วาสนาบันดาลรัก 313 ความพินาศของตระกูลเถียน

ตอนที่ 313 ความพินาศของตระกูลเถียน

“ในสายตาผู้อื่นการเลือกของนางอาจจะพิเศษอยู่สักหน่อย แต่สำหรับข้าแล้ว นางก็ไม่มีอันใดต่างจากฉุยซิงและจิ้งสุ่ย” หลัวเทียนเฉิงอยากจะยื่นมือออกไปจับมือเจินเมี่ยวแต่เพราะเขาเปียกโชกทั้งกายจึงมิได้กระทำเช่นนั้น

 

 

นัยน์ตาของเขาเปล่งประกาย น้ำเสียงแสนจริงใจ “เจี๋ยวเจี่ยว บนโลกนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่พิเศษสำหรับข้า ต่อไปจะไม่มีสาวใช้ทงฝังอีก มีแค่เราสองคนที่จะใช้ชีวิตไปด้วยกันอย่างมีความสุข ได้หรือไม่”

 

 

นิ่งเงียบอยู่นานเจินเมี่ยวจึงเอ่ยขึ้นว่า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ส่วนหย่วนซานเมื่อใดที่นางคิดได้แล้วก็ช่วยจัดการให้นางได้พบที่ทางที่ดีเถิด”

 

 

แม้ซื่อจื่อจะกล่าวเช่นนี้แต่นางก็ต้องทำลายความเป็นไปได้ใดๆ ก็ตามที่จะทำให้หย่วนซานกลายมาเป็นไฝติดตามกายเขา

 

 

อีกอย่างหย่วนซานเองก็มิได้ผิดอันใด นางเองก็มีจุดที่น่าสงสารเช่นกัน

 

 

“วางใจได้ หากภายหน้านางได้พบกับจิ้งสุ่ยและฉุยซิง ไม่แน่อาจเปลี่ยนใจก็ได้”

 

 

“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น”

 

 

หลัวเทียนเฉิงยิ้มอย่างมั่นใจแล้วเอ่ยว่า “เพราะคนที่ข้าเลือกให้จิ้งสุ่ยกับฉุยซิงนั้นเหมาะสมกับพวกนางยิ่ง คิดว่าหากมิใช่สุกรโง่ตัวหนึ่งก็ย่อมต้องเลือกมีชีวิตที่มีความสุขแน่ รอให้หย่วนซานเห็นพวกนางมีความสุขดีก็ย่อมต้องหวั่นไหวแน่”

 

 

“หากนางไม่หวั่นไหวเล่า”

 

 

เขาจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตหรือไม่

 

 

หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “หากนางยังคงยืนยันที่จะออกบวช เช่นนั้นก็แสดงว่านางมีสติปัญญาดีและมีวาสนากับทางธรรมอย่างไรเล่า”

 

 

เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง “ท่านนี่ช่างเอาใจใส่ผู้อื่นดีเสียจริง”

 

 

หลัวเทียนเฉิงอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็ชะงักไป

 

 

“มีอันใดหรือ”

 

 

“หากข้าพูดไปก็กลัวเจ้าจะโกรธแล้วไม่สนใจข้าอีก”

 

 

“ท่านไม่พูด ข้ายิ่งจะโกรธ!”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว พวกนางสามคนติดตามข้ามานาน นอกจากหย่วนซานที่ใช้อุบายเช่นนั้นแล้ว อีกสองคนที่เหลือก็มิได้ทำความผิดอันใด ความจริงกล่าวไปแล้วก็เป็นข้าที่ผิดเอง หากข้ารู้ว่า…”

 

 

เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดไปคล้ายละอายที่จะเอ่ยต่อ

 

 

เจินเมี่ยวเพียงเหล่ตามองเขาเท่านั้น

 

 

หลัวเทียนเฉิงก็หูแดงขึ้นมา “หากรู้ว่าจะได้พบกับเจ้าทำให้ข้ามิอาจควบคุมตนได้ปานถูกมนต์ปีศาจเช่นนี้ ข้าคงไม่รับพวกนางมาเพื่อสร้างเวรกรรมนี้ให้ตนดอก ดังนั้นข้าจึงหวังว่าจะสามารถหาคนดีๆ ให้พวกนางได้ เจ้าเข้าใจข้าหรือไม่”

 

 

เจินเมี่ยวยื่นมือออกไปหยิกเข้าที่แขนเขาคราหนึ่ง “ท่านบอกว่าผู้ใดมีมนต์ปีศาจกัน”

 

 

หลัวเทียนเฉิงได้แต่ยิ้มขืนแล้วปล่อยให้นางหยิกต่อไป

 

 

เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมาแล้วบอกว่า “ที่ท่านพูดมา ข้าเข้าใจทั้งสิ้น แต่ข้าก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ ทำอย่างไรดี”

 

 

“เช่นนั้นเจ้าจะด่าจะตีข้าอย่างไรก็ได้ ดีหรือไม่ หรือจะสาดน้ำล้างเท้าใส่ข้าอีกก็ได้?”

 

 

“ข้าไม่อยากล้างเท้าอีกแล้วเสียหน่อย” เจินเมี่ยวส่งเสียง ‘ฮึ’ ขึ้นคราหนึ่ง “ท่านรีบไปอาบน้ำเถิด แล้วกลับไปที่ห้องตำรา ข้าจะได้มิเห็นท่านแล้วอารมณ์เสียขึ้นมาอีก”

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้ดีว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อทุกอย่างก็นับว่าเป็นฟ้าหลังฝนแล้ว เขาจึงเผยยิ้มโง่งมออกไปแล้วไปอาบน้ำทันที

 

 

ผ่านไปอีกไม่กี่วัน ฎีกาฟ้องร้องหลัวเทียนเฉิงก็ถูกส่งไปถึงเจาเฟิงตี้

 

 

เขาเรียกให้หลัวเทียนเฉิงเข้าวังแล้วเอาฎีการายงานให้เขาดู

 

 

หลัวเทียนเฉิงกวาดตามองคราหนึ่งก็คุกเข่าคงข้างหนึ่งในทันใด “กระหม่อมมีความผิดขอฝ่าบาทโปรดลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

แม้เจาเฟิงตี้จะหน้าซีดขาวไปบ้างแต่กลับยังคงรักษาท่าทีอันคาดเดามิได้อยู่เช่นเดิม “ขุนนางหลัวมีความผิดอันใดหรือ การให้ที่ซ่อนตัวกับเผ่าเย่ว์อี๋ที่เขียนอยู่ในฎีกานั้นเป็นเรื่องของตระกูลเถียนอย่างเห็นได้ชัด เราว่าการดึงเจ้าเข้าไปเกี่ยวนั้นออกจะเขียนเกินเลยไปมากอยู่ ตู้เยี่ยนเซิงผู้นี้มิอาจแยกแยะผิดถูกได้ถึงเพียงนี้ ประเดี๋ยวข้าต้องตักเตือนเขาสักหน่อยแล้ว”

 

 

หลัวเทียนเฉิงคุกเข่าหลังตรงเอ่ยว่า “กระหม่อมละอายใจนัก ใต้เท้าตู้มิได้ผิดอันใดเลย กระหม่อมต่างหากที่เป็นถึงหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน มีอำนาจในการสืบและสอบสวนเรื่องต่างๆ แต่สุดท้ายตระกูลมารดาของอาสะใภ้ของกระหม่อมกลับให้ที่หลบซ่อนเผ่าเย่ว์อี๋ กระหม่อมผิดต่อพระเมตตาของพระองค์ หากไม่ลงโทษกระหม่อมคงไม่มีหน้าไปขุนนางทั้งหลายในราชสำนักแน่พ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์โปรดทรงยึดตำแหน่งหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินของหม่อมฉันไว้ชั่วคราวแล้วมอบเรื่องนี้ให้กับใต้ตู้สืบสวนต่อเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจาเฟิงตี้นิ่งเงียบอยู่นานก็เรียกคนเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ประกาศราชโองการออกไปว่าหลัวเทียนเฉิงหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินบกพร่องในหน้าที่จึงมิทราบเรื่องที่ตระกูลเถียนของอาสะใภ้ตนให้ที่ซ่อนแก่คนของเผ่าเย่ว์อี๋จึงให้งดทำหน้าที่นี้เป็นการชั่วคราวเพื่อตรวจสอบเรื่องราวให้ละเอียด ระหว่างนี้ให้เขากักตนสำนึกผิดในจวนเป็นเวลาหนึ่งเดือน”

 

 

ครั้นราชโองการนี้ถูกประกาศออกไปคนทั่วทั้งราชสำนักต่างก็ฮือฮายิ่ง

 

 

หลัวเทียนเฉิงเดินออกมาอย่างมิได้ใส่ใจกับสายตาที่แปลกไปเหล่านั้นเลย

 

 

เซียวอู่ซางกลับตามเขามา “หลัวซื่อจื่อ ที่แท้แล้วเกิดอันใดขึ้นกันแน่ มีอันใดให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่”

 

 

หลัวเทียนเฉิงพลันอุ่นใจขึ้นมา

 

 

เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในเวลาที่ทุกคนต่างหลบเลี่ยงเขาจนแทบไม่ทันนั้นกลับมีคนผู้หนึ่งเข้ามาขวางเขาไว้ทั้งยังเอ่ยวาจาเช่นนี้อีก

 

 

ดูท่าแล้วความเอ็นดูที่องค์ชายหกมีให้เขาตลอดมานั้นก็อาจเพราะเหตุผลนี่เอง

 

 

เขามองเซียวอู๋ซางคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า “ขอบใจมาก แต่หากสืบเรื่องไปจนถึงต้นตอได้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว”

 

 

เซียวอู๋ซางฟังแล้วรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง

 

 

เมื่อเขาพบองค์ชายหกก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมา องค์ชายหกเพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามิต้องไปกังวลเรื่องนี้แล้ว หลัวซื่อจื่อย่อมรู้ดีว่าต้องทำเช่นใด”

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวกลับเข้าจวนมาด้วยสีหน้าดำคล้ำ

 

 

นางเถียนยังคงตรวจดูรายการสินเดิมของหลัวจื้อหยาอยู่โดยไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นในราชสำนัก

 

 

ใกล้จะถึงปลายวสันต์แล้ว แม้นทางเหนือจะหนาวแต่หิมะก็เริ่มละลายหมดแล้ว อีกไม่นานขบวนส่งตัวเจ้าสาวก็จะออกเดินทางแล้ว

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวเตะประตูเข้ามาทันที

 

 

เมื่อได้ยินเสียงนางเถียนก็หันไปมอง นางวางบัญชีสินเดิมลงเสียงดังปึกแล้วยืนขึ้น

 

 

“ท่านมีเป็นอันใดอีกเล่า”

 

 

“หรือคนเรือนนั้นยั่วโทสะท่าน เป็นไปไม่ได้กระมัง?” นางทำบ้างบุ้ยใบ้ไปยังเรือนของเยียนเหนียง

 

 

เมื่อเห็นรอยยิ้มจอมปลอมของนาง นายท่านรองสกุลหลัวก็โกรธเกรี้ยวมากยิ่งขึ้นจนสูญเสียสติ สัมปชัญญะไปทันที

 

 

เขาจึงคว้ามือเข้าบีบคอนางเถียนแล้วเอ่ยเสียงดุดันว่า “สตรีจัญไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้าหลังถูกพักตำแหน่งชั่วคราว!”

 

 

ซี๊ด… นางเถียนเจ็บจนต้องซูดปาก นางพยายามดึงมือของนายท่านรองสกุลหลัวออก “ท่านรีบปล่อยมือก่อน ท่านพี่ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือไร ต้าหลังถูกพักตำแหน่งแล้วอย่างไรเล่า นั่นมิใช่เรื่องดีหรอกหรือ หากเขายิ่งมีหน้ามีตาก็ยิ่งไม่เห็นเราอยู่ในสายตามิใช่หรือ!”

 

 

ถุย! นายท่านรองสกุลหลัวถ่มน้ำลายใส่หน้านางเถียนแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดต้าหลังจึงถูกพักตำแหน่งชั่วคราว? ก็เป็นเพราะตระกูลมารดาเจ้าทำเรื่องงามหน้าไว้นั้นแล!”

 

 

นางเถียนหน้าซีดลงทันที นางร้องเสียงแหลมขึ้นว่า “อันใดกัน แล้วมันเกี่ยวอันใดกับตระกูลมารดาข้า? ท่านพี่ ท่านพูดมาให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้!”

 

 

นายท่านรองสกุลหลัวโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งจึงมิกะหนักเบา เมื่อเขาออกแรงบีบคอนางก็ทำเอานางเถียนตาถลนออกมาทีเดียว

 

 

หลัวจื้อหยาจึงพุ่งเข้ามาตีแขนของนายท่านรองสกุลหลัวทันที “ท่านพ่อ ท่านรีบปล่อยท่านแม่เดี๋ยวนี้!”

 

 

นายท่านรองนั้นขาดสติไปนานแล้ว เขาจึงสะบัดแขนโดยแรงทำเอาหลัวจื้อหยากระเด็นไปทันใด

 

 

ตั้งแต่เกิดเรื่องของเยียนเหนียง คุณชายสามก็ออกจากสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยน แม้จะถูกนายท่านรองเฆี่ยนตีปางตายอยู่หลายคราก็ไม่ยอมไปเรียน

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวเคยสัญญาว่าจะหาทางให้เขาไปอยู่ในหกค่าย ระยะเวลาที่ผ่านมานี่คุณชายสามจึงอยู่แต่ในจวน เวลาส่วนใหญ่มักหมดไปกับการฝึกที่ลานฝึกยุทธ์

 

 

เขามีกำลังมากจึงเดินเข้าไปดึงนายท่านรองออกมาได้สำเร็จ “ท่านพ่อ มีอันใดก็พูดจากันดีๆ เถิด”

 

 

นายท่านรองตบเข้าที่ข้างหูคุณชายสาม “ลูกจัญไร เจ้ากล้ามาขวางข้า?”

 

 

“ท่านพ่อ หากท่านยังทำเช่นนี้ต่อไปท่านแม่ก็คงต้องตายเป็นแน่ แล้วจะให้ลูกกับน้องสาวลืมตามองเฉยๆ งั้นหรือ หากท่านแม่เกิดเหตุอันใดขึ้นจริง ท่านจะให้ลูกกับน้องสาวมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”

 

 

นายท่านรองจึงมีสติกลับคืนมาได้บ้าง

 

 

เขาหอบหายใจอยู่ตลอด ดวงตาแดงก่ำนั้นเอาแต่จ้องถลึงนางเถียน มองดูแล้วช่างน่าขนลุกนัก

 

 

นางเถียนถูกบีบคอจนหน้าเขียวคล้ำไปหมด ผมของนางกระเซอะกระเซิงรากลับผีร้ายก็มิปาน สภาพยามนี้ของคนทั้งสองก็ไม่ต่างกันนัก

 

 

“ท่านพูดมา ตระกูลมารดาข้ามีอันใด?” นางเถียนไอเสียงดังอยู่หลายคราก็พุ่งเข้าไปเอ่ยคำถาม แต่ถูกหลัวจื้อหยาขวางไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

นายท่านรองแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ที่ต้าหลังถูกพักตำแหน่งชั่วคราวก็เพราะทางการสืบพบว่าตระกูลมารดาเจ้าให้ที่ซ่อนเผ่าเย่ว์อี๋อย่างไรเล่า!”

 

 

นางเถียนหน้าซีดไปทันที นางส่ายหน้าติดกันหลายครา “เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร! ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องกลับไปถามให้แน่ชัด”

 

 

นางพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการกอดกุมของหลัวจื้อหยาแต่ถูกนายท่านรองถีบเอาคราหนึ่ง “สตรีจัญไร เจ้ายังกล้ากลับตระกูลมารดาอีกหรือ คิดว่าเท่านี้ยังแปดเปื้อนไม่พออีกหรือ เหตุใดข้าถึงได้แต่งสตรีโง่งมเช่นเจ้าได้เล่า!”

 

 

นางเถียนถูกนายท่านรองถีบจนมึนงงไปหมด นางได้แต่มองเขาอย่างเหม่อลอย

 

 

“เจ้าอยู่ที่นี่เฉยๆ ก็พอ ตั้งแต่นี้ต่อไปข้าไม่อนุญาตให้เจ้ากลับตระกูลมารดาอีก ข้าจะลองไปหาทางอื่นดู!”

 

 

นายท่านรองสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป

 

 

นางเถียนอึ้งงันอยู่ครู่หนึ่งจึงร้องไห้ออกมาเสียงดัง

 

 

หลัวจื้อหยารู้สึกว่าทางข้างหน้าช่างมืดมนนักจนอยากจะหลับตาแล้วไม่ลืมขึ้นมาอีก แต่ก็แข็งใจเอ่ยปลอบประโลมนางเถียน

 

 

คุณชายสามกลับมุ่งหน้าไปหาคุณชายรองที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนเพื่อหารือ

 

 

นายท่านรองเที่ยวไปไหว้วานผู้คนไปทั่ว แต่น่าเสียดายที่เขาตำแหน่งต่ำต้อยไร้อำนาจ ที่พอมีอยู่บ้างก็คือเกียรติแห่งจวนกั๋วกงเท่านั้น

 

 

เวลานี้คุณชายผู้สืบทอดของจวนกั๋วกงที่เป็นถึงหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน มีทั้งตำแหน่งและอำนาจยังแทบจะล้มครืนลงมาแล้ว ผู้ใดจะให้เกียรติกับขุนนางยศน้อยเช่นเขาเล่า ทุกคนต่างพากันหลบเลี่ยงจนแทบไม่ทันเลยทีเดียว

 

 

ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้ก็ถอนหายใจยาวออกมา “ช่างเถิด คนแก่เช่นข้าคงต้องยอมแบกหน้าเข้าวังเพื่อไปขอร้องไท่โฮ่วเสียแล้ว”

 

 

นายท่านสี่สกุลหลัวที่รีบกลับเข้ามาจากนอกเมืองได้เข้าไปขวางฮูหยินผู้เฒ่าไว้

 

 

“ท่านแม่แม้แต่ต้าหลังยังถูกฝ่าบาทลงอาญาเพราะเรื่องของตระกูลพี่สะใภ้รอง ข้าว่าหากท่านเข้าวังไปขอร้องไท่โฮ่วจะมิยิ่งทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วหรอกหรือ ถึงตอนนั้นการพักตำแหน่งของต้าหลังอาจจะกลายเป็นปลดจากตำแหน่งก็ได้!”

 

 

วาจานี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าล้มเลิกความคิดนั้นไป

 

 

ความจริงนางก็มิคิดจะไปยุ่งเรื่องของตระกูลเถียนอยู่แล้ว

 

 

นางนับวันก็ยิ่งเห็นการกระทำอันไม่เหมาะสมของนางเถียนในช่วงสองปีนี้ดี หากการที่ตระกูลนางต้องเผชิญเรื่องเช่นนี้ก็อาจทำให้นางสงบเสงี่ยมลงได้บ้าง เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีไม่น้อยเลย

 

 

เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าไปยุ่งสักคน นายท่านรองก็หมดหนทางอย่างที่สุดแล้ว

 

 

ยามนี้เขาจึงเริ่มหงุดหงิดที่เหตุใดต้าหลังจึงถูกพักตำแหน่งชั่วคราว หากเขาไม่เป็นอันใด ยามนี้ก็คงพอมีทางช่วยได้บ้าง

 

 

ต่อให้ต้าหลังจะพอระแคะระคายความคิดของตนกับภรรยา แต่หากอาสะใภ้ตกที่นั่งลำบากแล้วเขาไม่ช่วย ผู้คนคงได้ด่าเขาสาดเสียเทเสียอยู่ลับหลังแน่

 

 

ทว่ายามนี้ฝ่าบาทกลับมีรับสั่งให้ต้าหลังสำนึกผิดอยู่ในจวน เขาจึงไม่มีหนทางใดอีกแล้ว

 

 

คนที่ร้อนใจในจวนเจิ้นกั๋วกงต่างก็พยายามหาทุกวิถีทาง แต่คนที่ไม่ร้อนใจก็ใช้ชีวิตในจวนอยู่อย่างสบาย ส่วนผู้ตู้เยี่ยนเซิงหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินอีกผู้หนึ่งที่คิดจะกดหลัวเทียนเฉิงให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็ทุ่มเทแรงกายในการสืบคดีอย่างเบิกบานใจ

 

 

การสืบครั้งนี้ไม่เพียงสืบไปถึงเผ่าเย่ว์อี๋แต่ยังสืบพบการค่าเกลือเถื่อนของตระกูลเถียนในอดีตเมื่อหลายปีก่อนอีกด้วย

 

 

ตระกูลเถียนนั้นยากจนแต่กลับร่ำรวยขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตระกูลเช่นนี้ไหนเลยจะสะอาดบริสุทธิ์ เมื่อตู้เยี่ยนเซิงผู้ดูแลหน่อยองครักษ์จิ่นหลินสืบทราบเรื่องนี้ก็คาดเดาได้อยู่แล้วว่าหลัวเทียนเฉิงจะต้องทูลขอรับโทษอย่างแน่นอน

 

 

การแทงทะลุรังแตนเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขอร้องแน่ เจาเฟิงตี้จึงลงอาญาต่อตระกูลเถียนอย่างรวดเร็วยิ่ง

 

 

สมบัติที่มีนั้นยึดเข้าหลวง ทายาทที่เป็นชายที่มีอายุมากกว่าสิบปีให้ส่งไปเป็นนักโทษเสริมทัพที่ชายแดนอันไกลโพ้น แต่อาจเพราะเห็นแก่หน้าของตระกูลเจิ้นกั๋วกงจึงมิได้ละเว้นโทษสตรีในตระกูล พวกนางจึงมิต้องถูกขายไปเป็นทาส

 

 

นางเถียนทราบข่าวนี้แล้วถึงกลับกระอักโลหิตออกมาทีเดียว

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset