องครักษ์เสื้อแพร 845 จางเหลียนเซิง

ตอนที่ 845 จางเหลียนเซิง
ตอนที่ 845 จางเหลียนเซิง

ส่งไห่รุ่ยไปแล้ว หวังทงกลับไปอ่านเอกสารที่ไห่รุ่ยให้มาในห้องอย่างละเอียด หากสิบกว่าปีก่อน ไห่รุ่ยยังเป็นผู้ตรวจการศาลอิ้งเทียน ใช้หลักฐานพวกนี้ยังสามารถสะเทือนตระกูลสวีได้ แต่เวลาผ่านไป ก็เกือบ 20 ปีแล้ว เรื่องมากมาย คนมากมาย ไม่อาจสืบเสาะได้อีก มีค่าไม่มากนัก

เถ้าแก่และคนงานโรงเตี๊ยมถูกไล่ออกไป คนคอยรับใช้ล้วนเป็นทหารติดตามหวังทง เฉินต้าเหอเดินเข้ามา หวังทงเงยหน้ายิ้มกล่าวว่า

“ไห่รุ่ยคืนนี้ เป็นไห่รุ่ยในใจพวกเจ้า!”

เขากล่าวเช่นนี้ เฉินต้าเหอกลับงงไม่เข้าใจ

************

ในเมืองหนานจิง ข่าวกับรายงานลับรวบรวมได้ไม่สู้เมืองหลวงที่รวดเร็วยิ่ง ไห่รุ่ยมาเยี่ยมเยือนวันที่สาม เรื่องนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรคนนั้นจึงได้รู้เรื่องกระจ่าง

นายกองพันสามคนนี้ ไม่ใช่เมิ่งเซี่ยนฮุยที่น่าสงสัยที่สุด และก็ไม่ใช่อวี๋ชิงกั๋วสายเว่ยกั๋วกง แต่กลับเป็นจางเหลียนเซิงที่ดูไม่มีพิษมีภัยที่สุด

ข่าวนี้ยังไม่ใช่เป็นข่าวที่พวกหวังทงหามา แต่เป็นตอนฟ้ายังไม่สว่างดี จางเหลียนเซิงมาคุกเข่าหน้าประตูโรงเตี๊ยมยอมรับผิด เทียบกับหน้าประตูโรงเตี๊ยมเมื่อวานที่มีทั้ง คนขายของ พ่อค้า และนักเดินทาง วันนี้กลับเงียบไปมาก ไม่มีคนอยากจะถูกสับไปเลี้ยงสุนัข

แต่คนจับตาดูไกลๆ มีไม่น้อย นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรผู้หนึ่งในชุดขุนนางคุกเข่าอยู่ การข่าวกระจายไปทั่วหนานจิงอย่างรวดเร็ว

หน้าประตูโรงเตี๊ยมเปิดเช้า ทหารเห็นก็มารายงาน จางเหลียนเซิงถูกเรียกตัวเข้าไปอย่างเร็ว เทียบกับอวี๋ชิงกั๋วและเมิ่งเซี่ยนฮุยที่ดูองอาจแล้ว จางเหลียนเซิงหน้าตาต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เขาตัวอ้วนๆ ขาวๆ หน้าตามีรอยยิ้มประจบ ดูแล้วก็เหมือนว่าเป็นพวกพ่อค้าหน้าซื่อมากกว่า

เขาก็คิดไม่ถึงว่าสถานะสูงศักดิ์อย่างผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทงจะตื่นเช้าเช่นนี้ ชนชั้นสูงอายุน้อย หลงใหลสุรานารีเป็นเรื่องปกติ ตอนแรกยังคิดว่าตอนเองถูกนำไปคุกเข่าด้านใน

จางเหลียนเซิงถูกนำตัวไปห้องหวังทง พอได้เห็นหวังทงนั่งอยู่ ก็อึ้งไป ก่อนจะรีบคุกเข่าโขกศีรษะ น้ำเสียงสะอื้นว่า

“เรียนท่านผู้บัญชาการ เมื่อวานเรื่องนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับข้าน้อย ข้าน้อยไม่รู้เรื่องด้วยเลย!”

หวังทงเพิ่งได้รับสมุดรายงานสัมพันธ์องครักษ์เสื้อแพรหนานจิง สมุดรายงานหนานจิงส่งไปเมืองหลวงล้วนล้าสมัยแล้ว เอกสารที่หวังทงได้มาไม่อาจพบชื่อนายกองร้อยที่ส่งสายสืบมาเมื่อวาน  ได้ยินจางเหลียนเซิงร้องไห้เอะอะ ในใจหวังทงก็กระจ่างหลายส่วน ทว่ายังคงขมวดคิ้วถามขึ้น

“คนของเจ้า เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขา เจ้าไม่รู้เรื่องเลย ใต้หล้ามีเรื่องเช่นนี้ที่ไหนกัน?”

พอได้ยินหวังทงถาม จางเหลียนเซิงก็โขกศีรษะดังโปกๆ สิบกว่าที หน้าผากห้อเลือด น้ำตาไหลเป็นทางกล่าวว่า

“ไม่กลัวผู้บัญชาการจะหัวเราะเยาะเอา นายกองร้อยในบังคับข้าน้อยล้วนเป็นคนของคนอื่น คนที่ข้าน้อยไม่อาจล่วงเกิน ได้แต่ให้พวกเขานั่งตำแหน่งนี้ไป ข้าน้อยจัดการอันใดพวกเขาไม่ได้  ข้าน้อยไร้สามารถๆ  ขอผู้บัญชาการลงโทษ  แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับข้าน้อยจริงๆ !”

ตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะรักษาตำแหน่งไว้ได้หรือไม่ แต่ลอบสืบผู้แทนพระองค์ คิดการไม่ดีต่อผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ความผิดนี้หากเล่นหนัก ก็ย่อมถึงตัดหัว

เห็นความไม่เอาไหนของจางเหลียนเซิงแล้ว หวังทงก็ได้แต่นั่งส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า

“ย่อมไม่ใช่เจ้า หากเจ้าเป็นคนมาสืบข้า ก็คงไม่ใช้คนตัวเองมาทำ สายสืบนั้นเป็นเรื่องลับ ไหนเลยจะไม่ปิดบัง?”

หวังทงกล่าวเช่นนี้ทำเอาจางเหลียนเซิงทั้งดีใจทั้งแปลกใจ ยกมือปาดน้ำตาบนใบหน้าไปมา ก่อนจะกล่าวติดๆ กันว่า

“ผู้บัญชาการกล่าวได้ถูกต้องๆ ข้าคงไม่ทำเรื่องสมคบคิดชั่วร้ายเช่นนี้แน่”

“นายกองพันจางมาได้เช้าเพียงนี้ คงยังไม่ได้กินข้าวเช้ากระมัง ไปล้างหน้าล้างตาก่อน แล้วมากินข้าวเช้ากับข้า”

หวังทงกล่าวค่อนข้างนุ่มนวล จางเหลียนเซิงใบหน้าดวงตาคลอไปด้วยน้ำตา อย่างไรก็ต้องไปล้างหน้าล้างตา หวังทงเมื่อวานแสดงกำลังออกไปเล็กน้อย ทำให้ทั้งหนานจิงสะเทือน ลองคิดถึงตอนนั้นที่หวังทงจัดการเทียนจินและเมืองหลวง จางเหลียนเซิงก็หนาวจับใจ พอได้ยินว่านายกองร้อยในบังคับบัญชาตนก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็ตกใจขวัญหนีดีฝ่อ ตกดึกก็ไม่กล้านอน รีบมาแต่เช้าคุกเข่าขอรับผิด เดิมคิดว่าคงถูกโมโหราวสายฟ้าผ่า คิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับนุ่มนวลเช่นนี้ ยังเชิญเขากินข้าวเช้าด้วยกัน ยามนี้เขารู้สึกว่าได้รับความโปรดปรานอย่างน่าตกใจ

เอกสารที่ส่งมาแต่เช้ามีรายละเอียดกระจ่าง จางเหลียนเซิงแม้แต่ลูกน้องตนยังจัดการไม่ได้ ในสายตานายกองร้อยในสังกัดเขานั้นไม่เห็นเขาในสายตาแม้แต่น้อย นายกองร้อยและนายกองธงใหญ่ตำแหน่งว่างลง ก็มักเป็นทุกคนลงความเห็นหารือกันแล้วกค่อยมาให้จางเหลียนเซิงดำเนินการ คนที่ไร้สามารถขี้ขลาดเช่นนี้จะมีใจคิดชั่วร้ายได้อย่างไร

เรื่องนี้เห็นชัดว่าคิดใส่ความ จากนั้นก็ให้จางเหลียนเซิงออกมารับบาปไป หากเป็นเมืองหลวง หวังทงตอนนี้ก็คงตบโต๊ะไล่เขาไปแล้ว หาคนที่สามารถกว่านี้ แต่ตอนนี้สถานการณ์เช่นหนานจิงตอนนี้ จางเหลียนเซิงกลับเป็นคนที่ต้องเก็บเป็นพวกไว้ก่อน

อาหารง่ายๆ แค่น้ำเต้าหู้และขนมเปี๊ยะย่างกับผักดองไม่กี่อย่าง จางเหลียนเซิงกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย กินไปกล่าวไปว่า

“ผู้บัญชาการถึงหนานจิง กินอยู่ไม่ดีเช่นนี้ ข้าน้อยละอายใจจริง แม่น้ำฉินไหวเหอมีของอร่อยมากมาย อย่างซุปแพะพริกไทย เปี๊ยะกรอบจู๋จื่อผอ จึงจะเป็นอาหารเช้าชั้นดีเมืองหนานจิง ผู้บัญชาการจะต้องไปชิมสักหน่อยนะ”

หวังทงดื่มน้ำเต้าหู้ไปก่อนจะยิ้มถามขึ้น

“นายกองพันจางมีโรงผ้าในเมืองกระมัง? กิจการเป็นอย่างไร?”

จางเหลียนเซิงถูกถามเช่นนี้ก็รีบยืนขึ้นมองสีหน้าหวังทงยังปกติ ไม่เหมือนว่ามีเรื่องใด จึงกล่าวว่า

“ด้วยบารมีท่านผู้บัญชาการ การค้าไม่เลว แต่ก็เป็นเพราะฐานะทหารของเราที่ทำให้ทุกอย่างสะดวก จากเมืองซงเจียงขนมาที่นี่ขาย ได้กำไรอยู่!”

“หนานจิงตลาดใหญ่เช่นนี้ การค้านายกองพันจางดูเหมือนถูกอะไรจำกัดอยู่นะ ร้านสามธาราทางเหนือและใต้ล้วนมีสาขา วันหน้าก็ไปมาหาสู่กันให้มาก ดูว่ามีอะไรขาดเหลือ!”

ร้านสามธาราในเมืองหนานจิงไม่ใหญ่มาก แต่ร้านสามธารามีชื่อไม่น้อย เมืองหนานจิงการข่าวว่องไว  ยังติดคลองส่งน้ำ ย่อมรู้ว่าร้านสามธาราทำการค้าเหนือใต้ระดับขนาดใด ยังมีสายสัมพันธ์กับหวังทง หวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็เท่ากับกำลังยกความร่ำรวยให้จางเหลียนเซิงแล้ว

จางเหลียนเซิงนั่งอึ้งไป จากนั้นก็ลงคุกเข่า น้ำตาอาบแก้มโขกศีรษะกล่าวว่า

“ผู้บัญชาการใจกว้างเช่นนี้ ข้าน้อยกลับเสียมารยาท ช่างน่าละอาย คืนนี้ข้าน้อยจัดเลี้ยงริมแม่น้ำฉินไหวเหอ เพื่อต้อนรับผู้บัญชาการ และก็เป็นการขอขมาที่ข้าน้อยเสียมารยามต้อนรับบกพร่อง ขอท่านผู้บัญชาการให้เกียรติร่วมงานด้วย!”

การมาเลี้ยงต้อนรับยามนี้แม้จะดูเงอะงะชักช้าไปบ้าง แต่ก็ถือว่าได้แก้ไขที่สิ่งพลาดไปแล้ว มาเสียเวลาที่หนานจิงวันสองวัน ก็อยู่ในแผนการคาดเดาไว้ หวังทงยิ้มรับคำ

เจ้านายมาถึง นายกองพันในเมืองสามคนมาต้อนรับ ท่าทางก็ไม่ได้ดูห่างเหินหรือใกล้ชิด เรียกว่าไม่เค็มไม่จืด งานเลี้ยงพวกนี้ก็เป็นสิ่งสมควรกระทำ นายแม้ปฏิเสธ หากลูกน้องก็ต้องคะยั้นคะยอเชื้อเชิญต่อ หากทั้งสามคนพูดแล้วครั้งหนึ่งก็มิได้เอ่ยอีก แสดงถึงความเย็นชายิ่ง ดังนั้นจางเหลียนเซิงจึงได้กล่าวเช่นนี้

อาหารเช้ายังกินไม่เสร็จ ก็มีแขกมาเยือนอีก หลายวันนี้ไม่เห็นเงานายกองพันอวี๋ชิงกั๋วกับเมิ่งเซี่ยนฮุยมาเยือนเลย เหมือนเป็นปฏิกิริยาตามกัน

จางเหลียนเซิงกลับไม่ได้เตรียมตัวว่าจะต้องพบกับเขาสองคน ก็จึงออกไปทางประตูหลัง อวี๋ชิงกั๋วกับเมิ่งเซี่ยนฮุยเข้ามาถึงก็คุกเข่าขอรับโทษ หวังทงก็ย่อมพบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน

“กล่าวกับผู้บัญชาการตามตรง ข้าน้อยเป็นคนส่งสายมาเมื่อวาน นายข้าเป็นผู้มีอิทธิพลในแดนใต้ เรื่องใดก็ต้องสังเกตใส่ใจ ผู้บัญชาการมาครั้งดีเร่งรีบ นายข้าเกรงว่ามีอันใดดูแลไม่ทั่วถึง ดังนั้นจึงส่งคนมาดู จะได้ช่วยเหลือได้ หรืออาจทำให้ใต้เท้าเข้าใจผิด เป็นความผิดข้าน้อยเอง ที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบ จึงขอรับผิดกับใต้เท้าด้วย นายข้าก็จะส่งคนมา…”

“เดี๋ยวนะ เจ้าว่านายเจ้าคือผู้ใดนะ?”

หวังทงขมวดคิ้วขัดวาจาอวี๋ชิงกั๋ว อวี๋ชิงกั๋วโขกศีรษะกล่าวนอบน้อมว่า

“ข้าน้อยเป็นคนมาจากจวนเว่ยกั๋วกง เว่ยกั๋วกงก็ย่อมเป็นนายข้าน้อย”

หวังทงอึ้งไป จากนั้นส่ายหน้ายิ้มเยียบเย็น นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรไม่รับผู้บัญชาการเป็นนาย แต่กลับรับชนชั้นสูงเป็นนาย ไม่มาหนานจิง เรื่องดีๆ เช่นนี้ก็ไม่รู้จริงๆ  อวี๋ชิงกั๋วสีหน้าเรียบเฉย ท่าทางไม่รู้สึกอันใด ย่อมรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ควรเป็น ไม่ได้มีอันใดผิดพลาด

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ารู้แล้ว นายกองพันอวี๋ไปเรียนนายเจ้าว่า ข้าไม่ต้องการให้การต้อนรับใด การใส่ใจทั้งหมดก็พอได้แล้ว!”

อวี๋ชิงกั๋วโขกศีรษะ กล่าวเพียงว่า ‘รับทราบแล้ว’ จากนั้นยืนขึ้น สีหน้าหวังทงเย็นชา กลับไม่สนใจการวางตัวของอวี๋ชิงกั๋ว  หันไปทางเมิ่งเซี่ยนฮุยที่คุกเข่าอยู่ว่า

“นายกองพันจาง นายกองพันอวี๋ล้วนมีที่มา นายกองพันเมิ่งมีเรื่องใด?”

“ผู้บัญชาการมาหนานจิง ข้าน้อยไม่ได้ทำหน้าที่ผู้คุ้มกันให้ดี เกิดเรื่องเช่นเมื่อวาน รู้สึกละอายยิ่ง ผู้บัญชาการมาไกลจากเมืองหลวง ข้าน้อยขอติดตามรับใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยท่าน”

หวังทงหรี่ตามองเมิ่งเซี่ยนฮุย กล่าวนิ่งเรียบว่า

“ในเมืองหนานจิงก็วุ่นวายอยู่ พวกเจ้าก็ไปทำงานตัวเองให้ดีเถิด ข้าดูแลตัวเองได้ ตอนนี้ใกล้ได้เวลาปฏิบัติงานแล้ว พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว!”

อวี๋ชิงกั๋วขอตัวกลับทันที เมิ่งเซี่ยนฮุยคุกเข่าทำเป็นแกล้งยืนยันต่อ สุดท้ายก็อำลาจากไป

สามคนไปแล้ว หวังทงถืออาวุธออกไปฝึกในสวน ฝึกจนเหงื่อท่วม จึงได้กลับไปที่ห้อง เริ่มอาบน้ำใหม่ จากนั้นสวมเสื้อผ้า ด้านนอกก็มีพวกหลิ่วซานหลังมารอ หวังทงกล่าวว่า

“หลิ่วซานหลังกับสื่อชีเลือกมาสิบคน บอกว่าข้าต้องการสอบประวัติองครักษ์เสื้อแพรหนานจิง พวกเจ้าไปจัดการอย่าเอาแต่ตรวจอ่านเอกสาร แต่ให้คุยสนทนากับบรรดาองครักษ์เสื้อแพร รู้ยิ่งมากยิ่งดี ถามเรื่องจางเหลียนเซิงให้มากๆ”

ทุกคนคำนับรับคำสั่ง หวังทงเสียงเย็นเยียบว่า

“องครักษ์เสื้อแพรหนานจิงช่างไร้ระเบียบไร้กฎหมาย เห็นว่าข้าขี้เกียจจะจัดการ แล้วคิดไปเองว่าไม่อาจจัดการจริงๆ งั้นหรือ?”

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset