วาสนาบันดาลรัก 299 ในยามวิกาล

ตอนที่ 299 ในยามวิกาล

ครั้นพลบค่ำ เจินเมี่ยวก็พักอาศัยอยู่ที่ห้องฝั่งตะวันตกของสวนเหอเฟิงจะได้สะดวกในการดูแลนางเวิน

 

 

อาจเพราะร้องไห้หนักมากออกมาคราหนึ่งทำให้นางเวินมีสติขึ้นมาก ค่ำคืนนี้ดูเงียบสงบเป็นพิเศษ เจินเมี่ยวมิจำเป็นต้องคอยลุกไปดูมารดากลางดึกอีกแล้ว ตามหลักนางก็ควรนอนหลับอย่างสบายใจ ทว่านางกลับนอนไม่หลับ

 

 

นางลืมตาขึ้นจ้องมองจันทรานวลที่ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยขึ้นเหนือหลังคาเรือนด้วยท่าทีเหม่อลอย ในหัวพลันปรากฏใบหน้าเขียวคล้ำของเวินยาฉีโผล่เข้ามาโดยมิได้ตั้งใจ

 

 

เจินเมี่ยวพลิกกายตนทันที นางถอนหายใจออกมา

 

 

นางคิดว่าเวินมั่วเหยียนพูดถูก นางมิได้แกร่งกล้าอย่างที่ตนคิดเลย คุณหนูน้อยที่มีชีวิตอยู่อย่างสดใสพลันกลายเป็นศพที่มีใบหน้าเหยเก ต่อให้ผู้ใดพบเห็นก็ยากจะสงบใจได้

 

 

นางพลิกตัวอีกครา ยังคงไม่รู้สึกง่วงสักนิดจึงผุดลุกขึ้น สวมเสื้อตัวนอกสีขาวงาช้างแสนเรียบง่ายทับไว้หนึ่งชั้นแล้วเดินไปนั่งลงบนโต๊ะไม้หลี รินน้ำขึ้นดื่มจอกหนึ่ง

 

 

เมื่อวางถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวนั้นลง เจินเมี่ยวก็เดินไปที่หน้าต่าง นางผลักมันเปิดออก แล้วนั่งนับดาวเป็นการฆ่าเวลา

 

 

จันทร์กระจ่างดาวพร่างพราว มองดูแล้วช่างเหมือนอยู่แสนไกลยิ่ง นางยกมือขึ้นเท้าคาง นั่งชมทัศนียภาพยามค่ำคืนด้วยท่าทีเบื่อหน่ายและเกียจคร้าน

 

 

สายลมหอบพัดมาในยามค่ำคืน ไม่มีเสียงนกหรือแมลงร้อง เงียบจนได้ยินเพียงเสียงเสียดสีกันของกิ่งไม้ใบไม้ยามเมื่อลมโชยมา นางรู้สึกในหัวโปร่งโล่งขึ้นมาก ภาพอันน่าสยดสยองที่พบเห็นในยามกลางวันนั้นค่อยๆ สลายหายไป

 

 

เจินเมี่ยวลุกขึ้นยื่นมือไปคิดจะปิดหน้าต่าง กลับเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยเคลื่อนไหวไปตามระเบียงทางเดินอย่างรวดเร็ว มือนั้นของนางพลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ

 

 

นางสามารถมองจดจำคนผู้นั้นได้ด้วยอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องสะท้อนลงมา เขาคือเวินมั่วเหยียนนั้นเอง

 

 

เจินเมี่ยวเกิดความคิดบางอย่างขึ้นจึงรีบเดินออกไป นางสะกิดชิงไต้ที่นอนอยู่ด้านนอกคราหนึ่ง

 

 

ความจริงชิงไต้มิได้หลับลึกอันใด

 

 

นางนั้นมีวรยุทธ์อยู่แต่เดิมแล้ว ทั้งต้องเฝ้าเวรดึก ทุกคราที่เจินเมี่ยวพลิกตัวนางต่างก็รับรู้ได้ เพียงแต่นายไม่เรียก นางจึงมิได้ส่งเสียงใด นางทำให้ตนตกอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นเช่นนี้เสมอ เช่นนี้ก็สามารถพักผ่อนไปด้วยทั้งลุกขึ้นมาได้ทุกเมื่อเช่นกัน

 

 

“ชิงไต้ เจ้าตามข้ามา” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงแผ่ว นางครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยอีกว่า “มิต้องตามติดประชิดข้ามาก เจ้าต้องซ่อนตัวให้มิดชิดที่สุด”

 

 

นางคิดว่าหากเวินมั่วเหยียนมีเรื่องอันใด เมื่อพบว่าเป็นนางในสถานการณ์เช่นนี้ก็อาจเอ่ยบอกเรื่องราวในใจออกมา ทว่าหากมีชิงไต้ตามไปด้วยเขาก็อาจจะไม่พูดก็เป็นได้

 

 

นายบ่ายทั้งสองค่อยๆ ออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ

 

 

เจินเมี่ยวรีบจนลืมสวมเสื้อคลุมออกไปด้วย นางจึงรู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย ทว่ามิได้มีเวลามากพอให้กลับไปเอาเสื้อคลุมแล้ว นางเร่งฝีเท้าตามเวินมั่วเหยียนไป ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกสงสัย

 

 

กระทั่งเวินมั่วเหยียนไปหยุดอยู่ที่ห้องด้านหลังของสวนเหอเฟิง เจินเมี่ยวก็ต้องหวาดผวาขึ้นมา

 

 

นี่มันเป็นที่เก็บศพของเวินยาฉีมิใช่หรือ ตอนกลางวันพวกเขาก็เพิ่งมา แล้วพี่สี่จะมาทำอันใดในเวลาเช่นนี้เล่า?

 

 

นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ทั้งแปลกและน่าตกใจ ความสงสัยในใจจึงเพิ่มทวีขึ้น

 

 

ประตูมิได้ลงกลอน เวินมั่วเหยียนยืนอยู่ตรงหน้าประตูครู่หนึ่งจึงยื่นมือออกไปผลักประตูออก

 

 

เสียงแอ๊ดดังขึ้น ประตูห้องค่อยๆ เปิดออก เสียงนี้ช่างบาดแก้วหูยิ่งเมื่อมันดังขึ้นในค่ำคืนอันเงียบสงบเช่นนี้

 

 

เวินมั่วเหยียนเหลียวหลังไปมองตามสัญชาตญาณคราหนึ่งทำให้เจินเมี่ยวที่ซ่อนตัวอยู่ในซอกมุมหนึ่งถึงกับตกใจจนเหงื่อเย็นไหลซึมทั่วกาย

 

 

เขามิเห็นนางจึงก้าวเท้าเข้าไปด้านใน

 

 

เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเดินตามไปอย่างเงียบๆ

 

 

นางไม่กล้ายืนอยู่ตรงหน้าประตู เพียงยื่นแอบอยู่ข้างผนังแล้วยื่นศีรษะเข้าไปดู พลันสีหน้าก็แข็งค้างไป

 

 

นางเห็นเวินมั่วเหยียนยื่นมือออกมาลูบไล้ฝาโลง แล้ววางตะเกียงลงด้านข้าง เขาค่อยๆ ยกฝาโลงเปิดออก หลังจากนั้นก็อุ้มเอาเวินยาฉีที่นอนอยู่ในโลงขึ้นมา ศีรษะค่อยๆ ก้มต่ำลง

 

 

เจินเมี่ยวเกือบจะร้องออกมาด้วยความตกใจแต่ก็เอามือปิดปากตนไว้แน่น

 

 

พี่สี่ทำอันใดกัน?

 

 

เหตุใดท่าทางจึงดูคล้ายว่าเขา…เขากำลังจูบคนที่อยู่ในอกเช่นนั้นเล่า?

 

 

เจินเมี่ยวใจเต้นตึกตักๆ อย่างบ้าคลั่ง นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอย่างคนที่ลืมว่าตนกำลังแอบดูอยู่

 

 

ทั้งหมดที่นางเห็นได้ทำลายทุกความเข้าใจทั้งหมดที่นางมี

 

 

พี่มั่วเหยียนผู้ชอบยิ้มชอบหยอกล้อนั้นรักชอบกับศพ ทั้งยังเป็นศพของน้องสาวแท้ๆ ของตนอีกงั้นหรือ?

 

 

เมื่อคิดว่าเวินมั่วเหยียนก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว ทั้งมีครั้งหนึ่งที่นางเวินมาบ่นว่ากับนางว่าตนเอ่ยเรื่องหมั้นหมายกับเขาเมื่อใด เขาก็ทำทีดั่งมิสนใจกระนั้น ครั้นถามว่าชอบสตรีเช่นใด เขาก็ไม่พูด ความรู้สึกย่ำแย่กระจายไปที่ร่างเจินเมี่ยวทันที

 

 

แย่แล้ว นางพบกับความลับอันใหญ่หลวงเช่นนี้หากพี่มั่วเหยียนทราบเข้าคงฆ่านางตายแน่!

 

 

แม้นมีชิงไต้คอยคุ้มครอง แต่ต่อไปคนทั้งสองคงมิอาจพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุขได้อีกแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวอยากจะร้องไห้แต่กลับไร้น้ำตา นางยกกระโปรงขึ้นหมุนตัวกลับด้วยคิดจะรีบกลับเรือนตน

 

 

ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ปิ่นปักผมที่นางเสียบยึดมวยผมตนก่อนนอนนั้น นางใช้เพียงเสียบยึดไว้เพียงหลวมๆ เท่านั้น เมื่อนางนอนพลิกตัวอยู่บนเตียงไปมาหลายครามันก็ยิ่งหลวมขึ้นไปอีก ครั้งนี้นางหมุนตัวอย่างกะทันหันก็เป็นธรรมดาที่ปิ่นนั้นจะถูกสะบัดออก มันหมุนโค้งเป็นวงสวยงามก่อนจะร่วงตกลงพื้น

 

 

เสียงชิ้งดังขึ้นแผ่วเบา

 

 

เจินเมี่ยวจ้องมองปิ่นหยกที่หักเป็นสองท่อนนั้นอย่างตกตะลึง แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น นางยืนหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูคล้ายคนถูกสกัดจุด สายตาสบเข้ากับเวินมั่วเหยียนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่งซึ่งคล้ายว่ามันได้ผ่านไปนานแสนนานนับพันนับหมื่นปีกระนั้น เจินเมี่ยวได้ยินเสียงหนึ่งร้องเรียกนาง “น้องรอง…”

 

 

นางจึงมีสติกลับมาแล้วรีบหมุนกายวิ่งซ่อนเร้นเข้าไปในม่านราตรี

 

 

เวินมั่วเหยียนวิ่งตามไปอย่างไม่ลังเลสักนิด

 

 

เขาเป็นบุรุษ รูปร่างสูงใหญ่ แขนขายาว ทั้งมิใช่บัณฑิตร่างกายอ่อนแอ แค่วิ่งสองสามก้าวก็ตามทันเจินเมี่ยวแล้ว

 

 

เดิมห้องหลังสวนเหอเฟิงนั้นเป็นที่พักของบรรดาสาวใช้ แต่เพราะห้องนี้ถูกจัดเป็นห้องเก็บศพ ผู้ที่พักอยู่ด้านข้างถัดไปอีกสองห้องต่างก็ย้ายไปพักห้องอื่นแล้ว แต่หากเอะอะเสียงดังก็ไม่แน่ว่าจะมิทำให้พวกนางแตกตื่น

 

 

เวินมั่วเหยียนไม่กล้าตะโกนเสียงดัง แต่เพราะความร้อนใจจึงคว้ามือข้างหนึ่งของเจินเมี่ยวไว้

 

 

แรงของเขานั้นมากยิ่ง เขาดึงนางเพียงครั้ง เจินเมี่ยวก็เซถลาเข้าสู่อ้อมอกเข้าทันที

 

 

ชิงไต้ที่กำลังเก็บปิ่นหยกอยู่ด้านหลังกำลังจะพุ่งเข้ามาช่วยแต่กลับชะงักฝีเท้าไว้

 

 

สถานการณ์เช่นนี้หากนางปรากฏตัวขึ้นคิดว่าต้าไหน่ไหน่คงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย

 

 

นางตัดสินใจสังเกตสถานการณ์ก่อนค่อยลงมือ อย่างไรเสียด้วยฝีมือของนาง คุณชายเวินก็ทำอันตรายต้าไหน่ไหน่มิได้แน่

 

 

เวินมั่วเหยียนรู้สึกเพียงว่าร่างที่อยู่ในอกนั้นทั้งหอมและนุ่ม กลิ่นหอมนั้นมิใช่กลิ่นหอมของดอกไม้ที่พบเห็นได้ทั่วไปแต่เป็นกลิ่นที่แปลกประหลาดยิ่งคล้ายจะเป็นกลิ่นหอมของผลไม้ผสมกับกลิ่นนม ทำให้ประสาทสัมผัสรับกลิ่นของเขาเริ่มทำงาน

 

 

หัวใจของเวินมั่วเหยียนพลันเต้นระรัวขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุม เขากลืนน้ำลายลงคอไปโดยไม่รู้ตัว

 

 

กลิ่นนี้คล้ายกับหมานโถวกลิ่นนมสอดไส้ผลไม้ที่เคยได้กินตอนเด็กอย่างไรอย่างนั้น หมานโถวกลิ่นนมอันหอมหวานขนาดใหญ่เท่ากำปั้น เขากลับกินมันไปถึงห้าลูกในแต่ละครั้ง!

 

 

ครั้นคิดถึงอาหารเลิศรสที่ตนเคยกิน เขาก็ลืมที่จะปล่อยมือไปชั่วขณะ

 

 

นี้เองที่ทำให้เจินเมี่ยวตกใจจนอึ้งงันไป นางไม่กล้าร้องโวยวายด้วยเพราะจะทำให้ผู้อื่นแตกตื่น จึงกัดฟันเอ่ยเสียงต่ำเอ่ยเตือนเขาอย่างตะกุกตะกัก “ญาติ…ญาติผู้พี่ ข้าเป็นแค่ญาติผู้น้องเท่านั้น แหะๆ เป็นเพียงญาติผู้น้องเท่านั้น”

 

 

นางมิใช่เวินยาฉีจริงๆ นะ!

 

 

เวินมั่วเหยียนจึงมีสติคืนมา พลันหน้าก็แดงก่ำขึ้น เขารีบปล่อยมือด้วยความลนลานแล้วถอยหลังไปสองก้าว

 

 

“น้องรอ เจ้า เจ้าเห็นหมดแล้วหรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้าหนักๆ คราหนึ่ง “ข้าเห็นหมดแล้ว”

 

 

พี่สี่ผู้สดใสเจิดจรัสดั่งดวงอาทิตย์ของนาง มีรสนิยมดุดันถึงเพียงนี้เชียวหรือ ฮือๆๆ อยากจะร้องไห้จนสลบอยู่ในห้องเก็บศพเหลือเกิน!

 

 

เวินมั่วเหยียนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนทันที เขามองนางด้วยท่าทีลุกลน คล้ายเด็กที่ทำความผิดบางอย่างมากระนั้น

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาในก้นบึ้งของหัวใจ

 

 

แย่แล้ว จากท่าทีของพี่สี่ทำให้ความหวังอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ของนางหมดสิ้นลง ที่แท้สิ่งที่นางเห็นเมื่อครู่มิได้ตาฝาดไป!

 

 

“น้องรอ พวกเราไปนั่งคุยกันตรงนั้นเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นท่าทีกังวลใจของเวินมั่วเหยียนจึงพยักหน้ารับ

 

 

คนทั้งสองไปนั่งคุยกันที่ม้านั่งแห่งหนึ่ง

 

 

เวินมั่วเหยียนก้มหน้าลงอย่างยอมรับผิด “น้องรอง ข้าขอโทษจริงๆ เจ้าจะโกรธข้าหรือไม่?”

 

 

“อันใดหรือ?” เจินเมี่ยวค่อยๆ กำกระโปรงตนแน่น แต่เมื่อเห็นสายตาที่มองมาของมีทั้งความอบอุ่นและกระจ่างใส และเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด นางก็ต้องชะงักไป แล้วพึมพำขึ้นว่า “ข้าย่อมมิโกรธท่านแน่นอน เพียงแค่ตกใจมากเท่านั้น อีกอย่าง พี่สี่มิจำเป็นต้องขอโทษข้าเลย หัวไชเท้า…กับผักกาดเขียวต่างมีความชอบของตนมิใช่หรือ แม้นข้าจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ว่า แต่ว่า… ”

 

 

‘แต่ว่า’ อยู่นาน นางก็มิอาจพูดคำใดออกมาได้อีก เรื่องนี้คนธรรมดาย่อมมิอาจเข้าใจได้ นางเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง อย่าได้ทำให้นางลำบากใจเลยได้หรือไม่!

 

 

เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเจินเมี่ยว เวินมั่วเหยียนก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา

 

 

เขามีเจตนาปิดบังทำให้ญาติผู้น้องต้องเสียงใจใช่หรือไม่ หากอาหญิงทราบเข้า เกรงว่าคงจะตำหนิเขามากกว่านี้แน่

 

 

เขาก้มหน้าลง ท่าทีเศร้าสร้อยไม่น้อย “ข้าผิดเอง วันนี้นอนอย่างไรก็ไม่หลับ คิดถึงแต่เรื่องของยาฉี เหตุใดข้าจึงคิดว่ายาฉีไม่มีทางฆ่าตัวตาย น้องรองเจ้าไม่รู้หรอกว่า ยาฉีนั้นทั้งหยิ่งยโสทั้งกลัวเจ็บ นางอายุสิบกว่าปีแล้วแท้ๆ แต่แค่กระดาษปาดมือนางยังเจ็บจนร้องไห้ออกมา เจ้าว่าคนเช่นนี้จะกล้าแขวนคอตายหรือ มันต้องเจ็บมากเลยว่าหรือไม่?”

 

 

เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้น น้ำเสียงแปลกแปร่ง “ดังนั้นพี่สี่ ความหมายของท่านคือ…”

 

 

คล้ายว่ามีเรื่องราวบางอย่างที่เข้าใจผิดกันเกิดขึ้นแล้ว

 

 

“ข้าไม่อยากเชื่อจริงๆ จึงอยากมาดูยาฉีให้เห็นกับตาอีกสักครั้ง” เวินมั่วเหยียนเกาศีรษะตนคราหนึ่ง “เมื่อกลางวันตอนที่เจ้าเดินเข้ามา ข้ากลัวเจ้าตกใจจึงมิได้อยู่ตรวจดูให้ละเอียด”

 

 

“แล้วที่ท่านอุ้มยาฉีลงมาก็เพราะ…”

 

 

“อ้อ ข้ารู้จักสหายอยู่ผู้หนึ่ง เขาเก่งเรื่องตรวจศพยิ่ง เขาบอกว่าคนที่แขวนคอตายกับถูกรัดคอตายนั้นร่องรอยที่คอจะต่างกัน ในห้องนั้นมันมืดเกินไป ตะเกียงก็สว่างไม่พอ ข้าจึงอุ้มนางลงมาดูให้ชัดๆ ”

 

 

ครั้นเห็นสีหน้าประหลาดใจของเจินเมี่ยวเขาก็หัวเราะเยาะหยันตนทันที “ข้ารู้ว่าเจ้าคงตำหนิข้าอยู่ในใจ หากข้ามีความสงสัยใดก็ควรพูดกับเจ้าตามตรง ไม่ควรแอบมาดูเช่นนี้ แต่เพราะข้ากลัวว่าเจ้ากับท่านอาหญิงจะคิดมาก คิดว่าข้าระแวงสงสัยคนในจวนปั๋วส่งเดช จึงได้กระทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้ออกมา”

 

 

แม้นเวินมั่วเหยียนจะเอ่ยเช่นนี้ แต่ความจริงแล้วหากย้อนเวลากลับไปได้ เกรงว่าเขาก็คงจะเลือกลักลอบมาดูเช่นนี้เหมือนเดิม

 

 

น้องสาวแท้ๆ ของเขาตายอยู่ในจวนญาติตน ทุกคนต่างบอกว่านางคิดสั้น แต่เขาไม่เชื่อ ทั้งยังแอบไปตรวจสอบอีก นั้นมิใช่บ่งบอกว่ามิเชื่อใจตระกูลอาหญิงตนหรือ? เช่นนั้นก็ยากจะหลีกเลี่ยงการทำร้ายจิตใจของญาติพี่น้องได้

 

 

“หากญาติผู้น้องยังโกรธอยู่ก็ตีข้าเถิด แต่เจ้าอย่าบอกอาหญิงเลย หากทำให้อาหญิงต้องเสียใจขึ้นมาอีก ข้าคงมีความผิดมหันต์ยิ่งแล้ว” เวินมั่วเหยียนก้มหน้าลงด้วยความเศร้าสร้อยแล้วยื่นมือออกมาให้เจินเมี่ยวตี

 

 

เจินเมี่ยวย่อมไม่ตีเขาแน่นอน

 

 

อารมณ์ของนางพลิกคว่ำไปมาจนตอนนี้ตับไตแทบจะทนรับไม่ไหวแล้ว

 

 

สวรรค์มีตาแท้ๆ ญาติผู้พี่ของมิได้วิปริตผิดแปลกอันใด!

 

 

“ข้าบอกแล้วว่ามิได้โกรธ พี่สี่กับยาฉีเป็นพี่น้องกัน ท่านไม่เชื่อว่านางจะจากไปเช่นนี้นั้นย่อมเป็นเรื่องปกติ เมื่อครู่เป็นเพราะข้าไปรบกวนท่านทำให้คงยังตรวจดูไม่แน่ชัด เช่นนั้นเรากลับไปตรวจดูกันอีกรอบเถิด”

 

 

เวินมั่วเหยียนพลันยืนขึ้นทันใด “ใช่แล้ว ตะเกียงข้าก็ยังอยู่ที่นั่น”

 

 

คนทั้งสองเดินเคียงกันไปในความมืดมุ่งหน้าไปยังห้องหลังสวนเหอเฟิง

 

 

เมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง เวินมั่วเหยียนก็พลันนึกอันใดขึ้นมาได้ เขาเกาศีรษะพลางเอ่ยถามว่า “น้องสี่ เมื่อครู่ที่เจ้าบอกว่า ‘หัวไชเท้ากับผักกาดเขียวต่างมีความชอบของตน’ หมายความว่าอย่างไรหรือ?” 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset