วาสนาบันดาลรัก 231

ตอนที่ 231

“ชิงไต้?” เมื่อเห็นชิงไต้แต่งตัวอย่างบ่าวไพร่หนุ่ม เจินเมี่ยวก็ต้องตกใจ

 

 

ชิงไต้คุกเข่าลง “ซื่อจื่อ บ่าวมิได้คุ้มครองฮูหยินให้ดี ขอท่านโปรดลงโทษด้วย”

 

 

หลัวเทียนเฉิงมองสาวใช้ที่ไม่คิดว่าจะปรากฏตัวขึ้นผู้นี้ก็ผลิยิ้ม “ลุกขึ้นเถิด เรื่องนี้คงมิอาจตำหนิเจ้า”

 

 

ชิงไต้ลุกขึ้นแล้วเข้าไปยืนอยู่ด้านหลังเจินเมี่ยวอย่างเรียบร้อย

 

 

เจินเมี่ยวทราบดีว่าชิงไต้อย่างไรก็เป็นสาวใช้ของหลัวเทียนเฉิงทั้งมิได้ถือสาที่นางเห็นอีกฝ่ายเป็นที่หนึ่ง จึงทำเพียงส่งยิ้มและย่อเข่าลงเพื่อแสดงความขอบคุณนายท่านรองสกุลเจิน “ลุงรอง ขอบพระคุณท่านมาก ท่านต้องลำบากออกตามหาเราอยู่นาน ทั้งยังพาชิงไต้กลับมาด้วย”

 

 

นายท่านรองสกุลเจินผลิยิ้มอ่อนโยน “พวกเจ้าไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว เมี่ยวเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์กับอวี้เอ๋อร์คิดถึงเจ้ายิ่ง วันนี้พวกนางไม่มีเรียน เจ้าไปพูดคุยกับพวกนางสักหน่อยเถิด”

 

 

อาจเพราะคุณหนูทั้งสามคนในจวนปั๋วต่างแต่งออกไปกับตระกูลสูงศักดิ์ มีเพียงบุตรอนุที่เป็นอนุ แต่ก็เป็นอนุขององค์ชาย นางหลี่ที่ชมชอบเอาชนะจึงตั้งใจเชิญอาจารย์ชื่อดังมาอบรมสั่งสอนบุตรสาวสองคนของตนเป็นพิเศษ ด้วยหวังว่าอีกสองปีให้หลังที่บุตรสาวออกเรือนไปจะสามารถโดดเด่นจนกลบความสง่างามของบรรดาพี่สาวจนหมดสิ้น

 

 

“อ้อ เจ้าค่ะ” ภายใต้สายตาอันอบอุ่นอ่อนโยนดุจสายน้ำของลุงรองผู้งดงามดั่งเทพเซียน ทำให้เจินเมี่ยวเดินจากไปอย่างเหม่อลอย

 

 

หลัวเทียนเฉิงมองแล้วก็ต้องบิดเบ้มุมปากโดยแรง

 

 

สตรีโง่งมผู้นี้ถูกกีดกันให้แยกตัวไปยังไม่รู้ตัวอีก!

 

 

“เทียนเฉิง ตอนที่ชิงไต้ไปพบข้า ยังนำคนผู้หนึ่งมาด้วย นางบังเอิญจับมาได้”

 

 

หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วสีหน้ายังคงนิ่งเฉย “คนอยู่ในเรือนท่านลุงรองหรือไม่?”

 

 

นายท่านรองสกุลเจินยิ้มชื่นชม

 

 

หลานเขยผู้นี้ ช่างหายากยิ่ง มิน่าเล่าอายุยังน้อยแต่กลับได้เป็นถึงขุนนางขั้นสามกลายเป็นบุคคลที่มีอำนาจล้นมือ ควรต้องทราบว่ามีขุนนางมากมายเท่าใดที่อยู่ในราชสำนักมาชั่วชีวิตแต่ก็เป็นได้แค่ขุนนางขั้นสี่เท่านั้น

 

 

ขุนนางขั้นสี่กับสามนั้นดูเหมือนจะห่างกันเพียงขั้นแต่ความต่างของมันกลับไกลกันคนละฟากฟ้า ผู้ที่สามารถข้ามผ่านมาได้นั้นแทบไม่มี ยิ่งในคนอายุเท่าเขานั้นเรียกได้ว่าไม่มีเลย

 

 

แต่ตอนนี้แม้นจะมีคนจำนวนหนึ่งมิยอมรับแต่กลับมิกล้าแสดงออกมาอย่างชัดแจ้ง

 

 

อย่างอื่นมิต้องพูดแค่เพียงความดีที่ช่วยฝ่าบาทไว้ก็เป็นความชอบอันใหญ่หลวงยิ่งแล้ว

 

 

คุณงามความดีใดก็มิเท่าการช่วยชีวิตจักรพรรดิ ยิ่งใหญ่กว่าการสร้างเสบียงอาหารเสียอีก นี้มิใช่เรื่องที่พูดอย่างขอไปที

 

 

หากมีผู้ที่แคลงใจโผล่ขึ้นมา ก็เท่ากับกำลังสงสัยว่ารับสั่งของโอรสสวรรค์นั้นไม่มีค่า แล้วจะมีผู้ใดกล้าพูดจาส่งเดชเล่า

 

 

โชคดีที่หลานเขยแม้นอายุยังน้อยแต่มีตำแหน่งใหญ่โตผู้นี้กลับสามารถเก็บงำท่าทีไว้อย่างดี มิได้กระทำการวู่วามอันใด

 

 

นายท่านรองสกุลเจินไม่ปิดบังต่อไป เขาเอ่ยออกมาตามตรงว่า “ใช่ อยู่ที่นี้”

 

 

ตั้งแต่สาวใช้ที่ชื่อว่าชิงไต้มาหาเขาทั้งยังมอบคนมาไว้ในมือเขาผู้หนึ่ง เขาก็คิดว่าจวนเจิ้นกั๋วกงดุจดั่งคลองลึกนั้นคงมีน้ำเสียอยู่ไม่น้อย

 

 

สาวใช้จวนกั๋วกงเดินอ้อมนายท่านรองและคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋วกงเพื่อส่งคนมาให้เขา มันช่างทำให้คนต้องคิดวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งจริงๆ

 

 

เห็นชัดว่าหลัวเทียนเฉิงเข้าใจทุกอย่างดี

 

 

นายท่านรองสกุลเจินหลบเลี่ยงคนพวกนั้นแล้วพาชิงไต้และคนผู้นั้นกลับมาด้วย ทั้งยังใช้การธรรมเนียมการพบปะอันแสนธรรมดานี้มอบคนให้กับเขา คิดดูแล้วคงต้องใช้ความคิดไม่น้อยเลยทีเดียว

 

 

หลัวเทียนเฉิงรู้สึกนับถือการเก็บกำกริยาทุกอย่างของนายท่านรองสกุลเจินยิ่ง เขานำคนกลับมาแล้วหลายวันแต่ก็มิส่งข่าวไปบอกเขาที่จวนกั๋วจงก่อน กระทั่งเมื่อครู่ที่พ่อตาและพี่ใหญ่อยู่ด้วยก็มิเผย พิรุธแม้แต่น้อย ทั้งคนผู้นั้นยังอยู่ในเรือนตนอีก

 

 

ความรอบคอบระมัดระวังเช่นนี้เขาควรเรียนรู้ไว้เช่นกัน

 

 

หนึ่งปีกว่ามานี้เขาพบว่า มิใช่ว่าเรื่องทุกอย่างจะเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และเมื่อเขาเข้าไปเกี่ยวข้องมันยังเกิดผลลัพธ์ที่ต่างออกไปอีกด้วย

 

 

การระมัดระวังรอบคอบนั้นเชื่อถือได้กว่าความทรงจำอันนานมาแล้วของเขาเสียอีก

 

 

หากเทียบกันแล้ว พ่อตาของเขายังทำให้เขารู้สึกจนใจยิ่ง

 

 

ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่พูดคุยกับนายท่านรองสกุลเจินมากไปสักหน่อย ครั้นคิดถึงท่าทีสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปของพ่อตาตน หลัวเทียนเฉิงก็ทำได้เพียงส่ายหน้า

 

 

“คนอยู่ห้องลับในห้องตำรา ตามข้ามาเถิด”

 

 

“ทำให้ท่านลุงรองต้องลำบากแล้ว” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยขึ้นด้วยความจริงใจ

 

 

นายท่านรองสกุลเจินมองเขาแล้วหัวเราะ “ครอบครัวเดียวกันมิจำเป็นต้องเอ่ยวาจาดั่งห่างไกล เทียนเฉิงดีต่อเมี่ยวเอ๋อร์ ข้าผู้เป็นลุงย่อมต้องเบิกบานใจ”

 

 

กระทั่งเดินเข้าไปในห้องลับแล้วก็เห็นคนผู้หนึ่งที่ถูกมัดมือเท้าไว้ ในปากมีผ้ายัดไว้ รูปร่างผอมโซเหลือแต่กระดูก

 

 

“พิษที่อยู่ในฟันเขาถูกเอาออกมาแล้ว แต่กลัวว่าเขาจะกัดลิ้นตนตาย จึงเอาผ้ายัดไว้ตลอดนอกจากตอนกินข้าวเท่านั้น”

 

 

การกัดลิ้นปลิดชีพนั้นจักต้องใช้พลังยิ่ง ด้วยเกรงจะเกิดเรื่องจึงให้กินข้าวแค่วันละมื้อ เรื่องกัดลิ้นจึงมิต้องเอ่ยถึงแล้ว

 

 

นายท่านรองสกุลเจินกลับหัวเราะขึ้นมาอีก “ข้ามิได้ถามอันใดเขา เทียนเฉิง เรื่องที่เหลือก็ขอมอบให้เจ้าแล้ว เรื่องที่ข้านำชิงไต้กลับมาด้วยไม่มีผู้ใดในจวนทราบเรื่อง หากมิอยากให้ผู้อื่นทราบว่านางออกไปจากจวนปั๋วก็ให้แต่งตัวอย่างคนที่เพิ่งเข้ามาในเมืองหลวงเถิด”

 

 

หลัวเทียนเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กลืนสิ่งที่อยากจะพูดลงคอไป

 

 

ยามนี้คนที่อยู่ตรงหน้าเกี่ยวข้องกับลี่อ๋อง หรือเผ่าเย่ว์อี๋ กระทั่งอาจเกี่ยวข้องกับรัชทายาทถูกปลดไปตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนก็มิอาจทราบได้ อย่างไรก็ทำความเข้าใจให้แน่ชัดก่อนค่อยว่ากล่าวเถิด

 

 

กับนายท่านรองสกุลเจิน เขานั้นอยากจะร่วมมือด้วยอยู่แล้ว

 

 

ผู้สืบทอดจวนเจี้ยนอานปั๋วนั้นมีใจทะเยอทะยานแต่ตากลับไร้แวว ชาติที่แล้วเขายืนผิดข้างทำให้จวนเจี้ยนอานปั๋วต้องตกต่ำล่มจมลงไป

 

 

แต่ชาตินี้มีนายท่านรองสกุลเจินอยู่ อย่างน้อยก็ช่วยคานกันไว้ หากมิเดินผิดทางก็นับเป็นการช่วยเหลือเขาแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวพาชิงเกอและอาหลวนไปที่สวนเหอเฟิง

 

 

ระหว่างทางก็พบบ่าวไพร่ที่ทำงานอยู่ในแม่น้ำเล็กๆ ในแม่น้ำมีดอกบัวที่ใบร่วงโรยเ**่ยวเฉาอยู่ ทั้งที่เป็นทัศนียภาพที่ดูเงียบเหงา แต่สาวใช้น้อยวัยขบเผาะที่กำลังเก็บใบไม้ที่แห้งเ**่ยวนั้นกลับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

 

 

“นั้นคุณหนูสี่มิใช่หรือ” สาวใช้ที่ฉลาดหัวไวเห็นเจินเมี่ยวก็รีบทำความเคารพ

 

 

เจินเมี่ยวพยักหน้ารับอย่างอารมณ์ดี แล้วเดินผ่านไป

 

 

เมื่อนางเดินผ่านไป ความโกลาหลก็เกิดขึ้นที่เบื้องหลังทันที

 

 

“เป็นคุณหนูที่แต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงใช่หรือไม่?” สาวใช้ที่มาใหม่ถาม

 

 

“ใช่ สามีคุณหนูสี่เป็นขุนนางใหญ่เชียวล่ะ หากเทียบกับนายท่านรองจวนเราก็ยังนับว่าเก่งกาจมากกว่า”

 

 

“ได้ยินว่าคุณหนูสี่รูปโฉมงดงามหมดจดนัก”

 

 

“แค่กๆ ” มีเสียงคนผู้หนึ่งเอ่ยเตือนขึ้น

 

 

ต่อมาก็เห็นสาวน้อยผู้หนึ่งสวมเสื้อสีแดงอ่อนเดินมา

 

 

“คุณหนูเวินยาฉี”

 

 

เวินยาฉีพยักหน้าน้อยๆ แล้วยกกระโปรงของตนเดินตามไปอย่างรวดเร็ว

 

 

“ญาติผู้พี่ รอข้าด้วย”

 

 

สาวใช้น้อยทั้งหลายต่างมองเป็นตาเดียวแล้วเอ่ยซุบซิบเสียงแผ่ว

 

 

“คุณหนูที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกลับดูหยิ่งยโสกว่าคุณหนูสี่เสียอีก”

 

 

“เฮ้อจะว่าไปแล้วคุณหนูเวินยาฉีก็ลำบากเช่นกัน ดูคุณหนูห้าและคุณหนูหกไม่สนใจนางเลย นอกจากคุณหนูสี่ที่เคยอยู่สวนเฉินเซียงก็มีแค่ฮูหยินสามแห่งสวนเหอเฟิงเท่านั้น”

 

 

“แต่จากท่าทีของคุณหนูเวินยาฉีแล้ว ดูท่าคงมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวนักกับคุณหนูสี่ อย่างไรก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”

 

 

“เอาล่ะ เลิกพูดมากได้แล้ว รีบทำงานเถิด”

 

 

เจินเมี่ยวได้ยินเสียงคนเรียกจึงหยุดฝีเท้าลง แล้วหันกลับไปมองก็เห็นเวินยาฉีวิ่งตามมา

 

 

อาจเพราะมิได้พบกันนานมากแล้ว ยามนี้จึงรู้สึกว่าญาติผู้น้องดูสูงขึ้นไปมากเลย

 

 

“ญาติผู้พี่จะไปหาท่านอาใช่หรือไม่ ไปด้วยกันเถิด”

 

 

มือที่ยื่นไปย่อมมิตบคนยิ้มแย้มให้ เจินเมี่ยวแม้นจะไม่ชอบเรื่องที่เวินยาฉีทำในคราแรก แต่ต่อหน้าบ่าวไพร่ การมิให้เกียรตินางก็เท่ากับมิให้เกียรติมารดาตน อย่างไรก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน นางจึงพยักหน้ารับ

 

 

วันนี้ที่เจินเมี่ยวมา นางต้องไปคารวะนางเวินก่อน แล้วค่อยไปขอบคุณท่านลุงรอง นางเวินรู้ว่าบุตรสาวต้องมาหาตนอีกแน่ จึงออกมารอที่หน้าประตูนานแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวเห็นแล้วจึงรีบเข้าไปคล้องแขนนางเวิน “ท่านแม่ อากาศหนาว เหตุใดจึงมารอข้างนอกเล่า?”

 

 

เพราะลมหนาวพัดมาทำให้แก้มของนางเวินแดงระเรื่อเล็กน้อยทำให้ดูสาวขึ้นไปอีกไม่น้อย เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “อยู่แต่ในห้องมันน่าเบื่อ”

 

 

แล้วหันไปกวักมือเรียกเวินยาฉี “ยาฉี ยาหันส่งจดหมายและของขึ้นชื่อในพื้นที่มาให้ เจ้ามาดูหน่อยเถิด”

 

 

เวินยาฉีดวงตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วรีบตามนางเวินไปที่ห้องหน่วนเก๋อ

 

 

บนโต๊ะในห้องนั้นมีจดหมายที่เปิดแล้วและกล่องเล็กๆ ใบหนึ่ง ใต้โต๊ะยังมีกล่องไม้อีกสองกล่อง

 

 

“ท่านอา ข้าอ่านจดหมายนี้ได้หรือไม่?”

 

 

“ดูสิ” นางเวินรักใคร่เอ็นดูหลานผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไร แม้นเรื่องนั้นจะทำให้นางเสียใจยิ่ง แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้นางก็รู้สึกว่าหลานสาวค่อยๆ รู้ความขึ้นมากแล้ว

 

 

เมื่อได้ยินนางเวินกล่าวเช่นนั้น เจินเมี่ยวและเวินยาฉีจึงอ่านจดหมายด้วยกัน

 

 

“เอ๊ะ เวลานี้เป่ยลี่หนาวจนเกิดชั้นน้ำแข็งหนาเป็นจั้งแล้วหรือ? เช่นนั้นคนมิหนาวตายแล้วหรือ? ”

 

 

“ญาติผู้พี่ท่านดูสิ พี่ใหญ่บอกว่านางทำโคมน้ำแข็งมากมาย ทั้งสามารถจุดเทียนได้ด้วย มันดูสวยแวววาวกว่าอัญมณีเสียอีก ท่านว่าจริงหรือไม่?”

 

 

“อากาศหนาวเพียงนั้นแต่กลับกินสาลี่เย็น ลูกพลับเย็น มิกลัวปวดท้องหรือไร?” เวินยาหันยิ่งอ่านยิ่งแปลกใจ

 

 

เจินเมี่ยวก็อ่านอย่างออกรสออกชาติเช่นกัน นางได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในอก ดูท่าญาติผู้พี่ของนางคงมีชีวิตที่ดีไม่น้อย

 

 

คนผู้หนึ่งมีชีวิตเช่นไรแค่ดูเนื้อหาที่นางถ่ายทอดผ่านอักษรก็ทราบแล้ว ผู้ที่อารมณ์ไม่แจ่มใสเบิกบานไหนเลยจะมีแก่ใจไปมองดูความสำราญในชีวิตได้

 

 

นางเวินหยิบจดหมายอีกฉบับส่งให้เวินยาฉี “ยาฉี นี่เป็นจดหมายที่พี่สาวเขียนถึงเจ้า”

 

 

เวินยาฉีรับมา เมื่อมองอักษรเพียงไม่กี่ตัวที่เขียนว่า ‘ถึงยาฉี น้องสาวพี่’ ตาก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างประหลาด นางเม้มริมฝีปากยิ้ม “ข้ากลับห้องไปค่อยอ่าน ท่านอา ของพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่พี่ใหญ่ส่งมาหรือ?”

 

 

“ใช่ ในกล่องนั้นให้เจ้า” นางเวินส่งกล่องที่เหมือนของนางให้เวินยาฉีใบหนึ่ง แล้วส่งสัญญาณให้สาวใช้เปิดกล่องทั้งสองที่วางอยู่บนพื้น

 

 

กล่องใบหนึ่งมีเห็ดป่าชนิดต่างๆ เต็มไปหมด ส่วนอีกใบก็เป็นผ้าขนสัตว์หลายผืน

 

 

“พอดีจะได้ทำเสื้อกันลมให้เจ้าสักตัว” นางเวินพูดกับเวินยาฉี

 

 

เวินยาฉีมองสิ่งเหล่านั้นอย่างอึ้งงัน พลันปิดปากตนไว้ ขอบตาแดงก่ำ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ท่านอาข้าอยากล้างหน้าสักหน่อย”

 

 

“ฮว่าปี้ พาคุณหนูเวินยาฉีไปที”

 

 

รอกระทั่งเวินยาหันออกไปแล้ว นางเวินจึงหันมาเอ่ยด้วยสีหน้าเบิกบาน “เมี่ยวเอ๋อร์ ข้าคอยมองมาตลอด ระยะเวลาที่ผ่านมานี่ยาฉีเติบโตขึ้นมาก ปีหน้านางก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ถึงตอนนั้นคงต้องให้เจ้าช่วยแล้ว”

 

 

“อืม” หากญาติผู้น้องคนนี้ยินดีที่จะมีชีวิตอย่างมั่นคงสงบสุข นางก็ยินดีที่จะช่วยสักครา ถือว่าทำให้ความปรารถนาของนางเวินเป็นจริง

 

 

“ข้าคิดไม่ถึจริงๆ ว่ายาหันจะมีวาสนาเพียงนี้ สองสามีภรรยาปรองดอง ผู้อาวุโสเอ็นดู ได้ใช้ชีวิตที่มีความสุข เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าเองก็เป็นเช่นนั้น เท่านี้แม่ก็วางใจแล้ว”

 

 

สองแม่ลูกพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง เวินยาฉีก็เดินเข้ามา จดหมายที่ถูกเปิดออกนั้นถูกซุกไว้ในแขนเสื้อเรียบร้อยแล้ว

 

 

เจินเมี่ยวเห็นว่าได้เวลาแล้วจึงบอกลานางเวินแล้วไปหาเจินปิงเจินอวี้

 

 

เวินยาฉีก็ตามออกมาด้วยเช่นกัน

 

 

“ญาติผู้พี่ คนผู้หนึ่งทำผิดแต่ยอมที่จะแก้ไข ท่านว่าเขายังจะมีโอกาสมีชีวิตที่มีความสุขหรือไม่?”

 

 

นางเสียใจจริงๆ

 

 

หากตอนนั้นมิทำเรื่องเหลวไหลเช่นนั้น นางก็อาจจะได้แต่งงานกับบุรุษแสนดีและมีชีวิตที่มีความสุขเช่นเดียวกับพี่สาวใช่หรือไม่?

 

 

เมื่อมองท่าทีเฝ้ารออย่างหวาดหวั่นของเวินยาฉีแล้ว เจินเมี่ยวก็ครุ่นคิดอย่างจริงจัง แล้วเอ่ยว่า “มิใช่ทุกคนที่ทำผิดแล้วจะมีโอกาสแก้ไข”

 

 

ประกายในดวงตาของเวินยาฉีค่อยๆ หม่นแสงลง

 

 

“แต่ หากคนผู้หนึ่งยังมีโอกาสแก้ไข ทั้งผู้อื่นก็ยินดีให้โอกาสนางแก้ไข คนผู้นั้นโชคดีกว่าคนอีกมากมายแล้ว ดังนั้นจักต้องถนอมโชควาสนานั้นให้ดีจึงจะถูก” เจินเมี่ยวตบหลังมือเวินยาฉีคราหนึ่ง “ญาติผู้น้อง ข้าไปหาน้องห้ากับน้องหกก่อนล่ะ”

 

 

เวินยาฉียืนกำจดหมายนั้นแน่น ผ่านไปคู่หนึ่งจึงหมุนกายจากไป

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset