องครักษ์เสื้อแพร 788

ตอนที่ 788
สายสัมพันธ์เลือดเนื้อ ในวังเปิดไพ่

ได้ยินไทเฮาฉือเซิ่งตรัสเช่นนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ยินดียินร้าย ตรัสเพียงว่า

“เสด็จแม่ เชิญรับสั่ง”

“เทียนจินทางนั้นต้องแต่งตั้งขุนนางไปดูแล หลายวันก่อนมีคนมาบอกแม่แล้ว ตอนนี้ขุนนางหวงอี้เฟินจากกรมทหารมีความสามารถ ปฏิบัติหน้าที่รอบคอบ เป็นคนซื่อสัตย์ภักดี เทียนจินเงินทองมากมายเพียงนั้น ต้องการคนเช่นนี้ไปดูแล ฝ่าบาททรงเห็นเช่นไร?”

ครั้งก่อนไม่ได้เอ่ยถึงตัวเลือก ครั้งนี้กลับเอ่ยชื่อมาตรงๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ก้มพระพักตร์ลงตรัสเบาๆ ว่า

“คนผู้นี้เป็นลูกศิษย์ท่านน้า ท่านน้ากินอยู่ไม่ได้ด้อยไปกว่าลูก หรือที่บ้านขาดแคลนเงินทองกัน เหตุใดจึงกระตือรือร้นในเรื่องนี้นัก”

ไทเฮาฉือเซิ่งขมวดพระขนง หลายวันนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงวุ่นวาย แม้ว่าไม่มีข่าวมา แต่ข่าวจากมณฑลซานซี กับเมืองต้าถงล้วนบอกว่าหวังทงร้ายมากกว่าดี ไม่มีหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่มีหลายเรื่องต้องสั่งการผ่านทางราชสำนัก หากลองชั่งดูแล้ว ไทเฮาฉือเซิ่งทรงคิดว่าฮ่องเต้ว่านลี่คงไม่ปฏิเสธพระองค์ คิดไม่ถึงว่าจะสาดน้ำเย็นใส่เช่นนี้

ส่งสายพระเนตรให้นางกำนัลทั้งหมดออกไป สุรเสียงไทเฮาฉือเซิ่งจึงได้เยียบเย็นตรัสว่า

“ฝ่าบาท เทียนจินดูแลค่าใช้จ่ายในวัง ไม่เพียงแต่เงินก้อนจินฮวาล้านสองแสนตำลึง สำนักอาชาหลวงก็ลงทุนหลายร้านค้าและการเดินเรือทางทะเลในเทียนจิน ทุกปีแบ่งกำไรมาไม่น้อย ขาดแหล่งเงินทองนี้ไป ค่าใช้จ่ายในวังก็จะสะดุดในทันที”

“จะสะดุดได้อย่างไร เสด็จแม่กังวลพระทัยมากไปหรือไม่!”

“หวังทงหากไม่อาจกลับมา หรือหากแพ้กลับมา เทียนจินเช่นนี้ กับเขาผู้ซึ่งเป็นขุนนางบู๊ที่ปฏิบัติหน้าที่พลาดมา ฝ่าบาทคิดว่ายังดูแลควบคุมต่อได้หรือ? ถึงตอนนั้นหากไม่ส่งคนไป จะมีเงินสักตำลึงส่งเข้าวังได้อย่างไร ปกติในวังทำอะไร พวกขุนนางก็มักจะหาทางขัดขวาง ไม่เตรียมการล่วงหน้าได้อย่างไร ในวังขาดเงิน กองทหารเมืองหลวงกับกองกำลังสังกัดวังหลวงจะมีเบี้ยหวัดจากที่ใดกัน”

สุรเสียงไทเฮาฉือเซิ่งเริ่มเข้ม ฮ่องเต้ว่านลี่ได้แต่พึมพำขัดใจว่า

“เจ้าพวกขุนนางพวกนี้ เป็นข้าแผ่นดินหมิงหรือไม่กัน เรามีชีวิตดีสักหน่อย พวกเขาทำไมต้องดูขัดตากัน!”

“ฝ่าบาท แม่ว่ามานั้น ฝ่าบาททรงเห็นเช่นไร?”

ไทเฮาฉือเซิ่งยังถามต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตรัสว่า

“เสด็จแม่ตรัสได้ถูกต้อง พรุ่งนี้ลูกจะไปจัดการเรื่องนี้”

แผ่นดินหมิงตั้งแต่ฮ่องเต้เสวียนจงมา ยังมีเหตุการณ์ป้อมถู่มู่ที่พ่ายแพ้ยับเยิน ชนชั้นสูงและขุนนางบู๊ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย ขุนนางบุ๋นเริ่มทรงอิทธิพลใหญ่

ขุนนางบุ๋นมักอ้างคุณธรรม มักอ้างตำรา  เน้นการทูลค้าน เพราะเป็นความปลอดภัยที่สุด และยังได้รับชื่อเสียงที่สุดอีกด้วย สำหรับการคัดค้านว่าในวังอย่าได้ฟุ่มเฟือยนั้น ร้านค้าหรือโรงบ้านของในวังก็มักถูกขุนนางบุ๋นหาทางปิดทิ้ง ในวังส่งขันทีออกไปดูแลภาษีที่นาหรือเหมืองแร่ ไม่ว่าทำงานเป็นเช่นไร ขุนนางบุ๋นก็มักจะคิดหาวิธีไล่กลับเข้าวัง เกินไปหน่อยก็จะหาทางลงโทษขันทีพวกนั้น

จนกลายเป็นเรื่องแน่นอนของทุกปี ภาษีจากทางใต้ส่งเงินก้อนจินฮวา ขุนนางบุ๋นไม่รู้ว่ามีเรื่องกับฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยตั้งกี่ครั้ง ทุกครั้งฮ่องเต้คิดทรงใช้เงินมากหน่อย ขุนนางบุ๋นก็พากันโวยวายไม่ยอม มากสักตำลึงก็ไม่ได้

ฮ่องเต้ต้องการเงินมากขึ้นก็เพื่อใช้ฟุ่มเฟือย ขุนนางบุ๋นประหยัดก็ใช่ว่ามีประโยชน์ต่อแผ่นดิน ขุนนางบุ๋นรู้สึกเสียดายภาษีการค้า แต่ตนเองและชาวบ้านก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับภาษีการค้า ที่เกี่ยวข้องก็เป็นพวกตระกูลใหญ่ พวกคหบดีใหญ่ และขุนนางในราชสำนักกับขุนนางท้องที่ที่จะมีพวกร่ำรวยขึ้นเพิ่มก็เท่านั้น

ทุกปีเทียนจินส่งเงินเข้าวังล้านสองแสนตำลึงได้เพราะการค้าเทียนจินรุ่งเรือง กิจการในวังก็ไปเปิดร้านที่เทียนจิน ได้รับกำไรไม่น้อย

เช่นนี้จึงเป็นเงินเกินครึ่งที่เข้าวังมา ล้วนได้มาจากเทียนจิน และไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดกับชาวบ้านราษฎร สถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่ขุนนางบุ๋นไม่อยากจะเห็น

เมื่อก่อนรายได้โรงนาหรือร้านค้าในวังไม่มาก ส่วนใหญ่อาศัยกรมอากรจัดสรร กรมอากรจัดสรร ขุนนางบุ๋นย่อมมีอำนาจเอ่ยค้าน มีอำนาจในการสั่งการค่าใช้จ่ายในวัง ย่อมส่งผลต่อหลายเรื่อง หากตอนนี้อำนาจในการกล่าวค้านนั้นน้อยลงเรื่อยๆ ขุนนางบุ๋นย่อมเห็นเทียนจินเป็นหนามยอกแทงตา

หากหวังทงอยู่ เขาย่อมเตะโด่งทุกคนออกจากเทียนจิน หวังทงเป็นพวกเลือกใช้วิธีลงมือโหดเหี้ยม คนรอบๆ จึงไม่กล้าลงมือ หากหวังทงไม่อยู่ ขุนนางบุ๋นพวกนี้ย่อมมีวิธีจัดการฮ่องเต้มากมาย มักจะบีบบังคับ ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ ไร้หนทางต่อสู้

ที่ไทเฮาฉือเซิ่งทรงคิด ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องจริง แต่หวงอี้เฟินเป็นคนของอู่ชิงโหว ถึงตอนนั้นเงินทองเทียนจินก็คงอยู่ในมือไทเฮาไม่ใช่ฮ่องเต้ ข้างนอกคนกล่าวกันว่าเป็นเงินในวัง ที่จริงแล้วไม่เหมือนเดิม

ทว่าถึงตอนนี้ ก็ถูกพวกขุนนางในราชสำนักยึดไปแล้ว ยังถูกไทเฮายึดไปอีก ขุนนางกับฮ่องเต้ แม่กับลูก ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมรู้ว่าควรสมดุลอำนาจอย่างไร

 คำตอบฮ่องเต้ว่านลี่ทำให้ไทเฮาฉือเซิ่งพอพระทัยยิ่ง เดิมที่สีพระพักตร์เคร่งเครียดก็เริ่มมีรอยยิ้ม เสไปเอ่ยเรื่องอื่น ก่อนจะเอ่ยต่อว่า

“เมื่อวานนางหวังพาฉางลั่วมาเล่นที่นี่ ฉางลั่วอายุแค่สองขวบก็เห็นแล้วว่ามีนิสัยซื่อ ทำให้แม่โปรดปรานมา ฝ่าบาท ฉางลั่วอยู่ในวังมาสองปีแล้ว ตอนนี้ไม่มีตำแหน่ง ตอนนี้มีเรื่องมากมาย เรื่องที่ทำให้ไม่เกิดความเสถียรภาพเช่นนี้อย่างไรก็ลดลงบ้างก็ดี?”

ครั้งนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงแน่น ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ค่อยทรงกริ้วต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งนัก แต่พอกล่าวถึงเรื่องนี้กลับทรงระงับไม่อยู่ หากฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ไม่ทรงมีไพ่ใบอื่น แม้ทางเหนือยังไม่มีข่าวมาอย่างเป็นทางการ แต่ก็ทรงรู้สึกได้ว่าร้ายมากกว่าดี

ครั้งก่อนยังยันกลับไปได้ แต่ครั้งนี้คงต้องคิดก่อนตอบเสียแล้ว สีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งค่อยๆ ไร้รอยยิ้ม ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสในที่สุดว่า

“เสด็จแม่  ฉางลั่วอายุยังน้อย รอให้โตอีกหน่อย ค่อยแต่งตั้งเป็นอ๋องก็แล้วกัน!”

“เหตุใดต้องเติบโตค่อยแต่งตั้งเป็นอ๋อง ฉางลั่วเป็นโอรสองค์โต ตามธรรมเนียมบรรพชน ตอนนี้ก็ควรได้เป็นรัชทายาทแล้ ไยต้องยืดเวลาออกไปอีก  ฝ่าบาท แม่พูดมากไป ฝ่าบาทก็ไม่อยากฟัง แม่ผ่านมาสามรัชสมัย พวกขุนนางในราชสำนักคิดเช่นไรจะไม่รู้ได้อย่างไร ฝ่าบาทมีทายาทไม่แต่งตั้งเป็นรัชทายาท จะถูกพวกนั้นหาเรื่องกัดไม่ปล่อย ถึงตอนนั้นเป็นฝ่าบาทเองที่ผิดพลาด”

ไทเฮาฉือเซิ่งยังคงเตือน ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงแน่นขึ้นอีก ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า

“เสด็จแม่  เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท เป็นเรื่องภายในครอบครัวเรา เสด็จแม่บอกได้ พวกเขาบอกไม่ได้  หวังทงแพ้ชนะยังไม่รู้ เรื่องนี้ลูกเองก็ผิด แต่ความผิดนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกขุนนางจะเอามาอ้างบีบคั้นลูกได้ พวกเขาหากกล้าเอ่ยจริง ก็รออาญาก็แล้วกัน!”

“เหลวไหล! เรื่องครอบครัวอันใด แล้วอันใดคือเรื่องใต้หล้า เจ้าเป็นฮ่องเต้ เรื่องฮ่องเต้ก็คือเรื่องใต้หล้า ขุนนางราชสำนักหากกล่าวไม่ได้ หากมีเรื่องกันด้วยเรื่องนี้ ราชสำนักสั่นคลอน และยังแพ้ใหญ่จากตอนเหนือมาอีก เกรงว่าคงมีคนคิดก่อการสิ่งใดแล้ว!”

พระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งไร้รอยยิ้ม ตรัสสุรเสียงเฉียบขาด ฮ่องเต้ว่านลี่คิดจะตบโต๊ะ ทว่าทำได้แค่กำโต๊ะไว้แน่น ตรัสเบา ๆ ว่า

“เสด็จแม่ พระสนมกงเป็นคนจากตำหนักฉือหนิงกง ทุกเรื่องฟังเสด็จแม่ เสด็จแม่พยายามให้แต่งตั้งรัชทายาทให้ได้ ก็คงเพื่อให้พระสนมได้ก้าวขึ้นอีกขั้น……..เสด็จแม่ ตั้งแต่ลูกครองราชย์มา ท่านก็ดูแลมาสิบปีแล้ว ลูกเติบใหญ่แล้ว ลูกก็มีลูกของตนเองแล้ว ไยยังต้องทรงลำบากมาดูแล….ใต้หล้านี้ แซ่จู (แซ่ฮ่องเต้ว่านลี่)  ไม่ใช่แซ่หลี่ (แซ่ไทเฮา)….”

 ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มสุรเสียงดัง  หากสุดท้ายก็เงียบลง ตรัสน้ำเสียงอึกอัก หากในห้องเงียบมาก ทุกคนย่อมได้ยินชัดเจน

นางกำนัลสองคนในห้องที่รอปรนนิบัติกับขันทีสองสามคนสีหน้าซีดเผือดคุกเข่าลง หมอบกับพื้นแน่นิ่ง ไม่กล้าส่งเสียง

ตรัสจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ก้มพระพักตร์ลง ในห้องเงียบกริบ ไม่ทรงกล้าเงยหน้าขึ้นมองอีก ไทเฮาฉือเซิ่งพระวรกายสั่นเทิ้ม  ยกพระหัตถ์ชี้ขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกทรงกลัวเล็กน้อย ยามนี้ไทเฮาฉือเซิ่งจึงได้ตรัสสุรเสียงเฉียบขาดว่า

“ใต้หล้าให้เจ้าดูแลมาสองปี แล้วเป็นไง  เจ้าปล่อยให้หวังทงนำกำลังขึ้นเหนือ จนรบพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ ทำลายสถานการณ์ส่วนรวม เจ้ามีหน้าไปพบพระบิดา พบบรรพชนอีกแผ่นดินหมิงอีกหรือ!!”

ฮ่องเต้ว่านลี่หดตัวลีบ หลังเหตุลัทธิไตรสุริยัน ไทเฮาฉือเซิ่งไม่ทรงถามราชกิจ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงคิดว่าพระองค์เองนั้นมีความกล้าหาญที่จะยืดอกบริหารได้ด้วยตนเองแล้ว คิดไม่ถึงว่าถูกไทเฮาฉือเซิ่งตำหนิเช่นนี้ ในพระทัยแม้รู้สึกโหวงเหวงแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ยังคงพึมพำตรัสว่า

“พระบิดาได้รับตำแหน่งรัชทายาทก็อายุมากแล้ว ตำแหน่งอ๋องอวี้ก็ไม่ได้เร็ว บรรพชนไม่ใช่เริ่มทำเป็นแบบอย่างก่อนหรือ?”

“ออกไปให้หมดๆ !!”

ไทเฮาฉือเซิ่งเสียงดังรุนแรง นางกำนัลและขันทีปรนนิบัติรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ไทเฮาฉือเซิ่งชี้ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสน้ำเสียงรุนแรงว่า

“เจ้าอยู่ในวังยังกล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้  ฮ่องเต้อู่จงตกน้ำได้อย่างไร และยังสิ้นพระชนม์ด้วยอาการป่วยในวังได้อย่างไร ตอนนั้นพวกอันต๋าร่วมสมคบกับเมืองต้าถง เมืองเซวียนฝู่อย่างไร ล้อมเมืองหลวงอย่างไร หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าเพราะฮ่องเต้อู่จงหลงเชื่อขุนนางบู๊ หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าเสด็จปู่เจ้าตอนนั้นล่วงเกินขุนนางบุ๋นไปมากเท่าไร เจ้าคิดว่าใต้หล้าเป็นของเจ้าหรือ? เจ้าหลงเชื่อหวังทง ตั้งด่านบนคลองส่งน้ำ เปิดการค้าทางทะเล เจ้าคิดว่าพวกเขานั้นพอใจหรือ เมื่อก่อนเจ้าเอาอยู่ ตอนนี้พ่ายแพ้มาเช่นนี้ เจ้าจะเอาอยู่ได้อย่างไร หรือว่ารอให้คนอื่นมาบีบให้แม่ต้องไปฟ้องต่อบรรพชนฮ่องเต้หรือ”

ฟ้องต่อบรรพชนฮ่องเต้ก็คือปลดฮ่องเต้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่เปลี่ยนไปทันที พระดำรัสไทเฮาฉือเซิ่งตรัสถึงตอนนี้ น้ำตาก็ไหลไม่หยุด สะอื้นตรัสต่อว่า

“ฝ่าบาท แม่เป็นแม่แท้ๆ ตั้งครรภ์มาสิบเดือนจึงได้ประสูติฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่ เหตุใดจึงเอาแต่เห็นแม่เป็นศัตรู ตอนนี้เรื่องพวกนี้ไม่จัดการให้ดี รอให้ถึงวันที่ต้องทำจริงๆ เกรงว่าคงสายไปเสียแล้ว”

ตรัสจบก็กรรแสงขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่นั่งแข็งทื่อเป็นหุ่น เป็นนานกว่าจะถอนหายใจ กำลังจะตรัส ก็ไดยินเสียงขันทีด้านนอกเสียงแหลมรายงานว่า

“ไทเฮา ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่สุดรายงาน!!”

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset