วาสนาบันดาลรัก 311 จัดการ

ตอนที่ 311 จัดการ

เจินเมี่ยวหันไปมองหลัวเทียนเฉิงอีกครา

 

 

เขาสวมชุดคลุมยาวเข้ารูปสีสันแปลกตาขับให้งดงามราวจันทร์กระจ่างในคืนลมพัดโชย แต่กระโจมหลังน้อยที่ชูชันขึ้นมานั้นกลับทำลายความรู้สึกงดงามทั้งหมดไปจนสิ้น

 

 

เจินเมี่ยวมีท่าทีแปลกไปเล็กน้อย

 

 

ผู้หนึ่งยังคงมีอารมณ์ตอบสนองเช่นนั้นอยู่ได้ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเขามิถูกวางยาบางชนิดมันคงดูไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง!

 

 

ทว่านางกลับยังคงอยากเตะกระโจมน้อยที่มันขวางตานั้นให้ล้มคว่ำลงไปอยู่ดี ทำอย่างไรเล่า

 

 

นางรู้สึกอึดอัดและทรมานใจยิ่ง

 

 

พวกเขามิได้ทำอันใดกันก็จริง แต่หากนางไม่มา พวกเขาอาจจะสมหวังกันไปแล้วใช่หรือไม่

 

 

กลิ่นหอมหวานเลี่ยนในอากาศนั้นทำให้นางรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

 

 

หากคำอธิบายของเขาคือการถูกวางยา เช่นนั้นนางจะเก็บความชอบที่มีต่อเขากลับคืนมาทันหรือไม่?

 

 

ในชีวิตทั้งสองภพของนาง นี่เป็นครั้งแรกที่ชอบบุรุษขึ้นมาสักคนหนึ่ง นางไม่รู้ว่าหากสตรีอื่นพบเจอเรื่องเช่นนี้จะมีปฏิกิริยาเช่นไร แต่สำหรับนางมันช่างทรมานนัก

 

 

เจินเมี่ยวยื่นมือออกไปแกะนิ้วมือของหลัวเทียนเฉิงที่จับข้อมือนางไว้ เมื่อเห็นเขาอ้าปากคิดจะเอ่ยวาจา นางก็ยกนิ้วชี้ขึ้นจ่อที่ริมฝีปากเขาแล้วเอ่ยว่า “ข้าย่อมต้องฟังคำอธิบายของท่านแน่ แต่มิใช่ตอนนี้ ท่านไปจัดการปัญหาตรงหน้าท่านก่อนเถิด”

 

 

นางหมุนกายเดินจากไป ยามรองเท้าผ้าบางสีเหลืองอ่อนเหยียบลงพื้นนั้นไร้สุ้มเสียงแต่เศษหินเล็กๆ กลับทิ่มเท้าจนรู้สึกเจ็บ

 

 

ไป๋เสาและอาหลวนรีบวิ่งตามไปทันที

 

 

หลัวเทียนเฉิงมองมือตนเองอย่างอึ้ง เขาล้วงเอานกหวีดอันประณีตออกมาจากแขนเสื้อแล้วเป่าคราหนึ่ง

 

 

เพียงเค่อก็มีบุรุษหน้าตาธรรมดาสองคนปรากฏตัวขึ้น

 

 

“เฝ้านางไว้ให้ดีอย่าให้เป็นอันใดเด็ดขาด และไม่ต้องแตะต้องของทุกชิ้นในนี้”

 

 

เขาเอ่ยวาจานี้จบก็วิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานก็ตามทันเจินเมี่ยว

 

 

หลัวเทียนเฉิงเข้าไปอุ้มเจินเมี่ยวขึ้นต่อหน้าไป๋เสาและอาหลวน ทั้งไม่สนต่อเสียงร้องตกใจและการทุบตีของนาง เขาอุ้มนางมุ่งหน้าไปที่ห้องโถงของเรือนหลัก

 

 

เจินเมี่ยวโกรธอย่างยิ่งจึงกัดเข้าไปที่ไหล่ของเขาโดยแรง แม้นได้ลิ้มชิมรสคาวของโลหิตก็ยังไม่ยอมหยุด

 

 

หลัวเทียนเฉิงลูบหลังนางแผ่วเบาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเกิดเถิด ขอเพียงมันช่วยคลายโทสะให้เจ้าได้ก็พอ”

 

 

เจินเมี่ยวกลับไม่มีแรงกัดแล้ว นางพลิกกายหันหลังพิงเขาแล้วเอ่ยเสียเบาว่า “หลัวเทียนเฉิง ข้าก็เหนื่อยเป็นเช่นกัน”

 

 

ใช่ ชาติก่อนเขาต้องพบเจอเรื่องร้ายๆ มามาก ในเมื่อนางครอบครองร่างนี้ก็ควรชดใช้หนี้ที่ร่างนี้ติดค้างไว้ แต่หากว่ากันตามจริงแล้วนางมีความผิดอันใดเล่า

 

 

หากเลือกได้นางคงไม่ยอมมาอยู่ในร่างนี้ ต่อให้งดงามหยาดเยิ้มหาใดเปรียบแล้วอย่างไร นางแค่อยากมีชีวิตที่อิสระและเรียบง่าย

 

 

และมีบุรุษธรรมดาๆ สักคนที่รักนางเพียงคนเดียว ไม่ต้องคอยกังวลว่าใจของเขานั้นแบกปมอันใดไว้ แล้วจะเสียสติคลุ้มคลั่งขึ้นมาเมื่อใด

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว…” หลัวเทียนเฉิงร้องเรียกนางเสียงหนึ่ง

 

 

เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว

 

 

เขาไม่ควรมั่นใจในตนเองเกินไป เมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของหย่วนซานจึงคิดจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมดเงียบๆ

 

 

เขาจึงตัดสินใจบอกนางไปตามความจริง

 

 

“ค่ำนี้หย่วนซานถือตะเกียงไปรับข้าที่หน้าประตู กล่าวตามจริงแล้วแม้ข้ามิได้มีความรู้สึกกับนางฉันหนุ่มสาว แต่เมื่อคิดถึงอดีตที่ผ่านมาจึงมิได้ปฏิเสธการมารับของนาง แต่ภายหลังข้ารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปของร่างกายจึงคิดว่าหย่วนซานต้องมีบางอย่างที่ผิดปรกติแน่ ข้าเลยผลักเรือตามน้ำยอมตามนางไปในห้องเพราะอยากจะรู้ว่านางจะทำอันใดกันแน่ แต่เจ้าก็มาพอดี”

 

 

เขายื่นมือออกไปจับร่างเจินเมี่ยวให้หันมาสบตากัน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “เจี๋ยวเจี่ยวข้ามิได้แก้ตัวนะ ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีอันใดกับหย่วนซานเลยและไม่มีทางที่จะทำอันใดกับนางแน่ ไม่ว่าเจ้าจะมาหรือไม่ ผลก็ยังคงเป็นเช่นเดิม”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถึงตรงนี้ก็หน้าม่อยขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

เกรงว่าวาจานี้คงไม่มีคนเชื่อแน่ ไม่ว่าผู้ใดก็คงคิดว่าเพราะเจี๋ยวเจี่ยวไปเห็นเข้าเรื่องดีงามนั้นจึงถูกทำลายลง

 

 

แต่ที่ต้องถูกเข้าใจผิดก็เป็นเพราะเขาเลือกวิธีผิดเองจึงไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะไปโวยวายอันใด

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยวข้าทำให้เจ้าต้องเสียใจ ข้าผิดไปแล้ว”

 

 

นิ่งเงียบอยู่นาน เจินเมี่ยวจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ว่าข้าจะไปหรือไม่ ท่านก็ยังควบคุมตนเองได้งั้นหรือ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า

 

 

เจินเมี่ยวแค่นยิ้มออกมา “หลัวเทียนเฉิง ท่านเห็นข้าเป็นคนโง่หรือจึงปลอบข้าเช่นนี้”

 

 

นางเบิกตามองใบหน้าที่ค่อยๆ ถอดสีของเขาแล้วจึงพอรู้สึกเบิกบานขึ้นมาบ้าง

 

 

ความจริงนางเชื่อเขา

 

 

บุรุษเช่นเขานั้นมิใคร่ชำนาญเรื่องการโป้ปดสักเท่าใดนัก

 

 

แต่ในเมื่อนางยังรู้สึกเจ็บปวดทรมานใจอยู่ แล้วเหตุจึงจะยอมให้อภัยเขาง่ายๆ เล่า เพื่อให้เขาสบายใจงั้นหรือ

 

 

เขาเองก็ต้องลิ้มชิมกับรสชาติอันแสนทรมานนี้เช่นกันจะได้จดจำไว้ให้มั่น!

 

 

การค้นหาความจริงให้กระจ่างนั้นมีนับพันนับหมื่นวิธี เขาอาจจะเลือกวิธีที่ได้ผลที่สุด แต่มันก็เป็นวิธีที่ทำให้นางเจ็บปวดทรมานที่สุดเช่นกัน!

 

 

หากเขามิเข้าใจในจุดนี้ ภายหน้าพวกเขาทั้งสองก็คงไปกันได้ไม่ถึงไหน

 

 

“ท่านออกไปเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงเรียบ

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับมิยอมขยับ

 

 

เจินเมี่ยวจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นว่า “หากท่านไม่ไป ข้าก็จะยิ่งโกรธกว่านี้”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงลุกขึ้น เขายิ้มขืนก่อนเอ่ยว่า “ได้ ข้าไปก็ได้”

 

 

เขาเดินย่ำทีละก้าวออกไป เงาร่างนั้นดูหงอยเหงาอย่างยิ่ง สุดท้ายจึงหันหลังกลับไปมองเจินเมี่ยวด้วยสีหน้าน่าสงสารยิ่ง

 

 

เจินเมี่ยวเบนสายตาหนีทันที

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยวข้าจะไปที่ห้องหย่วนซานเพื่อสืบหาความจริงสักหน่อย”

 

 

หลัวเทียนเฉิงกล่าวจบจึงจากไป เขามุ่งไปที่เรือนฝั่งตะวันตกทันที เมื่อเขาเข้าไปในห้อง องครักษ์ลับสองคนที่คอยท่าอยู่ก็ถึงกับผ่อนลมหายใจโล่งอกออกมา

 

 

หย่วนซานที่ขดตัวนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงก็มีสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที นางวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างไม่สนใจแม้แต่จะสวมรองเท้า

 

 

“ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้ว…” นางเอ่ยเสียงสะอื้น บนกายมีเสื้อตัวนอกสีชมพูคลุมไว้อย่างทุลักทุเล เห็นแล้วช่างทำให้คนรู้สึกสงสารอย่างยิ่ง

 

 

หลัวเทียนเฉิงชำเลืองมองนางด้วยสายตาเย็นชา แล้วเอ่ยกับองครักษ์ลับว่า “พวกเจ้ามิได้แตะต้องสิ่งของในห้องนี้เลยใช่หรือไม่”

 

 

“ขอรับ”

 

 

“ไปตามสิบเอ็ดมา”

 

 

องครักษ์ลับผู้หนึ่งจึงออกไป ผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชาก็มีสตรีแต่งกายเรียบง่ายผู้หนึ่งเดินเข้ามา นางทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “สิบเอ็ดคารวะนายท่าน”

 

 

“พวกเจ้าออกไปก่อน” หลัวเทียนเฉิงพูดกับองครักษ์ลับหนุ่มสองคนนั้น

 

 

รอจนพวกเขาออกไปแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็ชี้ไปที่หย่วนซานแล้วเอ่ยว่า “ค้นตัวนางให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม รวมทั้งเสื้อผ้าที่กองอยู่เหล่านั้นด้วย”

 

 

“ซื่อจื่อ!” หย่วนซานเบิกตาขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ตามด้วยความรู้สึกหวาดกลัวลนลาน

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับก้าวเท้าเดินออกไปทันที

 

 

เมื่อผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ สิบเอ็ดก็เชิญให้หลัวเทียนเฉิงเข้าไปในห้อง

 

 

“นายท่าน ข้าน้อยได้ตรวจดูเรียบร้อยแล้ว พบว่ามียาลูกกลอนสองเม็ดอยู่ในถุงหอมของนางซึ่งดูเหมือนว่ามันจะมิใคร่ปกติสักเท่าใดนัก”

 

 

“เจ้าชำนาญเรื่องนี้ที่สุด เอายาลูกกลอนนั้นไปศึกษาดูที”

 

 

“เจ้าค่ะ” สิบเอ็ดจึงออกไป

 

 

ภายในห้องเหลือเพียงหลัวเทียนเฉิงและหย่วนซานเพียงสองคน

 

 

“หย่วนซานข้าคิดว่าเจ้าเป็นสาวใช้ที่ฉลาดผู้หนึ่ง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องราวเป็นเช่นใดเจ้าก็พูดออกมาเถิดจะได้มิต้องเจ็บตัว อย่าทำให้ความอดทนสุดท้ายของข้าต้องหมดสิ้นลงจะดีกว่า!”

 

 

“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อ…” หย่วนซานคุกเข่าลงแทบเท้าหลัวเทียนเฉิงแล้วร้องไห้ออกมา นางเงยหน้าขึ้น แม้นน้ำตาจะเอ่อคลอจนมองไม่ถนัดแต่ใบหน้าอันเย็นชาของคนผู้นั้นกลับชัดเจนยิ่ง

 

 

นางนั่งลงพับลงกับพื้นทันที “บ่าว…บ่าวพูดแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

กระทั่งนางพูดจบ หลัวเทียนเฉิงจึงเลิกคิ้วขึ้น “อ้อ เจ้าจะบอกว่ายาลูกกลอนนั่นญาติผู้พี่ของเสวี่ยเยี่ยนให้นาง แล้วนางก็แบ่งให้เจ้างั้นหรือ”

 

 

“เจ้าค่ะ บ่าวไม่กล้าปิดบังท่านแม้แต่น้อยเลยเจ้าค่ะ”

 

 

“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” หลัวเทียนเฉิงก้าวเท้าออกไปทันที

 

 

“ซื่อจื่อ…” หย่วนซานพลันยื่นมือไปกอดขาเขาไว้

 

 

หลัวเทียนเฉิงก้มลงมองสตรีที่กำลังเกาะกอดเขาไว้

 

 

นางเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถามอย่างดึงดันว่า “เพราะเหตุใดเจ้าคะ”

 

 

“ปล่อย”

 

 

หย่วนซานแทบจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้วนางเอ่ยว่า “ท่านโปรดบอกบ่าวด้วยเถิดว่าเพราะเหตุใด ทั้งที่แต่ก่อนท่านมิได้เป็นเช่นนี้! เป็นเพราะต้าไหน่ไหน่ใช่หรือไม่ เพราะต้าไหน่ไหน่ไม่ยอมให้ท่านกับบ่าวอยู่ด้วยกัน?”

 

 

“เจ้าปล่อยก่อนแล้วข้าจะบอกเจ้าว่าเพราะเหตุใด”

 

 

หย่วนซานปล่อยมือ

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง มิได้มีท่าทีล้อเล่นแม้แต่น้อย “หย่วนซาน เจ้าฟังนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับต้าไหน่ไหน่ เป็นข้าเองที่อยากทำเช่นนี้และก็ทำแล้วด้วย”

 

 

“ไม่จริง ไม่จริง” หย่วนซานส่ายศีรษะอย่างบ้าคลั่ง “ซื่อจื่อ ท่านเคยบอกว่าชอบบ่าว แล้วเหตุใดจึงมิคิดจะอยู่กับบ่าวอีกแล้วเล่าเจ้าคะ”

 

 

นางพึมพำกับตัวแล้วประกายในตาก็สว่างวาบขึ้นโดยพลัน “ซื่อจื่อ บ่าวรู้แล้ว เป็นเพราะบ่าวมีฐานะต่ำต้อยใช่หรือไม่เจ้าคะ ทั้งที่บ่าวติดตามท่านมาก่อน ก่อนหน้านี้ท่านก็ดีกับบ่าวยิ่ง มิเช่นนั้นเหตุใดเมื่อมีต้าไหน่ไหน่ทุกอย่างถึงได้เปลี่ยนไปหมดเล่าเจ้าคะ หาก…หากบ่าวมีฐานะเช่นเดียวกับต้าไหน่ไหน่…”

 

 

หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “หย่วนซานเจ้าคิดซับซ้อนเกินไปแล้ว ความจริงนั้นง่ายมาก ข้าชอบต้าไหน่ไหน่แค่เพียงคนเดียวเท่านั้น หากเป็นคนที่ข้ารัก ต่อให้ฐานะจะต่ำต้อยเพียงใด ข้าก็ย่อมจะเก็บตำแหน่งภรรยาเอกไว้ให้แก่นางไม่มีทางให้เป็นแค่สาวใช้ทงฝังแน่”

 

 

หย่วนซานได้แต่อึ้งงัน หลัวเทียนเฉิงกลับเดินออกไปอย่างไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ

 

 

คนของเขาไปตามสืบเบาะแสอย่างไม่หยุดพัก

 

 

ไม่มีทางที่นางโลมธรรมดาผู้หนึ่งจะมียาชนิดนี้ได้

 

 

ดั่งคาด…ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็สามารถสืบเรื่องนี้ได้อย่างกระจ่างแล้ว

 

 

ญาติผู้พี่ของเสวี่ยเยี่ยนนั้นไม่ได้รับความนิยมแล้ว แม้แต่ดูแลตนเองยังแทบจะไม่รอด ไหนเลยจะมียาอัศจรรย์เช่นนี้มาให้เสวี่ยเยี่ยน

 

 

แต่เป็นนางเถียนต่างหากที่กลับไปเยี่ยมตระกูลมารดาบ่อยยิ่งในช่วงสองเดือนนี้ ช่างแปลกพิกลนัก

 

 

ไม่นานเรื่องของนางเถียนก็ถูกเขียนเป็นจดหมายลับส่งมาถึงหลัวเทียนเฉิง

 

 

เขามองจดหมายลับนั้นแล้วก็ได้แต่แค่นยิ้มเย็น

 

 

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตระกูลเถียนจะรับคนของเผ่าเย่ว์อี๋เข้ามาอยู่ด้วยไม่น้อยเลย ดูท่าคงหนีไม่พ้นความผิดที่ช่วยเหลือคนร้ายเป็นแน่

 

 

เขาไม่เคยคิดให้นางเถียนตายเลย

 

 

การตายนับเป็นอันใดได้ ช่วยให้นางสบายเกินไปเสียมากกว่า เขาต้องการให้นางได้รับความทรมานไปอีกนานแสนนานเพื่อตอบแทนความเจ็บปวดที่เขาเคยได้รับ!

 

 

แต่ในเมื่อนางใจร้อนถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเขาก็คงต้องช่วยเร่งเวลาให้นางแล้ว

 

 

ทว่าเรื่องนี้ไม่ควรเป็นเขาที่สืบพบเบาะแส

 

 

ควรต้องทราบว่าในสายตาคนทั้งหลายนั้นนางเป็นอาสะใภ้ที่ดูแลเขาดุจมารดาแท้ๆ เขาย่อมต้องทำตัวเป็น ‘บุตรที่ดี’ เช่นกัน

 

 

หลัวเทียนเฉิงเรียกให้คนผู้หนึ่งเข้ามาแล้วกำชับว่า “เอาข่าวนี้ไปแพร่งพรายแก่ใต้เท้าตู้ให้เขาล่วงรู้มันโดยบังเอิญ”

 

 

ตู้เยี่ยนเซิงเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินอีกผู้หนึ่ง เขามีอายุมากกว่าและมีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าหลัวเทียนเฉิง แต่เจาเฟิงตี้กลับโปรดปรานหลัวเทียนเฉิงมากกว่า

 

 

ภายนอกคนทั้งสองนั้นดูปรองดองกัน แต่เขารู้ว่าในใจของตู้เยี่ยนเซิงกลับมิยอมรับเขา คิดว่าตู้เยี่ยนเซิงคงรู้สึกยินดียิ่งหากได้หาเรื่องยุ่งยากมาให้เขาได้

 

 

เมื่อกำชับทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็กลับจวน เขาไปที่เรือนชิงเฟิงก่อน เมื่อยืนอยู่ข้างหน้าต่างอย่างโง่งมอยู่ครู่หนึ่งก็ก้าวเท้าไปที่เรือนฝั่งตะวันตก

 

 

มีบางเรื่องที่เขาคิดว่าถึงเวลาที่ต้องจัดการเสียที หากมัวแต่เมตตา สุดท้ายคนที่เสียใจก็คือคนที่เขารักที่สุด

 

 

สองวันมานี้คนที่ทุกข์ทนที่สุดก็คือหย่วนซาน ยามที่นางไปปรากฏกายต่อหน้าผู้อื่นนั้นจึงเห็นว่านางซูบผอมจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว

 

 

ฉุยซิงกับจิ้งสุ่ยไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงที่มิได้ย่างกรายมาที่เรือนฝั่งตะวันตกนานแล้วก็ดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยออกมาตามตรงว่า “วันนี้ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาเพราะมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูด พวกเจ้าสามคนติดตามข้ามานานหลายปีแล้ว สองปีนี้เป็นเช่นไรพวกเจ้าก็รู้ดีแก่ใจ วันนี้ข้าจึงขอพูดให้เข้าใจทั่วกันว่าต่อไปข้าจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องมีความหวังใดๆ อีกทั้งสิ้น หากพวกเจ้ายินยอม ข้าจะหาคนที่เหมาะสมให้พวกเจ้าแต่งออกไป หากไม่อยากแต่งงานจะไปอยู่กับญาติหรือปลีกตัวไปอยู่คนเดียวก็ได้ ข้าจะส่งคนไปดูแลอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าจะเลือกทางใดพวกเจ้าก็มิจำเป็นต้องกังวลเลย เช่นนั้นก็บอกข้ามาตอนนี้เถิดว่าจะตัดสินใจอย่างไร”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset