Double รักร้ายคูณสอง 14

ตอนที่ 14

ดวงตากลมโตค่อยๆ กะพริบปริบสองสามที เมื่อแสงแดดส่องทะลุผ่านผ้าม่านกระทบสายตา ฉันขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัยเมื่อรอบเอวบางเหมือนอะไรหนักๆ มาโอบรัดไว้แน่น พอเหลือบมองดูก็เห็นท่อนแขนแข็งแรงของเจ้าของรอยสักเท่ๆ กำลังพาดกอดเอวฉันอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน เสียงลมหายใจเข้มต่ำสม่ำเสมอดังอยู่ข้างใบหู ฉันเงยมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังหลับตาพลิ้มอย่างสบายใจแล้วก็ได้แต่เม้มริมฝีปากด้วยความประหม่าหน่อยๆ

“ให้ตาย…”

ฉันพึมพำกับตัวเองและอยากจะทึ้งหัวให้ผมหลุดติดมือมาให้รู้แล้วรู้รอด ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนระหว่างฉันกับเอริค แล้วหัวใจฉันก็เต้นระรัวอีกครั้งทันทีที่เพิ่งรู้ตัวว่าเราสองคนยังนอนเปลือยเปล่าไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นเดียว บ้าจริง!

ฉันสูดหายใจลึกๆ เพื่อรวบรวมสติ ก่อนจะจับท่อนแขนแข็งแรงออกจากเอวบางช้าๆ แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งด้วยความระมัดระวัง เพราะเกรงว่าเอริคจะตื่นซะก่อน ถ้าเขาตื่นมาตอนนี้ฉันคงยังทำตัวไม่ถูกแน่ๆ…

หมับ!

“อืม” ฉันชะงักและกลับไปนอนอยู่บนเตียงนุ่นนิ่มตามเดิม พอเหลือบมองร่างสูงอย่างระแวดระวัง ท่อนแขนแข็งแรงก็พาดลงมาที่เอวบางอีกครั้งโดยที่ฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัว แถมเขายังพึมพำเสียงต่ำดุดันเหมือนกำลังรำคาญอีกต่างหาก ให้ตายสิ ฉันไม่ใช่หรือไงที่ควรจะรู้สึกรำคาญกับการที่เขาเอาแต่โอบกอดฉันแบบนี้เนี่ย!

ฉันกรอกตามองเพดานห้องนอนไปมาอย่างเซ็งๆ แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในหัวก็คิดหาเหตุผลว่าเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้นคงเป็นเพราะบรรยากาศฝนตกมันพาไปหรือเปล่า ฉันกับเอริคถึงได้เกิดอารมณ์ชั่ววูบทำเรื่องน่าอาย…

แน่นอนอยู่แล้วสิ… ถ้าไม่ใช่เพราะบรรยากาศมันพาไปเอริคจะทำแบบนี้ทำไมกัน คู่หมั้นเขาก็มี ถึงฉันจะรู้ว่าเขาไม่ได้อยากหมั้นกับยัยคุณหนูเจนนี่ขี้วีนอะไรนั่นก็ตาม แต่ยังไงเรื่องนี้มันก็ไม่ควรเกิดขึ้น แล้วฉันยังยินยอมพร้อมใจให้เอริคด้วยนี่สิที่ทำให้อยากจะทุบกะโหลกตัวเองจริงๆ ฉันคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ยถึงใจกล้าหน้าด้านทำมันลงไปอีกแล้ว อยากจะบ้าตายจริงๆ เลย!

พรึ่บ!

“อือ”

เสียงเข้มต่ำพึมพำชิดใบหูของฉัน และเริ่มกอดรอบเอวบางแน่นจนฉันขยับตัวแทบไม่ได้ ฉันพยายามดันท่อนแข็งแข็งแรงออก แต่เอริคกลับไม่ขยับสักนิด ฉันถอนหายใจ จากนั้นก็หันไปใบหน้าหล่อเหลาด้วยสายตาขุ่นเคืองเล็กน้อย ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นอย่างประหม่าเมื่อปลายจมูกของเราสองคนเกือบจะชนกัน

“เอ… เอริค”

และฉันต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเห็นว่าเอริคยกยิ้มมุมปากและลืมตามองฉันท่าทางขบขันปนเจ้าเล่ห์ ฉันเบิกตาโพรงอย่างมึนงงไปชั่วขณะ อย่าบอกนะว่าเขาตื่นนานแล้วน่ะ… ให้ตายเถอะ แล้วเขาต้องกวนประสาทฉันด้วยการกอดเอวฉันแน่นขนาดนี้ด้วยเล่า!

“ตื่นแล้วเหรอ”

เสียงเข้มต่ำแหบพร่าทำให้ฉันจิ๊ปากอย่างหมั่นไส้พลางใช้มือดันแผงอกกำยำให้ออกห่าง แต่เขายังยอมไม่ปล่อยจนฉันเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาทันที

“ถ้ายังไม่ตื่นฉันจะลืมตาอยู่แบบนี้หรือไงกัน เอาแขนออกไปได้แล้วเอริค”

หมับ!

“อ๊ะ… คุณทำอะไรเนี่ย!” ฉันอุทานด้วยความตกใจ ทันทีที่เอริคโอบกอดรอบเอวบางแน่นกว่าเดิม ก่อนเขาจะดึงจับฉันขึ้นไปทาบทับอยู่บนร่างกายสูงใหญ่โดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว

“อย่าเพิ่งดิ้นสิ”

เสียงเข้มต่ำที่กระซิบอยู่ข้างใบหูทำให้ฉันชะงักกึก ดวงตากลมโตเบิกโพรงอย่างตกใจ พร้อมกับใบหน้าร้อนผ้าวขึ้นมาทันทีเมื่อต้นขาเรียวรับรู้ถึงบางอย่างแข็งๆ และอุ่นร้อนกำลังดุนดันไม่ห่าง ฉันหันขวับไปมองเอริคจนคอแทบเคล็ด จ้องมองเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึงหน่อยๆ กัดริมฝีปากล่างเพราะรู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูก ให้ตายสิ ฉันกำลังจะเป็นประสาทตายเพราะเอริคจริงๆ แล้วนะยะ!

“ปล่อยฉันลงนะ”

“เรื่องปกติน่าโมนา” ปกติบ้าบออะไรกันเล่า! มันไม่ปกติสำหรับฉันสักนิดที่ต้องตื่นมาแล้วมีอะไรแข็งๆ อุ่นร้อนของเขามาดุนดันต้นขาอยู่แบบนี้น่ะ มันไม่ปกติย่ะ!

“เอริค!”

เอริคยกยิ้มมุมปาก แล้วจ้องมองใบหน้าฉันด้วยสายตาคมเจ้าเล่ห์จนฉันเริ่มเลิ่กลั่กไปหมด “ยิ่งมีเธอมานอนอยู่แบบนี้มันยิ่ง…”

หมับ!

“หยุดพูดเลยนะ!” ฉันรีบยกมือขึ้นไปปิดปากเอริคเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว และพอรวบรวมสติที่แตกกระเจิงของตัวเองได้ก็หยิกลงไปที่ซิกแพคของร่างสูงที่ฉันกำลังนอนทาบทับอยู่แรงๆ อย่างหงุดหงิด

“อึก… โมนา”

“คุณกวนประสาทใส่ฉันก่อนเองนะ”

เอริคชะงักและคลายท่อนแขนแข็งแรงที่โอบกอดเอวบางออกเล็กน้อย ฉันเลยใช้จังหวะนั้นขยับตัวลุกออกจากเตียงแล้วก้มลงไปหยิบเสื้อยืดของเขาที่กองอยู่บนพื้นห้องมาสวมไว้ด้วยความรวดเร็ว

“จะรีบไปไหน”

เสียงเข้มต่ำเอ่ยถามพร้อมกับร่างสูงเอนตัวพิงหัวเตียง สายตาคมดุดันจ้องมองมาทางฉันเรียบนิ่ง แต่ให้ตายเถอะเอริคไม่คิดจะสนใจหยิบผ้าห่มขึ้นมาปิดบังท่อนล่างเปลือยเปล่าของเขาสักนิดเลยรึไงน่ะ?! ฉันกระแอม ก่อนจะเบนไปมองปลายผ้าห่มที่บดบังอะไรต่อมิอะไรของเอริคเอาไว้ได้อยู่อย่างค่อนข้างจะยากลำบาก แอบกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง และรีบหันหน้าไปมองทางอื่นกลบเกลื่อนอาการเลิ่กลั่กด้วยความรวดเร็ว

“ฉันจะกลับห้องไปอาบน้ำและหาอะไรกินด้วย หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย…”

“หึ ฉันก็ใช้พลังงานไปเยอะเหมือนกัน ทำเผื่อด้วย”

เอริคหัวเราะต่ำในลำคอแกร่งเบาๆ สายตาคมวาววับเจ้าเล่ห์ยังคงจ้องมองมาไม่เลิกจนฉันต้องเม้มริมฝีปากอย่างประหม่า ใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อได้ยินประโยคสองแง่สองง่ามจากเขา ก่อนฉันจะพยักหน้าหงึกหงัก แล้วรีบเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองทันที ถ้าขืนฉันยังยืนอยู่ในห้องของเอริคอีกสักนาที ฉันกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวเหมือนมีคนมาตีกลองอยู่ข้างในซะก่อนน่ะสิ บ้าจริง!

หลังจากใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวไม่นาน ฉันก็เดินลงมาที่ห้องครัวโดยสวมเสื้อยืดตัวโคร่งของเอริคเอาไว้เหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ใส่ชุดชั้นในจนครบนะ เหอะ กันเอาไว้ก่อนเผื่อจะมีเวลาคิดมากขึ้นและจะได้ไม่เผลอทำเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกน่ะสิ แต่พอเปิดตู้เย็นออกมาก็มีของสดอยู่บ้างนิดหน่อย ฉันเลยทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ สำหรับตัวเองและเจ้าของบ้านที่ตอนนี้กำลังอยู่ในห้องทำงานอย่างขยันขันแข็งในแบบที่ฉันไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่นัก

ก๊อกๆ ๆ

“ฉันทำอาหารเช้าเสร็จแล้วนะคะ”

ฉันเคาะบานประตูห้องทำงานของเอริคสองสามครั้ง ก่อนจะบอกเขาน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อยจนต้องกระแอมในหนึ่งทีอย่างประหม่า อะไรกันน่ะ… ฉันจะประหม่าเวลาอยู่กับเอริคไม่ได้ทำไมกัน บ้าไปแล้วเรอะยัยโมนา ทำตัวปกติสิยะ!

“อือ”

แต่เสียงเข้มต่ำที่ขานรับเพียงสั้นๆ ผ่านบานประตูกลับทำให้ฉันขมวดคิ้วมุ่น แล้วตะโกนถามเขาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “คุณทำงานอยู่เหรอ? งั้นฉันกินก่อนนะ”

“โอเค เธอกินก่อนได้เลยโมนา”

ฉันเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ใส่บานประตู จากนั้นก็เดินมานั่งกินอาหารเช้าของตัวเองที่ห้องครัว แต่กินจนเกือบหมดเอริคก็เพิ่งเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง สายตาคมดุดันคู่สวยมองมาทางฉันที่เอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่ก่อนแล้วโดยไม่รู้ตัว และพอฉันเผลอสบเข้ากับสายตาคมก็รีบเบนลงไปมองที่จานว่างเปล่าของตัวเองทันที ให้ตายสิ พอมองไปยังหน้าต่างก็เห็นว่าด้านนอกฝนหยุดตกไปได้สักพักใหญ่ๆ แต่ดูเหมือนว่าเมื่อคือลมคงแรงน่าดูต้นไม้บ้างต้นมันถึงได้ล้มลงมาแบบนั้น ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ระหว่างที่วางจานที่เพิ่งล้างเสร็จให้เรียบร้อย

วันนี้เป็นตายร้ายดียังไงฉันคงต้องกลับไปบริษัท ถึงไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงให้เอริคกลับไปด้วยกัน แต่มันก็ต้องมีสักทางสิ ถ้าฉันยังอยู่กับเขาที่บ้านหลังนี้กันสองต่อสองอีก… เฮ้อออ หยุดคิดเรื่องบ้าบอร้สาระได้แล้วโมนา แกจะมารู้สึกปั่นป่วนแบบนี้ไม่ได้นะยะ!

“เป็นอะไร”

ฉันสะดุ้ตกใจเมื่อจู่ๆ เสียงเข้มต่ำก็ดังอยู่ข้างใบหู พอหันไปมองก็เห็นร่างสูงยืนอยู่ด้านหลัง ฉันขยับตัวออกห่างจากเขาเล็กน้อยแล้วยื่นมือไปหยิบจานเปล่าในมือหนามาล้างให้สะอาดเอี่ยมทันที

“เดี๋ยวฉันล้างให้ คุณขยับออกไปหน่อยได้มั้ยคะ”

เอริคเลิกคิ้วเข้มข้างหนึ่งอย่างสงสัย ก่อนเขาจะยกยิ้มมุมปาก แต่ยอมขยับตัวออกห่างไปยืนพิงผนังห้องครัวมองฉันล้างจานแทน แล้วนี่เขาไม่มีอะไรทำหรือไงถึงว่างมาจ้องฉันล้างจานน่ะ?!

“ค่อยคุ้มค่าจ้างหน่อย”

ฉันหันขวับไปมองเอริคคิ้วขมวดมุ่น ได้ข่าวว่าฉันเป็นเลขา ไม่ใช่แม่บ้านนะ! ฉันจิ๊ปากแล้วทำเป็นไม่ได้ยินที่เขาเพิ่งพูดกวนประสาทใส่ก่อนจะถามกลับไปบ้าง “คุณจะกลับเมื่อไหร่คะ?”

“ไม่รู้”

เอริคยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้านแล้วเดินไปชงกาแฟดื่มท่าทางสบายอกสบายใจให้ตายเถอะ!

และหลังจากที่ฉันล้างจานเสร็จแล้วเรียบร้อย ฉันก็เดินไปที่รถยนต์ลูกรักที่จอดอยู่หน้าบ้านเพื่อไปเอาเอกสารมาทำงานต่อจากที่ค้างไว้ แต่พอสายตาไปเห็นบางอย่างอยู่บนฝากระโปรงรถก็ต้องกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ พอลองยืนเพ่งมองดูชัดๆ อีกครั้งก็ต้องอ้าปากพะงาบๆ ค้างกลางอากาศ และได้แต่ยืนนิ่งตัวแข็งทื่ออยู่หน้าบ้านอย่างกับก้อนหินทันที นั่นมันอะไรกันอีกล่ะเนี่ย!

“เสียงไอ้นั่นเองหรอกเหรอ”

ฉันหันขวับมองร่างสูงที่มายืนจิบกาแฟอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ด้วยความมึนเบลอ “คุณ… คุณหมายความว่าไงน่ะ?”

สายตาคมมองหน้าฉันพลางยกแก้วกาแฟในมือขึ้นจิบอึกหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยบอกเสียงเข้มต่ำนิ่งเรียบ ไม่ได้ตกใจหรือดูตื่นตูมแบบฉันเลยสักนิดเดียว

“เมื่อคืนได้ยินเสียงดังมาจากหน้าบ้านน่ะ แต่คิดว่าเสียงฟ้าฝ่าเลยไม่ได้ลงมาดู”

อะไรนะ! ฉันหันไปกลับมองกระถางต้นไม้ใหญ่ที่ตกลงมาใส่ฝากระโปรงหน้ารถยนต์ของตัวเองด้วยสีหน้าอึ้งปนงุนงงไม่หาย “ทำไม… ทำไมฉันไม่เห็นได้ยินอะไรเลยล่ะ”

“เธอคงหมดแรงจนหลับสนิทน่ะสิ ขนาดฉันอุ้มขึ้นมานอนที่ห้องยังไม่รู้สึกตัวเลย”

ฉันชะงักกึก เม้มริมฝีปากแน่นและใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ หัวใจก็เต้นแรงอีกต่างหาก เอ่อ… บางทีเขาก็ไม่ต้องพูดรายละเอียดขนาดนั้นก็ได้มั้ง บ้าชะมัด ฉันกลืนน้ำลายลงคอด้วยความฝืดเคือง แล้วรีบถามกลับไปเสียงอึกอักเล็กน้อย

“เอ่อ… แล้วคุณพอจะรู้จักช่างหรืออู่ซ้อมรถแถวนี้บ้างมั้ยคะ?”

“ก็มีรู้จักอยู่บ้าง”

เอริคบอกแค่นั้นแล้วเงียบไป จนฉันต้องสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อควบคุมสติของตัวเอง แล้วหันไปมองร่างสูงที่ยืนพิงกรอบประตูบ้านมองหน้าฉันด้วยสายตาคมพร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ส่งมาให้

“มีเบอร์ติดต่อมั้ยคะ? ฉันขอหน่อยสิ จะได้โทรไปบอกให้มาซ่อมรถให้หน่อยน่ะ”

“อือ สองปีที่แล้วฉันน่าจะเก็บนามบัตรเอาไว้อยู่”

สองปีเนี่ยนะ! ตลกเหอะ แล้วมันจะยังอยู่ไหมเนี่ยไอ้นามบัตรอู่ซ่อมรถนั่นน่ะ บ้าชะมัดเลย “งั้นฉันขอไปเอาเสื้อผ้ากับเอกสารในรถแป๊บนะคะ”

ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วเดินไปเอาเสื้อผ้าของตัวเองที่มีติดรถไว้สองสามชุดพร้อมกับหอบเอกสาร แฟ้มเก็บงาน และโน๊ตบุ๊คออกมาจากรถทันที ก่อนจู่ๆ ฝ่ามือหนายื่นออกมาตรงหน้า และพอเอริคเห็นว่าฉันยังยืนมึนงงไม่ยอมส่งของที่กำลังหอบอยู่ไปให้ เขาก็คว้าทั้งหมดไปถือไว้เองโดยที่ฉันตั้งตัวแทบไม่ทัน ถ้าเขาจะช่วยถือก็บอกกันดีๆ ก็ได้มั้ง เอาแต่มองหน้าใครมันจะไปรู้ล่ะว่าจะช่วยน่ะ เหอะ!

ฉันถือเสื้อผ้าของตัวเองกับแก้วกาแฟของเอริคแล้วเดินตามเขาไปที่ห้องทำงาน เอริควางสิ่งของทุกอย่างที่เขาช่วยฉันถือลงบนโต๊ะว่างข้างโซฟา ก่อนเขาจะเดินไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ฉันเลยรีบวางเสื้อผ้าที่หอบอยู่ลงบนโซฟาบ้าง จากนั้นก็วางแก้วกาแฟไว้บนโต๊ะใกล้ๆ กันแล้วเดินตามเขาต้อยๆ เหมือนลูกแมวไม่มีผิด ตอนนี้เบอร์โทรอู่ซ่อมรถสำคัญสำหรับฉันมากที่สุดเลยจะบอกให้

“คุณแน่ใจใช่มั้ยว่านามบัตรมันยังอยู่ที่นี่”

“ไม่แน่ใจ”

ฉันขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาทันทีที่เสียงเข้มต่ำของเอริคบอกออกมาเรียบนิ่ง เดี๋ยวสิ… อย่างน้อยเขาก็ช่วยพูดให้กำลังใจฉันหน่อยไม่ได้หรือไงกัน เปิดลิ้นชักหาแล้วค่อยพูดก็ได้ไหมล่ะ!

“งั้นเดี๋ยวฉันช่วยหา คุณเอาไว้ตรงไหนคะ?”

“ลิ้นชักเล็กๆ ตรงนั้น”

นิ้วเรียวยาวชี้ไปที่ลิ้นชักข้างล่าง ฉันรีบก้มลงไปมอง ก่อนจะรีบเปิดมันออกด้วยความรวดเร็ว แต่พอเห็นนามบัตรมากมายที่ซุกซ่อนอยู่ในนี้ก็ทำให้ฉันขมวดคิ้วมุ่นและเริ่มจะหงุดหงิดมากกว่าเดิม นี่เอริคคิดจะเก็บหรือแค่ยัดๆ มันเข้าไปในนี้กันแน่เนี่ย ทำไมมันถึงได้มีนามบัตรเยอะแยะมากมายขนาดนี้ก็ไม่รู้ ให้ตายสิ

“อู่ชื่อว่าอะไรคะ? ฉันจะหามันเจอหรือเปล่าน่ะ บ้าจริง…”

ฉันถอนหายใจแล้วหันไปถามร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลัง เขามองใบหน้าฉันนิ่งพลางยกยิ้มเล็กน้อย จากนั้นสายตาคมก็เหลือบมองลงไปยังกองนามบัตรที่อยู่ในลิ้นชัก พร้อมกับมือหนาหยิบใบหนึ่งขึ้นมาถือไว้

“น่าจะใบนี้ เดี๋ยวโทรคุยให้เอง”

ฉันพยักหน้าแล้วเดินไปยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงานของเอริคแทน “โอเคค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”

เอริคหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา แล้วนิ้วเรียวยาวก็กดเบอร์ที่อยู่บนนามบัตร ระหว่างรอปลายสายรับ เขาก็เปิดลำโพงเพื่อให้ฉันฟัง บางทีเอริคคงคิดว่าฉันจะได้รู้ชะตากรรมของตัวเองโดยที่เขาไม่ต้องบอกอีกรอบสินะ เหอะ!

[ฮัลโหล]

“บาสเตียน ฉันเอริคนะ”

และถือสายรอไม่นานก็มีเสียงผู้ชายขานรับ ฉันยืนตัวขึ้นเล็กน้อยพลางจ้องไปยังโทรศัพท์อย่างลุ้นระทึกทันที เอริคเหลือบมองท่าทีของฉันยิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มต่ำทักทายปลายสายอย่างเป็นกันเองจนฉันขมวดคิ้วหน่อยๆ เมื่อเห็นว่าเอริคคงจะรู้จักกับเจ้าของอู่ที่ชื่อบาสเตียนอยู่ไม่น้อย

[อ้าว! เอริค นายเองหรอกเรอะ นายไม่ติดต่อฉันมานานเลย เป็นไงบ้างล่ะเนี่ย สบายดีมั้ย?] บาสเตียนด้วยพูดคุยน้ำเสียงตื่นเต้นและดีใจปนกัน ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนกอดอกแคะเล็บรออย่างใจเย็น

“สบายดี ว่าแต่นายล่ะ เป็นไงบ้าง”

[ฉันก็สบายมากเลย นี่ก็เพิ่งแต่งงานไปน่ะ เสียดายที่ติดต่อนายยากไปหน่อย แต่งานแต่งฉันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลยไม่ได้ชวนใครเยอะหรอก โทษทีนะที่ไม่ได้โทรบอกนายเลย] เอริคหัวเราะอย่างไม่คิดมากแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกมายินดีกับชีวิตคู่ของบาสเตียนจากใจจริง

“ไม่เป็นไรน่า ยังไงฉันก็ยินดีด้วยนะ แล้วช่วงนี้นายว่างหรือเปล่า?”

ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นี่พวกเขาคุยกันตั้งนานแล้วนะ แต่เมื่อไหร่จะเข้าเรื่องซ่อมรถให้ฉันสักทีล่ะเนี่ย ยืนลุ้นจนขาจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว ถึงฉันจะเข้าใจว่าเขาสองคนอาจจะไม่ได้คุยกันมานาน แต่เอริคช่วยอย่าลีลามากได้ไหมเล่า!

[ถ้าช่วงนี้ก็น่าจะว่างอยู่น่ะ นายมีอะไรงั้นเหรอ?]

“พอดีรถเสียน่ะ เลยจะให้มาดูให้หน่อย” ฉันพิงสะโพกไปที่ขอบโต๊ะทำงานของเอริค เพราะเริ่มจะเมื่อยแล้วจริงๆ หูก็ฟังการสนทนาของพวกเขาอย่างลุ้นๆ ไม่หาย

[เป็นหนักเลยเหรอ แต่นายก็น่าจะซ่อมได้นี่นาเอริค ทุกทีฉันเห็นนายซ่อมเองตลอดเลยหนิ ระดับนายไม่ต้องถึงมือฉันหรอกมั้ง ฮ่าๆๆ]

ฉันหันขวับไปมองหน้าเอริคด้วยความรวดเร็ว เกือบลืมไปเลย! ขนาดเครื่องบินทั้งลำเอริคยังซ่อมมันได้ นับประสาอะไรกับรถยนต์คันป๊กปิ๊กของฉันที่เล็กกว่าเครื่องบินตั้งไม่รู้กี่เท่า ทำไมแค่นี้เขาจะซ่อมให้ฉันไม่ได้ล่ะ ให้ตายสิ!

“ฉันไม่มีเครื่องมือน่ะ”

แต่พอร่างสูงเห็นสีหน้าและดวงตากลมโตที่หรี่มองเขาอย่างจับผิด เขาก็รีบตอบบาสเตียสออกไปเสียงเข้มต่ำเรียบนิ่ง แล้วหันมาเลิกคิ้วมองหน้าฉันพลางยกยิ้มมุมปากมาให้เหมือนรู้ทันความคิดฉันอีกต่างหาก เหอะ ฉันเม้มริมฝีปากแน่น อะไรกันล่ะ ฉันไม่ได้มีความคิดว่าเขากำลังแกล้งฉันหรอกนะ ไม่มีจริงๆ… ถึงแม้จะมีบ้างแวบๆ มานิดหน่อยก็เถอะ แต่ฉันจะไม่นับก็แล้วกัน…

[อ้าวเรอะ คือถ้าเป็นตอนนี้เลยฉันคงไปซ่อมให้ไม่ได้น่ะ พอดีมาฮันนีมูนกับเมียด้วยสิ อีกสองสามวันน่าจะกลับ นายรีบมากมั้ยล่ะ?]

“สองสามวันงั้นเหรอ”

พอเอริคเห็นสีหน้าตกตะลึงและอาการอ้าปากค้างอย่างเสียสติของฉัน เขาก็ถามย้ำกับบาสเตียนอีกรอบ เหมือนเขาจะรู้ว่าฉันต้องการฟังมันให้ชัดเจนกว่าเดิม เผื่อว่าเมื่อกี้หูจะไม่ดีไปเอง

[ใช่ สองสามวัน แต่ก็ไม่แน่หรอก อาจจะเกือบอาทิตย์โน่นแหละ ถ้าเมียฉันยังไม่อยากกลับน่ะนะ ฮ่าๆๆ] จะมาหัวเราะทำซากมะเขือเปาะทำไมยะ! สาบานได้เลยว่าถ้าโทรศัพท์ที่เอริคกำลังคุยอยู่เป็นบาสเตียนฉันคงพ่นไฟใส่เขาไปแล้ว พวกเขาจะฮันนีมูนอะไรกันตั้งหลายวัน ให้ตายเถอะ ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนสติแตกกระเจิงไปหมดแล้วโว้ยย

“งั้นไม่เป็นไร ขอให้ฮันนีมูนของนายสนุกนะบาสเตียน”

เอริคเอ่ยบอกบาสเตียนแล้วหันมายิ้มขำกับท่าทางหัวเสีย และท่าทางเหมือนช้างตกมันของฉัน พอเขาวางสายฉันก็หันขวับจ้องใบหน้าหล่อเหลาด้วยความหงุดหงิด โอ๊ย เครียด! แล้วแบบนี้ฉันจะกลับบ้านกลับช่องยังไงเล่า!

“คุณยิ้มอะไรคะ?”

“ไม่ต้องเครียดหรอกน่าโมนา ก็อยู่กับฉันที่นี่ไปก่อนไง”

ฉันสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ที่คำตอบของเขายิ่งทำให้ฉันรู้สึกเครียดกว่าเดิมซะอีก ที่ฉันอยากจะรีบกลับก็เพราะไม่อยากอยู่กับเขาสองต่อสองในบ้านแสนอบอุ่นที่อยู่ห่างไกลผู้คนหลังนี้น่ะสิ บ้าจริง! ฉันจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย

“คุณซ่อมให้หน่อยไม่ได้เหรอคะ ที่ให้ฉันพอขับกลับได้น่ะ”

ฉันตั้งสติแล้วถามเอริคน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย เขายักไหล่จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันมามองใบหน้าฉัน และยกยิ้มมุมปากอีกครั้ง “เครื่องมืออยู่บนรถอีกคัน แล้วฉันก็ไม่ได้ขับมาด้วยสิ”

“ให้ตายเถอะ แล้วจะมีรถโดยสารผ่านมาแถวนี้บ้างมั้ยเนี่ย”

เอริคส่ายหน้าแทนคำตอบ ให้มันได้อย่างนี้! ฉันก็คิดไว้แล้วล่ะ อยู่บนภูเขาขนาดนี้ใครมันจะมาขับรถโดยสายขึ้นลงอย่างเพลิดเพลินกันบ้างล่ะ แถมยังมีบ้านหลังนี้อยู่แค่หลังเดียวด้วย โอ๊ย ปวดหัว!

“เอาน่า บางทีฉันอาจจะเร็วๆ นี้ก็ได้”

ฉันเงยหน้าสบกับสายตาคมนิ่ง แล้วเม้มริมฝีปากอย่างคิดหนัก เหอะ ขอให้มันจริงอย่างที่เขาพูดเถอะ “โอเค งั้นฉันจะอยู่กับคุณที่นี่ไปก่อน และหวังว่า… คุณจะอยากกลับในเร็วๆ นี้ตามที่บอกนะคะ”

ฉันพ่นลมหายใจแรงเพื่อควบคุมอารมณ์ขุ่นเคืองแล้วบอกเอริคด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่นไม่มีความเกรงกลัวใดๆ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกหวั่นๆ ขึ้นมาเล็กน้อยที่ต้องอาศัยอยู่กับเอริคที่บ้านหลังนี้อีกหลายวัน ใจเย็นไว้ยัยโมนา ใจเย็นโว้ยย!

“หึ จะลองคิดดูอีกทีแล้วกัน”

“งั้น… ฉันจะไปโทรบอกเลวี่ก็แล้วกัน”

ฉันชะงักแล้วรีบบอกร่างสูงเสียงตะกุกตะกักอย่างประหม่า ทันทีที่ฝ่ามือหนายกขึ้นมาลูบไล้ผิวแก้มเนียนอย่างเย้าแหย่ เอริคหัวเราะหึเบาๆ เมื่อเห็นฉันรีบเดินดุ่มๆ ไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองพร้อมกับหอบแฟ้มเอกสารออกจากห้องทำงานท่าทางเลิ่กลั่ก แล้วทำไมฉันต้องประหม่ากับเอริคด้วยเนี่ย ให้ตายเถอะ!

Options

not work with dark mode
Reset