องครักษ์เสื้อแพร 800

ตอนที่ 800
แสดงข้อดีข้อเสียชัด

คนถวายฎีกาจากจวนอู่ชิงโหวคิดว่าอย่างเร็วคงอีกวันถึงจะได้ข่าวกลับไป คิดไม่ถึงว่าฎีกาถวายไป ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มีคำตอบกลับมา

ฎีกาผู้อื่นต้องผ่านกรมฎีกาไปยังสำนักส่วนพระองค์ จากนั้นจึงได้ไปถึงพระหัตถ์ฮ่องเต้ว่านลี่  แต่อู่ชิงโหวนั่นไม่เหมือนกัน ได้รับการตอบกลับ คนมาถวายฎีกาก็รีบวิ่งกลับไปเร็วกว่าขามา

นำข่าวไปแจ้งแก่อู่ชิงโหวอย่างรวดเร็ว ยามขันทีในวังมาถ่ายทอดราชโองการด้วยวาจา พอเห็นขันทีถ่ายทอดราชโองการเป็นเจ้าจินเลี่ยง ขันทีรับใช้ข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้ ย่อมเป็นพระดำรัสจากฮ่องเต้

อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนสีหน้าซีดเผือด คุกเข่าลงกับพื้นสั่นไปทั้งตัว ได้ยินเจ้าจินเลี่ยงหน้าตึงกล่าวว่า

“พระดำรัสฝ่าบาท ท่านน้า คิดว่าเราเป็นไอ้โง่หรือ?”

เจ้าจินเลี่ยงกำลังเป็นหนุ่ม น้ำเสียงแตกหนุ่ม ดังนั้นเพื่อให้พูดได้ชัด จึงน้ำเสียงเบาไปหลายส่วน แต่พระดำรัสข้างหูหลี่เหวินเฉวียนนี้ราวกับอสุนีบาตฟาด

แม้ว่ามีข่าวแจ้งมาล่วงหน้า เขาเองคิดเตรียมรับไว้แล้ว แต่ทั้งจวนก็กำลังตกใจ ทันใดได้ยินด้านนอกตะโกนขึ้นว่า

“นายท่าน ไทเฮามีพระดำรัสมา!”

คนที่คุกเข่าอยู่สะดุ้งขยับเล็กน้อย สีหน้าหลี่เหวินเฉวียนมีสีเลือดขึ้นมาหลายส่วน แต่ไม่กล้าแสดงอันใดให้เด่นชัด ได้แต่เงยหน้าขึ้นรับพระดำรัส

ตามความคิดทุกคน ไทเฮาย่อมทรงเข้าข้างอู่ชิงโหว แต่ฮ่องเต้ตรัสรุนแรงเพียงนั้นมาหยกๆ พระดำรัสไทเฮาอาจเป็นการปลอบใจ หรืออาจจะเป็นตำหนิก็ได้

รอขันทีถ่ายทอดราชโองการตำหนักฉือหนิงกงเข้ามา ก็เห็นเจ้าจินเลี่ยงยืนอยู่ ในวังถ่ายทอดราชโองการ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นเช่นนี้ หากปะหน้ากัน คนที่มาก่อนย่อมต้องเกรงใจหลบไปก่อน

ทว่าเจ้าจินเลี่ยงกลับทักทายเสร็จก็กรอกลูกตาไปมา ยิ้มกล่าวว่า

“ข้าขอฟังด้วย เผื่อฝ่าบาททรงถามจะได้ตอบได้”

กล่าวออกมาเช่นนี้ แม้ผู้อื่นไม่อยากให้ฟังก็ย่อมไม่อาจไม่กล่าว ขันทีถ่ายทอดราชโองการตำหนักฉือหนิงกงได้แต่ยิ้มพยักหน้า กระแอมไอในลำคอ ทุกคนรวมทั้งเจ้าจินเลี่ยงพากันคุกเข่า

“ไทเฮามีรับสั่ง  อู่ชิงโหว ท่านเป็นเสด็จน้าฝ่าบาท ทำอันใดก็ต้องแยกแยะในนอกให้ดี อย่าได้เหลวไหล”

หลี่เหวินเฉวียนได้ยินก็แขนขาอ่อนแรง เกือบล้มฟุบไปกับพื้น สีหน้าไร้สีเลือด รอจนขันทีถ่ายทอดราชโองการตำหนักฉือหนิงกงกระแอมไออีกที จึงได้สติ น้ำเสียงสั่นว่า

“ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงเมตตา กระหม่อมทราบแล้ว กระหม่อมจะปฏิบัติตามพระกระแสรับสั่ง”

ขันทีพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า

“ไทเฮายังว่า อู่ชิงโหวไม่ต้องคิดมาก ทำผิดรู้จักแก้ไข ครั้งหน้าอย่าได้ทำผิดอีก ฝ่าบาทย่อมทรงพระทัยกว้าง”

กล่าวจบ ขันทีก็ขอตัวกลับวังทันที ไม่อยู่รับน้ำชาต้อนรับ เจ้าจินเลี่ยงเองก็เช่นกัน อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนเมื่อก่อนไม่เคยไปส่งขันทีถ่ายทอดราชโองการ สถานะเขาไม่เหมือนผู้อื่น ขันทียังต้องประจบ แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิม หากก็ไม่ได้ออกไปส่ง เพราะขาสองข้างอ่อนแรงไปหมด ยืนไม่อยู่

ขันทีถ่ายทอดราชโองการออกไปได้หนึ่งชั่วยาม อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนนั่งอยู่กลางโถงตัวสั่น ราวกับเพิ่งนำตัวขึ้นมาจากถ้ำน้ำแข็ง

เมื่อครู่หากขันทีถ่ายทอดราชโองไทเฮาไม่บอกว่า ‘ทำผิดรู้จักแก้ไข’ กับ ‘ทรงพระทัยกว้าง’ แล้วล่ะก็ หลังขันทีถ่ายทอดราชโองการกลับไป หลี่เหวินเฉวียนทำได้แค่สองทาง ไม่แขวนคอตาย ก็ดื่มยาพิษตาย

หลังสีหน้าซีดเผือดไประยะหนึ่ง พ่อบ้านในจวนอู่ชิงโหวกับหัวหน้าผู้คุ้มกันก็เข้ามา หลี่เหวินเฉวียนอ้าปากหลายรอบหากไร้เสียงออกมา เป็นพ่อบ้านที่รินน้ำชาส่งให้ดื่ม จึงได้พูดออกมาได้ อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า

“จับคนที่ส่งออกไปป่าวประกาศข่าวลือพวกนั้นส่งไปที่ทำการสำนักองครักษ์เสื้อแพร บอกว่าพวกเขาขโมยของในจวนเรา”

ทั้งสองรีบรีบรับคำ พ่อบ้านลังเลครู่หนึ่ง กระซิบถามขึ้น

“ปล่อยให้มีชีวิตออกไป เกรงว่าจะพูดจาเหลวไหล!”

“ปิดปากก่อนส่งไป ต้าเฉาเจ้าตามไปด้วย หวังทงบอกไว้ชัด ปิดปากแล้วค่อยส่งไป ไม่สนใจว่าตายอย่างไร”

*************

หวังทงกลับจากจวนอู่ชิงโหว ถูกฮ่องเต้ว่านลี่เรียกตัวเข้าเฝ้าในวัง ย่อมมีขันทีนำทางเข้าไป ไปถึงหน้าตำหนักข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน

พอเข้าประตูตำหนักไปก็เห็นขันทีวิ่งเหยาะๆ มาจากทางตะวันตก มาสอบถามว่า

“เสนาบดีกรมปกครองใต้เท้าเหยียน ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฝ่าบาททรง?”

“ฝ่าบาทยุ่งราชกิจ ไม่ให้เข้าเฝ้า!”

ขันทีพยักหน้าวิ่งกลับออกไป หวังทงไม่รู้ว่าทำไม ได้แต่เดินตามเข้าไปในตำหนักข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน แม้ว่าเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ แต่ก็ยังคงมีพิธีรีตอง  ต้องได้รับพระราชทานอนุญาตจึงจะเข้าเฝ้าได้ พอเข้าไปด้านใน สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงดีนัก ทว่าก็เป็นปกติอย่างรวดเร็ว พอเห็นหวังทง ก็แย้มสรวลตรัสอย่างไม่อ้อมค้อมว่า

“ตอนอยู่หน้าประตูได้เห็นคนของคณะเสนาบดีใหญ่หรือไม่?”

“เห็นกงกงท่านหนึ่งวิ่งมาถาม บอกว่าเสนาบดีเหยียนขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ไม่ทราบว่าใช่คนจากคณะเสนาบดีใหญ่หรือไม่พะยะค่ะ”

“คนนั้นแหละ หวังทง วันนี้เจ้านำคนไปจับกุมในเมือง ขุนนางหกกรมกอง ขุนนางสำนักตรวจสอบ ยังมีเจ้ากรมอีกหกกรม ก็ถูกเจ้าจับตัวไปหมด คนพวกนี้เป็นคนของขุนนางเจ้าหน้าที่ใหญ่ในหกกรมกอง เจ้าทำเช่นนี้ ก็เท่ากับแหย่รังผึ้ง จางปั้นปั้นว่าใช่หรือไม่?”

จางเฉิงด้านหลังถวายคำนับกล่าวว่า

“ฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย ใต้เท้าคณะเสนาบดีใหญ่กับใต้เท้าหกกรมกองเมื่อครู่มาขอเฝ้า นอกวังก็มีข่าวมา ว่ากรมฎีกาตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนมาออกันรุมถวายฎีกาฟ้องใต้เท้าหวัง”

“เจ้าดู ๆ  นี่มันผึ้งแตกรังชัดๆ !”

ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสท่าทางไม่วิตกอันใด ทว่าก็เหมือนเป็นคำถาม หวังทงนิ่งไปก่อนทูลว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมรู้ดีกว่าจับกุมขุนนางบัณฑิตและพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวย่อมสร้างแรงกระเพื่อมใหญ่ในเมืองหลวง กระหม่อมเมื่อครู่ยังไปจวนอู่ชิงโหวมา ไปปฏิบัติหน้าที่นี้แม้ได้ทูลฝ่าบาทแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องไม่ให้ความเคารพเบื้องบน แต่กระหม่อมทำเช่นนี้ก็เพราะไม่อาจไม่ทำ!”

ได้ยินหวังทงพูดหนักแน่น ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสถามว่า

“อะไรที่ว่าไม่อาจไม่ทำ เจ้าลองว่ามา?”

“ทัพใหญ่ขึ้นปราบตอนเหนือได้รับการเห็นชอบส่งเสริมจากฝ่าบาท ได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่มา เมืองหลวงกลับมีข่าวลือยากรับฟังได้เช่นนี้ มีคนยื่นฎีกาโจมตีกระหม่อมว่าจิตใจมักใหญ่ คิดการไม่ซื่ออีก เรื่องพวกนี้ หากเพื่อแผ่นดิน เพื่อคุณธรรม ไม่อาจไม่กล่าว ราษฎร ขุนนาง ล้วนสรรเสริญพวกเขาว่า  ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมือสะอาดกล้ากล่าวทัดทาน ฝ่าบาท ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวพวกนี้เป็นพวกมารร้ายชัดๆ !!”

ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลส่ายพระพักตร์ ตรัสว่า

“หวังทง แผ่นดินหมิงจะ 200 ปีแล้ว เหมือนว่ามีเจ้ากล่าวเช่นนี้คนแรก เมื่อก่อนล้วนแต่สรรเสริญ บันทึกประวัติศาสตร์ก็เอาแต่สรรเสริญยกย่อง  ไม่มีผู้ใดบอกว่าเป็นมารร้าย วาจาเจ้าหากแพร่ออกไปนอกวัง เกรงว่าคนก่อเกิดกระแสนับไม่ถ้วน”

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีคำถาม ฮ่องเต้หมิงไท่จู่ตั้งราชวงศ์ สวีต๋า ฉางอวี้ชุน พวกนี้เป็นขุนพลมีชื่อกล้าหาญภักดี แต่คนรุ่นหลังสรรเสริญสวีต๋าหรือ หมิงไท่จู่มากกว่ากัน?”

“…….ย่อมสรรเสริญฮ่องเต้หมิงไท่จู่มากกว่าสิ หากไม่มีฮ่องเต้หมิงไท่จู่นำทัพ พวกเขาย่อมไม่อาจสร้างความชอบใหญ่เช่นนั้นได้!”

“ฝ่าบาท อีกสิบปี อีกร้อยปี อีกหลายร้อยปี ชัยชนะชายแดนเหนือยิ่งใหญ่นี้ย่อมสรรเสริญพระเกียรติฝ่าบาทกันมาก  หรือว่าสรรเสริญพวกกระหม่อมมากกัน?”

หวังทงถามถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงอึ้งไป ทว่ายังคงตอบอย่างเร็วว่า

“ย่อมเป็นเรา”

หวังทงยืดตัวขึ้นกล่าวว่า

“ฝ่าบาทเรื่องนี้ กระหม่อมขุนนางบู๊ยังรู้ แล้วพวกที่อ่านตำราปราชญ์กันมากพวกนั้น อยู่ในวงการขุนนางกันมานานพวกนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไร พวกเขาสร้างข่าวลือใส่ร้ายเช่นนี้ก็เพื่อป้ายสีดำให้กับความชอบใหญ่จากชัยชนะครั้งนี้ มองเล็กๆ ก็คงไม่อยากให้กระหม่อมมีความชอบใหญ่ หากมองมุมใหญ่ ก็คือไม่อยากให้ฝ่าบาทมีความชอบใหญ่!”

กล่าวถึงตรงนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เริ่มไร้รอยแย้มสรวล ยกพระหัตถ์ขึ้นลูบหนวดเคราครุ่นคิด หวังทงกล่าวว่า

“พวกทหารนักรบไม่กลัวความตาย ออกรบเสี่ยงตายกับพวกนอกด่านที่เหนือกว่าบนดินแดนต่างบ้านต่างเมือง  เดิมคิดว่าคงได้เกียรติยศความชอบมาก แต่กลับมีคนหาว่าไร้วินัยสร้างความเสื่อมเสีย บอกว่าพวกเขาคิดการไม่ซื่อ หากฝ่าบาทเป็นเช่นนี้ ขุนพลผู้กล้าไหนเลยจะยอมไปรบชายแดนเหนือ ก่อนตีเมืองเมืองกุยฮว่าเฉิง ยังไม่ได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ ผู้ใดไม่รู้ว่าออกนอกด่านก็เท่ากับออกไปตายกัน แต่พวกเขาก็ยังไป เพื่ออันใด ก็เพราะจงรักภักดีต่อฝ่าบาท เพราะต้องการให้ชายแดนตอนเหนือแผ่นดินหมิงสงบสุข แต่การไปอย่างไม่เกรงกลัวความตายนี้ กลับมากลับถูกใส่ร้ายป้ายสีเช่นนี้ หากทหารทั้งหลายเจ็บปวดด้วยเรื่องนี้ ใต้หล้าเห็นแล้ว วันหน้าจะคิดเช่นไร?”

ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์นิ่ง น้ำเสียงหวังทงค่อยๆ เร่งเร้าต่ออีกว่า

“ฝ่าบาท ผู้ใดบุกเบิกแผ่นดินเพื่อฝ่าบาท ผู้ใดปกป้องแผ่นดินเพื่อฝ่าบาท ผู้ใดปกป้องฝ่าบาทจากมารร้าย ฝ่าบาท ล้วนเป็นขุนนางบู๊!! ขุนนางบู๊ต่อสู้แลกชีวิตก็เพื่อฝ่าบาท ยามนั้น พวกบัณฑิตไปอยู่ที่ใดกัน หรือว่าจะถือพู่กันออกมาสังหารศัตรูได้กัน!?”

“…….ไม่อาจปล่อยให้พวกเขากุข่าวลือเหิมเกริมใส่ร้ายได้ตามใจชอบเช่นนี้  หลายปีมานี้ ปล่อยพวกเขาให้กำเริบมากเกินไปแล้วจริง…….”

ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ ตรัส จางเฉิงด้านหลังสะดุ้ง  อึ้งมองไปด้านหน้า พระดำรัสฮ่องเต้ว่านลี่  ก็เท่ากับทำลายนโยบายแผ่นดินหมิงที่มีมาตั้งแต่สมัยฮ่องเต้อิงจงถึงตอนนี้ เขามองไปรอบทิศอย่างไม่รู้ตัว ไม่มีคนอื่น วาจานี้หากแพร่ออกไป ไม่รู้จริงว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมมากสักเพียงใด

“ฝ่าบาท ผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงเป็นแม่ทัพมานานปี ครั้งนี้เคลื่อนทัพไป ย่อมมีความมั่นใจในชัยชนะใหญ่ การเคลื่อนกำลังครานี้ย่อมมั่นใจ การออกรบครั้งนี้ย่อมเพราะคิดกำลังศัตรูชายแดนตอนเหนือให้ราบคาบสิ้นไป แต่ฝ่าบาทเคยทรงคิดไหม เหตุใดเมื่อก่อนจึงไม่ทำอันใด หรือว่าแม่ทัพหลี่กังวลวาจาขุนนางบุ๋น?”

พูดถึงแต่ตัวเอง แรงจูงใจไม่มาก แต่หากยกตัวอย่างอื่นมาประกอบ เช่นนั้นก็ย่อมมีผลดีต่อการสร้างแรงกระทบจิตใจ ฮ่องเต้ว่านลี่หยุดเคลื่อนไหว หากครุ่นคิดหนัก

ในตำหนักเงียบกริบ

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset