วาสนาบันดาลรัก 300 หลัวเทียนเฉิงมาแล้ว

ตอนที่ 300 หลัวเทียนเฉิงมาแล้ว

เจินเมี่ยวเกือบจะสำลักลมหายใจตนขึ้นมาทันที นางยิ้มแห้งๆ ให้เขา “แหะๆๆ”

 

 

เวินมั่วเหยียนคิดว่าญาติผู้น้องอาจจะยังอารมณ์ไม่ดีอยู่ จึงปิดปากเสียสนิท

 

 

กระทั่งถึงจุดหมายก็เห็นแสงสีเหลืองของตะเกียงที่ส่องสว่างอยู่ภายในห้อง ด้านข้างมีต้นทับทิมที่โล่งโกร๋นอยู่ เมื่อลมพัดมากิ่งของมันก็สั่นไหว เงาต้นไม้ทอดตกลงหน้าต่างกระดาษทำให้ดูลึกลับขึ้นไปอีกหลายส่วน

 

 

เจินเมี่ยวจำได้ว่าต้นทับทิมต้นนี้ หมายถึงความทรงจำของร่างนี้นั้นแล

 

 

ตอนนั้นนางอายุแค่สิบปี นางมาเดินเล่นที่บริเวณแห่งนี้ซึ่งเป็นช่วงที่ทับทิมสุกพอดี แต่เพราะต้นทับทิมที่เกิดในร่มเช่นนี้ ผลของมันทั้งเล็กและเหลือง ปกติจึงไม่มีผู้ใดมาแตะต้องเลย

 

 

ครั้งนั้นนางเห็นสาวใช้น้อยอายุประมาณเจ็ดแปดปีกำลังปีนป่ายขึ้นเก็บผลทับทิม ประจวบเหมาะกับที่นางกำลังโกรธเคืองที่อาจารย์ที่สอนดีดพิณชมพี่รองเจินเหยียนอยู่พอดี จึงอาศัยโอกาสนี้ระบายโทสะกับสาวใช้ โดยลงโทษให้นางคุกเข่าตากแดด ตอนนั้นอากาศร้อนยิ่ง สาวใช้น้อยจึงหน้ามืดหมดสติไปทำให้ผู้ใหญ่ทราบเรื่องเข้า

 

 

ตั้งแต่นั้นมาก็คล้ายว่าเจินฮ่วนพี่ใหญ่และเจินเหยียนพี่รองของนางได้ค่อยๆ ถอยห่างจากนางไป เพราะรู้สึกว่านางทำตัวเหลวไหล เอาแต่ใจจนไร้ขอบเขต

 

 

เจินเมี่ยวเองก็มิได้ตำหนิพวกเขา แต่เมื่อเห็นท่าทีของเวินมั่วเหยียนแล้วก็อดรู้สึกทั้งชื่นชมและอิจฉาขึ้นมาหลายส่วน

 

 

เขารู้ว่าเวินยาฉีมีข้อเสียใดบ้าง แต่เพราะนางเป็นน้องสาวของเขา เขาจึงทำดีกับนางอย่างที่พี่ชายส่วนใหญ่มิอาจกระทำได้

 

 

ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าดี ข้าจึงทำดีกับเจ้า แต่เพราะสายเลือดที่เรามีร่วมกัน ข้าจึงทำดีต่อเจ้า

 

 

เจินเมี่ยวรู้ว่าคิดเช่นนี้ช่างไร้สาระนัก แต่นางในฐานะเด็กสาวผู้หนึ่ง ผู้ใดมิปรารถนาจะมีพี่ชายเช่นนี้สักคนเล่า?

 

 

เมื่อเห็นเจินเมี่ยวนิ่งไป เวินมั่วเหยียนจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าหนาวใช่หรือไม่?” พูดพลางถอดเสื้อคลุม คลุมให้นาง

 

 

เจินเมี่ยวอึ้งงันไป ความอบอุ่นนั้นทำให้วาจาที่คิดจะกล่าวปฏิเสธนั้นหยุดอยู่ที่ปลายลิ้น แต่ครั้นคิดจะเอ่ยปฏิเสธขึ้นมา เขาก็เดินเข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว

 

 

“น้องรอง เจ้ารอข้าอยู่ด้านนอกนั้นแล ข้าจะทำให้จบเร็วที่สุด”

 

 

เจินเมี่ยวยืนรออยู่หน้าประตู คล้ายเวลาได้ถูกดึงลากออกไปอย่างไร้ขอบเขต

 

 

นางมองต้นทับทิมต้นนั้นเป็นการฆ่าเวลา ในใจก็คิดว่า ไม่รู้ว่าตอนนี้ผลของต้นทับทิมต้นนี้ยังจะเล็กและเหลืองเช่นเดิมอยู่หรือไม่?

 

 

ในที่สุดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ฟังดูจะหนักอึ้งอยู่เล็กน้อยดังขึ้นจากด้านหลัง

 

 

นางหันกลับไปมองก็เห็นสีหน้าซีดขาวของเวินมั่วเหยียน เขาค่อยๆ เดินออกมาทีละก้าวๆ

 

 

“พี่สี่?”

 

 

มือของเวินมั่วเหยียนกำลังสั่นเทา ทว่าเขากลับยังคงสุขุมยิ่ง แต่น้ำเสียงก็ยังสั่นเครืออยู่ “น้องรอง เราเดินไปคุยไปเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวพลันหวาดหวั่นใจขึ้นมา นางพยักหน้า แล้วเดินตามเขาอย่างไร้สุ้มเสียงอยู่พักใหญ่ เขาพลันหยุดฝีเท้าลง

 

 

เจินเมี่ยวที่กำลังสับสนวุ่นวายใจจึงเกือบจะชนเขาเข้า

 

 

เวินมั่วเหยียนยื่นมือออกมาประคองนางไว้

 

 

ทั้งที่มีอาภรณ์ขวางอยู่อีกชั้นแต่เจินเมี่ยวก็ยังรับรู้ได้ถึงสองมือที่เย็นเฉียบไปถึงกระดูกนั้นของเขา

 

 

นางจึงเอ่ยถามออกมาอย่างมิอาจอดกลั้นไว้ได้อีกต่อไป “ญาติผู้พี่ ยาฉีนาง…”

 

 

เวินมั่วเหยียนมองนาง เขาเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่ให้นางตามมาด้วย จะให้โกหกเขาก็ไม่อยากทำ ให้พูดความจริงก็กลัวว่านางจะตกใจ

 

 

“พี่สี่…” เจินเมี่ยวอดเอ่ยเร่งเขาขึ้นมาอีกมิได้

 

 

“ข้าเห็นรอยบนคอของยาฉีแล้ว หากสหายท่านนั้นพูดไม่ผิด ยาฉีนาง…ย่อมมิได้ฆ่าตัวตายเอง!”

 

 

แม้นจะคาดเดาล่วงหน้าไว้แล้ว แต่เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ใจของเจินเมี่ยวก็ยังคงหล่นวูบลงพื้นโดยแรงอยู่ดี ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้จะเหน็บหนาวขึ้นมาเป็นพิเศษ

 

 

เวินยาฉีมิได้แขวนคอตาย เช่นนั้นก็คงถูกผู้อื่นรัดคอให้ตายก่อนงั้นหรือ

 

 

ร่างของนางอดสั่นเทิ้มขึ้นมามิได้ คล้ายได้ย้อนกลับไปบนรถแท็กซี่เก่าๆ คันนั้น คนขับรถใช้สองมือบีบคอนางโดยแรง แน่นขึ้นและแน่นขึ้น

 

 

นางเงยหน้าขึ้นมองไปโดยรอบ

 

 

ราตรีกลับยิ่งดูมืดมิดมากยิ่งขึ้น เมฆทะมึนเคลื่อนมาบดบังจันทราไว้ ดวงดาวริบหรี่ไร้แสงสกาวไปนานแล้ว มีเพียงแสงไฟอ่อนๆ ที่แผ่กระจายออกมาจากตะเกียงในมือของเวินมั่วเหยียนทำให้บรรยากาศโดยรอบของคนทั้งสองส่องสว่างขึ้น แต่เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้ทางข้างหน้ายิ่งดูมืดมิด ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลนักนั้นยิ่งมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ไม่รู้ว่ามันสิ่งใดรอคอยพวกเขาอยู่เงียบๆ ที่ด้านหน้านั้นหรือไม่

 

 

เวลานี้เองเจินเมี่ยวกลับรู้สึกว่าแสงจากตะเกียงดวงนี้นั้นได้กลายเป็นเป้าล่อที่มีชีวิตก็มิปาน ทำให้นางยิ่งหวาดกลัวขึ้นมามากกว่าเดิม

 

 

“น้องรอง ไม่ต้องกลัว” เวินมั่วเหยียนเห็นปากนางขาวซีดไปหมด ไม่มีสีเลือดฝาดแม้เพียงสักนิด ร่างบอบบางที่คลุมเสื้อกันลมของเขาไว้นั้นกลับยิ่งดูบอบบางมากขึ้นไปอีก เขารู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาเล็กน้อยจึงยื่นมือออกไปหวังตบมือปลอบนาง แต่สุดท้ายก็มิได้ทำเช่นนั้น

 

 

หากพวกเขายังเป็นเด็กอยู่ก็คงดี

 

 

เวินมั่วเหยียนคิดเช่นนี้

 

 

หากยังอยู่ในวัยเยาว์ ผู้อื่นย่อมมิคิดเหลวไหลเลอะเทอะ เข้าสามารถกอดญาติผู้น้องไว้มิให้นางต้องกลัว

 

 

“ข้าไม่กลัว” เจินเมี่ยวพลันตื่นจากภวังค์ นางกระชับสายรัดเสื้อคลุมกันลมไว้แน่น “พี่สี่ พวกเรากลับกันก่อนเถิด ในเมื่อการตายของยาฉีมีเงื่อนงำ เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะให้หลัวเป้าไปแจ้งแก่จิ่นหมิงสักหน่อย บางทีเขาอาจมีวิธีสืบหาสาเหตุ”

 

 

“เช่นนั้นก็รบกวนญาติผู้น้องและน้องเขยแล้ว”

 

 

เวินมั่วเหยียนพาเจินเมี่ยวไปส่งที่หน้าประตูเรือน

 

 

เจินเมี่ยวเองก็มิกล้าบอกว่าชิงไต้ติดตามนางอยู่ตลอด จึงจำใจให้เขามาส่ง

 

 

เมื่อหยุดลงที่หน้าประตู นางก็ถอดเสื้อคลุมกันลมคืนให้เวินมั่วเหยียน

 

 

เวินมั่วเหยียนยื่นมือออกไปรับแต่ก็มิได้ใส่ เขาเม้มริมฝีปากแน่นแล้วเอ่ยว่า “น้องสี่ เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้ารบกวนเจ้ารีบไปแจ้งให้ซื่อจื่อทราบโดยเร็วด้วย”

 

 

แม้นเขาจะเป็นคนตรงไปตรงมาแต่ก็มิได้บ้าระห่ำถึงเพียงนั้น การตายของน้องสาวเขาแปลกประหลาดเช่นนี้ ทั้งยังตายในจวนของอาหญิง การให้หลัวเทียนเฉิงยื่นมือเข้าช่วยย่อมต้องดีกว่าเขาวิ่งสะเปะสะปะไปเรื่อยมากนัก

 

 

“ญาติผู้พี่วางใจเถิด”

 

 

เวินมั่วเหยียนพยักหน้า เขาหมุนกายเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วหยุด หันกลับมามองเจินเมี่ยวอีกครา

 

 

“น้องรอง หากเจ้ากลัวก็ให้สาวใช้มานอนเป็นเพื่อนเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวคลี่ยิ้มออกมา “พี่สี่ ข้ารู้แล้ว ท่านวางใจเถิด”

 

 

ในราตรีที่มืดมิดดุจหมึก นางยืนอยู่ที่หน้าประตูนั้น เพราะมีแสงสว่างรำไรอยู่ทำให้มองเห็นรอยยิ้มที่ผลิบานอยู่บนใบหน้าขาวผ่องของนางได้อย่างชัดเจน รอยยิ้มนั้นดั่งดอกไม้ไฟที่ถูกจุดขึ้นก็มิปาน แม้นจะแสนสั้นแต่กลับงดงามอย่างที่สุด

 

 

เวินมั่วเหยียนพลันไม่กล้ามองอีก เขาหมุนกายจากไปทันที

 

 

เจินเมี่ยวยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ชิงไต้จึงเดินออกมาจากเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่

 

 

“ต้าไหน่ไหน่”

 

 

“เข้าห้องเถิด” เจินเมี่ยวผลักประตูเดินเข้าไปก่อน

 

 

ภายในห้องมีตะเกียงน้ำมันดวงเล็กๆ ส่องสว่างอยู่เพื่อสะดวกใช้ในยามค่ำคืน แม้นจะไม่ใคร่สว่างอันใดมากนักแต่ก็สว่างกว่าตอนอยู่ข้างนอกเล็กน้อย

 

 

เจินเมี่ยวเดินเข้าไป นางถูมือไปมาแล้วเป่าให้ความอบอุ่น แล้วเดินมุ่งตรงไปที่เตียงอย่างเร็วรี่

 

 

ผ้าม่านสีขาวนวลปิดบังเงาที่อยู่ภายในไว้มิด นางเพิ่งจะแหวกม่านออกมือก็ถูกคว้าจับไว้แล้วกระชากให้นางเข้าไปในด้านใน

 

 

เสียงร้องตกใจของนางถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งปิดไว้ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบาว่า “ข้าเอง”

 

 

เจินเมี่ยวจึงหยุดดิ้นรน นางหอบหายใจพลางเบิกตาขึ้นจ้องหลัวเทียนเฉิงที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น

 

 

หลัวเทียนเฉิงจ้องมองเจินเมี่ยวนิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

“ต้าไหน่ไหน่…”

 

 

ชิงไต้รีบพุ่งเข้ามาในห้องโดยมิทันได้ใส่แม้แต่รองเท้า แต่ฝีเท้าก็ยังคงแผ่วเบาไร้สุ้มเสียง

 

 

“ออกไป!” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น

 

 

ชิงไต้อึ้งงันไป เห็นชัดว่ารู้แล้วว่าเป็นเสียงของหลัวเทียนเฉิง นางจึงเดินออกไปอย่างเงียบๆ

 

 

เมื่อด้านนอกไร้การเคลื่อนไหวใดแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงหันมามองเจินเมี่ยว ใจของเขากระตุกวูบไหว รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

เขาได้รับข่าวจากหลัวเป้าบอกว่าคนของตระกูลเวินมาถึงแล้ว เวินมั่วเหยียนเกือบจะชกต่อยกับ      เจินฮ่วน เขาเป็นห่วงว่านางจะรับมือไม่ไหวจึงรีบกลับมาทั้งที่ดึกดื่นปานนี้แล้ว แต่เขาต้องมาเห็นอันใดกันเล่า?

 

 

เขาเม้มริมฝีปากไว้มิเอ่ยสิ่งใด เพียงจ้องมองเจินเมี่ยวอยู่เช่นนั้นคล้ายต้องการจะทะลุเข้าไปในหัวใจของนาง แล้วใช้มีดเฉือนมันแรงๆ คราหนึ่งให้นางได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเช่นนี้บ้าง

 

 

“จิ่นหมิง?”

 

 

เมื่อเห็นเขาไม่มีที่ใด เจินเมี่ยวก็ยื่นมือออกไปหยิกที่แขนเขา แล้วเอ่ยตำหนิว่า “ท่านแอบปีนกำแพงเข้ามาอีกแล้ว โรคนี้เมื่อใดจะรักษาหายกัน ทำข้าตกใจแทบแย่”

 

 

หลัวเทียนเฉิงกอดนางไว้ด้วยสองมือแล้วแค่นยิ้มเย็นออกมา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “เจ้าไปไหนมา เหตุใดไม่อยู่ห้อง?”

 

 

“ข้านอนไม่หลับจึงบังเอิญเห็นพี่มั่วเหยียนออกไปข้างนอก ข้ารู้สึกสงสัยเลยตามเขาไป”

 

 

“แล้ว?”

 

 

“แล้วพวกเราก็ไปที่เก็บศพของญาติผู้น้อง” เจินเมี่ยวเอ่ยถึงตรงนี้ก็รีบดึงมือเข้ามากุมไว้ “จิ่นหมิง พี่มั่วเหยียนบอกว่าญาติผู้น้องมิได้ฆ่าตัวตาย…”

 

 

นางรอให้หลัวเทียนเฉิงเอ่ยแสดงความเห็น แต่คิดไม่ถึงว่าจะยื่นมือออกมาดึงนางเข้าไปในอก เขาใช้คางถูกไถเส้นผมนุ่มลื่นดุจแพรไหมของนาง จู่ๆ เขาก็ก้มหน้าลงแล้วกัดเข้าที่ไหล่ของนางคราหนึ่ง

 

 

แม้นจะมีอาภรณ์ขวางกั้นแต่เจินเมี่ยวก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี นางดิ้นรนแล้วเอ่ยว่า “ท่านทำอันใดกัน?”

 

 

คำตอบของหลัวเทียนเฉิงกลับไม่ตรงคำถามเสียอย่างนั้น “เจ้ายังใส่เสื้อคลุมกันลมของเขาอีกด้วย”

 

 

“ตอนข้าออกไปลืมหยิบไปด้วย ญาติผู้พี่เห็นข้าหนาวจึงให้ข้ายืมใส่ด้วยเจตนาดี”

 

 

“เจ้าปล่อยผมออกไปด้วย!” หลัวเทียนเฉิงกางมืออกแล้วสอดแทรกเข้าไปในกลุ่มเส้นผมของนาง

 

 

เจินเมี่ยวจึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ นางกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ระวังทำปิ่นหยกร่วงตกไป”

 

 

เส้นโลหิตเขียวบนขมับของหลัวเทียนเฉิงเต้นตุบๆ ขึ้นมา แต่กลับยังควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติได้อย่างยากนักจะพบเห็น “เจ้ายังตามเขาออกไปอีกหรือ ดึกเพียงนี้แล้ว”

 

 

“ก็ข้าสงสัย…” เจินเมี่ยวลอบมองหลัวเทียนเฉิงอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าโรคเก่าเขาจะกำเริบขึ้นมาอีก เมื่อเห็นเขายังคงท่าทีนิ่งขรึมเอาไว้ได้ก็อดเอ่ยตำหนิมิได้ว่า “ท่านรู้อยู่แล้วยังมาถามข้าอีก”

 

 

มือที่สางผมของนางเล่นอยู่นั้นพลันชะงักไป ครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้ กับ เจ้าจะยอมพูดหรือไม่นั้นเหมือนกันหรืออย่างไร?”

 

 

เจินเมี่ยวมองสีหน้าเคร่งขมึงของเขา ดวงตามีเส้นเลือดแดงปรากฏขึ้นเห็นชัดว่ามิได้พักผ่อนอย่างเพียงพอมาหลายวัน จึงรู้สึกห่วงเขาขึ้นมา น้ำเสียงที่เอ่ยจึงอ่อนลง “ในเมื่อท่านยุ่งถึงเพียงนั้น แล้วยังมาที่นี่ทำไมในเวลาดึกดื่นเช่นนี้?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “ไม่มา แล้วข้าจะรู้หรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวมองเขาอย่างอึ้งงันอยู่เป็นนานจึงเอ่ยถามว่า “จิ่นหมิง ท่าน ท่านเข้าใจอันใดผิดไปหรือไม่?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงส่ายหน้า “ไม่มี”

 

 

“ไม่มี ไม่มีแล้วท่านยังทำท่าทีประหลาดเช่นนี้อีกหรือ?” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างไม่เชื่อถือ

 

 

หลัวเทียนเฉิงคลี่ยิ้มบางเบา “หากเข้าใจผิดจริงๆ เจ้าคิดว่าข้าจะยังเป็นเช่นนี้อยู่หรือ?”

 

 

อาจเพราะเขามีตำแหน่งใหญ่และภารกิจอันหนักอึ้งทำให้ท่าทีสดใสของวัยหนุ่มที่มีนั้นหดหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเขายิ้มทั้งเลิกคิ้วไปด้วยเช่นนี้กลับบังเกิดความสง่างามอันยากจะบรรยายชนิดหนึ่งขึ้น

 

 

เจินเมี่ยวใจเต้นแรงขึ้นมา นางอดคิดไม่ได้ว่าดูเหมือนนางจะชอบสามีผู้ยิ่งใหญ่ของตนมากขึ้นทุกทีแล้ว

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็เกิดเขินอายขึ้นมาอย่างน้อยนักจะได้เห็น

 

 

ครั้นเห็นนางหน้าแดงเรื่อขึ้นอย่างไร้สาเหตุ หลัวเทียนเฉิงก็พลันอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด

 

 

“เช่นนั้นท่านจะเป็นเช่นไรหรือ?” เจินเมี่ยวจึงเอ่ยถามออกไปดั่งภูตบอกเทพสั่งก็มิปาน

 

 

หลัวเทียนเฉิงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยตอบว่า “ฆ่าเจ้าแล้วค่อยปลิดชีพตนตามไป”

 

 

เขาย่อมรู้ดีว่าระหว่างนางกับเวินมั่วเหยียนนั้นไม่มีอันใด แม้นจะเป็นเช่นนี้ยังทำให้เขาแค้นเคืองจนอยากจะถลกหนังของเจ้าหนุ่มนั้นออกมาเสียให้ได้ หากมีอันใดขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่กล้ารับประกันจริงๆ ว่าจะทำเรื่องเช่นใดออกมาได้บ้าง

 

 

“ท่าน ท่านพูดอันใดกัน?” เจินเมี่ยวคิดว่าตนเองฟังผิดไป

 

 

ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นในดวงตาหลัวเทียนเฉิง เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “ช่างเถิด เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเจ้าสมหวังไปเถิด ข้าจะไปสู่ปรโลกเพียงลำพัง แม้นไม่ยินยอมแต่ข้าจะทำอันใดได้”

 

 

เขาเอ่ยเช่นนี้เจินเมี่ยวกลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ นางกัดริมฝีปากตนแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดว่า เลือกข้อที่หนึ่งน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่า ท่านยอมตายเพียงคนเดียว ท่านโง่หรือไร?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงใช้คางกดศีรษะนางไว้แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา

 

 

หึ เขาย่อมไม่โง่แน่นอน หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจริงๆ เขาย่อมต้องเลือกข้อหนึ่งอยู่แล้ว

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset