วาสนาบันดาลรัก 315 อำลา

ตอนที่ 315 อำลา

ชูสยาจวิ้นจู่กัดริมฝีปากตนเอ่ยเสียงสะอื้นว่า “ญาติผู้พี่ เจินเมี่ยว ข้ารู้สึกทรมานใจเหลือเกิน!”

 

 

เจินเมี่ยวสบตากับฉงสี่เซี่ยนจู่แล้วขอบตาก็เปียกชื้นขึ้นมา

 

 

ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจยาวของฉงสี่เซี่ยนจู่ “จะไม่ได้กินขนมที่ร้านอู่เว่ยไจอีกแล้ว…”

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “วางใจเถิด คนที่ติดตามขบวนเจ้าไปมีอาจารย์ผู้ทำขนมในร้านอู่เว่ยไจด้วย”

 

 

ร้านอู่เว่ยไจเป็นกิจการของอวิ๋นจั่งกงจู่ การมอบอาจารย์ผู้ทำขนมสักคนให้ชูสยาจวิ้นจู่นั้นเป็นเรื่องง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย

 

 

“คงไม่ได้กินขาหมูตุ๋นของร้านเนื้อตุ๋นสกุลจังแล้ว”

 

 

“ของขวัญที่ข้ามอบให้เป็นสินเดิมเจ้ามีวิธีทำขาหมูตุ๋นอยู่ด้วย เป็นวิธีที่ข้าเขียนออกมาหลังจากที่ได้ลองกินขาหมูตุ๋นร้านเนื้อตุ๋นสกุลจังอยู่หลายครา แม้รสชาติจะไม่เหมือนกันเสียดีเดียว แต่ข้ากินดูแล้วก็ไม่เลยเลย ท่านก็ลองกินดูเถิด” เจินเมี่ยวกล่าว

 

 

“ยังมีซาลาเปาใส้น้ำแกงของสะใภ้ใหญ่สกุลเฉินอีก…”

 

 

เจินเมี่ยวและฉงสี่เซี่ยนจู่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจึงได้กลอกตาไปมาขึ้นพร้อมกัน

 

 

เหลือเกินจริงๆ จะให้คนเศร้าโศกเสียใจดีๆ ไม่ได้เลยหรือไร!

 

 

แม้นการที่คนทั้งสามจะตั้งใจเขยิบออกไปกล่าวอำลากันอยู่ห่างไกลจากผู้คนอยู่สักเล็กน้อย แต่วันนี้ชูสยาจวิ้นจู่นั้นเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุด ย่อมต้องมีคนคอยสังเกตนางอยู่ตลอดเวลาเป็นธรรมดา

 

 

วาจาเหล่านี้จึงลอยไปเข้าหูองค์หญิงองค์ชายทั้งหลายที่อยู่ไม่ไกลนัก ทุกคนต่างหน้าดำคล้ำเครียดไปตามกัน

 

 

องค์หญิงรองเอ่ยออกมาด้วยความกังวลว่า “ชูสยาเป็นเช่นนี้ทั้งยังแต่ไปยังดินแดนหมานเหว่ย คนที่นั่นจะคิดว่าองค์หญิงแห่งต้าโจวเป็นเช่นนี้กันหมดหรือไม่”

 

 

องค์หญิงสี่เอ่ยด้วยน้ำตาคลอว่า “หากข้าเกิดช้ากว่านี้สักสองสามปีคงจะออกปากขอแต่งงานแทนนางไปแล้ว!”

 

 

องค์หญิงทั้งสองต่างสบตาอย่างเข้าใจกัน ทั้งยังคิดอยู่ในใจอย่างมิได้นัดหมายว่า ชูสยาจอมตะกละ ช่วยละเว้นชื่อเสียงขององค์หญิงต้าโจวด้วยเถิด!

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ไม่มีเวลามาพิจารณาคำบ่นว่าขององค์หญิงทั้งหลายนั้นดอก นางจึงจูงมือฉงสี่เซี่ยนจู่ให้ไกลออกไปอีกสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุยอันใดกันอยู่ สุดท้ายจึงกวักมือเรียกเจินเมี่ยว “เจินเมี่ยว มานี่เร็ว”

 

 

เจินเมี่ยวเดินเข้าไปชูสยาจวิ้นจู่มิได้เอ่ยอันใดแต่กลับเดินมุ่งไปยังริมแม่น้ำแทน

 

 

องค์ชายสามเห็นแล้วก็เข้าไปขวางไว้ “ชูสยา ริมแม่น้ำมันชื้นและลื่น เจ้าอย่าไปดีกว่า”

 

 

ชูสยาสวมชุดองค์หญิงเต็มยศ กระโปรงนั้นยาวคร่อมพื้น บริเวณริมน้ำที่มีหญ้าชุ่มน้ำนั้นง่ายที่จะทำให้กระโปรงของนางเปียกได้

 

 

ประมาณได้ที่ไหนเล่า หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นในทำนองที่ว่าองค์หญิงผู้สง่างามลื่นตกลงไปในแม่น้ำท่ามกลางสายตาคนทั้งหลายขึ้นมา แล้วเขาจะไปตอบเสด็จพ่อว่าอย่างไรเล่า!

 

 

“มิเป็นไรดอก ข้ามีเรื่องส่วนตัวที่จะพูดกับเจียหมิงหากมิเดินไปให้ใกล้หน่อยแล้วถูกผู้อื่นได้ยินเข้าจะทำฉันใด ไม่แน่ว่าอาจจะหัวเราะเยาะข้าก็เป็นได้”

 

 

องค์ชายสามคิดถึงวาจาที่ชูสยาจวิ้นจู่พูดก่อนหน้านี้แล้วก็ยกมุมปากขึ้น

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่จูงมือเจินเมี่ยวเดินผ่านองค์ชายสามไป

 

 

องค์ชายสามกลับเอ่ยถามขึ้นราวภูตบอกเทพสั่งว่า “วันนี้ขุนนางหลัวมิมาด้วยหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวจึงหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปส่งยิ้มให้องค์ชายสามตามมารยาท “ซื่อจื่อยังอยู่ในช่วงสำนึกผิด จึงมาไม่ได้เพคะ”

 

 

กล่าวจบก็เดินผ่านเขาไป องค์ชายสามมองเงาด้านหลังอันอรชรนั้นแล้วก็ต้องขมวดคิ้วขึ้น

 

 

ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องเป็นคนของเขา ครั้นนึกได้ว่านางยังต้องไปอยู่กับบุรุษอื่นอีกก็รู้สึกทนไม่ได้อยู่เล็กน้อย

 

 

หากมิใช่เพื่อจิ่งเกอ เขามีหรือจะอยากได้สตรีที่เคยผ่านบุรุษอื่นมาแล้ว!

 

 

องค์ชายสามเจตนามองข้ามความรู้สุขใจเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจตน แล้วคิดอย่างไม่ยินยอมนัก

 

 

ชูสยาจูงมือเจินเมี่ยวเดินไปไกลนับสิบจั้งจึงหยุดยืนอยู่ข้างโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

 

 

“เจินเมี่ยว เจ้ากับองค์ชายสามสนิทสนมกันเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด”

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย “มิได้สนิทเสียหน่อย”

 

 

“ได้ยินเขาถามเช่นนั้นทำให้ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าสนิทสนมกันยิ่ง”

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มออกมา “อาจเพราะจิ่งเกอเคยไปอยู่ที่จวนข้าอยู่ระยะหนึ่งกระมัง”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเอ่ยเสียงต่ำแผ่วว่า “เจินเมี่ยว ข้ารู้สึกว่าพี่สามเป็นผู้มีความคิดซับซ้อน ข้าเติบใหญ่มาจนป่านนี้แล้วยังมิเคยดูเขาออกเลย เจ้ายิ่งมิใช่คนหลักแหลม อย่างไรก็อยู่ห่างเขาไว้จะดีกว่า”

 

 

“อันใดที่เรียกว่าข้าไม่หลักแหลม?” เจินเมี่ยวกัดฟันตน “ชูสยา ขอบใจท่านมากที่เป็นห่วงข้า!”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ยิ่นมืออกมาบีบที่แก้มเจินเมี่ยวสุดแรง “ข้าจะไปแล้วแท้ๆ เจ้ายังกล้าโกรธข้าอีกหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวเงียบไปครู่หนึ่ง

 

 

เมื่อถึงคราต้องจากกันจริงๆ นางถึงได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์สหายสนิทผู้นี้ขึ้นมา

 

 

แต่งออกไปไกลเพียงนี้ก็อาจจะมิได้พบกันอีกไปชั่วชีวิตก็เป็นได้

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ถอนหายใจออกมา “เจินเมี่ยว เหตุใดเจ้าจึงมิเป็นบุรุษเล่า เจ้ามีบุญคุณช่วยข้าไว้ถึงสองครา หากข้าบอกว่าอยากใช้ชีวิตตอบแทนเจ้า ตามเหตุผลและมโนธรรมแล้วพระบิดาย่อมต้องไม่คัดค้านอย่างแน่นอน เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องแต่งงานไปไกลแล้ว”

 

 

นางมิได้ใส่ใจท่าทีแปลกประหลาดของเจินเมี่ยวแต่ลอบชำเลืองมองไปยังด้านหลังนาง

 

 

วันนี้นอกจากเชื้อพระวงศ์ที่มาส่งตัวเจ้าสาวแล้วยังมีขุนนางใหญ่อีกจำนวนหนึ่ง

 

 

คนผู้นั้นก็มาด้วย เขารูปร่างสูงโปร่งและสมส่วน หน้าตางดงามอ่อนโยนนั้นกลบอายุไปมิด เมื่อไปยืนอยู่ท่ามกลางขุนนางชราทั้งหลายก็โดดเด่นสะดุดตายิ่ง

 

 

คล้ายมีผึ้งเล็กๆ ตัวหนึ่งต่อยหัวใจของนางเบาๆ ครั้งหนึ่ง

 

 

ชูสยาจวิ้นจูพลันน้ำตาเอ่อนองหน้าขึ้นมาทันใด

 

 

เจินเมี่ยวค่อยๆ หันหลังไปมอง นางถึงกับอึ้งงันไป และเริ่มเข้าใจอันใดบางอย่างขึ้นมาจึงตบบ่าปลอบใจสหายตน

 

 

มีนางกำนัลผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเอ่ยขึ้นว่า “องค์หญิง ใกล้ถึงเวลาออกเดินทางแล้วเพคะ”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่จึงกลับมาทีท่าทีสูงสง่าเช่นเดิม นางเพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “อืม”

 

 

คนทั้งสองจึงเกินกลับไปอย่างช้าๆ

 

 

กระโปรงสีแดงขลิบทองของชูสยาจวิ้นจู่ลากยาวไปกับหญ้าบนพื้นจึงมีรอยเปื้อนเล็กน้อย แต่นางกลับไม่สนใจ ยังคงคุกเข่าคำนับหย่งอ๋องและชายาสามครั้ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงกังวานว่า “พระบิดา พระมารดา พวกท่านวางใจเถิด ลูกจะมีชีวิตอย่างมีความสุขอย่างแน่นอน พวกท่านรักษาตนด้วย”

 

 

หย่งอ๋องกำแขนเสื้อของชายาตนไว้ ร้องไห้สะอึกสะอื้นไปตั้งนานแล้ว เดิมหย่งหวังเฟยก็คิดจะร้องไห้เช่นกันแต่เมื่อหย่งอ๋องทำถึงเพียงนี้แล้วนางจึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้แล้วเอ่ยกำชับบุตรสาวด้วยน้ำตาคลอว่า “ชูสยา เมื่อไปถึงหมานเหว่ยก็อย่าได้เอาแต่ใจตนไปเสียทุกอย่างเล่า ยามอยู่ด้วยกันกับองค์ชายใหญ่ก็ให้จำคำสอนของแม่ไว้ แน่นอนว่าหากมีผู้ไร้ตามายั่วโทสะเจ้าก็อย่าได้กล้ำกลืนสงบปาก เจ้าเป็นองค์หญิงแห่งต้าโจว ผู้ใดก็มิอาจมาดูแคลนเจ้าได้โดยง่ายเช่นกัน!”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่เงยหน้าขึ้น “พระมารดาวางใจได้ บุตรสาวของท่านจะรังแกใครก็ได้ ไหนเลยจะยอมให้ผู้อื่นมารังแกตนได้เล่าเจ้าคะ!”

 

 

วาจานี้ของนางแม้นจะมีความดุร้ายอยู่หลายส่วน แต่หย่งหวังเฟยฟังแล้วกลับรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย

 

 

เคราะห์ดีที่บุตรสาวของนางมิใช่คนอ่อนแอ มิเช่นนั้นนางคงเป็นห่วงจนใจแหลกสลายเป็นแน่

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ขึ้นรถม้าไปแล้วก็หันกลับมามองใบหน้าอันคุ้นเคยเหล่านั้น ความรู้สึกนับร้อยชนิดประเดประดังเข้ามาในหัวใจ

 

 

สุดท้ายนางก็มิได้หันไปมองตรงนั้นให้มากขึ้นอีกสักหน่อย ทำเพียงก้มตัวเดินเข้าไปด้านใน นางแหวกผ้าม่านออกแล้วโบกมือไปมา “อย่าลืมเขียนจดหมายหาข้าด้วยล่ะ!”

 

 

เจินเมี่ยวกับฉงสี่เซี่ยนจู่รู้ดีว่าวาจานี้นางกล่าวกลับพวกตนจึงได้ยกมือขึ้นโบกตอบพร้อมกัน

 

 

หลัวจือหยาเองก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าอีกคันด้วยใบหน้ามึนตึง

 

 

นางเองก็ต้องแต่งไปแดนไกลอย่างหมานเหว่ยเช่นกัน นางต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปตลอดชีวิตและอาจจะไม่ได้พบหน้ากับบิดามารดาอีก แต่เพราะมีองค์หญิงอยู่นางจึงไม่ต่างอันใดกับคนไร้ตัวตน ไม่มีผู้ใดคิดถึงความเสียใจและความเสียสละของนางเลย แม้แต่บิดาแท้ๆ ของนางที่เคยรักใคร่เอ็นดูนางดั่งไข่มุกในมือ แต่ยามนี้กลับได้แต่ทำหน้าขรึม แม้แต่ขอบตาแดงเรื่อสักนิดก็ไม่มี ไหนเลยจะเปรียบกับหย่งอ๋องได้!

 

 

ใช่…การทำเช่นหย่งอ๋องนั้นออกจะดูน่าอายอยู่บ้าง แต่นางก็หวังอย่างยิ่งว่าบิดาที่ยอมขายนางเพื่อบุตรสาวจะเป็นบิดาของนาง!

 

 

มิได้เป็นเหมือนบิดาของนางในตอนนี้ที่เมื่อวานยังไปนอนอยู่เรือนของเยียนเหนียงอยู่อีก!

 

 

หัวใจดวงนี้ของหลัวจื้อหยาคล้ายตกลงไปธารน้ำแข็ง ไม่มีความอุ่นร้อนใดๆ สักนิด นางหันกลับไปมองเจินเมี่ยวที่ยืนอยู่ด้านหน้าท่ามกลางผู้คนทั้งหลาย นางกำลังโบกมือให้ชูสยาจวิ้นจู่อยู่ ความเคียดแค้นพาดผ่านเข้ามาในดวงตาหลัวจื้อหยาวูบหนึ่ง

 

 

อย่างน้อยนางก็เป็นพี่สะใภ้ตน แต่นอกจากจะให้ของขวัญเป็นสินเดิมแล้วก็มิได้พูดอันใดกับนางสักคำแต่กลับพยายามเข้าไปอยู่ใกล้กับองค์หญิง กล่าวกันตามจริงก็เป็นแค่คนที่เชิดชูผู้อยู่สูงเหยียบย่ำผู้อยู่ต่ำคนหนึ่งเท่านั้น พี่ใหญ่ตาบอดไปแล้วหรือไรจึงไปชอบสตรีเช่นนี้ได้!

 

 

หลัวจื้อหยาสะบัดมือปิดม่านลงอย่างแค้นเคืองแล้วเข้าไปนั่งในรถม้า และมิได้แหวกม่านออกมาดูอีกเลย นางเพียงปิดตาลงปล่อยให้รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกไป

 

 

นางเถียนที่จ้องมองผ้าม่านนั้นจนแทบจะทะลุเข้าไปอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่ผ้าม่านนั้นก็เพียงสั่นปลิวตามการเคลื่อนตัวของรถม้าเท่านั้นแต่มิได้ถูกแหวกออกมาอีกเลย

 

 

นางเสียใจอย่างที่สุด ร่างจึงเซถลาเกือบล้มทับนายท่านรองสกุลหลัว

 

 

นายท่านรองเข้าไปประคองนางตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อเห็นสายตาของคนทั้งหลายที่มองมาก็รู้สึกเสียหน้ายิ่งจึงกัดฟันเอ่ยเสียงต่ำว่า “สตรีโง่งม เจ้าทำท่าทางดั่งคนใกล้จะตายไปด้วยเหตุใด? หากถูกพวกเจ้าเล่ห์แผนการทั้งหลายเอาไปลือว่าเจ้าไม่พอใจต่อพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าจะหย่ากับเจ้า ให้เจ้าไปอยู่กับตระกูลอัปยศนั้นของเจ้าไปจนตาย!”

 

 

วาจานี้ไม่เหลือเยื่อใยของความเป็นสามีภรรยาไว้แม้แต่น้อย กลิ่นคาวโลหิตอบอวลอยู่ในลำคอนางเถียนแต่นางก็อดกลั้นไว้มิถ่มมันออกมา ทว่าหัวใจของนางกลับค่อยๆ เย็นเยียบลง

 

 

ในอดีตคนทั้งสองเคยยิ้มให้กันและวาดฝันอนาคตอันสวยงามด้วยใจอันเบิกบานด้วยกัน แต่ใจบุรุษนั้นบางเสียยิ่งกว่ากระดาษ เมื่อมันขาดพังแล้วแม้การปฏิบัติกับอาเมา อาโก่วก็ยังดีกว่าปฏิบัติกับนางด้วยซ้ำ

 

 

ยามนี้เขาเป็นขุนนางตำแหน่งเล็กๆ ที่เทียบอันใดมิได้กับเม็ดงาเม็ดถั่วด้วยซ้ำ หากเขาสามารถแย่งชิงตำแหน่งมาจากคนผู้นั้นได้จริงก็อาจจะวางแผนให้นางป่วยตายไปในทันทีก็เป็นได้

 

 

ครานี้นางเถียนรู้สึกเสียใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว นางพยายามพยุงร่างอันโงนเงนของตนขึ้นรถม้าไป

 

 

นางมิอาจยอมแพ้ตอนนี้ ไม่ว่าเจ้ารอง เจ้าสามหรือตระกูลมารดานางก็ยังคงต้องการนางอยู่

 

 

เจินเมี่ยวไปบอกลาหย่งอ๋องและพระชายา “พระบิดา พระมารดา ข้าไปเก็บดอกท้อต้นเดือนสามมาหมักสุราดอกท้อ ยามนี้สามารถเอาออกมาดื่มได้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะเอาไปให้พวกท่านที่จวนอ๋องสองสามไหดีหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

นอกจากบุรุษผู้ที่นางแอบชอบแล้ว ผู้ที่ชูสยาจวิ้นจู่มิอาจตัดใจปล่อยวางได้ก็คงเป็นคนทั้งสองนี้แล้ว ในเมื่อนางเป็นสหายกับชูสยา ทั้งยังยอมรับตนเป็นบุตรบุญธรรมอีก เช่นนั้นการกตัญญูต่อทั้งสองท่านแทนชูสยาก็เป็นสิ่งที่นางควรกระทำอย่างยิ่ง

 

 

หย่งอ๋องยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปกว่าเดิม เขาร้องไห้ไปพลางก็ยกแขนเสื้อหย๋งหวังเฟยขึ้นมาเช็ดไปพลาง “ชูสยาก็ชอบเอาผลไม้และดอกไม้ไปหมักสุราที่สุด แม้รสชาติจะค่อนข้างแปลกประหลาด แต่ข้าก็ดื่มจนหมดทุกครั้ง เจียหมิงฝีมือการหมักของเจ้าน่าจะดีกว่าชูสยากระมัง?”

 

 

หย่งหวังเฟยลอบหยิกเขาไปคราหนึ่ง แล้วเผยยิ้มแหยๆ ให้เจินเมี่ยวพลางเอ่ยว่า “พรุ่งนี้เช้ารีบมาเร็วสักหน่อยเถิด”

 

 

เดิมทีที่นางยอมรับบุตรสาวผู้นี้เพราะเป็นพระประสงค์ของท่านผู้นั้นที่อยู่ในวัง หย่งหวังเฟยจึงยอมให้เกียรติเท่านั้น แต่ยามนี้นางกลับรู้สึกเอ็นดูรักใคร่เจินเมี่ยวขึ้นมาจริงๆ อยู่หลายส่วน

 

 

เจินเมี่ยวรู้ดีว่าวันนี้นั้นเป็นวันสำหรับชูสยาที่ต้องจากบ้านเกิดไปไกล อย่างไรก็ควรให้พวกเขาได้ทำใจและสงบสติอารมณ์สักวันจึงจะดี นางจึงพูดคุยสั้นๆ ไม่กี่ประโยคก็แยกตัวออกมา

 

 

“เจินเมี่ยว เจ้าขึ้นรถม้ากับข้าเถิด” ฉงสี่เซี่ยนจู่เดินเข้ามาหา

 

 

เจินเมี่ยวนึกถึงคำของหลัวเทียนเฉิงขึ้นมาจึงส่ายหน้า “ไม่ดีกว่า ข้าต้องรีบกลับก่อนแล้ว”

 

 

ก่อนออกจากเรือนมาหลัวเทียนเฉิงบอกนางว่าหากส่งชูสยาจวิ้นจู่เสร็จแล้วก็ให้รีบกลับจวน ไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดก็อย่าได้ชักช้า เมื่อนางรับปากแล้วก็ต้องรักษาสัญญา

 

 

ครั้นเห็นสีหน้าที่แม้ดูสงบนิ่งแต่ในแววตากลับมีความผิดหวังซ่อนอยู่ของฉงสี่เซี่ยนจู่ เจินเมี่ยววก็เข้าใจความรู้สึกของนางทันที

 

 

ชูสยากำลังเดินทางไปยังที่แสนไกล ความจริงนางเองก็มีวาจามากมายอยากจะเอ่ยกับฉงสี่เซี่ยนจู่

 

 

นางพลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยเชื้อเชิญว่า “ฉงสี่ เช่นนั้นกลับจวนกั๋วกงพร้อมกันกับข้าดีหรือไม่”

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

ความจริงก่อนออกจากวังมานั้นพระมารดาบอกนางว่าอยากจะพบกับเจินเมี่ยวสักหน่อย

 

 

“ข้าจะทำซาลาเปาไส้น้ำแกงแตงกวาให้กินเอง”

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่พยักหน้ารับทันใด “ตกลง”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset