Double รักร้ายคูณสอง 21

ตอนที่ 21

หลังจากที่ทำกาแฟให้คุณคาลอฟท์และเอริคเสร็จ ฉันก็คุยกับเลวี่อีกนิดหน่อย จากนั้นก็เดินถือถาดกาแฟร้อนมาให้เขาสองคนในห้องประชุม พอเหลือบมองร่างสูงใหญ่ที่นั่งเอนตัวพิงโซฟาท่าทางสบายอกสบายใจก็ต้องเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ เหอะ ยัยคุณหนูเจนนี่ชอบคนขี้แกล้งนิสัยเถื่อนๆ แบบเอริคหรือไง สงสัยเธอคงยังไม่เคยเห็นนิสัยที่แท้จริงของเขาล่ะสิท่าถึงได้ยังชอบและตามตื้อเรื่องหมั้นอยู่แบบนี้ ให้ตายสิ แล้วนั่นเขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ฉันอุตส่าห์ติดให้ออกอีกสองเม็ดงั้นเหรอ?!

“กาแฟได้แล้วค่ะ คุณคาลอฟท์”

ฉันพ่นลมหายใจอย่างขุ่นเคืองที่เห็นว่าเอริคปลดกระดุมออกแบบนั้น ก่อนจะหันไปฉีกยิ้มหวานแล้ววางแก้วกาแฟร้อนให้คุณคาลอฟท์บนโต๊ะ แต่ตอนที่นั่งลงที่โซฟาอีกตัว และยื่นแก้วกาแฟให้เอริคน้ำเสียงที่ฉันเอ่ยบอกเขากลับไม่ค่อยสบอารมณ์จนฉันก็บังคับมันไม่ได้

“ส่วนนี่กาแฟของคุณค่ะ คุณเอริค…”

“โมนาทำกาแฟอร่อยดีนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ ฉันตั้งใจทำเต็มที่เลยนะคะ”

“งั้นแบบนี้ผมคงต้องมาดื่มกาแฟฝีมือคุณบ่อยๆ แล้วล่ะสิครับเนี่ย”

“ด้วยความยินดีเลยค่ะคุณคาลอฟท์”

ฉันหัวเราะคิกคักไปกับคำพูดของคุณคาลอฟท์ จะว่าไปเขาก็เป็นคนอารมณ์ดีเหมือนกันนะ แต่คงเป็นเพราะอายุเราใกล้ๆ กันเลยคุยกันถูกคอก็ได้ อีกอย่างฉันคิดว่าคุณคาลอฟท์เป็นคนไม่ซีเรียสเรื่องจุกจิกอย่างเสื้อผ้าหรือการแต่งตัวของใครอย่างที่เอริคเคยบอกจริงๆ ถึงแม้ว่าจะเขาเป็นนักธุรกิจหนุ่มอายุไม่มาก แถมรูปร่างหน้าตาก็ดูดีจนพนักงานทั้งออฟฟิศต่างพากันหวีดตลอดทางที่เขาเดินเข้ามาในบริษัทไม่ต่างจากเอริคก็ตาม…

“โมนาหุบยิ้มได้แล้วมั้ง ปากจะฉีกถึงหูแล้ว”

“ฉันยิ้มให้แขกก็ผิดอีก…”

ฉันขมุบขมิบปากบ่นกับตัวเองอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เช่นกัน เมื่อจู่ๆ เอริคก็หันมากระซิบบอกฉันเสียงหนัก สายตาคมดุดันจ้องมองใบหน้าฉันไม่วางตาจนอยากยกนิ้วไปจิ้มซะให้เข็ด แค่ฉันยิ้มและพูดคุยกับคุณคาลอฟท์ก็ไม่ได้หรือไงกันน่ะ บ้าจริง…

“คุณเอริคมีงานต่อหรือเปล่าครับ ผมมาชวนคุยแบบนี้รบกวนเวลางานของคุณสองคนหรือเปล่า?”

“โอ๊ะ… ไม่หรอกค่ะคุณคาลอฟท์ วันนี้ตารางคุณเอริคไม่มีงานด่วนค่ะ แล้วคุณเอริคก็ไม่รีบไปไหนด้วย ใช่มั้ยคะคุณเอริค…”

ฉันยิ้มหวานให้คุณคาลอฟท์แล้วหันมาเลิกคิ้วถามเอริคพลางกัดฟันฉีกยิ้มส่งไปให้เขาเพื่อคาดคั้นคำตอบ เพราะเขาเอาแต่จ้องหน้าฉันและไม่ยอมเอ่ยอะไรสักทีจนคุณคาลอฟท์เหลือบมองทางเราสองคนท่าทางงุนงงหน่อยๆ เอริคขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วยอมพยักหน้าเออออตามที่ฉันบอกอย่างไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่นัก

“อือ ผมไม่มีงานด่วนอะไรหรอก”

“แหะๆ นั่นแหละค่ะ คุณคาลอฟท์ไม่ต้องเกรงใจนะคะ คุณเอริคไม่ใช่คนคิดมากอะไร เขาเป็นคนชิวๆ อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ”

สายตาคมดุดันเหลือบมองฉันนิ่ง แถมฉันยังแอบได้ยินเสียงถอนหายใจจากเอริคอีกต่างหาก แต่ฉันก็ทำเพียงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แล้วหันกลับไปส่งยิ้มให้คุณคาลอฟท์แทน

“โมนาคงเป็นเลขาที่ตั้งใจทำงานมากเลยนะครับ แถมสวยและนิสัยดีด้วย แบบนี้เอริคคงทำงานง่ายขึ้น” คุณคาลอฟท์หันไปบอกเอริคแล้วยิ้มกริ่มมาให้จนฉันต้องกระแอมและยิ้มแห้งกลับไปให้เขาอย่างทำตัวไม่ถูก ทำไมคุณคาลอฟท์ถึงมองฉันด้วยสายตาวาววับพร้อมยิ้มหวานมาให้ด้วยล่ะเนี่ย…

“หึ โมนาช่วยผมได้เยอะเลย เป็นเลขาที่ทั้งสวยและนิสัยดี ทุ่มเทให้กับการทำงานสุดๆ…”

เสียงเข้มต่ำเอ่ยบอกคาลอฟท์นิ่งๆ แต่เท่าที่ฉันได้ยินน้ำเสียงของเอริคดูไม่ค่อยพอใจและเหมือนจะหัวเสียขึ้นมาอีกแล้วสิ

“น่าอิจฉาคุณนะครับ นี่ถ้าโมนาเปลี่ยนใจมาเป็นเลขาให้… ผมคงไม่เสียเวลาคิดมากเลย” คุณคาลอฟท์พูดทีเล่นทีจริง แต่เอริคนั่งหน้าตึงไปแล้วเรียบร้อย

ฉันเลิ่กลั่กไปหมดแต่ก็ทำเนียนหัวเราะกับคาลอฟท์กลบเกลื่อนเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศ ถ้าเกิดจู่ๆ เอริคฟิวส์ขาดโดยไม่ทราบสาเหตุจนหุ้นส่วนคนสำคัญของบริษัทตลิดเปิดเปิงไปซะก่อนก็แย่น่ะสิ บ้าจริง แล้วทำไมเขาต้องทำท่าทางหงุดหงิดแบบนั้นด้วยเล่า คุณคาลอฟท์ก็แค่ชวนคุยเล่นแค่นั้นเองนะ!

“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยสิคุณ…”

ฉันเอนตัวไปกระซิบบอกร่างสูงที่ยังคงนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดทันทีที่คุณคาลอฟท์ขอตัวเดินไปคุยโทรศัพท์มือถืออีกทาง แต่เอริคทำเพียงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เขาเอนตัวไปพิงพนักโซฟาพลางพ่นลมหายใจแรงคล้ายกำลังพยายามควบคุมอาการหัวเสีย

“รอคาลอฟท์กลับไปก่อนเถอะโมนา เธอไม่รอดแน่”

“มะ… ไม่รอดอะไรของคุณน่ะ” ฉันถามอึกอักเมื่อสบกับสายตาคมวาววับเหมือนหมาป่าของเอริค พลางกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งอย่างฝืนเคืองทันทีที่เขาโน้มลงมากระซิบข้างใบหู

“ยิ้มหวานเชียวนะ ยิ้มแบบนี้เวลาอยู่กับฉันบ้างดิ”

“ฉันก็ยิ้มปกติ…”

“หึ ยิ้มแบบนี้เวลาที่เราสองคน…”

พรึ่บ!

“หยุดเดี๋ยวนี้นะเอริค เดี๋ยวคุณคาลอฟท์ก็ได้ยินหรอก” ฉันรีบเอามือไปปิดปากเอริคด้วยความรวดเร็ว ตาก็เหลือบไปมองทางคุณคาลอฟท์อย่างหวั่นๆ และกลัวว่าเขาจะหันมาเจอหรือได้ยินคำพูดของเอริคเข้า ให้ตายเถอะ

“อะไรกันโมนา ได้ยินก็ไม่เห็นจะเป็นไร… ก็แค่บอกว่าให้เธอยิ้มเวลาที่เราสองคนอยู่ที่บริษัทไง”

เอริคยกยิ้มมุมปากอย่างกวนประสาท ฉันอ้าปากพะงาบๆ เป็นปลาขาดน้ำ ก่อนจะขยับมานั่งบนโซฟาของตัวเองแล้วยกแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบเบาๆ แก้เก้อ แต่เอริคกลับยังคิดพูดจะแกล้งฉันไม่เลิก เดี๋ยวแม่ก็จิ้มตาซะเลยหนิ!

“หรือว่าเธอคิดเรื่องลามกงั้นเหรอ หึ หน้าแดงแบบนี้เธอกำลังคิดเรื่องบนเตียง… อึก”

ปั่ก!

“ฉันบอกให้คุณหยุดพูดไงเล่า ทำไมวันนี้คุณพูดมากชะมัดเลยเอริค ให้ตายสิ” ฉันแตะเข้าให้ที่หน้าแข้งของเอริคอย่างหมั่นไส้ เขาขบสันกรามและจ้องใบหน้าฉันนิ่ง และสายตาคมดุดันก็ทำให้ฉันต้องหันหน้าไปมองทางอื่นพลางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป

ว่าแต่… ฉันเป็นคนทำให้เอริคเจ็บเองแล้วทำไมต้องมานั่งเลิ่กลั่กใส่เขาก็ไม่รู้… ก็แค่เอริคบอกว่าเธอไม่รอด ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอะไรสักหน่อย… หรือเปล่านะ? เขาไม่ได้คิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ หรอกใช่ไหม เขาจะทำอะไรฉันงั้นเหรอ หรือว่าจะเป็นเรื่องบน… โอ๊ย! แล้วฉันจะไปคิดเรื่องบัดสีทำไมกันเนี่ย สงสัยวันนี้สมองฉันคงทำงานหนักจนฟุ้งซ่านเรื่องบ้าบอพวกนี้ไปแล้วแน่ๆ เลย อยากกลับไปพักผ่อนจริงๆ เลย!

Options

not work with dark mode
Reset