Double รักร้ายคูณสอง 20

ตอนที่ 20

“เอ… เอริค”

“เลิกโทษตัวเองได้ยัง”

“แต่ว่า…”

“หรือจะเอาอีกรอบ โมนา” เสียงเข้มต่ำดังอยู่ข้างใบหูทำให้ฉันต้องหันหน้าหนีหลบสายตาคมดุดันเจ้าเล่ห์ด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดลึกๆ เพื่อตั้งสติอีกครั้ง แล้วทำใจกล้าหันไปมองร่างสูงที่ลำคอแกร่งเปื้อนคราบน้ำมันเครื่องเล็กน้อย

“แต่ฉันเป็นเลขาของคุณนะเอริค”

“หึ แล้วไง”

“ให้ตายสิ… คุณรีบใส่เสื้อเถอะ คุณคาร์ลอฟคงใกล้จะถึงบริษัทแล้วเนี่ย”

เอริคยังมีหน้ามายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแถมยังหัวเราะหึอย่างกวนประสาทอีกต่างหาก ฉันบ่นอุบอิบพึมพำกับตัวเองแล้วดันมือข้างที่ถือเสื้อเชิ้ตของเขาติดมาด้วยไปบนแผงอกกำยำอีกครั้ง บ้าจริง มันยับไปหมดแล้วแน่ๆ เพราะเอริคจูบดูดดื่มกับฉันนั่นแหละ…

“หลังเปื้อน เช็ดให้หน่อยสิ”

“อะไรนะ…” ฉันมองแผ่นหลังกว้างที่เปื้อนน้ำมันเครื่องจนดำปี๋ เอริคขยับตัวออกห่างเล็กน้อย คิ้วเข้มเลิกขึ้นพร้อมกับยิ้มมุมปากส่งมาให้อย่างกวนประสาท

“เร็วสิ เดี๋ยวคาร์ลอฟก็มาถึงก่อนหรอก ฉันต้องล้างมือด้วย”

เอริคแบฝ่ามือหนาที่เปื้อนน้ำมันเครื่องให้ดู ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ “โอเคๆ ก็ได้ค่ะ”

ฉันเดินดุ่มๆ ตามร่างสูงใหญ่เข้าไปในห้องน้ำด้วยความรวดเร็ว เอริคหันไปล้างมือในอ่างล้างหน้านิ่งๆ ส่วนฉันก็หยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาเช็ดคราบน้ำมันดำปี๋บนแผ่นหลังกว้างไปมาแผ่วเบา แล้วสายตาไม่รักดีก็ดันเผลอไปจ้องมองกล้ามแขนแข็งแรงที่ขยับไปมาเวลาที่เขาล้างมือจนต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่อย่างประหม่าไปหมด อะไรกันน่ะ นี่ฉันจะมาประหม่าทำไมกันโว้ยย!

“เสร็จยังโมนา หลังฉันถลอกไปหมดแล้วมั้ง”

“เอ่อ… เสร็จแล้ว เสร็จแล้วค่ะ คุณใส่เสื้อได้แล้ว”

ฉันสะดุ้ง เงยหน้าสบสายตาคมดุดันเจ้าเล่ห์ผ่านกระจกใสตรงอ่างล้างหน้าอย่างเลิ่กลั่ก ก่อนจะกระแอมแล้วรีบหันไปหยิบเสื้อเชิ้ตยื่นให้เอริคด้วยความรวดเร็ว ให้ตายเถอะ ฉันยืนคิดอะไรฟุ้งซ่านก็ไม่รู้ แถมเผลอเช็ดแรงจนหลังเอริคแดงหน่อยๆ อีกต่างหาก…

“หึ หรือจะให้เธอใส่ให้ดี”

ฝ่ามือหนาหยุดติดกระดุม สายตาคมจ้องมองใบหน้าฉันพลางยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ จากนั้นเอริคโน้มลงมากระซิบบอกข้างใบหูจนฉันกัดริมฝีปากล่างแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่พอจะเงยหน้ามองเขาก็ต้องรีบสูดหายใจเอาอากาศเขาปอด อย่างทำตัวไม่ถูกทันที เขาจะเหลือกระดุมสองเม็ดบนไว้ทำไมไม่ทราบ!

“คุณติดกระดุมไปถึงคอแล้วตามฉันมาได้แล้ว บ้าชะมัด…”

พอบอกเอริคจบ ฉันก็รีบเดินออกจากห้องน้ำทัที แต่ได้ยินเสียงเขาหัวเราะชอบใจอย่างกวนประสาทแล้วรู้สึกหงุดหงิดเขาขึ้นมานิดๆ ว่าแต่… ทำไมแก้มของฉันถึงได้ร้อนผ่าวแบบนี้กันล่ะ แค่เห็นหุ่นล้ำๆ ของเอริคเนี่ยนะ? อย่าบ้าไปหน่อยเลยยัยโมนา ต้องทำตามหน้าที่เลขาให้ดีสมกับเงินที่ท่านประธานจ้างสิ เลขาจำไว้! หน้าที่เลขา!

หลังจากที่ให้ร่างสูงแต่งตัวสวมเสื้อเชิ้ตเรียบร้อยแล้ว ฉันก็รีบก้าวฉับๆ มาที่ห้องปะชุมเล็กที่ติดกับห้องทำงานของเอริค แต่แล้วฉันก็ต้องขมวดคิ้วหน่อยๆ เมื่อเหลือบไปเห็นว่าเอริคเริ่มจะปลดกระดุมเสื้อของเขาออกทีละเม็ดสองเม็ด ให้ตายเถอะ นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาทีเองนะ!

“คุณหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“หยุดอะไร?” เอริคเอ่ยถามเสียงเข้มต่ำพลางขมวดคิ้วมองมาทางฉันด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่เขากลับยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ซะงั้น บ้าจริง เขากำลังกวนประสาทฉันอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย!

“ก็หยุดปลดกระดุมเสื้อสักทีน่ะสิ เดี๋ยวคุณคาร์ลอฟก็ถึงแล้วนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า คาร์ลอฟไม่ใช่คนคิดมากเรื่องเสื้อ”

ร่างสูงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแล้วเอนหลังนั่งพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางอารมณ์ดี ฉันสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อให้ใจเย็นไม่วอกแวกกับแผงอกกำยำน่าหม่ำ เอ๊ย… ไม่ใช่สิยะ! เพื่อไม่วอกแวกกับการกวนประสาทของเขาน่ะ ใจเย็นไว้โมนา แกต้องทำหน้าที่เลขาอย่างมืออาชีพสิ!

“แต่คุณทำหน้าที่แทนท่านประธานอยู่นะคะ ต้องแต่งตัวให้เหมาะสมกับการประชุมกับหุ้นส่วนหน่อยสิ ให้ตายเถอะ” ฉันกรอกตามองแล้วเอ่ยบอกเอริคสีหน้าจริงจัง “เดี๋ยวฉันติดให้ คุณนั่งอยู่เฉยๆ แล้วกัน”

“หึ เธอก็ทำตัวน่ารักเป็นหนิ โมนา”

สายตาคมจ้องมองใบหน้าของฉันนิ่ง ท่อนแขนแข็งแรงวางพาดพนักพิงโซฟาแล้วนั่งยิ้มบาง ฉันยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดของเขาแล้วเอื้อมมือไปติดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้พลางขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อย เอริคจะจ้องฉันทำไมนักหนากันละเนี่ย แล้วไอ้ที่บอกว่าน่ารักนี่คงกวนประสาทเฉยๆ สินะ

“เสร็จแล้วค่ะ แล้วก็อย่าไปปลดมันออกอีกล่ะ” พอติดกระดุมสองสามเม็ดที่เขาปลดออกให้เรียบร้อยอย่างเดิมแล้ว ฉันก็หันไปบอกเขาพลางพ่นลมหายใจอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่เอริคกลับขยับมานั่งใกล้มากขึ้น ฉันกะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความงุนงงทันที “คุณจะขยับมาใกล้ฉันทำไมน่ะ?”

“ขอบคุณ”

เอริคเอ่ยบอกจบก็โน้มลงมาหอมแก้มฉันฟอดใหญ่โดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันเบิกตาโพลงแล้วอ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาทองขาดน้ำอย่างบอกไม่ถูก นี่เอริคหอมแก้มฉันงั้นเหรอ?!

“ทำอะไรของคุณน่ะเอริค อย่าขยับมาใกล้ฉันนะ!”

“หึ ทำไมล่ะ ก็จะขอบคุณไง เหลืออีกข้างนึง” ฉันรีบยกมือดันแผงอกกำยำไว้ก่อนที่เขาจะโน้มลงมาหอมแก้มฉันด้วยความรวดเร็ว ให้ตายเถอะ เขาคิดจะทำบ้าอะไรกับฉันเนี่ย กวนประสาทชะมัด!

“ฉันบอกว่าอย่าไงเล่า คุณคาลอฟท์จะมาถึงแล้ว”

“แต่ยังไม่มาสักหน่อย เธอก็ให้หอมก่อนที่คาลอฟท์จะมาดิ”

“คุณจะบ้าเรอะ! ทำไมฉันต้องให้คุณหอมด้วย แค่ขอบคุณก็พอแล้วมั้ยล่ะ” ฉันยังคงดันแผงอกกำยำเอาไว้ แต่เขากลับจับแขนทั้งสองข้างของฉันแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์จนฉันเลิ่กลั่กไปหมด

“แค่อยากขอบคุณเองน่า ฉันรับแค่คำขอบคุณจากคุณก็พอแล้ว ไม่เป็นไร… อ๊ะ” ยังพูดไม่ทันจบท่อนแขนแข็งแรงก็โอบกอดเอวบางแล้วโน้มลงมาหอมแก้มอีกข้างของฉันด้วยความรวดเร็ว ฉันอ้าปากพะงาบๆ กว่าจะรู้ตัวเอริคก็หัวเราะพอใจแล้วจุ๊บลงมาบนริมฝีปากของฉันอีกครั้งซะแล้ว “เอ… เอริค!”

“หึ แค่นี้ก็เรียบร้อย” เรียบร้อยกะผีสิยะ! แอบหอมไม่พอเขายังแอบจูบฉันอีกต่างหาก แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวแบบนี้ได้ล่ะ…

“คุณปล่อยฉันได้แล้ว อะ… เอริค” ฉันเอนตัวหนีจนแผ่นหลังชนกับโซฟาเมื่อร่างสูงค่อยๆ โน้มมาใกล้มากกว่าเดิม “นี่ คุณได้ยินที่ฉันบอกหรือเปล่าน่ะ…”

ก๊อก ก๊อก

“คุณเอริคคะ อีกห้านาทีคุณคาลอฟท์จะมาถึงแล้วค่ะ” เสียงเลวี่ที่ดังอยู่หน้าห้องทำให้ฉันชะงักกึก หันไปมองทางบานประตูเลิ่กลั่ก แล้วกลับมาจ้องเอริคที่คร่อมร่างของฉันอยู่อีกครั้งตาแทบถลน เขายกยิ้มมุมปากเหมือนกลั้นขำ แต่ยังไม่ยอมขยับออกห่างจากฉันสักที

“โอเคเลวี่”  คุณถอยไปเลยนะ”

“หึ แล้วถ้าไม่ถอยล่ะ เธอจะทำยังไง” เอริคเลิกคิ้วถาม ฉันกัดริมฝีปากอย่างคิดหนักเมื่อเห็นว่าเขาแกล้งฉันด้วยการลูบไล้ฝ่ามือหนาไปมาที่เอวบางอย่างหยอกเย้า ให้ตายเถอะ อยากแกล้งฉันมากสินะ!

พรึ่บ! หมับ!

“อ๊ะ…”

“หึ ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะโมนา” เอริคหัวเราะต่ำในลำคอแกร่งทันทีที่จับข้อเท้าของฉันไว้ได้ทัน ขาเรียวขาหนึ่งลอยเคว้งเกือบจะถึงบ่ากว้างอยู่แล้ว!

“กะ… ก็คุณไม่ปล่อยฉันเองหนิ ช่วยไม่ได้” ฉันตอบตะกุกตะกักอย่างประหม่า พยายามดึงขาตัวเองออกจากมือหนาแต่เอริคก็จับเอาไว้แน่นกว่าเดิม “คุณจะจับข้อเท้าฉันไว้ทำไมเนี่ย!”

“ก็เธอทำตัวไม่น่ารัก”

“เพราะคุณนั่นแหละ… นี่!” ฉันเบิกตาโพลงอย่างทำตัวไม่ถูกเมื่อเอริคหันไปกดจูบที่ข้อเท้าเรียวพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตาคมจดจ้องมองใบหน้าฉันที่นอนเลิ่กลั่กอยู่บนโซฟา ฉันเม้มปาก หัวใจเต้นตึกตักระรัวไม่หยุดหย่อน…

ก๊อก ก๊อก

“คุณเอริคคะ คุณคาลอฟท์มาแล้วค่ะ”

“อะ… เอริค” ฉันนอนนิ่งตัวแข็งทื่อ ขาเรียวข้างที่มือหนาจับข้อเท้าอยู่ชะงักค้างอยู่บนไหล่แกร่งทันทีที่ได้ยินเสียงเลวี่มาจากหลังบานประตูห้องประชุม กระปงกระโปงล่นขึ้นมาถึงขาอ่อนจนเขาคงเห็นกางเกงในตัวจิ๋วของฉันไปแล้วแน่ๆ ถึงได้ยิ้มขำแบบนั้น ฉันถลึงตาใส่เอริคอีกรอบก่อนจะออกแรงดึงขาตัวเองออกจากฝ่ามือหนาที่ยอมปล่อยแต่โดยดี

พรึ่บ!

แล้วเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับฉันที่ขยับลุกนั่งพอดี ฉันกระแอมพลางจัดเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นก็หันไปฉีกยิ้มหวานให้คุณคาลอฟท์ที่เหลือบมองหัวที่กระเซอะกระเซิงหน่อยๆ ของฉันอย่างงุนงง แต่เอริคกลับนั่งกระดิกเท้าเอนตัวพิงโซฟาท่าทางสบายอกสบายใจที่ได้แกล้งป่วนประสาทฉันเล่นแทน เหอะ รู้อย่างงี้ฉันน่าจะเอาส้นรองเท้าแหลมๆ จิ้มซิกแพคเขาสัก!

“สวัสดีครับโมนา คุณเอริค” คาลอฟท์หันมายิ้มทักทายฉันก่อนจะพยักหน้าให้เอริคอย่างเป็นกันเอง “ทั้งสองคนสบายดีนะครับ”

“สบายดีครับ”

“ฉันก็สบายดีค่ะ”

ร่างสูงพยักหน้ารับเบาๆ พลางเอ่ยบอกด้วยเสียงเข้มต่ำตามปกติ ส่วนฉันก็ต้องหลบสายตาคมของเอริคไปมองทางคุณคาลอฟท์ยิ้มๆ เมื่อเขาเอาแต่จ้องมองใบหน้าฉันไม่เลิก เอริคเป็นบ้าหรือไงน่ะ มองอยู่ได้…

“งั้นเราเริ่มประชุมกันเลยดีมั้ยครับ ผมไม่อยากให้บรรยากาศมันเครียดจนเกินไปเลยไม่ได้ให้เลขาเข้ามาด้วย แค่คุณโมนาก็พอแล้ว”

ฉันหัวเราะหน่อยๆ ที่คุณคาลอฟท์พูดแซวพลางส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้อย่างหยอกล้อ แต่พอเหลือบไปมองเอริคกลับเห็นเขานั่งหน้านิ่วคิ้วเข้มนี่ขมวดมุ่นเหมือนไปกินรังแตนที่ไหนมา พอฉันกำลังจะเอ่ยถาม เอริคหันไปคุยกับคุณคาลอฟท์ซะก่อน อะไรอีกล่ะเนี่ย เขาหัวเสียเรื่องอะไรงั้นเหรอ? ท่าทางอย่างกับไม่พอใจบางอย่างอยู่งั้นแหละ…

“เรื่องข้อมูลอะไหล่เครื่องยนต์ที่คุณเพิ่งส่งมาให้ ผมดูทางเมลแล้วกำลังแจ้งรายละเอียดกับปรึกษากับทีมช่างอยู่ น่าจะอาทิตย์หน้าถึงจะเริ่มทำตามแผนนะครับ”

เอริคอธิบายแผนงานให้คุณคาลอฟท์ฟังคร่าวๆ โดยที่หลายนาทีที่เขาสองคนประชุมงานกันฉันก็ได้แต่จดตามยิกๆ มือพันกันเป็นระวิงอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงแม้บางคำจะยังมึนงงไปหน่อยก็ตามเพราะส่วนใหญ่มีแต่ศัพท์เกี่ยวกับวิศวกรรมศาสตร์และการซ่อมบำรุงทั้งนั้น แต่เอริคคงสังเกตเห็นสีหน้าอันงงงวยของฉัน เขาถึงได้คุยช้าลงและใช้คำที่เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น

อันที่จริงเวลาเอริคจริงจัง หรือคุยเรื่องงานเขาก็เป็นคนที่ดูสุขุมมากเหมือนกัน ช่างแตกต่างกับตอนที่เขาเป็นคนขี้แกล้ง และคอยกวนประสาทใส่ฉันชะมัดเลย…

“รับกาแฟกับขนมทานเล่นเพิ่มมั้ยคะ เดี๋ยวฉันไปเอาให้”

หลังจากที่พวกเขาคุยงานกันเกือบเสร็จ ฉันก็หันไปถามเอริคกับคุณคาลอฟท์เมื่อเห็นว่ากาแฟร้อนและขนมใกล้หมดแล้ว ก่อนจะเลิกคิ้วงุนงงทันทีที่สบกับสายตาคมดุดันที่จ้องมองมาไม่เลิก ท่าทางของเอริคที่ดูหัวเสียไม่หายทำให้ฉันต้องขยับไปกระซิบถามเขาอย่างอดสงสัยไม่ได้

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”

“เป็นอะไร”

เสียงเข้มต่ำเอ่ยถามกลับมาพร้อมกับคิ้วเข้มขมวดมุ่นหน่อยๆ พอฉันเห็นว่าคุณคาลอฟท์คุยโทรศัพท์อยู่เลยรีบพูดต่อทันที

“ก็เหมือนคุณหงุดหงิดอยู่เลย”

“ไม่ได้หงุดหงิด แค่ฉันรู้ว่าคาลอฟท์คิดอะไรอยู่”

ฉันกะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าหล่อเหลานิ่งๆ อย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เอริคถอนหายใจแรงอีกครั้ง ก่อนจะขยับมาเท้าแขนกับพนังโซฟาของฉันแล้วโน้มลงมากระซิบบอกฉันด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่หาย

“คาลอฟท์คิดจะจีบเธออยู่ ยังไม่รู้ตัวอีกรึไง โมนา”

“ห้ะ!? เอ่อ…”

ฉันเบิกตาโพลงพลางเผลออุทานออกมาเสียงดัง แต่พอคุณคาลอฟท์ที่ยังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่เหลือบมองเราสองคนด้วยความสงสัย ฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ หัวเราะแก้เก้อ แล้วกระแอมทำเป็นจิบกาแฟในแก้วของตัวเองอึกหนึ่ง จากนั้นก็หันขวับไปมองเอริคอย่างไม่ค่อยอย่างเชื่อ เขาพูดบ้าอะไรน่ะ คุณคาลอฟท์เนี่ยนะจะจีบฉัน เอริคมโนไปเองเรอะ!

“คุณคิดไปเองหรือเปล่าคะ คุณคาลอฟท์ไม่เห็นมีท่าทีจะทำแบบที่คุณว่าเลย”

“ก็เธอซื่อบื้อไงโมนา แค่เห็นที่เขามองเธอใครๆ ก็ดูออกทั้งนั้น” เอ๊ะ… นี่เอริคหลอกด่าว่าฉันซื่อบื้องั้นเหรอ ให้ตายเถอะ ฉันไม่ได้ซื่อบื้อสักหน่อย!

“ฉันไม่ได้ซื่อบื้อหรอก คุณมโนไปเองมากกว่า เหอะ”

ฉันจิ๊ปาก เหลือบมองเอริคที่นั่งเอนหลังพิงโซฟาคิ้วขมวดไม่เลิกอย่างขุ่นเคืองหน่อยๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟทั้งของเขา และของคุณคาลอฟท์มาไว้ในถาดเพื่อไปเติมให้ตามหน้าที่เลขาที่ดี และไม่ลืมฉีกยิ้มสดใสไปด้วย ยิ้มไว้โมนา ถึงจะหมั่นไส้เอริคอยู่ก็ต้องยิ้มไว้ย่ะ!

“ชานี้อร่อยนะคะ โมนาชิมยัง?” เลวี่ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องของว่างที่อยู่ถัดจากห้องทำงานของเอริคหยิบซองชามาให้ดูพร้อมกับยิ้มกว้าง ฉันมองชาในมีเธอก่อนจะส่ายหน้ากลับไปให้ยิ้มๆ

“ยังไม่เคยชิมชาเลยน่ะ งั้นขอลองชิมหน่อยแล้วกันนะ”

“ชิมแล้วระวังจะติดใจล่ะ” ฉันหยิบซองชามาจากเลวี่แล้วเลิกคิ้วถามเธอด้วยความสงสัย จะว่าไปฉันไม่เคยเห็นเลวี่ดื่มกาแฟที่บริษัทเลยนี่นา

“เลวี่ไม่ดื่มกาแฟเหรอ?”

“อ้อ ใช่จ๊ะ พอดีดื่มทีไรเหมือนจะง่วงกว่าเดิมเลยเลือกดื่มชาแทนน่ะ”

“อา… งั้นหรอกเหรอ” ฉันพยักหน้าเข้าใจแล้ววางซองชาลงในแก้วน้ำร้อนที่เทเอาไว้ กลิ่นหอมจากมันทำให้ฉันสดชื่นขึ้นจนยกมาจิบหนึ่งอึก “ชาหอมมากเลย อร่อยจริงๆ ด้วย สงสัยฉันคงติดใจแบบที่เลวี่บอกแล้วล่ะ”

“ใช่มั้ยล่ะ บอกแล้วว่าอร่อย” เลวี่ยิ้มปริ่มอย่างดีใจ และเหมือนเธอเพิ่งนึกอะไรออกถึงได้หันมามองฉันที่กดชงกาแฟให้คุณคาลอฟท์กับเอริคด้วยสีหน้าเครียดหน่อยๆ “โมนา ช่วงนี้คุณเจนนี่มาหาคุณเอริคบ้างหรือเปล่า”

“เอ๊ะ… เอ่อ ก็ไม่นะ ฉันไม่เห็นคุณเจนนี่มาที่นี่สักพักแล้วน่ะ มีอะไรเหรอ?”

ฉันยืนนิ่ง ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของเจนนี่คู่หมั้นเก่าของเอริค ก่อนจะกระแอมเบาๆ เรียกสติของตัวเองแล้วหันไปยิ้มแห้งถามเลวี่ที่เดินมายืนกระซิบกระซาบข้างๆ สีหน้าจริงจัง

“คือเมื่อสองสามวันก่อนคุณเจนนี่มาหาคุณพ่อของเธอที่เป็นหุ้นส่วนบริษัทบ่อยๆ น่ะ เห็นพนักงานที่ตึกอีกฝั่งคุยกันน่ะว่ามาวอแวเรื่องคุณเอริคไม่หยุดเลย”

“งะ… งั้นเหรอ”

ฉันกลืนน้ำลายลงคอดังอึกทันทีที่ได้ยิน ให้ตายสิ ไม่ใช่ยัยคุณหนูเจนนี่เอ่อ… จะเรียกคุณเจนนี่เฉยๆ อย่างเลวี่ก็กระดากปากเพราะฉันดันไปแกล้งเธอไว้นะสิ แต่ที่เลวี่พูดคงเป็นเรื่องที่เอริคไปยกเลิกเรื่องหมั้นเอาไว้แน่ๆ ก็นึกว่ายัยเจนนี่ขี้วีนนั่นจะไม่มาตามตอแยแล้วซะอีก มาครั้งนี้คงไม่พ้นวุ่นวายกับเธอที่ทำงานเป็นเลขาให้เขาอีกน่ะสิเนี่ย

“คงเป็นเรื่องหมั้นกับคุณเอริคล่ะมั้ง เห็นคนตึกนั้นพูดกันตลอดว่าเธอชอบคุณอริคมาก แต่ถูกถอนหมั้นก่อนที่จะได้เป็นแฟนกันซะอีก อย่างว่าแหละนะโมนา คุณเอริคคงไม่ชอบลูกคุณหนูเอาแต่ใจสักเท่าไหร่หรอก ท่าทางเขาเป็นเคร่งขรึม นิ่งๆ คงชอบคนที่เซ็กซี่นิสัยเป็นผู้ใหญ่หน่อยๆ มากกว่าล่ะมั้ง”

ฉันกะพริบตาปริบๆ อืมม… สเปคแบบที่เอริคชอบคงเป็นคนที่เซ็กซี่ นิสัยเป็นผู้ใหญ่งั้นเหรอ… เอ๊ะ! แล้วทำไมฉันต้องมายืนคิดมากเรื่องสเปคผู้หญิงของเขาด้วยล่ะยะ!

ฉันสะบัดหัวไปมาเพื่อรวบรวมสติของตัวเองและตั้งใจชงกาแฟต่ออีกครั้ง บ้าจริง เอริคจะชอบผู้หญิงแบบไหนก็เรื่องของเขาสิ ฉันจะไปสนใจทำไมก็ไม่รู้… แต่จะว่าไปพอเหลือบไปมองกระจกที่ติดอยู่บนผนังวันนี้ฉันก็ดูเซ็กซี่เหมือนกันนะ ปากก็ดูอวบอิ่ม ไหนจะสะโพกอกเอวที่ดูน่าหยิก ไหนจะจมูกจิ้มลิ้ม เดี๋ยวนะ… หยุดคิดเพ้อเจ้อได้แล้วโมนา เขาจะชอบใครก็ช่างเขาสิโว้ย!

Options

not work with dark mode
Reset