเพื่อที่จะก้าวไปอยู่ท่ามกลางเหล่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก! สามีของข้าจะต้องเป็นวีรบุรุษเหนือผู้คนทั้งปวง เจ้าเศษสวะไร้ยางอายเช่นเจ้าจะคู่ควรอะไรกับข้าได้?”

 

ใบหน้าอันแสนนอบน้อมของโจวเหว่ยชิงที่แสร้งทำเพื่อความอยู่รอดนั้นกระตุกขึ้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าโมโห แม้แต่คนมีเมตตาอารีโดยกำเนิดยังมีเส้นแบ่งที่ห้ามล้ำ ดังนั้นดวงตาที่เกรี้ยวกราดของเขาจึงมองไปยังตี้ฝูหยา “ถ้าข้าแอบดูเจ้าแล้วจะทำไม? ตามกฎหมายอาณาจักรแล้ว เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า แม้ข้าจะจับตัวเจ้าไปปู้ยี่ปู้ยำ องค์จักรพรรดิก็ยังไม่อาจลงโทษข้าได้! หึ! และหากข้าทำเรื่องน่ารังเกียจและไร้ยางอายกับคู่หมั้นของข้า กฎหมายข้อไหนจะคุ้มครองเจ้ากันล่ะ? และเจ้า เจ้าก็ยังต้องแต่งงานกับคนเศษสวะไร้ยางอายเช่นข้าอยู่ดี! ตัวเจ้ามีอะไรน่าภูมิใจกันหนักหนา? ก็แค่เกิดมาเป็นราชนิกูลและโชคดีที่ฝึกพลังปราณได้ หากข้าไม่เกิดมาพร้อมกับเส้นลมปราณอุดตัน ตอนนี้เจ้าก็อาจจะต้องคุกเข่าอ้อนวอนข้าให้มาดูเจ้าอาบน้ำ หรือไม่ก็วิ่งแจ้นมาหาข้าถึงที่เองด้วยซ้ำ ผู้หญิงไร้สมองที่มีตาที่สามงอกบนหน้าผาก[5] คอยเหยียดหยามผู้อื่นเช่นเจ้านั้นคิดจริงๆ หรือว่าข้าอยากจะแต่งด้วย?” หลังจากตะโกนออกไปด้วยความโกรธ โจวเหว่ยชิงก็หันหลังเดินจากไปทันที แม้ว่าปกติเขาจะมีนิสัยค่อนข้างรักสงบและเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่เมื่อถึงเวลาที่อารมณ์ปะทุถึงขีดสุด เขาก็ย่อมสู้ไม่ถอยเช่นกัน

 

หากเทียบบรรดาศักดิ์ระหว่างเขากับเจ้าหญิงตี้ฝูหยาแล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงองค์หญิง ทว่าเขาก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด ถึงปกติเขาจะเป็นตัวตลกในสายตาของคนทั่วอาณาจักร ทว่าบิดาของเขาก็เป็นถึงแม่ทัพใหญ่เพียงหนึ่งเดียวของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น บิดาของเขายังเป็นคนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร เรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของบ้านเมืองเลยก็เป็นได้ จักรพรรดิตี้เฟิงหลิงและบิดาของโจวเหว่ยชิงนับถือกันเป็นพี่น้องร่วมสาบาน และนี่คือสาเหตุว่าทำไมโจวเหว่ยชิงและองค์หญิงถึงได้หมั้นหมายกัน

 

คำพูดของโจวเหว่ยชิงเสียดแทงใจขององค์หญิงตี้ฝูหยาเป็นอย่างมาก อย่างที่เขากล่าว แม้ว่านางจะไม่อยากแต่งงานกับตัวตลกของอาณาจักรเช่นเขา แต่ก็ไม่สามารถขัดคำสั่งองค์จักรพรรดิได้ ความคับข้องใจเดิมผนวกกับความโมโหทำให้สีหน้าขององค์หญิงเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ

 

ตี้ฝูหยายกมือซ้ายขึ้นมา แสงสีแดงเรืองรองปรากฏขึ้นรอบๆ ข้อมือของหญิงสาว ก่อนมณี 2 ดวงจะปรากฏขึ้น หากเปรียบเทียบกับองครักษ์หญิงหนี่ย่า มณีพลังบนข้อมือซ้ายขององค์หญิงตี้ฝูหยาเป็นทับทิมสีแดงโชติช่วง 2 ดวงและพวกมันล้วนเป็นมณีธาตุ ตี้ฝูหยาอายุ 16 ในปีนี้และนับเป็นคนในราชวงศ์ที่เกิดมาพร้อมความเป็นอัจฉริยะ เนื่องจากพลังปราณสวรรค์ของเธอไปถึงขั้นพื้นฐานระดับ 7 อีกทั้งยังได้ครอบครองมณีธาตุดวงที่ 2 แล้วเช่นกัน

 

พลังจากมณีธาตุนั้นแตกต่างจากมณียุทธ์ เนื่องจากแทนที่มันจะเสริมกำลังกายให้แข็งแกร่ง มันกลับทำให้จ้าวมณีสามารถใช้พลังธาตุต่างๆ ได้  ในขณะที่มณียุทธ์อยู่ในรูปแบบหยก มณีธาตุนั้นจะอยู่ในรูปของพลอยสีต่างๆ แต่ละชนิดก็ให้พลังธาตุที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ทับทิมสีแดงขององค์หญิงตี้ฝูหยานั้นคือพลังธาตุไฟ นอกจากนั้นก็ยังมีไพลินสำหรับพลังธาตุน้ำ เพชรสำหรับพลังธาตุดิน ทุรมาลินสำหรับพลังธาตุลม หยกมรกตสำหรับพลังธาตุแสง ไข่มุกรัตติกาลสำหรับพลังธาตุมืด ไพฑูรย์สำหรับพลังธาตุมิติ และหยกเขียวสำหรับพลังธาตุชีวิต ดังนั้นการแยะแยะพลังของจ้าวมณีธาตุจึงง่ายกว่าจ้าวมณียุทธ์ เนื่องจากสามารถดูได้โดยตรงจากมณีที่พวกเขาครอบครอง

 

………………………………………………….

 

[4] บิดาพยัคฆ์ไม่มีบุตรสุนัข หมายถึง หากพ่อเก่งกาจ ลูกก็มักจะเก่งกาจด้วยตามสายเลือด

 

[5] ตาที่สามงอกบนหน้าผาก หมายถึง ผู้ที่ชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น (ตาที่สามบนหน้าผากหมายถึงตาที่ชอบมองต่ำไว้เหยียดคนอื่น)

โจวเหว่ยชิงเบิกตากว้างราวกับฝันของเขาพลันเป็นจริงขึ้นมา ชั่วขณะนั้น เสียงร้องของหญิงสาวอีกคนก็ร้องตะโกนออกมา “ฝ่าบาท ได้โปรดระวัง! มีคนอยู่แถวนี้เพคะ!”

 

ทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกน หญิงสาวผมชมพูก็ตื่นตระหนกราวกับลูกนกตัวน้อย เธอก้มตัวผลุบลงไปในน้ำอย่างรวดเร็วจนเห็นเพียงแค่ศีรษะขณะมองไปรอบๆ อย่างแตกตื่น

 

ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะทันได้ขยับตัว เขาพลันรู้สึกว่ารอบลำตัวเขาสว่างวาบขึ้น จากนั้นโลกก็หมุน เสียง พลั่วะ ดังขึ้น ก่อนที่ตัวเขาจะลอยละลิ่วไปปะทะกับพื้น

 

“เกิดอะไรขึ้น?” แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่สามารถใช้ปราณสวรรค์ได้ แต่เขาก็ถูกฝึกโดยบิดาที่เข้มงวดตั้งแต่ยังเด็ก ร่างกายของเขาจึงมีศักยภาพที่ดีเหนือผู้อื่นมาก ซึ่งแน่นอนว่าแข็งแกร่งและว่องไวกว่าคนทั่วไป

 

โจวเหว่ยชิงม้วนตัวแตะพื้นก่อนจะลุกยืนขึ้น

 

ในระยะ 3 เมตรข้างหน้ามีหญิงสาวอายุราว 20 ปียืนจ้องมองเขาอยู่ นางมีรูปร่างหน้าตาธรรมดาๆ สวมชุดเกราะหนังและถือดาบในมือ ข้างหลังยังสะพายคันธนูสวรรค์ที่ทำมาจากไม้ดารา

 

เมื่อกวาดมองพริบตาหนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็จำสัญลักษณ์ดอกดาราที่ติดอยู่บนเกราะของหญิงสาวได้ทันที มันเป็นสัญลักษณ์เฉพาะของเหล่าองครักษ์พิทักษ์ราชวงศ์ นี่ หรือว่าผู้หญิงคนนี้เป็นราชองครักษ์งั้นหรือ?

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของโจวเหว่ยชิงอย่างแท้จริงคือมณียุทธ์ 3 ดวงที่ลอยอยู่เหนือข้อมือขวาของเธอต่างหาก!

 

 มณีทั้ง 3 ดวงนั้นประกอบด้วยหยกสามชนิด ด้วยสายตาอันเฉียบคมของโจวเหว่ยชิงร่วมกับรัศมีพลังที่แผ่ออกมา เขาเห็นได้ชัดว่ามณีนั้นประกอบด้วย หยกอำพัน 3 ส่วน หยกน้ำแข็ง 3 ส่วน และหยกหินมังกร 4 ส่วน

 

แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่สามารถฝึกปราณได้ แต่เขาก็รู้ว่ามณียุทธ์ทั้งสามนั้นไม่ได้มีไว้แค่เป็นของประดับ แต่มันเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความแข็งแกร่งของผู้ใช้ปราณสวรรค์

 

ในดินแดนไร้ขอบเขตนั้น ความแข็งแกร่งของแต่ละคนสามารถวัดได้ใน 3 ด้าน ประกอบด้วย ระดับพลังปราณสวรรค์ จำนวนมณียุทธ์และจำนวนมณีธาตุ หากว่าบุคคลหนึ่งโดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่ง เขาก็จะถูกนับถือเป็นจ้าวมณีผู้แข็งแกร่ง

 

มนุษย์นั้นเชื่อว่าพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกที่พระเจ้าได้สร้างขึ้น และร่างกายของมนุษย์นั้นก็ย่อมเป็นของขวัญจากพระเจ้า

 

มีหลากหลายวิธีที่จะฝึกฝนเพื่อให้ได้มาซึ่งความแข็งแกร่ง สิ่งพื้นฐานก็คือพลังปราณที่รู้จักกันในนาม “ปราณสวรรค์” พลังปราณสวรรค์นั้นแบ่งเป็น 4 ระดับใหญ่ๆ คือ ปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐาน ขั้นทะลวงพิภพ ขั้นทะลุสวรรค์ และขั้นบรรลุวิถี นอกจากนั้น แต่ละขั้นนั้นยังแบ่งออกเป็น 12 ระดับย่อยๆอีกด้วย

 

ในตำนานกล่าวไว้ว่า หากฝึกฝนจนถึงขั้นบรรลุวิถี จะสามารถควบคุมได้แม้กระทั่งการสร้างและทำลายจักรวาล ทั้งยังมีอายุขัยยืนยาว ดังนั้น พลังปราณสวรรค์จึงเปรียบเหมือนพลังพื้นฐานที่ทำให้สามารถใช้มณีได้ ไม่ว่าจะเป็นมณียุทธ์หรือมณีธาตุก็ตาม และหากไร้ซึ่งพลังปราณสวรรค์ที่เหมาะสม จ้าวมณีก็จะไม่สามารถฝึกให้แข็งแกร่งได้ ไม่ว่ามณีที่ครอบครองนั้นจะทรงพลังเพียงใดก็ตาม

 

ในดินแดนไร้ขอบเขตแห่งนี้ ทุกคนจะมีมณีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นมณียุทธ์หรือมณีธาตุ จะทราบได้ก็ต่อเมื่อฝึกฝนพลังปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานถึงระดับ 3 เท่านั้น จึงจะสามารถปลุกมณีประจำตัวให้ตื่นขึ้นมาได้

 

การฝึกพลังปราณสวรรค์นั้นยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น การฝึกฝนพลังปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานให้ถึงระดับ 3 จึงลำบากแสนสาหัสราวกับการเกิดใหม่ 3 ครั้งเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีโอกาสน้อยกว่าหนึ่งในร้อยที่จะฝึกสำเร็จเสียด้วย

 

เมื่อคนผู้หนึ่งสำเร็จพลังปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานถึงระดับ 3 และปลุกมณีของตนได้แล้ว จะนับได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่ผู้คนเรียกว่า “จ้าวมณี” ดังนั้น เมื่อโจวเหว่ยชิงมีเส้นชีพจรอุดตัน ทำให้เขาไม่สามารถเริ่มฝึกพลังปราณสวรรค์ได้ นั่นทำให้เด็กหนุ่มถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่สามารถฝึกพลังปราณสวรรค์ไปจนถึงขั้น 3 และปลุกพลังมณีแต่กำเนิดของตนขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงเป็นได้เพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น

 

มณีพลังมี 2 รูปแบบ หลังจากถูกปลุกขึ้นมาโดยเจ้าของ มณีที่ปรากฏที่ข้อมือขวาเรียกว่ามณียุทธ์ ส่วนมณีที่ปรากฏที่ข้อมือซ้ายเรียกว่ามณีธาตุ มณีทั้งสองนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยปกติแล้ว คนที่ครอบครองมณียุทธ์นั้นมักจะเป็นเหล่าทหารกล้าที่มีพละกำลังแข็งแกร่ง มณียุทธ์นั้นนอกจากจะเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายให้แก่ผู้ใช้แล้ว ยังสามารถเปลี่ยนเป็นเกราะหรืออาวุธได้อีกด้วย ในทางตรงกันข้าม มณีธาตุมักจะปรากฏอยู่ในบุคคลที่มีความฉลาดเฉลียว พวกเขาใช้มณีธาตุเพื่อควบคุมธาตุต่างๆที่เข้ากับตนเอง และยังสามารถผนึก ทักษะ ลงไปในมณีได้อีกด้วย

 

สำหรับจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุนั้น สิ่งที่บ่งบอกความแข็งแกร่งของพวกเขาคือจำนวนมณีที่พวกเขาครอบครอง ซึ่งแต่ละคนสามารถมีมณีได้ทั้งหมดสูงสุด 9 ดวง

 

ผู้ที่ครอบครองมณี 1-3 ดวง จะถูกเรียกขานว่า จ้าวมณีระดับปฐม

 

ผู้ที่ครอบครองมณี 4-6 ดวง จะถูกเรียกขานว่า จ้าวมณีระดับปรมะ

 

ผู้ที่ครอบครองมณี 7-9 ดวง จะถูกเรียกขานว่า จ้าวมณีระดับเทวะ

 

ในแต่ละระดับขั้นก็ยังจำแนกออกเป็น ขั้นแรก ขั้นกลาง และขั้นสูงสุด

 

ดังนั้น ราชองครักษ์หญิงตรงหน้าเขานี้ก็คือจ้าวมณียุทธ์ที่ครอบครองมณีระดับปฐมขั้นสูงสุด

 

อย่างไรก็ตาม อย่าได้ริอาจดูถูกจ้าวมณีระดับปฐมขั้นสูงสุดอย่างองครักษ์สาวตรงหน้าเด็ดขาด เพราะในอาณาจักรเล็กๆอย่างเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นมีจ้าวมณีน้อยกว่า 100 คน และราชองครักษ์หญิงผู้นี้น่าจะเป็น 1 ใน 50 คนที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ เนื่องจากจ้าวมณีนั้นหาได้ยากยิ่ง จ้าวมณีที่ครอบครองมณียุทธ์ 3 ดวงได้จึงหมายความว่าได้ฝึกปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานไปถึงระดับ 10 แล้วเป็นอย่างน้อย หรือไม่ก็อาจจะทะลุไปสู่ปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เป็นได้ ด้วยพลังระดับนี้ องครักษ์หญิงผู้นี้สามารถต่อสู้กับทหารกล้านับ 100 คนได้อย่างสบายๆ

 

มณียุทธ์และมณีธาตุนั้นเกิดขึ้นมาจากมณีหลายชนิด สำหรับมณียุทธ์พวกมันคือหยกหลากหลายประเภท ซึ่งชนิดของหยกก็จะก็จะเสริมพลังทางกายภาพแตกต่างกันออกไป มีทั้งหมด 6 แบบ หยกน้ำแข็งนั้นเสริมความแข็งแกร่ง หยกอำพันเสริมความยืดหยุ่น หยกเหลืองเสริมพละกำลัง หยกหินมังกรเสริมความว่องไว หยกแดงเสริมความคล่องแคล่วในการตอบสนอง และหยกดำเสริมความอึดให้แก่ร่างกาย

 

สำหรับมณียุทธ์นั้นสามารถมีส่วนผสมของหยกได้หลากหลายชนิด ยกตัวอย่างเช่น มณีของราชองครักษ์หญิงคนนั้นประกอบด้วยหยกอำพัน 30% หยกน้ำแข็ง 30% และหยกหินมังกร 40% หากเปรียบมณียุทธ์เป็น 100 ส่วน องครักษ์หญิงจะมีความยืดหยุ่น 30 ส่วน ความแข็งแกร่ง 30 ส่วน และความเร็ว 40 ส่วน นั่นช่างเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอะไรเช่นนี้!

 

โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ถึงความโกรธเกรี้ยวจากนัยน์ตาอาฆาตของหญิงสาว เขารู้สึกว่าแผ่นหลังเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ จึงรีบลนลานแก้ตัว “พี่สาว ข้าเกรงว่านี่จะเป็นเรื่องเข้าใจผิด!”

 

“เข้าใจผิดงั้นรึ?” ราชองครักษ์หญิงสะบัดมือพร้อมกับชักดาบออกมา แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้ใช้พลังจากมณียุทธ์ทั้ง 3 ของตนเอง ทว่าดาบนั้นกลับเปล่งแสงเรืองรองไปด้วยปราณสวรรค์ เมื่อมองดูจึงรู้ว่าพลังปราณของราชองครักษ์หญิงผู้นั้นยังไม่สามารถปลดปล่อยออกมาจากดาบได้โดยตรง ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงสันนิษฐานว่าปราณสวรรค์ของอีกฝ่ายน่าจะยังอยู่ในขั้นพื้นฐาน เนื่องจากคนที่มีพลังปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพจะสามารถปล่อยพลังออกมาจากอาวุธที่ถือได้นั่นเอง อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าหญิงสาวย่อมไม่จำเป็นจะต้องใช้มณีทั้งสามเมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลธรรมดาที่ไร้ทั้งพลังและอาวุธอย่างโจวเหว่ยชิง

 

พริบตานั้นเอง ปลายดาบก็จ่อพาดเข้าที่ลำคอของโจวเหว่ยชิงเสียแล้ว ขยับเพียงเล็กน้อยก็สามารถปลิดชีวิตของเขาได้ทันที

 

“ท่านพี่สาวจ้าวมณียุทธ์ นี่มันเรื่องเข้าใจผิด! ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่ได้เห็นอะไรแม้แต่นิด! ปะ ปล่อยข้าไปเถิด!!” โจวเหว่ยชิงมองไปยังองครักษ์สาวด้วยสายตาอ้อนวอน กอปรกับหน้าตาใสซื่อของเขา ทำให้แลดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก

 

……………………………………………………

ณ ถนนหลัก เมืองหลวงแห่งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์

 

อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เป็นอาณาจักรเล็กๆ ตั้งอยู่ฟากตะวันตกของดินแดนไร้ขอบเขต อาณาจักรนี้ไม่ได้เชื่อมต่อกับอาณาจักรใหญ่อื่นๆ หากแต่สภาพอากาศ รวมทั้งสภาพแวดล้อมล้วนเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ที่จะอยู่อาศัย

 

วันนี้เป็นวันที่อากาศสดใส ท้องฟ้ากว้างใหญ่นี้มองดูราวกับผลึกแก้วสีฟ้าขนาดมหึมาไร้จุดด่างพร้อย ปัญหาเพียงอย่างเดียวคือท้องฟ้าที่ไร้เมฆหมอกแบบนี้มักจะทำให้แสงแดดที่ส่องลงมาแผดจ้าจนตาเกือบบอดได้น่ะสิ!

 

โชคยังดีที่ถนนเส้นนี้มีต้นมะเดื่ออายุกว่าร้อยปีปลูกเรียงรายไปตามทาง แผ่กิ่งก้านใหญ่โตของพวกมันให้ความร่มเย็นแก่ผู้เดินทางสัญจรไปมา  นั่นทำให้ถนนเส้นนี้เป็นถนนหลักที่ทุกคนในเมืองรู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องจากมันทอดยาวเกือบร้อยลี้ไกลเข้าไปยังผืนป่า

 

อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์มีภูมิประเทศที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เป็นสองรองใคร สาเหตุก็เพราะเมืองนี้ล้อมรอบไปด้วยป่าขนาดใหญ่มหึมา และเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์แห่งนี้ตั้งอยู่ ณ ใจกลางราวกับเพชรที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดของพงไพร แม้ว่านครแห่งนี้อาจไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากนัก แต่เมืองหลวงของอาณาจักรนั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากว่ามันถูกรายล้อมไปด้วยป่าที่มีชื่อว่าป่าดารา สถานที่เพียงแห่งเดียวที่เหล่าต้นดาราสามารถเติบโตให้ดอกผลได้ และแกนของต้นดารานั้นยังสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างคันธนูระดับสูงได้ ด้วยทรัพยากรอันมีค่านี้เอง ทุกคนจึงสามารถจินตนาการได้ว่าเมืองนี้จะมั่งคั่งถึงเพียงใด

 

ในขณะนั้นเอง เด็กหนุ่มที่ดูอายุราว 15-16 ก็ปีกำลังเดินไปตามถนนเส้นนี้พร้อมพึมพำไปมากับตัวเอง

 

“การเป็นหนุ่มเจ้าสำราญนั้นช่วยขัดเกลาอารมณ์ การมีเล็กมีน้อยคือการฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง การไล่เกี้ยวหญิงงามช่วยชะลอวัย ส่วนการเล่นหูเล่นตานั้นเยียวยาบำบัดโรค การตกหลุมรักบ่งบอกว่าดวงใจเจ้ายังคงเยาว์วัย และไข้ใจนั้นเป็นยารักษาโรคนอนไม่หลับ!

 

มีคำกล่าวที่ว่า วีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงามไปได้[1] แต่ว่าวีรบุรุษคนใดจะไม่เป็นเช่นนี้ล่ะ? พวกเขาควรทิ้งสาวงามให้พวกตัวประกอบลิ่วล้อไร้ประโยชน์ทั้งหลายหรือ? แล้วพวกสาวงามล่ะ? พวกนางก็ต้องชมชอบเหล่าวีรบุรุษมากกว่าอยู่แล้วมิใช่หรือ?

 

หรือบางคนอาจจะกล่าวว่า กระต่ายไม่กินหญ้าใกล้รังตน[2] แต่เหตุใดพวกกระต่ายต้องทำเช่นนั้นด้วยล่ะ? พวกมันควรปล่อยให้กระต่ายตัวอื่นมากินแทนงั้นหรือ? แม้แต่หญ้าเองยังไม่คิดเช่นนั้นเลย  เพราะยังไงเสียการถูกกินก็คือการถูกกินนั่นแหละ ดังนั้นใครกินหญ้าจะแตกต่างกันที่ตรงไหน? เหตุใดถึงไม่ให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกว่ากินเสียล่ะ!

 

ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีคนบางพวกกล่าวว่า มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้[3] อย่างไรก็ตาม ผีเองก็คิดว่ามันเป็นสัจธรรมของโลก ท้ายที่สุดแล้วการออกแรงโม่แป้งไม่ควรจะได้สิ่งใดตอบแทนอย่างคุ้มค่าหรอกหรือ? แม้แต่เงินเองก็ยังคิดต่างไปเช่นกัน หากถูกมอบให้ผีอาจจะไม่ทำร้ายผีด้วยกันด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากมันถูกมอบให้กับมนุษย์ สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้! ฮ่าๆๆๆ”

 

เด็กหนุ่มมีร่างกายสูงสง่า ไหล่กว้าง มองดูสุขภาพดี  เขามีนัยน์ตาสีนิลและผมสีดำขลับนุ่มลื่น สวมเสื้อแขนยาวที่พับขึ้นมาเหนือศอก เผยให้เห็นท่อนแขนแข็งแรง เขามีผิวแทนสีทองแดง ทุกองคาพยพประกอบกันทำให้เขาดูราวกับมีจิตวิญญาณของยอดนักรบผู้กล้าหาญ

 

เด็กหนุ่มอาจจะไม่ได้เป็นยอดชายที่มีใบหน้างดงาม แต่ก็นับว่าเป็นคนน่ามองผู้หนึ่ง หากมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก สามารถใช้คำว่าเรียบง่ายและเปิดเผยมาอธิบายได้ อย่างไรก็ตาม คำพูดที่โพล่งออกมาจากปากของเด็กหนุ่มนั้นช่างตรงกันข้ามกับคำอธิบายเหล่านั้นเหลือเกิน และแน่นอนว่าเขามักจะเปิดเผยธาตุแท้ออกมาต่อเมื่ออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น

 

 “เฮ้อ…การฝึกปราณสวรรค์ไม่ได้ช่างน่าเศร้านัก ทุกวันนี้ รูปลักษณ์หล่อเหลานั้นไม่มีประโยชน์อันใด มีเพียงการมีปราณสวรรค์และครอบครองมณีสวรรค์เท่านั้นที่สามารถทำให้ขึ้นเป็นราชันได้ อา…สวรรค์! ทวยเทพ! ทำไมต้องเล่นตลกกับชีวิตของข้าเช่นนี้ ไฉนถึงปล่อยให้ข้า โจวเหว่ยชิง เกิดมาพร้อมกับเส้นลมปราณอุดตันแต่กลับมีใบหน้าหล่อเหลาถึงเพียงนี้? การไม่ยอมให้ข้าได้เป็นจ้าวมณีสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่โง่เขลาและเสียของที่สุด เฮ้อ!” แน่นอนว่าใบหน้าหล่อเหลาที่เขากล่าวถึงนั้นเป็นแค่ความเชื่อส่วนตัวของโจวเหว่ยชิง เขากล่าวพลางชูนิ้วกลางขึ้นไปบนฟ้า

 

แน่นอน โจวเหว่ยชิงไม่ได้เป็นคนประเภทที่โทษเพียงแต่ชะตาฟ้าลิขิต  หลังจากที่ชูนิ้วกลางให้สวรรค์แล้วเขาก็กล่าวปลอบใจตนเอง “เอาเถอะ การที่ไม่มีปราณสวรรค์นั้นก็มีข้อดี แค่นี้ตาแก่นั่นก็เข้มงวดกับข้ามากพออยู่แล้ว หากพลังปราณสวรรค์ของข้าตื่นขึ้นมาได้จริงๆ บางทีชีวิตข้าอาจจะแย่กว่านี้เป็นร้อยพันเท่าก็ได้? อย่างน้อยตอนนี้ตาแก่นั่นก็ถอดใจกับข้าแล้ว และการใช้ชีวิตเสเพลแบบบุตรชายขุนนางผู้ร่ำรวยไปวันๆ เช่นนี้ก็ไม่เลวทีเดียว! เอาล่ะ ข้าไปอาบน้ำดีกว่า!” ขณะที่พูดเช่นนั้น ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มร่าเริง แน่นอนว่า ผู้ที่รู้จักเขาจริงๆ ย่อมทราบว่าเบื้องหลังรอยยิ้มที่ดูใสซื่อของโจวเหว่ยชิงนี้คือตัวโกงน้อยจอมก่อเรื่องชัดๆ!

 

แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่สามารถฝึกปราณสวรรค์ได้ แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงหนุ่มแน่นและแข็งแรง เขามีอายุได้เพียง 13 ปี แต่กลับมีรูปร่างราวกับเด็กหนุ่มวัย 15-16 ดังนั้นอย่างน้อยในส่วนนี้เขาก็ยังดำเนินรอยตามบิดาของตนอยู่บ้าง

 

หลังจากเดินไปบนถนนหลักมุ่งสู่ป่าดารามาไกลกว่า 5 ลี้ โจวเหว่ยชิงก็เลี้ยวลัดเลาะเข้าไปในป่า เขาเติบโตมาพร้อมกับป่าที่นี่ตั้งแต่อายุได้เพียง 8 ขวบ ซึ่งเวลานั้นเด็กหนุ่มได้เข้าทดสอบพลังปราณสวรรค์และพบว่าเส้นลมปราณของเขาอุดตันทำให้ไม่สามารถฝึกปราณสวรรค์ได้ ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากนั้นบิดาของโจวเหว่ยชิงจึงไม่ได้บังคับเขาให้ฝึกต่ออีก โจวเหว่ยชิงชอบเข้ามาวิ่งเล่นในป่าเพียงคนเดียวเนื่องจากป่าดาราแห่งนี้ไม่มีอสูรสวรรค์และมันเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในทวีป

 

หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าสู่ป่าดารา ที่ซึ่งโจวเหว่ยชิงรู้จักทุกซอกทุกมุม จนสามารถปิดตาเดินไปไหนมาไหนได้คล่องแคล่วราวกับพลิกฝ่ามือ เมื่อเดินมาร่วม 1 ชั่วโมง ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงน้ำตก ทำให้รู้ว่าเขาใกล้จะถึงจุดหมายของตนแล้ว ครั้นเมื่อนึกภาพน้ำตกที่เย็นสดชื่นและใสสะอาด โจวเหว่ยชิงก็ค่อยๆ เร่งฝีเท้า เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่อากาศร้อนจัด เขาจึงอยากจะแช่น้ำเย็นผ่อนคลายอารมณ์ที่น้ำตกแห่งนี้เร็วๆ

 

ไม่ไกลจากทางเดินในป่าดารามีทะเลสาบอยู่ และน้ำพุที่ผุดขึ้นมาในทะเลสาบก็มีต้นกำเนิดมาจากน้ำเยือกแข็งใต้ดิน ทะเลสาบแห่งนี้มีความกว้างเพียง 100 เมตรและล้อมรอบด้วยเหล่าต้นไม้ใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับทะเลสาบแห่งนี้มากนัก แต่โชคดีที่ในอดีตโจวเหว่ยชิงได้ค้นพบที่นี่เข้าโดยบังเอิญ เขาชอบน้ำอยู่แล้วโดยธรรมชาติ และเพราะไม่มีเพื่อน เด็กหนุ่มจึงชอบมาเล่นน้ำและนอนแกร่วอยู่ริมทะเลสาบแห่งนี้เป็นประจำ

 

 หลังจากแหวกผ่านเหล่าต้นไม้ใหญ่เข้ามาก็พบกับทะเลสาบที่เย็นสดชื่นอยู่เบื้องหน้า โจวเหว่ยชิงไม่ได้รีบร้อนกระโจนลงน้ำ เริ่มแรกเขาถอดเสื้อคลุมออกกองไว้ที่ริมทะเลสาบ จากนั้นก็ยื่นหน้าไปดูเงาสะท้อนเหนือผิวน้ำก่อนจะพึมพำกับตนเอง “แหม นี่ข้าหล่อเหล่าขึ้นอีกแล้วงั้นรึ!”

 

ขณะที่เขากำลังพิจารณาเมียงมองเงาสะท้อนใบหน้าด้วยความหลงตัวเองอยู่นั้น เสียงน้ำสาดกระจายพลันดังออกมาจากอีกฝั่งของทะเลสาบ ทำให้โจวเหว่ยชิงต้องรีบหันขวับไปมอง และภาพที่เห็นก็ทำให้เขาอดจะแตกตื่นไม่ได้

 

ในอีกฝั่งของทะเลสาบมีใครบางคนกำลังกระโดดลงน้ำ ทำให้กระแสน้ำกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องกระทบผิวน้ำเหนือทะเลสาบ แสงสะท้อนเหล่านั้นก็ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้ราวกับถูกย้อมไปด้วยแสงสีทอง ใจกลางระลอกคลื่นนั้นปรากฏเส้นผมสีชมพูโดดเด่นกลุ่มหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของโจวเหว่ยชิงไปจนหมดสิ้น

 

น้ำในทะเลสาบแห่งนี้ค่อนข้างตื้น มีความลึกเพียงแค่ 1 เมตรเท่านั้น เด็กสาวคนที่กระโดดลงไปเล่นน้ำในทะเลสาบกำลังหันหลังให้โจวเหว่ยชิง และน้ำก็สูงแค่เพียงสะโพกเท่านั้น ทำให้สายน้ำช่วยปกปิดเรือนร่างได้เพียงแค่บั้นท้าย โจวเหว่ยชิงยืนนิ่งงันจ้องมองเอวขอดและรูปร่างอันเย้ายวนใจของหญิงสาวจากด้านหลัง

 

“นี่มัน…นี่มัน…”

 

เสียง ปุ เบาๆ ดังขึ้นมา ก่อนเลือดกำเดาสองสายจะไหลออกมาจากจมูกของโจวเหว่ยชิง แม้จะเคยจินตนาการเรื่องทำนองนี้เอาไว้บ้าง แต่เขาก็ยังคงเป็นเพียงเด็กหนุ่มบริสุทธิ์อายุเพียง 13 ปีเท่านั้น การได้มาเห็นร่างเปลือยเปล่าของผู้หญิงในระยะประชิดแบบนี้ทำให้โจวเหว่ยชิงตื่นเต้นจนเลือดกำเดาไหล

 

“ว้าวว นี่มันโคตรสุดยอดไปเลยนี่หว่า!” โจวเหว่ยชิงรีบยกมือบีบจมูกห้ามเลือดกำเดา แต่สายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องไปที่เด็กสาวเบื้องหน้า ลืมไปหมดสิ้นว่าจะอาจจะถูกพบเห็นเข้า ในใจพลางร้องตะโกน หันมาสิ! หันมาสิเฟ้ย!

 

เด็กสาวผมชมพูหันหน้ามาราวกันได้ยินเสียงร้องเรียกในใจของโจวเหว่ยชิง เธอหันมาอย่างช้าๆ ด้วยท่าทีตื่นตระหนกในขณะที่ยกมือขึ้นมาปกปิดส่วนบนเอาไว้

 

…………………………………………………………….

 

[1] วีรบุรุษยากจะผ่านด่านสาวงามไปได้ หมายถึง วีรบุรุษที่เก่งกล้ามักจะหลงกลหญิงสาวที่งดงาม

 

[2] กระต่ายไม่กินหญ้าใกล้รังตน หมายถึง ไม่ควรทำชั่วใกล้อาณาเขตตน

 

[3] มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้ หมายถึง มีเงินก็สามารถทำได้ทุกอย่าง

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

Score 10
Status: Completed

ในโลกที่ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้มีพลังเหยียบย่ำผู้อ่อนแอ

มีเด็กผู้ชายผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อหวังจะก้าวขึ้นเป็นราชาจ้าวมณีสวรรค์

ในอาณาจักรเล็กๆ ที่ยังต้องดิ้นรนในสงครามซึ่งรายล้อม

ตัวเขาในฐานะที่เกิดในตระกูลแม่ทัพจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่

ทว่าสวรรค์กลับไม่เป็นใจ เด็กชายเกิดมาพร้อมลมปราณอุดตัน ฝึกวิชาใดๆ ก็ไร้ผล

ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเศษสวะไร้ค่าในสายตาผู้อื่น!?

ทำลายความภาคภูมิใจของบิดา… กลายเป็นความอัปยศอดสูของคู่หมั้น…

หากแต่เขากลับใช้ชีวิตอย่างปกติสุข เที่ยวเล่นจับปลาไปวันๆ โดยไร้ความละอาย!

ทว่า…เมื่อพลาดพลั้งถูกฆ่าและทิ้งให้ตาย ท้ายที่สุดสวรรค์ก็เมตตา

ไข่มุกรัตติกาลจากต่างมิติถูกดึงดูดด้วยแรงดิ้นรนอยากมีชีวิตอยู่ของเขา

มันมอบพลังที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่หายากที่สุด!

สิ่งนั้นปลุกศักยภาพของเขาขึ้นมา… แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ไร้ค่า…

แต่นั่นจะเป็นของขวัญจากสวรรค์ที่มาเปลี่ยนชะตาของเขาได้จริงหรือ?

ร่วมผจญภัยไปกับ ‘โจวเหว่ยชิง’ ตัวเอกผู้ไร้ยางอายที่ใช้เล่ห์กลทุกอย่างในการเอาตัวรอดเพื่อมุ่งไปสู่จุดสูงสุดของโลกการฝึกวิชา

สร้างยอดกองทัพ ปกป้องคนที่เขารักและขยายอาณาจักรเล็กๆ ให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร!

นี่คือโลกใบที่ไม่คุ้นเคย พบกับระบบพลังใหม่ สุดยอดศาสตราวุธ และตัวเอกที่ไม่เหมือนใคร

Options

not work with dark mode
Reset