วาสนาบันดาลรัก 316 ก่อกบฏ

ตอนที่ 316 ก่อกบฏ

คนทั้งสองขึ้นรถม้าไปที่จวนกั๋วกงพร้อมกัน

 

 

พรมที่อยู่ในรถม้าเปลี่ยนจากพรมขนยาวสีขาวหิมะเป็นพรมขนสั้นสีเขียว ดูแลสบายตายิ่ง คล้ายนำเอาวสันตฤดูเข้ามาไว้ในรถม้าก็มิปาน

 

 

ด้านในมีเก้าอี้ยาวตัวเตี้ย และมีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ติดยึดไว้ด้านบน เจินเมี่ยวล้วงเอาผลไม้นานาชนิดที่อยู่ในช่องด้านข้างรถม้าออกมาวางไว้บนโต๊ะเล็กนั้นเพื่อเป็นการต้อนรับฉงสี่เซี่ยนจู่

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่หยิบลูกท้อขึ้นมากิน เมื่อเคี้ยวและกลืนหมดแล้วจึงเอ่ยถามว่า “มีหมากรุกหรือไม่”

 

 

เจินเมี่ยวพลันเกิดความรู้สึกอยากจะถีบฉงสี่เซี่ยนจู่ตกรถม้าไปทันทีเลย

 

 

นางปวดหัวที่สุดและไม่ชำนาญที่สุดก็คือการเดินหมากนี่แล ผู้ใดเอ่ยผู้นั้นต้องมีเรื่องกับนางแน่!

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่ใช้สายตาชนิดที่ว่า ‘เจ้าช่างธรรมดาสามัญและไร้รสนิยมสิ้นดี’ หันมองเจินเมี่ยว ทั้งเอ่ยอีกว่า “หากรู้เช่นนี้ให้เจ้าขึ้นรถม้าข้าจะดีกว่า”

 

 

ขอบคุณฟ้าดินจริงๆ!

 

 

เจินเมี่ยวเหงื่อไหลท่วมตัวแล้ว

 

 

นางคิดครู่หนึ่งจึงเปิดลิ้นชักใต้เก้าอี้ตัวยาวนั้นแล้วหยิบไพ่ชุดหนึ่งออกมา เอ่ยอย่างเอาใจว่า “หากท่านรู้สึกเบื่อ เราก็มาเล่นไพ่กันเถิด”

 

 

มุมปากฉงสี่เซี่ยนจู่ถึงกับแข็งค้างไปโดยพลัน นางเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ปล่อยให้ข้าเบื่อหน่ายเช่นนี้ต่อไปเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวยัดไพ่ชุดนั้นกลับเข้าไปอย่างเสียดาย

 

 

รถม้าพลันส่ายโงนเงนขึ้นมา ผลไม้และของอื่นๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะก็กลิ้งตกลงพื้น เสียงม้าร้องลากยาวบวกกลับเสียงเอะอะที่ดังอยู่ไกลๆ ทั้งยังมีได้ยินเสียงกรีดร้องของคนดังขึ้นพร้อมกันด้วย

 

 

“เกิดอันใดขึ้น” เจินเมี่ยวเดินไปแหวกม่านออกอย่างรวดเร็ว

 

 

คนมากมายเพียงนี้กลับเข้ามาในเมือง รถม้าของเหล่าเชื้อพระวงศ์ล้วนวิ่งอยู่ด้านหน้า เจินเมี่ยวนั่งอยู่ในรถม้าของจวนกั๋วกง ตามหลังแล้วควรอยู่ตรงกลางค่อนไปด้านหน้า แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงรั้งท้ายมาอยู่ด้านหลังเสียแล้ว

 

 

นางแหวกม่านออกไปดูก็เห็นควันลอยคลุ้งขึ้นตกหน้า ไม่ทราบว่ามีประทัดจากที่ใดมากมายเพียงนี้ถูกจุดขึ้น จนทำให้ม้าตกใจกระโดดหนีให้วุ่น บางคนถึงกลับตกจากรถม้าก็มี

 

 

นางเพียงพอครู่หนึ่ง คนควบรถม้าก็บอกว่า “ต้าไหน่ไหน่ นั่งดีๆ นะขอรับ!”

 

 

เจินเมี่ยวเพิ่งจะจับผนังรถม้าไว้เท่านั้นรถม้าก็เบนทิศตามรถม้าหน้าตาธรรมดาหลายคันที่มุ่งไปยังช่องว่างที่มีอยู่อย่างคล่องแคล่ว

 

 

รถม้าบางคันที่เห็นรถม้าสองคันนี่วิ่งไป คนควบม้าที่หลักแหลมก็ย่อมต้องรีบควบตามไปเป็นแน่

 

 

แรกเริ่มนั้นมีเพียงรถม้าสองคันที่ทำเช่นนี้ แต่หลังด้านหน้านั้นกลับวุ่นวายขึ้นไปทุกขณะ รถม้าด้านหลังที่มุงมาด้านนี้กลับปิดตายช่องว่างนั้นไปเสียแล้ว มีรถม้าคันหนึ่งที่พุ่งทางนั้นก็ต้องพลิกล้มคว่ำลงข้างทาง

 

 

เสียงฝีเท้าม้าดังอึกทึก ผู้คนจึงร้องขึ้นด้วยความตกใจทำให้กลบเสียงรบรากันที่อยู่ด้านหน้าไปเสียมิด

 

 

องค์ชายหกนั่งอยู่บนหลังม้า ข้างกายมีองครักษ์คอยคุ้มกันอยู่โดยรอบ เขาจ้องมองมือสังหารที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมานิ่ง ไม่เพียงไม่มีความกลัวแต่กลับระบายยิ้มออกมาด้วย

 

 

ในที่สุดรัชทายาทก็อดทนที่จะลงมือไม่ไหวแล้ว แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เขากับหลัวซื่อจื่อคำนวณไว้แล้วเช่นกัน

 

 

เดิมรัชทายาทนั้นเป็นผู้มีความสามารถที่ธรรมดายิ่ง เพราะเจาเฟิงตี้กับจักรพรรดิพระองค์ก่อนต่างก็มิใช่โอรสของหวงโฮ่ว เมื่อมาถึงยุคของเขา เจาเฟิงตี้ก็อยากจะทำลายคำสาปนี้เสียจึงค่อยข้างให้ความเอ็นดูกับรัชทายาทดูจากการที่ทรงเลือกซูหันรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมขุนนางให้มาเป็นพ่อตาของรัชทายาทก็ทราบได้ทันที

 

 

แต่น่าเสียดายที่อาโต้วมิอาจผ่านด่านนี้ไปได้ ไม่มีความสามารถยังพอทำเนา แต่ความกตัญญูพื้นฐานยังไม่มี เจาเฟิงตี้เองก็มิใช่ไม่มีบุตรชายคนอื่นอีก บอกกับอายุมากแล้วก็คิดมากขึ้น การที่รัชทายาทล่อพยัคฆ์ให้เข้าหาเจาเฟิงตี้นั้นจึงได้ตัดขาดความสัมพันธ์ที่เดิมก็เปราะบางอยู่แล้วของโอรสสวรรค์ให้ขาดสะบั้นลง

 

 

หากการอภิเษกของชูสยาจวิ้นจู่ในครั้งนี้ เจาเฟิงตี้ยอมให้รัชทายาทเป็นผู้ไปส่ง บางทีรัชทายาทอาจจะยอมอดกลั้นต่ออีกหน่อย แต่กลับมอบเกียรติพิเศษนี้ให้กับองค์ชายสาม รัชทายาทกับพ่อตาของเขาย่อมมิอาจนั่งติดที่ได้อีกต่อไป

 

 

คิดว่ายามนี้ในวังเองก็คงคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดแล้วกระมัง

 

 

องค์ชายหกมองไปยังทิศที่วังหลวงตั้งอยู่

 

 

ภายในตำหนักหย่างซิน ครั้นเห็นรัชทายาทและกองพลพยัคฆ์อีกจำนวนหนึ่งที่ตามติดอยู่ด้านหลังเขาบุกเข้ามาด้านใน เจาเฟิงตี้ก็หรี่ตาลงแล้วมองไปที่ฉ่งลี่ไฮ่ที่เป็นหัวหน้ากองพลพยัคฆ์

 

 

ฉ่งลี่ไฮ่คล้ายไม่กล้ามองหน้าเจาเฟิงตี้ เขาหลบตาอย่างคนรู้สึกอึดอัด

 

 

เจาเฟิงที่ถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง

 

 

รัชทายาทพำนักอยู่ตงกง ทหารที่อยู่นอกเมืองนั้นเขาย่อมมีสิทธิ์สั่งการ แต่หากคิดจะนำทหารเข้ามาในวังหลวงคงเป็นไปไม่ได้แน่ หากในวังมีการเปลี่ยนแปลงใดขึ้นมาก็ยังมีกองพลพยัคฆ์และกองพลมังกรคอยรับมืออยู่

 

 

แต่หนึ่งในนั้นที่จะถูกควบคุมได้ง่ายก็คือกองพลพยัคฆ์

 

 

เหมือนดั่งที่หลัวเทียนเฉิงเคยวิเคราะห์ให้เขาฟังว่า กองพลพยัคฆ์ถูกคัดเลือกมาจากหน่วยปราบปรามทั่วอาณาจักร ส่วนมากมักมีฐานยากจน องครักษ์เช่นนี้มักจะจงรักภักดีกับผู้บัญชาการโดยตรงมากกว่า

 

 

อีกอย่างกองพลพยัคฆ์นั้นต้องลำบากมากกว่ากองพลมังกร ทั้งถูกกองพลมังกรกดข่มมานาน การเกิดใจคัดค้านนั้นย่อมเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง

 

 

แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญนัก

 

 

ซูหันรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งกรมขุนนางนั้นมีบุญคุยกับฉ่งลี่ไฮ่หัวหน้ากองพลพยัคฆ์

 

 

ข่าวนี้เพิ่งจะถูกรายงานไม่นานจากองครักษ์ลับของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน

 

 

เดิมเจาเฟิงตี้ไม่เชื่อมาตลอดว่ารัชทายาทจะเหิมเกริมเพียงนี้ แต่เวลานี้หากเขาจะไม่เชื่อก็คงไม่ได้แล้ว

 

 

บุตรชายไร้ความสามารถของเขาช่างกล้าหาญดีแท้!

 

 

“ไท่จื่อ เจ้าคิดจะสังหารบิดาเพื่อชิงบัลลังก์งั้นหรือ” เจาเฟิงตี้เอ่ยถาม น้ำเสียงฟังไม่ออกว่ายินดีหรือโกรธกริ้ว

 

 

รัชทายาทเกิดความกลัวขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก แต่เขาก็บีบเค้นเอาความเ**้ยมเกรียมของตนออกมาทันที เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขามิอาจถอยหลังได้อีก หากถอยก็คงเหลือถูกสับเป็นหมื่นชิ้น ร่างกายแหลกสลายเป็นแน่!

 

 

แต่หากสำเร็จ…

 

 

เมื่อมองเจาเฟิงตี้ที่อยู่ไกลนักนั้น แล้วดวงตาก็เกิดประกายไฟขึ้นมา

 

 

“ลูกไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ แต่เสด็จพ่อพลานามัยไม่แข็งแรงก็ควรพักผ่อนได้แล้ว”

 

 

ชื่อเสียงจากการสังหารบิดานั้นเขาไม่กล้ารับเด็ดขา และมิอาจแบกรับได้! เดิมเขาก็เป็นโอรสของหวงโฮ่วพระองค์ก่อน เป็นรัชทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างถูกต้องอยู่แล้ว

 

 

แค่ต้องการบีบให้บิดาลงจากตำแหน่ง เขาส่งองครักษ์ลับและหน่วยกล้าตายที่รองเสนาบดีเลี้ยงไว้ในจวนออกไปสกัดเหล่าพี่น้องทั้งหลายไว้ เช่นนั้น เขายังมีอันใดต้องกังวลอีกเล่า!

 

 

เมื่อนึกถึงหน่วยกล้าตายของรองเสนาบดี ใจของรัชทายาทก็เกิดเป็นปมขึ้นมาทันที

 

 

เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ารองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งกรมขุนนางจะเลี้ยงหน่วยกล้าตายไว้มากเพียงนั้น ผู้เฒ่านั้นช่างเก็บงำได้อย่างแนบเนียนนัก ดูท่าหากเขาขึ้นครองราชย์แล้วคงต้องมานั่งคิดบัญชีบางอย่างอยู่เช่นกัน

 

 

หากซูหันรู้ว่าบุตรเขยของตนมีความคิดเช่นนี้เกรงว่าคงต้องโกรธเกรี้ยวจนร้องไห้ออกมาแน่ เขามีบุตรสาวเพียงคนเดียว แม้แต่บุตรชายสักคนก็ไม่มี แล้วจะเลี้ยงหน่วยกล้าตายไว้ด้วยเหตุใดเล่า

 

 

ก็เพราะเขาไม่เชื่อในสติปัญญาของรัชทายาทจึงได้เลี้ยงหน่วยกล้าใต้ไว้เพื่อเป็นไพ่ใบสุดท้าย เผื่อว่าสักวันหนึ่งจะได้ใช้งาน

 

 

แต่ยามนี้ซูหันก็กำลังอยู่ในขบวนส่งเสด็จชูสยาจวิ้นจู่เช่นกันจึงไม่มีทางที่จะชี้แนะแนวคิดให้กับรัชทายาทได้

 

 

“ดี ดีเหลือเกินจริงๆ” เจาเฟิงตี้เอ่ยเน้นย้ำออกมาทีละคำ บรรยากาศเริ่มมาคุขึ้นทุกขณะแล้ว

 

 

หน่วยองครักษ์จิ่นหลินที่ทำหน้าที่คุ้มครองเจาเฟิงตี้โดยเฉพาะนั้นก็จับกระบี่ขึ้นมาพร้อมจะต่อสู้กับกองพลพยัคฆ์

 

 

ฉ่งลี่ไฮ่หัวหน้ากองพลพยัคฆ์มองหน่วยองครักษ์จิ่นหลินอย่างไม่แยแส

 

 

วันนี้ชูสยาจวิ้นจู่อภิเษก กองพลมังกรที่เป็นดั่งหน้าตาของพระบรมวงศานุวงศ์จึงไปส่งเสด็จ อีกทั้งยังต้องไปจนไปถึงดินแดนหมานเหว่ยอีกด้วย

 

 

ที่เหลือก็เป็นเพียงพวกผลัดเปลี่ยนเฝ้าเวรยาม ทหารที่อยู่วังจึงไม่มาก กองพลพยัคฆ์จึงควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างไว้หมดแล้ว ส่วนหน่วยองครักษ์จิ่นหลินแม้นมีไม่น้อย แต่ที่อยู่อารักขาความปลอดภัยของเจาเฟิงตี้ก็มีเพียงแค่หยิบมือ ต่อให้เก่งกาจสักหน่อยก็ไม่มีทางสู้กองพลพยัคฆ์ที่มีจำนวนมากกว่าได้แน่

 

 

เขามีชาติกำเนิดต้อยต่ำหากมิใช่เพราะใต้เท้าซูให้เงินไปรักษาตัวเขาก็คงป่วยตายไปนานแล้ว ภายหลังที่เข้ามาในกองพลพยัคฆ์ได้ก็เพราะใต้เท้าซูคอยช่วยเหลือ เขาจึงเดินมาถึงตำแหน่งที่มีในวันนี้ได้

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ความลังเลใจในหน้าของฉ่งลี่ไฮ่ก็พลันอันตรธานหายไป แต่แทนที่ด้วยความมุ่งมั่นและบ้าคลั่งแทน

 

 

“ไท่จื่อ หากเจ้ากลับไปตอนนี้ เราจะถือว่าเจ้าไม่เคยมา”

 

 

เจาเฟิงตี้มองบุตรชายคนโตที่รูปร่างสูงโปร่งกว่าเขาเสียอีกด้วยอารมณ์ซับซ้อนวุ่นวายอย่างยิ่ง

 

 

ใจของรัชทายาทพลันสับสนขึ้นมา แต่เพื่อปกปิดความว้าวุ่นที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้เขาจึงแค่นยิ้มเย็นออกมา “เสด็จพ่อ หากลูกกลับไปแต่โดยดี ต่อไปก็คงมิอาจก้าวออกมาจากตำหนักได้แม้เพียงครึ่งก้าวใช่หรือไม่ ตำแหน่งนี้ ท่านคิดมอบให้ผู้ใดหรือ อย่างไรท่านก็ต้องมีวันนั้น ในเมื่อยกให้ผู้อื่นได้เหตุใดจึงยกให้ลูกมิได้เล่า”

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้ตาของเขาก็แดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นเพราะลูกล่อพยัคฆ์ร้ายมาหาท่านหรือ แล้วลูกเจตนาทำเช่นนั้นหรือ หากเป็นบุตรชายคนอื่นของท่าน พวกเขาคงต้องเก่งกาจกว่าลูกแน่นอนใช่หรือไม่”

 

 

เจาเฟิงตี้รู้สึกเสียใจจนพูดอันใดไม่ออก “พวกเขาจะทำได้ดีกว่านี้หรือไม่ เราไม่รู้ แต่สิ่งที่เจ้าทำอยู่นั้นเราเห็นกับตาตน”

 

 

“ดังนั้น ไม่ว่าลูกจะทำเช่นใดก็ไม่มีทางดีในสายตาท่านใช่หรือไม่? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เสด็จพ่อ ลูกคงไม่มีอันใดจะพูดแล้ว ขอท่านโปรดประทับตราลงในฎีกานี้เถิด อย่าให้ลูกต้องใช้กำลังเลย!”

 

 

“องค์รัชทายาท พระองค์คงมั่นใจมากเกินไปแล้วกระมัง?” เสียงเย็นเยียบหนึ่งดังขึ้น

 

 

ฉับพลันก็มีองครักษ์มากมายกรูออกมาจากมุมตำหนักทั้งสี่ด้าน องครักษ์เหล่านี้สวมเครื่องแบบเช่นเดียวกับหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน แต่สีผิวเข้มกว่า แววตาแต่ละคนนั้นเต็มไปด้วยพลัง ท่าทีคุกคามให้คนหวาดกลัว แค่มองก็รู้ว่ามิใช่บุคคลที่จะต่อกรได้โดยง่าย

 

 

รัชทายาทหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที “หลัวซื่อจื่อ? เจ้า เจ้ามิใช่ถูกพักตำแหน่งหรอกหรือ”

 

 

เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงยิ้มน้อยๆ ส่วนเจาเฟิงตี้กลับนิ่งดุจขุนเขา รัชทายาทก็เข้าใจในที่สุด เขาถอยหลังสองสามก้าว กองพลพยัคฆ์ก็ขยับเข้าคุ้มกันเขา เขาตะโกนออกไปว่า “เสด็จพ่อ ท่านคงยังไม่ทราบกระมังว่าลูกได้ส่งคนไปที่วังฉืออันแล้ว เกรงว่ายามนี้คงกำลังถวายพระพรเสด็จย่าอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจาเฟิงตี้โกรธกริ้วขึ้นมาในที่สุด “เดรัจฉาน!”

 

 

“องค์รัชทายาทโปรดวางพระทัยได้ พวกที่ไปถวายพระพรเหล่านั้น หม่อมฉันได้เชิญพวกเขาไปดื่มชาเรียบร้อยแล้ว” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน

 

 

รัชทายาทหน้าดำคล้ำไปทันที เขาทำสัญลักษณ์มือคราหนึ่ง กองพลพยัคฆ์ก็กรูเข้าไปปะทะกับหน่วยองครักษ์จิ่นหลินทันที

 

 

แม้นกองพลพยัคฆ์จะมาก แต่องครักษ์ของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินนั้นต่างถูกคัดเลือกมาอย่างดี เพียแค่ครึ่งชั่วยาม กองพลพยัคฆ์ก็ล้มคว่ำกันไปจดหมด

 

 

รัชทายาทเห็นเหตุการณ์ย่ำแย่จึงให้องครักษ์ส่วนพระองค์คุ้มกันตนถอยออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ใกล้กลับตำหนักใหญ่ เขากวักมือเรียกคนผู้หนึ่งออกมาแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมายัดใส่ปากนาง

 

 

“เสด็จพ่อ ช่วยด้วย…” องค์หญิงฟังโหรวที่ถูกรัชทายาทจับตัวไว้นั้นร้องไห้น้ำตานองหน้าไปนานแล้ว อาจเพราะดิ้นรนจนผมกระเซอะกระเซิงไปถูกเข้ากับหน้าตาและเหงื่อ มันจึงแนบติดใบหน้านาง มองดูแล้วช่างน่าเวทนายิ่ง

 

 

“ฟังโหรว!” เจาเฟิงตี้จึงเริ่มมีปฏิกิริยา เขาอดลุกขึ้นยืนมิได้

 

 

ฟังโหรวเป็นองค์หญิงที่เล็กที่สุด นางได้รับความรักเอาใจมาตั้งแต่เยาว์วัย แม้นสองปีมานี้จะมิใคร่แสดงความโปรดปรานเอ็นดู แต่อย่างไรก็เป็นบุตรที่ตนเคยรักเอ็นดูด้วยใจจริงมาก่อน ครั้นเห็นนางตกอยู่ในอันตราย เจาเฟิงตี้ไหนเลยจะไม่ร้อนใจได้

 

 

“ลูกทรยศ เจ้าปล่อยฟังโหรวเดี๋ยวนี้ นางเป็นน้องสาวของเจ้านะ!”

 

 

รัชทายาทแค่นยิ้มเย็น “น้องสาวอันใดกัน นางเคยเคารพข้าอย่างพี่ชายบ้างหรือไม่ เสด็จพ่ออย่าได้ปลอบลูกประหนึ่งเด็กน้อยเลย ท่านปล่อยลูกไป หากลูกรู้สึกว่าปลอดภัยแล้วก็จะปล่อยฟังโหรวมาเอง!”

 

 

“ฝันไปเถิด!” เจาเฟิงตี้โมโหขึ้นมาทันใด

 

 

รัชทายาทเองก็ไม่เอ่ยอันใด เขาจับฟังโหรวยืนบังหน้าตน กริชในมือค่อยๆ กรีดผ่านลำคอนางไป หยาดโลหิตก็ไหลซึมออกมาทันใด “ให้พวกเขาหยุดมือเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นพวกเราก็ตายไปด้วยกันเถิด!”

 

 

ทุกคนในตำหนักใหญ่ต่างหยุดมือ แล้วมองไปที่เจาเฟิงตี้

 

 

“เจ้าต้องการอันใดกันแน่”

 

 

“ลูกไม่ต้องการอันใด ท่านแค่สั่งให้พวกเขาทำตามที่ลูกสั่งก็พอแล้ว”

 

 

“เสด็จพ่อ ช่วยลูกด้วย ลูกไม่อยากตาย ฮือๆๆ” องค์หญิงฟังโหรวทั้งเจ็บทั้งกลัวจนเสียสติไปนานแล้ว นางพยายามดิ้นรนทั้งร้องไห้เสียงดัง

 

 

หากเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งถูกกริชจ่อคอเช่นนี้ย่อมต้องตกใจจนไม่กล้าขยับเขยื้อนแน่ แต่ฟังโหรวเป็นเพียงเด็กน้อยที่กำลังจะโตผู้หนึ่ง เมื่อนางกลัวมากนางก็ลืมทุกสิ่งไปเสียสิ้น

 

 

พริบตาคมกริชก็บาดลึกลงไปอีกเล็กน้อย โลหิตซึมไหลออกมามากกว่าเดิมเสียอีก

 

 

รัชทายาทรีบยกกริชออกมาเล็กน้อย หน้าของเขาเขียวคล้ำขึ้นมาทันที

 

 

ในใจก็เอ่ยว่าเขารู้ว่าน้องสาวผู้นี้ไม่ฉลาด แต่คิดไม่ถึงว่าจะโง่เง่าเพียงนี้ หากนางตายขึ้นมาจริงๆ เขาจะทำฉันใดเล่า!

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็ทั้งโมโหทั้งหงุดหงิดและไม่กล้าให้นางได้รับบาดเจ็บไปมากกว่านี้อีกจึงใช้มือออกแรงรัดนางไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม

 

 

พละกำลังของบุรุษเต็มวัยนั้นมีมากอย่างมิต้องเอ่ยบอก องค์หญิงฟังโหรวถูกรัดแน่นเช่นนั้นก็ร้องโหยหวนออกมา ท่าทีช่างน่าสงสารนัก อาจเพราะเมื่อครู่ดิ้นจนไปชนกับคมกริชเข้าทำให้หวาดกลัว ครานี้จึงมิกล้าขยับตัวอีก นางเพียงมองเจาเฟิงตี้ด้วยน้ำตานองหน้าเท่านั้น

 

 

เจาเฟิงตี้เองก็ทั้งโกรธทั้งแค้นทั้งเป็นห่วง

 

 

แค้นที่รัชทายาทลงมือกับพี่น้องอย่างไม่ไว้ไมตรีเลย โกรธที่ฟังโหรวเป็นถึงองค์หญิงเมื่อต้องเผชิญเรื่องเช่นนี้นางกลับหวาดกลัวจนเสียกิริยา ที่เป็นห่วงก็คงเป็นบาดแผลที่ฟังโหรวได้รับมานั้นแล

 

 

เขาชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิงอย่างแนบเนียบคราหนึ่ง เมื่อเห็นเขาพยักหน้าก็เอ่ยว่า “ได้ เรารับปากเจ้า”

 

 

คราแรกรัชทายาทดีใจยิ่ง แต่ต่อมาก็ได้ยินเสียงกระแอมไอของฉ่งลี่ไฮ่ดังขึ้น

 

 

เวลานี้การต่อสู้ในลานตำหนักได้หยุดลงแล้ว เสียงไอนี้จึงชัดเจนอย่างหาใดเปรียบได้

 

 

รัชทายาทจึงคิดถึงวาจาของพ่อตาตนขึ้นมาคำหนึ่ง

 

 

‘หากกล่าวถึงบุคคลที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิ คนที่ต้องระวังมากที่สุดคือหลัวซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกง เขามีวรยุทธ์สูงส่ง ทั้งยังบัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินด้วย หากเขาอยู่การต่อสู้นั้นย่อมน่ากลัวยิ่ง แต่เคราะห์ดีที่ฟ้ามีตาทำให้เขาถูกกักบริเวณเพราะเรื่องของตระกูลเถียน นับเป็นความช่วยเหลือจากสวรรค์แล้ว’

 

 

รัชทายาทมีความสามารถไม่โดดเด่นแต่มิได้หมายความว่าเขาไม่เจ้าเล่ห์ ยามนี้เขาพ่ายแพ้แล้ว หากถูกจับเกรงว่าก็คงได้แต่รอแขวนคอตายหรือไม่ก็ดื่มสุราพิษแล้ว ฟังโหรวจึงเป็นโล่กำลังเดียวที่ทำให้เขามีความหวังในการมีชีวิตต่อไป

 

 

ในเมื่อรัชทายาทในรัชสมัยก่อนยังหลบหนีออกจากหวังได้หลังจากที่ถูกปลด ตั้งแต่นั้นก็ไร้ข่าวคราว หรือที่จริงก็อาจกำลังคิดจะยึดราชบัลลังก์อยู่ก็ได้ เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงจะทำบ้างไม่ได้เล่า!

 

 

แต่หากจะมั่นใจว่าปลอดภัยแน่ อันดับแรกก็ต้องกำจัดคนข้างหน้าผู้นี้เสียก่อน!

 

 

“เสด็จพ่อ ลูกยังมีอีกเงื่อนไขพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ว่ามา!” เจาเฟิงตี้รู้ว่าหลัวเทียนเฉิงคงได้เตรียมการรับมือกับเส้นทางที่รัชทายาทจะหลบหนีไปได้ไว้เรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มสงบใจขึ้นมาได้ เขาเพียงเกรงว่าหากปล่อยนานไป องค์หญิงฟังโหรก็จะยิ่งมีอันตราย จึงได้รีบถามออกไปทันที

 

 

รัชทายาทดึงองค์หญิงฟังโหรวให้ถอยหลังไปอีกสองสามก้าว แล้วจ้องมองหลัวเทียนเฉิงด้วยรอยยิ้มประหลาด สุดท้ายจึงเอ่ยวาจาที่ทำให้คนต้องตกใจขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ขอเพียงหัวหน้าผู้บัญชาการหลัวสังหารตนต่อหน้าลูก ลูกก็จะไปทันที!”

 

 

ทุกคนต่างตกตะลึงกันไปหมดรวมถึงเจาเฟิงตี้ด้วย มีเพียงหลัวเทียนเฉิงที่หรี่ตาลงแล้วเผยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset