วาสนาบันดาลรัก 301 หักหรือไม่

ตอนที่ 301 หักหรือไม่

ไม่ทราบเพราะเหตุใดเมื่อหลัวเทียนเฉิงมาอยู่ข้างกาย เจินเมี่ยวกลับเกิดง่วงงุนขึ้นมา นางนอนอิงแอบอยู่ในอกเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตานั้นลืมไม่ขึ้นเสียแล้ว นางเอ่ยถามอย่างสะลึมสะลือว่า “คืนนี้คงมิกลับแล้วกระมัง”

 

 

หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมา “ไม่กลับแล้ว”

 

 

เขามาที่นี่ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจตามด้วยการดื่มน้ำส้มถังใหญ่ เวลานี้นางซุกอยู่ในอกเขาอย่างว่าง่าย ทั้งยังรู้สึกง่วงอีกด้วย

 

 

เขาโอบกอดนางไว้ กลิ่นหอมที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นคอยมุดเข้าไปในโพรงจมูกเขาอยู่ไม่ขาดสาย ความหอมและหวานล้ำอันน่าอัศจรรย์นี้ทำให้คนรู้สึกสบายใจยิ่ง

 

 

เขากดท้องตนไว้คราหนึ่ง รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เขาหิวงั้นหรือ

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว กลิ่นบนตัวเจ้าคือกลิ่นใดหรือ” เวลานี้เจินเมี่ยวสวมเพียงเสื้อตัวในที่หลวมโพรก หลัวเทียนเฉิงหลับตาอยู่แต่กลับแหวกเสื้อของนางให้เผยหัวไหล่ขึ้นมาอย่างชำนาญเพื่อสูดดมกลิ่นกายนาง

 

 

เจินเมี่ยวนั้นอยู่ในห้วงครึ่งหลับครึ่งตื่น นางยกกรงเล็บขึ้นตีที่ศีรษะเขา “อยู่นิ่งๆ!”

 

 

นางมิได้มีสติตื่นรู้อันใดนัก น้ำเสียงดูเอื่อยเฉื่อยกว่ายามปกติอยู่มาก หางเสียงนั้นก็มิได้ชัดเจนสดใสเช่นยามปกติ ทั้งยังแฝงไปด้วยความไร้เดียงสา ทำให้หัวใจของหลัวเทียนเฉิงเต้นระส่ำขึ้นมา เขาจึงจุมพิตลงบนไหล่ขาวเนียนดุจหิมะของนางอย่างอดใจไม่ไหว

 

 

เจินเมี่ยวไม่รับรู้อันใดทั้งสิ้นแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเล็กน้อย นางยื่นมือออกมาผลัก เมื่อเห็นว่าผลักไม่ไปก็ล้มลงทันที แต่กลับยังเอ่ยตอบเขาอย่างกระท่อนกระแท่นว่า “ตอนกลางวัน…ข้าทำน้ำเชื่อมรสผลไม้กลิ่นส้มส่วนผสมของมันมีนมวัวกับน้ำผึ้ง…สองสามวันนี้เหนื่อยมากจึงขี้เกียจมิได้อาบน้ำ…”

 

 

นางพูดจบก็พลิกกายแล้วนิ่งไปทันที

 

 

ทว่าหลัวเทียนเฉิงที่อยู่ข้างๆ กลับนอนไม่หลับ

 

 

เขาขบกัดหัวไหล่ของนางเบาๆ แล้วยื่นมือออกไป

 

 

ครู่หนึ่งก็เห็นว่าผ้าม่านผืนบางนั้นสั่นพลิ้วไปมาเบาๆ

 

 

ชิงไต้ที่นอนอยู่ด้านนอกกลับมีหูที่ดีเหลือเกิน นางอุดหนูตนทันที รู้สึกกระอักกระอ่วนจนไม่กล้าแม้จะพลิกตัวด้วยกลัวว่าซื่อจื่อจะรู้ว่านางยังไม่หลับ

 

 

พลันเกิดเสียงเอะอะดังขึ้นที่ด้านนอก “แย่แล้ว ที่ห้องด้านหลังเรือนเกิดไฟไหม้!” ตามติดด้วยเสียงฝีเท้าอึกทึก

 

 

เจินเมี่ยวขมวดคิ้วขึ้นด้วยรู้สึกว่าความฝันของตนนั้นดูประหลาดขึ้นไปเรื่อยๆ แรกเริ่มนั้นตนก็ไปปรากฏตัวอยู่บนเรือลำเล็กลำหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ แม่น้ำนั้นกว้างใหญ่ยิ่ง คลื่นคอยซัดสาดเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า นางก็โงนเงนไปมาตามเรือลำน้อยจนรู้สึกเวียนหัว ฉับพลันก็เกิดเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นเหนือผิวน้ำแล้วค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้นาง

 

 

ครั้นหลัวเทียนเฉิงได้ยินว่าห้องหลังเรือนเกิดไฟไหม้เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจุมพิตลงตรงคิ้วที่ขมวดมุ่นของนางแผ่วเบา

 

 

เมื่อเห็นว่าเปลวไฟกำลังใกล้เข้ามา เจินเมี่ยวก็ตกใจตื่นทันใด นางผุดลุกขึ้นทันที หูก็ได้ยินเสียงกระอักเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

 

เจินเมี่ยวยังคงง่วงงุนอยู่หลายส่วน นางกะพริบตาอยู่หลายคราจึงมีสติแจ่มชัดขึ้น เมื่อได้ยินเสียงกระอักด้วยความเจ็บปวด นางก็เอ่ยถามออกไปทันที “เป็นอันใดหรือ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงกุมบริเวณนั้นไว้ ทั้งเจ็บทั้งอาย เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าต่อให้ตายก็จะไม่พูดเด็ดขาด

 

 

ทว่าเจินเมี่ยวกลับตื่นอย่างเต็มตาแล้ว เมื่อเห็นท่าทีของเขานางก็ก้มลงมองตนเอง ไหนเลยจะไม่เข้าใจอีก นางจึงหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันใด

 

 

ระยะนี้นางกินยาอยู่จึงมิอาจกระทำเรื่องที่สามีภรรยาต้องกระทำร่วมกันได้ ทว่าเขากลับมีวิธีมากมาย ทุกคราที่มีโอกาสก็มักจะทำตัวเหลวไหลกับร่างกายภายนอกของนาง แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ตอนที่นางหลับก็…

 

 

หน้านางพลันเปลี่ยนสีไปทันใด แล้วเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เป็นเพราะข้าลุกขึ้นเร็วเกินไปจึงชนท่านเข้าหรือ”

 

 

กล่าวถึงตรงนี้กลับซูดปากตนคราหนึ่ง “หรือตรงนั้นหกเสียแล้ว”

 

 

หลัวเทียนเฉิงหน้าดำคล้ำขึ้นมา เขาได้แต่ลอบยินดีอยู่ในใจที่ได้ยินเสียงชิงไต้ที่อยู่ด้านนอกลุกขึ้นก็เมื่อได้ยินเสียงเอะอะจากนอกเรือนดังลอยมา มิเช่นนั้น เขาคงต้องฆ่าชิงไต้ปิดปากแล้วกระมัง

 

 

“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” เขากัดฟันพลางเอ่ยย้อนถาม บริเวณนั้นของเขาเจ็บจุกจนอยากจะสบถด่าออกมา แต่คนตรงหน้านี้เขากลับตัดใจด่าว่านางมิได้ จึงได้แต่ลอบด่าตนเองว่าหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ

 

 

“ขอข้าดูหน่อย!” เจินเมี่ยวตกใจยิ่ง นางก้มหน้าแล้วยื่นไปแกะมือเขาออก

 

 

นางคงมิได้คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำให้สามีของตนใช้การไม่ได้กระมัง

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้เจินเมี่ยวก็ตกใจจนเหงื่อซึม แรงมือจึงเพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

 

 

หลัวเทียนเฉิงกุมบริเวณนั้นตนไว้แน่น เขากัดฟันเอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “หยุด!”

 

 

เจินเมี่ยวอึ้งงันไป

 

 

เขาหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าโดยแรงจึงเอ่ยว่า “ให้ข้าพักสักครู่เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”

 

 

เจินเมี่ยวไม่กล้าบังคับเขาอีก

 

 

หากมิเป็นอันใด นางจะดูหรือไม่ก็มิเป็นไร แต่หากบริเวณนั้นเสียหายขึ้นมาก็อาจจะทำลายศักดิ์ศรีของบุรุษได้ เขามิให้ตนดูก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง…

 

 

“แต่ข้าว่าให้ท่านหมอตรวจดูสักหน่อยดีหรือไม่…” เจินเมี่ยวยังคงเสี่ยงตายเอ่ยออกไปอีกคำ

 

 

“แล้วจะบอกว่าอย่างไร?”

 

 

“ห๊ะ?” เจินเมี่ยวไม่อาจทำความเข้าใจกับวาจานี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามเน้นย้ำทีละคำว่า “จะบอกว่าข้าบาดเจ็บด้วยเหตุใดหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวอึ้งไป นางนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านก็พักสักครู่ให้อาการดีขึ้นเองแล้วกัน”

 

 

หลัวเทียนเฉิง “…”

 

 

เมื่อทั้งสองต่างเงียบ เจินเมี่ยวจึงเริ่มรับรู้ถึงความวุ่นวายด้านนอก หน้าก็เปลี่ยนสีทันที นางคว้าเสื้อขึ้นมาใส่พลางเอ่ยว่า “ไฟไหม้ที่ห้องหลังเรือน แย่แล้ว คงมิใช่ห้องที่เก็บศพของยาฉีกระมัง”

 

 

หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า “ต้องเริ่มเผาจากห้องนั้นเป็นแน่ มิเช่นนั้นจะทำลายศพได้อย่างไรเล่า”

 

 

เมื่อได้ฟังวาจานี้ เจินเมี่ยวก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น นางสวมใส่เสื้อผ้าอย่างรีบร้อน จัดการสวมมันอยู่นานก็ได้ยินหลัวเทียนเฉิงเอ่ยขึ้นอย่างเนิบนาบว่า “มิต้องใส่แล้ว นั้นเป็นเสื้อของข้า”

 

 

เสื้อตัวในของคนทั้งสองเป็นสีเรียบๆ เช่นเดียวกัน เมื่อภายในห้องนั้นมืดทั้งอยู่ในภาวะที่ร้อนรน การหยิบผิดนั้นเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน

 

 

เจินเมี่ยวคว้าเสื้อตัวนั้นขึ้นมาด้วยใบหน้าอยากจะร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา

 

 

หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจแล้วสวมเสื้อตัวนั้นให้นางด้วยตนเองพลางเอ่ยดุว่า “จะรีบร้อนไปไย หรือเจ้าคิดว่าจะไปช่วยดับไฟได้ทัน”

 

 

“ข้าดับไฟไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องออกไปดูสักหน่อย ตอนนี้ท่านแม่กำลังป่วยอยู่ ท่านพ่อก็มิเคยดูแลสนใจเรื่องใด ทั่วทั้งสวนเหอเฟิงไม่มีคนดูแลจัดการ” เจินเมี่ยวรีบเอ่ยอธิบาย กระทั่งนางใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เห็นหลัวเทียนเฉิงทำท่าจะลุกขึ้นนางจึงกดบ่าเขาไว้ “ท่านมิใช่บาดเจ็บอยู่หรือ อย่าเพิ่งขยับตัวเลย อีกอย่าง หากท่านปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ก็ยากจะอธิบายอันใดให้ชัดเจนได้”

 

 

“ความจริงข้า…”

 

 

หลัวเทียนเฉิงกำลังจะเอ่ยพูด เจินเมี่ยวกลับหมุนกายเดินออกไปอย่างรวดเร็วเสียแล้ว

 

 

วาจานั้นของเขาจึงถูกกลืนลงคอไป เขาได้แต่ส่ายศีรษะพลางยิ้มออกมา

 

 

เดิมคิดจะบอกนางว่าเรื่องราวมิได้ย่ำแย่เพียงนั้น แต่ในเมื่อนางรีบร้อน เขาก็รออีกสักหน่อยแล้วกัน อย่างไรเสียคนที่ร้อนรนที่สุดก็มิใช่นาง

 

 

เมื่อคิดถึงภาพที่เจินเมี่ยวปลดเสื้อคลุมคืนให้เวินมั่วเหยียน หลัวเทียนเฉิงก็ยกมุมปากขึ้นอย่างร้ายกาจ เขายืนมือขึ้นมาหยิบเสื้อไปสวมใส่อย่างเชื่องช้า เจ็บจนต้องขมวดคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาพลันเหยเกขึ้นมา

 

 

จื่อซูที่พักอยู่ห้องด้านข้างได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอกนานแล้ว นางจึงยืนรออยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นเจินเมี่ยวเดินออกมาก็รีบย่อกายทันที

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้าแล้วเดินทะลุห้องโถงไปยังห้องพักผ่อนของนางเวินพร้อมด้วยจื่อซู ขณะนี้สาวใช้ของนางเวินก็กำลังยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องเช่นกัน

 

 

“ท่านแม่ข้าเป็นอย่างไรบ้าง” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงแผ่ว

 

 

“วันนี้ฮูหยินดื่มน้ำแกงสงบใจไปจึงยังหลับอยู่เจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจออกมา “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”

 

 

เวลานี้เองนางจึงเริ่มรู้สึกว่าเสียงเอะอะด้านนอกเบาลงมากแล้ว

 

 

นางมิพูดอันใดมากเพียงกำชับให้จิ่นผิงดูแลนางเวินให้ดีแล้วรีบไปที่ห้องหลังเรือนทันที

 

 

ชิงไต้นั้นย้อนกลับมาพอดีเมื่อเห็นเจินเมี่ยวออกมาก็เข้าไปต้อนรับทั้งเอ่ยรายงานว่า “ต้าไหน่ไหน่ ต้นเพลิงมาจากห้องที่เก็บศพของคุณหนูเวินเจ้าค่ะ บิดาท่าน ป้าสะใภ้และคุณชายเวินต่างไปที่นั่นกันหมด”

 

 

“อืม” เจินเมี่ยวยกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งไปยังด้านอย่างรวดเร็ว แม้มองแต่ไกลก็ยังเห็นเปลวเพลิงที่พึงทะยานขึ้นฟ้านั้น บ่าวไพร่ต่างถือถังน้ำและอ่างน้ำคอยสาดดับอยู่ไม่ขาด

 

 

เมื่อเดินเข้าไปใกล้นางก็เห็นนางเจียวกำลังอิงซบร่างนางสิงอยู่ เวินมั่วเหยียนถูกคนสี่คนจับไว้แน่นแต่เขาก็ยังคงดิ้นรน

 

 

ครั้นเห็นเจินเมี่ยวมาถึง นายท่านสามสกุลเจินก็คล้ายจะรู้สึกผิดขึ้นมาจึงรีบเอ่ยอธิบายว่า “ข้านอนอยู่ห้องตำรา ได้ยินเสียงเอะอะจึงมาดู คงมิได้ทำให้มารดาเจ้าตื่นกระมัง”

 

 

“ท่านแม่ยังนอนหลับอยู่เจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกคล้ายกับว่าเขาดูเหมือนจะโล่งอกขึ้นมาเลยเชียว

 

 

เวลานี้นางยังไม่มีเวลาพอจะไปพิจารณาการเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยนี้ของบิดา นางรีบเดินเข้าไปดูนางเจียวก่อน “ป้าสะใภ้รอง ข้ามาช้าแล้ว”

 

 

“เมี่ยวเอ๋อร์ไปห้ามพี่ชายเจ้าที อย่าให้เขาทำเรื่องโง่ๆ” นางเจียวเอ่ยวาจาที่ทำให้เจินเมี่ยวแปลกใจด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

 

คล้ายมิได้รับรู้ถึงความผิดปกติของเจินเมี่ยว นางเจียวยิ้มขืน “ข้าเสียบุตรสาวไปคนหนึ่งแล้ว จะไม่ยอมเสียบุตรชายไปอีกแน่ ยาฉีจากไปเร็วนัก ศพของนางถูกเผาจนเกลี้ยงสะอาดก็มิได้มีอันใดไม่ดีเสียหน่อย”

 

 

แม้นนางจะเอ่ยเช่นนี้แต่น้ำตากลับเอ่อล้นขึ้นมา นางเบี่ยงหน้าไปอีกทางเพราะไม่อยากให้เจินเมี่ยวเห็น

 

 

ความเข้มแข็งของนางเจียวทำให้เจินเมี่ยวทั้งนับถือทั้งเจ็บปวดไปพร้อมกัน นางเดินไปหาเวินมั่วเหยียน แล้วเอ่ยเตือนสติว่า “พี่สี่ ท่านเชื่อฟังคำป้าสะใภ้บ้างเถิด”

 

 

ใบหน้าเวินมั่วเหยียนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “มันต้องไม่เป็นเช่นนี้ ทั้งที่เมื่อครู่ข้าสามารถเอาศพของยาฉีออกมาได้แท้ๆ!”

 

 

เขามองเจินเมี่ยว “ญาติผู้น้อง เจ้าก็รู้ดี”

 

 

รู้ว่าน้องสาวตายเพราะถูกฆ่า แต่เพราะไฟไหม้ครั้งเดียวกลับเผาทุกอย่างไปจนหมดสิ้น

 

 

เจินเมี่ยวเองก็รู้สึกแย่ไม่น้อย ขณะเดียวกันก็มองญาติผู้พี่ผู้นี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

 

 

เวลานี้เขาเสียใจอย่างที่สุด แต่กลับมิได้พูดเรื่องเงื่อนงำการตายของเวินยาฉีออกมาต่อหน้าคนทั้งหลาย เห็นชัดว่ามิใช่คนมุทะลุสิ้นคิด

 

 

หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามไฟก็เริ่มมอดดับลง

 

 

เวินมั่วเหยียนบอกให้เจินเมี่ยวพานางเจียวกลับเรือน ส่วนตัวเขาจะอยู่ที่นั่น รอกระทั่งควันไฟสลายก็วิ่งเข้าไปดูเป็นคนแรก

 

 

ห้องนั้นกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว ไม่ทราบค้นอยู่นานเท่าใดจึงคนร่างดำเกรียมออกมาได้

 

 

เขามองดูนิ่งอยู่นาน ในที่สุดน้ำตาก็ไหลออกจากนัยน์ตาพยัคฆ์นั้น

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวปลอบประโลมนางเจียวเรียบร้อยแล้วก็มองออกไปด้านนอก ขอบฟ้าเริ่มปรากฏสีขาวดั่งท้องมัจฉาขึ้นมา ราตรีนี้จึงผ่านพ้นไป

 

 

นางยกฝ่าเท้าอันหนักอึ้งของตนกลับไป หลัวเทียนเฉิงนั่งพิงอยู่กับเสาเตียงได้ยินเสียงก็ลืมตาขึ้น

 

 

เมื่อเห็นใบหน้าขาวซีดของนาง แม้แต่เดินก็ยังไม่มั่นคงจึงรู้สึกทั้งโกรธทั้งเป็นห่วง แต่ยามนี้เขายังคงเจ็บปวดที่แก่นกาย ทั้งมิสะดวกปรากฏตัวจึงได้แต่รอนางอยู่ที่นี่เท่านั้น

 

 

“ญาติผู้พี่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

“เสียใจมากอย่างยิ่ง”

 

 

หลัวเทียนเฉิงพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วจึงเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวข้าจะลอบออกไปแล้วจะเข้ามาหาเจ้าอย่างถูกต้อง เจ้าเรียกญาติผู้พี่เจ้ามาด้วยแล้วกัน”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset