วาสนาบันดาลรัก 258 ผูกผมร้อยใจ

ตอนที่ 258 ผูกผมร้อยใจ

ไท่โฮ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นอย่างเงียบงัน แววตานั้นกลับมีแต่ความสับสนมากขึ้นไปอีก คล้ายว่ากำลังจมอยู่ในอดีตกระนั้น

 

 

แม่นมชราที่ถูกเรียกว่าฟู่เซียงมองไท่โฮ่วอย่างระแวดระวังคราหนึ่ง นางไม่กล้าแม้จะหายใจแรง

 

 

นางเป็นคนเดียวที่มิถูกปิดปากหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น และเป็นคนเดียวที่ไท่โฮ่วสามารถพูดเพื่อระบายความอัดอั้นใจในเรื่องราวที่เก็บซ่อนไว้นั้นด้วยได้

 

 

ทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องอันน่าตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง ทั้งยังมีความโสมมน่าขยะแขยงเหล่านั้น นางก็รู้สึกขนลุกซู่คล้ายดังมีมดมีแมลงไต่อยู่เต็มตัวก็มิปาน

 

 

กระทั่งยังเผลอคิดว่าไปว่าหากนางติดตามคนพวกนั้นไปยังที่ตนมิสามารถเปิดปากเรื่องราวความลับอันสะเทือนเลื่อนลั่นนั้นไปตลอดกาล อาจจะดีกว่านี้หรือไม่

 

 

“ฟู่เซียง”

 

 

“เพคะ”

 

 

“ช่วยนวดขมับให้ข้าที ข้าปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว”

 

 

“เพคะ”

 

 

แม่นมชรานั่งลงแล้วนวดขมับให้ไท่โฮ่วอย่างชำนาญ

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ไท่โฮ่วจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้างแล้ว นางเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ฟู่เซียง เจ้าว่าเด็กสาวผู้นั้นได้กลายมาเป็นเชื้อพระวงศ์ครึ่งหนึ่งนั้นนับเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งว่าหรือไม่?”

 

 

“เพคะ นับเป็นเรื่องดีเพคะ ไท่โฮ่ว พระองค์ทรงวางพระทัยเถิด”

 

 

ไท่โฮ่วหลับตาลงและมิได้ลืมตาขึ้นมาอีกคล้ายว่าหลับไปแล้ว

 

 

แม่นมกลับมิได้หยุดมือตน แสงภายในห้องขมุกขมัวอยู่เช่นนั้นจนไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวออกมาจากวังหนิงคุนก็ไปเยี่ยมไท่เฟยเพื่อรอกลับพร้อมกันกับหลัวเทียนเฉิง

 

 

บนรถม้า หลัวเทียนเฉิงก็ถามนางว่า “ไท่เฟยสบายดีกระมัง?”

 

 

เขาเป็นขุนนางฝ่ายนอก ย่อมมิอาจเข้าไปในวังฝ่ายในเพื่อเข้าเฝ้าไท่เฟยได้

 

 

“ไท่เฟยสบายดี ยังคงงดงามและเยาว์วัยยิ่ง”

 

 

หลัวเทียนเฉิงหัวเราะเสียงต่ำ

 

 

เจินเมี่ยวเตะเขาคราหนึ่ง “หัวเราะอันใด?”

 

 

“หัวเราะคนบางคนที่ชมตนเองอย่างหน้าไม่อายอย่างไรเล่า”

 

 

“ท่านหมายความเช่นใด?” เจินเมี่ยวหรี่ตาลง

 

 

หลัวเทียนเฉิงเขยิบเข้ามาจับไหล่นางไว้ “ทุกคนต่างบอกว่าเจ้าเหมือนไท่เฟย เจ้าบอกไท่เฟยงดงาม ก็เท่ากับชมตัวเองอยู่หรอกหรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวเบ้ปากตน “มีอันใดให้ต้องชมกัน หน้าตางามก็มิใช่ความสามารถของข้าเสียหน่อย”

 

 

กล่าวถึงตรงนี้นางก็พลันชะงักไป ท่าทียั่วเย้าลดน้อยลงไปมาก “ซื่อจื่อ ท่านว่า ทุกคนคิดว่าข้าเหมือนไท่เฟยหรือ?”

 

 

“เจ้าไม่รู้ตัวหรือ?” หลัวเทียนเฉิงก้มหน้าลงจุมพิตลงไปบนซอกคอนาง

 

 

“ท่านเลิกทำตัววุ่นวายได้แล้ว” เจินเมี่ยวผลักเขาคราหนึ่ง

 

 

“ข้าไม่ทำแล้ว” หลัวเทียนเฉิงยกมือขึ้นสองข้าง แล้วก็ก้มหน้าลงไปหอมแก้มนางคราหนึ่งจึงนั่งลงดีๆ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว

 

 

“ซื่อจื่อ!” เจินเมี่ยวโกรธจนต้องร้องเสียงดังออกมา หลังจากวันนั้นที่ได้พูดคุยเรื่องนั้นจนหมดสิ้น นางก็รู้สึกว่าคนบางคนได้ทิ้งยางอายไปจนหมดสิ้นแล้ว

 

 

หลัวเทียนเฉิงทราบดีว่าเมื่อใดที่ควรหยุด เขากระแอมไอแผ่วเบาคราหนึ่ง “เจี๋ยวเจี่ยว เรียกข้าทำไมหรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวถลึงตามองเขา แต่คนบางคนก็ยังหน้าไม่เปลี่ยนสี ลมหายใจมิติดขัด

 

 

เขามันเป็นสุกรตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก คงคิดว่านางมิอาจทำอันใดตนได้กระมัง?

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว?” หลัวเทียนเฉิงหยักยกมุมปากขึ้นเผยอารมณ์ภาคภูมิออกมาเล็กน้อย

 

 

“หากท่านยังทำตัวเหลวไหล ข้าจะถีบท่านออกไปจากรถม้า”

 

 

หลัวเทียนเฉิงยื่นมือออกไปรั้งเจินเมี่ยวเข้ามาใกล้แล้วจุมพิตลงบนริมฝีปากนางโดยแรงคราหนึ่ง

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าถีบข้าเถิด ข้าไม่กลัวผู้อื่นจะรู้ว่าข้ากลัวภรรยา ต่อไปหาผู้ใดเชิญข้าไปร่ำสุราก็จะกเอ่ยผลักไสได้อย่างสง่าผ่าเผย ทั้งมิต้องคิดข้ออ้างให้เปลืองแรงอีกด้วย”

 

 

“หลัวเทียนเฉิง ท่านลืมที่จี้เหนียงจื่อบอกแล้วหรือไร?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงเผยท่าทีอ่อนโยนออกมา เขาใช้นิ้วมือเกี่ยวกระหวัดปอยผมที่ร่วงลงมาของเจินเมี่ยว แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “มิได้ลืม ข้าแค่อยากให้เจ้าเคยชินกับสัมผัสอันชิดใกล้ของข้าเท่านั้น เรื่องวันนั้นข้ามันชั่วช้าเองทำให้เจ้าตกใจกลัว แต่ก็อย่างที่เจ้าบอก เมื่อในใจมีหลุมดำ เราก็ต้องข้ามมันไปให้ได้มิใช่หรือ? ตอนนี้เรามีกันสองคน ไม่ว่าจะพบเรื่องยากลำบากอันใด เราก็จะเผชิญและก้าวข้ามมันไปด้วยกัน ดีหรือไม่?”

 

 

เจินเมี่ยวฟังแล้วก็รู้สึกมีเหตุผล แต่กลับมิใคร่สบายใจนัก นางรู้สึกดั่งตนกำลังถูกเกลี้ยกล่อมอยู่กระนั้น แต่ก็บอกไม่ถูกว่ามันผิดแปลกที่ตรงใด

 

 

หลัวเทียนเฉิงมิกล้าได้คืบจะเอาศอกอีก เขาเพียงโอบเจินเมี่ยวไว้หลวมๆ เมื่อเห็นว่านางมิขัดขืนเป็นครั้งแรกก็ยิ้มออกมาอย่าพอใจ

 

 

ร่างอันแข็งทื่อของเจินเมี่ยวค่อยๆ ผ่อนคลายลงคล้ายว่าหากเป็นเพียงกอดอย่างบริสุทธิ์ใจนางกลับไม่รู้สึกต่อต้านใดๆ และในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้นางกลับรู้สึกว่าอบอุ่นนางซบขึ้นมาทีเดียว

 

 

“ซื่อจื่อ…”

 

 

“หืม?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงคล้ายเสพติดการเล่นปอยผมของเจินเมี่ยวเสียแล้ว เขาคอยเอานิ้วตนเกี่ยวผมนางอยู่เช่นนั้น กระทั่งเกิดนึกสนุกจึงเอาผมของนางมามัดเกี่ยวกับผมตนไว้

 

 

เจินเมี่ยวมิได้รู้สึกตัวเลย นางยังคงพูดเรื่องของตนต่อ “ข้าพบว่าไท่โฮ่วทรงมิชอบข้า”

 

 

“งั้นหรือ?” หลัวเทียนเฉิงจึงวางมือลงบนมือนาง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้ามิใช่กิ่งทองใบหยกของราชวงศ์ พระองค์คงมิเห็นแล้วโปรดปรานกระมัง?”

 

 

เจินเมี่ยวดึงมือออกมา แล้วมองเขา นางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แต่ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกแปร่งอยู่หลายส่วน”

 

 

“แปลกอย่างไร?”

 

 

“ทุกคนต่างมองออกว่าไท่เฟยกับไท่โฮ่วมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ในเมื่อทุกคนต่างเห็นตรงกันว่าข้าหน้าตาคล้ายไท่เฟย ข้าก็ยากจะจินตนาการได้ว่าคนผู้หนึ่งจะมีความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคนทั้งสองที่หน้าตาคล้ายกันยิ่งได้อย่างไร ในเมื่อข้าก็มิเคยทำเรื่องเลวร้ายอันใดต่อไท่โฮ่วเลยมิใช่หรือ?”หลัวเทียนเฉิงใจหายวาบขึ้นมาคราหนึ่ง เขามองเจินเมี่ยวด้วยแววตาเป็นประกาย “เจ้าหมายความว่า…”

 

 

เจินเมี่ยวกัดริมฝีปากตนเบาๆ “ข้าแค่อาศัยเพียงความรู้สึกตนเท่านั้น อาจจะมิใช่ก็ได้ ท่านมิต้องเห็นเป็นจริงถึงเพียงนั้น ข้าคิดว่ามีเพียงเหตุผลเดียวคือรักเรือนย่อมรักที่อยู่ในเรือน เกลียดเรือนย่อมเกลียดนกที่อยู่ในเรือนนั้นด้วย บางทีความสัมพันธ์ของไท่โฮ่วและไท่เฟยอาจจะมิได้ธรรมดาอย่างที่เราคิด…”

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงกุมมือเจินเมี่ยวไว้

 

 

“หืม?”

 

 

“ในเมื่อเจ้าคิดว่าไท่โฮ่วมิโปรดเจ้า ต่อไปเราก็เข้าวังให้น้อยลง ส่วนเรื่องในวังเราก็มิต้องไปรับฟังให้มาก”

 

 

เจี๋ยวเจี่ยวของเขา ฉลาดกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก

 

 

หลังจากที่เขาได้กุมหน่วยองครักษ์จิ่นหลินและองครักษ์ลับของจวนกั๋วกงไว้ในมือ เรื่องราวต่างๆ ของผู้อาวุโสที่เขาไม่รู้กลับค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละน้อย กระทั่งทำให้เขาทราบว่าผู้ที่มอบเคล็ดลับฝึกชาฝึกยุทธ์ให้เขานั้นเป็นคนในวังของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่!

 

 

ทั้งช่วงที่เขาหายตัวไปในเป่ยเหอ เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ก็ได้ส่งคนไปตามหาไม่เพียงแค่กลุ่มเดียว

 

 

เขาไม่มีทางเชื่อแน่ว่าเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ออกโรงช่วยเหลือเขาเพียงเพราะฉงสี่เซี่ยนจู่เป็นสหายกับเจี๋ยวเจี่ยว

 

 

เรื่องราวในราชวงศ์นั้นมีความลับแปลกพิสดารที่มิอาจพูดให้ชัดเจนได้อยู่อีกมาก แม้แต่เขาเองก็มิกล้าไปสืบสาวอีกแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าความรู้สึกของเจี๋ยวเจี่ยวจะแม่นยำเพียงนี้

 

 

คนคนเดียวกันแต่เหตุในชาติก่อนที่เขาพบกับชาตินี้ช่างแตกต่างกันยิ่ง?

 

 

ชาติก่อนนั้นนางเจินมักแสดงออกถึงความฉลาดของตนอยู่เสมอ แต่เขาดูแล้วกลับคิดว่าเป็นเพียงเล่ห์กลเล็กน้อยๆ เท่านั้น แต่เจี๋ยวเจี่ยว ปกตินางมักมิใส่ใจเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อเป็นเรื่องสำคัญนางกลับมิเคยคะเนผิดพลาดเลย

 

 

บางคราเขาก็สงสัยจริงๆ ว่าพวกนางเป็นคนละคนกัน แค่ซ่อนอยู่ภายในเนื้อหนังที่เหมือนกันเท่านั้น นางเป็นวิญญาณที่มาเพื่อช่วยเหลือฉุดรั้งเขาโดยเฉพาะ

 

 

“ใต้เท้าหลัว…” มีเสียงเรียกดังขึ้นนอกรถม้า รถม้าจึงหยุดลงทันที

 

 

ร่างเจินเมี่ยวโงนเงนไปมา นางเจ็บหนังศีรษะจนอดร้องขึ้นมามิได้ เมื่อก้มลงมองก็เห็นว่าผมของคนทั้งสองถูกผูกไว้ด้วยกัน หน้านางพลันดำมืดขึ้นมา

 

 

หลัวเทียนเฉิงเผยสีหน้าประหม่า “ข้าแค่อดผูกมันเข้าไว้ด้วยกันมิได้…”

 

 

มุมปากเจินเมี่ยวกระตุกโดยแรง “ท่านเอาผมมากผูกกันตอนอยู่บนรถม้าหรือ เหตุจึงไม่ผูกตนเองไว้กับรถเสียเลยเล่า?”

 

 

หลัวเทียนเฉิง “…”

 

 

เจินเมี่ยวและหลัวเทียนเฉิงมองสบตากัน

 

 

“อืม มีเรื่องใด?” หลัวเทียนเฉิงกัดฟันเอ่ยออกไปคำหนึ่ง แล้วรีบแก้ปมผมอย่างรวดเร็ว แต่กลับยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง

 

 

“ที่ศาลาว่าการเหตุด่วนมารายงาน รอให้ท่านไปจัดการขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นเห็นม่านมิขยับไหวแม้แต่น้อย ก็ลอบทอดถอนใจว่า สมแล้วที่เป็นขุนนางใหญ่ ความสงบเยือกเย็นเช่นนี้มิใช่สิ่งที่พวกเขาจะไปเปรียบเทียบได้เลย

 

 

ขุนนางใหญ่ผู้สุขุมนั้นตอนนี้กำลังยุ่งจนมือไม้พัลวันไปหมดแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวมองอยู่อย่างไม่รีบไม่ร้อน เมื่อนางเริ่มระงับความโกรธได้แล้วจึงดึงกรรไกรออกมาจากลิ้นชักในรถม้าส่งให้เขา

 

 

หลัวเทียนเฉิงรับมา เสียงฉับดังขึ้น ผมถูกตัดออกมาปอยหนึ่ง

 

 

เจินเมี่ยวตะลึงไป “ซื่อจื่อ เหตุใดท่านจึงตัดผมของข้า?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยออกมาสามคำ “มือมันลื่น”

 

 

พูดจบก็รีบตัดผมตนที่เกี่ยวกันไว้นั้นออกมาเช่นกัน แล้วเปิดม่านหน้าต่างกระโดดออกไปอย่างคล่องแคล่ว

 

 

เสียงฝีเท้าม้าไกลออกไปเรื่อยๆ ผ้าม่านรถม้ายังคงปลิวสะบัด ยามนี้เองเจินเมี่ยวจึงมีสติคืนมา

 

 

“หลัวเทียนเฉิง ท่านกลับมาเดี๋ยวนี้ ข้ารับรองข้าจะตีท่านให้ตาย!”

 

 

ผู้ควบขับม้ากำลังจะยกแส้ขึ้นฟาด เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วมองปั้นซย่าที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความสงสัย

 

 

ปั้นซย่าเกาใบหูตน สีหน้าเหรอหลา “อันใดหรือ? เมื่อครู่ลมพัดแรงยิ่ง ข้ามิได้ยินสิ่งใดเลย!”

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวที่อยู่ในรถม้าตะโกนเสร็จแล้วนางก็ควักคันฉ่องออกมาอย่างยอมรับชะตากรรม นางจัดการนำปอยผมที่สั้นไปถึงครึ่งซ่อนไว้ในมวยผม ทั้งยังนำบุปผาประดับผมที่เตรียมไว้ในรถม้าขึ้นมาทัดหูเพื่อปกปิดอีกชั้นหนึ่ง

 

 

ครั้นเสร็จแล้วก็ร้องเสียงสูงไปว่า “ปั้นซย่าไปเรียกอาหลวนและชิงเกอที่รถม้าคันหลังให้มาอยู่เป็นเพื่อนข้าที”

 

 

เมื่อนายท่านทั้งหลายออกจากจวนก็มักต้องนำบ่าวไพร่หญิงรับใช้ม้าด้วย แต่สามีภรรยาต้องนั่งรถม้าคันเดียวกัน สาวใช้ที่ติดตามมาจึงนั่งรถอีกคัน ยามเข้าวังสาวใช้ที่ตามก็มิอาจติดตามเข้าไปด้วย รถม้าคันนั้นก็จำต้องจอดรออยู่ด้านนอก

 

 

“ต้าไหน่ไหน่…” หลังจากนั้นไม่นาน อาหลวนและชิงเกอก็แหวกม่านเข้ามาในรถม้า

 

 

“มาเรามาเล่นไพ่เยี่ยจื่อกันเถิด”

 

 

กระทั่งสาวใช้ทั้งสองหมดตัวก็ถึงจวนเจิ้นกั๋วกงพอดี เจินเมี่ยวจึงนับว่าอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว

 

 

รถม้าขับเคลื่อนไปถึงประตูฉุยฮวา ปั้นซย่าร้องขึ้นอยู่นอกรถม้า “ต้าไหน่ไหน่มาถึงแล้ว”

 

 

ชิงเกอกระโดดลงมาก่อนแล้วรับอาหลวนลงมา

 

 

อาหลวนหมุนตัวจะไปรับมือเจินเมี่ยว

 

 

ชิงเกอกลับยืดอกขึ้น “ข้าเอง!” แล้วสาวใช้ร่างอ้วนก็อุ้มเจินเมี่ยวลงมา

 

 

ในขณะที่ปั้นซย่ากำลังตกใจจนคางแทบหล่นลงพื้น เจินเมี่ยวกลับกระแอมไออย่างสุขุม “ไปเถิด”

 

 

นายบ่ายทั้งสามเดินตรงไปยังเรือนอี๋อาน

 

 

“หลานสะใภ้ ย่าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีโชควาสนาถึงเพียงนี้ ต่อไปจักต้องถนอมรักษาไว้ให้ดีรู้หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับอยู่คราหนึ่ง ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่ามีคนมาหา

 

 

“ผู้ใด?”

 

 

“อี๋ไท่ไท่และคุณชายน้อยของนายท่านสี่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ กำลังรอพบท่านอยู่หน้าประตูเรือน”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “นับวันแล้วก็น่าจะเป็นวันสองวันนี้แล”

 

 

“เช่นนั้นให้บ่าวไปเชิญอี๋ไท่ไท่และคุณชายน้อยเข้ามาเลยหรือไม่เจ้าคะ?” สาวใช้ที่เข้ามารายงานคือสาวใช้ขั้นสามในเรือนอี๋อาน นางคิดในใจว่าอี๋ไท่ไท่ผู้นี้ช่างร่ำรวยนัก รางวัลที่ตกแก่นางเมื่อครู่นั้นมากกว่าเบี้ยหวัดประจำเดือนของนางทั้งปีรวมกันเสียอีก

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วทันที “ไปบอกกับหูอี๋เหนียงว่าให้ไปพบฮูหยินสี่ก่อน แล้วค่อยให้ฮูหยินสี่พานางมาพบข้า ยังมิยกน้ำชาคารวะภรรยาเอกเลย เหตุใดจึงพามาหาข้าที่นี่เล่า”

 

 

สาวใช้ผู้นั้นใจหายวาบทันที นางเริ่มเข้าใจสถานะของอี๋เหนียงผู้มั่งคั่งในใจของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วจึงรีบพยักหน้าโดยเร็ว โค้งกายแล้วจากไปทันที

 

 

นางหูเห็นสาวใช้ที่ไปรายงานเดินออกมา ก็เผยรอยยิ้มชิดเชื้อ “พี่สาว ฮูหยินผู้เฒ่าว่างอยู่หรือไม่?”

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset