วาสนาบันดาลรัก 230

ตอนที่ 230

ชูสยาจวิ้นจู่หรี่ตามองเจินเมี่ยว

 

 

บุคคลที่มีอุปนิสัยตรงไปตรงมามักเป็นผู้มีประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลม นางอดเบิกตากว้างขึ้นมิได้ “ข้าว่า เจ้า…เจ้าคงมิได้ชมชอบลุงรองของตนเช่นกันกระมัง?”

 

 

“แหะๆ” เจินเมี่ยวหัวเราะแห้งๆ ต่อไป

 

 

‘ไม่ชอบ’ วาจาที่ขัดกับใจตนเช่นนี้ นางพูดไม่ออกจริงๆ

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่กลับสูดลมหายใจเข้าปาก แล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “เจ้าเป็นเช่นนี้ ซื่อจื่อทราบหรือไม่?”

 

 

เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกังวล “คุณหนูสี่ ข้าเป็นห่วงเหลือเกิน กลัวว่าเมื่อไปถึงดินแดนหมานเว่ยก็จะได้รับข่าวว่าเจ้าถูกขังอยู่ในกรงสุกร…”

 

 

เจินเมี่ยวกลอกตาอย่างไม่รักษาความสง่างามใดๆ ไว้เช่นกัน “ข้าแค่ชอบในฐานะผู้น้อยกับผู้อาวุโส ท่านคิดมากเกินไปแล้ว หรือท่านไม่ใช่?”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ที่พูดจาตรงไปตรงมาอยู่เสมอถึงกับเป็นใบ้ไปชั่วขณะ

 

 

ครานี้เจินเมี่ยวเริ่มกังวลขึ้นมาจริงๆ แล้ว นางเก็บน้ำเสียงเย้าแหย่นั้นไว้แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ชูสยา ข้าเป็นกังวลยิ่ง กลัวว่าท่านชมชอบลุงรองข้าแล้ว ต่อไปหากมิสามารถชมชอบบุรุษอื่นได้อีกจะทำฉันใด? เช่นนั้นตระกูลเจินของข้าคงรู้สึกผิดต่อท่านยิ่งแล้ว”

 

 

เมื่อได้ฟังประโยคแรกชูสยาจวิ้นจู่ก็รู้สึกเศร้าเสียใจอยู่บ้างแต่เมื่อได้ฟังประโยคสุดท้ายกลับหลุดหัวเราะออกมา “ฮึ พูดประหนึ่งว่าบุรุษดีมีเพียงตระกูลเจินของเจ้ากระนั้น เจ้าวางใจ ข้ามิใช่สตรีที่หากมิได้ในสิ่งที่ต้องการก็จะเป็นจะตายให้ได้เช่นนั้น เติบใหญ่เพียงนี้แล้ว แค่ได้มีโอกาสรับรู้ถึงความรู้สึกชอบใครสักคนอย่างจริงใจสักคราก็เพียงพอแล้ว อีกอย่าง ผู้ใดก็ไม่สามารถกำหนดได้ว่าต่อไปข้าจะชอบบุรุษอื่นมิได้อีก”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่เป็นคนเย่อหยิ่งเข้มแข็ง เมื่อเอ่ยเช่นนี้แล้ว อย่างน้อยเจินเมี่ยวก็วางใจได้ว่านางจะไม่ทำเรื่องโง่เขลาอันใดออกมาจึงอดผ่อนลมหายใจออกมามิได้

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่กลับอดหยิกแก้มเจินเมี่ยวมิได้ “คุณหนูสี่ โชคดีที่ข้ายังพอพูดกับเจ้าได้ เจ้าไม่มีทางขบขันความคิดอันแปลกพิลึกนี้ของข้า”

 

 

“แหะๆ ฉงสี่เซี่ยนจู่ก็ไม่มีทางทำเช่นนั้นเหมือนกัน”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่พยักหน้า “ใช่ นางยังมีความคิดพิสดารกว่าข้าเสียอีก”

 

 

เจินเมี่ยว “…”

 

 

มีสหายเช่นนี้ถึงสองคนก็มากพอแล้วจริงๆ!

 

 

เจินเมี่ยวที่กังวลแทนสหายมาหลายวันก็มีเรื่องที่ทำให้ตนต้องยุ่งยากใจเช่นกัน

 

 

นานมากแล้วที่มิได้พบหน้าซื่อจื่อ

 

 

วันปกติทั่วไปก็มิเป็นไร แต่อย่างไรวันที่ลุงรองและพี่ใหญ่กลับถึงจวนก็ต้องไปเยี่ยมขอบคุณด้วยกัน

 

 

“ไป่หลิงเจ้าไปสอบถามดูสักหน่อยว่าวันนี้ซื่อจื่อกลับมาหรือไม่”

 

 

“เจ้าค่ะ” ไป่หลิงรับคำแล้วหมุนตัวออกจากประตูไปก็พบกับเจี้ยงจูที่อุ้มจิ่นเหยียนเดินเข้ามาพอดี

 

 

ไป่หลิงอดยิ้มขึ้นมามิได้ “เจี้ยงจู ได้เจ้าไปดูแล จิ่นเหยียนนับวันก็ยิ่งรู้ความ”

 

 

แม้นเจี้ยงจูอายุยังน้อยแต่กลับสุขุมยิ่ง นางยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “พี่ไป่หลิงชมเกินไปแล้ว มันเป็นหน้าที่ที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว”

 

 

คนทั้งสองเดินสวนกันไป เจี้ยงจูย่อกายคารวะ “ต้าไหน่ไหน่”

 

 

เจินเมี่ยวดวงตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วกวักมือเรียก “จิ่นเหยียน มานี่”

 

 

สองสามวันที่มีเวลาว่างนี้นางก็จะไปเล่นกับจิ่นเหยียนทุกวันเพื่อฆ่าเวลา

 

 

เจี้ยงจูส่งจิ่นเหยียนให้นาง แล้วยืนนิ่งเงียบอยู่ในมุมหนึ่งคล้ายมิได้อยู่ที่นั่นก็มิปาน

 

 

นางมารับหน้าที่เป็นสาวใช้ขั้นสามแทนเสี่ยวฉานได้สักพักใหญ่แล้ว กระทำเรื่องราวใดล้วนจริงจังตั้งใจ ไม่มีความลนลานอย่างสาวน้อยทั่วไป เจินเมี่ยวพอใจอย่างยิ่ง จื่อซูเองก็คาดหวังว่าจะฝึกฝนนางเพื่อรับหน้าที่ต่อจากตนในอนาคต

 

 

เจินเมี่ยวคิดว่าจื่อซูอายุมากแล้ว ภายในสองปีนี้ต้องปล่อยนางไปแล้ว ถึงตอนนั้นหนึ่งในสาวใช้ขั้นสองต้องเลื่อนขึ้นมาเป็นขั้นหนึ่งแล้วให้เจี้ยงจูเลื่อนเป็นสาวใช้ขั้นสองแทน

 

 

“แม่นางคนงาม แม่นางคนงาม…” จิ่นเหยี่ยนเอ่ยปากด้วยท่าทีองอาจ

 

 

เจินเมี่ยวคุ้นชินเสียแล้ว นางยิ้มตาหยีแล้วเคาะหัวจิ่นเหยียนคราหนึ่ง “พ่อจอมยุทธหนุ่ม คิดถึงข้าแล้วหรือ?”

 

 

จิ่นเหยียนมิชอบฟังคำนี้จึงพองขนตนขึ้นมาทันใด

 

 

ประจวบเหมาะกับเจี้ยงจูส่งถ้วยชายื่นมาพอดี มันจึงเตะจนถ้วยช้าร่วงตก

 

 

ถ้วยชาร่วงตกลงพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

เจี้ยงจูหน้าตึงไปทันใด นางรีบคุกเข่าลงเก็บทันที ภายใต้ความโกลาหลนั้นจึงทำเศษกระเบื้องบาดมือตน โลหิตไหลออกมาทันใด

 

 

“ระวังด้วย” เจินเมี่ยวเอ่ยกำชับ

 

 

ภายในห้องนั้นมีจื่อซูคอยปรนนิบัติอยู่ด้วย เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น

 

 

ปกติเจี้ยงจูสุขุมยิ่ง เหตุใดวันนี้จึงสะเพร่าเช่นนี้ได้

 

 

เจินเมี่ยวเห็นบรรยากาศตึงเครียดก็อดต่อว่าด้วยรอยยิ้มมิได้ว่า “จิ่นเหยียน เจ้าดูสิ เจ้าก่อเรื่องอีกแล้ว ทำให้เจี้ยงจูได้รับบาดเจ็บที่มือจนได้ เสียทีที่นางคอยปรนนิบัติเจ้าอยู่ทุกวัน”

 

 

จิ่นเหยียนกลอกตาไปมามิไยดีต่อเจินเมี่ยวสักนิด

 

 

เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ นางรู้ว่าเจ้านกเอี้ยงก้นลายนี้โกรธที่นางเรียกมันว่า ‘จอมยุทธหนุ่ม’

 

 

ช่างขี้โมโหจริงๆ!

 

 

เวลานี้เองหลัวเทียนเฉิงก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้องพอดี เมื่อเห็นสภาพห้องก็เอ่ยถามว่า “เกิดอันใดขึ้นหรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ต้องตกใจ “ซื่อจื่อ เหตุใดท่านถึงได้เลียนแบบท่านอาสี่เล่า?”

 

 

หลัวเทียนเฉิงลูบหนวดเคราที่ขึ้นเต็มหน้าตนแล้วรู้สึกประหม่าขึ้นมา “แย่มากเลยหรือ? หลายวันมานี่ข้ายุ่งเหลือเกินจึงไม่มีเวลาจัดการมัน”

 

 

แล้วโบกสะบัดมือคราหนึ่ง “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด”

 

 

สาวใช้หลายคนได้ยินต่างก็ถอยออกไป อาจเพราะเจี้ยงจูมัวแต่ใส่ใจกับการเก็บเศษถ้วยชาจึงลืมจิ่นเหยียนไป

 

 

ชั่วขณะภายในห้องก็เหลือเพียงคนสองคนกับนกหนึ่งตัว

 

 

หลัวเทียนเฉิงชี้ไปยังจิ่นเหยียนอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าด้วย”

 

 

จิ่นเหยียนกระพือปีกคราหนึ่งแล้วบินขึ้นไปบนคานห้อง มันกลอกตาไปมา ไม่มีท่าทีจะจากไปสักเล็กน้อย

 

 

หลัวเทียนเฉิงจ้องตากับมันไปมาอยู่นาน ในที่สุดก็ปลง

 

 

เขาจะมาทะเลาะอันใดกับสัตว์เดรัจฉานมีปีกตัวหนึ่ง

 

 

“ยุ่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบหน้ากันหลังที่หลัวเทียนเฉิงได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน

 

 

เจินเมี่ยวพบว่าไม่เพียงใบหน้าที่มีแต่หนวดเครา แม้แต่ดวงตายังแดงก่ำ มิทราบว่าเขาผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไร

 

 

เห็นชัดว่าหลัวเทียนเฉิงมิอยากพูดให้มากความ จึงเพียงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เพิ่งรับตำแหน่งจึงมีเรื่องให้จัดการมากสักหน่อย”

 

 

เจินเมี่ยวทราบดีว่าแม้นจะได้เลื่อนตำแหน่งแต่ก็มิได้ยุ่งถึงขั้นไม่มีเวลาแม้แต่จะโกนหนวด ทว่านางกลับมิถามให้มากความเช่นกัน

 

 

แม้แต่เรื่องในเรือนหลังนางยังมิทราบละเอียดไปทุกอย่าง นับประสาอันใดกับเรื่องในราชสำนักเล่า

 

 

เมื่อเห็นนางมิไต่ถามอีก หลัวเทียนเฉิงกลับดึงนางเข้าสู้อ้อมอก “อาซื่อ เจ้าตำหนิข้าหรือไม่?”

 

 

เจินเมี่ยวพลันยิ้มออกมา “จะตำหนิท่านทำไมเล่า ข้ามิอาจแบ่งเบาภาระท่านได้ แต่อย่างน้อยก็ยังเชื่อใจท่านได้มิใช่หรือ”

 

 

มิได้พบกันหลายวัน ทั้งยังยุ่งวุ่นวายอย่างที่สุดในทุกๆ วัน เมื่อได้ยินวาจาเช่นนี้หลัวเทียนเฉิงกลับใจเต้นขึ้นมา จึงกระชับอ้อมกอดตนแล้วก้มหน้าลงอย่างอดมิได้

 

 

“อย่า…” เจินเมี่ยวหน้าเปลี่ยนสีไปทันที

 

 

“มีอันใดหรือ?”

 

 

“ข้าพาลนึกถึงแต่ท่านอาสี่!”

 

 

หลัวเทียนเฉิงปล่อยมือด้วยใบหน้าดำคล้ำทันที

 

 

เสียงร้องอันแหลมสูงนั้นดังขึ้น หลัวเทียนเฉิงเงยหน้ามองก็ต้องโกรธจนกัดฟันไว้

 

 

เจ้าสัตว์มีขนนั้น…ดูอย่างไรก็คล้ายกำลังหัวเราะเยาะเขา!

 

 

ความวาบหวามในใจพลันมลายหายไปทันที เขาเอ่ยด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “อาซื่อ เราไปจวนเจี้ยนอานปั๋วด้วยกันเถิด ตอนกลับข้าก็จะไปที่ศาลาว่าการเลย”

 

 

“อ้อ…อืม”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจัดการตนเองให้เป็นคนใหม่อย่างรวดเร็ว เจินเมี่ยวทราบว่าในสองสามวันนี้ต้องได้ไปจวนปั๋ว จึงเตรียมของขวัญทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว คนทั้งสองออกจากจวนทันทีอย่างไม่รอช้า

 

 

ครานี้อาหู่เป็นผู้ควบรถม้าเช่นเดิม อาจเพราะเขามาจากหุบเขากระทำเรื่องใดจึงคล่องแคล่วยิ่ง เขาควบรถม้าเพียงสองคราก็ดูทะมัดทะแมงยิ่งแล้ว

 

 

หลัวเทียนเฉิงนึกถึงฝีมือการยิงหน้าไม้ของอาหู่แล้วก็เอ่ยว่า “อาหู่ มิสู้ตามข้าไปอยู่หน่วยองครักษ์           จิ่นหลินเถิด”

 

 

หน่วยองครักษ์จิ่นหลินนั้นมีชาวบ้านที่แข็งแกร่งกำยำมาเสริมทัพด้วยเช่นกัน ด้วยฐานะของ     หลัวเทียนเฉิงเขาเพียงจัดการเล็กน้อยทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาใดแล้ว

 

 

อาหู่พลันส่ายหน้าโดยแรง “ข้าจะเป็นคนขับรถม้าให้พี่สาว”

 

 

หัวเทียนเฉิงทำหน้าปั้นปึ่ง

 

 

เจ้าเด็กหนุ่มนี่คงมิคิดจะตีท้ายครัวเขากระมัง?

 

 

“ฝีมือเจ้าเพียงเท่านี้ มิได้ดอก รอให้ฝึกจนเชี่ยวชาญกว่านี้ค่อยกลับมา”

 

 

“ข้ายิงหน้าไม้แม่นยำยิ่ง!” อาหู่มีสีหน้ามิยินยอม “ข้าจะติดตามพี่สาว”

 

 

พี่สาวทำอาหารอร่อยเหลือเกิน อร่อยกว่าท่านแม่เสียอีก!

 

 

เส้นโลหิตตรงขมับหลัวเทียนเฉิงกระตุกไม่หยุด

 

 

จักต้องไล่เจ้าเด็กนี่ไปให้ได้!

 

 

เขาเลิกคิ้วแล้วกวาดตามองก็เห็นชิงเกอที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างเจินเมี่ยวจึงอดยิ้มออกมามิได้ “อาหู่ แรงของเจ้าไม่สู้กระทั่งชิงเกอแล้วจะปกป้องพี่สาวได้อย่างไร?”

 

 

“เป็นไปได้อย่างไร!” อาหู่เพิ่งจะครบสิบสี่ กำลังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น เมื่อได้ฟังเช่นนี้ก็มิอาจอยู่สุขได้ “นาง นางเป็นสตรีทั้งยังอายุน้อยกว่าข้าอีก!”

 

 

“ชิงเกอ เจ้าไปงัดข้อกับอาหู่สักหน่อย หากชนะข้าจะให้รางวัลเจ้า” หลัวเทียนเฉิงหยิบเบี้ยเงินขึ้นมา

 

 

ชิงเกอเอ่ยด้วยสีหน้าพาซื่อว่า “บ่าวไม่ต้องการเงินเจ้าค่ะ หากชนะบ่าวอยากจะกินหมานโถวไส้เนื้อที่ต้าไหน่ไหน่ทำ”

 

 

เจินเมี่ยวกำลังชมความสนุกอยู่ เมื่อได้ยินก็อึ้งงันไป แต่ก็ยิ้มพลางพยักหน้า “ได้ ผู้ใดชนะก็จะได้กินหมานโถวไส้เนื้อ ผู้ใดแพ้เอาเงินไป”

 

 

อาหู่กับชิงเกอพลันยกมือขึ้นถูไถหมัดตนไปมา ประกายไฟสว่างวาบไปทั่วทิศ ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “ฮึ ข้าต้องชนะแน่!”

 

 

หลัวเทียนเฉิงที่บีบเงินไว้อยู่นั้นได้แต่ลอบกระอักโลหิต

 

 

เพื่อการประลองครานี้ อาหู่จึงขับรถม้าไปเทียบไว้ข้างทาง ชิงเกอปีนออกมาจากรถม้ามานั่งลงข้างเขา แล้วยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว

 

 

หนุ่มน้อยเอ่ยอย่างไร้เดียงสาว่า “หมายความว่าเช่นใด?”

 

 

“ให้เจ้าใช้สองมือข้าใช้มือเดียว”

 

 

หนุ่มน้อยโมโหขึ้นมาทันที “ข้าใช้สองนิ้วให้เจ้าใช้มือเดียว! ไม่…เจ้าใช้สองมือเลย”

 

 

ครู่หนึ่งชิงเกอจึงถามว่า “ยังจะให้ข้าใช้สองมืออยู่หรือไม่?”

 

 

หนุ่มน้อยกลั้นอาการหน้าแดงตนไว้ เหงื่อซึมทั่วหน้า “ไม่ ใช้มือเดียวแล้วกัน”

 

 

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง หนุ่มน้อยก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากสองนิ้วเป็นหนึ่งฝ่ามือ

 

 

ครั้นผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ชิงเกอจึงเอ่ยหน้าตายว่า “บอกแล้วว่าให้เจ้าใช้สองมือ ข้าใช้สองนิ้ว”

 

 

หนุ่มน้อยที่ใช้สองมืองัดข้อกับผู้อื่นที่ใช้เพียงสองนิ้วก็ยังคงพ่ายแพ้ ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมา

 

 

ชิงเกอมุดเข้าไปในรถม้าด้วยความพอใจ

 

 

หลัวเทียนเฉิงกระแอมไอคราหนึ่ง “อาหู่ เจ้าไปฝึกฝนฝีมือให้ดีก่อนเถิด แม้แต่แม่นางน้อยผู้หนึ่งเจ้ายังเอาชนะไม่ได้แล้วจะปกป้องพี่สาวได้อย่างไร?”

 

 

อาหู่พยักหน้าด้วยน้ำตานองหน้า

 

 

เขาอ่อนแอถึงเพียงนี้ ช่างรู้สึกมิคู่ควรกับหมานโถวไส้เนื้อของพี่สาวจริงๆ! เขาจักต้องฝึกฝนตนให้ดีแล้วค่อยกลับมาเป็นคนควบรถม้าให้พี่สาว

 

 

“หลัวซื่อจื่อ รถม้าเสียหรือไร?” เสียงหนึ่งดังลอยมา ตามติดด้วยคนผู้หนึ่งที่ควบม้าเข้ามาใกล้

 

 

“องค์ชายหก รถมิได้เป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม คนทั้งสองสบตากันแล้วยิ้มให้กันอย่างรู้ดีแก่ใจ

 

 

ยามนี้เขาจะมีตำแหน่งใหญ่โตยิ่ง ไม่ว่าว่าเขาหรือองค์ชายหกต่างก็ต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน มิเช่นนั้นพรุ่งนี้คงมีฎีกาต่อว่าองค์ชายหกยื่นเต็มท้องพระโรงแน่

 

 

ต่อให้คนทั้งสองจะมีสัญญาเป็นการส่วนตัวต่อกันไว้นานแล้ว แต่ต่อหน้าก็ยังคงต้องรักษาระยะห่างกันเอาไว้

 

 

เจินเมี่ยวไม่ทราบลับลมของคนทั้งสองจึงได้แต่แข็งใจเดินเข้าไปถวายพระพรตามกฎระเบียบอย่างเสียมิได้

 

 

ทำอย่างไรได้ แค่เพียงเห็นองค์ชายหกก็ทำให้นางนึกถึงท่าทีโอหังของตนในวันนั้น ฉับพลันความรู้สึกไม่ดีก็วิ่งพล่านไปทั่วร่าง

 

 

องค์ชายหกมองเจินเมี่ยวอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วยิ้มออกมา “วันนี้ฮูหยินดูเกรงอกเกรงใจยิ่ง”

 

 

เขาแปลกใจท่าทีของเจินเมี่ยวที่มีในวันนั้นยิ่ง ถึงกับทำเรื่องที่ตนไม่เคยคิดว่าจะทำด้วยการแอบซ่อนตัวอยู่หน้าประตูตำหนักก็เห็นว่านางเปลี่ยนอาภรณ์ด้วยสีใกล้เคียงกับชุดเดิมเดินออกมา

 

 

เจินเมี่ยวช่างเคราะห์ร้ายนัก หากเป็นบุรุษอื่นคงมิเป็นอันใด แต่กลับต้องมาพบกับองค์ชายหกผู้ที่มีสตรีอยู่ในจวนเป็นกองพะเนิน เขาครุ่นคิดเพียงครู่หนึ่งก็เข้าใจทันที ทั้งประหม่าและแปลกใจ กระทั่งอยากจะพบหน้านางอีกสักคราเพื่อเย้านางดูสักหน่อย

 

 

เมื่อเห็นท่าทีประหม่าของเจินเมี่ยว องค์ชายหกก็ยิ้มด้วยความพออกพอใจ แล้วตบบ่าหลัวเทียนเฉิง “ใส่อาภรณ์สีสันสดใสเช่นนี้คงกลับไปเยี่ยมตระกูลมารดากับฮูหยินกระมัง ข้าไม่รบกวนเวลาพวกเจ้าแล้ว” กล่าวจบก็ควบม้าจากไป

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวและหลัวเทียนเฉิงไปเยี่ยมลุงรองก็พบกับคนผู้หนึ่งอย่างเหนือความคาดหมาย…ชิงไต้สาวใช้ที่หายตัวไปตั้งแต่อยู่เป่ยเหอนั้นเอง 

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset