วาสนาบันดาลรัก 298 ความเจ็บปวดของการสูญเสียน้องสาว

ตอนที่ 298 ความเจ็บปวดของการสูญเสียน้องสาว

 

 

นางมิอาจทนไหวแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องเล่าออกไป เจินเมี่ยวจึงกัดฟันฝืนเล่าทุกอย่างจนจบ นางมองท่าทางหวาดหวั่นอึ้งงันของนางเจียวและเวินมั่วเหยียนแล้วจิตใจก็สับสนขึ้นมาจึงหลุบม่านตาลงจ้องลายบุปผาสีเขียวเข้มบนกระโปรงตนโดยไม่พูดจาใดๆ

 

 

เวินมั่วเหยียนพลันลุกขึ้น ลำขายาวสองข้างนั้นหมุนกายแล้วก้าวออกไปด้านนอกทันที

 

 

“ญาติผู้พี่ ท่านจะไปไหน?” เจินเมี่ยวตามออกมาขวางเขาอยู่ที่หน้าประตู

 

 

เวินมั่วเหยียนจ้องเจินเมี่ยว ขนยายาวดั่งพัดที่ทำจากขนอีกาดำขับให้ดวงตาคู่นั้นทั้งใหญ่และเจิดจ้า เพลิงโทสะที่ลุกไหม้อยู่ในนั้นทำให้คนไม่กล้าสบตา

 

 

“ญาติผู้น้อง คนร้ายที่ทำให้ยาฉีต้องตายยังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะขวางข้าทำไม?”

 

 

เจินเมี่ยวเม้มปากไว้ไม่พูดจา แต่กลับมิขยับฝีเท้าไปแม้เพียงสักนิด

 

 

ดวงตาอันเจิดจ้าของเวินมั่วเหยียนค่อยๆ อับแสงลง ความเสียใจ ความโกรธแค้น ความดื้อดึง ทุกความรู้สึกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ในดวงตาของเขา กระทั่งน้ำเสียงที่เอ่ยก็ยังขรึมต่ำลงไปหลายส่วน “ญาติผู้น้อง เจ้าจะขวางข้าจริงๆ หรือ?”

 

 

ท่าทางของเขามิได้ดูโกรธแค้นร้อนรนถึงเพียงนั้นแล้วแต่กลับคล้ายสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ สิ้นหวังทั้งอดกลั้น

 

 

กระทั่งเจินเมี่ยวยังคิดว่าเขาอาจจะร้องไห้โฮออกมาดั่งเด็กตัวน้อยๆ

 

 

ความจริงเวินมั่วเหยียนก็อายุมากกว่านางแค่ปีเดียวเท่านั้น เขาอายุแค่สิบเจ็ดปี

 

 

“ต่อให้ภายหน้าท่านจะโกรธเกลียดข้า ข้าก็ยังจะขวางท่านไว้” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงเรียบ

 

 

“เจ้า เจ้า…” เวินมั่วเหยียนกัดริมฝีปากล่างไว้โดยแรง โลหิตพลันไหลซึมออกมาทันใด แต่เขากลับหาได้ใส่ใจไม่ “เจ้ารู้ว่าข้าคงทำอันใดเจ้าไม่ได้ใช่หรือไม่? หากเจ้าเป็นน้องชาย ข้าคง….”

 

 

เจินเมี่ยวหน้าขรึมขึ้นมาทันที “พี่สี่จะถือว่าข้าเป็นน้องชายก็ได้”

 

 

พูดพลางแอ่นหน้าอกแล้วเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ส่งสายตายียวนให้เขา

 

 

ท่าทีที่แสดงออกนั้นชัดเจนยิ่ง นางกำลังบอกว่าต่อยข้าสิ

 

 

เวินมั่วเหยียนเบนสายตาหลบไปด้วยความประหม่า

 

 

“มั่วเหยียน หยุดโวยวายได้แล้ว!” นางเจียวเอ่ยปากขึ้นในที่สุด

 

 

“ท่านแม่…”

 

 

นางเจียวถูมือที่แห้งกร้านของตนไปมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขมขื่น “มั่วเหยียน ยาฉีเป็นเช่นนี้เพราะแม่มิได้สั่งสอนนางให้ดี แล้วจะไปโกรธเคืองผู้อื่นได้อย่างไร”

 

 

“ท่านแม่ ต่อให้น้องจะผิดอย่างไร โทษก็ไม่ร้ายแรงถึงตายเสียหน่อย!” เวินมั่วเหยียนกำหมัดตนแน่น

 

 

นี่เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ที่สุด น้องสาวเขาเพิ่งจะสิบห้าปี เป็นช่วงอายุที่สดใสดุจบุปผา แค่มิได้เจอเพียงเดือนกว่าๆ บุปผากลับสิ้นกลิ่นหอม หยกงามกลับแตกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

ศพของนางมิอาจนำไปฝังในสานของตระกูล อาจจะต้องนำนางไปฝั่งไว้เพียงลำพังในที่ใดที่หนึ่ง เมื่อคิดถึงสถานที่อันเหน็บหนาวเยือกเย็นเช่นนั้นแล้วก็รู้สึกใจจะขาดขึ้นมาให้ได้

 

 

ต่อให้นางเอาแต่ใจ เต็มไปด้วยข้อเสียมากมายแต่นางก็เป็นน้องสาวของเขา แม้นชั่วชีวิตนี้จะมิได้ออกเรือน เขาก็เลี้ยงนางได้

 

 

นางเจียวหลับตาลง น้ำตาไหลรินลงมา “เป็นเพราะแม่มิได้สั่งสอนให้ยาฉีระมัดระวังตน มั่นคงและเข้มแข็ง หากนางทำเช่นนั้นได้ คงไม่มีวันนี้ วันที่หัวหงอกต้องมาส่งหัวดำเป็นแน่”

 

 

เจินเมี่ยวเห็นท่าทีทุกข์ตรมของนางเจียนแล้วก็พลอยปวดใจไปด้วย

 

 

ใช่ หากเวินยาฉีรู้จักคิดให้รอบคอบย่อมมิต้องเสียความบริสุทธิ์ หากนางมีจิตใจที่มั่นคงพอ แม้นจะเสียตัวไปแล้ว แต่ญาติพี่น้องทุกคนก็ย่อมต้องสรรหาคนดีๆ มาให้นาง หากนางเข้มแข็ง ต่อให้พบเจอกับเรื่องเลวร้ายเพียงใดก็จะไม่มีทางแขวนคอตายเพื่อหลีกหนีเรื่องราวทุกอย่างเป็นแน่

 

 

“เป็นความผิดข้าเอง ตอนที่ยาฉีเพิ่งจะรู้ความ ตระกูลของเราก็ค่อยๆ ตกต่ำลง แม่มัวแต่ยุ่งกับการพยุงกิจการของตระกูลจึงมิได้ดูแลนาง ต่อมาบิดาเจ้าก็ตาบอดไปข้างหนึ่ง ภาระที่แบกไว้ก็ยิ่งหนักอึ้งทำให้ข้าละเลยในการอบรมนาง กล่าวไปแล้วก็เป็นเพราะแม่มิได้ทำหน้าที่แม่อย่างเต็มที่จึงทำให้นางมีจุดจบเช่นนี้ ทำให้แม่ต้องรับโทษทัณฑ์เช่นนี้” นางเจียวทนไม่ไหวอีกต่อไป นางจึงร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

 

“ท่านแม่ ท่านอย่าได้เสียใจเกินไปเลย ท่านยังมีท่านพ่อ และพวกเราลูกหลานที่ต้องดูแลอีก” นางสิงประคองนางเจียวไว้พลางเอ่ยเตือนสติ

 

 

น้องสามีผู้นี้ช่างทำให้คนตกตะลึงได้จริงๆ ถึงกับทำเรื่องอันน่าละอายเช่นนั้นออกมาได้ ตอนนี้แม้แต่ตนยังดูออกว่าท่านอาหญิงในจวนแห่งนี้ของนางนั้นดีต่อนางอย่างที่สุด มิเช่นนั้นหากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นที่จวนอื่นก็คงส่งสตรีที่ไม่รู้ความผู้นี้กลับบ้านเกิดไปเสียนานแล้ว

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็มิจำเป็นต้องหาเหตุก่อเรื่องอันใดอีกแล้ว หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น อาหญิงผู้นั้นคงรู้สึกผิดกับตระกูลมารดาตนยิ่ง

 

 

ครั้นคิดได้เช่นนี้นางจึงเอ่ยเตือนสติอีกว่า “ท่านแม่ ท่านอาหญิงมิใช่กำลังป่วยอยู่หรือ ท่านยังต้อพาสะใภ้กับน้องมั่วเหยียนไปเยี่ยมอาการอีกนะเจ้าคะ”

 

 

นางเจียวพยักหน้าเบาๆ นางลืมตาขึ้นมองเวินมั่วเหยียน “มั่วเหยียน แม้นแม่มิใช่คนมีประสบการณ์อันใดมากมาย แต่ก็รู้ว่าการจับขโมยต้องมีหลักฐาน เมี่ยวเอ๋อร์ก็บอกแล้วมิใช่หรือว่า กูไหน่ไหน่ผู้นั้นแค่เอ่ยจูงใจน้องสาวเจ้าเท่านั้น อาศัยแค่วาจานี้ เจ้ามีสิทธิ์อันใดไปหาเรื่องผู้อื่นเล่า? ยาฉีมาเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังจะก่อเรื่องให้ผู้คนขบขันซ้ำเติมตระกูลเราอีกหรือ? เจ้าจะให้ข้ามีหน้าอันใดไปพบอาหญิงเจ้าเล่า?”

 

 

นางเจียวบอกว่าตนไร้ประสบการณ์ใดๆ นั้นกลับเป็นการถ่อมตนเกินไปแล้ว ตอนที่ตระกูลเวินยังมิทันได้ตกต่ำ การแต่งสะใภ้คนที่สามเข้าตระกูลแม้นมินับเป็นคุณหนูสูงศักดิ์แต่ก็เป็นสตรีผู้งดงามและเพียบพร้อมด้วยความสามารถ แต่เมื่อต้องผ่านคืนวันอันยากลำบากจึงทำให้คนดูหมองไปดุจหญิงสาวชาวนาก็มิปาน

 

 

เวินมั่วเหยียนยืนโง่งมอยู่เช่นนั้นเป็นนาน ฉับพลันก็ออกหมัดซัดเข้าใส่กำแพงโดยแรงคราหนึ่ง

 

 

เจ้าหนุ่มผู้นี้พลังเหลือเฟือนัก แค่เพียงหมัดเดียวก็ทำให้กำแพงสีขาวนั้นแตกร้าวดุจใยแมงมุม เขาถึงกับแข็งทื่อเป็นระกาไม้ไปโดยปริยาย เมื่อนึกขึ้นได้ก็หันไมองเจินเมี่ยวด้วยท่าทีดั่งคนที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้เหมือนสมัยยังเยาว์ไว้ไม่มีผิด

 

 

เจินเมี่ยวเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็วแล้วยื่นมืออกไป

 

 

เวินมั่วเหยียนถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ

 

 

เจินเมี่ยวหลุดหัวเราะออกมา

 

 

คนผู้นี้กลัวว่านางจะตีเขางั้นหรือ? นางมิใช่บิดาเขาเสียหน่อย

 

 

นางล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวทรงสี่เหลี่ยมออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดใส่มือเขา “มือท่านเลือกออกแล้วรีบเอาไปพันแผลก่อน”

 

 

หลังจากนั้นก็เปิดประตูร้องเรียกจื่อซูให้เข้ามา “จื่อซู เจ้าพาคุณชายไปพันแผลที”

 

 

เวินมั่วเหยียนยังคิดจะผลักไสแต่เห็นเจินเมี่ยวทำหน้าตึงจึงยอมตามจื่อซูไปแต่โดยดี

 

 

นางเจียวลุกขึ้นยืน “เมี่ยวเอ๋อร์ พาข้าไปหาท่านแม่เจ้าที”

 

 

เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า “ท่านป้าสะใภ้รองตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ แต่หมอหลวงบอกว่าท่านแม่มิอาจได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอีก มิฉะนั้นอาการป่วยจะกลับมาเป็นซ้ำ”

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” นางเจียวตบหลังมือเจินเมี่ยวเบาๆ คราหนึ่ง

 

 

สองมืออันหยาบกร้านดั่งเปลือกไม้ของนางนั้นทำให้คนรู้สึกเจ็บแปลบที่ผิวขึ้นมา

 

 

เจินเมี่ยวจึงคิดถึงวาจาของนางเวินที่เคยบอกไว้

 

 

ช่วงที่ตระกูลมารดาลำบากที่สุดนั้นมิกล้าจ้างแม้กระทั่งสาวใช้ เสื้อผ้าอาภรณ์นั้นฮูหยินทั้งหลายต่างซักกันเอง

 

 

ชั่วขณะนี้เองทำให้เจินเมี่ยวเข้าใจความขมขื่นของนางเวิน

 

 

ไม่ว่าผู้ใดหากตระกูลมารดาต้องพบเจอความลำบากเช่นนี้แต่ตนเองกลับอาศัยอยู่ในกองเงินกองทอง ย่อมต้องรู้สึกมิอาจสงบใจได้ทั้งสิ้น

 

 

เมื่อเดินพ้นประตูเรือนฝั่งตะวันตกออกมา นางก็เดินไปตามระเบียงทางเดิน ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ดวงอาทิตย์แขวนต่ำอยู่ทางทิศตะวันตกสาดย้อมเมฆขาวให้กลายเป็นสีแดง ดูหนักอึ้งจนมิอาจทานทนต่อไปแล้วกระนั้น แต่มันกลับช่วยบดบังความกลัดกลุ้มของคนผู้หนึ่งเอาไว้ได้ ต้นไม้ที่อยู่ตรงมุมกำแพงนั้นกำลังผลิบานชูช่อเล็กๆ สีขาวขึ้นต้อนรับสายลม คล้ายมันกำลังภาคภูมิใจหนักหนาก็มิปาน

 

 

“ป้าสะใภ้รอง เชิญด้านนี้เจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวยืนอยู่ด้านหลังเพื่อบังลมให้นาง

 

 

นางเจียวเดินทางไกลมาอย่างยากลำบากพร้อมกับความเสียใจเข้ากระดูก หากถูกลมโกรกจนล้มป่วยไปอีกคนจะยิ่งทำให้นางปวดศีรษะมากขึ้นเท่านั้น

 

 

นางรู้สึกว่าตนนั้นมีกำลังไม่มากพออย่างที่ใจอยาก นางมิได้เชี่ยวชาญในการจัดการเรื่องต่างๆ เหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เวลานี้นางอยากจะให้เจินเหยียนอยู่ด้วยมากที่สุด อยากให้นางคอยชี้แนะตนเหมือนตอนที่ยังมิได้ออกเรือน

 

 

ทว่ามิอาจทำได้ ตอนนี้เจินเหยียนใกล้จะคลอดแล้วทั้งยังเป็นคนรักพี่น้อง หากนางทราบเรื่องนี้เข้าอาจกระทบกระเทือนกับบุตรในครรภ์ได้

 

 

เจินเมี่ยวยืดหลังตนขึ้นตรงแล้วประคองนางเจียวเข้าไปด้านใน

 

 

ไม่เชี่ยวชาญ เช่นนั้นก็ตั้งใจเรียนรู้ให้ดี อย่างไรก็ย่อมต้องมีทางออกเสมอ

 

 

นางเจียวพบหน้ากับนางเวินแล้ว

 

 

นางเจียวเป็นผู้รู้จักเก็บอาการยิ่ง ทั้งที่นางเพิ่งผ่านความเสียใจที่ต้องสูญเสียบุตรสาวแต่ยังคงปลอบประโลมนางเวินอย่างใจเย็น นางเวินกอดนางเจียวร้องไห้โฮออกมาเหมือนเด็กน้อยผู้หนึ่งไม่มีผิด

 

 

เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

 

ความทุกข์ในใจเมื่อร้องไห้ออกมาแล้วก็ย่อมดีขึ้นมากโข

 

 

เวินมั่วเหยียนเดินตามจื่อซูมาถึงที่นี่ เมื่อเห็นเหตุการณ์ภายในห้องก็หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูไม่เดินเข้าไป

 

 

เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นจึงเดินออกมา

 

 

“ข้ารออีกสักประเดี๋ยวค่อยเข้าไปคารวะท่านอาหญิงแล้วกัน” เวินมั่วเหยียนพูดพลางมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าอันอ่อนโยนของนางจึงเอ่ยขึ้นว่า “น้องรอง ข้าอยาก…ไปดูยาฉีสักหน่อย”

 

 

เจินเมี่ยวนิ่งเงียบอยู่นานจึงพยักหน้า “อืม”

 

 

เวินยาฉีถูกบรรจุไว้ใน**บศพเรียบร้อยแล้ว โลงของนางถูกเก็บไว้ที่ห้องด้านหลังของสวนเหอเฟิง

 

 

เจินเมี่ยวพาเวินมั่วเหยียนไปที่นั่น เมื่อเปิดประตูออก ไอเย็นเยียบสายหนึ่งก็พุ่งออกมา

 

 

เวินมั่วเหยียนบังเจินเมี่ยวไว้ด้านหลังตนแล้วหันหน้ากลับไปเอ่ยว่า “น้องรอง เจ้ารออยู่ข้างนอกเถิด ข้าเข้าไปดูครู่เดียวก็ออกมาแล้ว”

 

 

ความจริงเจินเมี่ยวนั้นใจกล้ายิ่ง นางกลัวแค่เพียงห่านเท่านั้น แต่การดูศพคนตายก็มิใช่สิ่งที่นางสนใจนักจึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วยืนรอเขาอยู่ด้านนอก

 

 

เวินมั่วเหยียนเดินเข้าไป เขาจ้องมองคันฉ่องทองแดงที่ตกเข้ากับโลงศพนั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ เปิดฝาโลงออก

 

 

เวินยาฉีนอนอยู่ในนั้น ใบหน้าเขียวคล้ำ ดูโดดเดี่ยว ว่างเปล่า รอบกายไร้สิ่งของใด

 

 

ด้วยเพราะธรรมเนียมในยุคนั้น หากสตรีที่ยังมิออกเรือนสิ้นชีวิตลง อย่าว่าแต่เข้าไปอยู่ในสุสานของตระกูลเลย แม้นสิ่งของที่ฝังไปกับศพยังมิอนุญาตให้มี

 

 

เมื่อคิดถึงคราวที่น้องสาวยังมีชีวิตอยู่ นางชมชอบเครื่องประดับและเสื้อผ้าที่สวยงาม แต่ยามนี้กลับต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เวินมั่วเหยียนรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในอกอย่างยากจะบรรยาย น้ำตาเขาค่อยๆ ไหลรินออกมาจากหางตา

 

 

เขารีบถอยหลังทันทีด้วยกลัวว่าน้ำตาจะร่วงหล่นลงบนไม้โลงศพ เมื่อถอยไปได้ประมาณครึ่งจั้ง เขาก็นั่งลงร้องไห้ด้วยเสียงแผ่วต่ำอย่างที่สุด

 

 

เจินเมี่ยวที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงจึงอดเดินเข้ามามิได้ “พี่สี่…”

 

 

น้ำเสียงของนางพลันหยุดชะงักลงทันที สายตาจ้องมองไปบนใบหน้าอันเขียวคล้ำของเวินยาฉีที่อยู่ในโลงอย่างอึ้งงัน

 

 

เวินมั่วเหยียนลุกขึ้นทันที สีหน้าก็ปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เขาเข้าไปยืนบดบังครรลองสายตาของเจินเมี่ยวไว้แล้วผลักนางออกไป เขากลับมาที่เดิมแล้วปิดฝาโลงลง เมื่อเดินออกไปก็เอ่ยถามด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “จู่ๆ เจ้าวิ่งเข้าไปทำอันใดเล่า?”

 

 

เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากไว้มิเอ่ยวาจา

 

 

‘เพราะได้ยินท่านร้องไห้จึงคิดจะเข้าไปปลอบ’ วาจาทำนองนี้มิสู้ไม่เอ่ยถึงจะดีกว่า นางคิดว่าคงไม่มีบุรุษใดอยากจะฟังคำตอบเช่นนี้แน่

 

 

“เจ้าตกใจมากหรือไม่?” เวินมั่วเหยียนอดถามขึ้นมาไม่ได้

 

 

เจินเมี่ยวส่ายหน้า “ไม่”

 

 

นางมิได้ตกใจจริงๆ

 

 

แต่น่าเสียดายที่เวินมั่วเหยียนไม่เชื่อ เขาเดินหน้าขรึมกลับไปพร้อมนาง ครั้นใกล้ถึงเรือนหลักก็เอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “น้องสี่ หากเจ้ากลัวก็ให้น้องเขยมาอยู่เป็นเพื่อนนะ เรื่องวันนี้ข้าขอโทษจริงๆ”

 

 

ยามนี้เขารู้สึกเสียใจจริงๆ หากอยากจะไปดูหน้าน้องสาวเป็นครั้งสุดท้ายก็แค่ให้สาวใช้สักคนนำทางไปก็ได้ เหตุใดต้องให้ญาติผู้น้องพาไปด้วย เด็กสาวย่อมต้องขี้กลัวเป็นธรรมดา หากนางตกใจจนเกิดล้มป่วยไปอีกคนเขาจะทำเช่นไรเล่า

 

 

“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ” เจินเมี่ยวคลี่มุมปากขึ้นยิ้ม

 

 

เห็นได้ชัดว่าเวินมั่วเหยียนไม่เชื่อนาง เขายังคงมีท่าทีกังวลใจอยู่เช่นเดิม

 

 

สายตาเจินเมี่ยวร่วงตกไปบนฝ่ามือที่ได้พันแผลไว้เรียบร้อยแล้วนั้นของเขาจึงคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาโดยไร้ท่าทีเอียงอายอย่างสตรีทั่วไปว่า “พี่สี่ ผ้าเช็ดหน้าข้าเล่า? กลับไปอย่าลืมซักด้วยเล่า ข้ายังต้องใช้มันอีก”

 

 

ผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดเช่นนั้นนางย่อมมิเอากลับมาใช้แน่นอน แม้นจะเป็นเพียงผ้าเช็ดหน้าธรรมดาทั้งมิได้มีสัญลักษณ์พิเศษอันใด แต่อย่างไรก็เป็นของที่นางเคยใช้ หากเก็บไว้กับเวินมั่วเหยียนคงไม่ค่อยเหมาะสมนัก

 

 

เวินมั่วเหยียนยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อคราหนึ่งแล้วอึ้งงันไป “น่าจะทำตกไว้ที่ห้องทำแผล”

 

 

“เช่นนั้นก็ช่างเถิด”

 

 

รอจนเวินมั่วเหยียนเข้าไปคารวะนางเวิน เจินเมี่ยวก็เรียกจื่อซูเข้าไปหาอย่างไม่กระโตกกระตาก ครั้นได้ยินนางบอกว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเปื่อยยุ่ยไม่เหลือชิ้นดีแล้วก็วางใจ

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset