Double รักร้ายคูณสอง 13

ตอนที่ 13

“ที่โซฟามีผ้าห่มอยู่ มันคงทำให้เธออุ่นขึ้น” ฉันเหลือบสายตาไปมองทางโซฟาตัวยาวที่อยู่ข้างโต๊ะทำงานของเอริค แล้วหันกลับมามองใบหน้าหล่อเหลาพร้อมกับยิ้มบางส่งไปให้เขาอย่างเข้าใจ

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขอเดินดูเครื่องบินเล็กๆ ในห้องทำงานคุณหน่อยได้มั้ยคะ? มันมีเยอะและน่ารักมากเลย”

เอริคเลิกคิ้วเข้มมองฉันด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “อยากดูเหรอ?”

ฝ่ามือหนาที่ลูบไล้หัวไหล่บางเพื่อคลายหนาวให้อย่างแผ่วเบาเลื่อนมาลูบไล้เส้นผมกลางหลังฉันเล่นแทน ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกประหม่าและทำตัวไม่ถูกที่เอริคสัมผัสร่างกายฉันอย่างสนิทชิดเชื้อเกินไปหน่อยก็ตาม แต่ฉันก็พยายามสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดลึกๆ เพื่อรวบรวมสติของตัวเอง และแกล้งทำเป็นไม่สนใจความอบอุ่นจากมือของเขาเท่าไหร่นัก แม้มันจะยากแค่ไหนก็ตาม…

“ค่ะ ฉันเห็นมันตั้งอยู่ที่บ้านหลังนี้เต็มไปหมด ทั้งที่ห้องนั่งเล่น ที่ห้องทำงานของคุณก็ด้วย คุณคงชอบมันมากสินะคะ”

“อันนี้มันอยู่กับฉันมาตั้งแต่ฉันสามขวบ”

เอริคลูบไล้เส้นผมสลวยกลางหลังฉันเล่นไม่ห่าง เขาพยักหน้าให้ฉันเล็กน้อย ก่อนจะชี้นิ้วไปที่เครื่องบินลำเล็กสีแดงในตู้ข้างๆ พร้อมกับอธิบายให้ฟังท่าทางผ่อนคลาย ฉันหันไปมองตามแล้วเผลอยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่ามันเริ่มเก่าแต่ยังมีสภาพดีเหมือนมีคนคอยดูแลมาตลอด

“คุณเป็นคนดูแลเครื่องบินในบ้านนี้หมดเลยเหรอคะ?”

“อือ”

ฝ่ามือหนาจับข้อมือบางแล้วพาฉันไปนั่งลงโซฟาตัวยาวใกล้กับโต๊ะทำงานของเขา ฉันที่กำลังอยากรู้อยากเห็นและตื่นเต้นกับการได้ถามคำถามจากเอริคไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโดนเขาลากมานั่งลงที่โซฟานุ่มนิ่มนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่

“คุณมาที่นี่บ่อยเหรอ…”

พรึ่บ!

และยังถามไม่ทันจบฉันก็ต้องสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ผ้าห่มผืนเล็กก็คลุมมาที่ไหล่ เอริคยกยิ้ม ฉันขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย ก่อนจะมองตามสายตาคมของเขาแล้วเห็นยอดอกเต่งตึงของตัวเองแข็งชูชันดันเสื้อยืดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ให้ตายสิ มันเป็นเพราะอากาศหนาวก็เท่านั้นเอง ไม่ใช่เพราะเอริคสักหน่อย…

“ตัวเย็นหมดแล้ว โมนา”

“ฉัน… ฉันสบายดีค่ะ คุณมองอะไรน่ะเอริค”

ฉันตอบเสียงเบาอุบอิบ กระชับผ้าห่มผืนเล็กคลุมตัวให้มากขึ้น แล้วหรี่ตามองเขาอย่างจับผิดหน่อยๆ ทันทีที่เห็นว่าเอริคยังคงเหลือบมองหน้าอกเต่งตึงเล็กน้อย เขายักไหล่ หัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งฉัน

“หึ แล้วต้องการความอบอุ่นมากกว่าผ้าห่มเล็กๆ นั่นมั้ย?”

เสียงเข้มต่ำเอ่ยถามเรียบนิ่ง แต่กลับแฝงไปด้วยอาการกลั้นขำกับท่าทางเหมือนกระต่ายตื่นตูมของฉัน เอริคยกแก้วกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี ฉันกัดริมฝีปากล่างแน่น ใบหน้าร้อนผ่าว หัวใจก็เต้นตึกตักระรัวไปหมด ไม่รู้จะพูดหรือตอบกลับเขายังไงให้ดูเป็นปกติที่สุด ฉันกระแอมเรียกสมาธิแล้วรีบบอกจนลิ้นแทบพันกันพลางขยับตัวให้ออกห่างจากเอริคอีกเล็กน้อย

“ไม่ต้องค่ะ ฉันอยู่แบบนี้ก็โอเคแล้ว”

หมับ!

“แต่มือเธอยังเย็นอยู่เลย” ฉันหันขวับเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความรวดเร็วทันทีที่มือหนาจับมือฉันไว้หลวมๆ เขาโน้มหน้าลงมาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มมุมปากและสายตาคมคู่สวยสบกับสายตาของฉัน ยิ่งทำให้หัวใจฉันรู้สึกปั่นป่วนกว่าเดิมซะอีก บ้าชะมัด…

“งานคุณยังไม่เสร็จไม่ใช่เหรอคะ ไม่รีบไปทำงานของคุณรึไงเล่า…”

ฉันพยายามดึงมือของตัวเองออกจากมือใหญ่ของเอริค แต่เขายังคงกุมมือฉันเอาไว้แน่น นิ้วเรียวยาวของเขาก็ลูบไล้แผ่วเบาเหมือนกำลังทำให้มือของฉันอุ่นขึ้นจากเดิม ฉันกัดริมฝีปากล่างด้วยความประหม่าและล้มเลิกการดึงมือออกจากการกอบกุมของเขาอย่างว่าง่าย

“ไม่เป็นไร งานไม่รีบ” เสียงเข้มต่ำที่ดังอยู่ข้างใบหูทำให้ฉันชะงักแล้วสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดลึกๆ อีกครั้ง เอริคกำลังสนุกที่ได้กวนประสาทฉันอยู่หรือไงกัน!

เปรี้ยง!!

ฉันที่กำลังยื่นมือไปหยิบแก้วกาแฟของตัวเองมาดื่มบ้าง นั่งนิ่งตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจทันทีที่เสียงฟ้าร้องดั่งสนั่นหวั่นไหวจนบ้านสะเทือน ฉันกัดริมฝีปากล่างเพื่อกลั้นเสียงกรี๊ดของตัวเองที่เกือบจะกลั้นมันอาไว้ไม่อยู่ ก่อนจะบ่นพึมพำเบาๆ และไม่นานก็เพิ่งรับรู้ว่าฉันเผลอกำมือหนาไว้แน่นจนเล็บจิกลงไปบนผิวเนื้อของเขาเลือดแทบซิบ บ้าจริง เพราะไอ้ฟ้าผ่านั่นแท้ๆ เลยเนี่ย!

“แค่ฟ้าร้องเองน่า”

ฉันเลิ่กลั่กแล้วค่อยๆ ปล่อยมือออกจากมือของเอริค แต่เขากลับจับมันเอาไว้แน่นแทน ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็เงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาคิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเขา

“มันไม่ใช่แค่ฟ้าร้องนะคะ เมื่อกี้ฉันเห็นฟ้าผ่าลงมาใกล้ๆ นี้ด้วย คุณไม่เห็นหรือไงกันน่ะ”

เอริคมองฉันด้วยสายตาคมคู่สวยเรียบนิ่ง สักพักเขาก็ยกยิ้มมุมปากและหัวเราะในลำคอเล็กน้อย “ไม่ต้องกลัวหรอกโมนา ฉันก็อยู่ตรงนี้”

“ฉันคิดว่าตอนนี้คุณดูน่ากลัวกว่าฟ้าผ่าอีกนะเอริค” ฉันพึมพำออกมาเบาๆ อย่างหมั่นใส้กับท่าทางกวนประสาทของเอริค เขาเลิกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อยแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์

“เธอกลัวฉันเหรอ”

ร่างสูงกระซิบบอกเสียงเข้มต่ำข้างใบหู เอริคโน้มลงมาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คำพูดที่เหมือนคำท้าทายจากเขาทำให้ฉันสบกับสายตาคมกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ เหอะ เขาคิดว่าฉันจะยอมให้กวนประสาทอยู่คนเดียวหรือไงกัน… ไม่มีทางซะหรอก ถึงจะกลัวฟ้าร้องฟ้าผ่ามากขนาดไหน คนอย่างโมนาก็ทำใจดีสู้เสือได้อยู่ดีนั่นแหละย่ะ!

“จะบอกอะไรให้ฟังนะคะ ฉันไม่เคยกลัวคุณเลย… เอริค”

“หึ ก็ดี”

หมับ

ฉันเบิกตาโพรงด้วยความตกใจทันทีที่ท่อนแขนแข็งแรงคว้าเอวบางแล้วดึงตัวฉันเข้าไปมากขึ้นจนหน้าอกเต่งตึงแนบชิดกับแผงอกกำยำโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว ดวงตากลมโตกะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าหล่อเหลากับสายตาคมดุดันที่วาววับอย่างเจ้าเล่ห์ เอริคเหมือนเสือที่พอใจเมื่อได้ตะครุบเหยื่อตัวเล็กๆ อย่างฉัน ให้ตายสิ

ฉันเม้มริมฝีปาก สูดหายใจเรียกสติของตัวเองแล้วยกแขนขึ้นคล้องรอบลำคอแกร่งเอาไว้แน่น ก่อนจะส่งยิ้มกว้างไปให้เขาด้วยความท้าทายไม่ต่างกัน “เหอะ คุณจะทำให้ฉันอุ่นได้แค่ไหนกันเชียว”

“หึ เดี๋ยวก็รู้”

เอริคยกยิ้มมุมปาก เขาหัวเราะในลำคออย่างพอใจ จากนั้นฝ่ามือหนาก็จับรอบเอวบางแล้วยกตัวฉันขึ้นไปนั่งคล่อมอยู่บนตักแกร่งของเขาด้วยความช่ำชองจนฉันตั้งตัวไม่ทัน

“อ๊ะ…”

ฉันเผลออุทานเสียงหวานและสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากอุ่นขบเม้มยอดอกที่แข็งชูชันดันเสื้อยืดตัวโคร่งอย่างกระหาย ลิ้นเปียกชื้นไล้วนรอบยอดอกจนฉันต้องจับบ่าแกร่งเอาไว้แน่น ก่อนเอริคจะค่อยๆ ผละริมฝีปากออกจนเกิดเสียงน่าอาย ฉันหอบหายใจแรง ก้มลงมองรอยเปียกชื้นเป็นวงรอบยอดอกของตัวเองพร้อมกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวแทบระเบิด บ้าจริง ร่างกายฉันร้อนรุ่มไปหมดแล้ว…

พรึ่บ!

ดวงตากลมโตกะพริบปริบมองร่างสูงถอดเสื้อออกแล้วโยนลงไปบนพื้น เขายกยิ้มมุมปาก จากนั้นมือหนาก็ถอดเสื้อฉันตามออกไปให้พ้นทาง ฉันได้แต่นั่งนิ่งเปลือยเปล่าอยู่บนตักแกร่ง โดยมีสายตาคมคู่สวยจดจ้องมองไปทั่งร่างอย่างเจ้าเล่ห์จนหัวใจฉันเต้นโครมครามไม่หยุดหย่อน ถึงจะมีเพียงแสงสลัวสีเหลืองจากตะเกียงตรงมุมห้องให้ความสว่างเพียงเล็กน้อย แต่สายตาฉันก็ยังเห็นซิกแพคแน่นๆ ของเอริคได้อย่างชัดเจน ฉันกลืนน้ำลายลงคอด้วยความฝืดเคืองแล้วเผลอเอื้อมมือไปลูบแผงกำยำแผ่วเบา

“เอริค… อื้อ!”

ฉันยังพูดไม่จบประโยค ฝ่ามือหนาก็จับท้ายทอยแล้วดึงฉันเข้าไปใกล้พร้อมกับประกบจูบลงมาด้วยความเร่าร้อนดุดัน เอริคขบเม้มริมฝีปากอิ่มอย่างหยอกเย้า ฉันเผยอริมฝีปากออกให้ลิ้นเปียกชื้นสอดแทรกเข้ามาตักตวงความหวานในโพรงปากได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น มือบางลูบไล้แผงอกกำยำอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้…

“แป๊บนึง”

ร่างสูงผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง เสียงเข้มต่ำเอ่ยบอกชิดริมฝีปากอิ่ม เอริคยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นฉันนั่งหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดลึกๆ อยู่บนตักแกร่งด้วยดวงตาหรี่ปรือจ้องมองเขาด้วยสีหน้าสงสัยปนมึนงงไม่หาย

หมับ!

ฉันเม้มริมฝีปากกลั้นเสียงครางทันทีที่มือหนาบีบคลึงเค้นหน้าอกเต่งตึงสลับกับนิ้วเรียวยาวที่สะกิดยอดอกไม่ห่าง แล้วฉันก็ต้องสะดุ้งเมื่อลิ้นเปียกชื้นไล้เลียยอดอกที่แข็งชูชันอีกข้างคล้ายจะแกล้งให้ฉันขาดสติอยู่มากกว่าเดิม…

พรึ่บ

แต่จู่ๆ เอริคก็หยุดการกระทำทุกอย่างแล้วยกสะโพกสอบขึ้นเล็กน้อย การขยับของเขาทำให้เป้ากางเกงยีนที่เริ่มอุ่นร้อนเสียดสีกับจุดเสียวกลางกายของฉันจนต้องรับกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นด้วยความประหม่า ฉันสูดหายใจเฮือกใหญ่ จ้องมองเอริคที่หยิบกระเป๋าสตางค์ของเขาออกมาจากกระเป๋าหลังกางเกง จากนั้นมือหนาก็ฉีกซองสีดำเล็กๆ อย่างช่ำชอง ฉันกลืนน้ำลงคออย่างฝืดเคืองทันทีที่รับรู้ว่าซองสีดำในมือของเขามันคือถุงยางอนามัย

“โมนา ยกตัวขึ้นหน่อย”

พอเสียงเข้มต่ำพูดจบฉันก็เหลือบสายตาลงไปจ้องตรงซิบกางเกงยีนของเขาโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเริ่มตั้งสติได้เล็กน้อยมือทั้งสองข้างก็จับบ่าแกร่งเอาไว้แน่นพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นจากตักแกร่งของเขาอย่างหวั่นๆ นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่น่ะ… สมองพร่าเบลอจนคิดอะไรไม่ออกแล้วเนี่ย!

แต่แล้วเสียงรูดซิปก็ทำให้สมองของฉันยิ่งพร่าเบลอมากขึ้นกว่าเดิม ฉันรีบหันหน้าหนีไปอีกทางด้วยความรวดเร็วเมื่อรับรู้ว่าเอริคกำลังสวมอะไรลงไปกับแก่นกายใหญ่ และไม่นานฉันก็ต้องสะดุ้งทันทีที่จุดเสียงกลางกายถูกบางอย่างอุ่นร้อนถูไถไปมาอย่างน่าหวาดเสียว ฉันสูดหายใจลึกๆ อีกครั้ง ร่างกายร้อนผ่าวไปหมดทั้งๆ ที่ข้างนอกฝนกำลังตกลงมาอย่างหนัก อากาศที่หนาวเย็นก็ไม่ทำให้ความร้อนรุ่มของฉันกับเอริคลดลงไปได้เลย ให้ตายเถอะ

“เอ… เอริค” ฉันเม้มริมฝีปากพร้อมกับมือทั้งสองข้างจับบ่าแกร่งแน่นกว่าเดิมทันทีที่เอริคค่อยๆ ดุนดันแก่นกายใหญ่เข้ามาภายในตัวฉันมากขึ้นเรื่อยๆ

หมับ

“หายใจช้าๆ” สายตาคมดุดันวาววับจ้องมองใบหน้าฉัน นิ้วเรียวยาวเกลี่ยผิวแก้มเนียนไปมาแผ่วเบาอย่างปลอบโยน ฉันหายใจเอาอากาศเข้าปอดช้าๆ ตามที่เอริคบอก แต่หัวใจมันกลับเต้นตึกตักรัวเร็วจนควบคุมไม่ได้ และความคิดหนึ่งก็แทรกเข้ามาจนทำให้ฉันชะงักนิ่งไปเล็กน้อย

“เรา… เราไม่ควรทำแบบนี้ อีกอย่างคุณก็มีคู่หมั้น… อื้อ!”

ฉันพูดด้วยเสียงแหบแห้งจนตัวเองแทบจะไม่ได้ยิน แต่ยังพูดไม่ทันจบเอริคก็จับท้ายทอยดึงฉันเข้าไปประกบริมฝีปากซะก่อน ลิ้นเปียกชื้นสอดแทรกเข้ามาตวัดลิ้นเล็กด้วยความเร่าร้อนช่ำชอง สักพักเขาก็ค่อยๆ ผละจูบออกอย่างอ้อยอิ่งแล้วเอ่ยบอกชิดริมฝีปากที่บวมเจ่อของฉันอีกครั้ง

“ฉันไม่มีคู่หมั้นแล้ว”

“คุณหมายความว่าไง… อ๊ะ!”

ฉันกัดริมฝีปากล่าง จิกเล็บลงไปบนบ่าแกร่งทันทีที่เอริคดุนดันแก่นกายใหญ่เข้ามาจนสุดโดยไม่บอกกล่าว เขาหยุดขยับ ฝ่ามือหนาเลื่อนขึ้นมากอบกุมหน้าอกเต่งตึงพร้อมกับนิ้วเรียวยาวสะกิดยอดอกที่แข็งชูชันจนฉันเสียวซ่านไปทั่วร่าง

“หึ ค่อยคุยทีหลัง”

“เอริค… อื้อ”

ริมฝีปากอุ่นดูดดึงยอดอกที่แข็งชูชันอย่างหื่นกระหาย ก่อนสะโพกสอบจะค่อยๆ ขยับเข้าออกในตัวฉันช้าๆ เนิบๆ มือหนาจับสะโพกกลมกลึงขยับขึ้นลงบนตักแกร่งสอดรับกับการกระแทกกระทั้นจากเขา ฉันครางอื้ออึงเสียงหลงเมื่อแก่นกายที่อยู่ในตัวฉันเริ่มขยายใหญ่มากขึ้นจนจุกไปหมด และพอสบกับสายตาคมดุดันฉันก็ต้องกัดริมฝีปากล่างแน่น พลางยกแขนทั้งสองข้างโอบรอบลำคอของเอริคและขยับขึ้นลงเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว…

“ฮึ่ม โมนา”

เอริคขบสันกรามเมื่อฉันยกยิ้มยั่วยวนให้เขาขณะขย่มขึ้นลงบนตักแกร่งอย่างมึนเบลอ ความเสียวซ่านที่เกิดขึ้นทำให้ฉันร้องครางเสียงหวานแหบพร่าดังลั่นห้องอย่างห้ามไม่อยู่

“เอริค อ๊า… อ๊ะ”

เสียงสายฝนที่ตกโปรยปรายอยู่ด้านนอกผสมผสานกับเสียงโซฟากระทบผนังห้องและเสียงหอบหายใจของเราสองคน ฉันเม้มริมฝีปากใอครางเสียงดังเกินไป แหงนหน้ามองเพดานอย่างเสียวซ่ายไม่หาย จากนั้นก็หลับตาพริ้มเมื่อสมองขาวโพลน และร่างกายรู้สึกร้อนรุ่มเหมือนเปลวเพลิงไม่หยุดหย่อน…

หมับ!

“โมนา… มองหน้าฉัน”

ฝ่ามือหนาจับยึดสะโพกกลมกลึงแล้วเขาก็กระแทกกระทั้นสวนขึ้นมาลึกๆ โดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันมองสบกับสายตาคมอีกครั้งด้วยสายตาหรี่ปรือ เอริคยกยิ้มมุมปากพลางปัดเส้นผมยุ่งเหยิงที่ปรกใบหน้าฉันออกให้อย่างแผ่วเบา ฉันยิ้มตอบ เอ้อมมือขึ้นไปลูบไล้กรอบหน้าหล่อคมคายอย่างเย้ายวนไม่ต่างกัน ก่อนจะขยับขึ้นลงสอดรับกับจังหวะกระแทกกระทั้นดุดันจากเอริคอีกครั้งด้วยความเร่าร้อนรุนแรง…

”อ๊ะ เอริค… อื้อ อ๊า!”

และเมื่อร่างสูงกระแทกกระทั้นเข้ามาในตัวฉันลึกสุดจนจุกปนเสียวซ่านไปทั่วท้อง ภายในตัวฉันก็ตอดรัดแก่นกายใหญ่อุ่นร้อนถี่ยิบ เอริคคำรามต่ำในลำคอแกร่งอย่างพึงพอใจ ฉันแหงนหน้าครางเสียงหลงดังลั่น ต้นขาเรียวที่รัดรอบเอวสอบสั่นเล็กน้อย และเรี่ยวแรงของฉันก็ได้หายไปหมด

ดวงตากลมโตหรี่ปรือกะพริบปริบๆ อย่างมึนเบลอ เมื่อท่อนแขนแข็งแรงโอบกอดฉันไว้จนหน้าอกเต่งตึงแนบชิดกับแผงอกกำยำ แต่ไม่นานเอริคก็กระแทกแก่นกายใหญ่เข้าออกภายในตัวฉันอย่างดุดัน รุนแรงและลึกสุดจนฉันต้องกัดริมฝีปากล่างเพื่อกลั้นเสียงครางน่าอาย ก่อนภายในตัวฉันจะตอดรัดแก่นกายใหญ่ที่เต้นตุบๆ ถี่ยิบอีกครั้งอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้…

“ฉะ…ฉันลุกขึ้นไม่ไหว”

ฉันฟุบหน้าลงไปบนบ่าแกร่ง หลับตาพริ้มเมื่อสัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือหนาลูบไล้ไปมาแผ่วเบาที่แผ่นหลังบางอย่างปลอยโยน เสียงหอบหายใจของเราสองคนสอดประสานกันท่ามกลางเสียงสายฝนที่ตกลงมาไม่หยุดพร้อมกับแสงสลัวจากตะเกียงที่เอริคจุดเอาไว้ อา… อากาศยังหนาวเหน็บ แต่ร่างกายฉันกับเอริคกลับร้อนรุ่มไม่หายเลนเนี่ยสิ บ้าชะมัดเลย

“หึ เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง”

เสียงเข้มต่ำเอ่ยบอกใกล้ขมับของฉัน เขากดจูบเบาๆ มือหนาแสนอบอุ่นยังคงลูบไล้ต้นแขนเรียวขึ้นลงอย่างหยอกเย้าไม่ห่าง ฉันทำได้เพียงพยักหน้าหงึกหงักกับบ่าแกร่งแล้วเผลอยิ้มบางออกมาโดยไม่รู้ตัว

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset