วาสนาบันดาลรัก 310 วิธีแก้ปัญหา

ตอนที่ 310 วิธีแก้ปัญหา

ร่างอันบอบบางหอมกรุ่นนั้นขยับเข้ามาใกล้ กายของหลัวเทียนเฉิงเห่อร้อนไปหมด ร้อนจนเขาเกิดความคิดที่อยากจะขจัดมันไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ใจของเขากลับค่อยๆ เย็นเยียบขึ้น

 

 

การสูญเสียการควบคุมเช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเขาได้!

 

 

คล้ายว่ามีเขาอีกผู้หนึ่งที่แยกร่างออกไปยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเฉยเมย

 

 

เขาอยากจะดูสักหน่อยว่าที่แท้แล้วมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่

 

 

หย่วนซานเห็นหลัวเทียนเฉิงมิผลักนางก็ยินดีอยู่ในใจ

 

 

ซื่อจื่อมิได้แตะต้องกายนางมาสองปีแล้ว ภายในความปีติอย่างที่สุดนี้ นางจึงมิไปสนใจกริยาท่าทีที่สตรีควรมีอีกต่อไปแล้ว นางยื่นมือขาวดุจหยกเข้าไปกอบกุมกระโจมน้อยนั้นของเขาไว้โดยที่มิเดินเข้าไปแม้แต่ในห้องนอนด้วยซ้ำ

 

 

หลัวเทียนเฉิงพลันสูดพลันหายใจเข้าท้อง แล้วกัดริมฝีปากไว้กระทั่งได้กินคาวโลหิตจางๆ คล้ายมีน้ำแข็งก่อตัวขึ้นในแววตาเบื้องลึกของเขากระนั้น เขาจ้องพินิจหย่วนซานด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

หย่วนซานถอดเสื้อตัวนอกทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เสื้อผ้ายามวสันต์นั้นมิได้หนาและสวมใส่ยุ่งยากเท่าเสื้อผ้ายามเหมันต์ ชุดที่หย่วนซานใส่ในวันนี้ก็บางเป็นพิเศษ นางจึงใช้เวลาเพียงไม่นานก็ปลดเปลื้องจนเหลือเพียงเสื้อตัวในสีขาวหิมะตัวเดียว

 

 

เมื่อชุดกระโปรงนั้นร่วงลงสู่พื้น หลิ่นหอมนั้นก็ยิ่งส่งกลิ่นฉุนมากขึ้นกว่าเดิม

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้สึกถึงความปวดหนึบตรงบริเวณนั้นขึ้นมา ความเจ็บปวดนี้มันช่างรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ คล้ายว่าหากมิสอดตัวผสานกายกับสตรีตรงหน้าร่างของเขาก็จะระเบิดออกมากระนั้น

 

 

ทว่าความปวดหนึบชนิดนี้กลับทำให้เขามีสติมากยิ่งโดยแยกออกจากกายของเขาอย่างสิ้นเชิง

 

 

หย่วนซานในตอนนี้เป็นหย่วนซานคนเดียวกับที่เคยให้เงินเขาตอนตกอับเมื่อชาติก่อนหรือไม่

 

 

เป็นหยวนซานที่ยอมตายเพียงเพราะไม่ยินยอมที่จะแต่งงานกับบุรุษอื่น?

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้สึกสับสนขึ้นมา

 

 

คล้ายว่าตรงหน้าเขานั้นมีความมืดมิดทะมึนอันไร้ขอบเขต และเขาก็เป็นเพียงเรือไม้ใบที่ลอยเคว้งอยู่เพียงลำพังและพยายามที่จะลอยตัวอยู่ให้ได้บนน้ำอันเย็นยะเยือกในความมืดมิด

 

 

ที่แท้แล้วอันใดคือถูก อันใดคือผิด คนที่เคยทำร้ายเขาเมื่อชาติก่อนเขาย่อมเอาคืนอย่างไม่ไว้ไมตรี ผู้ที่มีบุญคุณต่อเขา เขาย่อมปฏิบัติด้วยอย่างดี เช่นนี้มีอันใดไม่ถูกต้องหรือ

 

 

ข้อยกเว้นหนึ่งเดียวนั้นมีเพียงเจี๋ยวเจี่ยว

 

 

คำสองคำนี้คล้ายดั่งลำแสงสว่างสายหนึ่งที่มาขับไล่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดนั้นออกไปในทันใด

 

 

‘ชีวิตของคนผู้หนึ่งตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบใหญ่นั้น การเลือกทางเดินบางอย่างโดยไม่รู้ตัวอาจจะเปลี่ยนตัวเขาไปตลอดกาล ท่านจะเห็นเพียงสิ่งที่พวกเขาเป็นในตอนสุดท้าย แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นเด็กน้อยที่เคยเห็นเมื่อคราแรกเริ่มเล่า?’

 

 

วาจาที่เจินเมี่ยวเคยเอ่ยนั้นดังขึ้นข้างหูคล้ายแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ขับไล่หมอกควันที่ทำให้คนสับสนให้มลายหายไป

 

 

ใช่แล้ว หย่วนซานตรงหน้ากับหย่วนซานเมื่อชาติก่อนนั้นมีส่วนที่เหมือนกันและส่วนที่ไม่เหมือนกัน ไม่! อาจบอกได้ว่าเป็นเพราะการปฏิบัติตัวของเขาที่มีต่อหย่วนซานในชาตินี้ไม่เหมือนเดิม นางจึงเลือกทางเดินที่ต่างออกไปเช่นกัน

 

 

‘ซับซ้อน’ นั่นแลจึงเรียกว่ามนุษย์ที่แท้จริง

 

 

การกระทำของหย่วนซานในชาติก่อนนั้นทำให้เขาอภัยให้นางได้ในหลายๆ สิ่งแต่กลับมิได้มีผลต่อการตัดสินใจของเขาอย่างเด็ดขาด

 

 

ชั่วขณะนี้หลัวเทียนเฉิงกลับกระจ่างแจ้งขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

หย่วนซานหน้าแดงก่ำ ดวงตาปรือ ผมยาวสลวยที่ไม่ทราบถูกปล่อยกระจายลงมาตั้งแต่เมื่อใด คล้ายพรายน้ำที่มาพร้อมไอหมอกที่คอยกอดเกี่ยวรอบคอของหลัวเทียนเฉิงอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมจางๆ

 

 

นางเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อยหวังประทับจุมพิตที่ริมฝีปากเขา

 

 

เมื่อเขาเห็นริมฝีปากบางนั้นเผยอขึ้นเล็กน้อยก็ก้มหน้าพ่นวาจาหนึ่งออกมา “หย่วนซาน เจ้าพรมสิ่งใดบนกายข้า?”

 

 

คนทั้งสองยังคงยืนอยู่ส่วนด้านหน้านอกห้องนอน แสงตะเกียงอันริบหรี่นั้นได้สาดสะท้อนให้เงาของคนทั้งสองปรากฏขึ้นบนผ้าม่านโปร่งสีเขียวหยกที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ไม่นานนี้เอง

 

 

ตอนที่ไป๋เสาถือโคมเดินเข้ามาก็เห็นยาวสูงโปร่งดุจต้นสนเขียวของบุรุษผู้หนึ่งยืนตัวตรงดุจพู่กันอยู่ ส่วนเงาอันอรชรดุจกิ่งหลิวของสตรีนั้นยกสองมือขึ้นถอดชุดกระโปรงของตนออกอย่างรวดเร็ว

 

 

นางเห็นกระทั่งชุดกระโปรงที่ปลิวลอยร่วงหล่นลงพื้นไปอย่างรวดเร็วภายใต้เงาที่สะท้อนอยู่บนผ้าม่านของหน้าต่าง

 

 

ไป๋เสาหน้าแดงขึ้นมาทันใด

 

 

ส่วนหนึ่งคือเขินอาย อีกส่วนหนึ่งคือโทสะ

 

 

คนทั้งสองที่อยู่ด้านในนั้นต้องรีบร้อนเพียงใดกัน จึงได้ถอดเสื้อปลดชุดกันตั้งแต่ยังมิทันได้เข้าไปในห้องนอนเลยด้วยซ้ำ!

 

 

ต้าไหน่ไหน่ช่างโง่เขลานัก!

 

 

ไป๋เสาคิดถึงเจินเมี่ยวแล้วก็รู้สึกว่าวาจาทั้งหลายที่นางเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่นั้นช่างดูโง่เขลายิ่ง แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างที่สุดแทนนางด้วยเช่นกัน

 

 

ไป๋เสาหมุนกายจากไปอย่างรีบร้อนแต่ตอนที่จะเดินผ่านประตูเย่ว์ต้งก็ไม่ทราบว่าเท้าไปสะดุดกับสิ่งใดเข้าจึงเซถลาไปด้านหน้า ทว่านางคว้ากำแพงไว้ได้จึงมิล้มคะมำลงไปแต่หน้าผากกลับชนเข้าที่ขอบประตู

 

 

ความเจ็บลึกนั้นประเดประดังเข้ามา โคมในมือจึงร่วงหล่นลงพื้น แสงไฟกะพริบปริบๆ ครู่หนึ่งก็ดับไป

 

 

เมื่อความมืดมิดมาเยือนกะทันหัน ไป๋เสาจึงมองทางข้างหน้าไม่เห็นอันใดเลย แต่นางกลับไม่สนใจยังคงรีบร้อนเดินมุ่งหน้าต่อไป

 

 

นางผลักประตูออกโดยแรง เจินเมี่ยวที่เช็ดผมเสร็จแล้วกำลังนั่งอยู่บนตั่ง มีเยี่ยอิงถือหวีทรงเขาวัวสีเหลืองเข้มที่ยืนอยู่ด้านหลังคอยหวีผมให้

 

 

นี่เป็นเรื่องที่เยี่ยอิงนั้นทำเป็นปกติทุกครั้งหลังจากเจินเมี่ยวสระผมเสร็จ ทว่าวันนี้เยี่ยอิงกลับดูเหม่อลอยเป็นพิเศษ ในช่วงขณะก่อนที่ไป๋เสาจะเข้ามานั้นนางก็เผลอลากหวีแรงไปทำให้เส้นผมดำขลับของเจินเมี่ยวขาดออกมาถึงสองเส้น

 

 

เจินเมี่ยวร้องโอ๊ยด้วยความเจ็บคราหนึ่งแต่มิได้เอ่ยตำหนิเยี่ยอิง ทว่ากลับมองไปยังไป๋เสาที่ใบหน้าขาวซีดซึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู

 

 

“ไป๋เสา?”

 

 

ไป๋เสาคล้ายรู้แล้วว่าท่าทีของตนนั้นออกจากเสียกิริยาไปสักหน่อยจึงฝืนยกมุมปากขึ้นยิ้ม แล้วพยายามใช้น้ำเสียงอันราบเรียบที่สุดเอ่ยออกไปว่า “ต้าไหน่ไหน่ ซื่อจื่อ…ซื่อจื่อคงนอนกับ…”

 

 

“นอน?” เจินเมี่ยวลุกขึ้นทันใด “ที่ห้องของหย่วนซานหรือ”

 

 

ดวงตาคู่นั้นของนางงดงามอย่างที่สุด ทั้งสุกใสและแวววาว แต่ไป๋เสากลับไม่กล้ามองจึงทำเพียงพยักหน้าเบาๆ ทุกคราที่พยักหน้าล้วนรู้สึกหนักอึ้งนับพันชั่ง

 

 

กระทั่งยามคิดถึงวาจาอันแสดงถึงความเชื่อใจของต้าไหน่ไหน่เมื่อครู่แล้วนางยังรู้สึกแย่และเจ็บปวดแทน

 

 

“ข้าไม่เชื่อ” เจินเมี่ยวเม้มปากตน แล้วก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอกทันที “ข้าจะไปดูให้เห็นกับตา”

 

 

ไป๋เสารีบเข้าไปขวางไว้ตามสัญชาตญาณ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ต้าไหน่ไหน่ ท่านไม่ได้นะเจ้าคะ!”

 

 

เจินเมี่ยวมิได้เอ่ยวาจาใด เพียงเลิกคิ้วขึ้นเท่านั้น

 

 

ไป๋เสากัดฟันตนเอ่ยออกมาว่า “ซื่อจื่อกำลังอยู่กับหย่วนซาน ท่านจะไปไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ”

 

 

หากเห็นภาพเช่นนั้นคงต้องเสียใจมากแน่!

 

 

เจินเมี่ยวชะงักเท้าครู่หนึ่ง แต่ก็เพียงครู่หนึ่งเท่านั้น สุดท้ายนางก็เดินอ้อมไป๋เสาแล้วพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ไป๋เสากับเยี่ยอิงต่างตกตะลึงขึ้นพร้อมกัน อาหลวนรีบหยิบเสื้อคลุมกันลมที่พาดอยู่บนฉากบังลมแล้ววิ่งตามไปทันที

 

 

ไป๋เสาและอาหลวนจึงวิ่งตามไปติดๆ

 

 

เจินเมี่ยววิ่งเร็วดุจบินได้ก็มิปาน นางนั้นมือเท้าว่องไวกว่าอาหลวนยิ่ง เมื่อทะยานวิ่งออกไปเช่นนี้ มีหรืออาหลวนที่มือถือเสื้อคลุมไปด้วยนั้นจะตามทัน

 

 

ครั้นเห็นเงาร่างของคนสองคนที่แนบชิดกันสะท้อนอยู่บนผ้าม่านหน้าต่าง นางกลับมิได้จากไปอย่างสิ้นหวังดั่งสตรีส่วนใหญ่

 

 

หูฟังอาจเพี้ยนตาเห็นจึงเป็นจริง ทว่าบางคราการมองเห็นก็สามารถหลอกคนได้เช่นกัน

 

 

แค่เพียงเงาเท่านั้น หากคนทั้งสองยืนผิดตำแหน่งทำให้เกิดภาพที่ผิดเพี้ยนก็เป็นได้!

 

 

นางจะต้องเห็นเขากับตาอย่างชัดเจนจึงสามารถสงบจิตใจได้

 

 

หรือไม่ก็ตัดใจได้!

 

 

หากยังมิเข้าใจอย่างกระจ่างก็หมุนกายจากไปเงียบๆ แล้วตัดสินโทษตายให้แก่คนผู้นั้นทันทีย่อมมิใช่วิสัยของนางแน่

 

 

หลัวเทียนเฉิงเดินตามหย่วนซานเข้าห้องไปเพราะเขาสงสัยและอยากจะรู้ว่านางใช้วิธีใดถึงทำให้ร่างกายของเขามีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาได้

 

 

เขากล้าบอกได้เลยว่า หากเกิดปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเช่นนี้ขึ้นกับบุรุษอื่นนั้นเกรงว่าคงมิอาจยับยั้งต้านทานได้แน่

 

 

เรื่องนี้เป็นแผนของอารองกับอาสะใภ้รองหรือพวกเผ่าเย่ว์อี๋ รัชทายาทพระองค์ก่อนหรือไม่

 

 

เขาสืบเรื่องนี้มานานแล้ว แม้จะยังไม่พบข้อมูลอันใดนักแต่ก็พอจะรู้ว่าเผ่าเย่ว์อี๋นั้นดูเหมือนจะมีความแค้นกับจวนกั๋วกงเป็นพิเศษ

 

 

เรื่องนี้เข้าใจไม่ยากเลย เพราะบิดาของเขาเป็นผู้คอยสนับสนุนจั่งกงจู่เองทั้งยังเป็นผู้นับทัพเข้าไปบุกโจมตีเผ่าเย่ว์อี๋ด้วย เมื่อเผ่าพันธุ์ต้องสูญสิ้นก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะเอาความแค้นทั้งหมดมาโยนใส่จวนเจิ้นกั๋วกง

 

 

เดิมนั้นหลัวเทียนเฉิงก็มิได้คิดว่าจะเข้ามาร่วมหลับนอนกับผู้ใด เขาจึงมิได้ขัดประตูไว้

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวมาถึงหน้าประตู นางก็ผลักประตูเปิดออกอย่างไม่ลังเลและไม่อยากที่จะลังเล

 

 

นางเห็นภาพทุกอย่างที่อยู่ภายในห้องอย่างชัดเจน

 

 

“หย่วนซาน เจ้าพรมสิ่งใดบนกายข้า?” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา ครั้นเอ่ยจบ สองมือแขนของหย่วนซานก็เข้ามาคล้องคอเขาไว้พอดี

 

 

ผู้หนึ่งเอ่ยถาม ผู้หนึ่งตกใจ

 

 

หย่วนซานที่กำลังเขย่งเท้าอยู่นั้นถึงกลับลืมกริยาทุกอย่าง ในหัวขาวโพลนไปหมด

 

 

วิธีเค้นความจริงของหลัวเทียนเฉิงนั้นคือการทำให้อีกฝ่ายเกิดความกดดันแล้วเอ่ยความจริงออกมาโดยไม่รู้ตัว และถ้าหากอยากสร้างความกดดันที่ว่านั้นก็ต้องรักษาท่าทีสุขุมนุ่มลึกยากจะคาดเดาเอาไว้และเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุดเพื่อมิให้อีกฝ่ายรู้ตัวเสียก่อน

 

 

ในขณะที่คนทั้งสองกำลังอยู่ในอิริยาบถที่กล่าวมา พวกเขาก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออกจึงหันไปมองพร้อมกัน

 

 

หลัวเทียนเฉิงตัวแข็งค้างขึ้นมาทันใด

 

 

เจินเมี่ยวสวมเพียงเสื้อตัวในสีขาวราวหิมะ ที่เท้าสวมรองเท้าผ้าบางสีเหลืองอ่อน ผมดำขลับนั้นปล่อยสยายปลิวสะบัดตามการเคลื่อนไหวเมื่อยามเปิดประตูออก แล้วหยุดยืนอยู่ระหว่างความมืดและสว่างคล้ายวิญญาณบุปผาที่แปลงกายขึ้นจากหมอกในยามราตรีที่พร้อมจะปลิวละล่องไปตามลมได้ทุกเมื่อ

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว!”

 

 

เวลานี้เองที่ความหวาดกลัวอย่างยิ่งยวดได้จู่โจมเข้ามา หลัวเทียนเฉิงรีบวิ่งเข้าไปหาแล้วจับมือนางไว้

 

 

เขากลัวว่านางจะหันกายจากไปแล้วไม่ไยดีเขาอีกเลยนับตั้งแต่จากนี้

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าฟังข้าก่อน!”

 

 

เจินเมี่วมองหย่วนซานที่สวมเสื้อตัวในเช่นเดียวกันกับตนคราหนึ่ง

 

 

รูปแบบของเสื้อตัวในที่สวมใส่ก็ไม่ต่างกันมากนัก ส่วนมากก็มักเป็นสีขาว ยามนี้ทั้งสองยังใส่เสื้อตัวในเหมือนกันอีก ดูไปแล้วก็แทบไม่ต่างอันใดกันเลย

 

 

หนึ่งภรรยาหนึ่งสาวใช้ต่างสวมใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกันยืนเผชิญหน้าอยู่กับบุรุษผู้เป็นสามีในห้องของสาวใช้ทงฝัง สำหรับภรรยาเอกแล้วมันคือเหยียดหยามชนิดใดกัน!

 

 

ไป๋เสาและอาหลวนที่ตามมาถึงต่างก็ใช้สายตาโกรธเคืองมองไปที่หลัวเทียนเฉิงและหย่วนซานที่หน้าดำดุจดิน

 

 

พวกนางคิดว่าที่หย่วนซานมีสีหน้าย่ำแย่เช่นนี้เพราะถูกต้าไหน่ไหน่เข้าไปขัดขวางเรื่องดีงามของตนยังต้องฟังซื่อจื่อเอ่ยอันใดอีก เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว พูดอันใดออกมาก็คงเป็นเพียงคำแก้ตัว!

 

 

ทุกคนล้วนคิดเช่นนี้

 

 

แม้แต่หย่วนซานที่เพิ่งมีสติคืนมาจากความตกใจในคำถามเมื่อครู่ของหลัวเทียนเฉิงก็ยังเกิดความรู้สึกสุขใจชนิดหนึ่งซึ่งยากจะบรรยายออกมาได้เมื่อเห็นเจินเมี่ยวที่สวมใส่เสื้อผ้ายังไม่เรียบร้อยดีนั้น

 

 

ถูกต้อง…นางรู้สึกอิจฉาริษยาสตรีผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าตนจนแทบบ้าคลั่ง!

 

 

นางไม่ขออันใดมากเลย ขอแค่ได้อยู่เคียงข้างซื่อจื่อไปชั่วชีวิตก็พอ ซื่อจื่อมีภรรยาแล้วนางมิกล้าคิดแย่งชิงด้วยซ้ำ แค่มาหานางเดือนละครั้งสองครั้งให้นางได้ใกล้ชิดเขาบ้าง นางก็พอใจแล้ว

 

 

แต่สตรีผู้นี้กลับมิยอมให้โอกาสนางแม้แต่น้อยนิด!

 

 

มีสิทธิ์อันใด

 

 

นางเป็นสาวใช้ทงฝังของซื่อจื่อมีหน้าที่ปรนนิบัติซื่อจื่อมิใช่หรือ

 

 

นางทำผิดอันใดเล่า

 

 

เพียงเพราะนางมีฐานะต่ำต้อย ดังนั้นแม้จะพบกับซื่อจื่อและเป็นคนของเขาก่อนด้วยซ้ำ แต่โอกาสที่จะได้อยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิตอย่างเจียมตัวกลับไม่มีสักนิดเลยหรือ

 

 

แม้แต่หวงโฮ่วยังมิบ้าอำนาจถึงเพียงนี้!

 

 

ความหวาดกลัวอันมากหลายที่เกิดขึ้นเพราะถูกหลัวเทียนเฉิงจับได้ถึงความผิดปกติของหย่วนซานนั้นได้อันตรธานหายไปในเวลานี้เอง นางเผยท่าทีหงุดหงิดระคนขมขื่นที่เรื่องดีงามของตนถูกขัดขวางออกมาตามสัญชาตญาณแทบจะในทันที แล้วจึงคุกเข่าลงเสียงดังพลั่กคราหนึ่ง ทั้งเอ่ยด้วยตัวสั่นงันงกในขณะที่สวมเสื้อตัวในอยู่ว่า “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวผิดเองเจ้าค่ะ อย่าได้เข้าใจซื่อจื่อผิดไปเลย!”

 

 

ซื่อจื่ออยู่ในห้องนาง บริเวณนั้นของเขายังคงชูชันอยู่เพราะผลจากกลิ่นหอมนั่น เข้าใจผิดอันใดกัน เหอะๆ

 

 

หย่วนซานอยากจะหัวเราะออกมาเหลือเกิน

 

 

หากต้าไหน่ไหน่กับซื่อจื่อผิดใจกันขึ้นมา บางทีนางอาจจะได้ใกล้ชิดกับซื่อจื่อขึ้นมาจริงๆ แล้วก็ได้ว่าหรือไม่

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset