วาสนาบันดาลรัก 283 ภาพเหมือน

ตอนที่ 283 ภาพเหมือน

มุมปากเจินจิ้งเคลือบรอยยิ้มบางเบา สายตาจ้องมองเก้าที่มีพรมรองนั่งลายมัจฉาแหวกบงกชที่เวินยาฉีเพิ่งนั่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ “เอาเก้าอี้นี้ออกไป”

 

 

สาวใช้รีบย้ายเก้าอี้นั้นออกไปไว้อีกฝั่ง แต่ในใจกลับลอบครุ่นคิดว่าความคิดของเจินจิ้งช่างยากจะคาดเดานัก ตั้งแต่บังเอิญพบกับคุณหนูเวินยาฉีที่สวนของจวนปั๋วครั้งหนึ่งก็เชิญนางมาพูดคุยเล่นด้วยทุกวัน แต่ดูท่าแล้วกลับมิได้ชมชอบคุณหนูผู้นั้นสักเท่าใดนัก

 

 

กล่าวไปแล้วการได้ติดตามนายเช่นนี้ก็นับเป็นโชควาสนายิ่งนัก

 

 

ตำหนักองค์ชายมีสตรีงามมากมายถึงเพียงนั้น เล่ห์กลของผู้ใดก็ต่างมิได้น้อยไปกว่ากันแต่นายหญิงของนางกลับได้รับการปฏิบัติจากองค์ชายหกแตกต่างจากผู้อื่น มิต้องพูดถึงว่านายหญิงเป็นคนแรกที่มีครรภ์หลังจากที่หลายปีที่ผ่านมานี่มีแค่จวิ้นจู่น้อยเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ทั้งยังทรงอนุญาตให้กลับมาดูแลบำรุงครรภ์ที่จวนปั๋วอีก แค่เพียงจุดนี้ก็รู้แล้วว่าอนาคตของนายหญิงท่านนี้ต้องไม่ย่ำแย่แน่

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ สาวใช้ผู้นั้นก็ยิ่งดูแลปรนนิบัตินายตนอย่างขยันขันแข็งมากขึ้นไปอีก

 

 

ท่าทีเช่นนี้ทำให้เจินจิ้งพอใจยิ่ง นางดื่มน้ำแกงรสหวานคำหนึ่งแล้วใช้ปลายนิ้วมือเรียวยาวเสลานั้นเคาะกับเสาเตียงอย่างเหม่อลอย ความคิดก็ล่องลอยไปไกล

 

 

นางเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับมาอยู่ที่นี่รวดเร็วปานนี้ คราแรกนางได้ถูกส่งออกไปดั่งสุนัขที่สิ้นไร้ไม้ตอก ยามนี้ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะคิดอันใดอยู่ในใจแต่ใบหน้าก็ยังคงผลิยิ้มออกมามิใช่หรือ

 

 

องค์ชายหกเป็นคนทำอันใดตามแต่อารมณ์ มีชีวิตอยู่อย่างอิสระไร้กฎเกณฑ์ เสื้อผ้าอาหารทุกสิ่งอย่างล้วนหรูหราประณีต ในตำหนักไม่มีพระชายา นางผู้เป็นที่โปรดปรานที่สุดย่อมได้ร่วมเสพสุขกับทุกสิ่ง เกรงว่าท่านแม่ใหญ่ของนางผู้นั้นคงมิเคยเห็นด้วยซ้ำ

 

 

เจินจิ้งคิดถึงการสนทนาคุยเล่นครั้งหนึ่ง เวินยาฉีนางเล่าถึงของขวัญวันตรุษที่พี่เขยที่สอบได้เป็นบัณฑิตชั้นสูงซึ่งถูกส่งไปรับราชการที่นอกเมือง นางก็อดแค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมามิได้

 

 

ก็แค่ของที่นางทิ้งแล้ว มีอันใดน่าภาคภูมิใจกันเล่า!

 

 

แม้นจะเป็นภรรยาเอก แต่สามียศต่ำต้อยเพียงนั้น มีอันใดดีหนักหนา เบี้ยหวัดประจำเดือนที่ได้ก็น้อยนิดนัก เรือนพักอาศัยก็คับแคบ หากมีวันหนึ่งได้กลับมายังเมืองหลวง ก็เกรงว่าเงินที่สะสมไว้ได้นั้นคงไม่พอแม้จะซื้ออิฐแม้เพียงครึ่งก้อนด้วยซ้ำ

 

 

ในหัวของเจิ้นจิ้งพลันปรากฏภาพอันเลือนรางของหันจื้อหย่วน บัณฑิตชั้นสูงผู้มีชาติกำเนิดแสนยากจน

 

 

ตอนที่ได้หมั้นหมายกันนั้นนางเคยแอบไปดูเขาคราหนึ่ง แม้นจะเป็นบุรุษรูปโฉมหล่อเหลา แต่หากเทียบกับความงดงามโดดเด่นขององค์ชายหกแล้วนั้นเรียกได้ว่าห่างไกลกันอย่างมิอาจเปรียบได้

 

 

ครั้นคิดถึงองค์ชายหก หัวใจของเจินจิ้งก็ร้อนผ่าวขึ้นมา แสงระยิบระยับที่สะท้อนอยู่เหนือคลื่นในดวงตาคล้ายได้ปกคลุมชั้นเมฆหมอกนั้นไว้

 

 

บุรุษเช่นนั้น ไม่ว่าด้านใดก็ทำให้นางพอใจได้อย่างที่สุด แล้วนางจะมิหวั่นไหวได้อย่างไร?

 

 

เจินจิ้งกุมข้างแก้มตนเบาๆ

 

 

องค์ชายหกมักจะชอบจ้องนางนิ่งนานแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จิ้งเหนียง มีบุตรสาวให้ข้าสักคนเถิด”

 

 

สตรีทั่วตำหนักมีเพียงนางผู้เดียวที่มิได้ดื่มน้ำแกงคุมกำเนิดจึงได้ตั้งครรภ์เด็กผู้นี้ในเวลาต่อมา

 

 

บุตรสาวหรือ?

 

 

หึๆ นางย่อมต้องหวังให้เป็นบุตรชายอย่างแน่นอน ส่วนที่เขาอยากบุตรสาวคงเพราะอยากให้ตนรู้สึกสบายใจกระมัง?

 

 

เจินจิ้งรู้สึกว่าหัวใจของนางถูกความรู้สึกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘คิดถึง’ เกี่ยวกระหวัดรัดรึงอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า รัดจนนางทั้งเจ็บปวดทั้งหวานล้ำ พลันเกิดความคิดอยากจะไปพบหน้าเขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน

 

 

องค์ชายหกที่เจินจิ้งกำลังคิดถึงอยู่ผู้นั้น เวลานี้เพิ่งจะกลับถึงตำหนัก หลังจากที่เหนื่อยล้าติดต่อกันมาหลายวันเขาจึงตรงไปยังห้องอาบน้ำทันทีโดยไม่สนแม้แต่จะดื่มชาร้อนก่อนสักอึก

 

 

สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติองค์ชายหกอาบน้ำนั้นมีทั้งหมดสี่คน ครั้นเห็นเขาหันหลังถอดอาภรณ์ออกเผยให้เห็นท่อนขายาว บั้นท้ายแข็งแกร่ง ทุกคนต่างหน้าแดงด้วยความเขินอายแต่กลับมิอาจละสายตาจากไปได้

 

 

ในเมืองหลวงแห่งนี้ผู้คนทั้งหลายต่างทราบกันดีว่าองค์ชายหกเป็นคนเจ้าชู้ แต่พวกนางทั้งสี่กลับรู้ดีว่าองค์ชายหกนั้นมิเคยแตะต้องสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอย่างใกล้ชิดเช่นพวกนางเลยสักครั้ง

 

 

เดิมหัวใจดวงนี้ของพวกนางก็ค่อยๆ หมดหวังไปแล้วแต่แม่นางจิ้งผู้นั้นกลับตั้งครรภ์ขึ้นมา!

 

 

ที่แท้นอกจากการมีจวิ้นจู่น้อยโดยมิได้ตั้งใจนั้นแล้ว องค์ชายหกก็มิได้คิดว่าจักต้องรอให้พระชายาแต่งเข้ามาก่อนจึงจักอนุญาตให้สตรีในตำหนักมีบุตรได้!

 

 

แค่จุดนี้เท่านั้นที่ทำให้พวกนางมิอาจอดกลั้นสงวนท่าทีได้อีกต่อไป

 

 

พวกนางปรนนิบัติองค์ชายหกมาหายมีย่อมต้องมีความรู้สึกผูกพันอยู่ไม่น้อย บันไดใกล้ริมน้ำย่อมได้ชมแสงจันทร์ก่อน[1] มิใช่หรือ หากรอจนพระชายาแต่งเข้ามา ไม่แน่ว่าพวกนางคงถูกไล่ออกไปก่อนเป็นอันดับแรก เช่นนั้นก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว

 

 

องค์ชายหกรู้สึกว่าสาวใช้ที่มาปรนนิบัติวันนี้ดูแปลกไปเล็กน้อยจึงอดหันกายกลับไปแล้วเลิกคิ้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นบื้อกันไปหมดแล้วหรือ มัวยืนเหม่ออันใดกันอยู่เล่า?”

 

 

สาวใช้ทั้งสี่ต่างสบตากันแล้วรีบรับอาภรณ์ ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เติมน้ำร้อนอย่างเช่นที่ผ่านมา กระทั่งองค์ชายหกนั่งลงในถังไม้อาบน้ำสาวใช้สามคนก็ออกไปเหลือสาวใช้ไว้เพียงผู้หนึ่งเพื่อคอยบีบนวดให้องค์ชายหก

 

 

องค์ชายหกหลับตาลงอย่างเช่นที่ผ่านมา พลันรู้สึกว่ามือเล็กๆ มือหนึ่งค่อยๆ เลื่อนลงไปที่ด้านล่าง

 

 

เขาลืมตาขึ้น สายตาพลันสบเข้ากับสายตาของสาวใช้ผู้นั้นพอดี

 

 

สาวใช้ผู้นั้นหน้าแดงขึ้นมา น้ำเสียงอ่อนโยนดุจสายน้ำ “องค์ชาย…”

 

 

องค์ชายหกพลันลุกพรวดขึ้นมาจากถังไม้อาบน้ำ มิรอให้สาวใช้สามคนที่อยู่ด้านนอกเข้ามาปรนนิบัติก็เช็ดตัวแล้วสวมอาภรณ์ตัวใหม่เดินออกไปทันที

 

 

ครั้นเข้าไปในห้องโถงก็นั่งลง สายตามองไปที่สาวใช้ทั้งสี่ที่เดินตามมานั่งคุกเข่าอยู่ด้านล่าง ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “รุ่ยชิวเห็นแก่ที่เจ้าติดตามข้ามานาน ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า ประเดี๋ยวเจ้าไปบอกกับผู้ดูแลตำหนักว่าเจ้าอายุมากแล้ว ควรออกเรือนเสียที”

 

 

“องค์ชาย!” รุ่ยชิวขาอ่อนทรุดลงกับพื้นแล้วเอ่ยขอร้องอยู่นาน

 

 

องค์ชายหกกลับไม่มีท่าทีใดๆ เพียงชำเลืองมองสาวใช้อีกสามคนอย่างไม่เย็นชาทั้งไม่ชิดเชื้อ แล้วเอ่ยว่า “ข้าหวังว่าเรื่องเช่นวันนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”

 

 

สาวใช้ทั้งสามพลันสะท้านไป ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะขอร้องแทนรุ่ยชิว ได้แต่เบิกตาจ้องมององค์ชายหกเดินออกไป

 

 

องค์ชายหกเดินเข้าไปในอุทยานดอกไม้จึงได้พ่นลมหายใจแห่งความขุ่นเคืองออกมา ผู้ใดจะทราบว่าที่นี่กลับมิอาจเป็นที่หลบภัยให้เขาได้จริงๆ เพราะผ่านไปครู่หนึ่งก็บังเอิญไปพบกับคนที่มาชมบุปผา ประเดี๋ยวก็มีคนมาให้อาหารปลา ทั้งยังมีเดินขาพลิกจนเกือบจะล้มใส่เขาอีก ทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีกจึงตรงไปยังห้องตำรา

 

 

ในห้องตำรามีเพียงเด็กรับใช้ที่ฉลาดมีไหวพริบผู้หนึ่งเฝ้าอยู่ องค์ชายหกสั่งให้เขาออกไปแล้วนั่งอยู่ที่นั่นครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดลิ้นชักที่อยู่ล่างสุดของชั้นวางตำรา เขาหยิบกล่องไม้ที่ถูกปิดสลักใบหนึ่งออกมา แล้วหยิบกุญแจที่มิทราบคว้ามาจากที่ใดเปิดมันออก ล้วงเอาภาพวาดที่ม้วนอยู่ด้านในออกมา

 

 

องค์ชายหกค่อยๆ คลี่ภาพวาดนั้นออกปรากฏเป็นภาพสตรีนางหนึ่ง สตรีบนภาพนั้นงดงามกว่าหญิงใดในใต้หล้า นางกำลังผลิยิ้มเต็มหน้า ลักยิ้มคู่นั้นบนข้างแก้มยิ่งเพิ่มความสดใสให้นางขึ้นอีกหลายส่วนแต่กลับมิอาจคาดเดาได้ว่าอายุเท่าใดกันแน่

 

 

มือเรียวยาวนั้นลูบลงบนภาพนั้นอย่างเชื่องช้า และหยุดลงบนลักยิ้มของสตรีผู้นั้น องค์ชายหกหลับตาลงปิดบังความสับสนและความเจ็บปวดที่อยู่ภายในของตน

 

 

เขารู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้มันเป็นเรื่องน่าตกใจและผิดแปลก แต่เขากลับมิอาจควบคุมมันได้

 

 

แต่ยามนี้แม้นเขาจะมิอาจควบคุมมันได้แต่ก็ต้องเก็บกดมันไว้ให้ลึกที่สุด หรือบางทีก็คงต้องรอจนวันที่เขาได้ครอบครองตำแหน่งนั้น เขาถึงจะมีโอกาสช่วงชิงสิ่งที่เขาปรารถนา

 

 

นัยน์ตาเรียวยาวขององค์ชายหกเปิดขึ้น มิอาจมองแสงระยิบระยับที่สะท้อนอยู่บนคลื่นในดวงตานั้นให้ชัดได้ดั่งหมอกควันที่กลืนกินจิตใจคนก็มิปาน คล้ายว่าหากผู้ใดไม่ระวังเผลอมองก็คงถูกดูดกินไปแม้กระทั่งวิญญาณกระนั้น

 

 

องค์ชายหกจ้องมองรอยยิ้มนั้นของสตรีงามในภาพวาดในหัวพลันเกิดความคิดหนึ่งแล่นผ่านเข้ามา

 

 

หาก…หากนางกับเขาอายุเท่ากัน…

 

 

องค์ชายหกพลันนึกถึงสตรีอีกผู้หนึ่งขึ้นมาทันใด

 

 

นางเพิ่งจะอายุสิบหกเท่านั้น ทั้งที่มีรูปโฉมคล้ายกันยิ่งแต่กลับมิได้มีท่าทีซับซ้อนนับหมื่นชนิดเช่นนั้น แต่กลับชัดเจนสว่างใสดุจผลึกอัญมณี ทุกครั้งที่พบก็ทำให้คนอดยิ้มออกมามิได้

 

 

หากบอกว่าสตรีผู้นั้นดึงดูดเข้าให้ตกลงไปในมนต์สะกดแห่งอเวจี เช่นนี้น้องสาวผู้นี้ก็คงเป็นผลไม้ที่ทำให้คนรู้สึกเบิกบานใจ

 

 

มุมปากองค์ชายหกผุดยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวแต่ก็พลันชะงักไปแล้วส่ายศีรษะไปมา

 

 

อย่างไรพวกนางก็มิใช่คนเดียวกัน เขาคิดมากเกินไปแล้ว

 

 

องค์ชายหกค่อยๆ ม้วนภาพนั้นเก็บลงแล้วออกไปจากห้องตำราคล้ายว่ามิเคยได้มาที่นี่เลยกระนั้น

 

 

เวินยาฉีเข้าไปในสวนเหอเฟิงแล้วย่อกายคารวะนางเวินและเจินเมี่ยวจึงค่อยเลือนสายตาไปมองหลัวเทียนเฉิง นางก้มหน้าลงแล้วแสดงความเคารพพลางเรียกเขาว่าพี่เขยคราหนึ่ง

 

 

“ญาติผู้น้องเกรงใจเกินไปแล้ว” หลัวเทียนเฉิงพลันเปลี่ยนท่าทีเย็นชาที่มีมาตลอดทางไป เขาลุกขึ้นเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าพูดคุยกับท่านแม่และญาติผู้น้องไปเถิด ข้าจักไปเดินเล่นสักครู่”

 

 

เวินยาฉีก้มหน้าต่ำ หางตากลับมองตามเขาไปอยู่นานจึงเก็บสายตากลับมา ในใจพลันเกิดความอิจฉาขึ้น

 

 

แรกเริ่มญาติผู้พี่ก็ดึงพี่เขยลงไปในน้ำจึงได้มีวาสนาที่ดีด้วยกันเช่นนี้ ตอนนั้นยังมีคนบอกว่าญาติผู้พี่แต่งออกไปเช่นนี้อย่างไรก็มีชีวิตที่ไม่มีอย่างแน่นอน แต่ยามนี้เป็นอย่างไรเล่า ดูน้ำเสียงอันอ่อนโยน สายตาที่มีแต่เงาร่างของญาติผู้พี่สิ!

 

 

ทั้งยังมีพี่จิ้งอีกคน นางเล่าว่าบังเอิญได้พบกับองค์ชายหกในเทศกาลชีซี องค์ชายหกก็ตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็น นางจึงได้เข้าไปอยู่ในตำหนักองค์ชาย

 

 

แต่น่าเสียดายที่พี่จิ้งเป็นเพียงบุตรของอนุ มิเช่นนั้นตำแหน่งพระชายาคงต้องเป็นของนางอย่างแน่นอน

 

 

นางเวินเห็นเวินยาฉีก้มหน้าต่ำไม่พูดจาจึงอยากให้สองพี่น้องได้คุยกันสะดวกขึ้น นางจึงหาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงเจินเมี่ยวและเวินยาฉี

 

 

เมื่อเห็นว่ามาที่นี่นานแล้วเจินเมี่ยวจึงมิอ้อมค้อมอีก นางเอ่ยทุกสิ่งอย่างละเอียดตามที่ตนคิดไว้

 

 

ยังคงเป็นแผนเดิมที่วางไว้โดยให้เวินยาฉีออกไปพักอยู่แสนไกลสักปีครึ่งในนามของสตรีที่ออกเรือนแล้วจึงค่อยกลับมาไว้อาลัยให้สามีในฐานะหญิงหม้ายสามปี ไม่เกินสิบแปดค่อยแต่งออกไปก็ไม่มีผู้ใดพูดมากแล้ว

 

 

เวินยาฉีฟังแล้วก็เผยสีหน้าสงสัย

 

 

ตอนนั้นนางยังเด็กจึงปีนป่ายขึ้นเตียงญาติผู้พี่ด้วยความเลอะเลือน หลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้นนางก็เสียใจและกลัวยิ่งจึงยินดีเชื่อฟังการจัดการของญาติผู้พี่ทุกอย่าง แต่หลายวันมานี่ที่ได้พบกับพี่จิ้งกลับทำให้นางรู้สึกมิใคร่ยินยอมเท่าใดนัก

 

 

ญาติผู้พี่กับพี่จิ้งต่างลงมือไขว่คว้าความสุขของตนเอง แล้วเหตุใดนางถึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ด้วยเล่า?

 

 

ส่วนพี่สาวของนางนั้นก็เพราะรู้จักกับพี่เขยมาก่อนแล้ว พี่เขยนั้นมีใจให้นางอยู่ก่อนแล้วถึงได้รักใคร่กลมเกลียวกันอย่างยิ่งเช่นนี้

 

 

ทว่านางนั้นมีมลทินมาก่อน หากแต่งงานอีกครั้งในฐานะหญิงหม้ายจะได้แต่งกับบุรุษที่ดีได้จริงๆ หรือ?

 

 

นางอยู่ที่จวนปั๋วมาปีกว่าพบเห็นบุรุษรูปงามที่เป็นบุตรเขยกลับมาเยี่ยมจวน สายตาของคุณหนูน้อยจึงยิ่งมองหาแต่ความสมบูรณ์แบบ ครั้นคิดถึงสามีที่ทั้งแก่ชราและอุปนิสัยต่ำทรามนางก็ไม่อยากจะแต่งงานแม้เพียงสักนิด

 

 

“ญาติผู้น้องมีความคิดเห็นอื่นใดหรือไม่?”

 

 

เวินยาฉีนิ่งเงียบไม่ยอมพูด

 

 

เจินเมี่ยวค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นแล้วจ้องมองเวินยาฉีนิ่ง นางเอ่ยเนิบนาบว่า “ได้ยินว่าสองสามวันมานี่เจ้าสนิทชิดเชื้อกับพี่สามยิ่ง ข้าเองก็ไม่อยากปิดบังเจ้า ข้ากับพี่สามนั้นมิลงรอยกันมาตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว นางข้ามหน้าน้องห้าน้องหกเข้ามาตีสนิทกับเจ้า ญาติผู้น้อง เจ้าเองก็โตถึงเพียงนี้แล้วควรต้องไตร่ตรองให้ละเอียดจึงจะถูก อย่าได้ทำเรื่องอันใดให้ตนต้องเสียใจและทำให้คนที่เป็นห่วงเจ้าต้องเสียใจอีกเลย”

 

 

ใจของเวินยาฉีนั้นรู้สึกมิใคร่ยินยอมเท่าใดแต่ก็มิกล้าเอ่ยปากโต้เถียงได้แต่เม้มปากพยักหน้าไป “ข้าจะเชื่อฟังญาติผู้พี่เจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวจึงเผยรอยยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ดีแล้ว รอข้ากลับไปแล้วจะพูดกับพี่เขยเจ้าให้ ญาติผู้น้องเจ้าวางใจเถิด พี่เขยเจ้าสายตาแหลมคม จักต้องหาคนที่รูปงามและมีอนาคต ไม่มีทางหาคนที่ทั้งแก่และอัปลักษณ์มาให้เจ้าอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นข้าก็ไม่มีทางยอมแน่”

 

 

หากเป็นผู้อื่นคงไม่มีทางพูดเรื่องรูปลักษณ์ของบุรุษแน่ แต่เพราะเจินเมี่ยวเองเป็นผู้ชมชอบในความงามจึงพูดเช่นนี้ขึ้นมา แต่กลับไม่รู้ว่าเรื่องนี้แลที่เป็นความกังวลใจที่สุดของแม่นางน้อยผู้นี้

 

 

เมื่อได้ยินประโยคนี้ของนาง ความกังวลใจที่ก่อตัวขึ้นในระยะเวลาสองสามวันนี้ของเวินยาฉีที่เจินจิ้งเป็นผู้กระตุ้นขึ้นอย่างแนบเนียนนั้นจึงค่อยๆ สงบลงได้

 

 

 

 

——

 

 

[1] บันไดใกล้ริมน้ำย่อมได้ชมแสงจันทร์ก่อน ใช้เปรียบเปรยว่าอยู่ใกล้กว่าย่อมมีโอกาสก่อน

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset