วาสนาบันดาลรัก 312 น้ำล้างหน้า

ตอนที่ 312 น้ำล้างหน้า

“ซื่อจื่อ!” ฉุยซิงกับจิ้งสุ่ยต่างตะลึงลานยิ่ง

 

 

มีเพียงหย่วนซานที่พอจะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้ว นางจึงก้มหน้าบิดผ้าเช็ดหน้า เส้นโลหิตเขียวบนหลังมือนูนขึ้นมายิ่งทำให้เห็นว่านางผอมลงไปมากเพียงใด

 

 

ในบรรดาสาวใช้ทงฝังนั้นจิ้งสุ่ยเป็นคนที่สุภาพและสงบเสงี่ยมที่สุด ปกติมักมิกระทำเรื่องเหลวไหล เมื่อนางตกใจเสร็จชำเลืองหางตาไปมองหย่วนซานอย่างรวดเร็ว แล้วก็คล้ายเข้าใจบางอย่างขึ้นมา

 

 

สองวันมานี้หย่วนซานปิดห้องไม่ออกไปไหน หรือเป็นเพราะไปก่อเรื่องมา?

 

 

ฉุยซิงเอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “ซื่อจื่อ บ่าวไม่ไปจากท่านเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

 

 

แววตาหลัวเทียนเฉิงเย็นชายิ่ง นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ความอดทนข้ามีจำกัน พวกเจ้าคิดให้ดีก็แล้วกัน”

 

 

ฉุยซิงคุกเข่าลงทันที “ซื่อจื่อ ยามมีชีวิตบ่าวเป็นคนของท่าน ยามตายก็เป็นผีของท่าน ท่านได้โปรดอย่าไล่บ่าวไปเลยเจ้าค่ะ!”

 

 

แต่งงานมีอันใดดีเล่า นางได้ติดตามบุรุษเช่นซื่อจื่อแล้ว ไหนเลยจะไปถูกใจบุรุษที่หยาบคายที่ไม่รู้จักอักษรสักตัวพวกนั้นได้เล่า

 

 

ไปอยู่กับญาติหรือสหายหรือ…นางตัวคนเดียวมาตั้งนานแล้วจะไปพึ่งพาอาศัยผู้ใดได้เล่า

 

 

ส่วนการปลีกตัวไปตั้งเรือนอยู่คนเดียวนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ นางไม่มีญาติทั้งไม่มีบุตร อนาคตจะมีความหวังใด ต่อให้ซื่อจื่อส่งคนไปดูแลทุกอย่าง แต่ชีวิตที่ผ่านไปของนางจะมีความหมายใดเล่า?

 

 

ในเมื่อการไปตั้งเรือนอยู่ข้างนอกก็ต้องอยู่คนเดียว แต่การอยู่ที่นี่อย่างแย่ที่สุดก็แค่มิได้ใกล้ชิดกับซื่อจื่อเท่านั้น

 

 

ทั้งตอนนี้ซื่อจื่อก็เพิ่งแต่งงานกับต้าไหน่ไหน่ได้ไม่นาน เป็นช่วงที่ความรักระหว่างสามีภรรยากำลังร้อนแรงอยู่ รอให้ผ่านไปสักสามปีห้าปี ไม่แน่ว่าซื่อจื่อก็อาจจะคิดถึงพวกนางขึ้นมาก็ได้มิใช่หรือ หรือซื่อจื่อจะมีต้าไหน่ไหน่คนเดียวไปตลอดชีวิตได้

 

 

ฉุยซิงยืนหยัดในความคิดตน นางพยักหน้าติดกันหลายครา สุดท้ายก็ยื่นมือออกไปดึงขากางเกงหลัวเทียนเฉิงไว้

 

 

หลัวเทียนเฉิงข่มกลั้นตนมิให้เตะสตรีตรงหน้าให้กระเด็นออกไป เขายกเท้าถอยหลังสองก้าว แล้วหันมองจิ้งสุยด้วยสีหน้าเย็นชาอย่างที่สุด “ลั่วเยี่ยน เจ้าคิดเห็นเช่นไร”

 

 

จิ้งสุ่ยกลั้นหายใจตอบว่า “ซื่อจื่อ บ่าวชื่อซิ่วฮวาเจ้าค่ะ”

 

 

มุมปากหลัวเทียนเฉิงกระตุกคราหนึ่ง

 

 

เจี๋ยวเจี่ยวเปลี่ยนชื่ออันใดของนางกัน เหลือเกินจริงๆ!

 

 

“แค่บอกความคิดของเจ้าออกมาก็พอแล้ว!”

 

 

จิ้งสุ่ยปล่อยมือแนบกายเพื่อรักษาท่าทีอันสงบนิ่งของตนไว้ “บ่าวคิดว่าจะแต่งงานเจ้าค่ะ”

 

 

หากเป็นไปได้ นางก็อยากมีบุตรสาวบุตรชายอย่างพร้อมหน้า มีบุรุษสักคนที่ดีต่อนางโมโหร้ายใส่นาง ต่อให้จะขี้เหร่สักหน่อย ใจร้อนไปบ้างแล้วอย่างไรเล่า ซื่อจื่อนั้นต่อให้ดีเพียงใด ก็มิได้ดีต่อนาง แล้วความดีเหล่านั้นเกี่ยวอันใดกับนางเล่า

 

 

“ดีมาก” หลัวเทียนเฉิงจึงเผยรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดออกมา แล้วมองไปที่หย่วนซาน

 

 

สองวันมานี่หย่วนซานได้ครุ่นคิดอยู่ก่อนแล้วนับพันนับร้อยครั้งแค่รอให้หลัวเทียนเฉิงถามออกมาเท่านั้น

 

 

นางเอ่ยเสียงเรียบว่า “บ่าวไม่คิดจะแต่งงานและไม่คิดจะออกไปอยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ หากซื่อจื่อ อนุญาตก็ให้บ่าวไปบำเพ็ญตนอยู่อารามในจวนเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

นางกำลังพนัน หากทำเช่นนี้แล้วซื่อจื่อยังไม่สงสารยอมให้นางอยู่ที่นี่ เช่นนั้นนางก็คงต้องยอมรับแล้ว

 

 

นางไม่เชื่อดอกว่าหากบุรุษผู้หนึ่งได้พบกับสตรีที่รักและชื่นชมในตัวเขาแล้ว เขาจะใจร้ายทำเช่นนั้นได้!

 

 

ฉุยซิงกับจิ้งสุยต่างตาถลนออกมาพร้อมกัน

 

 

คำตอบของหย่วนซานทำให้หลัวเทียนเฉิงรู้สึกคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง เขามองหย่วนซานอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ตามใจเจ้าเถิด แต่เมื่อใดที่เกิดเสียใจขึ้นมาก็สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะยังคงเก็บทางเลือกสามทางนี้ไว้ให้เจ้าเสมอ”

 

 

หย่วนซานนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง นางเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยพึมพำออกมาว่า “ขอบพระคุณซื่อจื่อเจ้าค่ะ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงชำเลืองมองฉุยซิงอีกครา “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่คิดจะเก็บใครไว้ที่เรือนฝั่งตะวันตกนี้อีก ในเมื่อเจ้าไม่อยากจะออกไป ข้าก็จะให้เจ้าไปอยู่กับหย่วนซานแล้วกัน”

 

 

ร่างฉุยซิงโงนเงนขึ้นมาจนแทบล้มคว่ำลงไป

 

 

แสงโคมอันโดดเดี่ยวกับพุทธรูปเก่าแก่ นางต้องเหงาหงอยไปชั่วชีวิตทั้งยังมิอาจกินเนื้อสัตว์ได้อีก!

 

 

เพียงคิดถึงสถานการณ์เช่นนั้นฉุยซิงก็รู้สึกย่ำแย่อย่างยิ่งแล้ว นางแทบจะคุกเข่ากอดขาขอร้องเลยทีเดียว “ซื่อจื่อ บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวไม่อยากออกบวช บ่าว…บ่าวยอมแต่งงานเจ้าค่ะ”

 

 

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” หลัวเทียนเฉิงกวาดตามองทั้งสามคนคราหนึ่ง “เช่นนั้นพวกเจ้ากลับไปเก็บของเถิด อีกวันสองวันข้าจะส่งพวกเจ้าออกจากจวน”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจัดการทุกอย่างเร็วยิ่งแค่วันที่สองเขาก็ส่งพวกนางทั้งสามคนออกจากจวนแล้ว

 

 

จิ้งสุ่ยแต่งให้กับพ่อม่ายผู้หนึ่ง เป็นเถ้าแก่อายุสามสิบต้นๆ ภรรยาสิ้นไปหลายปีเพราะคลอดบุตรยากแต่เขาก็มิได้แต่งภรรยาใหม่ รูปร่างหน้าตาใช้ได้ แม้นจะอายุมากกว่าจิ้งสุ่ยถึงสิบกว่าปี แต่เมื่อจิ้งสุ่ยเห็นคนผู้นั้นแล้วก็ยังรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง นางคิดไม่ถึงว่าตนจะได้แต่งงานกับคนเช่นนี้ทั้งยังเป็นภรรยาเอกอีกด้วย

 

 

เถ้าแก่ผู้นี้อายุมากแล้ว ภรรยายังตายเพราะคลอดบุตรยากอีกจึงรู้จักที่จะดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น เมื่อจิ้งสุ่ยแต่งเข้าไปก็ปฏิบัติต่อนางราวสมบัติล้ำค่า เพียงแค่สามเดือนนางก็ตั้งครรภ์ ปีต่อมาจึงคลอดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง วันเวลาหลังจากนั้นจึงผ่านไปอย่างมีความสุขมากขึ้นไปอีก

 

 

ฉุยซิงแต่งกับบุตรชายคนเล็กของผู้นำหมู่บ้านแห่งหนึ่ง

 

 

บุตรชายคนเล็กนั้นเข้าเรียนที่สถานศึกษาตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่เพราะซุกซนจึงตกต้นไม้จนขาเป๋ไปเล็กน้อยจึงมิได้เรียนตำราต่อ

 

 

แม้มิได้มีชาติกำเนิดสูงส่งแต่กับหัวดียิ่ง ทั้งยังเป็นคนดีมีคุณธรรม เขามักจะคอยช่วยเขียนจดหมายหรืออักษรต่างๆ ให้กับคนในหมู่บ้านโดยไม่รับค่าตอบแทน ดรุณีน้อยในหมู่บ้านที่ไม่รังเกียจทั้งยังอยากแต่งกับเขานั้นมีไม่น้อยเลย

 

 

แรกเริ่มฉุยซิงนั้นรังเกียจที่เขาขาเป๋ แต่ต่อมาจึงพบว่าสตรีน้อยใหญ่ในหมู่บ้านต่างมองนางด้วยสายตาอิจฉาริษยา นางก็รู้สึกตัวลอยขึ้นมาเล็กน้อย อีกทั้งสามีของนางก็เป็นผู้รู้ตำรา หน้าตาหล่อเหลา มิใช่บุรุษหยาบกระด้างอย่างที่นางคิด นางจึงค่อยๆ เปลี่ยนความคิดไป

 

 

กล่าวไปแล้วก็บังเอิญนัก ฉุยซิงเองก็พบว่าตนตั้งครรภ์หลังจากผ่านไปแล้วสามเดือนเช่นกัน ปีถัดมาจึงคลอดเด็กน้อยอ้วนพีผู้หนึ่งออกมา

 

 

แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในเวลาถัดมา

 

 

ส่วนหย่วนซานนั้นก็เก็บข้าวของตนย้ายไปอยู่ที่อารามที่สร้างขึ้นในมุมหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของจวนเจิ้นกั๋วกง

 

 

ครั้นเจินเมี่ยวไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าในวันถัดมาจึงได้ยินนางเถียนถามขึ้นว่า “หลานสะใภ้ ข้าได้ยินมาว่าต้าหลังได้ไล่สาวใช้ทงฝังทั้งสามออกไปจากเรือนแล้วงั้นหรือ เป็นเพราะพวกนางดื้อรั้นจึงไปยั่วโทสะเจ้าใช่หรือไม่”

 

 

เจินเมี่ยวอึ้งงันไป

 

 

หลัวเทียนเฉิงมิได้เอ่ยกับนางในสิ่งเหล่านี้ที่เขาทำเลย

 

 

เขาถึงกับไล่สาวใช้ทงฝังทั้งสามออกไปเลยหรือ

 

 

แต่อันใดที่เรียกว่ายั่วโทสะนางเล่า

 

 

เจินเมี่ยวย่นหัวคิ้วตนคราหนึ่ง “หากพบกับซื่อจื่อ ข้าจะถามเขาดูนะเจ้าค่ะ”

 

 

นางเถียนได้แต่ลอบสะกดกลั้นโทสะตนไว้

 

 

ดูท่าทางจองหองของนางเถิด มิใช่อยากจะแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าต้าหลังให้ความสำคัญกับนางหรอกหรือ!

 

 

ความจริงนั้นเป็นเพราะมีเยียนเหนียงจึงทำให้นางเถียนรู้สึกกับเรื่องพวกนี้อย่างยิ่ง

 

 

นางถอนหายใจออกมา “จะว่าไปแล้ว ในเมื่อซื่อจื่อไล่คนออกไปหมดแล้วก็มิเป็นไรดอก สาวใช้ทงฝังก็เป็นแค่ของเล่นที่ทำให้บุรุษเบิกบานเท่านั้น เมื่อไม่ชอบแล้วก็แค่เปลี่ยนใหม่ แต่ข้าได้ยินมาว่าสาวใช้ที่ชื่อหย่วนซานถูกส่งไปที่อารามในจวน ข้ารู้สึกสงสารนางจริงๆ อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วกลับมีความรู้สึกที่แตกต่างไปอยู่บ้าง แต่ก็มิได้พูดอันใดออกมา

 

 

ในสายตาฮูหยินผู้เฒ่านั้น ไม่มีอันใดที่ตนต้องพูดแทนสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่ง จนทำให้หลานสะใภ้ต้องเสียหน้าเลย

 

 

นางเถียนลอบแค้นเคืองท่าทีใจกว้างจอมปลอมของฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงเม้มปากเป็นรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แต่อย่างไรบุรุษก็ต้องมีคนคอยปรนนิบัติ หลานสะใภ้ หากเจ้ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ก็มิสู้ให้อาสะใภ้เช่นข้าช่วยจัดการให้ดีหรือไม่ เจ้าวางใจได้ ข้ารับรองว่าจะเลือกคนที่ว่านอนสอนง่ายมาสักสองคน”

 

 

เจินเมี่ยวฟังแล้วถึงกับอึ้งไป

 

 

ที่แท้แล้วคนนั้นสามารถทำเรื่องน่าละอายได้ถึงขั้นนี้เชียวหรือ!

 

 

นางทนกับการแสร้งทำตัวเป็นผู้อาวุโสยามอยู่ต่อหน้านาง และท่าทีเป็นกังวลคิดแทนตนของนางเถียนมามากพอแล้ว

 

 

นางกะพริบตาคราหนึ่งแล้วเอ่ยถามด้วยท่าทีลนลานเล็กน้อยว่า “อาสะใภ้รอง ท่านหมายความว่าจะส่งสาวใช้ทงฝังมาให้ซื่อจื่อหรือเจ้าคะ”

 

 

นางเถียนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

 

 

แม้นความจริงจะเป็นเช่นนั้นแต่เมื่อเอ่ยออกมาโต่งๆ เช่นนี้ว่าตนต้องการจะหาสาวใช้ทงฝังให้หลานชาย มันก็ฟังดูแล้วน่าเกลียดเหลือเกิน

 

 

เจินเมี่ยวยังถามอีกว่า “อาสะใภ้รอง ท่านหมายความเช่นนี้หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

นางเถียนหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย นางชำเลืองมองคนทั้งหลายโดยไวคราหนึ่งแล้วฝืนยิ้มออกมา “เจ้ายังเด็กนัก ทั้งยังไม่มีแม่สามีอีก อาก็แค่กลัวว่าเจ้าอาจจะคิดอันใดไม่รอบคอบจึงได้เอ่ยเตือนเท่านั้น”

 

 

“อ้อ ที่แท้ก็แค่เตือนหลานสะใภ้เท่านั้น ขอบพระคุณท่านอาสะใภ้รองมากเจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากคราหนึ่ง “แต่หลานสะใภ้เข้าใจดีมาตลอดว่าอยู่เรือนเชื่อฟังบิดาออกเรือนเชื่อฟังสามี ในเมื่อซื่อจื่อไม่ต้องการสาวใช้ทงฝัง ข้าจะไปขัดเจตนารมณ์ของเขาได้อย่างไรเล่า หากอาสะใภ้อยากจะส่งสาวใช้ทงฝังมาให้ก็พูดกับซื่อจื่อเองเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

ครั้นเจินเมี่ยวเอ่ยว่า ‘อยากจะส่งสาวใช้ทงฝังมาให้’ ออกมาก็ทำเอานางเถียนขัดใจจนแทบกระอักตาย

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยขึ้นว่า “นางเถียน ต้าหลังมีภรรยาแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องไปกังวลใจแทนแล้ว แต่เจ้าควรไปจัดการเยียนเหนียงที่อยู่เรือนเจ้าให้ดี อย่าให้นางทำอันใดวุ่นวายขึ้นมาได้”

 

 

นางเถียนพลันปวดใจจนพูดไม่ออกขึ้นมา

 

 

เจินเมี่ยวจึงย่อกายคารวะแล้วเอ่ยว่า “ท่านย่า หลานตุ๋นไข่กบหิมะไว้จะทำมะละกอตุ๋นไข่กบหิมะ ขอตัวไปดูก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ประเดี๋ยวทำเสร็จจะยกมาให้ท่านชิมเจ้าค่ะ”

 

 

กระทั่งถึงยามราตรีหลัวเทียนเฉิงก็กลับมา แต่กลับเดินวกไปวนมาอยู่ข้างหน้าต่างอย่างโง่งม

 

 

เจินเมี่ยวแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วเปิดหน้าต่างออกเอาน้ำล้างหน้าในอ่างตนสาดออกไปพลางเอ่ยพึมพำว่า “สาวใช้พวกนี้นับวันยิ่งชักช้า น้ำล้างเท้าวางไว้ตรงนี้นานแล้วก็มิรู้จักยกออกไปเททิ้ง!”

 

 

กล่าวจบก็สาดน้ำลงไปข้างหน้าต่างทันที

 

 

หลัวเทียนเฉิงยืนนิ่งอยู่นอกหน้าต่างราวกับระกาไม้ ร่างกายเปียกโชกไปหมด

 

 

น้ำนั้นค่อยๆ ไหลหยดลงมาตามเส้นผมของเขา คล้ายว่ามีกลิ่นหอมจางๆ ผสมอยู่

 

 

เขาตกใจขนานใหญ่

 

 

หรือว่าเขาต้องมนต์ปีศาจเข้าแล้ว เหตุใดจึงรู้สึกว่าน้ำล้างเท้าก็ยังหอมเล่า!

 

 

เขายืนโง่งมอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม

 

 

ดูท่าที่เจี๋ยวเจี่ยวยอมสาดน้ำล้างเท้าใส่เขาก็แสดงว่ามิได้คิดจะไม่ไยดีเขาไปตลอดกระมัง

 

 

เจินเมี่ยวเข้าไปนั่งอยู่บนเตียงที่ห้องด้านใน หลังจากคลายโทสะก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

 

 

เรื่องเลวร้ายเช่นนี้นางไม่เคยทำเลยสักครั้ง!

 

 

ผ่านไปสองเค่อ นางจึงถามอาหลวนว่า “ซื่อจื่อเล่า”

 

 

“ซื่อจื่อยังคงยืนอยู่นอกหน้าต่างเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวโกรธจนต้องตบลงที่เตียง “เขาต้องมีตั้งใจแน่ๆ!”

 

 

คนน่าอายผู้นี้ยืนอยู่ข้างหน้าต่างทั้งที่เปียกโชกไปทั้งตัวเช่นนั้นเพราะตั้งใจจะให้นางใจอ่อนใช่หรือไม่

 

 

สุดท้ายเจินเมี่ยวก็ยังคงเลือกที่จะคืนดี “ไปเชิญซื่อจื่อเข้ามา”

 

 

ในยุคสมัยนี้นั้นแค่เพียงเป็นไข้หวัดเพราะอากาศหนาวก็สามารถเอาชีวิตคนได้ ต่อให้นางโกรธเพียงใดก็คงมิใช่ข้อนี้ไปทรมานคนดอก

 

 

ไม่นานหลัวเทียนเฉิงก็เดินเข้ามาในห้อง อาหลวนจึงออกไปอย่างรู้งาน

 

 

“ท่าน…เหตุใดจึงไล่คนไปหมดแล้วเล่า”

 

 

มิอาจปฏิเสธได้ว่าการกระทำนี้ของเขาทำให้นางเบิกบานจริงๆ

 

 

อย่าบอกการเอาใจนางช่างง่ายนักเลย ในยุคสมัยนี้สาวใช้ทงฝังนั้นเป็นเพียงสิ่งของชิ้นหนึ่งที่บุรุษต้องใช้งาน หากต้องการก็ไปหยิบใช้ได้ทุกเมื่อ มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลยิ่ง

 

 

หากบุรุษผู้หนึ่งไม่ยอมหยิบใช้แล้วก็เป็นเพียงเพราะเขาไม่อยากให้ภรรยาเสียใจเท่านั้น ไม่มีทางที่เขาจะคิดว่าการนอนกับสาวใช้ทงฝังนั้นเป็นเรื่องที่ผิดบาปแต่อย่างใด

 

 

นี่เป็นกรอบความคิดที่พวกเขาถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เยาว์วัยเหมือนกับที่เจินเมี่ยวรู้สึกว่าบุรุษก็เป็นเหมือนแปรงสีฟันที่มิอาจใช้ร่วมกันได้

 

 

“ในเมื่อการที่มีพวกนางอยู่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ ข้าก็ไม่เก็บพวกนางไว้จะดีกว่า”

 

 

คำตอบของหลัวเทียนเฉิงเป็นการยืนยันแล้วว่าสิ่งที่เจินเมี่ยวคิดนั้นถูกต้อง

 

 

ความคิดของคนทั้งสองที่มีช่วงเวลาห่างกันนับพันปีกลับลงกันได้กันพอดี

 

 

นางคิดว่านางไม่อาจเปลี่ยนบุรุษผู้หนึ่งไปให้เหมือนที่นางต้องการได้ทุกประการ แต่หากบุรุษผู้นี้ยินดีที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อนาง นั่นย่อมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีอย่างหนึ่ง

 

 

เจินเมี่ยวกำลังคิดเรื่องเหล่านี้อยู่แต่กลับไม่เผยสีหน้าอันใดออกมาเลย เพียงเอ่ยถามราบเรียบว่า “ข้าได้ยินมาว่าหย่วนซานไปอยู่ที่อารามหรือ นางทำเพื่อท่านถึงเพียงนี้ สำหรับท่านแล้วนางเป็นคนที่พิเศษคนหนึ่งกระมัง?”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset