วาสนาบันดาลรัก 309 ความเชื่อใจ

ตอนที่ 309 ความเชื่อใจ

คิ้วงามดั่งหุบเขาในเมฆหมอกอันแสนไกล นัยน์ตาคล้ายสายน้ำยามวสันต์ที่พลิ้วไหว หย่วนซาน[1]ช่างงดงามนัก หลัวเทียนเฉิงในชาติก่อนคิดว่าตนฉลาดหนักหนา เขาตั้งชื่อให้กับสาวใช้ผู้เองทั้งยังเคยชอบนางยิ่ง

 

 

แน่นอนว่าความชอบชนิดนี้มิอาจเรียกได้ว่าเป็นความรักของหนุ่มสาว มันเป็นเพียงแค่ชมชอบหลงใหลในสิ่งงดงามน่ามองเท่านั้น ความรู้สึกที่บุรุษในยุคสมัยนี้มีต่อสาวใช้ทงฝังหรืออนุของตนมากที่สุดก็คงมีเพียงเท่านี้แล้ว

 

 

พูดตามตรงคือสาวใช้ทงฝังนั้นมีไว้เพื่อความบันเทิงของบุรุษเท่านั้น หากทำตัวดี บุรุษก็ย่อมเอ็นดูมากสักหน่อย หากมีวันใดมิได้ดั่งใจก็สามารถละทิ้งได้ทันที แล้วเปลี่ยนไปหาคนที่สวยงามน่ามองมากยิ่งกว่าเท่านั้นเอง

 

 

แต่หลัวเทียนเฉิงนั้นเป็นบุคคลที่ตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง เขาย่อมมีความคิดต่อสาวใช้ทงฝังที่งดงามดุจบุปผาดั่งหยกเหล่านั้นแตกต่างไปจากคนทั่วไปเป็นธรรมดา

 

 

หรืออาจจะพูดว่าเป็นเพราะเรื่องที่เจินเมี่ยวคบชู้ในชาติก่อนทำให้เขากลายเป็นฆาตกร จนต้องไปเป็นนักโทษเสริมกำลังในกองทหาร เผชิญเรื่องทุกข์ทรมานต่างๆ ดังนั้นความคิดของเขาที่มีต่อสตรีเพศจึงแตกต่างจากบุรุษทั่วไป

 

 

ครั้นพบสตรีงดงามผู้หนึ่งมายืนรอตนอยู่ตรงนี้ เขากลับมิได้คิดว่านางมารอเขา แต่คิดว่านางกำลังจะก่อเหตุอันใดบางอย่างมากกว่า

 

 

สีหน้าของเขาพลันเคร่งขรึมขึ้นมา แววตามืดดำกว่าฟ้าในยามราตรีนี้เสียอีก น้ำเสียงเย็นชาไร้ความอบอุ่นใด “เจ้ามาทำอันใดที่นี่”

 

 

น้ำเสียงที่เย็นเยียบเช่นนี้ไม่ต่างอันใดกับการสาดน้ำเย็นเฉียบถังหนึ่งใส่ร่างหย่วนซานทำให้นางหนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจ ขนลุกซู่ขึ้นมาทั่วกายคล้ายมิได้อยู่ในวสันตฤดูอันอบอุ่นแต่อยู่ในเหมันตฤดูที่เหน็บหนาว

 

 

ใบหน้านางค่อยๆ ขาวซีดขึ้นแต่เมื่อคิดว่าจะต้องบีบเม็ดยานั้นให้แตกยามหลัวเทียนเฉิงเดินผ่านไป นางก็เริ่มมีความเชื่อมั่นขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

กลิ่นหอมนั้นมิฉุนเกินไปจึงถูกกลิ่นหอมที่สตรีมักประพรมกลบจนสิ้น ไม่มีทางที่จะถูกผู้คนสงสัยแน่

 

 

ที่สุดสำคัญคือนางโชคดีไม่เลว นางมาคอยอยู่ที่นี่มาสองสามวันแล้ว และวันนี้ซื่อจื่อก็มาเสียที นางบีบเม็ดยานั้นแตกทันทีโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะลังเล ทว่าหากซื่อจื่อมิได้ดื่มสุรา เม็ดยาอันล้ำค่านี้ก็คงเสียไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว

 

 

ในขณะที่กำลังครุ่นคิดนางก็ได้กลิ่นสุราจางๆ มาจากกายของซื่อจื่อ

 

 

ดูเอาเถิดแม้แต่สวรรค์ก็ยังเข้าข้างนาง แล้วนางจะมีเหตุผลใดที่จะทำไม่สำเร็จเล่า

 

 

หย่วนซานให้กำลังใจตนอยู่เงียบๆ นางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ดวงตางดงามนั้นจ้องมองหลัวเทียนเฉิง น้ำเสียงอ่อนโยนคล้ายสายน้ำพลิ้วไหวยามวสันต์ “ซื่อจื่อ บ่าวมารอท่านเจ้าค่ะ ฟ้ามืดแล้วทางเดินก็ลื่น บ่าวจึงมาถือตะเกียงให้ท่านเจ้าค่ะ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น

 

 

เขาย่อมต้องเข้าใจในความหมายของหย่วนซาน

 

 

หากเอ่ยถึงสาวใช้ทงฝังหลายคนในชาติก่อนของเขา หย่วนซานคือคนที่จริงใจกับเขาอยู่หลายส่วน ตอนที่เขาสูญเสียตำแหน่งคุณชายผู้สืบทอดทั้งยังกลายเป็นนักโทษก็มีเพียงหย่วนซานที่ไปเยี่ยมเขา ทั้งยังเอาเงินให้เขาอีกนับสิบตำลึง

 

 

ตอนที่เขาอับจนและเศร้าเสียใจอย่างที่สุด ไมตรีนั้นเขาจดจำไว้ในใจตลอดมา ภายหลังเขาจับน้องสามของตนในสงครามจึงถามถึงสาวใช้ผู้นั้นที่เคยมีใจจงรักภักดีต่อเขา น้องสามแค่นยิ้มเย็นแล้วบอกกับเขาว่า หย่วนซานตายไปนานแล้ว นางเถียนไม่อยากให้พวกนางอยู่ในเรือนจึงหาคนให้แต่งออกไป หยวนซ่านจึงวิ่งชนกำแพงตาย

 

 

เขายังจำท่าทีโกรธแค้นและเหยียดหยามของน้องสามได้ ‘พี่ใหญ่ ท่านเห็นหรือไม่ ขอเพียงเป็นคนใกล้ชิดกับท่านต่างก็ต้องพบจุดจบอันเลวร้าย! ทั้งที่ท่านเป็นผู้ทำผิดแต่กลับมิยอมรับโทษ แต่กลับไปเป็นบ่าวรับใช้กบฏจนทำให้จวนเจิ้นกั๋วของเราต้องเผชิญกับความยากลำบาก!’

 

 

หลัวเทียนเฉิงได้ฟังแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งใจในตัวสาวใช้ผู้จงรักผู้นั้นอยู่หลายส่วน

 

 

แน่นอนว่าเป็นเพราะนางเถียนตั้งใจจะแก้แค้นที่หย่วนซานให้เงินหลัวเทียนเฉิงจึงคิดยกนางให้กับพ่อบ้านที่ป่วยเป็นกามโรค แต่คุณชายสามสกุลหลัวมิได้เอ่ยถึงเพราะเขาไม่รู้รายละเอียดเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็เป็นสาวใช้ทงฝังของพี่ใหญ่ เขาย่อมมิไปใส่ใจอันใดมากนักแค่ได้ยินบ่าวไพร่พูดคุยกับโดยบังเอิญไม่กี่คราจึงได้ทราบว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น

 

 

ดังนั้นแม้หลัวเทียนเฉิงจะตัดสินใจว่าจะอยู่ห่างจากสาวใช้ทงฝังทุกคนแต่กับหย่วนซานนั้นอย่างไรก็มีความแตกต่างกันอยู่หลายส่วน

 

 

แตกต่างเช่นไรหรือ

 

 

หากเป็นฉุยซิง จิ้งสุ่ยหรือคนอื่นๆ มายืนรอที่นี่ เกรงว่าเขาคงจะเตะกระเด็นไปไกลโดยไม่พูดจาอันใดสักคำแล้ว แต่เมื่อเป็นหย่วนซาน เขากลับยังมีความอดทนพอที่จะเอ่ยปฏิเสธ “ไม่ต้องถือตะเกียงให้ข้าดอก ข้ามองเห็น”

 

 

เขาพูดแล้วก็เดินก้าวยาวผ่านหย่วนซานไป กลิ่นหอมคล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นกำจายออกมาจากร่างนาง ไม่ทราบด้วยเหตุใด ใจของเขาก็พลันร้อนรุ่มขึ้นมาจึงชะงักฝีเท้าตนอย่างไม่รู้ตัว

 

 

หย่วนซานจับแขนเสื้อหลัวเทียนเฉิงไว้ทันที “ซื่อจื่อ“

 

 

หลัวเทียนเฉิงก้มหน้ามองมือนวลดุจที่จับแขนเสื้อเขาไว้แล้วขมวดคิ้วมองหน้าหย่วนซาน

 

 

“ซื่อจื่อ บ่าวมิกล้าขออันใดมาก เพียงอยากถือตะเกียงส่องทางให้ท่านเท่านั้น ท่านโปรดอย่าปฏิเสธบ่าวเลย ได้หรือไม่เจ้าคะ” นางเงยหน้าขึ้น ประกายคลื่นในดวงตาเต้นระริกอยู่ภายใน เป็นความรักความรู้สึกที่มิอาจปิดบังเอาไว้ได้

 

 

ไม่ทราบเหตุใดหลัวเทียนเฉิงจึงรู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจมากยิ่งขึ้นอีก

 

 

เมื่อต้องเผชิญกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรักความอาวรณ์ เขาก็ไพล่คิดไปว่าตนมิเคยได้เห็นท่าทางเช่นนี้จากเจี๋ยวเจี่ยวเลย แม้นางจะเริ่มชอบเขาแล้วแต่ความต่างระหว่างรักกับชอบนั้นมองแค่แวบเดียวก็สามารถแยกออกได้ชัดเจน

 

 

เขาเป็นคนละโมบยิ่งจึงอยากจะได้รับจากนางให้มากกว่านี้

 

 

กลิ่นหอมนั้นลอดมุดเข้าไปในโพรงจมูกหลัวเทียนเฉิงอย่างไร้สุ้มเสียง ทำให้เขารู้สึกสับสนวุ่นวายใจขึ้นมา

 

 

“ไปเถิด” เขาพยักหน้ารับดั่งพูดบอกเทพสั่ง

 

 

หย่วนซานพลันผลิยิ้มออกมาทันที รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ภายใต้แสงจันทร์อันขมุกขมัวนี้มันช่างดูงดงามอย่างยากจะบรรยายออกมาได้

 

 

ไม่ว่าใครก็ตามหากพบคนผู้หนึ่งที่เผยรอยยิ้มแห่งความรักภักดีอย่างหมดใจให้เขาก็คงยากที่จะไม่เกิดความซึ้งใจ

 

 

ในช่วงเวลาที่ไม่ทันรู้ตัวนี่ความรู้สึกปิดกั้นที่มีมาแต่แรกก็จืดจางลงไปหลายส่วน แต่ภาพที่นางช่วยเหลือตนในชาติก่อนกลับค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้น

 

 

คนทั้งสองผู้หนึ่งเดินนำหน้า ผู้หนึ่งเดินตามหลัง แต่หย่วนซานก็ทิ้งห่างหลัวเทียนเฉิงไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างยังคงได้กลิ่นกายของกันและกัน

 

 

เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่กำจายออกมาจากกายนาง นางก็ได้กลิ่นหอมของสุราที่คละคลุ้งออกมาจากกายเขา กลิ่นหอมสองชนิดนี้รัดรึงผสมผสานกันอยู่ทั่วบริเวณคล้ายแยกพวกเขาออกจากโลกภายนอกไปในทันที

 

 

เมื่อหลัวเทียนเฉิงเดินผ่านประตูไปจึงรู้สึกตัวว่านี่คือเรือนฝั่งตะวันตก เรือนพักของหย่วนซาน!

 

 

ร่างกายของเขาถึงกับมีปฏิกิริยาขึ้นมาโดยที่เขาไม่ทันแม้แต่จะรู้ตัว บริเวณใต้ท้องน้อยของชุดคลุมตัวยาวสีเขียวเข้มถูกผลักออกมาจนเกิดเป็นกระโจมเล็กหลังหนึ่ง

 

 

“ซื่อจื่อ…” เมื่อเห็นมีปฏิกิริยาเช่นนั้นหย่วนซานก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหวอีกจึงซบลงบนอกเขาด้วยร่างอันอ่อนปวกเปียก

 

 

กลิ่นนั้นกลับส่งกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้น

 

 

มู่จือที่ยืนอยู่มุมประตูนั้นแทบจะบินทะยานเข้าไปในเรือนเลยทีเดียว

 

 

นางเป็นสาวใช้ขั้นสามและเพิ่งมารับตำแหน่งแทนเจี้ยงจูได้ไม่นานจึงไม่มีสิทธิ์ดูแลรับใช้ใกล้ชิดเจินเมี่ยว ยามนี้ฟ้าก็มืดแล้ว เมื่อนางวิ่งพรวดพราดเข้ามาจึงถูกไป๋เสาขวางไว้

 

 

“ต้าไหน่ไหน่กำลังอาบน้ำ วิ่งลนลานเข้ามาในนี้ทำอันใดกัน”

 

 

มู่จือร้อนใจจนวางเท้าไม่ติดพื้นแล้ว “พี่ไป๋เสา ข้าเห็น…เห็นซื่อจื่อไปที่เรือนฝั่งตะวันตก!”

 

 

ไป๋เสาหน้าเปลี่ยนสีไปทันที “จริงหรือ”

 

 

มู่จือพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าเห็นกับตา พี่ไป๋เสา ท่านรีบไปบอกต้าไหน่ไหน่เร็ว”

 

 

ไป๋เสากำลังจะหมุนกายจากไปแต่ก็ต้องชะงักหยุดทันที

 

 

อย่าว่าแต่บุรุษที่ฐานะเช่นซื่อจื่อเลย ไม่ว่าจะเป็นบุรุษคนใดหากคิดจะไปร่วมหลับนอนกับสาวใช้ทงฝัง ภรรยาเอกก็มิอาจทัดทานอันใดได้มิใช่หรือ

 

 

หากต้าไหน่ไหน่ทราบก็ทำได้แค่เพียงเสียใจ ความสัมพันธ์ที่กำลังดีขึ้นของคนทั้งสองจะกลับไปแย่ลงอีกหรือไม่

 

 

หากเป็นเช่นนั้นก็มิสู้ไม่รู้ดีกว่า

 

 

ไป๋เสาพลันเกิดความคิดนี้ขึ้นมาในหัวอย่างกะทันหัน แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวฉับๆ อยู่ภายในห้อง นางก็สะบัดศีรษะตนคราหนึ่ง

 

 

นางเป็นสาวใช้ใหญ่ของต้าไหน่ไหน่ นางอาจมีใจที่อยากปกป้องเจ้านายตน แต่ไม่ควรล้ำเส้นด้วยการตัดสินใจแทนต้าไหน่ไหน่โดยพลการ

 

 

ไป๋เสาจึงเดินเข้าไปด้านในทันที

 

 

เจินเมี่ยวเพิ่งอาบน้ำเสร็จ นางปล่อยผมเปลือยเท้านั่งอยู่บนขอบเตียง อาหลวนกำลังถือผ้าผืนนุ่มคอยเช็ดผมให้นางอยู่

 

 

เมื่อได้ยินเสียงคนนางก็หันไปมอง ครั้นเห็นว่ามีมู่จือตามมาด้วยก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “ไป๋เสา มีอันใดหรือ”

 

 

ภายในห้องมีเพียงอาหลวนและเยี่ยอิง ไป๋เสาจึงมิจำเป็นต้องอ้อมค้อมใดๆ แต่ก็ยังรู้สึกลำบากใจอยู่เล็กน้อยที่จะเอ่ยวาจานั้นออกมา นางสูดลมหายใจเข้าลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่เจ้าคะ มู่จือเห็นซื่อจื่อไปที่เรือนฝั่งตะวันออกเจ้าค่ะ!”

 

 

ยามนี้มิใช่เวลากลางวัน การไปที่เรือนฝั่งตะวันตกหมายความว่าอย่างไรนั้นคนที่อยู่ที่นี่ต่างเข้าใจดี

 

 

ผ้าผืนนุ่มที่อาหลวนใช้เช็ดผมให้เจินเมี่ยวร่วงลงพื้นทันที นางรีบก้มลงเก็บ รู้สึกไม่กล้ามองหน้าเจินเมี่ยวขึ้นมา จึงส่งสัญญาณให้เยี่ยอิงไปเปลี่ยนผ้าผืนใหม่มาให้

 

 

เยี่ยอิงกลับมัวแต่ตกตะลึงอยู่จึงมิเห็นสัญญาณที่อาหลวนส่งมาให้ตน

 

 

ชั่วขณะนั้นคล้ายว่าบรรยากาศทุกอย่างในห้องพลันหยุดชะงักไป

 

 

สุดท้ายเป็นเจินเมี่ยวเองที่เอ่ยปากถามขึ้นก่อนว่า “ซื่อจื่อไปหาใคร”

 

 

ทุกคนหันไปมองที่มู่จือ

 

 

มู่จือจึงเอ่ยว่า “บ่าวเห็นซื่อจื่อเข้าไปในห้องของเฉินอวี๋เจ้าค่ะ”

 

 

“ซื่อจื่อไปทำอันใดเล่า” เจินเมี่ยวขมวดคิ้ว

 

 

สาวใช้ทั้งหลายพลันเบ้ปากขึ้นพร้อมกัน ทั้งอดเอามือขึ้นก่ายหน้าผากมิได้

 

 

เหตุใดเมื่อเรื่องอันน่ากระอักกระอ่วนที่ทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดใจนี้ถูกเอ่ยออกมาจากปากของต้าไหน่ไหน่แล้วกลับให้ความรู้สึกว่ามันมิได้หนักหนาอันใดเลย

 

 

ครั้นเห็นว่าเจินเมี่ยวยังคงรอให้ตอบคำถาม ไป๋เสาจึงแข็งใจเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่เจ้าค่ะ ท่านกินยาอยู่ตลอดจึงมิอาจปรนนิบัติซื่อจื่อได้ คิดว่าซื่อจื่อคง คง…”

 

 

เจินเมี่ยวตกใจขึ้นมา “ซื่อจื่อจะไปนอนที่ห้องของหย่วนซานงั้นหรือ”

 

 

ในความคิดของนางนั้นแม้ยามที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองย่ำแย่ที่สุดเขาก็ยังไม่เคยไปนอนกับสาวใช้ทงฝังสักครั้ง แล้วยามนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว เขาไม่มีเหตุผลใดที่ต้องทำเรื่องเช่นนั้นเลย

 

 

จุดสำคัญที่สุดที่ทำให้นางค่อยๆ เอาเขาเข้ามาไว้ในหัวใจทีละนิดๆ นั้นก็เพราะเขามิได้เที่ยวนอนกับสตรีไปทั่วในตอนที่แต่งงานกับนางแล้ว

 

 

มิใช่ว่านางเก่งกาจอยู่เหนือสตรีอื่นอยู่ขั้นหนึ่ง สามีผู้อื่นล้วนเป็นเช่นนี้นางมีสิทธิ์อันใดไปแง่งอน

 

 

แต่อย่างไรนางก็มาจากโลกที่ต่างกัน บุรุษผู้หนึ่งร่วมหลับนอนกับสตรีมากหน้าหลายตาในเวลาเดียวกัน นางรู้ดีว่าสำหรับที่นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในด้านความรู้สึกนางกลับมิอาจรับได้ แน่นอนว่านางมิอาจทำอันใดได้แต่อย่างน้อยนางก็สามารถรักษาใจของตนไว้มิให้เอาไปมอบแก่บุรุษเช่นนั้น

 

 

แต่การกระทำของหลัวเทียนเฉิงได้ทลายความกังวลใจของนางไปเสียสิ้น ทำให้นางค่อยๆ ชอบเขา เช่นนั้นนางก็จะเชื่อใจเขา

 

 

ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยานั้นอาจจะต้องวางความรักไว้หลังความเชื่อใจมันจึงจะคงอยู่ได้นาน

 

 

ในเมื่อนางคิดว่าจะใช้ชีวิตอันยาวนานอย่างมีความสุขไปด้วยกัน ทั้งเขายังมีฝันร้ายที่เคยเผชิญเมื่อชาติก่อนอีก เช่นนั้นางก็ยินดีที่จะมอบความเชื่อใจให้เขาก่อน

 

 

“อาหลวนช่วยเช็ดผมให้ข้าเร็วเข้า” เจินเมี่ยวเอ่ยกำชับคราหนึ่ง แล้วหันไปไป๋เสาว่า “ไป๋เสา เจ้าไปบอกซื่อจื่อที่เรือนฝั่งตะวันตกว่าหากเขาจัดการธุระเสร็จแล้วให้มาที่นี่ ข้ารอเขาอยู่”

 

 

“ต้าไหน่ไหน่?” ไป๋เสาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าต้าไหน่ไหน่จะไม่มีอาการโกรธเคืองสักนิด ทั้งยังคิดไปว่าซื่อจื่อไปหาหย่วนซานเพราะมีธุระ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!

 

 

“ไปเถิด”

 

 

ไป๋เสาอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็มิได้พูดออกไป สุดท้ายจึงหมุนกายเดินออกไป นางออกจากห้องเดินเข้าไปในความมืด ในมือถือโคมสีเหลืองเข้ม ยิ่งใกล้เรือนฝั่งตะวันตกมากเท่าใด เท้าของนางก็เริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ต้าไหน่ไหน่คงจะต้องเสียใจแน่กระมัง?

 

 

 

 

——

 

 

[1] หย่วนซาน (远山) แปลว่าหุบเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป มองเห็นอยู่ไกลลิบๆ

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset