Double รักร้ายคูณสอง 15

ตอนที่ 15

“เฮ้อ เสร็จสักที”

ฉันกดส่งไฟล์งานให้เลวี่หลังจากที่โทรไปเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้แธอฟัง เลวี่ตอบกลับมาด้วยเสียงสดใสเช่นเคย และให้ฉันส่งงานให้ทางอีเมล์แทน เพราะงานอาทิตย์นี้ไม่ได้เร่งรีบอะไร จะยุ่งหน่อยก็ช่วงอาทิตย์หน้า ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยหน่าย เอนตัวพิงพนังโซฟาอย่างเซ็งๆ ให้ตายสิ ฉันต้องอยู่ที่นี่กับเอริคจริง ๆ งั้นเหรอ…

“ทำงานเสร็จแล้วเหรอ”

ฉันหันไปมองตามเสียงเข้มต่ำที่ดังอยู่ทางด้านหลัง เอริคเดินออกมาจากห้องทำงานพลางยกมือนวดบริเวณหัวไหล่แกร่งไปมาคล้ายกับว่าเขาเมื่อยล้าจากการทำงานมานาน ฉันเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักกลับไปให้เขาแล้วหยิบคุกกี้ในกระปุกที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากินไปด้วย

“ค่ะ ฉันเพิ่งส่งงานให้เลวี่เมื่อกี้น่ะ แล้วนี่คุณทำงานเสร็จหมดแล้วเหรอ?”

“ยังหรอก เหลืออีกนิดหน่อย”

“มีอะไรเหรอคะ คุณอยากกินนี่ด้วยรึไง”

เอริคมองคุกกี้แล้วเหลือบมองมาทางฉันนิ่งๆ ฉันเลิกคิ้วงุนงง ชูคุกกี้ในมือแล้วยื่นไปทางเขาเล็กน้อยพร้อมกับถามด้วยความสงสัย แต่เอริคกลับยกยิ้มมุมปากและนั่งลงบนโซฟาข้างฉันแทน

หมับ!

“อือ อร่อยดี” ฉันอ้าปากพะงาบๆ ดวงตากลมโตกะพริบตาปริบจ้องเอริคทันทีที่ฝ่ามือหนาจับข้อมือบางเอาไว้แน่น แล้วเขาก็โน้มลงมากินคุกกี้ในมือฉันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แถมเอริคยังแลบลิ้นเลียปลายนิ้วของฉันอย่างกวนประสาทอีกต่างหาก บ้าชะมัด หัวใจฉันดันเต้นแรงขึ้นมาเฉยเลย ฉันสูดหายใจเฮือกใหญ่อย่างควบคุมสติแล้วรีบบอกเขาเสียงตะกุกตะกักอย่างควบคุมไม่อยู่

“อะ… เอริค ปล่อยมือฉันได้แล้ว”

“เศษคุกกี้ยังติดมือเธออยู่เลย โมนา”

ฉันหลบสายตาคมเจ้าเล่ห์แล้วเหลือบมองไปยังปลายนิ้วของตัวเอง เศษคุกกี้ยังติดอยู่ตามที่เอริคบอกนั่นแหละ แถมมันยังเปียกชื้นจากการที่เขาไล้เลียด้วยนี่สิที่ทำให้สติฉันแตกกระเจิงไปหมด ฉันกระแอมกลบเกลื่อนอาการเลิ่กลั่กแล้วรีบดึงมือของตัวเองกลับมาทันที

“ฉันเอาออกเองได้ค่ะ”

“หึ วันนี้มีแข่งเบสบอล ฉันขอเปิดทีวีดูหน่อยได้รึเปล่า”

เอริคยกยิ้มแล้วหันมาถามฉันสีหน้าเรียบนิ่งตามเดิม ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ อีกครั้งแล้วพยักหน้ากลับไปให้เขา “นี่มันบ้านคุณหนิคะ จะมาถามฉันทำไมกันเล่า”

“เผื่อเธออยากดูอย่างอื่นไง ไหนๆ เราก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกหลายวัน ก็ต้องถามไว้ก่อน”

เดี๋ยวนะ… มันก็ไม่ได้หลายวันขนาดนั้นมั้ง สองสามวันเอง ถ้าเขาไม่คิดจะอยู่นานกว่านั้นเองน่ะนะ… “นี่คุณคงไม่คิดจะอยู่เกินสามวันหรอกใช่มั้ยคะ?”

แล้วความคิดของฉันก็ต้องชะงักกึก ก่อนจะหันขวับไปมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างครุ่นคิดหนัก แต่เอริคดลับกดเปิดทีวีดูเบสบอลด้วยความสบายอกสบายใจ และหันมาเลิกคิ้วเข้มมองฉันพร้อมกับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก

“ไม่รู้สิ ก็บอกแล้วไงว่าจะลองคิดดูอีกที”

ฉันเม้มริมฝีปากทันทีที่ได้ยินคำตอบกวนประสาทของเอริค อยากจะพุ่งเข้าไปข่วนใบหน้าหล่อฝให้หายเคืองชะมัด แต่ก็ต้องตั้งสติอันน้อยนิดของตัวเองเอาไว้อีกครั้ง ยังไงเขาก็ยังเป็นเจ้านายของฉันอยู่ดี ไม่ได้ๆ เดี๋ยวก็โดนไล่ออกกันพอดีสิยะ ตั้งสติไว้ก่อนยัยโมนาเอ๊ย!

“คุณเลิกกวนประสาทแล้วตอบคำถามฉันดีๆ ได้มั้ยเอริค”

“โฮมรันด้วยน่ะ เห็นมั้ยโมนา”

เอริคไม่ได้สนใจจะตอบคำถามฉันสักนิด แต่นิ้วเรียวยาวกลับชี้ไปที่หน้าจอทีวีแล้วเอ่นด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้านแทนซะงั้น นี่เขาไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยรึไงน่ะ มาโฮมรงโฮมรันบ้าบออะไรกัน ฉันเนี่ยแหละอยากจะโกโฮมใจจะขาดอยู่แล้วนะ ให้ตายสิ!

“บ้าบอชะมัด”

ฉันบ่นพึมพำแล้วเอื้อมมือไปหยิบคุกกี้ขึ้นมางับอย่างอารมณ์เสีย จากนั้นก็หันไปดูหน้าจอทีวีด้วยหงุดหงิด ถ้ามีไม้เบสบอลแถวนี้ แม่จะเอามาตีหัวเอริคซะให้เข็ด อยากโฮมรันมากนักใช่ไหม… กวนประสาทดีนัก เหอะ!

“โมนา อยู่กับฉัน… แย่ขนาดนั้นเลยรึไง”

จู่ๆ เอริคก็หันมาเลิกคิ้วเข้มถามด้วยเสียงทุ้มต่ำจริงจังกว่าเดิม ฉันชะงักมือที่กำลังหยิบคุกกี้อีกชิ้น กัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูก อันที่จริง… อยู่กับเขามันก็ไม่ได้แย่หรอก แค่มันทำให้ความรู้สึกบางอย่างของฉันแปลกๆ ไปก็เท่านั้นเอง ฉันสูดหายลึกๆ แล้วตอบเอริคเสียงเบาอุบอิบด้วยความรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวเองสักเท่าไหร่

“ไม่หรอกค่ะ ฉันแค่มีงานต้องทำที่บริษัท…”

เอริคนั่งนิ่ง สักพักเขาก็ยกยิ้มมุมปากพลางยักไหล่ จากนั้นก็หันไปดูเบสบอลในรายการทีวีต่อ “ไม่เห็นเป็นไร ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทก็ทำงานได้น่า”

“คุณเป็นเจ้าของบริษัทก็พูดได้สิ ฉันเป็นแค่ลูกจ้างนะ”

“หึ งั้นก็เลิกเป็นลูกจ้าง แล้วมาเป็นเมียเจ้าของบริษัทแทนสิ” สายตาคมดุดันวาววับจ้องมองใบหน้าฉันนิ่ง เอริคยกยิ้มกลั้นขำกับท่าทางตกอกตกใจของฉันที่กะพริบตาปริบๆ มองเขาอย่างอึ้งปนเลิ่กลั่กไปหมด เมื่อกี้เขาพูดบ้าอะไรออกมาอีกแล้วเนี่ย เป็นเมียอะไรกันยะ!

“อะ… โอ้โห โฮมรันอีกแล้วค่ะ ดูสิๆ”

ฉันกระแอมเรียกสติแล้วหันไปมองทางหน้าจอทีวีด้วยความตั้งใจเกินไปแทน ชี้นิ้วให้เอริคหันไปมองตามท่าทางตื่นเต้นเมื่อโฮมรันได้ถูกจังหวะพอดิบพอดี ให้ตายสิ ประหม่าจนหัวใจเต้นระรัวไปหมดแล้ว

“หึ อยากดูเบสบอลขึ้นมาแล้วเหรอ”

ฉันแทบสำลักคุกกี้เมื่อได้ยินคำพูดรู้ทันจากเอริค ก่อนจะยักไหล่แบบที่เขาชอบทำกลบเกลื่อน แล้วหันไปดูเบสบอลต่อ “มันก็สนุกดีหนิคะ ไม่ได้แย่เท่าไหร่ เหอะ”

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้เพียงว่าหลังจากเถียงกันไปมาฉันกับเอริคก็นั่งดูรายการเบสบอลด้วยกันจนจบเกม และพอเห็นว่าเริ่มเย็มากแล้วฉันเลยเข้ามาทำอาหารเย็น เพราะเอริคเข้าไปทำงานของเขาต่อ ก็ไหนๆ ฉันก็เป็นทั้งเลขาและเสมือนเป็นแม่บ้านควบคู่ไปด้วยอยู่แล้ว ฉันเลยอาสาเป็นคนทำอาหารเย็นซะเลยแล้วกัน บ้าชะมัด เลขาเขาทำงานกันแบบนี้งั้นเหรอ? หรือเพราะเอริคกวนประสาทใส่ฉันบ่อยๆ จนฉันเริ่มเลอะเทอะไปเองล่ะเนี่ย ให้ตายเถอะ…

แต่จะว่าไปวันนี้ลมไม่แรงมากเท่าไหร่นัก อากาศกำลังดีถึงจะยังเย็นหน่อยๆ และระหว่างทำอาหาร ฉันก็หันไปมองทางหน้าต่างห้องครัวแล้วภาวนาให้วันนี้ฝนไม่ตกเหมือนเมื่อวันก่อนด้วยเถอะ ถ้าตกแรงแบบนั้นอีกรถยนต์ลูกรักของฉันคงจะโดนต้นไม้แถวนี้เอาไปกินจนแบนติดขอบถนนหน้าบ้านแน่ๆ จะให้เสียโฉมไปมากกว่านี้ไม่ได้เด็ดขาด และอีกอย่างคือ… จะเสียเงินมากกว่านี้ไม่ได้นะยะ ฉันไม่ได้งกหรอก แค่เรียกว่าคนมีอุดมการณ์ในการใช้เงิน เหอะ!

ใช้เวลาในการทำอาหารไม่นาน อาหารเย็นสำหรับฉันกับเอริคก็เสร็จเรียบร้อย แถมฉันมีเวลาว่างมานั่งทำสลัดทูน่าอีกต่างหาก พอดีเห็นว่ามันใกล้จะหมดอายุ และผักจะแห้งเหี่ยวเฉาตายคาตู้เย็นไปซะก่อนหรอกนะถึงทำเพิ่มเนี่ย

“คุณมองฉันแบบนั้นทำไมคะ?”

ฉันที่กำลังยัดสลัดเข้าปากหันไปถามเอริคที่เหลือบสายตาคมมามองหลังจากที่ทานอาหารของตัวเองจนหมดเกลี้ยง เหลือแค่ฉันนี่แหละที่ยังคงยัดสลัดผักเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อยไม่เลิก

“เปล่า แค่ไม่คิดว่าเธอจะทำอาหารได้หลายอย่าง ก็อร่อยดี”

ฉันเลิกคิ้วพลางยิ้มกริ่มทันทีที่ได้ยินคำพูดของเอริค “ฉันทำอะไรก็อร่อยอยู่แล้วล่ะค่ะ”

“งั้นเลิกเป็นเลขาแล้วมาเป็นแม่บ้านให้ฉันมั้ย โมนา”

เดี๋ยวสิ… ที่เอริคพูดว่าเป็นแม่บ้านเนี่ย มันแบบไหนกัน? แม่บ้านที่เป็นแม่บ้านจริง ๆ หรือว่าแม่บ้านที่เป็น… เอ่อ ฉันกำลังคิดบ้าอะไรอีกแล้ว เอริคก็ต้องหมายถึงแม่บ้านที่เป็นแม่บ้านจริงๆ สิ ที่คอยปัดกวาดเช็ดถูกบ้านให้เขาน่ะ!

“ฉันไม่ถนัดงานบ้านเท่าไหร่ ขอเป็นเลขาแบบเดิมดีกว่าค่ะ”

ฉันหันหน้าหนีเอริคแล้วเก็บจานไปล้างด้วยความรวดเร็ว ประหม่าทีไรทำไมต้องล้างจานทุกทีด้วยเนี่ย ให้ตายเถอะ อย่างน้อยมันพอกลบเกลื่อนไม่ให้เลิ่กลั่กหรือประหม่ากว่าเดิมนั่นแหละ…

“หึ ฉันจะไปดูต้นไม้ในสวนหน่อย  “ที่นี่มีสวนด้วยเหรอคะ?”

“อือ อยากไปดูมั้ย”

ฉันรีบพยักหน้าหงึกหงักอย่างตื่นเต้นปนอยากรู้อยากเห็น เอริคยกยิ้มบาง ก่อนจะพาฉันเดินทางหลังบ้านไม่ไกลจากบ้านแสนอบอุ่นมากเท่าไหร่นัก และไม่นานฉันก็เจอกับสวนดอกไม้ที่ถูกปลูกเอาไว้อย่างสวยงาม ดวงตากลมโตกะพริบตาปริบ หันมองวิวรอบๆ สวนด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ว่าแต่… คนอย่างเอริคน่ะเหรอจะปลูกดอกไม้พวกนี้? คนเถื่อนๆ แบบเอริคน่ะนะ!?

“หมดนี่… คุณปลูกเองเลยเหรอคะ?”

“เปล่าหรอก แม่ฉันเป็นคนปลูกไว้”

เอริคส่ายหน้า แล้วมือหนาก็หยิบมวนบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ฉันขมวดคิ้วมองบุหรี่ที่เขาคีบเอาไว้อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ก่อนจะเงยหน้าสบกับสายตาคมด้วยความหงุดหงิดจนเอริคเลิกคิ้วเข้มขึ้นข้างหนึ่งแล้วมองหน้าฉันอย่างสงสัย

“คุณจะสูบบุหรี่ท่ามกลางดอกไม้สวยๆ พวกนี้น่ะนะ ให้ตายสิ…”

“งั้นจูบฉันสิ ปากฉันจะได้ไม่ว่างสูบบุหรี่” ฉันเบิกตาโพรงจ้องมองเอริคอย่างตกใจทันทีที่ได้ยินคำพูดบ้าๆ ของเขา จะทำอะไรก็เรื่องของคุณเถอะ ชิ!”

“หึ ไม่จูบงั้นสูบต่อนะ” สูบอะไร? บุหรี่น่ะเหรอ… แล้วมันไปเกี่ยวกับจูบได้ยังไงกันล่ะยะ!

“จะทำอะไรก็ทำเถอะค่ะ ฉันขอเดินดูดอกไม้พวกนี้หน่อยแล้วกัน”

ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ รีบตั้งสติที่แตกกระเจิงจากการมึนงงกับคำว่าสูบกับจูบของเอริคจนมั่วไปหมด บ้าชะมัดเลย ทำไมฉันต้องไปนึกถึงมันอีกแล้วโว้ยยย

“เดินระวังด้วยล่ะ โมนา”

เอริคเอ่ยบอกพลางหัวเราะในลำคอเล็กน้อยแล้วเขาก็เดินไปอีกทางเพื่อสูบบุหรี่ ฉันเบ้ปากใส่แผ่นหลังกว้างอย่างหมั่นไส้จากนั้นก็หันไปดูดอกไม้สวยๆ เม้มริมฝีปากเมื่อเผลอสบสายตาคมดุดันวาววับ ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินดุ่มๆ หนีเขาไปอีกทาง ทำไมหัวใจมันถึงได้เต้นรุนแรงกว่าเดิมแบบนี้ได้นะ…

“เอ๊ะ…”

เท้าเรียวชะงักกึกทันทีที่เหลือบไปเห็นกระถางต้นไม้ว่างเปล่า และมีต้นไม้ต้นเล็กๆ ที่ยังไม่ได้ใส่กระถางใบนั้นวางอยู่ข้างกัน พอลองเดินไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าต้นไม้สองสามต้นตรงนั้นเกือบจะเฉาตายทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปลูกลงกระถางด้วยซ้ำ ให้ตายสิ น่าสงสารชะมัด เอริคลืมหรือเขาไม่คิดจะปลูกกันแน่เนี่ย

“ทำอะไรน่ะโมนา”

เสียงเข้มต่ำที่ดังอยู่ทางด้านหลังทำให้ฉันตกใจ มือที่กำลังยกต้นไม้อันเหี่ยวเฉาลงกระถางชะงักค้างกลางอากาศทันที ฉันถอนหายใจแรงแล้วรีบหันขวับเงยหน้ามองร่างสูงที่ยืนจ้องการกระทำของฉันด้วยความสงสัย

“อะ… เอริค”

“เธอกำลังทำอะไรน่ะ?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับถามย้ำอีกครั้ง ฉันกระแอมก่อนจะยืนขึ้นแล้วหันไปสบกับสายตาคมคู่สวยของเอริค พลางบอกเขาเสียงอุบอิบอย่างทำตัวไม่ถูก

“ก็ปลูกต้นไม้ไงคะ ฉันสงสารมันหนิ…”

เอริคเหลือบมองไปยังต้นไม่เหี่ยวเฉาสองสามต้น แล้วเขาก็ยกยิ้มเล็กน้อย “หึ มันก็น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ”

“แล้วทำไมคุณไม่ปลูกมันล่ะคะ?”

ฉันกะพริบตาปริบๆ ถามอย่างงุนงง เขาหันมามองใบหน้าฉันนิ่ง แต่แววาคมกลับแฝงไปด้วยความขบขันจนฉันต้องขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่ค่อยเข้าใจ

“แม่ให้เอามาปลูก แต่พอดีลืม” ให้ตายสิ ฉันก็คิดไว้แล้วล่ะว่าต้องเป็นแบบนี้

ฉันถอนหายใจเฮือกอย่างเหนื่อยหน่าย สักพักก็ต้องเม้มริมฝีปากอย่างประหม่า จะว่าไป… ตอนนี้ฉันก็ไม่มีอะไรจะทำด้วยสิ งานก็ส่งให้เลวี่เรียบร้อยหมดแล้วด้วย

“เอริค… คือแบบว่า ถ้าฉันจะปลูกต้นไม้พวกนี้เอง… คุณจะว่าอะไรรึเปล่า”

“หึ อยากทำจริงเหรอโมนา” เอริคเลิกคิ้วข้างหนึ่งแล้วจ้องมองฉันด้วยสายตาคมเจ้าเล่ห์ ฉันเลยรีบพยักหน้าหงึกหงักกลับไปให้เขาด้วยความรวดเร็ว

“ค่ะ ฉันจะปลูกมันเอง แต่ถ้ามันเป็นของแม่คุณ แล้วคุณไม่สะดวกจะให้ฉันทำ…”

“เอาสิ อยากปลูกก็ปลูก แล้วก็ฝากรดน้ำต้นไม้แถวนั้นด้วยนะ”

ดวงตากลมโตกะพริบปริบ แล้วฉันก็ยืนนิ่ง อ้าปากพะงาบๆ ทันทีที่ได้ยินคำสั่งของเขา เดี๋ยวนะ… เอริคกำลังแกล้งฉันอยู่หรือไงเนี่ย เขาเห็นฉันเป็นคนสวนอีกแล้วสินะ บ้าชะมัดเลย! ฉันเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่น พ่นลมหายใจเพื่อควบคุมสติแล้วตอบเขาเสียงดังฟังชัดท่าทางมุ่งมั่นเต็มที่

“ก็ได้ค่ะ แค่นี้สบายมาก”

เอริคยกยิ้มมุมปาก แล้วเขาก็เดินเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อยๆ สายตาคมวาววับจดจ้องมองฉันจนเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่ทันได้ตั้งตัว “หึ อยากให้ช่วยรึเปล่า โมนา”

“ไม่…”

หมับ

ฉันชะงักนิ่งตัวทื่อทันทีที่นิ้วเรียวยาวเกลี่ยเส้นผมที่บังใบหน้าของฉันออกให้แผ่วเบา ฉันเงยหน้าขึ้นไปสบกับสายตาคมนิ่ง พร้อมเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ทราบสาเหตุ นี่แกเป็นบ้าอะไรยัยโมนา ตั้งสติไว้สิยะ!

“ว่าไง อยากให้ช่วยรึเปล่า”

“คุณไปทำงานของคุณต่อก็ได้ค่ะ ฉันทำเองได้…”

ฉันสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ รวบรวมสติของตัวเอง แล้วเงยหน้าบอกเอริคด้วยความมุ่งมั่น แต่พอสายตาสบเข้ากับสายตาเจ้าเล่ห์ของเขากลับรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที ให้ตายเถอะ

“หึ ถ้าอยากให้ช่วยเมื่อไหร่ก็บอกล่ะ”

นิ้วเรียวยาวของลูบไล้ที่ริมฝีปากอิ่มไปมาอย่างเย้าแหย่ แล้วเขาก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในบ้านท่าทางอารมณ์ดี ฉันได้แต่ยืนกัดริมฝีปากล่างไว้แน่น เมื่อแอบเห็นเอริคเหมือนกำลังกลั้นขำกับอาการเลิ่กลั่กของฉันตอนที่เขาลูบไล้ริมฝีปากอิ่มไปมาอย่างสนุกสนาน ไอ้บ้าเอริค เจ้านายบ้าอะไรเนี่ยกวนประสาทชะมัด!

“อย่าให้ถึงทีฉันบ้างนะ จะกวนประสาทเอาให้ขำไม่ออกเลย!”

ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความหงุดหงิด แล้วหันหลังเดินตึงตังไปปลูกต้นไม้สองสามต้นที่กำลังจะเหี่ยวเฉาต่อ มองพวกมันอยู่หลายนาทีแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่ฉันกลายเป็นคนสวนไปแล้วสินะ เป็นมันทุกอย่างแล้วยกเว้นเลขา! ฉันจิ๊ปาก ก่อนจะคว้าสายยางมารดน้ำดอกไม้ที่อยู่ในสวน จะว่าไปบ้านหลังนี้ก็ดูเรียบง่ายจนไม่คิดว่าคนอย่างเอริคจะชอบมาพักที่นี่ได้นะเนี่ย

ซ่า!

“อึก…” ฉันที่เพิ่งเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำต้องรีบหลับตาปี๋ และสะดุ้งตกใจทันทีที่น้ำพุ่งออกมาจากสายยางอย่างแรงจนกระเด็นมาโดนหน้าฉันเต็มไปหมด ให้ตายสิ!

หลับจากที่รบรากับสายยางอยู่นาน ฉันก็ถอนหายใจพร้อมกับเดินรดน้ำดอกไม้ในสวนสวยงามนี่ไปด้วย หน้ากับเสื้อที่เปียกชื้นเริ่มจะทำให้ฉันหนาวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มากมายจนทำอะไรไม่ได้ และพอรดน้ำดอกไม้เสร็จ ฉันก็เดินไปปลูกต้นไม้ที่เริ่มเหี่ยวเฉาต่อทันที นี่ตกลงฉันเป็นเลขาจริงๆ ใช่มั้ย ทำไมงานแต่ละอย่างมันถึงดูแปลกๆ พิลึก บ้าชะมัด

“โมนา”

จู่ๆ เสียงเข้มต่ำที่ดังอยู่ข้างใบหูก็ทำให้ฉันชะงักมือที่กำลังจับกระถางต้นไม้ขยับเรียงให้สวยงาม พอเงยหน้ามองก็ต้องเบิกตาโพรงด้วยความตกใจ ใครใช้ให้เอริคโน้มหน้ามาใกล้ฉันขนาดนี้กันยะ!

ฉันเม้มริมฝีปากแล้วรีบหันหน้าหนีเอริคมาตั้งใจปลูกต้นไม้ตรงหน้าต่อให้เสร็จ “อะ… อะไรคะ”

“เลิกทำได้แล้ว” เอริคยกยิ้มมุมปากแล้วมองมาที่ฉันด้วยสายตาคมคู่สวยอย่างเจ้าเล่ห์จนฉันขมวดคิ้วมุ่นมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ

“เหลืออีกนิดเดียวเองค่ะ”

“แต่นี่มันเย็นมากแล้ว”

ฉันกะพริบตาปริบๆ เงยหน้ามองท้องฟ้าก่อนจะรู้ตัวว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วตามที่เอริคบอกจริงๆ นี่ฉันปลูกต้นไม้เพลินจนเย็นขนาดนี้แล้วงั้นเหรอ

“ฉันเหลือขยับกระถางอีกนิดหน่อยก็เสร็จแล้ว…”

“เดี๋ยวขยับให้”

สายตาคมเหลือบมองกระถางต้นไม้ด้านหน้าฉัน ร่างสูงขยับมายืนใกล้กว่าเดิมเมื่อเห็นฉันพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบแล้วขยับตัวออกห่างให้เขาย้ายต้นไม้พวกนั้นไปอีกทางได้ถนัดมากขึ้น

หมับ!

แต่ฉันที่เพิ่งลุกขึ้นยืนและกำลังจะถอยหนีเอริคไปอีกทางต้องชะงักเท้า ก่อนจะเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความมึนงงทันทีที่ฝ่ามือหนาจับต้นแขนฉันเอาไว้แน่น เอ่อ… เขาจะจับฉันไว้ทำไมกันน่ะ

“เอริค?”

ดวงตากลมโตกะพริบปริบมองใบหน้าหล่อเหลาที่ขมวดมุ่นคิ้วเข้มมุ่น สายตาคมก็จ้องมองผ่านไหล่บางไปทางด้านหลังฉันท่าทางเคร่งเครียด จนฉันรู้สึกประหม่าและทำตัวไม่ถูกไปหมด เอริคเป็นอะไรของเขาน่ะ?

“อยู่เฉยๆ”

พรึ่บ!

“เอริค! ทำ… ทำอะไรของคุณเนี่ย!” ฉันอ้าปากพะงาบๆ ขมวดคิ้วมุ่นมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความไม่เข้าใจ ทันทีที่ฉันกำลังจะถอยหลังหนีเขาอีกครั้ง แต่เอริคกลับใช้ท่อนแขนแข็งแรงโอบรอบเอวบางแล้วดึงตัวฉันเข้าไปกอด ปลายจมูกฉันแทบจะจิ้มไปที่แผงอกกำยำอยู่แล้วนะ!

“มีงูอยู่ด้านหลัง”

กึก!

ทันทีที่เสียงเข้มต่ำเอ่ยบอกฉันหยุดดันเขาออกแล้วยืนนิ่งตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิมทันที แถมยังยกแขนที่สั่นหน่อยๆ โอบกอดรอบเอวสอบแน่นพลางซุกใบหน้าไปกับแผงอกกำยำด้วยความรวดเร็ว ให้ตายสิ งะ… งูเหรอ?! เมื่อกี้เอริคพูดว่างูมันอยู่ด้านหลังฉันงั้นเหรอ?!! โอ๊ย อยากจะเป็นลม!

“ตะ… ตรงไหน มันอยู่ตรงไหนเอริค มันจะกัดฉันมั้ย” ฉันถามเอริคปากคอสั่นไปหมด หัวสมองก็มึนงงพลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่อย่างตื่นตระหนก

“ไม่หรอกน่า อยู่เฉยๆ ก็พอ”

ฉันพยักหน้าหงึกหงักแนบชิดกับแผงอกกำยำอย่างว่าง่าย ตอนนี้เขาให้ทำอะไรฉันก็จะทำตามหมดทั้งนั้นแหละ ดีกว่าถูกงูกัดตายเป็นผีเฝ้าสวน!

และหลังจากที่ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อจนแทบร่วมร่างกับเอริคอ ฉันก็ต้องเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่น เมื่อท่อนแขนแข็งแรงที่โอบกอดรอบเอวบาง และฝ่ามือหนาเริ่มลูบไล้ไปมาที่แผ่นหลังหลังผ่านเสื้อยืดเปียกชื้นจากการโดนน้ำจากสายยางรดน้ำสาดใส่ มืออีกข้างก็ลูบผมฉันไปมาอย่างแผ่วเบา งูจะกัดตายอยู่แล้วเอริคทำบ้าอะไรของเขากันเนี่ย!

“มันไปรึยังคะ”

เสียงหัวใจที่เต้นระรัวอย่างประหม่าทำให้ฉันต้องเงยหน้าถามเขาด้วยตระหนกปนสงสัย ฉันสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่อเพื่อควบคุมสติ บ้าชะมัดเลย ใจเย็นไว้ยัยโมนา ถึงแผงอกกำยำที่ซุกอยู่จะอบอุ่นมากขนาดไหน แกก็อย่าไปประหม่าแบบนี้สิยะ!

“ยังเลย หลับตาสิ”

ฉันขมวดคิ้วมุ่น แล้วมองหน้าเอริคตาปริบๆ ด้วยความมึนงงอีกครั้ง ทำไมเขาต้องให้ฉันหลับตาด้วยล่ะ มันเป็นวิธีไล่งูงั้นเหรอ?

“อะ… อื้อ”

ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เอริคบอก แต่ฉันก็ยอมหลับตาลง จากนั้นไม่นานสัมผัสอุ่นที่แตะโดนริมฝีปากอิ่มก็ทำให้ฉันยืนนิ่งตัวแข็งทื่อมากขึ้นกว่าเดิม สมองมึนเบลอไปหมดเมื่อริมฝีปากล่างโดนขบเม้มจนต้องเผยอริมฝีปากออก และพอรวบรวมสติของตัวเองได้ว่าอะไรเป็นอะไร ฉันก็ลืมตาขึ้นทันที

“หึ”

ดวงตากลมโตเบิกตาโพรงเมื่อสบกับสายตาคมดุดัน และเห็นว่าเอริคกำลังจูบฉันโดยที่ฉันก็ดันขยับปากตามการชักนำของเขาอย่างน่าโมโหซะได้ บ้าจริง เอริคทำอะไรของเขาเนี่ย!

“เอริค…”

ไม่นานพอเอริคจูบฉันจนพอใจ เขาก็ผละริมฝีปากออกแล้วมองใบหน้าฉัน พร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ส่วนฉันก็เลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก เพราะตอนนี้สมองพร่าเบลอกับจูบเมื่อกี้ไม่หาย ความอุ่นร้อนยังตรึงที่ริมฝีปากของฉันอยู่เลย ให้ตายเถอะ…

หมับ

“งูมันหนีไปแล้ว เข้าบ้านกันเถอะ” นิ้วเรียวยาวเกลี่ยผิวแก้มฉันอย่างหยอกเย้า ก่อนฝ่ามือหนาจะคว้าข้อมือบางให้ฉันเดินตามเขาเข้าไปในบ้าน ฉันกัดริมฝีปากล่างแน่น แล้วถามเอริคด้วยความสงสัยพลางหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด

“คุณหลอกฉันเรื่องงูเหรอ?”

“เปล่า”

“แล้วเมื่อกี้…”

“หึ ของแถม” แถมบ้าแถมบออะไรล่ะยะ ฉันไม่อยากได้สักหน่อย ให้ตายสิ!

“นี่ เอริค…”

“พรุ่งนี้ฉันจะกลับ ไอ้ออสมันให้ไปช่วยดูงานให้พอดี”

ฉันมองแผ่นหลังกว้างด้านหน้าตาปริบๆ อย่างไม่ค่อยอยากเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่นัก เมื่อกี้เขาบอกว่าจะกลับแล้วงั้นเหรอ? ฉันไม่ได้หูอื้อไปเองใช่ไหม?!

“คุณจะกลับจริงๆ เหรอคะ”

“อือ กลับด้วยมั้ย” ฉันขมวดคิ้วมุ่นทันที ถ้าฉันไม่กลับพร้อมเขา แล้วจะให้ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวหรือไงกันล่ะ บ้าชะมัด

“ฉันก็ต้องกลับพร้อมคุณอยู่แล้วสิ แต่ว่ารถของฉันล่ะ มันขับไปสภาพนั้นไม่ได้แน่ๆ”

“เดี๋ยวให้คนมายกกลับให้”

ฉันพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ แล้วมองลงไปยังฝ่ามือหนาที่จับข้อมือฉันเอาไว้แน่นอย่างประหม่า แถมหัวใจยังเต้นตึกตักระรัวอย่างน่าหงุดหงิด ให้ตายเถอะ เมื่อกี้ฉันจูบตอบเอริคจริงๆ งั้นเรอะ! ดูดดื่มจนเกือบลืมหายใจอีกต่างหาก โอ๊ย! ยัยบ้าโมนา ทำไมอยู่กับเอริคทีไรสติหายไปหมดแบบนี้เนี่ย!

Options

not work with dark mode
Reset