องครักษ์เสื้อแพร 789

ตอนที่ 789
ไทเฮา

เสียงตะโกนแหลมของขันที ฟังแล้วก็ไม่แตกต่าง ชั่วขณะหนึ่ง สองคนในห้องก็แยกไม่ออกว่าเสียงผู้ใด แต่ไทเฮาฉือเซิ่งยังทรงไม่อาจคุมพระสติเช่นนี้ ย่อมไม่ดีหากให้ผู้ใดพบเห็น เสียงคุยในห้องหยุดทันที เสียงด้านนอกดังเข้ามา ได้ยินเสียงขันทีนอกห้องกระซิบว่า

“ตูกง ไทเฮากับฝ่าบาทกำลังทรงสนทนากันอยู่”

ผู้ที่ถูกเรียกขานว่า ตูกง ก็คือ ขันทีใหญ่สำนักส่วนพระองค์จางจิง ตอนนี้ไปดูแลสำนักบูรพา ในวังถือเป็นลำดับสอง แต่ในตำหนักฉือหนิงกง อย่างไรก็ต้องวางตัวระมัดระวังรอบคอบ

ทว่าด้านนอกเงียบลง ได้ยินจางจิงเสียงดังมาว่า

“มีเรื่องเร่งด่วนที่สุดจริงๆ ไม่เช่นนั้นกระหม่อมไม่กล้ามารบกวนพระทัยไทเฮากับฝ่าบาท !”

เห็นใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาของไทเฮาฉือเซิ่ง ทรงเสียพระทัยขนาดนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รู้สึกผิด ลูกกตัญญูย่อมไม่อยากเห็นแม่ตนเองเป็นเช่นนี้ แต่ด้วยสถานะฮ่องเต้ ย่อมรู้ว่าหากมอบเทียนจินให้อู่ชิงโหว ทำตามไทเฮาแต่งตั้งรัชทายาทไป ตนเองก็เกรงว่าคงต้องกลับไปเป็นเหมือนเมื่อสิบปีที่ผ่านมา นี่ผ่านมาสองปี ตอนนั้นน่าอนาถเพียงใด ฮ่องเต้ว่านลี่ยังทรงจดจำได้ไม่ลืม

ในวังก็ทรงโปรดพระสนมเอกเจิ้งที่สุด ฮ่องเต้ว่านลี่เคยตรัสกับเจ้าจินเลี่ยงว่า

“หากเราอยู่ในตระกูลชาวบ้าน ก็สามารถครองคู่กับพระสนมเจิ้งไปจนแก่เฒ่า”

หากแต่งตั้งโอรสองค์โตจูฉางลั่วเป็นรัชทายาท พระสนมกงก็ย่อมได้เป็นพระสนมเอก ผู้หญิงที่เชื่อฟังไทเฮาทุกอย่างอยู่ข้างกายพระองค์ ช่างไม่มีความรื่นรมย์ใดให้กล่าวถึงอีก

หรือบางคราเกิดมีความคิดโปรดขึ้นมา ลืมพระองค์ อยู่ ๆ มีโอรสอีกพระองค์ขึ้นมาทำไง ฮ่องเต้ว่านลี่อย่างไรก็ทรงรู้สึกไม่ปลอดภัย ทรงรู้สึกว่าไม่ใช่พระโอรสของพระองค์ หากต้องมาจากพระสนมเอกเจิ้งเท่านั้น

ไม่ว่าในพระทัยจะไม่ยินยอมอย่างไร สถานการณ์ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่อย่างไรก็คิดหาทางปฏิเสธไม่ออก อยู่ ๆ ก็รู้สึกราวกับถูกมีดเฉือนพระทัย กว่าจะทรงมีหวังทงและพวกหลี่หู่โถวมิตรสหายที่ดีได้ แต่เพราะทรงอยากสร้างผลงานความสำเร็จยิ่งใหญ่จึงส่งพวกเขาไปตายยังชายแดนตอนเหนือ

ไทเฮาฉือเซิ่งหยิบผ้าขึ้นซับน้ำตา ก่อนลุกขึ้นดำเนินไปยังหลังม่าน ตรัสเสียงเครือว่า

“ฝ่าบาท ไว้ค่อยคุยกันต่อก็ไม่สาย ตอนนี้ไปดูว่ามีเรื่องด่วนใดกันก่อน!!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ยกพระหัตถ์ขยี้ใบหน้า  นี่เป็นวิธีการตอนอยู่ที่ลานฝึกหู่เวย เลียนแบบจากพวกหวังทง ทำให้สงบนิ่งลง ตรัสสุรเสียงดังว่า

“เข้ามารายงานได้!”

ทันทีที่ด้านนอกรับคำ ก็กลับมีอีกเสียงตะโกนขึ้นว่า

“ไทเฮา  ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องด่วนรายงาน!!”

ได้ยินเสียงข้างนอกพากันส่งเสียงว่า ‘คำนับจางกงกง’ ‘จางกงกงก็มาด้วย’ เสียงนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ยินทุกวัน ย่อมรู้ว่าเป็นจางเฉิง

“เข้ามาพร้อมกันเลย!”

จางจิงค่อนข้างยืนค่อนไปทางไทเฮาฉือเซิ่ง จางเฉิงค่อนมาทางฮ่องเต้ว่านลี่ แท้จริงเป็นเรื่องด่วนอันใดกัน ทำให้ทั้งจางเฉิงและจางจิงวิ่งมาที่นี่อาการร้อนใจเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จางจิงสักพักค่อยมาก็ได้ ฮ่องเต้ว่านลี่คิดได้ทันที สองมือกุมกันแน่น

พอจางเฉิงกับจางจิงเข้ามา ก็รีบคุกเข่าถวายคำนับไทเฮาฉือเซิ่งและฮ่องเต้ว่านลี่ สองคนสีหน้าแตกตื่นตกใจอย่างที่สุด ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้น

“ใช่เป็นข่าวจากหวังทงหรือไม่ รีบว่ามาๆ!!”

พวกเขาสองคนไม่ทันสังเกตว่าน้ำเสียงของเขาทั้งสองตอนนี้กำลังสั่น ในห้องนอกห้องเงียบกริบอย่างยิ่ง จางเฉิงโขกศีรษะทูลก่อนว่า

“กระหม่อม ได้ฎีการายงานจากกองกำลังใต้เท้าหวัง จางจิงน่าจะเป็นข่าวจากสำนักบูรพา  จางจิงทูลก่อน กระหม่อมจะได้ดูว่าตรงกันไหม”

ฮ่องเต้ว่านลี่ยามนี้ไหนเลยสนใจอันใดอีก ได้แต่เร่งว่า

“รีบว่ามาๆ !!”

จางจิงโขกศีรษะ เปิดสารในมืออก อ่านเนื้อหา แล้วก็แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ทว่าก็ยังคงอ่านออกมาเสียงดังกังวานว่า

“สนามรบ เรื่องราวซับซ้อน ข้าน้อยไม่กล้ากล่าวว่าได้เห็นเองหรือได้ยินเอง  ได้แต่ยืนยันจากสารรายงานหลายฉบับ ชัยชนะสองรอบ รอบแรกทำลายทัพม้าห้าพันนายราบ  ตัดหัวมาได้เกือบสองพัน รอบสองพวกนอกด่านเหมือนนำทัพออกมาราวแสนนายได้ แต่ก็ถูกทัพเราทำลายราบ ตัดหัวมาได้สองหมื่น หรือสามหมื่น”

อ่านถึงตรงนี้ ด้วยประสบการณ์จางจิงหลายปี ก็อดไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าฮ่องเต้ว่านลี่ จากนั้นก็มองไปทางหลังม่าน แม้ว่าจะไม่เห็นด้านหลังก็ตาม

“หลังชัยชนะใหญ่ วันรุ่งขึ้นก็นำปืนใหญ่ยิงถล่มเมืองกุยฮว่าเฉิง กำแพงถูกยิงพังทลาย ทัพใหญ่บุกเข้าไป ในเมืองพวกนอกด่านหนีกันไม่ทัน ถูกสังหารไปกว่าครึ่ง ข่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิงและมเหสีสามเผ่าอันต๋า ยังมีองค์ชายเฉ่อลี่เข้อ ล้วนสิ้นในวัง ถูกปืนใหญ่ยิงถล่มวัง เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ได้เห็นด้วยตา แต่มองจากไกล ๆ ยามค่ำคืน วังข่านล้วนว่างเปล่า …….ข้าน้อยรายงานมานี้ไม่ได้เห็นด้วยตนเอง แต่มาจากหลายวันที่ได้เห็นได้ยินมา เผ่าอันต๋าเหมือนว่าหมดสิ้นแล้ว…….”

ฮ่องเต้ว่านลี่เบิกพระเนตรกว้าง ไม่อยากจะทรงเชื่อเช่นกัน กังวลพระทัยมาหลายวัน ข่าวขาดการติดต่อไปหลายวัน อยู่ๆ มีข่าวด่วนมา กลับเป็นชัยชนะครั้งใหญ่

ชัยชนะใหญ่เช่นนี้ เหมือนว่าไม่อาจใช้คำว่า ชัยชนะใหญ่ มากล่าวถึง นี่เป็นชัยชนะที่สมบูรณ์แบบและงดงาม ช่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ด้วยสภาพความจริงเกือบสองร้อยปีมานี้ ทหารสามหมื่นออกนอกด่านเคยกลับมาอย่างครบถ้วนจริงหรือ? ไม่ได้เห็นด้วยตา ผู้ใดจะเชื่อ จะว่าไป ขุนพลแผ่นดินหมิงรายงานความชอบเท็จใช่ว่าไม่เคยมีมา

“ข้าน้อยรู้ว่ารายงานไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด แต่ที่ข้าน้อยว่ามาล้วนเป็นความจริง ขอใต้เท้าทุกท่านรอรายงานอย่างเป็นทางการค่อยกราบทูล……”

จางจิงทูลรายงานจบ ก็เห็นฮ่องเต้ว่านลี่สงสัย รีบอธิบายว่า

“สำนักบูรพามีสายอยู่ในเมืองกุยฮว่าเฉิง เพราะใต้เท้าหวังนำทัพไป เส้นทางการข่าวจึงถูกตัดขาด ดังนั้นข่าวจึงมาช้าไปสักหน่อย ฝ่าบาท กระหม่อม……กระหม่อมขอกล่าววาจาไม่ควรกล่าว เรื่องเช่นนี้ ช่างเป็น…….ไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างไรก็ระมัดระวังไว้ก่อนดีกว่า”

ที่จริงแล้ว รายงานแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนี้ ยิ่งทำให้น่าเชื่อ แต่ในยุคสมัยหมิง นอกจากหมิงไท่จู่กับหมิงเฉิงจู่ฮ่องเต้สององค์นี้แล้ว ก็ไม่เคยมีชัยชนะใหญ่อีก ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง

ฮ่องเต้ว่านลี่ เงียบไปครู่หนึ่งก็หันไปมองจางเฉิงทันที จางเฉิงรีบกล่าวว่า

“กระหม่อมเพิ่งได้รับฎีการายงานจากใต้เท้าหวัง ก็รีบมาที่นี่ทันที เวลาน่าจะไม่ต่างจากจางจิงมากนัก แต่ก็เทียบเป็นหลักฐานได้”

ทูลจบก็เปิดฎีกาในมือ อ่านเสียงดัง วาจากราบทูลตามมารยาทเริ่มต้น ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนไม่ได้ยิน ทรงได้ยินแต่คำสำคัญ

“…….ฝ่าบาท  สวรรค์คุ้มครอง กระหม่อมนำทัพบุกเข้าเมืองพวกนอกด่าน…….หัวหน้าโจรพวกนอกด่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิง มเหสีสามและเฉ่อลี่เข้อต่อต้านไม่จำนน ถูกปืนใหญ่ถล่มร่างแหลก…….กระหม่อมนำกำลังตัดหัวมาได้สามหมื่นกว่า เก็บกวาดทรัพย์สินได้มามายมาย…….เผ่าอันต๋าทางซีอวี้ยังมีทหารเหลืออีกราวหลายพันนาย แต่ก็เป็นพวกไม่เท่าไร ไม่พอจะเป็นภัยได้อีก…….เมืองกุยฮว่าเฉิงและแม่น้ำถู่ม่อชวน เป็นของฝ่าบาทแล้ว ใต้หล้านี้จะไม่มีเผ่าอันต๋าอีก ……ทูลรายงานก่อนเพื่อให้ฝ่าบาทวางพระทัย …..ขอฝ่าบาทส่งคนไปตรวจนับ……สถานการณ์จากนี้ จะมีฎีกามาอีกฉบับ…….”

จางเฉิงอ่านจบ เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า

“ตามรายงานสำนักบูรพาที่จางจิงอ่านมา  หวังทงว่ามาไม่ผิดเป็นแน่  หากรายงานเท็จ นับพันหัวก็เรียกว่าบังอาจมาก แล้ว แต่นี่ใช่ว่าสามหมื่นกว่าหรอกหรือ”

เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกว่า ลองคิดดู ก็ไม่แปลกอันใด เมืองเซวียนฝู่ครั้งนั้น ใต้เท้าหวังนำกำลังสามพันตัดหัวมาได้เกือบห้าพัน ที่กู่เป่ยโข่วครานั้นก็ได้มาหลายพัน ตอนนี้นำทัพสามหมื่น  ความดีความชอบเช่นนี้ก็ใช่ว่าไม่อาจจะไม่น่าเชื่อ”

“หวังทงไม่หลอกเราแน่ๆ เขาว่าชัยชนะใหญ่ก็ย่อมเป็นชัยชนะใหญ่ ย่อมเป็นชัยชนะใหญ่!!

ไม่รอให้ขันทีพูดจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็พึมพำประทับยืนขึ้น ก้าวเดินไปมาทันที  สีพระพักตร์ดีใจลิงโลดอย่างยิ่ง จางเฉิงกับจางจิงสบตากัน ก่อนจะคุกเข่าเงียบ

ฮ่องเต้ว่านลี่เดินไปมาตื่นเต้นตรัสว่า

“ตอนข่านองค์ก่อนอันต๋าตายไป เซิงเก๋อตูกู่เหลิงกับมเหสีสามไม่ยอมลงให้กัน พวกเขาก็ขี้ขลาดไม่กล้าไปโจมตี กลับส่งคนไปเกลี้ยกล่อมให้พวกเขารอมชอมกัน เป็นเพราะหวังทงๆ  เขากู้ศักดิ์ศรีให้เราจริงๆ ชัยชนะใหญ่ขั้นนี้ๆ เหมือนดังที่เขาพูดไว้  เป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่ เป็นความสำเร็จที่ต้องได้จารึกในประวัติศาสตร์”

กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หยุดเดิน สีพระพักตร์จากยินดีเปลี่ยนเป็นโกรธแค้น ความโกรธเริ่มปะทุรุนแรง ตรัสว่า

“พวกใต้หล้า พวกใต้หล้า ข่าวมาหมด อยากให้หวังทงพ่ายแพ้ อยากให้แผ่นดินหมิงพ่ายแพ้เสียเปรียบ พวกเขาอยากให้เราเป็นฮ่องเต้ที่พูดอันใดก็ไร้ค่า  ไม่มีขุนนางที่ไว้ใจได้ พวกบัณฑิตข้างนอกวันๆ ก็เอาแต่เอะอะโวยวาย อยากให้เราลงโทษหวังทง อยากให้เราสั่งการผิดพลาด หากไม่ใช่หวังทง……เรายังจำได้ข่าวการลงนามสงบศึกมาถึงในวัง เสด็จพ่อไม่สบายพระทัยไปหลายวัน เรายังจำรับสั่งเสด็จพ่อได้ ตรัสว่าใช้เงินทองใต้หล้าติดสินบนขอร้องพวกนอกด่าน แต่วันนี้  แต่วันนี้  กองทัพเราทำลายอันต๋าสิ้น ทำลายอันต๋าสิ้นแล้ว!!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ราวกับเสียสติ จางเฉิงกับจางจิงสบตากัน ไม่สนใจธรรมเนียมรีบยืนขึ้นไปประคองฮ่องเต้ว่านลี่ จางเฉิงรีบทูลว่า

“ฝ่าบาทดีพระทัยมากไปจะทำลายพระวรกาย ฝ่าบาทสงบพระสติพะยะค่ะๆ!!”

พอจางเฉิงกับจางจิงเข้าจับไว้ เรียกพระสติไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็โงนเงนไปมาก่อนจะนิ่งลง  สะบัดสองคนออก มองไปยังด้านหลังม่านที่เงียบกริบตั้งแต่ได้ยินข่าวนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ ๆ ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น ปกติต่อหน้าผู้คนไม่เคยส่งเสียงดังอย่างฮ่องเต้ว่านลี่ ยามนี้กลับหัวเราะดังลั่นราวกับเสียพระสติ

จางเฉิงกับจางจิงไม่สนใจอันใด กว่าจะทำให้เสียงหัวเราะหยุดลงได้ก็นานพอควร ฮ่องเต้ว่านลี่จัดฉลองพระองค์ ก่อนจะหันไปถวายคำนับด้านหลังม่านตรัสทูลลา

“ไทเฮา หม่อมฉันขอทูลลา!!”

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset