วาสนาบันดาลรัก 302 ตามคนร้าย

ตอนที่ 302 ตามคนร้าย

 

 

ด้วยฐานะของหลัวเทียนเฉิงในตอนนั้น เมื่อเขามาจวน เจินเจี้ยนเหวินผู้เป็นนายท่านผู้สืบทอดของจวนเจี้ยนอานปั๋วก็ต้องมาต้อนรับ เวินมั่วเหยียนนั้นมิจำเป็นต้องมารับแขกด้วย แต่เพราะเกิดเรื่องเวินยาฉีขึ้น บุรุษที่มีความรักให้ต่อภรรยาอยากจะพบญาติผู้พี่ฝั่งตระกูลมารดาของนางก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด

 

 

แต่เจินเมี่ยวกลับลังเลอยู่ครู่หนึ่งเพราะเวินมั่วเหยียนแทบไม่ได้นอนเลย ไม่รู้ว่าถึงยามกลางวันแล้วเขายังจะฝืนตนเองได้หรือไม่

 

 

หลัวเทียนเฉิงลูบผมนางอย่างอ่อนโยน “อย่าคิดมากเลย ศพของญาติผู้น้องเจ้ายังคงปลอดภัยดี”

 

 

“ห๊ะ?” เจินเมี่ยวตกใจอย่างยิ่ง

 

 

หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้น “รอข้ามาจวนนี้อีกคราค่อยพูดพร้อมกันต่อหน้าเวินมั่วเหยียน เจ้าไปนอนก่อนสักชั่วยามเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวได้ยินเช่นนี้แล้วไหนเลยจะหลับลงได้ ในใจนั้นคล้ายมีแมวข่วนอยู่ก็มิปาน เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงจัดระเบียบเสื้อผ้าตนเตรียมจากไป ก็รีบเขามาดึงแขนเสื้อเขาไว้ “จิ่นหมิง เกิดอันใดขึ้นกันแน่ ท่านก็ช่วยพูดให้มากกว่านี้อีกสักหน่อยเถิด”

 

 

หลัวเทียนเฉิงตบหลังมือนางคราหนึ่ง “เชื่อข้า พักผ่อนก่อนเถิด อีกหนึ่งชั่วยามข้าจะกลับมา หากพูดตอนนี้แล้วอีกประเดี๋ยวก็ต้องพูดซ้ำอีก”

 

 

“แต่ ข้าไหนเลยจะนอนหลับ…”

 

 

นางเห็นกับตาว่าห้องหลังเรือนนั้นถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ ศพก็ถูกเผาจนไม่ดูหน้าไม่ออกแล้ว ยามนี้เขากลับบอกว่าศพปลอดภัยดี เป็นผู้ใดก็อดใจไม่ไหวอยากฟังเรื่องราวที่แท้จริงหมดนั้นแล

 

 

หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “สองชั่วยาม”

 

 

“ห๊า?” เจินเมี่ยวอึ้งไปเล็กน้อย รู้ตัวอีกทีเขากลับลากเวลาให้ยาวออกไปอีกเสียแล้ว นางจึงก้มหน้าคงเอ่ยอย่างเชื่อฟังว่า “หนึ่งชั่วยามก็หนึ่งชั่วยาม ข้าจะรอท่านนะ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงรั้งนางเข้ามากอดไว้ในอก แล้วลูบผมนุ่มดุจแพรไหมของนางด้วยความอ่อนโยนอย่างที่สุดพลางเอ่ยถามว่า “ไม่รู้ว่ายามปกติ เจ้าจะคิดถึงข้าเช่นนี้บ้างหรือไม่”

 

 

“คิดถึงแน่นอน”

 

 

หากเป็นไปได้ผู้ใดจะอยากกินข้าวคนเดียวทุกวัน อาหารเต็มโต๊ะใหญ่ กินไปยังมิทันเท่าใดก็เย็นเสียแล้ว

 

 

สามีผู้ยิ่งใหญ่ของนางกินอาหารได้มาก ทุกคราที่มองเขากินข้าว นางก็จะกินข้าวไปมากกว่าครึ่งถ้วยโดยไม่ทันรู้ตัวเลยเชียว

 

 

ผ้าห่มที่ใช้โถน้ำร้อนอังไว้แล้วนั้นเมื่อมุดเข้าไปก็อบอุ่นยิ่ง ทว่าเมื่อนอนนานไปกลับรู้สึกโหวงเหวงว่างเปล่ายิ่ง ไหนเลยจะดีเท่ากับการมีคนที่ทำให้นางอุ่นใจมานอนอยู่ข้างๆ ด้วย

 

 

เจินเมี่ยวยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นจริงจึงพยักหน้าอีกครั้งโดยแรง “ข้าคิดถึงท่านทุกวัน”

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็มิอาจลบความยินดีในใจออกไปได้ ครู่หนึ่งจึงก้มลงจุมพิตที่หน้าผากนางแล้วเอ่ยเสียงแผ่วต่ำว่า “รอข้า”

 

 

เขาเดินไปที่ริมหน้าต่างแล้วหันมามองคราหนึ่ง มือค้ำตรงขอบหน้าขอบหน้าต่างแล้วกระโดดออกไปอย่างคล่องแคล่ว

 

 

เจินเมี่ยวมองแล้วก็ใจสั่น ยามนี้ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว เขาไม่กลัวคนเห็นเข้าเลยหรือไร!

 

 

นางรีบเดินตามไปที่ริมหน้าต่างยื่นศีรษะออกไป เมื่อไม่พบแม้แต่เงาของเขา นางจึงผ่อนลมหายใจโล่งอก แล้วเรียกชิงไต้เข้ามาสั่งว่า “เจ้าไปหาญาติผู้พี่ข้า บอกเขาว่าอย่าได้เสียใจไปเลย ศพของญาติผู้น้องยังปลอดภัยดี”

 

 

ชิงไต้มองนางด้วยความประหลาดใจคราหนึ่งแต่ก็มิได้ถามมากอันใด

 

 

“บอกเขาด้วยว่ามิต้องร้อนรนอันใด ประเดี๋ยวซื่อจื่อมาถึงก็จะทราบทุกอย่างเอง”

 

 

ครั้นชิงไต้ออกไปแจ้งข่าวตามที่นางสั่ง นางก็กลับไปนั่งครุ่นคิดที่เตียงครู่หนึ่ง ‘ต่อให้ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด สู้นอนสักครู่ตามเขาบอกจะดีกว่าจะได้มิง่วงงุนในยามกลางวัน’

 

 

นางนอนลงดึงผ้าห่มขึ้น ยังคงสัมผัสได้ถึงไออุ่นและลมหายใจของเขา นางหลับตาลงแล้วเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ไม่ทราบเมื่อใดที่ได้ยินจื่อซูร้องเรียก “ต้าไหน่ไหน่ ซื่อจื่อมาแล้ว ไท่ไท่ให้มาเรียกท่านเจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวลุกขึ้นจากเตียง จื่อซูและชิงไต้จึงเข้าไปปรนนิบัติ ไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อยจึงไปที่ห้องโถงที่ไว้รับรองแขก

 

 

นายท่านสามสกุลเจินก็อยู่ด้วย หลัวเทียนเฉิงนั่งอยู่ด้านล่างถัดมา กำลังพูดคุยกับนางเวินว่า “ข้าเห็นท่านมีสีหน้าดีขึ้นมาก หากท่านชอบดื่มน้ำแกงสงบใจผสมบัวหิมะเซิ่งซิน ประเดี๋ยวข้าจะส่งมาให้อีกขอรับ”

 

 

ดูท่าทีนางเวินดีขึ้นมาแล้วจริงๆ มุมปากยังเคลือบด้วยรอยยิ้มอีกด้วย “จะสิ้นเปลืองไปไยกัน ข้าก็ดีขึ้นมากแล้ว”

 

 

สองสามวันมานี้แม้นหลัวเทียนเฉิงมิได้มาเยี่ยมด้วยตนเองแต่ก็ส่งของบำรุงล้ำค่ามาให้อยู่ไม่ขาดสาย น้ำแกงสงบใจที่นางเวินดื่มเมื่อวานก็ผสมกับบัวหิมะเซิ่งซินที่เขาส่งมาให้

 

 

บัวหิมะเซิ่งซินนี้เกิดอยู่ในหุบเขาสูงทางเหนือซึ่งหายากนัก ในบัวหิมะร้อยดอกจึงจะมีบัวหิมะเซิ่งซินสักดอก มันจึงล้ำค่าที่สุด

 

 

“จะสิ้นเปลืองได้อย่างไร ท่านกินแล้วดีขึ้นก็เป็นเพราะผลจากบัวหิมะนั้น”

 

 

น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน แม้แต่สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมน้อยลงกว่ายามปกติอยู่หลายส่วนเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้นมา แสงแดดยามเช้าลอดหน้าต่างเข้ามาสาดแสงลงบนชุดคลุมตัวยาวสีน้ำเงินเข้มของเขาแล้วเกิดเป็นลำแสงนวลตาชนิดหนึ่งขึ้น

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปบ้าง

 

 

นางชินกับเขาที่ชอบโมโหโกรธเคืองและค่อยแต่อาละวาดอยู่ร่ำไปเสียแล้ว เมื่อเห็นท่าทีอ่อนโยนมีมารยาทยามอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสก็รู้สึกว่าน่ามองอย่างประหลาด

 

 

ชั่วขณะนั้นจึงลืมก้าวเท้าไปทันที

 

 

เมื่อนางเวินหันมาพบเข้าก็เอ่ยตำหนิว่า “เหตุใดจึงเพิ่งตื่นนอนเอายามนี้ ซื่อจื่อมารอเจ้าอยู่ครู่ใหญ่แล้ว”

 

 

เจินเมี่ยวมองจิ่นผิงคราหนึ่ง

 

 

จิ่นผิงส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างแนบเนียน นางจึงทราบทันทีว่านางเวินไม่ทราบเรื่องเมื่อคืนนี้

 

 

นายท่านสามสกุลเจินยิ่งน่าสนใจกว่า เมื่อเขาเห็นเจินเมี่ยวเดินเข้ามาก็ส่งสายตาให้คล้ายกลัวว่านางจะพูดอันใดผิดไปกระนั้น

 

 

มุมปากเจินเมี่ยวยกขึ้นเล็กน้อย

 

 

ท่านพ่อผู้ยิ่งใหญ่ หากท่านขยิบตาอยู่อีก เกรงว่าคนที่ไม่รู้เรื่องอันใดก็อาจจะฉุกคิดสงสัยขึ้นมาแล้ว

 

 

นางเพิ่งจะบ่นในใจจบก็ได้ยินมารดาเอ่ยว่า “ท่านพี่ ดวงตาท่านเป็นอันใดหรือ เหมือนมันกำลังกระตุกอยู่เลย”

 

 

นายท่านสามสกุลเจินกระแอมไอด้วยความประหม่าจนเกือบจะสำลักน้ำลายตนเองแล้ว เขาโบกมือหลายคราพลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นอันใดๆ มีแมลงบินเข้าตาเท่านั้น”

 

 

นางเวินเอ่ยในใจว่า ‘เพิ่งเข้าสู่วสันต์ฤดูก็มีแมลงแล้วหรือ เหตุใดนางจึงไม่เห็นเล่า’

 

 

ครั้นคิดถึงอุปนิสัยเชื่อถืออันใดมิได้ของนายท่านสามสกุลเจินแล้วก็คร้านจะถามให้มากความ เพียงเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “วันนี้มิเห็นป้าสะใภ้รองของเจ้าเลย หรือว่าจะไม่สบาย ประเดี๋ยวข้าจะไปเยี่ยมดูสักหน่อย”

 

 

นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยามนี้อยู่ต่อหน้าหลัวเทียนเฉิงจึงละอายที่จะเอ่ยว่าคิดจะนำของบำรุงที่เขาให้ไปด้วยสักสองสามห่อ

 

 

หลัวเทียนเฉิงคารวะนางเวินคราหนึ่ง “ท่านแม่ยาย ท่านป้าสะใภ้เดินทางมาไกล ทั้งยังต้องพบความเสียใจในการสูญเสียบุตรสาว ข้าควรจะไปเยี่ยมคารวะสักหน่อย”

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้ก็มีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย “เพียงแต่ข้าสองมือว่างเปล่า คงได้แต่ทำตัวหน้าหนาเอาของบำรุงที่ส่งมาให้ท่านเพื่อแสดงความกตัญญูไปเยี่ยมท่านป้าสะใภ้ก่อน หวังว่าท่านคงไม่ตำหนิ”

 

 

วาจานี้ตรงกับใจของนางเวินพอดี น้ำเสียงจึงอ่อนโยนยิ่ง “ซื่อจื่อมีความตั้งใจถึงเพียงนี้ ป้าสะใภ้เจ้าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้เอง เมี่ยวเอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้าก็พาซื่อจื่อไปพร้อมกันเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวอดพิจารณาหลัวเทียนเฉิงครู่หนึ่งมิได้

 

 

เมื่อใดกันที่เขาเปลี่ยนเป็นคนว่าง่ายเช่นนี้ ทำให้รู้สึกว่ากำลังจำผิดคนอยู่กระนั้น

 

 

ทั้งสองบอกลานางเวินแล้วมุ่งหน้าไปที่เรือนฝั่งตะวันออก หลัวเทียนเฉิงหน้ามาถามนางด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อครู่แอบดูข้าด้วยเหตุใด?”

 

 

“ผู้ใดแอบดูท่านกัน” เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปาก ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าวันนี้ท่านดูแปลกจากปกติ”

 

 

“ต่อหน้าท่านแม่ยายข้าก็ต้องนอบน้อมสักเล็กน้อย” เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเอาใจใส่ว่า “อืม ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชิน วางใจเถิด ตอนนี้ข้าก็กลับมาเป็นคนเดิมแล้วมิใช่หรือ”

 

 

เจินเมี่ยวอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา

 

 

มิต้องเปลี่ยนได้หรือไม่! นางปรับตัวให้ชินได้จริงๆ นะ!

 

 

หลัวเทียนเฉิงกลับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มชั่วร้ายชนิดหนึ่งแล้วจูงมือนางเดินต่อไป

 

 

เมื่อถึงห้องพักของนางเจียว นางเจียวนั้นมีท่ามีไม่สู้ดีนักดั่งคาด แต่เมื่อได้ยินว่าคนทั้งสองมาก็ยังคงฝืนตนลุกขึ้นแต่เจินเมี่ยวรีบห้ามไว้ก่อน

 

 

“ป้าสะใภ้ ท่านนอนลงเถิด ซื่อจื่อได้ยินว่าท่านกับญาติผู้พี่มาถึงที่นี่แล้วจึงมาเยี่ยมคารวะสักครา”

 

 

นางเจียวเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน แม้นเมื่อวานจะเสียใจจนร่างกายย่ำแย่แต่ก็ยังไม่ฟังคำเตือนของเจินเมี่ยว นางยังเปลี่ยนชุดเพื่อรับรองแขก ทั้งยังหวีผมใหม่แล้วมัดมวยขึ้นอย่างเรียบง่าย

 

 

คุณชายผู้สืบทอดจากจวนกั๋วกงทั้งยังเป็นขุนนางขั้นสามในราชสำนักอีกด้วยแต่กลับมาเยี่ยมคารวะนางซึ่งเป็นเพียงหญิงชาวบ้านแค่เพราะเห็นแก่หน้าหลานสาวตน หากนางทำตัวยิ่งใหญ่ต่างหากจึงจะทำให้ผู้คนหัวเราะขบขัน

 

 

เจินเมี่ยวจนใจจึงได้แต่ช่วยนางสิงประคองนางเจียวออกมาที่ห้องด้านนอก

 

 

เวินมั่วเหยียนทราบข่าวตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วจึงรีบไปหาหลัวเทียนเฉิงเพื่อพูดคุยก่อนผู้ใดด้วยรู้สึกวุ่นวายใจแทบทนไม่ไหว

 

 

แต่เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงไม่เอ่ยก็ได้แต่อดทนไม่ถามออกไป

 

 

เขาทำการค้ามาปีกว่าแล้วจึงทราบดีว่ามีเรื่องราวมากมายที่มิได้ง่ายดายอย่างที่ตาเห็น โดยเฉพาะเงื่อนงำการตายของน้องสาวเขา เมื่อวานห้องที่เก็บศพนางยังเกิดไฟไหม้ขั้นอีก หากเป็นเพราะกูไหน่ไหน่สามที่อยู่ในจวนเป็นคนทำหรือเป็นเพียงเหตุบังเอิญ เขากลับมิกล้าเชื่อสักเท่าใด แต่หากไม่ใช่เรื่องนี้คงซับซ้อนยิ่งแล้ว หลัวซื่อจื่อไม่เอ่ยออกมาย่อมต้องมีเหตุผลเป็นแน่

 

 

ในที่สุดหลัวเทียนเฉิงก็หันไปมองเจินเมี่ยวอย่างแนบเนียนคราหนึ่ง

 

 

เจินเมี่ยวเข้าใจทันทีจึงเอ่ยกับนางเจียว่า “ป้าสะใภ้รอง ไม่ทราบว่าท่านกับพี่สี่เคยหารือกันหรือไม่ว่าจะหาสุสานฝังศพดีๆ สักที่แถวชานเมืองหลวงหรือนำกลับไปที่ไฮ่ติ้ง”

 

 

ความเจ็บปวดอันล้ำลึกปรากฏวูบขึ้นในดวงตานางเจียวแต่สีหน้ากลับยังคงราบเรียบ

 

 

เจินเมี่ยวมองแขนเสื้อที่สั่นเทาไม่หยุดของนางแล้วปวดแปลบขึ้นมาในใจ

 

 

หัวหงอกส่งหัวดำ ความเจ็บปวดชนิดนี้ไหนเลยจะเบาบางดั่งคลื่นนิ่งลมสงบอย่างที่ตาเห็นได้

 

 

คนบางคนมิยินยอมให้ผู้อื่นเห็นความเจ็บปวดของเขา แม้นความจริงในใจนั้นจะทุกข์ทนเจียนตายแล้วก็ตาม

 

 

นางเจียวเอ่ยปากว่า “ข้ากับญาติผู้พี่เจ้าเคยหารือกันแล้วว่าจะฝังนางไว้ที่ชานเมืองหลวง อากาศหนาว หนทางแสนไกล มิอยากให้นางต้องมาลำบากอีก วันหลังจะให้ญาติผู้พี่เจ้าไปเยี่ยมก็สะดวก”

 

 

เวินยาฉีเป็นเด็กสาวที่ยังมิได้ออกเรือนแม้นจะนำกลับบ้านเกิดก็มิสามารถฝังในสุสานบรรพชนได้

 

 

เจินเมี่ยวจึงเอ่ยว่า “ในเมื่อคิดเห็นเช่นนี้ ทั้งซื่อจื่อก็มาพอดี ให้เขาช่วยญาติผู้พี่เลือกสถานที่อันดีสักแห่งเถิด ท่านดูสีหน้าไม่ค่อยดีนัก รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ประเดี๋ยวหารือกันเสร็จแล้วจะให้ญาติผู้พี่ไปเรียนท่านอีกทีเจ้าค่ะ”

 

 

นางเจียวย่อมมิได้ขัดอันใด ฝืนทนอยู่ครู่หนึ่งกระทั่งเหงื่อเย็นซึมเปียกเต็มแผ่นหลังจึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “นางสิง ประคองข้ากลับห้องเถิด”

 

 

สะใภ้ผู้นี้ของนางดีไปเสียทุกสิ่ง เป็นคนที่สามารถดูแลกิจการของตระกูลได้เพียงแต่รู้จักประจบสอพลอผู้มีอำนาจมากเกินไป กระทำการใดก็มักขาดท่าทีอันสง่าผ่าเผยอยู่เล็กน้อย ยาฉีจากไปแล้ว นางเองก็มิอยากให้ตนต้องมีอันเป็นไปตามไปอีกคน

 

 

นางสิงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง

 

 

นางอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วันแต่ก็ทราบดีถึงฐานะของญาติผู้น้องผู้นี้ นางไม่เพียงแต่งให้กับตระกูลสูงส่งของเมืองหลวงแห่งนี้แต่ยังเป็นเซี่ยนจู่ที่จักรพรรดิแต่งตั้งด้วยพระองค์เองอีกด้วย นางเข้าวังหลวงนั้นง่ายประหนึ่งพวกตนเดินเข้าร้านประทินผิวเลยทีเดียว!

 

 

แต่น่าเสียดายที่สองสามวันมานี่นางเอาแต่ยุ่งกับการดูแลแม่สามี ญาติผู้น้องก็ยุ่งกับการดูแลมารดาตนจึงไม่มีโอกาสทำความสนิทสนมกัน

 

 

คิดถึงตอนที่อยู่ไฮ่ติ้ง ตระกูลเวินตกต่ำถึงเพียงนั้นแต่เป็นเพราะนางพยายามหาวิธีเข้าไปร่วมงานเลี้ยงฉลองกับบรรดาไท่ไท่ที่มีหน้ามีตาจึงทำให้ทุกอย่างค่อยๆ ดีขึ้น

 

 

แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าเหตุใดคนทั้งตระกูลจึงมิอนุญาตให้เอ่ยถึงเรื่องของท่านอาหญิง ทำให้คนที่มีหน้ามีตาทั้งหลายลืมไปเลยว่าตระกูลเวินยังมีกูไหน่ไหน่ผู้หนึ่งอยู่ที่เมืองหลวง อีกทั้งยังสูงศักดิ์ถึงเพียงนี้

 

 

นางจำได้ว่าเหล่าไท่ไท่สกุลเวินเคยเอ่ยว่า “อาหญิงของพวกเจ้าอยู่ไกลถึงเมืองหลวง การอยู่ลำพังเพียงคนเดียวนั้นไม่ง่ายเลย ตระกูลมารดามิเคยช่วยเหลืออันใดนางได้ แต่อย่างน้อยก็อย่าได้ใช้ชื่อเสียงของนางเพื่อกิจการเลย จะได้มิเกิดเรื่องยุ่งยากอันใดตามมา”

 

 

ทว่านางสิงมิคิดเช่นนั้น ในสายตานางแล้วตั้งแต่เกิดกระทั่งออกเรือนก็มีแต่ตระกูลมารดาที่อบรมเลี้ยงดู ยามนี้มีเกียรติแล้ว เหตุใดจึงจะมิช่วยลากพยุงตระกูลมารดาสักหน่อยเล่า

 

 

ในงานเลี้ยงฉลองคราหนึ่งนางทำทีเป็นเอ่ยถึงอย่างมิได้ตั้งใจก็เห็นบรรดาไท่ไท่เหล่านั้นมองนางด้วยแววตาเป็นกันเองมากยิ่งขึ้นดังคาด

 

 

นางสิงมองเจินเมี่ยวและหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่งด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์แล้วจึงประคองนางเจียวจากไป

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวให้สาวใช้ออกไป เวินมั่วเหยียนก็อดรนทนไม่ไหวแล้ว เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ น้องสาวของข้าตายอย่างไม่ยุติธรรม ความจริงเป็นเช่นไร ขอท่านโปรดบอกกล่าวให้ทราบด้วยเถิด”

 

 

“ญาติผู้พี่ ท่านทำอันใดกัน” เจินเมี่ยวอึ้งงันไปแล้วยื่นมือออกมาหวังดึงให้เขาลุกขึ้น

 

 

หลัวเทียนเฉิงกระแอมไอเสียงเบาคราหนึ่ง

 

 

เจินเมี่ยวพลันชะงักไป หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นประคองเขา “ญาติผู้พี่ทำเช่นนี้ ประเดี๋ยวกลับถึงเรือนเมี่ยวเอ๋อร์คงเอ่ยตำหนิข้าเป็นแน่”

 

 

เวินมั่วเหยียนเองก็รู้ดีว่าตนทำเช่นนี้ยิ่งสร้างความกระอักกระอ่วนเขาจึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านบอกว่าศพของน้องสาวข้าปลอดภัยดี เรื่องราวเป็นเช่นใดหรือ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงปิดบังต่อไป เขาเอ่ยว่า “เมี่ยวเอ่ยอยู่ในจวนแห่งนี้ ข้าห่วงความปลอดภัยของนางจึงให้องครักษ์ลับคอยติดตาม ที่ท่านกับนางไปยังห้องหลังเรือนเหอเฟิง องครักษ์ลับก็เห็นทุกอย่าง และเห็นว่ามีคนลอบวางเพลิงด้วยเช่นกันจึงได้นำศพอื่นไปเปลี่ยนกับศพน้องสาวท่านออกมา”

 

 

หลัวเทียนเฉิงให้องครักษ์ลับมาคอยคุ้มกันความปลอดภัยของเจินเมี่ยวจริงแต่เรื่องการสับเปลี่ยนศพนั้นเป็นคำสั่งของเขาเอง มิเช่นนั้นหลังจากที่องครักษ์ลับพบว่าเกิดเพลิงไหม้ไหนเลยจะกล้ากระทำการโดยไร้คำสั่งนายตน

 

 

“แล้ว แล้วศพของน้องสาวข้า…”

 

 

“อยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว ทั้งยังได้รับการพิสูจน์ศพแล้วจึงยืนยันได้ว่านางมิได้แขวนคอตายเองแต่ถูกรัดคอจนตาย”

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้หลัวเทียนเฉิงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ผู้ลงมือไม่เพียงเ**้ยมโหดแต่ยังเจ้าเล่ห์มากอีกด้วย

 

 

คนผู้นั้นเข้าใจสภาพการณ์ของตระกูลใหญ่ๆ ดี สตรีผู้หนึ่งปลิดชีพตน แม้แต่การคิดจะปิดบังยังทำไม่ทัน แล้วจะมีผู้ใดคิดเชิญคนมาชันสูตรศพเล่า หากมิใช่เพราะเวินมั่วเหยียน เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดทราบไปตลอดกาล โดยเฉพาะเขาที่คอยกำกับองครักษ์ลับของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินยิ่งไม่มีทางคิดจะไปตรวจสอบแน่ หากถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นโรคจิตจะทำฉันใด

 

 

เขาเอ่ยต่อว่า “ผู้วางเพลิงนั้นเป็นบ่าวในจวนแห่งนี้ หากพวกท่านทราบเข้าคงเผยพิรุธแน่ ข้าจึงไม่ขอบอก แต่ได้ส่งคนไปเฝ้าสังเกตเขาอย่างใกล้ชิดแล้ว เมื่อใดที่มีคนมาฆ่าเขาปิดปากก็คงคลำหาเบาะแสได้แล้ว ดังนั้นเรื่องที่ศพของญาติผู้น้องปลอดภัยดีก็ให้รู้แต่เพียงพวกท่านก็พอ และขอให้เตือนท่านป้าสะใภ้ไว้ด้วยว่าอย่าเผยพิรุธเด็ดขาด”

 

 

“ซื่อจื่อคิดว่าคนร้ายคือใครหรือ” เวินมั่วเหยียนกำหมัดแน่นแล้วถามออกไปอย่างมิอาจอดกลั้นได้

 

 

เจินเมี่ยวมิได้ถามว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือเจินจิ้งหรือไม่

 

 

แรกเริ่มนั้นนางมิได้คิดให้ถี่ถ้วน แค่คิดว่าทุกอย่างเกิดจากการดูถูกของเจินจิ้ง ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของเวินยาฉีขาดผึงลงจนคิดสั้นในที่สุด ดังนั้นจึงไปหาเจินจิ้งเพื่อคิดบัญชี แต่หลังจากรู้ว่าเวินยาฉีมิได้ฆ่าตัวตาย นางก็มาครุ่นคิดอย่างใจเย็นอีกครากลับพบว่านี่คงมิใช่สิ่งที่เจินจิ้งจะสามารถลงมือทำได้

 

 

เพราะเหตุใดน่ะหรือ ได้ไม่คุ้มเสียอย่างไรเล่า!

 

 

หากบอกว่าแรกเริ่มนั้นเจินจิ้งคิดวางแผนให้นางแต่กับคุณชายรองร้านโลงศพเพราะต้องการทำให้นางและนางเวิน รวมไปถึงจวนเจี้ยนอานปั๋วต้องอับอาย แต่ถ้าเวินยาฉีตายแล้วนางมั่นใจว่าเจินจิ้งคือคนร้าย นางก็ต้องฉีกหน้ากากของเจินจิ้งแน่ หากองค์ชายหกปกป้องอนุก็คงผิดใจกับนางและสามี แต่หากเข้าข้างพวกนาง เจินจิ้งก็จะสูญเสียความโปรดปรานไป

 

 

อันตรายเช่นนี้ เจินจิ้งจะยอมเสี่ยงได้อย่างไร

 

 

“เกิดไฟไหม้ เป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายอย่างยิ่ง คิดว่าคนผู้นั้นคงมีความเคลื่อนไหวในเร็วๆ นี้แล”

 

 

และในคืนนั้นเองก็มีคนผู้หนึ่งแฝงกายเข้ามาในจวนเจี้ยนอานปั๋ว องครักษ์ลับที่หลัวเทียนเฉิงสั่งการไว้นั้นเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างจนคนผู้นั้นฆ่าคนปิดปากแล้วจากไป องครักษ์ลับจึงติดตามเขาไปจนถึงจวนของผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งผู้หนึ่งก็เห็นเขาลอบเข้าไปทางประตูด้านหลังของจวนแห่งนั้น

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset