วาสนาบันดาลรัก 229

ตอนที่ 229

เจินหนิงเอ่ยเสียงเรียบ เจินเมี่ยวฟังแล้วก็ผ่านไป เพียงเอ่ยถามไปตามปากว่า “อายุพอๆ กับหยวนหยวนเลย เลี้ยงสองคนพร้อมกันคงไม่ยากนัก”

 

 

หยวนหยวนคือชื่อแรกเกิดของบุตรสาวเจินหนิง

 

 

เคราะห์ดีที่เด็กผู้นั้นเป็นเพศหญิง หากเป็นเพศชาย ย่อมมีฐานะเป็นบุตรคนโตที่เกิดจากอนุ ด้วยฐานะเช่นนี้ย่อมทำให้พี่ใหญ่หรือแม้แต่เด็กผู้นี้ก็ออกจะตะขิดตะขวงใจไม่น้อย

 

 

เจินหนิงคล้ายมองความคิดของเจินเมี่ยวออกจึงอดหยักยกมุมปากขึ้นมิได้

 

 

เพราะเป็นบุตรสาว ดังนั้นมารดาถึงได้คลอดยากจนสิ้นใจไป หากเป็นบุตรชาย…

 

 

หึๆ สตรีคลอดบุตรก็เท่ากับได้ย่างเท้าเข้าสู่ประตูผีไปครึ่งเท้าแล้ว หนึ่งศพสองชีวิตก็มิใช่เรื่องแปลกพิสดารอันใด

 

 

ครั้นนึกถึงว่าสตรีชั่วช้าผู้นั้นลอบปีนขึ้นเตียงนางลับหลังด้วยวิธีการเช่นใด เจินหนิงก็เริ่มข่มกลั้นเพลิงโทสะไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของทารกก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด จึงเอ่ยกับสาวใช้ข้างกายว่า “ไปดูหน่อยเถิดว่าคุณหนูรองเป็นอันใด”

 

 

“เจ้าค่ะ” หลานเตี๋ยรีบรับคำแล้วเดินออกไป

 

 

เจินหนิงยิ้มอย่างพอใจ

 

 

หลังจากเฟยเยียนสิ้นไป นางเองก็เพิ่งคลอดได้ไม่นาน ด้วยเหตุผลที่มิสะดวกปรนนิบัติสามีจึงยกชุ่ยหนงรับหน้าที่แทน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บรรดาสาวใช้ก็ยิ่งเคารพนบน้อมนางมากขึ้น

 

 

หึๆ นางเพียงต้องการให้พวกนางรู้ซึ้งว่าหากอยากจะเป็นสาวใช้ทงฝังคอยปรนนิบัติคุณชายนั้นได้ แต่จักต้องให้นางเป็นผู้จัดการ นางพยักหน้าจึงเป็นได้ หากปีนขึ้นเตียงคุณชายเลียนอย่างเฟยเยียน ต่อให้ได้เป็นสาวใช้ทงฝังแล้วอย่างไร มีบุตรแล้วอย่างไร แค่ตาย ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย

 

 

เจินเมี่ยวไม่ทราบเรื่องราวมากมายเพียงนี้ จึงอุ้มหยอกล้อหยวนหยวนต่อไป นิ้วเรียวเล็กนั้นขาวราวกับหยกล้ำค่าไม่ต่างอันใดกับผิวทารกเลย แต่เล็บที่ทาเป็นสีน้ำเงินนั้นสวยงามแปลกตายิ่งจึงดึงดูดสายตาคนไปอย่างไม่รู้ตัว

 

 

เจินหนิงส่งสายตาให้แม่นมไปรับหยวนหยวนมา แล้วเอ่ยว่า “เล็บของน้องสี่ช่างงามนัก คิดไม่ถึงว่าจะมีสีน้ำเงินเช่นนี้ด้วย”

 

 

“ไท่เฟยทาให้ข้าวันที่ไปเข้าเฝ้าในวังเจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวมองนิ้วมือตนแล้วก็รู้สึกว่าสีช่างโดดเด่นดึงดูดสายตาคนไม่น้อย มิทราบจริงๆ ว่าไท่เฟยได้ความคิดอันน่าอัศจรรย์นี้มาจากที่ใด

 

 

“ไท่เฟย? นานแล้วที่ข้ามิได้พบท่านย่าท่านนั้น” สายตาของเจินหนิงร่วงตกไปที่นิ้วมือขาวผ่องนั้น

 

 

เล็บสีน้ำเงินงดงามนั้นดั่งแม่น้ำอันสงบนิ่งกว้างใหญ่ที่ถูกแสงตะวันสาดส่องขับให้ผิวพรรณผ่องดุจน้ำแข็งดั่งหิมะ

 

 

ไท่เฟยจักต้องมอบเคล็ดลับการดูแลผิวให้กับน้องสี่แล้วเป็นแน่

 

 

เจินหนิงรู้สึกอิจฉาโชควาสนาของเจินเมี่ยวยิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงอิจฉาเท่านั้น

 

 

คนเช่นไท่เฟยหากมิเห็นเจ้าอยู่ในสายตา ต่อให้เจ้าขอร้องอ้อนวอนเท่าใดก็ไม่มีทางเผยสิ่งใดให้เจ้าเก็บไปใช้ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว

 

 

เรื่องนี้แม้นอ้อนวอนขอร้องก็ไม่มีทางได้มา

 

 

น้องสี่นั้นมีรูปโฉมคล้ายกับไท่เฟยยิ่ง หลังจากที่นางให้กำเนิดบุตรสาวแล้วจึงเข้าใจขึ้นมา บางทีไท่เฟยอาจเห็นน้องสี่เป็นองค์หญิงอิ๋งเย่ว์ที่อภิเษกไปอยู่ที่ไกลแสนไกล

 

 

รูปโฉมของคนผู้หนึ่งอยู่ที่โชคชะตาลิขิต นางมิจำเป็นต้องไปอิจฉาลิขิตสวรรค์

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ท่าทีที่เจินหนิงมีต่อเจินเมี่ยวกลับดูสนิทชิดเชื้อกว่าที่ผ่านมามากขึ้นอีกสักหน่อย

 

 

เจินเมี่ยวอยู่พูดคุยกับฉงสี่เซี่ยนจู่พักใหญ่จึงลากลับ

 

 

เมื่อพ้นประตูมาฉงสี่เซี่ยนจู่ก็พาเจินเมี่ยวไปที่เรือนของนาง

 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าสหายสนิท เจินเมี่ยวจึงรู้สึกเป็นอิสระอย่างแท้จริง

 

 

“มีขนมอันใดหรือไม่ เมื่อเช้ากินมาน้อย รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย”

 

 

“มา เรามาประลองฝีมือกันสักคราก่อน” ฉงสี่เซี่ยนจู่นั่งลงอย่างเรียบร้อย

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าเจินเมี่ยวแข็งค้างไปโดยพลัน แล้วกระโดดผลุงขึ้นมาทันที ภายใต้แววตาที่แฝงความแปลกใจจางๆ นั้น เจินเมี่ยวก็ยิ้มแห้งๆ พลางเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องที่ต้องทำเล็กน้อย ครั้งหน้าแล้วกัน ครั้งหน้าเถิด”

 

 

พอพบหน้าก็จะเดินหมากรุกท่าเดียว ช่วยเป็นสหายที่ทำเรื่องเบิกบานใจให้กันได้หรือไม่!

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่เลื่อนหมากรุกไปไว้ด้านข้างแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจินเมี่ว หากเจ้ามิเดินหมากกับข้าตอนนี้ เกรงว่าภายหน้าคงไม่มีโอกาสแล้ว”

 

 

“มีอันใดหรือ?” เจินเมี่ยวหุบยิ้ม แล้วมองฉงสี่เซี่ยนจู่ด้วยความกังวลใจ

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่สะบัดแขนเสื้อตนคราหนึ่ง สาวใช้ทั้งหลายต่างถอยออกไป แล้วจึงเอ่ยระเรื่อยว่า “ข้าคิดจะหนีงานแต่งงาน”

 

 

“ห๊ะ?” เจินเมี่ยวเกือบจะพ่นชาที่อยู่ในปากออกมา

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าฉงสี่เซี่ยนจู่ยังคงนิ่งเฉย จึงอดถอนหายใจออกมามิได้ “เซี่ยนจู่ หัวข้ออันน่าตกใจเช่นนี้ ท่านกลับเอ่ยได้หน้าตาเฉยถึงเพียงนี้ มันดีแล้วจริงๆ หรือ?”

 

 

“ข้าพูดจริงๆ” ฉงสี่เซี่ยนจู่นั่งตัวตรง เลิกคิ้วขึ้น “เอาล่ะ ข้ารู้สึกเครียดยิ่ง ทั้งลังเล ทั้งไม่รู้จะทำเช่นใด เช่นนี้พอใจหรือไม่?”

 

 

เจินเมี่ยวไร้หนทางที่จะไปต่อว่าท่าทีนิ่งเฉยของฉงสี่เซี่ยนจู่แล้ว นางบีบถ้วยชาแน่นพลางถามว่า “เกิดอันใดขึ้นกันแน่?”

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่จัดวางหมากลงไปบนกระดาษตามใจ

 

 

เบี้ยสีดำขาวตัดกันอย่างชัดเจนนั้นขับเน้นให้มือเรียวเสลาของนางดูเย็นเยียบดุจน้ำแข็งก็มิปาน

 

 

“ซูเฟยแสดงพระประสงค์ให้ข้าเป็นพระชายาขององค์ชายห้า ทั้งยังพูดคุยกับพระมารดาข้าแล้ว”

 

 

“องค์ชายห้ามีคู่หมายแล้วมิใช่หรือ?” ตั้งแต่เจินเมี่ยวแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงก็พอจะทราบเรื่องในพระบรมวงศานุวงศ์อยู่บ้าง

 

 

องค์ชายที่ทรงเจริญพรรษาแล้วหลายพระองค์มีเพียงองค์ชายห้าและองค์ชายหกที่ยังไม่อภิเษก แต่มีคู่หมายแล้วเรียบร้อย

 

 

คู่หมั้นขององค์ชายหกคือจ้าวเฟยชุ่ย หลานสาวของจ้าวหวงโฮ่ว ส่วนคู่หมั้นขององค์ชายห้าคล้ายว่าจะเป็นบุตรสาวของราชบัณฑิตแห่งสำนักฮั่นหลิน

 

 

สตรีในตระกูลบัณฑิตกับตระกูลผู้มีบรรดาศักดิ์สมาคมกันน้อยยิ่ง นางจึงไม่มีโอกาสได้พบปะ

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่หัวเราะแผ่วเบา “คู่หมั้นของพี่ห้า บังเอิญป่วยตายไปอย่างกะทันหันเมื่อไม่กี่วันนี้เอง”

 

 

หากมิเป็นเช่นนี้จะมาขอหมั้นหมายนางได้อย่างไร

 

 

พระมารดาไม่พูด แต่นางมีหรือจะไม่รู้ รัชทายาทสูญเสียความรักใคร่เอ็นดูจากฮ่องเต้ในเหตุการณ์ที่เป่ยเหอ แม้นยามนี้จะกลับมาเหมือนเดิมแล้วแต่อย่างไรก็ยังมีช่องว่างอยู่ บรรดาองค์ชายและพระมารดาของพวกเขาจะเคลื่อนไหวอันใดบ้างก็มิใช่เรื่องแปลก

 

 

เมื่อมีใจทะเยอทะยาน บุตรสาวของราชบัณฑิตสำนักฮั่นหลินซึ่งเป็นขุนนางขั้นหกไหนเลยจะมาเป็นพระชายาขององค์ชายได้

 

 

หากไม่มีโอกาสให้คว้าไว้ คิดเป็นเพียงอ๋องที่มั่งคั่งผู้หนึ่งย่อมต้องการแต่งบุตรสาวตระกูลบัณฑิตที่มีคุณธรรมสูงส่งเป็นธรรมดา แต่เมื่อมีใจคิดชิงตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์ย่อมต้องเลือกบุตรสาวของจั่งกงจู่ที่ได้รับการให้เกียรติอย่างยิ่งจากฝ่าบาทจึงจะเหมาะสมกว่า

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่หัวเราะเยาะตน แล้วดื่มชาไปอึกหนึ่ง

 

 

“เช่นนั้นท่านก็มิจำเป็นต้องหนีการแต่งงานเสียหน่อย หากไม่ยินยอมก็ให้จั่งกงจู่ปฏิเสธไปเสีย”

 

 

“พระมารดาคงมิปฏิเสธดอก”

 

 

“เพราะเหตุใด?” เจินเมี่ยวไม่เข้าใจอยู่บ้าง

 

 

จั่งกงจู่มีฐานะสูงส่ง หากบุตรสาวมิยินยอมก็จะบังคับนางให้ได้งั้นหรือ

 

 

“ตอนนี้ข้าอายุสิบเจ็ดแล้ว หากมิแต่งเสียทีก็คงต้องม้วยมลายในฝ่ามือพระมารดาแน่” ฉงสี่เซี่ยนจู่แบมือออกทั้งสองข้าง

 

 

เจินเมี่ยวมิอาจไม่ยอมรับว่า อายุเท่าฉงสี่เซี่ยนจู่แต่ยังมิแต่งงาน ไม่มีคู่หมั้น นับว่าเป็นสตรีที่อายุมากแล้วจริงๆ

 

 

ก่อนหน้านั้นนางก็มิเคยใส่ใจเรื่องนี้เลย

 

 

อืม…เมื่อมาคิดให้ถี่ถ้วน ตลอดเวลาที่พบปะกับฉงสี่เซี่ยนจู่และชูสยาจวิ้นจู่ หากมิใช่ทำอาหารอยู่ในครัวก็อยู่ระหว่างทางไปห้องครัว

 

 

แค่กๆ หัวข้อสนทนาอื่นๆ จึงไม่มีโอกาสได้พูดถึงเลย

 

 

“เซี่ยนจู่ก็ใช่จะต้องแต่งกับองค์ชายห้าได้เพียงคนเดียวเท่านั้นเสียหน่อย”

 

 

ในที่สุดฉงสี่เซี่ยนจู่ก็ถอนหายใจออกมา “ต้องตำหนิที่ตอนยังเยาว์ข้าไม่รู้ความ เอาแต่คิดว่าจะไปกวนอูภาคสตรีแล้วกลายเป็นเซียน ผู้คนเหล่านั้นที่มักมาหาพระมารดาจึงทราบเรื่องนี้เข้า พวกเขาคงกลัวว่าข้าจะดูแลจัดการเรือนไม่ได้กระมัง ทั้งด้วยตำแหน่งของพระมารดาจึงมิกล้าแต่งข้าเข้าเรือน…”

 

 

เจินเมี่ยวเข้าใจในทันที

 

 

“แค่กๆ เมื่อเยาว์วัยผู้ใดไม่เคยคิดฟุ้งซ่านบ้าง หากคนพวกนั้นคิดเล็กคิดน้อยกระทั่งกับวาจาของเด็กน้อยก็คงจะใจแคบเกินไปแล้วกระมัง”

 

 

“อืม แต่มันสำคัญตรงที่ตอนนั้นข้าช่างไม่รู้ความนัก ถึงกับไม่รู้จักปิดบังความคิดตน แต่ตอนนี้ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่”

 

 

เจินเมี่ยวบิดเบ้มุมปากตน

 

 

ที่แท้คำว่าไม่รู้ความก็หมายความเช่นนี้เองหรือ!

 

 

เมื่อมองใบหน้าอันนิ่งเฉยของฉงสี่เซี่ยนจู่แล้วก็ได้ลอบกลืนโลหิตในปากลงคอไป

 

 

เซี่ยนจู่ ที่แท้ท่านเป็นบุคคลผู้ลุ่มหลงตนอยู่ลึกๆ นี่เอง มิน่าเล่าจั่งกงจู่จึงได้กลัวว่าท่านจะม้วยมลายอยู่ใต้ฝ่ามือตน!

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่เป็นผู้เหย่อหยิ่งในศักดิ์ศรี ฉงสี่เซียนจู่เป็นผู้ลุ่มหลงในตน นางที่เป็นคนปกติธรรมดาเหตุใดจึงมาเป็นสหายกับพวกนางได้เล่า?

 

 

“ในบรรดาลูกพี่ลูกน้องทั้งหมด ข้าสนิทกับพี่ห้าที่สุดมาตั้งแต่เยาว์ ดังนั้น พระมารดาควรเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างที่สุด”

 

 

“มีความรู้สึกที่ดี อาจจะพัฒนาต่อไปได้มิใช่หรือ? อย่างไรก็ดีกว่าแต่งให้กับคนแปลกหน้ากระมัง?”

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่หลุบตาลงทอดถอนใจ “แต่ข้ามีความรู้สึกกับพี่ห้าดั่งพี่น้อง แค่คิดว่าต้องแต่งกับเขา ก็คล้ายกำลังจะแต่งกับพี่ชายแท้ๆ ตนกระนั้น เช่นนี้ไม่สู้แต่งให้คนแปลกหน้าดีกว่า”

 

 

เมื่อเห็นเจินเมี่ยวคล้ายมิอาจเข้าใจนางได้จึงเอ่ยเปรียบเปรยว่า “เจ้าลองคิดดู หากให้เจ้าแต่งกับพี่ใหญ่เจ้า…”

 

 

“อุ๊บ…” เจินเมี่ยวสะอึกขึ้นมาทันที “เซี่ยนจู่ ท่านต้องยกข้าไปเปรียบให้ได้เลยใช่หรือไม่?”

 

 

แต่เช่นนี้นางกลับเข้าใจความรู้สึกของฉงสี่เซี่ยนจู่ได้จริงๆ แล้ว

 

 

“เช่นนั้น มีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่?”

 

 

“ไม่มี ข้าเพียงบอกเจ้าไว้ก่อนเท่านั้น เจ้าจะได้มิต้องกังวล”

 

 

เจินเมี่ยว “…”

 

 

ฉงสี่เซี่ยนจู่ค่อยๆ เก็บเบี้ยลงในกล่องไม้ดอกหลี่ทีละชิ้นๆ แล้วเอ่ยถามว่า “เจินเมี่ยว ครานี้เจ้าคงยังมิได้รับปูนบำเหน็จใดๆ กระมัง?”

 

 

“อืม” เจินเมี่ยวพยักหน้า

 

 

“คิดว่าคงต้องรอให้ชูสยากลับมาก่อนกระมัง” ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยอย่างมีความคิดอันล้ำลึก

 

 

หลังจากนั้นไม่กี่วันชูสยาก็กลับมาถึงเมืองหลวง เมื่อไปเข้าเฝ้าแล้วก็ตรงมายังจวนเจิ้นกั๋วกงทันที

 

 

เมื่อคนทั้งสองพบหน้ากัน ความครึกครื้นก็เกิดขึ้นอีกครา

 

 

ทั้งสองต่างเล่าเรื่องของตนให้อีกฝ่ายฟัง แล้วเจินเมี่ยวจึงถามว่า “องค์หญิง ข้ามีสาวใช้ผู้หนึ่งนามว่าชิงไต้ ตอนที่คุณชายสามเข้าเมืองหลวงมาก็บอกข้าว่านางตัวไปแล้ว ทั้งตามหามิเจอแล้ว?”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่แค่นเสียงเย็น “สาวใช้ผู้หนึ่งเท่านั้นเจ้ากลับจำได้แม่น”

 

 

“แค่ถามไปตามปากเท่านั้นแล” เจินเมี่ยวเอ่ยออกไปอย่างไม่ลังเล

 

 

กับองค์หญิงพระองค์นี้ นางนับว่ามีประสบการณ์ต่อกรมากขึ้นทุกวันแล้ว

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่จึงพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วขยับเข้ามาใกล้พลางเอ่ยด้วยท่าทีมีลับลม “คุณหนูสี่สกุลเจิน ข้ามีความลับอยากจะบอกกับเจ้า”

 

 

เจินเมี่ยวใจเต้นขึ้นมา

 

 

อย่าทำเช่นนี้เลย ตอนนี้นางกลัวการได้ฟังความลับมากที่สุด ตั้งแต่ทราบว่าฉงสี่เซี่ยนจู่มีความคิดที่จะหนีการแต่งงาน นางก็คล้ายเกิดความหวาดกลัวกับเรื่องพวกนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

“ข้าช่วยได้หรือไม่?” เจินเมี่ยวเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่ครุ่นคิดคราหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่”

 

 

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องบอกข้าจะดีกว่า” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างไร้ไมตรี

 

 

“ไม่ได้ ข้าคงต้องอึดอัดตายแน่ หากมิได้พูดกับเจ้าจะพูดกับผู้ใดได้เล่า เจ้าต้องฟัง” ชูสยาจวิ้นจู่หยิกแก้มเจินเมี่ยวโดยแรงคราหนึ่ง

 

 

“ท่านว่ามาเถิด” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างไร้หนทางจะต่อต้าน

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่สูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยเสียงกดต่ำว่า “คุณหนูสี่ ข้าคิดว่าข้าชอบท่านลุงรองของเจ้าเข้าแล้ว”

 

 

เสียงพลั่กดังขึ้น เจินเมี่ยวล้มคว่ำตกลงมาจากเก้าอี้คนงามเสียแล้ว

 

 

นางปีนขึ้นเก้าอี้อย่างอเนจอนาถแล้วจับแขนชูสยาจวิ้นจู่ไว้ “ชู…ชูสยา ลุงรองของข้าอายุจะสี่สิบแล้ว!”

 

 

“ข้ารู้”

 

 

“ญาติผู้น้องของข้าทั้งสองคนก็อายุน้อยกว่าท่านไม่กี่ปี แม้นภรรยาของลุงรองจะตระหนี่และใจแคบแต่สุขภาพร่างกายแข็งแรงยิ่งสามารถอยู่กับท่านลุงรองข้าตลอดไปได้อย่างไม่มีปัญหา ท่านคงไม่มีโอกาสเข้าไปอยู่ในจวนแน่!”

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่กลอกตาไปมา “เรื่องพวกนี้ข้าทราบดี อีกอย่างข้าก็มีคู่หมั้นแล้ว จะไปอยู่ในจวนเจ้าได้อย่างไร? ทั้งข้ายังเป็นองค์หญิง ไปเป็นอนุเช่นนั้นมิใช่เป็นเรื่องน่าขบขันยิ่งหรอกหรือ?”

 

 

“เช่นนั้น…ท่าน…”

 

 

“ข้าแค่ชอบบุรุษท่าทีเช่นลุงรองของเจ้าเท่านั้น มิได้บอกว่าจะไปเป็นอันใดกับเขาเสียหน่อย”

 

 

เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจโล่งอก

 

 

ชูสยาจวิ้นจู่กลับแปลกใจขึ้นมา “คุณหนูสี่ เจ้ามิแปลกใจสักนิดว่าเหตุใดข้าจึงชอบท่านลุงรองเจ้า แต่กลับห่วงเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้พวกนี้หรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวหัวเราะแห้งๆ คราหนึ่ง

 

 

เรื่องนี้มีอันใดแปลกประหลาดกัน หากมิใช่ลุงรองของนาง นางก็ชมชอบเช่นกัน!

 

 

ขอเพียงมั่นใจว่าชูสยาจวิ้นจู่มีผู้มีความกล้าสูงเทียบฟ้าจะมิคิดทำเรื่องอันสะท้านฟ้าสะเทือนดิน นางก็วางใจแล้ว

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset